WarRoom - อาสาสมัครเตรียมการเฝ้าระวังประสานงานเตรียมพร้อมเพื่อรองรับสถานการณ์ปี 2013

<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ฝนถล่ม “ขุนยวม” 7 ชั่วโมง ทำพนังคอนกรีตวัดดังพัง-ตลิ่งทรุดใกล้ฐานเจดีย์เก่าแก่ </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=40><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>11 กันยายน 2555 19:08 น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center background=/images/linedot_vert.gif width=1 align=middle></TD></TR><TR><TD height=1 vAlign=top width=1 align=right></TD><TD height=1 vAlign=top background=/images/linedot_hori.gif align=middle></TD><TD height=1 vAlign=top width=1 align=left></TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=12 vAlign=bottom align=left></TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=160 align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>น้ำป่ากัดเซาะพนังคอนกรีตบริเวณวัดต่อแพ อ.ขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน ได้รับความเสียหาย 200 เมตร</TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=1 vAlign=center width=165 align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=/images/linedot_vert3.gif width=4></TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=7 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>ศูนย์ข่าวเชียงใหม่/แม่ฮ่องสอน - ฝนถล่มหนัก 7 ชั่วโมงติดต่อกัน ทำน้ำป่าทะลักกัดเซาะพนังคอนกรีตวัดดังขุนยวมพังซ้ำ 200 เมตร ใกล้ถึงฐานเจดีย์เก่าแก่ หวั่นฝนตกเพิ่มมีสิทธิ์พังได้ ขณะที่บ้านเรือนชาวบ้าน-พื้นที่การเกษตรเสียหายหลายล้านบาท

วันนี้ (11 ก.ย.) นายชาญชัย ศรีเสถียร นายอำเภขุนยวม จ.แม่ฮ่องสอน ได้รายงานด่วนให้ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอนทราบถึงเหตุอุทกภัยในพื้นที่อำเภอขุนยวมว่า ตั้งแต่วันที่ 10-11 ก.ย. 55 มีฝนตกลงมาในพื้นที่อำเภอขุนยวมนานประมาณ 7 ชั่วโมง สามารถวัดปริมาณน้ำฝนได้ 130 มิลลิเมตร

ทำให้เกิดน้ำป่าไหลหลากกัดเซาะพนังคอนกรีตบริเวณวัดต่อแพ ที่ 1 ตำบลแม่เงา อำเภอขุนยวม ได้รับความเสียหายยาวประมาณ 200 เมตร ศาลาที่พัก 1 แห่ง ฝายไม้หินทิ้ง 25 แห่ง สะพานไม้ 6 แห่ง ท่อคอนกรีต 3 แห่ง ถนนดินได้รับความเสียหายอย่างหนัก

โดยมีราษฎร 2,629 คน 484 ครัวเรือน รวม 5 ตำบล 13 หมู่บ้าน ได้รับความเดือดร้อน พื้นที่ทางการเกษตรได้รับความเสียหาย 49 ไร่ ค่าเสียหายในเบื้องต้นประมาณ 4,540,000 บาท ไม่มีผู้เสียชีวิต ขณะนี้อำเภอขุนยวมนำกำลังฝ่ายปกครอง อส.เข้าไปช่วยเหลือราษฎรที่ได้รับความเดือดร้อนดังกล่าวแล้ว

สำหรับจุดที่มีการก่อสร้างพนังคอนกรีตบริเวณวัดต่อแพนั้น เป็นตลิ่งสูงจากลำน้ำแม่ยวมประมาณ 10 เมตร และได้ก่อสร้างมาแล้วไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง ใช้งบประมาณการก่อสร้างหลายสิบล้านบาทเพื่อป้องกันการกัดเซาะของกระแสน้ำ แต่ก็ไม่สามารถต้านทานกระแสน้ำได้ จนคราวนี้กระแสน้ำได้กัดเซาะพนังดังกล่าวพังทลายลงอีกครั้ง

สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือ พระธาตุเจดีย์วัดต่อแพ ซึ่งเป็นพระเจดีย์เก่าแก่ และยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสักการะของคนทั่วไปของอำเภอขุนยวม ขณะนี้กระแสน้ำได้กัดเซาะตลิ่งรุกเข้าไปใกล้กับองค์พระเจดีย์ เหลืออีกประมาณ 30 เมตรก็จะถึงองค์พระเจดีย์ และอีกประมาณ 10 เมตรก็จะถึงผิวถนนเข้าวัด คณะศรัทธาต่างเป็นห่วงมากว่า หากมีฝนตกลงมาซ้ำอีกก็จะทำให้องค์พระเจดีย์ ตลอดจนศาลาการเปรียญได้รับผลกระทบทั้งหมด
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ไร้ข้อสรุปเลื่อนเปิดเทอมตามอาเซียน ทปอ.มรภ.ไม่เห็นด้วย</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=40><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>11 กันยายน 2555 18:16 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> ไร้ข้อสรุป “กำจร” เผยผลประชุมเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียนตามอาเซียน ที่มี รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน ระบุ ทปอ.มรภ.ยังยืนยันไม่ขยับเพราะได้สอบถามความเห็นผู้ปกครองส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ขณะที่ ทปอ.มทร.ยินดีหากมีการขยับทั้งหมด ด้าน สพฐ.ยังสงวนท่าทีงดให้ความเห็น ส่วน ร.ร.สาธิตฯ ต้องดูท่าทีอีกครั้งหนึ่ง พร้อมกันนี้ สกอ.เตรียมร่อนหนังสือถึงมหา’ลัยขอข้อมูลการจัดสอบและการรับ นศ.แต่ละปี เพื่อลดจำนวนการจัดสอบเล็งให้จัดสอบปีละ 3 ครั้ง

รศ.นพ.กำจร ตติยกวี รองเลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา (รองเลขาธิการ กกอ.) เปิดเผยภายหลังการประชุมหารือเรื่องการเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียนตามประเทศในกลุ่มอาเซียน และสากล ซึ่งมี นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช รมว.ศึกษาธิการ เป็นประธาน โดยมีผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลแห่งประเทศไทย (ทปอ.มทร.) ที่ประชุมอธิการบดีมหาวิทยาลัยราชภัฏแห่งประเทศไทย (ทปอ.มรภ.) และที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) เข้าร่วม ว่า รมว.ศึกษาธิการ เห็นด้วยกับที่ ทปอ.มีมติเลื่อนเปิดภาคเรียนตามสากล แต่ในส่วนของ ทปอ.มรภ.ยังยืนยันที่จะไม่ขยับการเปิดภาคเรียน เนื่องจากก่อนหน้านี้ได้มีการสอบถามความคิดเห็นจากผู้ปกครอง และนักศึกษาแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่เห็นว่าไม่ควรให้มีการเลื่อนเปิดภาคเรียน เพราะจะทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลงไป ขณะที่ส่วนของ ทปอ.มทร.ก็ยินดีที่จะปรับการเปิดภาคเรียนหากมีการปรับทั้งระบบ

อย่างไรก็ตาม ส่วนของการศึกษาขั้นพื้นฐาน หรือ สพฐ.ยังไม่ได้ให้ความเห็น แต่ในที่ประชุมมีประเด็นว่าโรงเรียนสาธิตของมหาวิทยาลัย ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) จะต้องกลับไปพิจารณาว่าจะเลื่อนเปิดภาคเรียนตามมหาวิทยาลัยหรือไม่ หาก สพฐ.ไม่ขยับการเปิดภาคเรียน ซึ่งในส่วนของโรงเรียนสาธิตนั้น ขณะนี้โรงเรียนสาธิตแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กำลังมีการสำรวจข้อดี ข้อเสีย หรือผลกระทบหากเลื่อนเปิดปิดภาคเรียน

“รมว.ศึกษาธิการ ขอให้มหาวิทยาลัยทุกแห่งกลับไปพิจารณาเรื่องการเลื่อนเปิด-ปิดภาคเรียน ว่า มีผลกระทบอย่างไร ซึ่งหากเป็นไปได้อยากให้เลื่อนเปิดภาคเรียนเหมือนสากล เพราะจะทำให้เชื่อมโยงระหว่างมหาวิทยาลัยไทยกับสากลได้สะดวกขึ้น โดยเฉพาะเรื่องการเทียบโอนหน่วยกิต” รศ.นพ.กำจร กล่าว

รองเลขาธิการ กกอ.กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ สกอ.ยังมีข้อกังวลว่าหากไม่มีการเลื่อนเปิดภาคเรียนทั้งระบบจะทำให้มีห้วงเวลาที่ยาวนาน และจะเกิดการวิ่งรอกสอบมากขึ้น ดังนั้น สกอ.จะทำหนังสือถึงมหาวิทยาลัยทุกแห่ง เพื่อขอทราบข้อมูลว่าในแต่ละปีมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งเปิดรับนักศึกษากี่ครั้ง และมีการสอบอะไรบ้าง เพื่อที่จะมากำหนดจัดให้มีการจัดสอบน้อยที่สุด โดยจะให้มหาวิทยาลัยแต่ละแห่งจัดสอบได้ไม่เกิน 3 ครั้ง หรือมาจัดสอบร่วมกันในลักษณะเดียวกับระบบเคลียริ่งเฮาส์

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ชาวฮานอยฮือต้าน แผนการนำเข้ารถตุ๊กตุ๊กจากไทย</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=40><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>11 กันยายน 2555 22:06 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=800><TBODY><TR><TD vAlign=top width=800 align=middle> </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>
กองทัพตุ๊กตุ๊กที่ปากคลองตลาด ภาพถ่ายเดือน มิ.ย.2548 โดย Heinrich Damm ตีพิมพ์เผยแพร่ในวิกิพีเดีย ชาวเว็บในกรุงฮานอยกล่าวว่ายานพาหนะจากประเทศไทยชนิดนี้ กำลังจะไปซ้ำเติมปัญหาการจราจรติดขัดในเมืองหลวง และเสียงต่อต้านกำลังขยายตัวออกไปอย่างกว้างขวาง. </B></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD height=5 vAlign=top align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE> .

ASTVผู้จัดการออนไลน์ -- ชาวฮานอยได้แสดงปฏิกิริยาอย่างกว้างขวางต่อแผนการนำเข้ารถยนต์สามล้อโดยสารหรือ "รถตุ๊กตุ๊ก" ที่ใช้กันแพร่หลายในประเทศไทย โดยให้เหตุผลว่าจะทำให้รถติดมากขึ้น ก่อมลพิษเพิ่มขึ้นอีก และไม่ปลอดภัย เว็บไซต์ข่าวงภาษาเวียดนามหลายแห่งรายงานเรื่องนี้ในวันอังคาร

ประชาคมออนไลน์ในเวียดนามถกเถียงกันเรื่องนี้ หลังจากคณะกรรมการประชาชนกรุงฮานอยเสนอแผนการปรับปรุงระบบขนส่งมวลชน ซึ่งรวมทั้งการอนุญาตให้นำเข้ารถตุ๊กตุ๊กได้ อันเป็นการยกเลิกข้อห้ามเมื่อปี 2551 ที่ห้ามรถติดเครื่องยนต์ที่มี 3 ล้อทุกชนิดวิ่งในเมืองหลวง

เหตุผลหนึ่งสำหรับการห้ามดังกล่าว ยังรวมทั้งการที่รถยนต์สามล้อจะทำลายทัศนียภาพของเมืองหลวงอีกด้วย

ไม่มีรายละเอียดว่าทางการจะอนุญาตให้ผู้ใดนำเข้าและจะบริหารจัดการเดินรถตุ๊กตุ๊กอย่างไรหรือจะดเนินการอย่างไรต่อไป แต่การต่อต้านจากชาวเมืองหลวงกำลังแผ่ลามออกไปผ่านเว็บไซต์ข่าวและเว็บบล็อกต่างๆ

ผู้ที่เคยมาใช้บริการรถตุ๊กตุ๊กในกรุงเทพฯ หลายคนกล่าวว่า คนขับรถชาวไทยไม่ค่อยเคารพกฎจราจรชอบควบตุ๊กตุ๊กด้วยความเร็วสูง ขับฉวัดเฉวียนปาดหน้าปาดหลัง น่ากลัว ตุ๊กตุ๊กยังปล่อยควันดำมากกว่ารถยนต์ทั่วไป แถมยังเปิดโล่งรอบด้านผู้โดยสารต้องทนสูดดมมลพิษตามท้องถนน ทั้งฝุ่นละออง ทั้งควันจากไอเสีย ท่ามกลางอากาศร้อนระอุ

"ตุ๊กตุ๊กกินเนื้อที่บนถนนเกือบเท่ากับรถยนต์ซับคอมแพ็กท์คันหนึ่งแต่บรรทุกผู้โดยสารได้น้อยกว่า เท่านี้ก็คงจะมองออกแล้วว่ายานยนต์จากประเทศไทยจะก่อให้เกิดปัญหาอะไรบ้าง" ผู้อ่านคนหนึ่งเขียน

"ทางการกรุงฮานอยมีหน้าที่พัฒนาระบบขนส่งมวลชนให้ทันสมัย แต่กลับไปมองยานยนต์ที่ล้าสมัยเช่นตุ๊กตุ๊ก ซึ่งไม่เหมาะอย่างสิ้นเชิงสำหรับฮานอย มันจะทำให้การจราจรในย่านเมืองเก่าวิกฤตหนักยิ่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย" อีกคนหนึ่งเขียนคัดค้าน

ตั้งแต่ต้นปีมานี้ฮานอยได้ออกมาตรการหลายอย่างเพื่อผ่อนคลายปัญหารถติด เช่นสร้างที่จอดรถนอกเมืองสำหรับรถบัสโดยสารและรถยนต์ขนาดใหญ่ จัดบริเวณจอดรถริมถนนสายใหญ่บางสายเพื่อให้เป็นระเบียบ ห้ามจดรถบนทางเท้าอย่างเด็ดขาด รวมทั้งปิดถนนสายสั้นบางสาย และใช้เป็นลานลอดรถ

นอกจากนั้นยังมีการระบบการจราจรแบบวิ่งรถทางเดียวตามถนนหลายสาย จัดโซนและจำกัดเวลาสำหรับรถเข้า รวมทั้งจัดเวลาทำงานใหม่สำหรับหน่วยงานของทางการ รวมทั้งโรงเรียนและสถานศึกษาต่างๆ เพื่อลดการจราจรติดขัดในชั่วโมงเร่งด่วน ซึ่งทำให้ปัญหาการจราจรผ่อนคลายลงได้มากในช่วงหลายเดือนมานี้ ในขณะที่การก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดิน-บนดินสองสายแรกกำลังเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมาให้เห็น

แผนการล่าสุดของทางการยังรวมถึงการเสนอให้ย้ายหน่วยงานของรัฐหลายหน่วยออกไปยังนอกเมืองอีกด้วย

แต่การนำรถตุ๊กตุ๊กเข้ามาใช้นั้นไม่ใช่ทางออก ประชาคมออนไลน์ชาวฮานอยกล่าว

"ถ้าหากมีผู้เสนอเรื่องนี้เมื่อสัก 30 ปีก่อน อาจจะได้รับการสนับสนุนจากประชาชนทั่วไป แต่ตุ๊กตุ๊กไม่เหมาะกับเวียดนามซึ่งกำลังพัฒนาอุตสาหกรรมไปสู่ทันสมัยเป็นอย่างยิ่ง ทางการควรจะมองไปข้างหน้าให้ไกลยิ่งกว่านี้แทนการมองถอยหลัง" ผู้อ่านอีกคนหนึ่งเขียนลงในเว็บไซต์สำนักข่าวเวียดนามเอ็กซ์เพรส.

</TD></TR></TBODY></TABLE>

 

<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>กินไขมันสูงเสี่ยงอ้วนไม่พอ...ยังเสี่ยงโง่ด้วย</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=40><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>11 กันยายน 2555 10:53 น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=5 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD vAlign=center background=/images/linedot_vert.gif width=1 align=middle></TD></TR><TR><TD height=1 vAlign=top width=1 align=right></TD><TD height=1 vAlign=top background=/images/linedot_hori.gif align=middle></TD><TD height=1 vAlign=top width=1 align=left></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>งานวิจัยพบการกินอาหารไขมันสูงนอกจากเสี่ยงเบาหวานและโรคอ้วนแล้ว ยังเสี่ยงกระทบต่อการเรียนรู้ด้วย (ภาพประกอบจากรอยเตอร์)</TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=12 vAlign=bottom align=left></TD></TR><TR><TD bgColor=#cccccc><TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD bgColor=#ffffff vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top width=160 align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=4 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=middle>คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle></TD></TR><TR><TD vAlign=baseline align=middle>รศ.ดร.ทพญ.สิริพร ฉัตรทิพากร </TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD height=1 vAlign=center width=165 align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=/images/linedot_vert3.gif width=4></TD><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=7 width="100%"><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>สกว.-นักวิจัยพบความเสี่ยงกินอาหารไขมันสูง ไม่ใช่แค่อ้วนหรือเบาหวาน แต่ยังเสี่ยงกระทบต่อการใช้สมองเรียนรู้และทำความเข้าใจด้วย อย่างไรก็ดี ยังไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าต้องกินไขมันมากแค่ไหนหรือนานแค่ไหนจึงจะส่งผลเสียดังกล่าว

รศ.ดร.ทพญ.สิริพร ฉัตรทิพากร อาจารย์ประจำคณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และหัวหน้าหน่วยวิจัยสรีรวิทยาระบบประสาท ศูนย์วิจัยและฝึกอบรมสาขาโรคทางไฟฟ้าหัวใจ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงติดต่อกันเป็นเวลานาน เป็นปัจจัยส่งเสริมที่ทำให้เกิดโรคอ้วนตามมา

ทั้งนี้ โรคอ้วนมีความเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงในการพัฒนาเป็นภาวะดื้อต่ออินซูลินในส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งนำไปสู่การเกิดโรคที่มีชื่อว่า “โรคเบาหวานชนิดที่ 2” ซึ่งเนื้อเยื่อไขมันเพิ่มมากขึ้นจากโรคอ้วนนั้นจะมีส่วนร่วมในการก่อให้เกิดการดื้อต่ออินซูลิน ซึ่งภาวะดื้อนี้จัดเป็น “กลุ่มอาการเมตาบอลิซึม” ที่สามารถอธิบายถึงปัญหาสุขภาพหลายอย่างที่มีเชื่อมโยงกัน โดยเฉพาะความเสี่ยงต่อการเกิด “โรคเบาหวาน” และ “โรคหัวใจ” เพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ ยังเคยมีการศึกษาพบว่า วัยรุ่นที่เป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 จะมีการแสดงความผิดปกติของการคิดและการเรียนรู้ต่างๆ เกิดขึ้น ดังเช่น มีผลการทดสอบความรู้ความเข้าใจหลายด้านที่แย่ลง เมื่อเทียบกับเพื่อนๆ ที่ไม่เป็นโรคอ้วนหรือโรคเบาหวานมาก่อน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีรายงานความผิดปกติของโรคอ้วนในกลุ่มวัยรุ่นที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 กับการทำงานของสมองที่เกี่ยวข้องกับความรู้ความเข้าใจ

อย่างไรก็ดี ยังไม่มีผู้ใดศึกษาว่าการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงจนทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการทำงานของตัวรับอินซูลินในระบบประสาทส่วนกลาง โดยเฉพาะสมองส่วนที่เกี่ยวกับการเรียนรู้และหน่วยความจำ หรือก่อให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินในเซลล์สมองด้วยหรือไม่ และยังไม่ทราบว่าต้องรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงนานเท่าใดจึงจะก่อให้เกิดผลเสียดังกล่าว

รศ.ดร.ทพญ.สิริพรได้ทำการวิจัยเรื่อง “ผลของการกินอาหารไขมันสูงติดต่อกันเป็นเวลานานต่อการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับการสื่อประสาทของสมองส่วนฮิปโปแคมบัสของหนู” โดยได้รับทุนสนับสนุนจากฝ่ายวิชาการ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ซึ่งนักวิจัยได้ตั้งสมมติฐานว่า การรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงจะทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินจากการตรวจวัดในกระแสเลือด มีการเพิ่มขึ้นของระดับฮอร์โมนคอร์ติคอสเตอรอยด์ทั้งในกระแสเลือดและในสมอง และยังทำให้การตอบสนองต่ออินซูลินในสมองลดลง

ฮอร์โมนคอร์ติคอสเตอรอยด์เป็นฮอร์โมนประเภทสเตียรอยด์ชนิดหนึ่งที่ถูกสังเคราะห์ขึ้นในเซลล์ที่เปลือกของต่อมหมวกไตภายใต้การควบคุมจากสมองส่วนกลาง โดยจะสังเคราะห์ฮอร์โมนคอร์ติคอสเตอรอยด์ขึ้นมาจากไขมันกลุ่มคอเลสเตอรอล ฮอร์โมนนี้มีฤทธิ์ต่อเมตาบอลิซึมของแป้งและน้ำตาลในการเพิ่มการสลายแป้งให้เป็นน้ำตาล รวมทั้งเสริมฤทธิ์ของอินซูลิน ซึ่งจะทำให้ร่างกายมีการใช้พลังงานจากน้ำตาลเพิ่มขึ้น อีกทั้งมีฤทธิ์ต่อเมตาบอลิซึมของไขมันด้วยการเพิ่มการสะสมของไขมันโดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง

ผลจากการศึกษาในหนูทดลองพบว่าระดับฮอร์โมนดังกล่าวมีการเพิ่มขึ้นในสัปดาห์ที่ 4 หลังจากรับประทานอาหารที่มีไขมันสูง และตรวจพบภาวะดื้อต่ออินซูลินในกระแสเลือดในสัปดาห์ที่ 8 และ 12 รวมทั้งพบว่าการตอบสนองของตัวรับอินซูลินในระบบประสาทกลางไม่สามารถทำงานตามปกติ หรืออาจเรียกได้ว่าเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินในเซลล์สมองขึ้นในสัปดาห์ที่ 12 ซึ่งพบได้ชัดเจนในบริเวณสมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้และหน่วยความจำ

นอกจากนี้ยังพบว่าการรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงยังทำให้เกิดภาวะเครียดในสมองอีกด้วย เนื่องจากระดับฮอร์โมนคอร์ติคอสเตอรอยด์ที่หลั่งออกมาเมื่อมีความเครียด จะมีระดับที่สูงมากขึ้นในสมอง ซึ่งเป็นระยะเวลาเดียวกับที่เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินในเซลล์สมองขึ้นนั้นเอง นอกจากนี้ ทีมวิจัยยังได้ศึกษาทดลองพบว่า หนูที่เลี้ยงด้วยอาหารไขมันสูงเป็นเวลา 12 สัปดาห์นอกจากมีระดับฮอร์โมนคอร์ติคอสเตอรอยด์ในสมองสูงขึ้นแล้ว ยังมีความบกพร่องในการเรียนรู้และความจำ เมื่อเทียบกับหนูที่เลี้ยงด้วยอาหารปกติ ซึ่งความบกพร่องนั้นมีความสัมพันธ์กันกับภาวะดื้อต่ออินซูลินในสมองด้วย

“การศึกษานี้จึงสามารถอธิบายได้ว่าภาวะดื้อต่ออินซูลินในเซลล์สมองและความเครียดในสมองสามารถเกิดขึ้นได้ในระยะเวลาเดียวกันหลังจากรับประทานอาหารที่มีไขมันสูงติดต่อกันเป็นระยะเวลาหนึ่ง โดยมีการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนคอร์ติคอสเตอรอยด์ในสมองเป็นตัวบ่งชี้ถึงความเครียดที่เกิดขึ้น ซึ่งส่งผลตามมาทำให้เกิดการเรียนรู้และความจำที่ลดลงได้” รศ.ดร.ทพญ.สิริพร กล่าวสรุป

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

นั้นแหละครับ ปัญหาใหญ่ ลูกนี้น่าจะแค่เฉียดมาทางภาคเหนือ แต่หลังจากนั้นจัดเต็มครับ.....
จับตาลูกที่จะเข้าวันที่ 26 กย.. , 10 ตค.. สุดท้าที่ 31 ตค. จัดเต็มร้อย...

อย่ารอให้ถึงลูกสุดท้ายนะครับ

 

ทธ.เผยปีนี้ฝนตกบนเขามากกว่าพื้นราบ เตือนเฝ้าระวังน้ำป่า-ดินถล่ม

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 กันยายน 2555 08:57 น.




นายสมใจ เย็นสบาย ผู้อํานวยการส่วนธรณีพิบัติภัย กรมทรัพยากรธรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แจ้งเตือนพื้นที่เชิงเขายังต้องเฝ้าระวังน้ำป่าดินถล่ม ซึ่งกรมทรัพยากรธรณีได้ติดตามสถานการณ์ฝนร่วมกับเครือข่ายภาคประชาชนในพื้นต่างๆ อย่างต่อเนื่องมาก่อนหน้านี้ เพื่อให้มีการแจ้งเตือนภัยได้ทันเวลา โดยจากข้อมูลปริมาณน้ำฝนที่กรมทรัพยากรธรณีได้ติดตั้งไว้บนภูเขาในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ พบว่าฝนที่ตกลงมาให้ช่วงก่อนหน้านี้ มีปริมาณที่มากกว่าบนพื้นราบหลายเท่า ทำให้ข้อมูลปริมาณน้ำฝนในพื้นที่ราบนำมาใช้พยากรณ์และคาดการณ์เรื่องน้ำป่าไหลหลากไม่ได้ผลเท่าที่ควร ทำให้น้ำจากบนภูเขาไหลลงไปเติมเขื่อนทางฝั่งตะวันตกของภาคเหนือจนเต็มเขื่อน เช่น เขื่อนวชิราลงกรณ์ และเขื่อนศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี ถึงแม้ในขณะนี้ปริมาณฝนลดน้อยลงแล้ว แต่ให้เครือข่ายทั่วประเทศยังคงเฝ้าระวังอย่างต่อเนื่อง เพราะในพื้นที่ภาคเหนือยังมีฝนตกอยู่ และจากข้อมูลปริมาณฝนสะสมตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน บนยอดเขาในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ พบว่ามีปริมาณฝนมากกว่า 700 มิลลิเมตร โดยเฉพาะบนดอยอ่างขาง มีฝนสะสมเกิน 2,000 มิลลิเมตร จึงเกรงว่าดินบนภูเขาอาจจะมีการอุ้มน้ำไว้เต็มที่แล้วอาจทำให้เกิดการพังทลายของดินภูเขา จึงเสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการเตือนภัย ควรนำข้อมูลปริมาณฝนจากบนภูเขามาพิจารณารวมด้วย เพราะปีนี้ฝนตกบนภูเขามากกว่าพื้นราบ

 

ชาวนาพิจิตรพายเรือเกี่ยวข้าว

วันพุธ ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2555




ชาวนาในจังหวัดพิจิตร ต้องพายเรือเกี่ยวข้าวเนื่องจากน้ำท่วมสูงจนไม่สามารถใช้รถเกี่ยวข้าวได้


ชาวนาในพื้นที่ตำบลคลองคะเชนทร์ อำเภอเมืองพิจิตร ต้องใช้เรือเกี่ยวข้าว เนื่องจากฝนที่ตกลงมาอย่างหนักทำให้น้ำท่วมนาข้าว สูงกว่า 90 เซนติเมตร ไม่สามารถระบายลงบึงสีไฟซึ่งเป็นพื้นที่รับน้ำได้ เนื่องจากบึงสีไฟก็มีปริมาณน้ำเป็นจำนวนมากจากน้ำสะสมในพื้นที่ และ น้ำที่ระบายจากรอบด้านของบึงสีไฟ ทำให้ชาวนาต้องแก้ปัญหาด้วยการใช้เรือ และลุยน้ำเกี่ยวข้าวที่กำลังสุกงอม ก่อนที่ข้าวจะเสียหายจากการจมน้ำเป็นเวลานาน

เจ้าของนาข้าว 30 ไร่ บอกว่าฝนที่ตกหนักทำให้น้ำท่วมนาข้าวที่ลงทุนปลูกไป 30 ไร่ รถเกี่ยวข้าวไม่สามารถเก็บเกี่ยวได้เนื่องจากน้ำท่วมสูง ต้องแก้ปัญหาด้วยการใช้เรือเป็นพาหนะ และลุยน้ำที่ท่วมสูงเกือบถึงเอว เพื่อเก็บเกี่ยวข้าวที่สุกงอมเต็มที่ก่อนที่ข้าวจะถูกน้ำท่วมจนเน่าเสียหาย

 

เข้าดู ใน link เองนะครับ
<CITE class=kv>[ame="http://www.youtube.com/watch?v=-AlhGHXFzbo"]www.youtube.com/watch?v=-AlhGHXFzbo[/ame]</CITE>
<CITE class=kv></CITE>
<CITE class=kv><CITE class=kv>[ame="http://www.youtube.com/watch?v=bv489L3QYCY"]www.youtube.com/watch?v=bv489L3QYCY[/ame]</CITE></CITE>

 

ตอนท้ายคำทำนาย..ที่ว่าไม่เจาะจงประเทศใด..สรุปได้ดีมาก

 

จ.นครสวรรค์ ประสบอุทกภัย2 อำเภอ แต่ ยังไม่น่าวิตก

นายปรีชา เรืองจันทร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ แจ้งกับประชาสัมพันธ์จังหวัดนครสวรรค์ว่า มีสถานการณ์อุทกภัย 2 อำเภอ คืออำเภอแม่วงก์ กับอำเภอลาดยาว น้ำท่วม 2 ตำบล 22หมู่บ้าน บ้านเรือนราษฎรได้รับผลกระทบจากสถานการณ์น้ำป่าหลาก 110 หลังคาเรือน ราษฎรได้รับความกระทบ 451 คน พื้นที่เกษตรกรรมมีน้ำหลากผ่าน 2,250 ไร่ เกิดสถานการณ์น้ำขังในบางพื้นที่ที่ในระยะยาว อาจเกิดเสียหายต่อผลผลิตทางการเกษตร สถานการณ์น้ำป่าหลากพบทั่วอำเภอแม่วงก์ กับอำเภอลาดยาว จังหวัดนครสวรรค์ ยังไม่ถึงขั้นที่ราษฎรเดือนร้อน ถึงต้องแจกถุงยังชีพ ทางจังหวัดจึงยังไม่ได้แจกจ่ายถุงยังชีพในระยะนี้ สำหรับปริมาณน้ำในลำน้ำปิง หรือแควปิง แควน่าน และแม่น้ำเจ้าพระยา ในพื้นที่จังหวัดนครสวรรค์ ยังไม่ถึงระดับที่น่าวิตก แม่น้ำปิง หรือแควปิง น้ำยังต่ำกว่าตลิ่งกว่า 1 เมตร ส่วนแควน่าน กับแม่น้ำเจ้าพระยา ตลิ่งยังสูงกว่าน้ำกว่า 2 เมตร


น้ำเหนือจากสุโขทัย ทะลัก พิษณุโลก จ่อทะลัก อ.สามง่าม จ.พิจิตร

นายประเวศน์ ศิริศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทาน จ.พิจิตร ได้เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำของลุ่มน้ำยม ว่า จากเหตุน้ำท่วมใหญ่ที่ จ.สุโขทัย จึงทำให้ปริมาณน้ำจำนวนมากกำลังไหลบ่าเข้า อ.กงไกรลาศ และไหลต่อมาเข้า อ.บางระกำ จ.พิษณุโลก ดังนั้น จึงคาดว่าอีกไม่เกิน 5 วัน ปริมาณน้ำดังกล่าวจะไหลเข้ามาในเขตแม่น้ำยม ใน อ.สามง่าม จ.พิจิตร ซึ่งขณะนี้ ได้ออกประกาศเตือนให้ราษฎรอพยพขนย้ายสิ่งของขึ้นไปอยู่ในที่สูงแล้ว แต่ระดับน้ำในแม่น้ำยม ก็ยังคงต่ำกว่าตลิ่งประมาณ 1 เมตร ซึ่งระดับน้ำในแม่น้ำยม สูงกว่าแม่น้ำน่าน 4 เมตร จึงได้เปิดประตูระบายน้ำที่คลองในหลวง DR 2.8 ที่เป็นคลองเชื่อมต่อระหว่างแม่น้ำน่าน กับแม่น้ำยม โดยมั่นใจว่าในช่วงนี้ถ้าไม่มีฝนตกลงมาซ้ำเติมในพื้นที่ลุ่มน้ำยม พิจิตร ก็น่าจะควบคุมสถานการณ์ได้


น้ำจากสุโขทัย ทะลักท่วมพิษณุโลก ในเขตพื้นที่ อ.พรหมพิราม แล้ว

จากสถานการณ์น้ำท่วมที่จังหวัดสุโขทัย และมีการเร่งระบายน้ำ ลงแม่น้ำยมสายเก่า เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน ปรากฏว่า น้ำที่เร่งระบายลงแม่น้ำยมสายเก่า กว่า 200 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ขณะนี้ก็ได้เริ่มเอ่อล้น เข้าท่วมบ้านเรือนของประชาชนในเขตพื้นที่ อ.พรหมพิราม แล้ว ซึ่งขณะนี้น้ำในคลองแมม ต.ท่าช้าง อ.พรหมพิราม จ.พิษณุโลก ได้ล้นตลิ่งไหลเข้าท่วมบ้านเรือนของประชาชน หมู่ที่ 10 บ้านวังขี้เหล็ก และหมู่ที่ 12 บ้านคลองเมม ทำให้ชาวบ้านต้องเร่งเก็บสิ่งของขึ้นไว้ในที่สูง ด้าน นางเพี้ยน สมบัติวงศ์ อายุ 57 ปี ชาวบ้านคลองเมม รายหนึ่งเปิดเผยว่า น้ำเริ่มไหลเข้าท่วมบ้านของตนเอง เมื่อประมาณ 2 - 3 วันที่ผ่านมา จนกระทั่งเช้าวันนี้ ระดับน้ำได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยระดับน้ำเพิ่มขึ้นจากเมื่อวานนี้เกือบ 50 เซนติเมตร ทำให้บ้านเรือนประชาชนที่อยู่ในที่ลุ่มนั้นได้รับความเดือดร้อน ต้องเร่งขนของหนีน้ำ แต่ส่วนใหญ่ก็เตรียมพร้อมไว้แล้ว

 

น้ำท่วมอุตรดิตถ์ สูญ 100 ล้านบาท

นายสุรชัย ธัชกวิน ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดอุตรดิตถ์ กล่าวว่า น้ำท่วมในพื้นที่บ้านเกาะตาเพชร หมู่ 3 และ บ้านโพธิ์ทอง หมู่ 6 ต.ไผ่ล้อม อ.ลับแล รอบที่ 4 ล่าสุดน้ำเริ่มลดระดับลงแล้ว มีเพียงขังอยู่ตามถนนภายในหมู่บ้านระดับ 5-10 เซนติเมตร ส่วนพื้นที่นาข้าวก็เริ่มลดลงแล้วเช่นกัน ชาวนาที่ได้รับผลกระทบก็ได้เร่งแจ้งความเสียหายมายังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอรับการชดเชยต่อไป

จากการรวมรวบข้อมูลความเสียหายจากน้ำท่วมเบื้องต้นมีพื้นที่ได้รับผลกระทบ 2 อำเภอคือ อ.เมือง ที่ ต.บ้านด่านนาขาม และ ต.น้ำริด ส่วน อ.ลับแล ที่ ต.นานกกก ต.แม่พูล ต.ฝายหลวง ต.ชัยจุมพล ต.ไผ่ล้อม ต.ทุ่งยั้ง และ ต.ด่านแม่คำมัน รวมทั้ง 2 อำเภอ 49 หมู่บ้าน นาข้าวเสียหายอย่างสิ้นเชิง 2,000 ไร่ ลำห้วยเสียหาย 17 แห่ง บล็อกคอนเวิร์ส 32 แห่ง ถนน 12 สาย และ บ่อปลา 2 แห่ง สรุปความเสียหายราว 100 ล้านบาท ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ ได้ทำรายงานส่งกระทรวงที่รับผิดชอบเพื่อของบประมาณมาฟื้นฟู

นายธนพล หมื่นยา ราษฎร ต.ฝายหลวง อ.ลับแล กล่าวว่า ตั้งแต่เกิดอุทกภัยน้ำป่าหลากเข้าท่วมพื้นที่ อ.เมือง และ อ.ลับแล มีเพียงหน่วยงานระดับจังหวัด อำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเท่านั้นที่เข้ามาดูแลและช่วยเหลือ แต่ไม่เคยมีส.ส.อุตรดิตถ์ แม้แต่รายเดียวลงพื้นที่ช่วยเหลือและดูแลผู้ประสบภัยเลย

 

น้ำชีล้นท่วม3อำเภอชัยภูมิทรงตัว-เร่งหาคนหายยังไม่พบ

ที่จ.ชัยภูมิ สถานการณ์ลำชีทะลักกลางดึกมาตั้งแต่วันที่ 10 ก.ย.ที่ผ่านมา หลากท่วมสูงกว่า 1.5 เมตรเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรเสียหายแล้วใน 3 อำเภอของ หนองบัวแดง,หนองบัวระเหว และอ.บ้านเขว้า เสียหายหนักใน 3 ตำบล 8 หมู่บ้าน อ่วมหนัก 2 หมู่บ้านถูกตัดขาด ต้องสั่งปิดโรงเรียน 1 แห่ง พื้นที่การเกษตรนาข้าวจมขยายวงกว้างไปแล้วไม่น้อยกว่า 2,000 ไร่

ล่าสุดสถานการณ์น้ำท่วมจากต้นกำเนิดแม่น้ำชี ที่ อ.หนองบัวแดง เกิดทะลักล้นตลิ่งสูงกว่า 1.5 เมตร ลงมาต่อเนื่องในเขตอำเภอใกล้เคียง ผ่านเข้า อ.หนองบัวระเหว ทำให้มีบ้านเรือนราษฎรถูกน้ำท่วมสูงกว่า 1.5 เมตร ได้รับเสียหายหนักใน 2 ตำบล ของอ.หนองบัวระเหว ที่ต.ห้วยแย้ ใน 3 หมู่บ้านประกอบด้วยบ้านห้วยไฮ,บ้านโคกยาว ซึ่งถูกน้ำท่วมปิดล้อมทางเข้าออกทั้ง 2 หมู่บ้านนี้จนไม่สามารถนำรถทุกชนิดสัญจรเข้าออกหมู่บ้านได้ และยังหลากขยายวงเข้าท่วมบ้านหนองกองแก้ว สูงอีกกว่า 70 ซม. จนโรงเรียนหนองกองแก้วต้องสั่งปิดชั่วคราวไว้ก่อนอย่างไม่มีกำหนดจนกว่าน้ำจะลด และที่ต.โคกสะอาด ถูกท่วมเสียหายอีก 3 หมู่บ้าน ประกอบด้วยหมู่บ้านละหานค่าย,แจ้งใหญ่ และตะลอมไผ่ ของอ.หนองบัวระเหว ซึ่งระดับลำน้ำชีที่ทะลักไหลผ่านจากอ.หนองบัวระเหว ยังหลากเข้าท่วมพื้นที่อำเภอใกล้เคียงที่อ.บ้านเขว้า เข้าท่วมในเขตต.ชีบน เข้าท่วมบ้านเรือนราษฎรใน อีก 2 หมู่บ้าน ที่บ้านหนองอ้อ และบ้านวังกำแพง ระดับน้ำสูงกว่า 60 ซม. ซึ่งน้ำยังหลากท่วมถนนสายเชื่อมระหว่างหมู่บ้านหนองอ้อ-วังกำแพง เป็นทางยาวอีกกว่า 300 เมตร ล่าสุดระดับน้ำชีที่ล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่ทั้งหมดเริ่มลดระดับลงต่อเนื่องเกือบจะเข้าสู่ภาวะปกติเกือบทุกพื้นที่แล้ว ซึ่งโรงเรียนหนองกองแก้วเตรียมที่จะเปิดล้างทำความสะอาดโรงเรียนในวันพรุ่งนี้ เพื่อเปิดสอนตามปกติต่อไป

ขณะที่ด้านการเกิดน้ำป่าดินโคลนถล่มบนเทือกเขาภูแลนคา มาตั้งแต่วานนี้ ในเขตหมู่บ้านหินหนีบ ต.ท่าหินโงม อ.เมืองชัยภูมิ ในเขตอุทยานแห่งชาติตาดโตน ทำให้มีชาวบ้านที่ขึ้นไปเก็บเห็ดสูญหายถูกน้ำป่าพัดหายไป 1 ราย คือนายเกิด โคตรปทุม อายุ 63 ปี อยู่บ้านเลขที่ 138 หมู่ 2 บ้านห้วยชัน ต.นาฝาย อ.เมืองชัยภูมิ ทางชุดเจ้าหน้าที่ค้นหาเป็นวันที่สอง สนธิกำลังร่วมจากชาวบ้าน จนท.อุทยานฯ และหน่วยกู้ภัยมูลนิธิสว่างคุณธรรมชัยภูมิ เพิ่มอีกกว่า 100 นาย ตั้งแต่ช่วงเช้าจนปัจจุบันก็ยังไม่พบ

 

สุโขทัยน้ำท่วมขยายวงกว้าง

นายอาจิตร์ สุวานิชวงศ์ ผู้อำนวยการสำนักชลประทานที่ 4 เปิดเผยว่า เมื่อวานนี้ได้มีการประชุมและวางแผนอุดรอยรั่วใหม่หลังจากที่มีความพยายามจะใช้บิ๊กแบ๊คอุดรอยรั่วใต้พนังกั้นแม่น้ำยมที่ถูกกัดเซาะเป็นแนวยาวแต่กระแสน้ำเชี่ยวมากเป็นอุปสรรคสำคัญไม่สามารถอุดรอยรั่วได้ทั้งหมด จึงวางแนวทางใหม่ไม่อุดรอยรั่วแต่จะขยายพื้นที่ทำเป็นบ่อล้อมรอบรอยรั่ว ขนาดบ่อกว้าง 100 เมตร ลึก 30 เมตร ครอบคลุมพื้นที่ 300 ตารางเมตร

ขณะนี้ได้เริ่มวางกล่องลวดตาข่ายบรรจุหินหรือกล่องเกเบียนเพื่อลดแรงดันของน้ำแล้ว ขั้นต่อไปจะเป็นการวางบิ๊กแบ๊คด้านหน้าอีกชั้นเพื่อกั้นการรั่วซึมของน้ำ โดยบ่อดังกล่าวมีปริมาณน้ำ ใน 600 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ทั้งนี้ จะทำให้น้ำนิ่งเท่ากันทั้งด้านในและด้านนอก และไม่ทำให้น้ำริมแม่น้ำไม่ทะลักเข้ามา ซึ่งตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ก็พยายามอย่างเต็มที่แต่ข้อจำกัดมีอยู่ทั้งน้ำที่เชี่ยวและเส้นทางที่จะเข้ามาทำบ่อเป็นซอย การเดินทางลำบากมาก ทั้งนี้ เพื่อสร้างบ่อล้อมรอบเรียบร้อยแล้วก็จะดำเนินการซ่อมแผลรอยรั่วใต้พนังกั้นน้ำต่อ

สำหรับสถานการณ์ภาพรวมน้ำท่วมนั้นพบว่ามีการขยายวงกว้างมากขึ้น เนื่องจากน้ำได้ออกมาตามรูของบิ๊กแบ๊ค อย่างไรก็ตาม จะพยายามทำให้ระดับน้ำเท่ากันทั้งด้านนอกและด้านใน ซึ่งนายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข รมว.ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ลงพื้นที่ตั้งแต่วานนี้ (11 ก.ย.)ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และให้กำชับให้เร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด

ด้านนายพิเชษฐ์ ไทยกล้า นายกเทศมนตรีเมืองสุโขทัยธานี กล่าวว่า หลังจากที่มีการปรับแผนรับมือน้ำท่วมตอนนี้ทุกฝ่ายก็ได้เร่งดำเนินการเพื่อให้แล้วเสร็จโดยเร็วที่สุด คาดว่าค่ำๆ วันที่ 12 กันยายน การวางแนวเกเบียนและบิ๊กแบ๊คเพื่อลดแรงดันของน้ำน่าจะเห็นเป็นรูปร่าง และลดการไหลของน้ำเข้าในพื้นที่เทศบาลได้

 

แผนที่น้ำท่วมล่าสุด



ศูนย์ข้อมูล ข่าวนํ้าท่วม 2555 ข่าวน้ําท่วม ล่าสุด ร่วมแรง ส่งใจ ช่วยเหลือผู้ประสบภัย ที่นี่ Thaiflood.com

 

เปรียบเทียบสถานการณ์น้ำท่วม ปี 2554-2555





Thailand Flood Monitoring System

 

ผลวิจัยชี้ ทำงานหนักเกิน 8 ชั่วโมงเสี่ยงโรคหัวใจสูงถึง 80 เปอร์เซนต์

เขียนโดย nattawat_86 โพสต์เมื่อ วันพุธที่ 12 กันยายน 2555



ผลวิจัยชี้ ทำงานหนักเกิน 8 ชั่วโมงเสี่ยงโรคหัวใจสูงถึง 80 เปอร์เซนต์
Mthainews: แม้ว่าพนักงานส่วนใหญ่จะทุ่มเทกับการทำงานเพื่อความก้าวหน้าในอนาคต แต่การทำงานหนักมากเกินไปก็มีความเสี่ยงต่อสุขภาพ ซึ่งผลการศึกษาวิจัยยังพบว่า ผู้ที่ทำงานเกินเวลา มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจสูงถึง 80 เปอร์เซนต์ มีความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคหัวใจกำเริบแ ละอาจนำไปสู่ภาวะหัวใจล้มเหลวได้หากไม่มีการดูแลสุขภาพตัวเอง
ทั้งนี้ นักวิจัยจาก Finnish Institute of Occupational Health ทำการศึกษากับกลุ่มตัวอย่างทั่วโลก 22,000 ราย จากกรณีตัวอย่างที่พบตั้งแต่ปี 1958 เป็นต้นมา พบว่า หากใครทุ่มเททำงานเกิน 8 ชั่วโมงเป็นเวลานานหลายวัน คนกลุ่มนี้มีโอกาสเครียดสูง และโอกาสที่จะเป็นโรคหัวใจมากถึง 40-80 %
ดอกเตอร์ มาเรียนา เวอร์ทาเนน หัวหน้ากลุ่มวิจัยกล่าวว่า ผลกระทบของการเกิดโรคหัวใจก็เนื่องมาจากภาวะจิตใจที่เกิดความเครียดยาวนาน และบางส่วนอาจมีพฤติกรรมการรับประทานอาหาร เครื่องดื่มที่ไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพ เช่น อาหารสำเร็จรูปหรือฟาสต์ฟู้ด ขาดการออกกำลังกาย และการพักผ่อนที่เพียงพอ
นอกจากนี้ ผู้ที่อยู่ในช่วงวัยกลางคนที่ทำงานเกิน 55 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ยังเสี่ยงต่อการทำงานของสมอง มากกว่าคนที่ทำงานเพียง 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์
ฉะนั้นจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ตารางการทำงานให้เหมาะสม เพื่อให้สุขภาพร่างกายได้พักผ่อน ก่อนที่จะสายเกินไป เพราะร่างกายที่สูญเสียไปคงไม่คุ้มกับสิ่งที่ทุ่มเทไปกับการทำงานอย่างหนัก
Mthai News

 

ฝนถล่มฮอกไกโด-แม่น้ำล้นตลิ่ง ปชช.เร่งอพยพจากพื้นที่

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 กันยายน 2555 15:12 น.


สื่อของญี่ปุ่นรายงานโดยอ้างข้อมูลจากสำนักงานอุตุนิยมวิทยา ซึ่งระบุว่า เกิดฝนตกหนักบนเกาะฮอกไกโด ทางเหนือของญี่ปุ่น โดยวัดปริมาณฝนได้ถึง 53 มิลลิเมตร ภายในเวลาเพียง 1 ชั่วโมง ทำให้น้ำในแม่น้ำมินามิโตเนเดตสึ เอ่อล้นตลิ่งเข้าท่วมพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง ระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้ประชาชนกว่า 7,000 คน ต้องอพยพไปอยู่ในที่ปลอดภัย คนงานกู้ภัยต้องนำเรือยางมาช่วยอพยพชาวบ้านกว่า 3,600 ครอบครัว ขณะที่ถนนหลายสาย และเส้นทางรถไฟต้องจมอยู่ใต้น้ำ ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อการจราจรในพื้นที่

 

จ.ลำปาง เร่งระบายน้ำอ่างแม่พริกรับพายุ 2 ลูก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 กันยายน 2555 14:57 น.

สถานการณ์อ่างเก็บน้ำแม่พริก หรืออ่างเก็บน้ำผาวิ่งชู้ จังหวัดลำปาง บ้านสันขี้เหล็ก ม.10 ต.แม่พริก อ.แม่พริก จ.ลำปาง เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดกลาง ในโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ขนาดความจุ 36.48 ล้านลูกบาศก์เมตร ซึ่งเจ้าหน้าที่ชลประทานที่ 2 จังหวัดลำปาง เร่งระบายน้ำออกเตรียมรองรับปริมาณน้ำเหนือ ที่จะไหลมาสมทบ และพายุอีก 2 ลูก จากมรสุมที่พัดผ่านช่วงปลายเดือนกันยายนนี้ ตามที่กรมอุตุวิทยาพยากรณ์ไว้ ทำให้มีฝนตกกระจาย อย่างไรก็ตาม การระบายน้ำครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ประเมินแล้วว่าจะไม่ส่งผลทำให้เกิดน้ำท่วม กับประชาชนในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำ คือตั้งแต่ ต.แม่พริก ไปจนถึง ต.พระบาทวังตวง อ.แม่พริก

 

ระดับแม่น้ำยมสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

วันที่ 12 กันยายน 2555 ที่จังหวัดพิจิตร ระดับแม่น้ำยม ที่ไหลผ่านอำเภอสามง่าม มีระดับน้ำสูงขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากมวลน้ำจากจังหวัดสุโขทัย และพิษณุโลก เริ่มไหลบ่าลงมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับน้ำป่าจากด้านจังหวัดกำแพงเพชร ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยม ไหลบ่ามาสมทบอีกระลอก ทำให้เกิดเอ่อล้นตลิ่งไหลเข้าท่วมติดริมแม่น้ำยม จำนวนกว่า 50 หลังคาเรือน

โดยพื้นที่ในอำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร แม่น้ำยมได้เริ่มเอ่อล้นตลิ่งในบางพื้นที่ลุ่มต่ำ ท่วมพื้นที่การเกษตรเป็นบริเวณกว้างรวมทั้งบ้านเรือนประชาชน ในพื้นที่ลุ่มต่ำ โดยน้ำได้เอ่อเข้าท่วมบ้านเรือนประชาชนในพื้นที่ลุ่มติดริมแม่น้ำยมในเขตพื้นที่หมู่ที่ 3 หมู่ที่ 11 และหมู่ที่ 12 ของตำบลรังนก อำเภอสามง่าม จังหวัดพิจิตร โดยน้ำได้เข้าท่วมใต้ถุนบ้านที่ยกสูง จำนวนกว่า 50 หลังคาเรือน ระดับน้ำท่วมสูงกว่า 1 เมตร ประชาชนต้องเก็บของมีค่าโดยเฉพาะเครื่องจักรกลการเกษตร อุปกรณ์ที่เป็นไม้ ไว้บนที่สูง เพื่อป้องกันความเสียหาย ซึ่งชาวบ้านดังกล่าวต่างมีความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำท่วมเป็นอย่างดี ตามคำเตือนของทางราชการที่ประกาศแจ้งเตือนก่อนหน้านี้ โดยชาวบ้านได้ขนสิ่งของและสัตว์เลี้ยงไปไว้ในที่ปลอดภัย พร้อมกับนำเรือมาพายเข้าออกมาสัญจรเข้าออกหมู่บ้าน

สำหรับแม่น้ำยมที่ไหลผ่านพื้นที่จังหวัดพิจิตร ไหลผ่านพื้นที่ 4 อำเภอ คือ อำเภอสามง่าม โพธิ์ประทับช้าง บึงนาราง และอำเภอโพทะเล ขณะนี้มีระดับน้ำเพิ่มขึ้น สร้างความกังวลให้กับประชาชนเนื่องจากเกรงว่าน้ำก้อนใหญ่จากจังหวัดแพร่ และสุโขทัย ที่จะไหลผ่านอำเภอบางระกำ จังหวัดพิษณุโลก จะไหลเข้าสู่พื้นที่ทำให้ระดับน้ำท่วมสูงขึ้นกว่านี้