<VSN><<<มาใหม่ สายเขาอ้อ อ.ชุม,อ.ปาล,อ.คง, สรุปรายการหน้า๑๐๓>>><NSV>

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย momotaro67, 25 ธันวาคม 2010.

  1. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]

    ประวัติย่อ พระเทพวิสุทธิมงคล (หลวงปู่ศรี มหาวีโร)
    วัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง) อ.ศรีสมเด็จ จ.ร้อยเอ็ด


    พระภิกษุสงฆ์ ในประเทศไทย สายอรัญวาสี หรือที่เรียกว่า "พระป่า พระธุดงคกรรมฐาน" นับตั้งแต่ ปีพุทธศักราช 2458 เป็นต้นมา ได้รับการอบรม วางหลักปักฐาน การเผยแผ่ ศาสนธรรม จากพระบุพพาจารย์ใหญ่ สายวิปัสสนากรรมฐาน คือท่าน พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

    ด้วยปฏิปทาบารมีธรรม ของพระเดชพระคุณหลวงปู่มั่น ทำให้บังเกิดกองทัพธรรมพระกรรมฐาน นำธงชัย แห่งพระพุทธศาสนา กระจายเผยแผ่อมตะธรรมไปทั่วสารทิศ และในบรรดาพระกรรมฐาน ลูกศิษย์ของท่าน ได้มีสมณะผู้ทรงศีลาจารวัตร เป็นที่เลื่อมใสศรัทธา ของชาวพุทธกว้างไกล และนำพาซึ่งประโยชน์ แห่งการพระศาสนาอย่าง สัมฤทธิ์ผล ปรากฏชัด ณ ปัจจุบันกาล พระคุณเจ้ารูปนี้คือ

    พระราชสังวรอุดม ( หลวงปู่ศรี มหาวีโร ) วัดประชาคมวนาราม (ป่ากุง) อำเภอศรีสมเด็จ จังหวัดร้อยเอ็ด

    นามเดิมของท่านชื่อ ศรี เกิดในสกุลปักกะสีนัง เมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ.2460 ตรงกับวันศุกร์ เดือนหก ปีมะเมีย ที่บ้านขามป้อม อำเภอวาปีปทุม จังหวัดมหาสารคาม โยมบิดาชื่อนายอ่อนสี โยมมารดาชื่อนางทุม ปักกะสี

    ในช่วงปฐมวัย ท่านเข้าศึกษา ที่โรงเรียนประชาบาล วัดบ้านขามป้อม ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำท้องถิ่น จบชั้นประถมปีที่ 6 และได้ขวนขวาย เข้ามาเรียนต่อ ที่โรงเรียนสารคามพิทยาคม ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำจังหวัด จนจบชั้นมัธยมปีที่ 3 เมื่อปี พ.ศ.2480

    การศึกษาของท่าน ในยุคสมัยนั้น นับว่าอยู่ในขั้นดี ท่านได้เข้ารับราชการ เป็นครูในปีรุ่งขึ้น หลังจากสำเร็จการศึกษา ชีวิตการเป็นครู ท่านเริ่มที่ โรงเรียนวัดบ้านชาด ตำบลหัวเรือ มหาสารคาม และต่อมาที่โรงเรียน บ้านสวนจิก ตำบลปอภาร ร้อยเอ็ด

    ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ในพระพุทธศาสนา ท่านได้บรรพชาอุปสมบทเมื่อปี พ.ศ.2488 ณ พัทธสีมาวัดราษฎร์รังสรรค์ บ้านป่ายาง อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด โดยมีพระโพธิญาณมุนี ( ดำ โพธิญาโณ) เจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด (ธรรมยุต) เป็นอุปปัชฌาย์ ได้รับฉายา ทางพระพุทธศาสนา เป็นมคธว่า "มหาวีโร"

    พรรษาแรก ในชีวิตสมณะผู้ละวาง ท่านได้พำนักศึกษาปฏิบัติธรรม อยู่กับท่านพระอาจารย์คูณ อุตตโม วัดประชาบำรุง มหาสารคาม

    ปีต่อมา พ.ศ.2489 ท่านได้จาริกไปจำพรรษ ที่วัดป่าแสนสำราญ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี มีโอกาสศึกษา ปฏิบัติธรรม เจริญวิปัสสนา กับท่านพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม ซึ่งเป็นศิษย์สำคัญของท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต

    เมื่อออกพรรษาแล้วพระศรี มหาวีโรในครั้งนั้นได้ออกจาริกแสวงธรรม ไปตามวนาป่าเขาราวไพร อาทิ ภูเก้า ภูผักกูด บ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดนครพนม ซึ่งที่ภูผักกูด หรือภูผากูดแห่งนี้ เป็นสัปปายะสถาน ที่พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เคยธุดงค์จาริก มาพำนัก เป็นแหล่งเจริญธรรม ที่ผู้กล้าแห่งกองทัพธรรม ได้มาประพฤติธรรม บำเพ็ญเพียร ด้วยเป็นสถานที่อยู่ไกลจากชุมชน ขาดแคลนขัดสน ในปัจจัยสี่ แต่มีภูมิทัศน์ ที่เหมาะแก่การพัฒนา ภูมิธรรมสัมมาปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง

    ปี พ.ศ. 2490 หลวงปู่ศรี มหาวีโร ธุดงค์ไปพำนักที่ถ้ำพระเวส ครั้นเข้าพรรษา ได้ไปจำพรรษา ที่วัดบ้านนาแก อำเภอนาแก จังหวัดนครพนม ซึ่งในยุคสมัยนั้น เป็นดินแดนที่ครุกรุ่นไปด้วยสถานะการณ์ แห่งความขัดแย้ง ด้านอุดมการณ์ทางการเมือง และสังคม แต่ท่านก็อยู่ด้วยความราบรื่น ปราศจากอันตราย จนกระทั่ง ออกพรรษา จึงจาริกไปยังจังหวัดสกลนคร และปี พ.ษ. 2491 เข้าจำพรรษา ที่วัดโนนนิเวสน์ อำเภอเมือง จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นการเดินตามทางรอยธรรม พ่อแม่ครูอาจารย์ คือหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งเคยมาพำนักที่วัดแห่งนี้มาแต่ครั้งอดีต

    ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ในปฎิปทาบารมีธรรม ของท่าน พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต พระบุพพาจารย์ใหญ่ ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ซึ่งขณะนั้น อยู่ในช่วงปัจฉิมวัย พำนักอยู่ที่สำนักป่า บ้านหนองผือ ตำบลนาใน อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร

    พระอาจารย์ศรี มหาวีโร จึงเข้าไปกราบนมัสการ พระเดชพระคุณหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ที่สำนักป่าบ้านหนองผือ ขออนุญาต พำนักจำพรรษา และศึกษาธรรมกับท่าน ซึ่งหลวงปู่มั่น ก็เมตตาอนุญาติ นับเป็นโอกาส อันเป็นมหามงคล ในชีวิตบรรพชิต ที่มีโอกาสศึกษาธรรม และอุปปัฎฐาก พระบุพพาจารย์ใหญ่ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต รวมทั้งมีโอกาสเจริญธรรม กับสหธรรมิกร่วมสำนัก ร่วมครูอาจารย์เดียวกัน

    เมื่อหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต อาพาธพระอาจารย์ศรี ก็มีโอกาสถวายการปฏิบัติ เมื่อท่านพระอาจารย์ใหญ่ถึงแก่มรณภาพ ก็นำความวิโยคอาดูร มาสู่ผู้เป็นศิษย์ ผู้เคารพศรัทธาครูอาจารย์ อย่างสุดจิต สุดใจ พระอาจารย์ศรี มหาวีโร ได้ถวายสักการะ สรีระ หลวงปู่มั่น เป็นครั้งสุดท้าย ในงานถวายเพลิง ฌาปนกิจ ที่วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร

    ต่อมาปี พ.ศ.2493 พระอาจารย์ศรี มหาวีโร ไปจำพรรษาที่วัดป่าบ้านหนอง ผักตบ อำเภอวาริชภูมิ จังหวัดอุดรธานี และปีต่อมา ได้มีโอกาส ไปพำนัก จำพรรษาที่ วัดบ้านห้วยทราย อำเภอคำชะอี จังหวัดมุกดาหาร ได้มีโอกาส ศึกษาธรรม กับท่านอาจารย์พระมหาบัว ญาณสัมปันโน ซึ่งเป็นประธานสงฆ์ในสำนักแห่งนี้

    ปี พ.ศ.2495 ได้ร่วมสร้างวัดป่าหนองแซง โดยบัญชาของท่านเจ้าคุณธรรมเจดีย์ (จูม พันธุโล) วัดโพธิสมภรณ์ อุดรธานี

    ท่านพระอาจารย์ศรี ได้ออกจาริกห่างถิ่นมหาสารคาม และร้อยเอ็ดไปนานหลายปี จนกระทั้งปี พ.ศ.2496 ท่านจาริกมายังวัดป่ากุง ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ สร้างมาประมาณ 170 ปี ท่านเป็นผู้นำศรัทธา ในการพัฒนาวัดป่ากุง ให้เรืองรุ่งโดยลำดับ จนกระทั้งเป็น "วัดประชาคมวนาราม" ที่งามสง่า เป็นศาสนสถาน อันไพศาล สำหรับชาวพุทธ ผู้ศรัทธาในธรรมะ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า และดำเนินตามธรรมวิถีของพ่อแม่ครูอาจารย์

    หลวงปู่ศรี มหาวีโร จำพรรษาที่วัดประชาคมวนาราม หรือวัดป่ากุง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2507 เป็นต้นมา ท่านเป็นผู้นำ เป็นธุระในกิจการงาน พระศาสนา อย่างจริงจังและ มั่นคง สร้างคุณูปการและสาธารณประโยชน์ เป็นจำนวนมาก

    ที่เป็นงานยิ่งใหญ่อลังการคือการก่อสร้าง "พระมหาเจดีย์ชัยมงคล" ณ วัดผาน้ำทิพย์ อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด

    พระมหาเจดีย์แห่งนี้ เป็นผลานิสงส์แห่งแรงศรัทธา ของชาวพุทธ ต่อพระบวรพุทธศาสนา ต่อพระสุปฏิปันโน ต่อบารมีธรรม ของพระราชสังวรอุดม เจ้าคุณหลวงปู่ศรี มหาวีโร ที่มุ่งเพื่อประโยชน์ ต่อสถาบันชาติ ศาสน์ กษัตริย์ อันเป็นหลักชัยหลักใจของชาวไทย หมายจรรโลงพระพุทธศาสนา สืบสานศิลปวัฒนธรรม งานพุทธศิลปให้สถิตสถาพรสืบไป

    รูปแบบอันวิจิตร เป็นศิลปผสมความยิ่งใหญ่ ของพระปฐมเจดีย์ กับความ โอฬารของพระธาตุพนม กลมกลืนเป็นอันหนึ่งอันเดียว ประดิษฐานตระหง่าน ตระการตา ด้วยศิลปกรรม อันล้ำเลิศ ด้วยฝีมือลูกหลานไทย เป็นนฤมิตกรรมแห่งยุคสมัย ที่จะเป็นปูชนียสถานสำคัญ ของไทย และของโลกวัฒนา สืบต่อไปภายภาคหน้า

    ในยามเช้าผู้คนจากบ้านไกลเรือนไกล จากหลายถิ่น จะมารวมกัน ที่หน้าวัดประชาคมวนาราม เพื่อเตรียมถวายภัตตาหาร บิณฑบาตรพระคุณเจ้า เป็นโอกาสที่พุทธศาสนิกชน จะได้กราบนมัสการหลวงปู่ศรี อย่างใกล้ชิด บางรายบางท่าน ก็มาขอพึ่งบารมีธรรมของท่าน ซึ่งท่านก็เมตตาเสมอตลอดมา

    การบิณฑบาตร เป็นธุดงควัตรที่พระกรรมฐานประพฤติปฏิบัติ หลวงปู่ศรีจะตื่นแต่ดึก ออกเดินไปรอบ ๆ วัด จนถึงเวลาบิณฑบาตร ท่านเป็นผู้มีสุขภาพพลานามัยแข็งแรงแม้จะมีอายุกว่า 80 ปีแล้ว

    หลังจากบิณฑบาตรแล้ว สาธุชนจะร่วมกันถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุสามเณร หลวงปู่ศรี มหาวีโร ท่านเป็นพระวิปัสนาจารย์กรรมฐาน ที่มีความสามารถอย่างสูงในการแจกแจงแสดงธรรม

    หลวงปู่ศรี มหาวีโร เป็นพระเถราจารย์ ผู้เปี่ยมด้วยพรหมวิหารธรรม เป็นเนื้อนาบุญ อันยิ่งใหญ่ ของพระพุทธศาสนา เป็นพระป่า พระกรรมฐาน ที่ศิษย์เคารพ ศรัทธา อย่างมหาศาล เป็นสมณะผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ อย่างสิ้นสงสัย


    [​IMG]

     
  2. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]
    หลวงตามหาบัว กล่าวยกย่องหลวงปู่ศรี

    "...ท่านอาจารย์ศรีมีลูกศิย์ลูกหามาก พระเจ้าพระสงฆ์ที่เป็นสาขาของท่านก็มีอยู่ทั่วไป
    นอกจากจังหวัดร้อยเอ็ดแล้ว ยังมีทั่วไปในประเทศไทย ท่านนับว่า เป็นผู้มีบุญวาสนากว้าขวางองค์หนึ่งที่หาได้ยาก เพราะคำว่าวาสนานี้ มิได้เกิดขึ้นอย่างลอยๆ หรือเสกสรรปั้นยอกันเกิดขึ้นได้ แต่ต้องเกิดมาตามหลักธรรมชาติ แห่งบุญญาธิสมภารของท่านผู้สร้างบุญบารมีมา เมื่อสร้างมากขึ้นๆ ก้ยิ่งเพิ่มบารมีขึ้นเต็มหัวใจ เต็มนิสัยวาสนา ไปสถานที่ใดก็มีคนเคารพนับถือ จากนั้นก็มี เทวบุตร เทวดา อินทรื พรหม กราบไหว้บูชา เป็นขวัยตาขวัญใจ ไปได้ทุกแห่งทุกหน เพราะอำนาจแห่งเมตตาธรรมที่ท่านปฏิบัติมา บรรจุอยู่ในหัวใจเต็มไปหมด อำนาจแห่งเมตตาธรรมนี้เอง ทำความร่มเย็นให้แก่โลกที้งสาม คือ กามโลก รูปโลก อรูปโลก หรือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ ทั้ง ๓ นี้ อยู่ใต้ร่มเงาแห่งเมตตาธรรมทั้งนั้น"
     
  3. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]

    ภาพต้นแบบ ทีนำมาจัดสร้างรูปหล่อฐานภูเขา ที่แสนหายากพบที่ไหนเก็บไว้ให้ดี ต่อไปหาไม่มีอีกแล้ว!
     
  4. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]


    พระมหาเจดีย์ชัยมงคล ตั้งอยู่ในบริเวณ วัดผาน้ำทิพย์เทพประสิทธิ์วราราม บนยอดภูเขาเขียว แนวเทือกเขาภูพาน อำเภอหนองพอก ใกล้กันมีหน้าผาสูงชันซึ่งมีน้ำไหลตลอดปี ชาวบ้านเรียกว่า ผาน้ำย้อย

    พระ มหาเจดีย์ชัยมงคล ได้ รับการออกแบบให้เป็นศิลปกรรมร่วมสมัยระหว่างภาคกลาง และภาคอีสาน เป็นการผสมผสานระหว่างพระปฐมเจดีย์ และพระธาตุพนม ออกแบบโดยกรมศิลปากร ตัวเจดีย์เป็นสีขาวตกแต่งลวดลาย ตระการตาด้วย สีทองเหลืองอร่าม รายล้อมด้วยเจดีย์องค์เล็กทั้ง 8 ทิศ ส่วนปลายยอดฉัตรทอง 9 ชั้น ใช้ทองคำหนัก 4,750 บาท หรือประมาณ 60 กิโลกรัม เป็นพระเจดีย์ที่ใหญ่องค์หนึ่งของประเทศไทย มีความกว้าง 101 เมตร ความยาว 101 เมตร ความสูง 101 เมตร สร้างในเนื้อที่ 101 ไร่ ใช้งบประมาณก่อสร้างจนถึงปัจจุบันกว่า 3,000 ล้านบาท ดำเนินการสร้างโดย “พระอาจารย์ศรี มหาวิโร” ซึ่งเป็นศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ซึ่งมีทั้งหมด 7 ชั้น สามารถขึ้นไปได้ถึงแค่ชั้น 5 ส่วนชั้นที่ 6 และชั้นที่ 7 เป็นองค์เจดีย์รูประฆัง และยอดฉัตรทอง ซึ่งแต่ละชั้นมีรายละเอียดดังนี้

    ชั้น ที่ 1 เป็นห้องโถงกว้างใหญ่ โอ่อ่า ผนังจารึกนามทานาธิบดีต่าง ๆ ใช้เป็นห้องประชุม บำเพ็ญบุญ มีรูปปั้นหลวงปู่ศรี มหาวีโร ผู้ก่อตั้ง

    ชั้น ที่ 2 เป็นห้องโถงโอ่อ่าเช่นกัน ผนังติดตั้งรูปพระพุทธประวัติ ลวดลาย ไทยวิจิตรพิสดาร ใช้เป็นห้องประชุมสงฆ์ขนาดใหญ่ รองรับพระภิกษุสงฆ์ได้ 2,000-3,000 รูป

    ชั้นที่ 3 เป็นที่ประดิษฐานรูปพระณาจารย์ ปราชญ์ อีสานในอดีต เป็นรูปเหมือนสลักหินอ่อน และหุ่นรูปเหมือนพระสุปฏิปัน โน 101 องค์

    ชั้น ที่ 4 จัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงวัดวาอาราม สถานปฏิบัติสม ถะวิปัสสนา กรรมฐานที่หลวงปู่ศรี เคยบำเพ็ญธรรมม ด้านนอกจัดเป็นที่สามารถชมทัศนียภาพได้รอบทิศ

    ชั้นที่ 5 บันไดเวียน 119 ชั้น เป็นห้องโถงรูประฆัง 8 เหลี่ยมบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ

    ชั้นที่ 6 และ 7 เป็นองค์เจดีย์รูประฆังและยอดฉัตร ไม่สามารถขึ้นไปได้


    [​IMG]

    ปฐมเหตุการสร้างพระมหาเจดีย์ชัยมงคล
    ในวันรวมกฐินสามัคคีที่ วัดประชาคมวนาราม(วัดป่ากุง) ตรงกับวันขึ้น ๑๔ ค่ำเดือน ๑๒ ปีฉลู ตรงกับวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๒๘
    หลวง ปู่ศรี มหาวีโร ได้ปรารภท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์และคณะศิษยานุศิษย์ว่า ท่านได้รับพระบรมสารีริกธาตุ มาเป็นกรณีพิเศษและท่านได้พิจารณาเห็นว่า ครูบาอาจารย์สายอีสานผู้มีความรู้ระดับนักปราชญ์ และปฏิบัติชอบระดับสัมมาปฏิบัติ ที่ได้ทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ และพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นที่ภาคอีสานมีเป็นจำนวนมาก น่าจะสร้างถาวรวัตถุสำหรับบรรจุ พระบรมสารีริกธาตุ อัฐิธาตุ รูปเหมือนของครูบาอาจารย์เหล่านั้น เพื่อเป็นศูนย์กลาง และแหล่งความรู้แก่พระภิกษุสงฆ์ และพุทธศาสนิกชนผู้มาศึกษาปฏิบัติบำเพ็ญสมถวิปัสสนากรรมฐาน ที่มาจากทิศต่างๆให้ได้รับความสะดวกที่จะศึกษาหาความรู้ และจัดเป็นสถานที่สักการบูชา บำเพ็ญบุญกุศลของพุทธศาสนิกชนทั่วไป

    ต่อ มาได้มีการประชุมพระสังฆาธิการภาค ๘-๙-๑๐-๑๑ (ธรรมยุต) โดยมีสมเด็จพระมหามุนีวงค์ (สนั่น จันทปชฺโชโต) เป็นองค์ประธาน หลวงปู่ศรี มหาวีโร ได้นำเรื่องที่ได้รับพระบรสารีริกธาตุ เข้าปรึกษาหารือในที่ประชุม ที่ประชุมได้มีมติให้หลวงปู่ศรี มหาวีโรเป็นผู้นำในการก่อสร้าง และได้ลงความเห็นร่วมกันว่า ควรจะก่อสร้างเจดีย์ที่ผาน้ำย้อย บนภูเขาเขียว ในเขตอำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด ที่ประชุมมีเหตุผลร่วมกันว่า เมื่อมีการก่อสร้างเจดีย์ขึ้น หมู่คณะทั้งหมดในภาคอีสาน ๔ ภาค เจ้าคณะภาค รองเจ้าคณะภาค และเจ้าอาวาสทุกวัดจะได้ใช้ประโยชน์จากสถานที่แห่งนี้ร่วมกัน ซึ่งมีความเห็นพร้อมให้เอาเจดีย์ที่ผาน้ำย้อยนี้เป็นศูนย์กลางพุทธศาสนาใน ภาคอีสาน

    เจดีย์นี้ก็เกิดขึ้นด้วยการลงมติของหมู่คณะสงฆ์ทั้งหมดใน ภาคอีสาน (หลวงปู่เองเคยปรารภไว้ว่า "คนคงไม่เข้าใจกันคงนึกว่าทางวัดสร้างเองแต่เรานั้นสร้างในนามของหมู่คณะนะ ไม่ทำเฉพาะในด้านพระพุทธศาสนาก็ทั่วกันไปหมด ใครได้สร้างประโยชน์ส่วนใหญ่ส่วนรวม จะเป็นบันไดหรือหนทางนำไปสู่ความสุขความเจริญ ผลของการกระทำทั้งหลายนี้มันจะกลับมาสู่ตัวเราทั้งนั้น ไม่ได้หนีไปทางอื่น ทำให้คนอื่นจริงอยู่ แต่มันจะกลับมาหาเรา การกระทำทุกอย่างก็เป็นผลประโยชน์แก่ตัวของเราเองนั่นแหละ ท่านไปอยู่ให้เกิดบุญกุศลเฉยๆ ฉะนั้นการกระทำเหล่านี้จะเป็นบันไดที่จะเดินไปสู่ความสุขชั้นสูง)

    [​IMG]
    สมเด็จพระบรมราชินีนาถ และ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช มกุฏราชกุมาร
    เสด็จพระราชดำเนินไป พระมหาเจดีย์ชัยมงคล
    และ กราบนมัสการพระเทพวิสุทธิมงคล (หลวงปู่ศรี มหาวีโร)​

    ท่าน เจ้าประคุณสมเด็จพระมหามุณีวงศ์(สนั่น จันทปชฺโชโต)จึงนำความขึ้นกราบทูล สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายกๆ ได้มีพระบัญชาให้หลวงปู่ศรี มหาวีโร วัดประชาคมวนาราม (วัดป่ากุง) เป็นผู้นำในการหาสถานที่และการก่อสร้าง ในวันที่ ๑๙ ธันวาคม ๒๕๓๐ ท่านได้ประชุมคณะกรรมการก่อสร้างพระมหาเจดีย์ชัยมงคล โดยท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช ทรงเป็นประธานฝ่ายบรรพชิต และพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ ผู้บัญชาการทหารบกและรักษาการผู้บัญชาการทหารสูงสุด เป็นประธานฝ่ายฆราวาสในการก่อสร้างเจดีย์และให้เรียกเจดีย์นี้ว่า"พระมหาเจดีย์ชัยมงคล" และได้มอบให้กรมศิลปากรเป็นผู้ดำเนินการออกแบบ กรมศิลปากรก็ได้ออกแบบมาให้ในลักษณะของศิลปผสมผสานของศิลปอีสานและศิลปไทย ของภาคกลาง และได้เพิ่มเติมตามแนวคิดของ ดร.ภูเทพ สิทธิถาวร ซึ่งขณะนั้นยังบวชอยู่ว่า เจดีย์นี้ควรมีลักษณะภายในโล่งเพื่อจะได้ใช้ประโยชน์ภายในองค์เจดียืได้ ดังที่ได้เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้

    สำหรับ ดร.ภูเทพ สิทธิถาวร ท่านนี้ คุณย่าจินตนา ไชยกูล ผู้เป็นมารดาซึ่งต่อมาได้เป็นมหาศรัทธานำพุทธศาสนิกชนทุกหมู่เหล่าร่วมกัน ถวายเงินสร้างองค์พระมหาเจดีย์ เป็นผู้นำมาบวชกับหลวงปู่ศรี มหาวีโร และดร. ภูเทพฯ ก็ได้เทศนาโปรดมารดา จนคุณย่าจินตนา ไชยกูล ได้มองเห็นธรรม และได้ถวายปัจจัยกับหลวงปู่ศรี มหาวีโร 200,000 บาท เพื่อเป็นการหาทุนในการก่อสร้างเบื้องต้น วัดต่างๆในสายธรรมยุตทั่วทั้งภาคอีสานจึงจัดให้มีการทอดผ้าป่าพระมหาเจดีย์ ขึ้น โดยเป็นการร่วมใจของวัด และพุทธศาสนิกชนทั่วภาคอีสาน ๑๙ จังหวัด โดยจัดเป็นกองผ้าป่า ๘๔,๐๐๐ กองๆละ ๑,๐๐๐ บาท ได้ปัจจัยรวมทั้งสิ้น ๘๔ ล้านบาท เป็นทุนในการเริ่มต้นก่อสร้าง และได้จัดพิธีทอดผ้าป่าเป็นประเพณีตลอดมาทุกๆปี

    พระ มหาเจดีย์ชัยมงคล ได้เริ่มดำเนินการก่อสร้าง โดยทำพิธีวางศิลาฤกษ์และลงเสาเอกในวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๓๑ พระมหาเจดีย์ชัยมงคลเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ มีความกว้าง ๑๐๑ เมตรยาว ๑๐๑ เมตร ความสูง ๑๐๙ เมตร สร้างในบริเวณเทือกเขาเขียวซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ ๑๒๔,๐๐๐ ไร่ โดยมีทางขึ้นอยู่ที่บ้านท่าสะอาด ตำบลผาน้ำย้อย อำเภอหนองพอก จังหวัดร้อยเอ็ด

    เฉพาะวัดเจดีย์ชัยมงคล มีเนื้อที่ ๑๐๑ ไร่ แวดล้อมด้วยธรรมชาติที่สวยงาม บนหลังเขาซึ่งเป็นเทือกเขาเขียวมีสภาพเป็นป่าดงดิบ เต็มไปด้วยป่าไม้นานาพันธุ์ รอบภูเขามีลักษณะเป็นหน้าผาสูงชันคล้ายกำแพงธรรมชาติโอบล้อมไว้ วัดเจดีย์ชัยมงคล มีกำแพงล้อมวัดยาว ๓,๕๐๐ เมตร ซึ่งสมควรเรียกว่ากำแพงแห่งศรัทธา เพราะเป็นกำแพงที่รวมศรัทธาของพุทธศาสนิกชนแทบจะทุกหมู่เหล่า มาร่วมแรงและร่วมใจกันก่อสร้างถวายบูชาคุณหลวงปู่ศรี มหาวีโร โดยมีพระครูปลัดทองอินทร์ กตปุญฺโญ (หลวงพ่ออินทร์) เป็นผู้นำในการดำเนินการก่อสร้าง ซึ่งเริ่มลงมือก่อสร้างในปี พ.ศ.๒๕๔๐ และมาแล้วเสร็จในปีพ.ศ.๒๕๔๖ ลักษณะของกำแพงเป็นกำแพงซึ่งก่อด้วยอิฐมวลผสม ซึ่งใช้หินลูกรังบดผสมกับปูนซีเมนต์อัดเป็นก้อนอิฐ โดยใช้แรงงานของและความคิดของพระภิกษุสงฆ์เป็นผู้ผลิตก้อนอิฐทุกๆก้อน และพุทธศาสนิกชนซึ่งมีความศรัทธาในองค์หลวงปู่ศรี มหาวีโร เป็นผู้มีส่วนร่วมในการผลิตและร่วมในการก่อสร้างโดยไม่คิดค่าตอบแทนเลย เป็นพลังศรัทธาของมวลชนทุกหมู่เหล่าอย่างแท้จริง

    เมื่อดำเนินการก่อสร้างโครงสร้างของอาคารภายนอก และ ภายในองค์พระมหาเจดีย์แล้วเสร็จ ก็ได้ทำพิธียกยอดฉัตรทองคำ ซึ่งมีน้ำหนักทองคำรวมทั้งสิ้น ๔,๗๕๐ บาท ขึ้นประดิษฐานไว้บนยอดของพระมหาเจดีย์ ต่อมาเมื่อทำการตกแต่งภายในของพระมหาเจดีย์ชั้นที่ ๖ แล้วเสร็จ ก็ได้ทำพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ ขึ้นประดิษฐานไว้ ณ ชั้นที่ ๖ ซึ่งพระบรมสารีริกธาตุที่ประดิษฐานอยู่ ณ ชั้น ๖ นั้น มีถึง ๓ องค์ด้วยกัน
    องค์ที่ ๑ เป็นองค์ที่ พระเทพวิสุทธิมงคล (หลวงปู่ศรี มหาวีโร) ได้รับมาเป็นกรณีย์พิเศษ
    องค์ ที่ ๒ สมเด็จพระสังฆราชของประเทศศรีลังกาได้มอบให้ โดยพระเทพวิสุทธิมงคล (หลวงปู่ศรี มหาวีโร) ได้เดินทางไปอัญเชิญมาจากประเทศศรีลังกาด้วยตัวของท่านเอง
    องค์ที่ ๓ สมเด็จพระสังฆราชของประเทศศรีลังกาได้อัญเชิญมามอบให้ด้วยพระองค์เอง ในวันที่มีการทำพิธีสมโภชพระบรมสารีริกธาตุที่วัดถ้ำผาน้ำทิพย์ (วัดผาน้ำย้อย) และอัญเชิญขึ้นประดิษฐานไว้ ณ ชั้นที่ ๖ ด้วยพระองค์เองด้วย

    นอกจากพระบรมสารีริกธาตุทั้ง ๓ องค์แล้ว ยังได้อัญเชิญพระอัฐิธาตุของครูบาอาจารย์ซึ่งสำเร็จเป็นพระอรหันต์ กระดูกกลายเป็นพระธาตุเป็นแก้วใสสีต่างๆ ประดิษฐานไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้เคารพกราบไหว้ เพื่อเป็นศิริมงคลกับชีวิตสืบต่อไปอีกนานเท่านาน องค์พระมหาเจดีย์ชัยมงคลเป็นเจดีย์องค์ใหญ่รายล้อมด้วยเจดีย์เล็กทั้ง ๘ ทิศ เรียงรายด้วยวิหารคดรอบองต์พระมหาเจดีย์ไว้อีกชั้นหนึ่ง รูปทรงพระมหาเจดีย์เป็นรูปทรง ๘ เหลี่ยมแบ่งเป็น ๖ ชั้นตามลำดับ ดังนี้

    ชั้นที่ ๑ เป็นชั้นเอนกประสงค์ มีรูปเหมือนองค์หลวงปู่ยืนเด่นเป็นประธานอยู่กลาง เป็นห้องโถง กว้างขวาง โอ่อ่า สำหรับการประชุมต่างๆ รอบฝาผนังด้านใน จารึกนามผู้บริจาคสมทบทุนก่อสร้าง

    ชั้นที่ ๒ จัดเป็นห้องประชุมสัมมนาขนาดใหญ่ สำหรับประชุมปฏิบัติธรรมพระสังฆาธิการ หรือกาประชุมสัมมนาทั่วไป

    ชั้นที่ ๓ เป็นอุโบสถสังฆกรรม ประชุมสงฆ์ เป็นที่ประดิษฐานพระประธาน พระคณาจารย์ ปราชญ์อีสานในอดีต ซึ่งเป็นรูปเหมือนสลักด้วยหินทราย ๑๐๑ องค์

    ชั้นที่ ๔ เป็นสถานที่ชมวิวรอบพระมหาเจดีย์ ด้านบนกรอบซุ้มหน้าต่างมีพระพุทธรูป ๔ ปาง ยืนประจำทิศต่างๆ

    ชั้นที่ ๕ เป็นพิพิธภัณฑ์สถาน ไว้เก็บอัฏฐะบริขารของหลวงปู่ ซึ่งขณะนี้กำลังรวบรวมอยู่

    ชั้น ๖ อยู่เหนือสุดบันได ๑๑๙ ขั้น เป็นห้องโถงรูประฆังทองคำ ๘ เหลี่ยม ๘ทิศ ตรงกลางห้องเป็นเจดีย์เล็กเป็นที่ประดิษฐานองค์พระบรมสารีริกธาตุองค์มิ่งมหามงคลของเจดีย์

    [​IMG]

    ใน ปี พ.ศ. ๒๕๔๘ ทางพระมหาเจดีย์ชัยมงคลได้รับอนุญาตให้ก่อตั้งวัด ลงประกาศวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๔๘ และได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมาเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๔๙ ณ ปี พ.ศ. ๒๕๕๐

    การ ก่อสร้างพระมหาเจดีย์ลุล่วงไปกว่า ๘๐ เปอร์เซ็นต์แล้ว และได้เปิดให้สาธารณชนเข้ามาสักการะบูชา พระบรมสารีริกธาตุ ได้ตั้งแต่ปี ๒๕๓๕ เป็นต้นมา การก่อสร้างที่ผ่านๆมาได้ใช้งบประมาณไปหลายล้านบาท โดยได้รับมาจากการบริจาคตามจิตศรัทธาของพุทธศาสนิกชน ทั้งชาวไทย และชาวต่างชาติจากหลายประเทศ

    ปัจจุบันสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ได้มีคำสั่งแต่งตั้ง พระครูปลัดทองอินทร์ กตปุญฺโญ (หลวงพ่ออินทร์) เป็นเจ้าอาวาส ซึ่งขณะนี้ท่านเป็นผู้นำคณะศิษยานุศิษย์ในการก่อสร้างพระมหาเจดีย์แทนองค์ หลวงปู่ให้แล้วเสร็จเพื่อเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา อาจาริยบูชา ตามเจตนารมณ์ขององค์หลวงปู่ที่พาดำเนินมา เวลานี้หลวงปู่เองยังอาพาธอยู่ด้วยโรคชรา โดยคณะแพทย์ได้ถวายการรักษาธาตุขันธ์ท่านอยู่ในโรงพยาบาลศรีนครินทร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น

    การเดินทาง
    วัดเจดีย์ชัยมงคล (พระมหาเจดีย์ชัยมงคล) ห่างจากตัวจังหวัดร้อยเอ็ด 62 ก.ม.ไปทางอำเภอโพนทอง และ อำเภอหนองพอก ต่อไปยังบ้านท่าสะอาด ตำบลผาน้ำย้อย และขึ้นเขาเขียวไปอีก 5 กม. ก็จะถึงวัดเจดีย์ชัยมงคล สถานที่ตั้งของพระมหาเจดีย์ชัยมงคล
     
  5. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
  6. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
  7. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]

    หลวงปู่พรหมมา เขมจาโร วัดสวนหินผานางคอย จ.อุบลราชธานี พระเกจิอาจารย์แห่งแดนอีสาน

    หลวงปู่พรหมมา เขมจาโร เป็นคนบ้านกุษกร ต.กุษกร อ.ตระการพืชผล เกิดเมื่อพ.ศ.2440
    บวชเป็นสามเณรเมื่ออายุ12 ปี จากนั้นได้ศึกษาพระธรรมวินัยและวิชากับสมเด็จลุน ที่เวินชัยนคร จำปาศักดิ์ นานถึง 6 พรรษา หลังจากที่สมเด็จลุนได้มรณภาพลง หลวงปู่พรหมมาก็ได้ร่วมเดินธุดงค์พร้อมกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต
    หลังจากนั้นคณะพระธุดงค์ก็แยกย้ายกันไปหาสถานที่อันสงบเงียบบำเพ็ญภาวนา หาวิเวกกันต่อไป ส่วนหลวงปู่พรหมมาได้จำพรรษาที่ถ้ำแห่งหนึ่งบนยอดภูเขาควายนานถึง 45 พรรษา ต่อมาได้ธุดงค์ข้ามมายังฝั่งไทย
    เมื่อปีพ.ศ.2533 หลวงปู่พรหมมาได้เห็นว่าถ้ำสวนหิน ภูกระเจียว ในวันเดือนหงายจะมีสัตว์ป่านานาชนิดวิ่งกันขวักไขว่ จึงได้พักบำเพ็ญเพียรแต่นั้นมา ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เคยเสด็จฯมานมัสการหลวงปู่พรหมมาถึง 2 ครั้ง โดยก่อนจะมรณภาพหลวงปู่ได้ดูแลชาวบ้านดงนาและใกล้เคียงเพื่อพัฒนาในบางส่วน ให้เรียบร้อยสวยงามโดยเน้นการรักษาป่าสงวนฯหลวงปู่พรหมมา เขมจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำสวนหินแก้ว ( ผานางคอย ) ภูกระเจียว บ้านดงนา อ.ศรีเมืองใหม่ จ.อุบลราชธานี ได้มรณภาพอย่างสงบด้วยโรคหัวใจเมื่อเวลา 22 นาฬิกา 11 นาที 31 วินาที ของวันที่ 23 ส.ค.2545 สิริอายุ105 ปี โดยมรณภาพ ณ วัดธาตุวราราม จ.เลย

    ผมเคยอ่านรายงานการลอง พระจากหนังสือพระเครื่องฉบับหนึ่ง ก็นานพอสมควรละ วิธีลองของเค้าก็ไม่พ้นใช้ปืนหรอกครับ แต่ที่แปลกกว่าคนอื่นก็คือ เค้าลองพระน่ะครับ วิธีการก็คือ นำพระที่จะลองใส่ในกระบอกปืน แล้วยิงขึ้นฟ้า ปรากฏว่ามียิงไม่ออกอยู่ 3 องค์ คือ (เค้าลองซ้ำหลายครั้งนะครับ)
    1. พระหลวงพ่อเงิน รุ่นปืนแตก ที่ท่ รู้สึกว่า จะเป็นรุ่นที่สร้างปี 2528 ครับ
    2. ปรกฤษีหลวงปู่พรหมมา สำนักสงฆ์สวนหินผานางคอย (รูปนี้แหละครับ)
    3. ผมจำไม่ได้ละ (สงสัยว่าจะไม่มี เลยไม่ได้จำซะก็ไม่รู้ )

    เรื่องเกี่ยวกับฤษีที่ท่านสร้างมีเยอะ น่าจะหาอ่านได้ไม่ยากครับ

    ตัวอย่างครับ
    ประสบการณ์ ของพระฤาษีรุ่นนี้ ข่าวหน้า1ไทยรัฐ -ส.จ.ชื่อดังโดนถล่มด้วยอาวุธสงครามระยะเผาขนแต่กระสุนไม่ถูกตัวเลยสักนัด รอดตายปาฏิหารย์ และตำรวจที่ไปช่วยงานที่วัด ลป.แจกฤาษีให้คนละองค์เลยนำไปลองยิงใกล้วัดๆ กระสุนด้าน ยิงไม่ออกครับและบางคนก็มีโชคมีลาภครับ
    ประสบการณ์หายห่วงทั้งเรื่อง เมตตาค้าขาย คงกระพันมหาอุด คมเขี้ยวสัตว์เดียรัจฉาน ไม่ระคายผิว ผู้ห้อยพ่อปู่ฤาษี รุ่นนี้ครับ ชาวบ้านที่หาของป่าเข้าป่ารก หากันครับ ติดต่อไว้เป็นที่ย่ำเกรงของเหล่าสัตว์ป่า และผีป่า ผีสางนางไม้ ตามประสบการณ์ที่ผู้เฒ่าผู้แก่ เล่าให้ฟังครับผม ผมได้จากรังใหญ่ ศิษย์ใกล้ชิด ลป.พรหมมา ครับ คราวหน้าจะนำรูปที่แกถ่ายกับหลวงปู่ สมัยหลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่มาให้ชมครับ ตัวจริง แกมีวัตถุมงคล ลป. หลายรายการจริงๆครับ รุ่นประสบการณ์ ลป.พรหมมา เขมจาโร สำนักวิปัสสนาสวนหินผานางคอย จ.อุบล ลป.พรหมมา เป็นพระเกจิที่มีอิทธิญาณบารมีแก่กล้า เป็นพระลึกลับที่อยู่บนยอดเขาห่างไกลจากผู้คน มุ่งบำเพ็ญจิตภาวนาเป็นสำคัญ ท่านเป็นต้นตำรับสร้างผงว่าน รูปฤาษีที่โด่งดังที่สุดและมีประสบการณ์มากที่สุด ออกมากี่รุ่นก็หมดจากวัด อย่างรวดเร็วครับ ประวัติหลวงปู่พรหมมา เขมจาโร ท่านเป็นคนบ้านกุษกร ต.กุษกร อ.ตระการพืชผล เกิดเมื่อพ.ศ.2440 บวชเป็นสามเณรเมื่ออายุ12ปี จากนั้นได้ศึกษาพระธรรมวินัยและวิชากับสมเด็จลุน ที่เวินชัยนคร จำปาศักดิ์ นานถึง 6 พรรษา หลังจากที่สมเด็จลุนได้มรณภาพลง หลวงปู่พรหมมาก็ได้ร่วมเดินธุดงค์พร้อมกับหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลังจากนั้นคณะพระธุดงค์ก็แยกย้ายกัน ไปหาสถานที่อันสงบเงียบ บำเพ็ญภาวนาหาวิเวกกันต่อไป ส่วนหลวงปู่พรหมมาได้จำพรรษา เรียนวิชากับพระฤาษีที่ถ้ำแห่งหนึ่งบนยอดภูเขาควาย ประเทศลาว นานถึง 45 พรรษา ต่อมาได้ธุดงค์ข้ามมายังฝั่งไทย เมื่อปีพ.ศ.2533 หลวงปู่พรหมมาได้เห็นว่าถ้ำสวนหิน ภูกระเจียวในวันเดือนหงาย จะมีสัตว์ป่านานาชนิดวิ่งกันขวักไขว่ จึงได้พักบำเพ็ญเพียรแต่นั้นมา ซึ่งสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เคยเสด็จฯ มานมัสการหลวงปู่พรหมมาถึง 2 ครั้ง

    ขออนุญาตินำบทความคุณอาอำพล เจน บางช่วงบางตอนที่กล่าวถึงหลวงปู่พรหมมา มาเผยแพร่ครับ

    ตะลึงอิทธิฤทธิ์หลวงปู่พรหมา เขมจาโร “สำเร็จแก้ว”
    พระทรงอภิญญาระดับนี้ยังมีอยู่อีกหรือ


    อำพล เจน ผู้เขียนประวัติและพระเครื่องพระโพธิญาณเถร (หลวงพ่อชา สุภทฺโท) ที่ได้รับความนิยมและหมดไปจากแผงหนังสือเมื่อเร็ว ๆ นี้ เคยติดตามหลวงพ่อชาตั้งแต่อายุ 12 – 13 ขวบ ได้ยินกิตติศัพท์พระภิกษุรูปหนึ่ง จำพรรษาอยู่บนภูเขาเหนือหมู่บ้านดงนา ตำบลหนามแท่ง อำเภอศรีเมืองใหม่ จังหวัดอุบลราชธานี จึงดั้นด้นไปหาและเกิดความประทับใจในวัตรปฏิบัติและอภิญญาของท่าน จึงได้มาเล่าให้อาจารย์เบิ้ม (สุวัฒน์ พบร่มเย็น) ศิษย์ฆราวาสผู้เคยติดตามรับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี และนายชินพร สุขสถิต ศิษย์หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ผู้สร้างพระเครื่องหลวงปู่ทิมชุดชินบัณชร จนมีชื่อเสียงโด่งดัง เพื่อชวนบุคคลทั้งสองไปสัมผัสหลวงปู่พรหมา
    คุณชินพร กล่าวว่า “เมื่อผมได้ยินอำพล บอกว่าหลวงปู่มีอายุ 93 ปี ฟันยังอยู่ครบทุกซี่ ไม่มีหักหรือผุกร่อน ซ้ำหน้าตาก็ดูหนุ่มกว่าอายุจริงหลายปี ดูแล้วคล้ายมีอายุราว ๆ 60 กว่าก็ยังไม่ค่อยจะเชื่อ จนงานปลุกเสกพระที่วัดบวรนิเวศเมื่อเร็วๆนี้ พวกเราได้เอาภาพถ่ายหลวงปู่พรหมาให้หลวงปู่คำพันธ์ วัดธาตุมหาชัย จ.นครพนม ดู ท่านเห็นภาพถ่ายก็บอกว่าจำได้ ไม่พบกันมานานกว่า 40 ปีแล้ว รู้สึกคิดถึงกันอยู่ อยากจะได้พบ ครั้งสุดท้ายที่ได้พบกันก็ตั้งแต่สมัยยังมีแรงธุดงค์ไหวอยู่ในเมืองลาว หลวงปู่คำพันธ์ยังบอกอีกว่าหลวงปู่พรหมามีอายุเลยท่านไปหลายปี และท่านเป็นครูบาอาจารย์ที่เชี่ยวชาญทางธุดงควัตร มีความรู้ในการเดินป่า สามารถให้ความรู้แก่พระเณรได้เป็นอย่างดี ปัจจุบันหลวงปู่คำพันธ์อายุ 78 ปี จึงทำให้เชื่อได้ว่าหลวงปู่พรหมามีอายุ 93 ปีจริง ๆ”

    หลวงปู่พรหมา เขมจาโร เป็นคนอุบลราชธานี เกิดในสกุลอ่อนจันทึก เมื่อปี 2443 บวชเป็นสามเณรกับสำเร็จลุน พระภิกษุผู้ทรงอภิญญาแห่งสองฝั่งโขง ไทย – ลาว เมื่อสำเร็จลุนมรณภาพแล้ว หลวงปู่พรหมาได้ติดตามพระครูสีทัตถ์ ศิษย์ผู้พี่อยู่หลายปี ต่อจากนั้นได้ไปศึกษาเล่าเรียนกับพระฤาษีอยู่ในถ้ำบนภูเขาควาย ประเทศลาวเป็นเวลายาวนานที่สุด คือ 45 ปี พอลงจากภูเขาควายไม่นาน ลาวก็แตก คอมมิวนิสต์ เข้าครอบครองลาว ท่านจึงย้ายข้ามโขงมาอยู่ฝั่งไทย โดยอาศัยตามถ้ำและภูเขาริมแม่น้ำโขงตลอดมา ได้สงเคราะห์ชาวบ้านป่าผู้ยากไร้ด้วยการรักษาพยาบาลด้วยสมุนไพร
    แม้จะหลบผู้คนอยู่ในหลืบแห่งป่าเขาลำเนาไพร แสนกันดารและไกลลิบ แต่แล้วในที่สุดก็ยังมีผู้คนดั้นด้นไปหาหลวงปู่พรหมา ทั้งๆที่หนทางไปหาท่านแสนลำบากที่สุดเท่าที่ในชีวิตผู้เขียนจะได้เคยประสบมา

    ก่อนที่อำพล เจน จะพาอาจารย์เบิ้มไปหาหลวงปู่พรหมา ได้นำเอาภาพถ่ายที่ท่านปลุกเสกแล้วมาให้อาจารย์เบิ้มตรวจโดยสมาธิ และปรึกษาหาข้อสรุปว่าถ้าจะสร้างพระเครื่องของท่านเอาไว้ใช้กันจะสร้างพระ อะไรดี อาจารย์เบิ้มบอกว่าหลวงปู่องค์นี่เกี่ยวพันกับพวกฤาษี ถ้าสร้างพระฤาษีตาไฟบรมครูให้ท่านปลุกเสกจะดีมาก

    ฤาษีที่อำพล เจน และอาจารย์เบิ้มสร้างไปให้ท่านปลุกเสกเมื่อปลายปีที่แล้ว เวลานี้กำลังโด่งดังในพวกนิยมพระจังหวัดอุบลฯ เพราะมีผู้เอาไปทดลองยิงแล้วเกิดยิงไม่ออก สนนราคาเช่าหากันตอนนี้ ราคากว่า 5 พันบาทแล้ว

    เมื่อนำปัจจัยที่ได้จากการสร้างและจำหน่ายพระฤาษีไปสร้างถ้ำ สร้างห้องน้ำ ห้องส้วม สร้างศาลาเล็ก หน้าถ้ำนั้น หลวงปู่พรหมาได้ปีนขึ้นไปช่วยสร้างช่วยทำด้วย ท่านได้พลัดตกลงไปในเหวเบื้องล่างซึ่งมีแต่แง่และโขดหินใหญ่ ๆ ตะปุ่มตะป่ำลึกหลายเมตรอีกต่างหาก ครั้นลูกศิษย์ที่อยู่ในเหตุการณ์ได้ไต่ลงไปช่วยท่าน กลับปรากฏว่าท่านปลอดภัยดี ไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลย

    พวกชาวบ้านที่เป็นลูกศิษย์ติดตามรับใช้ใกล้ชิดเล่าว่า อย่าว่าแค่ตกเหวเลย เมื่อ 2 ปีก่อน ท่านกับพวกผมได้ข้ามไปเก็บพืชสมุนไพรที่ฝั่งลาว โดนทหารลาวแดงยิงด้วยปืนอาร์ก้าและจรวดอาร์พีจีหลายกระบอก กระสุนอาร์พีจีตกใกล้ตัวท่านหลายสิบนัดก็ยังไม่ระเบิดเลยแม้แต่นิดเดียว

    ชาวบ้านคนนั้นเล่าให้พวกเราฟังอีกว่า ในตัวท่านฝังเหล็กไหลหนัก 4 บาทเอาไว้ภายหลังได้ขอท่านดู ท่านเรียกออกมาให้พวกเราดูท่ามกลางผู้คนที่ไปนมัสการท่าน และค้างคืนที่ถ้ำเกือบ 20 คน หลายคนออกปากว่าไม่เคยพบพระ ที่มีฤทธิ์เดชและทรงอภิญญาอย่างนี้มาก่อนเลย



    ล็อคเก็ต "สำเร็จแก้ว" หลวงปู่พรหมา รุ่นพิเศษ โคตรหายากกกกกกกกกกกกกก จัดสร้าง ๙๙องค์ เมื่อท่านอายุครบ ๙๖ปี



    [FONT=&quot]*ปิดรายการนี้ครับ[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pm11.jpeg
      pm11.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      68.9 KB
      เปิดดู:
      293
    • pm12.jpeg
      pm12.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      68 KB
      เปิดดู:
      303
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 พฤษภาคม 2014
  8. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]

    [FONT=&quot]หลวงพ่อโบ้ยท่านเป็นชาวบ้านสามหมื่น ตำบลบางปลาม้า อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี มาประกอบอาชีพอยู่ที่บ้านทัพตีเหล็กสุพรรรณบุรี ชาวบ้านแถวนั้นส่วนใหญ่นอกจากทำนาแล้วยังมีอาชีพตีเหล็กอีกด้วย[FONT=&quot]
    ท่านเกิด ปี พ.ศ.2435 ปีมะโรง บิดาท่าชื่อนาย โฉมศรี อาชีพทำนา มารดาไม่ทราบชื่อ อายุท่านได้21ปี(พ.ศ.2456) ท่านได้อุปสมบทที่วัดมะนาว(เป็นวัดสมัยรัตนโกสินทร์)จำพรรษาได้ 3 พรรษาราวๆ
    ปี2459ท่าน ได้ไปศึกษาพระธรรมวินัยที่วัดชีปะขาวหรือวัดศรีสุดาราม ธนบุรี 8-9ปี จึงกลับมาจำพรรษาที่วัดมะนาวแล้วได้เดินทางไปเรียนวิชาวิปัสนากรรมฐานกับ หลวงพ่อเนียม วัดน้อย และหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค
    อีก 1พรรษาท่านได้กลับมาจำพรรษาอยู่ที่วัดมะนาวเมื่อปี พ.ศ.2467
    กิจวัตรประจำวันของหลวงพ่อ ท่าจะตื่นแต่เช้ามืด ครองจีวรแล้วสวดมนต์ไหว้พระจนกระทั่งฟ้าสาง จึงออกบิณฑบาตร เมื่อกลับมายังวัด ท่านจะขอให้พระภิกษุทั้งวัดยืนเข้าแถว แล้วท่านก็ตักข้าวในบาตร ของท่านใส่บาตรพระทุกๆรูป เป็นเช่นนี้เสมอมา หลังจากฉันจังหันเช้าเสร็จ ท่านก็จะออกไปกวาดลานวัดหน้าโบสถ์ เป็นกิจวัตรที่ท่านถือปฏิบัติ ท่านจะจำวัดพักผ่อนเพียง2-3 ชั่วโมงเท่านั้น เพราะตอนเย็นท่านต้องไปสร้างพระเครื่อง ของท่านต่อตลอดคืน หลวงท่านมักน้อย ถือสันโดษ ไม่รับตำแหน่งเจ้าอาวาส ไม่ว่าใครนิมนต์ไปไหนใครถวายเงินมากๆท่านจะไม่รับ[/FONT]
    [/FONT]

    [FONT=&quot]วัตถุมงคลท่านสร้างราวๆปี พ.ศ. [FONT=&quot]2473 พระที่ท่านสร้างจะเป็นเนื้อทองเหลืองผสม โต๊ะ โตก ขันลงหิน เงิน ทอง ที่ชาวบ้านนำมาถวายเพื่อสร้างวัตถุมงคลด้วยแรงศรัทธา ท่านสร้างเสร็จแล้วท่านก็นำไปปลุกเสก และแจกให้ ผู้ที่ศรัทธากันฟรีๆ โดยไม่คิดเป็นปัจจัยเงินทองใดๆทั้งสิ้น ลักษณะเด่นของวัตถุมงคล ของท่านแตกต่างกันไป เนื้อทองเหลือง บ้างก็แก่ทอง บ้างก็แก่เงิน แก่สำริด เอกลักาณ์ของวัตุมงคลของท่านคือ รอยย่นของเนื้อพระ รอยตะไบข้างที่มีเกือบทุกองค์
    ปี พ.ศ.2479 ท่านได้สร้างพระเนื้อดินเผา พระเจ้า5พระองค์ มีพิมพ์ ทรงพญานาค ทรงโค ทรงสิงห์ ทรงเต่า ทรงนก(บางคนว่าไก่) เนื้อดินล้วน
    ปี พ.ศ.2500 ท่านได้สร้างวัตถุมงคลเป็นรูปของท่าน ท่านเอา ชานหมาก ที่ท่านเก็บมา15-20ปีเอามาผสมกับ ผงธูป และ ดอกใม้แห้ง ผสมกับดินบ้าง ใช้น้ำตาลโตนดเป็นเชื้อสมาน เนื้อพระท่านจึงออกมา 3 เนื้อ ทั้งที่ทำครั้งเดียวกัน
    เนื่องจากชานหมากมีน้ำหนักเบาการหยิบมาสร้าง ครั้งแรกๆจึงเป็นเนื้อชานหมาเสียส่วยใหญ่เรียกว่า เนื้อชานหมาก พอเนื้อชานหมากหมดก็จะเหลือชั้นที่2ชั้นที่มีผงธูปเสียส่วนใหญ่จึงเรียกว่า เนื้อผงธูป ชั้นที่3คือดินที่มีน้ำหนักมากสุด
    เลยมีเนื้อดินเสียส่วนใหญ่จึงเรียกว่า เนื้อดิน
    ท่านได้สร้างเหรียญ สี่เหลี่ยมตัดมุม กับเหรียญเต็มองค์ สร้างแจกในคราวงานผูกพัทธสีมา พ.ศ.2508 (ต้นปี)
    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot]ด้วยวัตถุมงคล อันเกิดจากความบริสุทธิ์ในการสร้าง ด้วยอิทธิบารมีของหลวงพ่อ ที่ทรงศีลธรรม และเวทย์วิทยาคม อันบริสุทธิ์ จึงทำให้ผู้ที่มีวัตถุมงคล ของหลวงพ่อโบ้ย ไว้บูชา เกิดประสบการณ์ต่างๆมากมาย ช่วยคุ้มครองป้องกันให้รอดพ้นจากภยันตรายต่างๆได้ ซึ่งคงไว้ซึ่งความแคล้วคลาดและคงกระพันเป็นหลัก.[FONT=&quot]
    [/FONT]
    [/FONT]
    [FONT=&quot] หลวงพ่อท่านได้มรณะเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2508 สิริอายุ 73 ปี 52 พรรษา ในวันฌาปนกิจประชาชนได้มาชุมนุมกันคับคั่ง(ได้สร้างเหรียญกลมครึ่งองค์แจกในงานนี้)[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มีนาคม 2011
  9. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    เหรียญกลม หลวงพ่อโบ้ย รุ่นแรก และรุ่นสุดท้าย ปี๒๕๐๘ วัดมะนาว จ.สุพรรณฯ [FONT=&quot]สร้างแจกในคราวงานผูกพัทธสีมา พ.ศ.2508(ต้นปี) ทันท่านเสกแน่นอนครับ[/FONT]




    [FONT=&quot]ให้บูชา 2,450บ. ครับ[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_2929.jpg
      SAM_2929.jpg
      ขนาดไฟล์:
      884 KB
      เปิดดู:
      442
    • SAM_2932.jpg
      SAM_2932.jpg
      ขนาดไฟล์:
      871.6 KB
      เปิดดู:
      426
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กรกฎาคม 2011
  10. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
  11. รับโชค

    รับโชค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,131
    ค่าพลัง:
    +11,878
    แวะมา จ้อง ๆๆๆๆ จอง ๆๆๆๆ ครับ
     
  12. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    รับทราบครับ อิอิอิ.......
     
  13. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
  14. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
  15. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    พระรูปเหมือนหลวงปู่หงษ์ รุ่น"สะพานร้อยปี" ๒

    ความเป็นมาของพระรูปเหมือน หลวงปู่หงษ์ รุ่น"สะพานร้อยปี"

    เดิมสะพานข้ามคลอง ตำบลทุ่งมน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เป็นสะพานไม้ ได้สร้างมาเป็นเวลานานกว่าร้อยปี อ้างอิงโดยคำบอกเล่าของหลวงปู่ ที่เล่าให้ฟังว่าตั้งแต่ท่านเกิดมา เมื่อจำความได้ก็มีสะพานนี้แล้ว(ปัจจุบันหลวงปู่มีอายุได้91 + 1 ปี หลวงปู่เกิดวันที 16 เดือนมีนาคม ปีมะแม ซึ่งตรงกับ พ.ศ. 2462) สะพานนี้น่าจะสร้างขึ้นก่อนท่านเกิดนับหลายสิบปี ท่านจึงตั้งชื่อว่า “สะพานร้อยปี”
    เมื่อสะพานเดิมทรุดโทรมลง จึงได้รื้อสะพานไม้เดิมออก เพื่อก่อสร้างสะพานใหม่เป็นสะพานคอนกรีตเสริมเหล็ก ผู้ดูแลการรื้อถอนไม้สะพานรวมทั้งเสาหัวสะพาน ได้นำเสาสะพานที่รื้อถอนมาถวายหลวงปู่ ท่านได้กล่าวกับพระลูกศิษย์ให้เก็บไว้ที่สุสานทุ่งมนและคอยกำชับเสมอว่าให้ ดูแลรักษาเสาไม้ไว้ให้ดี ไม่ให้ใครนำไปใช้งานอย่างอื่น ท่านกล่าวว่า“ไม้เสาสะพานนี้ได้อยู่กับดินนับร้อยปี พระแม่ธรณีท่านช่วยดูแลไว้เป็นอย่างดี จะหาไม้ลักษณะเช่นนี้ไม่มีอีกแล้ว อีก 500ปีก็หาไม่เจอ ถือว่าเป็นของมงคลในตัวเอง”
    หลวงปู่ได้ปรารภกับลูก ศิษย์คือพระญาติ ภูริสีโร ว่าไม้เสาสะพานนี้น่าจะนำไปสร้างเป็นพระจะดีมาก แต่พระลูกศิษย์ก็ยังคิดไม่ออกว่าควรจะนำไปสร้างเป็นพระแบบไหนและลักษณะใด จนเมื่อมีคณะลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งได้นำพระเครื่องซึ่งแกะจากงาช้างที่จัดทำ ขึ้นเอง มาขอให้หลวงปู่ปลุกเสกและจารที่ฐานพระ เมื่อหลวงปู่ได้พิจารณาองค์พระและฝีมือในการแกะพระจากงาช้าง ท่านได้เอ่ยปากชมว่าเป็นพระที่แกะได้สวยงาม ช่างแกะมีฝีมือดี พระญาติ ภูริสีโรจึงนึกขึ้นได้ว่าน่าจะนำไม้เสาสะพานมาแกะให้เป็นพระที่มีความสวยงาม เหมือนพระที่แกะจากงาช้าง จึงกราบเรียนหลวงปู่ว่าไม้เสาสะพานที่หลวงปู่ให้เก็บรักษาไว้เพื่อสร้างพระ นั้น น่าจะนำมาแกะเป็นพระขนาดเล็ก ให้ลูกศิษย์ช่วยกันทำบุญและนำกลับไปบูชาติดตัว ซึ่งหลวงปู่ได้เมตตาอนุญาตให้ดำเนินการได้ การพิจารณารูปแบบของพระที่จะแกะขึ้นมา เป็นประเด็นที่สรุปไม่ลงตัว จนในที่สุดพระญาติจึงกราบเรียนหลวงปู่ว่าควรจะแกะเป็นรูปเหมือนของท่าน เนื่องจากการสร้างพระแกะจากไม้เสาสะพานเป็นดำริของหลวงปู่เองและไม้เสาสะพาน นี้ก็เป็นไม้ของหลวงปู่เช่นกัน หลวงปู่เห็นชอบให้ดำเนินการตามที่พระญาติเสนอพระญาติได้รับเป็นธุระในการนำ ไม้เสาสะพานไปแกะเป็นพระ โดยติดต่อกับคณะลูกศิษย์เพื่อหาช่างแกะที่ฝีมือดี เพื่อแกะพระรูปเหมือนหลวงปู่ขนาดองค์เล็กๆ และได้ทำการตัดไม้ออกเป็นท่อนๆขนาด 3x3 ซม.ยาวประมาณ 60ซม. พบว่าไม้เสาสะพานมีความแข็งมาก การเลื่อยผ่าไม้เป็นท่อนๆทำได้ยากกว่าไม้เนื้อแข็งชนิดอื่นๆ เมื่อผ่าไม้แล้วพบว่าเนื้อไม้ที่อยู่บริเวณผิวนอกมีสีคล้ำ ส่วนที่เป็นแก่นกลางยังคงมีสีเช่นเดียวกับไม้เนื้อแข็งอื่นๆ(สีแดงอมเหลือง คล้ายไม้มะค่า)จึงได้กราบเรียนให้หลวงปู่ทราบ หลวงปู่จึงบอกว่าไม้เสาสะพานนี้เป็นไม้จิก ซึ่งเป็นไม้เนื้อแข็งที่มีความแข็งมาก ปัจจุบันเป็นไม้หายาก ไม้จิกเป็นไม้เนื้อแข็งที่เนื้อไม้แน่นมาก เนื้อไม้มีลายเสี้ยนค่อนข้างหยาบ เมื่อทดลองแกะขึ้นรูปจะทำได้ยากมาก ต่างจากการแกะงาช้างที่เนื้องาละเอียด ไม่แข็งกระด้างและมีความเหนียว จึงสามารถแกะรายละเอียดลวดลายต่างๆได้ง่าย แต่ไม้จิกนี้ไม่สามารถแกะลวดลายที่ละเอียดได้เพราะเสี้ยนหยาบและแข็งเปราะจะ แตกบิ่นตามลายเสี้ยนได้ง่าย ความตั้งใจเดิมที่จะแกะรูปเหมือนหลวงปู่องค์เล็กๆขนาดเท่ารูปหล่อเนื้อโลหะ รุ่นนั่งรวยหรือรุ่นฉลองสมโภช จึงทำไม่ได้ ต้องขยายขนาดขององค์พระให้ใหญ่ขึ้นเท่าที่ช่างแกะจะสามารถทำงานแกะราย ละเอียดโครงเค้ารูปหน้าของหลวงปู่ได้
    ลักษณะท่านั่งประจำของหลวงปู่ จะเป็นท่านั่งพับเพียบ โดยวางมือไว้ที่หัวเข่าทั้งสองข้าง หลวงปู่กล่าวให้ลูกศิษย์ฟังว่าท่านนั่งพับเพียบเช่นนี้มาตั้งแต่ท่านยังเป็น เด็ก จนท่านบวชก็นั่งท่านี้เป็นประจำ ท่านสามารถนั่งท่าเดียวนี้ได้นานหลายชั่วโมง ซึ่งบรรดาลูกศิษย์จะรู้ดีโดยเฉพาะในขณะที่ท่านนั่งในพิธีการต่างๆ ท่านจะนั่งนิ่งอยู่เป็นชั่วโมงโดยแทบจะไม่ได้ขยับตัวเลย
    การแกะพระรูป เหมือนหลวงปู่ รุ่นสะพานร้อยปี จะใช้ช่างแกะเพียงคนเดียว อันที่จริงแล้วช่างแกะที่คณะลูกศิษย์ติดต่อให้ทำการแกะพระนี้จะรับแกะเฉพาะ งาช้างกับไม้จันทน์หอม ซึ่งมีเนื้อละเอียดและเหนียว แต่ช่างแกะได้ตกลงรับงานนี้เพราะเป็นงานที่ท้าทายและอยากมีผลงานที่เป็นส่วน ร่วมกับการทำบุญให้หลวงปู่ ทั้งๆที่ไม่เคยรู้จักหลวงปู่มาก่อน กว่าจะเริ่มงานได้ก็ต้องทำงานที่ค้างไว้ทั้งหมดให้เสร็จสิ้นก่อน เพราะเมื่อเริ่มทำงานนี้แล้วต้องหยุดรับงานอื่นๆพระต้นแบบองค์แรกที่แกะออกมายังไม่เป็นที่น่าพอใจ ต้องปรับแต่งรูปเค้าหน้าและสัดส่วนองค์พระหลายจุดด้วยกัน เมื่อแก้ไขแล้วองค์ที่สองก็ยังไม่เป็นที่พอใจแต่การปรับแต่งแก้ไขมีน้อยลง คณะลูกศิษย์จึงระบุรายการต่างๆ ให้ช่างแกะปรับแต่งแก้ไขจนเป็นที่พอใจของหลวงปู่หงษ์ และให้เริ่มดำเนินการจริงได้ในเดือนมิถุนายน 2552 การแกะพระชุดนี้ช่างจะแกะพร้อมๆ กันคราวละ 40 องค์ โดยเริ่มแกะจากฐานพระก่อน ตามด้วยส่วนลำตัว และส่วนศรีษะในขั้นตอนสุดท้าย ทั้งนี้ก็เพื่อให้พระที่แกะออกมามีขนาด รูปร่างใกล้เคียงกันมากที่สุด การแกะพระหนึ่งชุด (40 องค์) จะใช้เวลาหนึ่งเดือน ไม่สามารถเร่งรัดได้มากกว่านี้ เมื่องานแกะชุดแรกเสร็จ คณะลูกศิษย์ต้องนำมาขัดแต่งผิวและคว้านเจาะฐานพระเพื่อให้เป็นที่บรรจุมวล สารมงคล ที่จะนำมาอุดไว้ก่อนครอบฐานพระในขั้นตอนสุดท้าย

    วาจาของ หลวงปู่ที่กล่าวกับคณะลูกศิษย์
    พระที่ทำจากไม้เสาสะพานร้อยปีนี้ ดีมากมาก พระแม่ธรณีท่านให้มา ครูบาอาจารย์ก็มาช่วยทำ ขอให้เก็บรักษาไว้ให้ดี เพราะจะเป็นของหายาก ต่อไปอีก 500 ปีก็จะหาอีกไม่ได้ ถึงมีเงินเป็นล้านก็หาเช่าไม่ได้เพราะมีน้อย มีค่าสูงยิ่ง”
    มวลสารที่อุดไว้ในฐานพระ ให้ใส่ไว้เยอะๆ ใครรู้จะได้กลัว เพราะครูบาอาจารย์ให้สร้างไว้”


    ความเป็นมาของพระรูปเหมือน หลวงปู่หงษ์ รุ่น"สะพานร้อยปี"รุ่น2

    พระเนื้อไม้สะพานเก่าทางเข้าสุสานทุ่งมนซึ่งหลวงปู่หงษ์ท่านได้เก็บไว้เป็น เวลานาน จนกระทั่งท่านมีประสงค์ดำริจัดสร้าง หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ รูปเหมือนไม้แกะหัวสะพาน 100 ปี ถือเป็นครั้งแรกที่หลวงปู่ให้จัดสร้างให้นำไม้ชุดดังกล่าวมาจัดสร้างวัตถุมงคลชุดไม้สะพาน ร้อยปี โดยได้มีการจัดสร้างไปแล้วหนึ่งรุ่นซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูก ศิษย์ หลวงปู่จึงได้สั่งให้นำไม้สะพานที่เหลือนำมาจัดสร้างเป็นวัตถุมงคลรุ่นสะพาน ร้อยปี รุ่นที่ 2 ซึ่งจะเป็นรุ่นสุดท้าย โดยเป็นงานทำมือทุกขั้นตอนสวยงานทั้งศาสตร์และศิลป์ ภายในองค์พระบรรจุด้วยมวลสารชั้นเลิศที่หลวงปู่ท่านเตรียมไว้ให้และที่สำคัญ ได้ผสมโลหิตธาตุของท่านในส่วนผสมด้วยหาไม่ได้อีกแล้วครับ มวลสารและของศักดิ์สิทธิ์มี มวลสารที่นำมาบรรจุไว้ที่ฐาน ประกอบด้วยสิ่งมงคลอย่างยี่งของหลวงปู่ ซึ่งบางส่วนหลวงปู่ได้กรุณาให้จัดเตรียมไว้ ได้แก่

    - เกศาของหลวงปู่
    - เล็บของหลวงปู่
    - โลหิตธาตุของหลวงปู่ ที่ลูกศิษย์สะสมไว้จากส่วนเกินที่เหลือจากการเจาะโลหิตเพื่อตรวจสุขภาพของ หลวงปู่เป็นประจำทุกเดือน
    - ชิ้นผ้าจีวร(สบง)ของหลวงปู่
    - มวลสารมงคลดั้งเดิมที่หลวงปู่เก็บสะสมไว้ตั้งแต่ยังเดินธุดงค์
    - ชานหมากของหลวงปู่ที่คณะลูกศิษย์สะสมไว้ ก่อนที่หลวงปู่จะงดการฉันหมาก
    - มวลสารมงคล(ผงจักรพรรดิ์)ที่ได้รับจากหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
    - มวลสารมงคลที่ลูกศิษย์สะสมไว้ (คุณสรชัช พรหมคุณาวัตร) เพื่อใช้สร้างวัตถุมงคลถวายหลวงปู่
    - ดอกไม้บูชาของหลวงปู่ โดยหลวงปู่มอบให้ไว้เพื่อตากแห้งและบดเป็นผง และหลวงปู่ได้ปลุกเสกแล้ว
    - พลอยและทรายโกเมนที่ได้จากวัดพระธาตุศรีจอมทอง เชียงใหม่
    - อิฐ-ปูน-ดินใต้ฐานชุกชีหลวงพ่อพระพุทธนิมิตฯ วัดหน้าพระเมรุ
    - ผงกระเบื้องโมเสส-ทองเปลว หลวงพ่อโต วัดอินทร์ บางขุนพรหม
    - ปูนฐานชุกชี หลวงพ่อมงคลบพิตร บัวรอบฐานหลวงพ่อโต วัดพนัญเชิง
    - กระเบื้องโบสถ์วัดเจดีย์หลวง เชียงใหม่
    - หินข้าวเย็นฤษีวัดพระพุทธบาทสี่รอย
    - ผงรักทองพระประธานวัดกษัตราธิราช
    - ผงรักทองพระพุทธตรีโลกเชษฐ์ วัดสุทัศน์
    - กิ่ง-ใบ-ด้วงเลียบ(ตาไม้ของต้นเลียบ) ต้นที่ฝังรกหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด สงขลา
    - พลอย 5 สีแทนพระพุทธเจ้า5 พระองค์ และปัฐวีธาตุจากแม่น้ำปาย จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่ง 2 อย่างนี้หลวงปู่หงษ์ ท่าน- -- กรุณาแช่น้ำมนต์เสกให้ที่หัวนอนท่านนานนับเดือน
    - ข้าวสารหินของ หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ ท่านเสกมากว่า 2 ปี
    - ผงพุทธคุณของ วัดนครอินทร์ เมืองนนท์
    - ผงพุทธคุณหลวงพ่อฑูรณ์ วัดโพธินิมิตร ตลาดพูล
    - ผงพุทธคุณ-เกษา ท่านครูบาบุญปั๋น วัดร้องขุ้ม เชียงใหม่
    - แป้งเสก หลวงปู่บุดดา ถาวโร
    - สายประคำที่ หลวงพ่ออุตตมะ อุตตมะรัมโภ ตกสายประคำ เสกทีละเส้นกับมือทุกเส้น 56 เส้น
    - ผงสร้างพระพิมพ์สมเด็จรุ่นญาณวิลาส หลวงพ่อแดง วัดเขาบันไดอิฐ เพชรบุรี
    - แร่บางไผ่ แร่เหล็กโคกยายเหลือง แร่เหล็กน้ำพี้ แร่เพชรหน้าทั่ง
    - ว่านมงคล 32 ชนิด เช่น เกราะเพชรไพฑูรณ์ พระตะบะถอนโมกขศักดิ์ ปลาไหลเผือก เพชรน้อย เพชรใหญ่ หัวว่านดอกทอง ดินสอฤษี พญากาหลง จูงนางฯลฯ
    - พระเครื่องรุ่นก่อนๆที่ชำรุด ของหลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ หลายร้อยองค์ มวลสารทั้งหมดได้ผ่านการอธิฐานจิตมาก่อนที่จะนำมาสร้างทั้งสิ้นโดย หลวงพ่ออุตตมะ วัดวังวิเวการาม เสกผงมวลสาร 2 ครั้ง หลวงพ่อสง่า วัดบ้านหม้อ เสกผงให้ที่พิธีของวัดลุ่มเจริญศัทธาธรรม หลวงปู่ทิม วัดพระขาว และหลวงปู่หงษ์ เมตตาเสกมวลสารเองอีกหลายครั้ง

    เป็นที่ฮือฮามากครับ ศิษย์หลวงปู่ทุกคนต่างต้องการมาบูชาเพื่อเป็นสิริมงคลแต่หาไม่ได้ง่ายๆนะ ครับเพราะจำนวนการสร้างนั้นน้อยนิดเหลือเกินครับ

    *** วาจาของหลวงปู่ที่กล่าวกับคณะลูกศิษย์***“พระที่ทำจากไม้เสาสะพานร้อยปีนี้ ดีมากมาก พระแม่ธรณีท่านให้มา ครูบาอาจารย์ก็มาช่วยทำ ขอให้เก็บรักษาไว้ให้ดี เพราะจะเป็นของหายาก ต่อไปอีก 500 ปีก็จะหาอีกไม่ได้ ถึงมีเงินเป็นล้านก็หาเช่าไม่ได้เพราะมีน้อย มีค่าสูงยิ่ง” “มวลสารที่อุดไว้ในฐานพระให้ใส่ไว้เยอะๆ ใครรู้จะได้กลัว เพราะครูบาอาจารย์ให้สร้างไว้”



    จำนวนการสร้างรูปเหมือนหลวงปู่หงษ์เนื้อไม้สะพานร้อยปี รุ่น 2



    โดยมีรายการดังนี้
    1.รูปเหมือนหลวงปู่หงษ์เนื้อไม้สะพาน ครอบทองคำ สร้างตามสั่งจองแต่ไม่เกิน 19 องค์

    2.รูปเหมือนหลวงปู่หงษ์เนื้อไม้สะพาน ครอบเงิน สร้าง 199 องค์
    ทุกองค์ฐานด้านหน้าแกะคำว่า"หลวงปู่หงษ์" ด้านหลัง"สะพานร้อยปี ๒"
    ตอกโค๊ตกำกับ โค๊ต หงษ์ ๙๓ หงษ์ และ นะเมติ
    มีหมายเลขประจำองค์พระ

    [​IMG]

    ตอนนี้ได้ให้ช่างแกะขึ้นรูปเป็น ต้นแบบของพระไม้สะพานรุ่นที่ 2 โดยขณะนี้ได้ให้แก้ไขสัดส่วนและใบหน้าอีกเล็กน้อยก่อนส่งให้หลวงปู่พิจารณา


    [​IMG]

    ใต้ฐานพระจะเจาะรูเพื่ออุดมวลสาร ที่ยังคงเหลือจากการสร้างพระไม้สะพานรุ่นแรกก่อนครอบเงินเหมือนพระชุดแรก


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    พระไม้สะพานร้อยปีรุ่น 2 นี้ได้ใช้ช่างแกะคนเดียวกับรุ่นแรก โดยมีการปรับปรุงแก้ไขในบางส่วนให้ดูสวยงามมากยิ่งขึ้น

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG][​IMG]

    ผงพุทธคุณที่หลวงปู่ท่านเก็บสะสมไว้เป็นเวลานานแล้ว รวบรวมกับผงจักรพรรดิ์ของหลวงปู่ดู่พรหมปัญโญที่ลูกศิษย์ถวายไว้ ผงมวลสารสำคัญต่างๆมากมาย ผงชานหมากและพลอยเสก


    [​IMG]

    จีวรและโลหิตธาตุ


    [​IMG]

    เกศาของหลวงปู่ขาวใสเหมือนแก้ว หลวงปู่ท่านสั่งให้ใส่ไว้เยอะๆ ครับ


    [​IMG][​IMG]
    และที่พิเศษนอกเหนือไปจากองค์พระ ที่จัดสร้างในแบบทำมือทุกขั้นตอนแล้ว การบรรจุหีบห่อในขั้นสุดท้ายจึงคิดว่าต้องทำให้อย่างไรเพื่อให้ดูมีคุณค่า และมีความเป็นพิเศษไม่เป็นการสูญเปล่าเช่นกล่องใส่พระทั่วๆ ไป จึงมีความคิดทีจะใช้ถุงกำมะหยี่สีคล้ายๆ จีวรใช้ในการใส่พระและขอความเมตตาจากหลวงพี่เขียนยันต์พระจำตัวของหลวงปู่ ไว้และจะนำเข้าพิธีปลุกเสกพร้อมองค์พระในวันที่ 4 ตุลาคมนี้เพื่อให้สมกับเป็นพระชุดที่หลวงปู่ท่านตั้งใจสร้างเพื่อลูกศิษย์ บูชาไว้เป็นของมีค่าประจำตัวสืบต่อไป

    การปลุกเสก
    พระไม้สะพานรุ่น 2 ช่างได้ส่งมอบให้ผู้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้ส่งต่อไปยังหลวงพี่ญาติเพื่อนำถวายหลวงปู่หงษ์แล้วในวันที่ 16กพ.53นี้ นับเป็นโอกาสอันดีที่ระหว่างวันที่ 17 - 27 ก.พ.หลวงปู่หงษ์ท่านจะมีพิธีภาวนาพร้อมทั้งเสกวัตถุมงคลอยู่แต่ในห้องท่าน หลวงปู่หงษ์ท่านจะจำศีลภาวนาอยู่แต่ในกุฏิของท่านเป็นเวลา9 วัน 9 คืนไม่ออกจากกุฏิมารับญาติโยม โดยท่านจะโยงสายสิญจากกุฏิไปยังศาลาหลวงปู่ทวดเพื่อปลุกเสกวัตถุมงคลต่างๆ ที่ญาติโยมนำมาฝากไว้ จึงได้นำพระไม้สะพาน ทั้งนี้รวมไปถึงมวลสารต่างๆ ที่จะนำมาบรรจุภายในรูปเหมือนไม้แกะสะพานร้อยปี รุ่น 2 นี้ด้วยเข้าร่วมปลุกเสกเป็นวาระที่1 ก่อนพิธีใหญ่ในวันที่ 28 กพ.นี้ โดยพระชุดนี้จะได้รับการปลุกเสกยาวไปถึงพิธีเสาร์ห้าวันที่20 มีค. 53 นี้ นับเป็นอีกหนึ่งวัตถุมงคลที่ทรงคุณค่าที่หลวงปู่หงษ์มอบให้ลูกศิษย์ทุกท่าน มีไว้เพื่อบูชาเป็นศิริมงคลแก่ชีวิตครับ
    วันกำหนดปลุกเสกวัตถุมงคลสะพานร้อยปี รุ่น 2ใหม่ดังนี้
    1.หลวงปู่หงษ์เสกพิธีใหญ่ของสุสานทุ่งมนในวันที่28 กุมภาพันธ์ 2553
    2.หลวงปู่หงษ์อธิฐานจิตเป็นกรณีพิเศษในวันเสาร์ห้าใหญ่ ราชาฤกษ์มหาโภคทรัพย์ ที่100ปีมีหนเดียว วันที่ 20มีนาคม2553



    ภาพบรรยากาศในพิธีวันที่ 28 ก.พ.2553 ครับ
    [​IMG]
    มณฑณพิธีบนปราสาทฯ จัดเตรียบบายศรีครูใหญ่และวัตถุมงคลของหลวงปู่หงษ์ รุ่นไม้สะพานร้อยปี 2 ไว้ในพานคลุมด้วยผ้ายันต์และพันด้วยสายสิญจ์ครับ

    เมื่อถึงกำหนดเวลาหลวงปู่หงษ์ได้ทำพิธีปลุกเสกวัตถุมงคล ครอบครูและลงสาริกา ท่ามกลางหมู่ลูกศิษย์ทั้งบรรพชิตและฆราวาสมากมาย
    [​IMG]

    [​IMG][​IMG]


    [​IMG]
    หลังจากวันพิธีฯ แม้หลวงปู่หงษ์ท่านจะมีอายุถึง 93 ปีแล้วแต่ยังดูสดชื่นแข็งแรง และเมื่อยามว่างจากการตอนรับญาติโยม ท่านก็จะออกตรวจงานขุดสระโดยรถตรวจงานประจำตัวท่านเช่นเคย ภาพประทับใจเช่นนี้หาดูจากพระภิกษุผู้สูงอายุและมีชื่อเสียงโด่งดังได้ไม่ ง่ายนัก

    และในระหว่างวันที่ 17 - 27 ก.พ.2553 หลวงปู่ได้ตั้งจิตภาวนาปลุกเสกวัตถุมงคลอยู่ภายในห้องของท่านเป็นเวลานานถึง 12 วันโดยไม่ออกจากห้องเลย ถือเป็นโชคดีของลูกศิษย์ที่ได้มีโอกาสครอบครองวัตถุมงคลอันทรงคุณค่าชุดนี้
    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]


    สุดยอดจริงๆ ครับ พระรูปเหมือนหลวงปู่หงษ์ รุ่น"สะพานร้อยปี" ๒ ก้นเงินพร้อมโค๊ต หงษ์ ๙๓ หงษ์ และ นะเมติ มีหมายเลขประจำองค์พระลำดับที่ ๒๓

    [FONT=&quot]ให้บูชา 7,500บ. ครับ[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_3131.jpg
      SAM_3131.jpg
      ขนาดไฟล์:
      2.4 MB
      เปิดดู:
      400
    • SAM_3134.jpg
      SAM_3134.jpg
      ขนาดไฟล์:
      2.5 MB
      เปิดดู:
      168
    • SAM_3135.jpg
      SAM_3135.jpg
      ขนาดไฟล์:
      2.1 MB
      เปิดดู:
      206
    • SAM_3136.jpg
      SAM_3136.jpg
      ขนาดไฟล์:
      3 MB
      เปิดดู:
      156
    • SAM_3137.jpg
      SAM_3137.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.7 MB
      เปิดดู:
      197
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2011
  16. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]

    ประวัติของหลวงปู่บัว ถามโก วัดศรีบุรพาราม





    วัดศรีบูรพาราม หรือ วัดเกาะ ตะเคียน หมู่ 1 ต.วังกะแจะ อ.เมือง จ.ตราด เป็นอีกหนึ่งสถานที่น่าเลื่อมใสในดินแดนภาคตะวันออกของประเทศไทย หากเอ่ยชื่อวัดในภาคอื่น ๆ น้อยคนนักที่จะเคยได้ยินชื่อหรือรู้จัก แต่หากเป็นคนพื้นเพใกล้เคียง แม้ แต่ประเทศเพื่อนบ้านล้วนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี เพราะความขลังและความศักดิ์สิทธิ์ใน “ของดี” ของวัดแห่งนี้เลื่องลือไปทั่วแดนตะวันออก



    เดิมวัดศรีบูรพารามเป็น สำนักสงฆ์เล็ก ๆ มีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษาอยู่เพียงไม่กี่รูป จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2500 มีญาติโยมและชาวบ้านที่ศรัทธาบริจาคทุนทรัพย์ก่อสร้างเป็นวัดขึ้นมาใช้ชื่อ ว่า “วัดเกาะตะเคียน” ทำการฝังลูกนิมิตเมื่อปี พ.ศ. 2524 และมีการพัฒนาเรื่อยมาจนเปลี่ยนชื่อเป็น “วัดศรีบูรพาราม” จวบจนปัจจุบัน



    วัด แห่งนี้มีเจ้าอาวาสรูปแรกและปัจจุบันคือ พระครูสังฆกิจบูรพา หรือ พระอาจารย์บัว อายุ 82 ปี เดิมนั้นท่านชื่อ บัว มารศวารี เกิดวันเสาร์เดือน 5 ปีขาล ตรงกับขึ้น 13 ค่ำ เดือน 5 พ.ศ. 2469 เป็นบุตรของ นายเชี๋ยและนางเตี่ยน ภูมิลำเนาอยู่บ้านเลขที่ 3 หมู่ 3 ต.วังกะแจะ อ.เมือง จ.ตราด ตั้ง แต่วัยหนุ่มท่านชอบศึกษาความรู้เกี่ยวกับยาสมุนไพรและเชี่ยวชาญด้านช่าง ไม้ ช่างปูน ช่างปั้น จวบจนอายุครบ 23 ปี ก็อุปสมบทเป็นพระภิกษุที่วัดบุบผาราม ต.วังกะแจะ โดยมีพระครูคุณวุฒิพิเศษ วัดบุบผารามเป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวัตรรัตนวงษ์สิทธิ์ วัดหนองบัว เป็นพระกรรมวาจาจารย์ ได้ศึกษาเล่าเรียนพระปริยัติธรรมเรื่อยมา จนใน พ.ศ. 2505 ก็ย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดเกาะตะเคียน พ.ศ. 2508 สอบได้ชั้นนักธรรมเอก และ พ.ศ. 2513 เลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระครูสังฆกิจบูรพา ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะตำบลวังกะแจะ



    “สมัยก่อนการศึกษาด้านภาษาบาลียัง ไม่แพร่หลายมากนัก ขาดครูผู้สอน อาตมาจึงหันไปศึกษาวิชาความรู้ต่าง ๆ รวมทั้งคาถาอาคมจากพระครูคุณวุฒิพิเศษ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์และผู้เคารพนับถือ โดยเฉพาะวิชาหัวใจ 108 ทำให้รู้ถึงขั้นตอนและกรรมวิธีการทำน้ำมันงา ที่มีพุทธคุณด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด อยู่ยงคงกระพัน อาศัยเรียนกับโยมชื่อ นายเสียง เป็นคนหมู่บ้านหนองโพง ที่ขึ้นชื่อลือชาเรื่องหนังเหนียว ปืนยิงไม่ออก มีดฟันไม่เข้า ทีแรกโยมพาลูกชายมาฝากไว้กับอาตมาที่วัดเพื่อให้เรียนวิชา แต่ลูกชายแกไม่สนใจ แกกลัววิชาจะสูญหาย จึงถ่ายทอดให้อาตมาจนหมดไส้หมดพุง ก็ไม่คิดว่า จะได้นำมาใช้”



    พระครูสังฆกิจบูรพา หรือ พระอาจารย์บัว กล่าวด้วยสีหน้าเปี่ยมด้วยความเมตตาและเล่าต่อว่า “สมัยก่อนนักเลงมีเยอะ โดยเฉพาะพวกคนมีสีชอบรังแกชาวบ้าน อาตมาก็ทำพระเครื่องขึ้นมาแจกให้ญาติโยมพกติดตัว จนไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับทหาร ถูกชักปืนจ่อยิง เหลือเชื่อ ปืนไม่ลั่น จนสามารถจับทหารดำเนินคดีติดคุกได้ จากนั้นมาชาวบ้านรู้ข่าวก็เดินทางมาขอของดี ก็แจกจนหมดไม่มีเหลือ เป็นเรื่องแปลกเหมือนกัน เมื่อก่อนทำใส่ไว้ในพานตั้งทิ้งไว้บนศาลาไม่เห็นมีใครสนใจอยากได้เลย พอลือว่า ดีอย่างนั้นอย่างนี้พักเดียวมาเอาไปจนหมดเกลี้ยงเลย”



    อย่าง ไรก็ตาม นอกจากของดีที่หลาย ๆ คนเสาะแสวงหาแล้ว พระครูสังฆกิจบูรพา หรือพระอาจารย์บัว ยังได้รับการขนานนามว่า “เทพเจ้าแห่งโชคลาภ” ภาคตะวันออกอีกด้วย เนื่องจาก เคยมีลูกศิษย์มาเยี่ยมเยียนและนำคำสอนของหลวงพ่อไปตีเป็นเลข เด็ดเสี่ยงโชค ปรากฏว่า ถูกหวยรวยกันเละมาแล้ว พอท่านทราบเข้าก็ได้ แต่ยิ้มและยืนยันไม่ได้สนับสนุนบอกใบ้ให้เลขใครทั้งสิ้น ถือว่า ใครที่มีโชคลาภแล้ว แต่บุญวาสนาของ แต่ละคน



    นายแก่นเพชร ช่วงรังษี ผู้ว่า ราชการจังหวัดตราด ก็เป็นผู้ที่ใกล้ชิดหลวงพ่ออีกคนหนึ่ง ให้สัมภาษณ์ทีมงานของเราว่า หลวงพ่อท่านเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่น่านับถืออีกรูปหนึ่งในจังหวัด หลายคนมองว่า ท่านให้เลขเด็ดแม่นนั้น ขอบอกไว้เลยอย่าไปขอเสียให้ยาก ท่านไม่เคยสนับสนุนใครให้เล่นการพนันหรือเสี่ยงโชคทั้งสิ้น ท่านเคยพูดว่า มันเป็นสิ่งงมงาย ส่วนใหญ่ชาวบ้านที่มากราบท่านจะมาถวายสิ่งของ หรือขอของดี หรือให้พรมน้ำมนต์เพื่อเป็นสิริมงคล ท่านก็ไม่เคยขัดศรัทธา แต่มีบางรายหัวใสจำคำพูดหรือกิริยาท่าทางไปตีเลขเด็ดเสี่ยงโชคถูกก็มี ไม่ถูกก็มี มี แต่หลวงพ่อแนะนำให้ชาวบ้านขยันหมั่นเพียร มีความอดทน ใจต้องสู้ หากคนเราใจมันท้อถอยก็แพ้เลย ยิ่งไม่ขยันทำงานทำการก็อยู่ไม่รอดแน่ ต้องพยายามประหยัดและอดออมกันจะได้มีเงินใช้จ่าย อย่าไปงมงายกับเลขเด็ดเลย นั่นเป็น เพราะบุญเก่าและ แต่ละคนมีโชคลาภวาสนาไม่เหมือนกัน



    จ.อ.บุ ณณะ บุญกิตติเจริญ อดีตทหารเรือเลือดน้ำเค็ม ศิษย์เอกก้นกุฏิของหลวงพ่อหัวร่อร่า ให้สัมภาษณ์ด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า ตนลาออกจากราชการทหารตั้ง แต่ปี 2516 ย้ายมาอยู่ข้างวัดแห่งนี้หลายปีและคอยรับใช้หลวงพ่อมาตลอด ที่ผ่านมา ท่านจัดสร้างวัตถุมงคลขึ้นหลายแบบให้ญาติโยมเช่าบูชาหารายได้บูรณะและพัฒนา วัด เท่าที่จำได้ก็มี 1. พระผงสี่เหลี่ยมเล็ก พิมพ์เจริญพร เนื้อว่านสีดำ หลังพลอย ปัจจุบันไม่มีแล้วและหายากมาก พวกลูกศิษย์จะหวงกันมาก 2. พระผงสี่เหลี่ยมใหญ่ พิมพ์เจริญพร เนื้อว่านสีดำ 3.พระปิดตาเจริญพร พิมพ์ใหญ่ เนื้อว่านสีดำ รุ่น 1 ลักษณะคล้ายกับพระปิดตาวัดอ่างศิลา 4. พระปิดตาเจริญพร พิมพ์เล็ก เนื้อผงดำ รุ่น 1 ลักษณะคล้ายกับพระปิดตาวัดอ่างศิลา 5. พระปิดตาหน้าทองพรายกุมาร 6. เหรียญนั่งพาน 7. ตะกรุดโทนยาว 5 นิ้ว รุ่นแรกสร้างเพียง 99 ดอก รุ่นนี้เคยมีประสบการณ์ กำนันชื่อดังเคยพกติดตัวไปมีเรื่องทะเลาะวิวาทในร้านอาหาร แต่ปืนคู่อริยิงไม่ออก จากนั้นมาจึงมีการสร้างรุ่น 2 ขึ้นมาอีก 1,000 ดอก นอกจากนี้ยังมีตะกรุดโทนยาว 3 นิ้ว สร้างไว้ 600 ดอก 8. เหรียญรูปเหมือนรุ่น 1 หน้าหนุ่ม ปัจจุบันวัตถุมงคลพวกนี้ยังพอหาเช่าบูชาได้



    “ของพวกนี้มีประสบการณ์ มาแล้วทั้งนั้น ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ ประมาณปี พ.ศ. 2527 ทหารเรือทะเลาะกับทหารอากาศ ยิงปืนใส่ 3 นัด แต่ยิงไม่ออก ตำรวจเก็บลูกปืนไว้เป็นหลักฐาน เมื่อคดีสิ้นสุดลองเอามายิงดู ปรากฏว่า ลั่นเปรี้ยงทุกนัดเลย อีกรายปี พ.ศ. 2542 ชาวบ้านเช่าพระปิดตาพิมพ์เล็กไปลองเอาปืนอาก้ายิงใส่หลายนัด แต่ไม่ถูกองค์พระสักนัดเดียว ตั้ง แต่บัดนั้นก็ขึ้นคอบูชาติดตัวมาตลอด วันหนึ่งเขาไปธุระฝั่งประเทศเพื่อนบ้านแล้วถูกจับตัวเรียกค่าไถ่ โทรศัพท์บอกแม่ให้นำเงินไปจ่ายค่าไถ่ แต่แม่ไปผิดเวลาเขาเลยถูกคนร้ายใช้ปืนกลยิงใส่ แต่ไม่เป็นอะไรเลย มีเพียงจุดแดง ๆ คล้ายผึ้งต่อยเต็มตัว โดยมีรอยกระสุนปืนอยู่ 1 นัด แม่ถามว่า หนังเหนียวนี่ แล้วนัดนี้ทำไมถึงยิงเข้าล่ะ ลูกชายก็บอกว่าเขานึกด่าพวกนั้นในใจ เพราะรำคาญที่รุมยิงกันอยู่ได้ เท่านั้นเองกระสุนเจาะเลือดพุ่งเลย แม่ได้ฟังก็รีบพาลูกไปโรงพยาบาลและพาไปกราบหลวงพ่อ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เหลือเชื่อ แต่เป็นความจริง นอกจากนี้มีทหารอากาศมาฝึกบินใกล้ ๆ วัด หลายคนบอกเห็นหลวงพ่อนั่งสมาธิบนก้อนเมฆด้วย ฝึกเสร็จมาฝากตัวเป็นลูกศิษย์กันแน่นวัดเลย หลวงพ่อท่านก็ไม่ว่า อะไรหยิบน้ำมันงาดิบแจกคนละ 1 ขวดให้ไว้ พกติดตัว” อดีตทหารเรือ กล่าว



    พระกริ่งชินบัญชรโลกนาถ ชุดกรรมการก้นทองคำ


    ปาฏิหารย์ “ยกยอดฉัตร” เททอง “ชินบัญชรโลกนาถ” หลวงปู่บัว เดี่ยวองค์เดียวโดดๆ <TABLE class=contentpaneopen><TBODY><TR><TD vAlign=top width="70%" colSpan=2 align=left>เขียนโดย Administrator </TD></TR><TR><TD class=createdate vAlign=top colSpan=2>Tuesday, 19 October 2010 </TD></TR><TR><TD vAlign=top colSpan=2>[​IMG]
    ปาฏิหารย์ “ยกยอดฉัตร” เจ้าตากนั่งตระหง่านเหนือวัดละหารไร่

    เททอง สามยอดตะวันออก “ชินบัญชรโลกนาถ” หลวงปู่บัว เดี่ยวองค์เดียวโดดๆ
    เมื่อ วันเสาร์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๓ ที่ผ่านมานี้เกิดปาฏิหารย์อย่างเหนือเหตุเหนือผลขึ้นที่วัดละหารไร่ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ก่อนจะถึงพิธีวางศิลาฤกษ์โรงเรียนปริยัติธรรม ทำบุญระลึกถึงหลวงปู่ทิม อิสริโก ที่มรณภาพครบ ๓๕ ปีและยกยอดฉัตร ตอนเช้าเวลา ๘.๔๙ น. ประธานมูลนิธิหลวงปู่ทิมได้จุดธูปจุดเทียนหน้าองค์พ่อปู่ฤาษีอิสริโกมุนี เพื่อบอกกล่าวขออนุญาตเริ่มงานต่อเจ้าที่เจ้าทาง พระเจ้าตาก ทั้งเทวาอารักษ์อย่าให้ฝนตกในระหว่างพิธี พร้อมกันนั้นช่างภาพก็ถ่ายในมุมกว้างเพื่อให้เห็นทั่วบริเวณวัดก็มีลมพัดแรง พอสมควร เมื่อนำภาพออกมาดูก็เห็นเป็นภาพพระเจ้าตากนั่งเมืองอยู่เหนือวัดละหารไร่ คล้ายกับองค์ที่นั่งอยู่ในวิหารเจ้าตากเหนือวังสามพญา ที่มูลนิธิหลวงปู่ทิม อิสริโกและคณะศิษย์หลวงปู่ทิมร่วมกันสร้าง ภาพมหัศจรรยนี้หาดูได้จากเวปอิทธิญาโณ
    ต่อ จากนั้นเวลา ๙.๑๙ น. ได้ทำพิธีบวงสรวงครูบาอาจารย์และวางศิลาฤกษ์โรงเรียนปริยัติธรรม โดยรองผู้ว่าราชการจังหวัดระยองเป็นประธาน เสร็จแล้วทำบุญอุทิศกุศให้หลวงปู่ทิม อิสริโก บรรยากาศในบริเวณวัดละหารไร่ร่มรื่นเย็นสบายมีฝนปะปรายขณะทำพิธีและก็หยุด ทั้งที่ภายนอกมีฝนตกหนักเพราะลมมรสุมพาดผ่านทั่วประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออก เมื่อหลวงปู่บัว ถามโกหรือพระครูสังฆกิจบูรพา วัดเกาะตะเคียน จ.ตราด ยอดพระเกจิอาจารย์ภาคตะวันออกได้เดินทางมาถึง พิธียกยอดฉัตรขึ้นสู่มหาเจดีย์ภาวนาภิรัต (ทิม อิสริโก) โดยผู้ว่าราชการจังหวัดระยองก็เริ่มขึ้น หลวงปู่บัวนั่งบริกรรมข้างองค์พ่อปู่ฤาษีอิสริโกมุนี พร้อมกันนั้นก็เททองหล่อ”ขุนแผนเฝ้าเมือง” และเททองหล่อ “พระกริ่งชินบัญชรโลกนาถ” ขึ้นพร้อมพิธียกยอดฉัตรขึ้นสู่มหาเจดีย์ภาวนาภิรัต ฝนก็โปรยลงมาเล็กน้อยเป็นสัญญาลักษณ์ให้รู้ว่าครูบาอาจารย์เทพพรหม พร้อมทั้งหลวงพ่อคง วัดวังสรรพรสผู้สร้างพระกริ่งโลกนาถอันโด่งดัง และหลวงปู่ทิม ผู้สร้างพระกริ่งชินบัญชร ได้มาพร้อมกันเพื่อร่วมสร้างพระกริ่งชินบัญชรโลกนาถให้บังเกิดความ ศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นหลวงปู่บัว ถามโก นั่งบริกรรมปลุกเสกเดี่ยวองค์เดียวโดดๆตามแบบฉบับของพระเกจิอาจารย์รุ่นเก่า เสร็จแล้วท่านได้ปะพรมน้ำพุทธมนต์วัตถุมงคลทั้งหมดและดับเทียนชัย

    <TABLE border=0 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE border=0 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    พระกริ่งชินบัญชรโลกนาถ ที่หลวงปู่บัว วัดศรีบุรพาราม จ.ตราด เททองพร้อมกับพิธียกยอดฉัตรในครั้งนี้เป็นพระกริ่งที่เททองแบบโบราณในพิธี ทุกองค์เหมือนพระกริ่งมงคลมหาเศรษฐีที่ท่านอาจารย์ได้เททองหล่อโบราณที่วัด ศรีบุรพารามจนโด่งดังเป็นพระกริ่งหายากไปแล้ว ทั้งนี้การที่ท่านเททองหล่อโบราณพระทุกองค์ในพิธีก็ คือการปลุกเสกพระกริ่งชินบัญชรโลกนาถไปอย่างเต็มที่เต็มกำลังคล้ายกับสมัย ที่หลวงปู่ทิม เทพระกริ่งชินบัญชรเมื่อปี ๒๕๑๗ เรียกว่าเสกไปในตัว พระ กริ่งชินบัญชรโลกนาถ ถอดพิมพ์จากพระกริ่งวัดสุทัศน์ที่สมเด็จพระสังฆราชแพ สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ ๑๒ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เป็นผู้สร้างขึ้นในวันเพ็ญเดือน ๑๒ ขณะที่ดำรงสมณศักด์ที่ พระเทพโมลี ในปีพ.ศ.๒๔๔๑ พระองค์ท่านสร้างไว้น้อยมาก เพียง ๙ องค์ จึงเป็นที่เสาะแสวงหากันอย่างมาก มีผู้สู้ราคาเป็นล้าน แต่ก็หายากยิ่ง เมื่อประสก “แพร สีทอง” นักบุญแห่งกรุงเทพฯผู้สร้างสะพานบุญหาปัจจัยไปทำกุศลต่างๆ ได้ปรารถกับผมว่า ต้องการหาปัจจัยสักจำนวนหนึ่งเพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้ากว่า ๗๐๐ ชีวิต รวมถึงค่าภัตตาหารพระเณร วัดโบสถ์รวดิศ ป่าโมกข์ จ.อ่างทอง และทั้งตัวคุณแพร สีทองเองถือได้ว่าเป็นศิษย์เอกและร่วมสร้างพระกริ่งโลกนาถให้หลวงพ่อคง วัดวังสรรพราส จังหวัดจันทบุรี ซึ่งขณะนี้ก็เป็นพระกริ่งที่หายากและมีราคาองค์ละเรือนแสนไปแล้ว ส่วนผมก็เป็นผู้สร้างพระกริ่งชินบัญชรให้หลวงปู่ทิม อิสริโก จนโด่งดัง
    หลวง ปู่ทิม และหลวงพ่อคง เป็นสหธรรมมิกกันและหลวงปู่ทิม เคยพูดถึงหลวงพ่อคงว่า เคยพบกันและหลวงพ่อคงเป็นพระที่มีวิชาอาคมสูงไม่น้อยไปกว่าท่าน ประสกแพร สีทอง ให้ความเห็นว่า หากได้สร้างพระกริ่งขึ้นมาอีกสักครั้งหนึ่งโดยให้ผมเป็นผู้ดำเนินการเพื่อ ให้เป็นสุดยอดของพระกริ่งแห่งภาคตะวันออก และต่อไปในอนาคตอาจเป็นพระกริ่งที่โด่งดังระดับประเทศไม่เฉพาะภาคตะวันออกก็ น่าเป็นได้ ผมก็เห็นดีด้วยแต่มีข้อแม้ว่า พระกริ่งต้องเททองหล่อแบบโบราณทุกองค์ สร้างโดยเปิดเผยตามแบบการสร้างพระกริ่งที่สำคัญๆของผม ท่านประสกแพร สีทองเห็นด้วยและขอถอดแบบ จากพระกริ่งเทพโมลีของสมเด็จสังฆราชแพ วัดสุทัศน์ซึ่งคุณแพร สีทองก็เห็นด้วย เพราะท่านบวชและเป็นพระภิกษุที่วัดสุทัศน์ พระกริ่งสุดยอดปรมาจารย์แห่งภาคตะวันออกจึงจุติขึ้นเมื่อวันเสาร์ที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๕๓ เวลาบ่ายโมงสิบเก้านาที พร้อมกับพิธียกยอดฉัตรขึ้นสู่ยอดเจดีย์ภาวนาภิรัตที่ประกอบพิธีขึ้นเพื่อ ระลึกถึงหลวงปู่ทิม ที่ท่านมรณภาพครบ ๓๕ ปีนับจากปี ๒๕๑๘ ซึ่งหวยรัฐก็ออก ๕๑๘ ในเย็นวันนั้นพอดี ประสบแพร สีทอง ได้มอบชนวนพระกริ่งโลกนาถ หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรสให้ผมใส่เตาหลอมทอง, พร้อมกันนั้นยังมีชนวนพระกริ่งชินบัญชร, ชินบัญชร ญสส. รวมอยู่ด้วย

    <TABLE border=0 align=center><TBODY><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR><TR><TD>[​IMG]</TD><TD>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    ท่านพระอาจารย์บัว หรือหลวงปู่บัว ถามโก เป็นองค์จับสายสิญน์เททองหล่อพระกริ่งชินบัญชรโลกนาถ พร้อมกับพิธียกยอดฉัตรโดยมีลูกศิษย์หลวงปู่ทิมทั่วประเทศร่วมกันชักรอกยอด ฉัตรขึ้นสู่ยอดพระเจดีย์ภาวนาภิรัต มีผู้ว่าราชการจังหวัดระยองเป็นประธาน ฝนโปรยเหมือนเบื้องบนร่วมอนุโมทนาปะพรมน้ำพุทธมนต์ลงมาให้ จากนั้นฟ้าเปิดร่มเย็นตลอดทั้งวัน ภายหลังได้ทุบเบ้าพระกริ่งทั้งหมดพบว่าเททองหล่อได้สวยงามเกือบทั้งหมดเกือบ ไม่มี”สลาก” ติดที่ติดอยู่รอบองค์พระซึ่งต้องตบแต่งใหม่เลย นับเป็นการมหัศจรรย์มากแทบจะไม่มีช่างคณะใดจะเทแบบโบราณได้ดีอย่างนี้ เสร็จแล้วหลวงปู่บัว พรมน้ำพุทธมนต์ช่อพระกริ่ง ทุกช่อและพรมวัตถุมงคลที่หน้าลานพิธี ทั้งพระชัยวัฒน์ประจำตระกูล, พระมหาเศรษฐีนวโกฏิ, และขุนแผนพรายกุมารรุ่นยอดฉัตร ทั้งเนื้อกระยาสารทแก่ผงพราย,เนื้อผง ,พร้อมทั้งพระกริ่งชินบัญชรขนาด ๓๙ นิ้วทั้ง ๒ องค์ที่หน้ารูปหล่อยืนหน้าศาลาหลังใหญ่

    พระ กริ่งชินบัญชรโลกนาถ หรือสามสุดยอดตะวันออก สร้างด้วย เนื้อนวโลหะ ตามสูตรเดิมของสมเด็จพระสังฆราชแพ โดยมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยเพื่อให้เห็นความแตกต่าง มีจำนวนการสร้างประมาณ ๒,๙๙๙ องค์ ค่าบูชาเนื้อนวโลหะ ก้นหุ้มนวะองค์ละ ๑,๕๐๐ บาท พระชัยวัฒน์ชินบัญชรโลกนาถเนื้อนวโลหะ องค์ละ ๕๐๐ บาท สร้างเท่าจำนวนพระกริ่ง สำหรับเนื้อพิเศษต่างๆจะแจ้งให้ทราบภายหลัง ส่วนรายละเอียดอื่นๆท่านสามารถรับฟังได้ในรายการ “เสียงจากประสก” ของคุณ แพร สีทอง ทางสถานีวิทยุ คลื่นความถี่ ๖๓๐ เอเอ็ม หรือเวปไซต์อิทธิญาโณ
    นอก จากจะเททองหล่อพระกริ่งชินบัญชรโลกนาถหรือสามสุดยอดตะวันออก ตามแบบโบราณแล้ว ยังได้หล่อรูปเหมือน”ขุนแผนยอดขุนพล” ขึ้นพร้อมกัน โดยจะประดิษฐานไว้ที่วัดละหารไร่ ๑ องค์ เพื่อให้ผู้คนทั่วสารทิศมากราบไหว้บูชาเพื่อขอความสำเร็จ โชคลาภ และด้านความรัก ส่วนอีกองค์หนึ่งจะนำไปถวายวัดหนองประชุม ต.วังด้ง อ.เมือง จ.กาญจนบุรี (วัดอันเป็นที่เกิดของพ่อเฒ่ายิ้ม ซึ่งเป็นพระอาจารย์อีกองค์หนึ่งที่ประสิทธิประสาทวิชาผงพรายกุมารให้หลวงปู่ ทิม จนหลวงปู่ทิมทำได้ขลังเท่ากับพระขุนแผนกรุเก่าโบราณ) ในวันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ โดยมูลนิธิหลวงปู่ทิม เป็นเจ้าภาพพร้อมแห่ขุนแผนยอดขุนพลไปรอบๆ เมืองกาญจนบุรีด้วย ร่วมทำบุญทอดกฐินเพื่อบูชาพระคุณหลวงปู่ทิม ที่มีต่อครูบาอาจารย์ (พ่อเฒ่ายิ้ม วัดหนองบัว) ไปพร้อมกันด้วย
    พระ กริ่งชินบัญชรโลกนาถนี้ ถอดพิมพ์จาก พระกริ่งเทพโมลี ในครั้งนี้จึงเป็นการสนองความต้องการผู้นิยมพระกริ่งเพื่อให้มีพระกริ่งเทพ โมลีที่เททองแบบโบราณและปลุกเสกเดี่ยวไว้สักการะบูชา การเททองพระกริ่งชินบัญชรโลกนาถ หรือสามสุดยอดตะวันออก แบบโบราณที่ลานวัดละหารไร่ จังหวัดระยอง เมื่อวันเสาร์ที่ ๑๖ ตุลาคม ซึ่งผู้ที่เคารพนับถือหลวงปู่ทิมถือว่าศักดิ์สิทธิ์ เมื่อไปร่วมทำบุญแล้วอธิษฐานขออะไรก็มักประสบความสำเร็จ จึงเททองกัน ณ วันนี้เพื่อให้พระกริ่งได้มีส่วนเกื้อกูลพระพุทธศาสนาจนสำเร็จ แต่ผู้สร้างทั้ง แพร สีทอง และคุณ ชินพร สุขสถิตย์ ก็ยังไม่ลืมการจุติเริ่มแรกของ พระกริ่งเทพโมลี จึงจะนำพระกริ่ง ชินบัญชรโลกนาถ หรือสามสุดยอดตะวันออก ไปประกอบพิธีบวงสรวงและปลุกเสกใน คืนวันเพ็ญขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๒ ของปีนี้ซึ่งตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ณ วัดสุทัศน์เทพวราราม ราชวรมหาวิหารของสมเด็จพระสังฆราชแพ

    [FONT=Tahoma,]ชนวน มวลสารที่ใช้ในการจัดสร้างพระกริ่งชินบัญชรโลกนาถในครั้งนี้ ได้ใช้ชนวนพระกริ่งชินบัญชรของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ ของ อาจารย์ชินพร สุขสถิตย์ เป็นผู้ที่จัดสร้างพระกริ่งชินบัญชร และชนวนพระกริ่งชินบัญชร ญสส. ร่วมกับชนวนพระกริ่งโลกนาถ หลวงพ่อคง วัดวังสรรพรส ของ แพร สีทอง ผู้ซึ่งมีชนวนพระกริ่งโลกนาถมากที่สุด [/FONT]

    [FONT=Tahoma,]การจัดสร้างในครั้งนี้จึงถือได้ว่าเป็นการจัดสร้างสุดยอดพระกริ่งแห่งภาคตะวันออกที่ได้นำสองสุดยอดพระกริ่งมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว [/FONT]

    [FONT=Tahoma,]สำหรับหลวงปู่ทิม และหลวงพ่อคง ท่านเป็นสหธรรมิกกัน หลวงปู่ทิม เคยพูดถึงหลวงพ่อคงว่า เคยพบกันและหลวงพ่อคงเป็นพระที่มีวิชาอาคมสูงไม่น้อยไปกว่าท่าน [/FONT]

    [FONT=Tahoma,]พระกริ่งชินบัญชรโลกนาถ หรือสามสุดยอดตะวันออก สร้างด้วย เนื้อนวโลหะ ตามสูตรเดิมของสมเด็จพระสังฆราช (แพ) โดยมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อยเพื่อให้เห็นความแตกต่าง นอกจากพระกริ่งชินบัญชรโลกนาถแล้ว ยังได้จัดสร้าง "พรายพยัคฆ์ ศรีบูรพา" มีด้วยกันสามขนาด ใหญ่-กลาง-เล็ก จำนวน 5,000 ชุด สร้างด้วยเนื้อนวโลหะผสมชนวนพระกริ่งมงคลมหาเศรษฐี (อาจารย์บัว), ชนวนพระกริ่งชินบัญชรทุกรุ่นที่ได้สร้างไว้ ตัวเสือสง่างามมากใต้ฐานลองอักขระ ตัวขอม บ.ใบไม้ ไว้เป็นสัญลักษณ์ ทุกตัวก่อนปลุกเสกชโลมน้ำมันเสือและน้ำมันงาของหลวงปู่ทิม, ว่าน 108, ว่านดอกทองตัวผู้-ตัวเมีย และน้ำมันงาอันโด่งดังของหลวงพ่อบัว [/FONT]

    [FONT=Tahoma,]วัตถุมงคลทุกองค์ ผ่านพิธีเททองฤกษ์ยกยอดฉัตร เวลา 13.19 น. เมื่อวันที่ 16 ต.ค.2553 วัดละหารไร่ บ้านค่าย จ.ระยอง พิธีพุทธาภิเษกวันเพ็ญเดือนสิบสอง วันที่ 21 พ.ย.2553 วัดสุทัศนเทพวราราม พิธีพุทธาภิเษกและสมโภช, ฉลองพระกริ่งชินบัญชรโลกนาถ วันที่ 19 ธ.ค.2553 วัดโบสถ์วรดิตถ์ พิธีพุทธาภิเษกวาระสุดท้าย วันที่ 4 ก.พ.2554 วัดละหารไร่ อ.บ้านค่าย จ.ระยอง[/FONT]

    [FONT=Tahoma,]วัตถุประสงค์ในการจัดสร้าง 1.สนับสนุนมูลนิธิหลวงปู่ทิม อิสสริโกเพื่อวัดละหารไร่ สร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม, งานยอดฉัตร 2.สนับสนุนวัดโบสถ์วรดิตถ์ สมทบทุนเข้ามูลนิธิ เพื่อพระ-เณรเรียนพระปริยัติธรรมและเด็กกำพร้าร่วม 700 ชีวิต[/FONT]


    พระกริ่งชินบัญชรโลกนาถ ชุดกรรมการก้นทองคำ จำนวนสร้าง ๒๙๙ชุด หมายเลขลำดับที่ ๗๐


    [FONT=&quot]*ปิดรายการนี้ครับ[/FONT]

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_2922.jpg
      SAM_2922.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      158
    • SAM_2923.jpg
      SAM_2923.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.6 MB
      เปิดดู:
      105
    • SAM_2924.jpg
      SAM_2924.jpg
      ขนาดไฟล์:
      653.7 KB
      เปิดดู:
      157
    • SAM_2925.jpg
      SAM_2925.jpg
      ขนาดไฟล์:
      714.2 KB
      เปิดดู:
      106
    • SAM_2926.jpg
      SAM_2926.jpg
      ขนาดไฟล์:
      427.9 KB
      เปิดดู:
      147
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2011
  17. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    กุมารดูดทรัพย์ น้ำมันพราย และสีผึ้ง

    [​IMG]
    พรายกุมาร หรือกุมารดูดทรัพย์ สร้างตามแบบฉบับของหลวงปู่ทิม ลักษณะเป็นรูปกุมารที่นอนอยู่ในท้องแม่ มีขนาดโตจนใกล้คลอด ปากดูดรกซึ่งเป็นอาหาร ที่แม่กินเข้าไป แล้วส่งมาหล่อเลี้ยงกุมารทางสายรก ซึ่งถือว่ากินไม่รู้จบ เป็นเคล็ดอย่างหนึ่งที่หลวงปู่ทิมท่านให้สร้างกุมารในลักษณะนี้ เพื่อจะให้กุมารได้ช่วยทำมาหากิน หาเงิน หาทอง ให้ผู้เป็นเจ้าของตลอด แบบมีกินไม่รู้จบ กุมารทองดูดทรัพย์สร้างไว้ทั้งหมด ๔ แบบ ขนาด จัมโบ้จำนวน ๒๒ องค์ จะอยู่ในอ้อมแขนของขุนแผน มีให้บูชา ตนละ ๘,๐๐๐ บาท ถัดมาเป็นกุมารขนาดใหญ่ จำนวนเพียง ๕๒๒ ตน ขนาดกลาง และขาดเล็ก สร้างจำนวน ๒,๒๒๒ ตน กุมารทุกตนจะย่างในน้ำมันพรายอีส้ม ในเย็นวันพฤหัสบดีที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๔ ซึ้งเป็นวันขึ้นปีใหม่ของพี่น้องไทยเชื่อสายจีนและเถลิงศกใหม่วัดละหารไร่ก็ จะประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์หอระฆังบริเวณหน้าศาลาวิจิตรธรรมาภิรัต มูลนิธิหลวงปู่ทิมก็จะประกอบพิธีพุทธาภิเษกและสมโภช พระกริ่งชินบัญชรโลกนาถเป็นครั้งสุดท้าย พร้อมกันนั้นจะประกอบพิธีอัญเชิญขุนแผนยอดขุนพลบ้านค่ายและพรายอีสี้ม เข้าสุ้มขุนแผนและจะหุงสีผึ้ง กวนน้ำมันพราย และทำพิธีย่างกุมารไปพร้อมกัน การหุงสีผึ้ง กวนน้ำมันพราย และย่างกุมาร จะทำตามแบบโบราณกันราชวัตตรฉัตรธง ดาดเพดานด้วยผ้าขาวลงพระยันต์ตรีนิสิงเห ยันต์มหาราช ยันต์แปดทิศ ยันต์ห้ายันต์ครูหลวงปู่ทิม จะตั้งก้อนเสา กวนสีผึ้งและย่างกุมารในน้ำมันพราย มีพระเกจิอาจารย์ศิษย์หลวงปู่ทิม นั่งปรกปลุกเสกสี่ทิศ มีหลวงพ่อสินวัดละหารใหญ่ หลวงพ่อศุข วัดป่าประดู่ จังหวัดระยอง หลวงพ่อสุข วัดหนองฆ้อ ศิษย์ฆารวาส ศิษย์คนสุดท้ายของหลวงปู่ทิมที่ปลุกเสกแล้วตระกรุดไม่ละลายในความร้อน กว่า ๑,๐๐๐ องศา มาประกอบพิธี กวนสีผึ้ง และย่างในน้ำมันพราย โดยเอาอีสีผึ้งพรายอีส้ม ที่หลวงปู่ทิมทำไว้เป็นครั้งสุดท้ายเมื่อปลายปี ๒๕๑๘ แล้วมอบให้หลวงตารอดเก็บรักษาไว้ ได้มอบให้อาจารย์ชินพรมาส่วนหนึ่ง คล้ายกับจะรู้ล่วงหน้าว่าต้องเอามาทำของสำคัญหาเงินช่วยวัด
    <table align="center" border="0"><tbody><tr><td><table width="473" align="center" border="0" height="302"><tbody><tr><td>[​IMG]
    กุมารดูดทรัพย์ขนาดกลาง​






    </td><td>[​IMG]


    </td><td>[​IMG] </td></tr></tbody></table></td><td>
    </td><td>
    </td></tr></tbody></table>กุมารดูดทรัพย์ ขนาดกลางนี้ สร้างจากชนวนพระกริ่งตะกูลชินบัญชร บรรจุผงพรายกุมาร ให้บูชาพร้อมสีผึ้ง ภาพยันต์เสกหลวงปู่ทิม และวิธีใช้ ครบชุดครับ
    ของแรงๆ สุดขลังแบบนี้หายากจริงๆครับ


    [FONT=&quot]*ปิดรายการนี้ครับ*[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_3141.jpg
      SAM_3141.jpg
      ขนาดไฟล์:
      925 KB
      เปิดดู:
      150
    • SAM_3143.jpg
      SAM_3143.jpg
      ขนาดไฟล์:
      721.8 KB
      เปิดดู:
      94
    • SAM_3139.jpg
      SAM_3139.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      97
    • SAM_3140.jpg
      SAM_3140.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      98
    • SAM_3144.jpg
      SAM_3144.jpg
      ขนาดไฟล์:
      599 KB
      เปิดดู:
      88
    • SAM_3138.jpg
      SAM_3138.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.7 MB
      เปิดดู:
      168
    • get_auc2_img.php.jpeg
      get_auc2_img.php.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      72.4 KB
      เปิดดู:
      121
    • get_auc1_img.php.jpeg
      get_auc1_img.php.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      57.4 KB
      เปิดดู:
      119
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 เมษายน 2011
  18. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    พระชุดของขวัญ ปี2000 หลวงตาม้า วัดพุทธพรหมปัญโญ


    เป็นรุ่นพิเศษที่สร้างเมื่อคราวที่ฉลองเปลี่ยนชื่อวัด จากสำนักสงฆ์ เป็นวัดพุทธพรหมปัญโญ
    หลวงตาม้าได้เก็บพระชุดนี้ไว้และอธิษฐานจิตอยู่นานถึง 9 ปีเต็ม ถือเป็นวัตถุมงคลยุคต้้นๆของท่าน ที่พระฐานมีจารทุกองค์


    [FONT=&quot]*ปิดรายการนี้ครับ*[/FONT][FONT=&quot][/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_2524.jpg
      SAM_2524.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.6 MB
      เปิดดู:
      282
    • SAM_2525.jpg
      SAM_2525.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      197
    • SAM_2526.jpg
      SAM_2526.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.2 MB
      เปิดดู:
      178
    • SAM_2527.jpg
      SAM_2527.jpg
      ขนาดไฟล์:
      626.9 KB
      เปิดดู:
      208
    • SAM_2529.jpg
      SAM_2529.jpg
      ขนาดไฟล์:
      454.9 KB
      เปิดดู:
      199
    • SAM_2530.jpg
      SAM_2530.jpg
      ขนาดไฟล์:
      522.3 KB
      เปิดดู:
      190
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 ตุลาคม 2011
  19. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    พระซุ้มเศรษฐี พระอาจารย์ผดุง วัดล้านตอง เนื้อผงใบลานโรย เกศาครูบาเจ้าศรีวิไชย

    หรือที่ชาวภาคเหนือเรียกว่า พระเกศาครูบาเจ้าศรีวิไชย พิมพ์พระประธานซุ้มประสาทล้านนา(ซุ้มเศรษฐี)

    จัดสร้างในช่วงประมาณปี 2540 ออกโดยวัดล้านตอง
    ซึ่ง ทางวัดล้านตอง ได้รับมอบเส้นเกศาครูบาเจ้าบรรจุในกระบอกไม้ไผ่ลงรักไว้เป็นอย่างดีจากศิษย์ ใกล้ชิดของครูบาเจ้าท่านหนึ่งคือ พ่อหนานดวงต๋า ปัญญาเจริญ(อดีตผ้าขาวดวงต๋า) ซึ่งท่านได้เก็บรักษามาตั้งแต่สมัยที่ครูบาเจ้าท่านยังมีชีวิตอยู่ ทางวัดจึงได้นำเส้นเกศาครูบาเจ้าที่ได้รับมอบมาจากพ่อหนานดวงต๋ามาจัดสร้าง พระเกศาครูบาเจ้าศรีวิไชยขึ้น นำไปเข้าพิธีอธิฐานจิตปลุกเสกหมู่ร่วมกับวัตถุมงคลของหลวงปู่ครูบาน้อย วัดบ้านปง แล้วนำมาแจกจ่ายให้ผู้ที่เคารพศรัทธาได้เก็บนำไปบูชา ส่วนหนึ่งได้ออกเพื่อร่วมทำบุญสร้างวิหารวัดล้านตอง พระเกศาที่ได้จัดสร้างขึ้นในคราวเดียวกันนี้สร้างกันอยู่หลายพิมพ์ด้วยกัน ซึ้งเป็นเนื้อผงตามแบบสมัยนิยม บางองค์ได้นำมาปิดทอง ล่องชาดอย่างสวยงามครับ นับว่าเป็นพระเกศาที่ทราบประวัติการสร้างอย่างชัดเจน น่าเก็บน่าใช้บูชาอย่างยิ่งครับ องค์นี้เนื้อผงใบลานโรยเกศาครูบาเจ้าศรีวิไชยครับ
    [​IMG]



    [FONT=&quot]*[/FONT][FONT=&quot]*ปิดรายการนี้ให้[/FONT][FONT=&quot]สหายครับ[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • molee5.jpg
      molee5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      125.9 KB
      เปิดดู:
      1,648
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กันยายน 2012
  20. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]


    หลวงปู่หุนหรือพระครูศุภมงคล วัดบางผึ้ง ฉะเชิงเทรา

    ท่านถือเป็นพระสุปฏิปันโนแห่งภาคตะวันออก

    หลวงปู่หุนอายุ 93 ปี ท่านบวชตั้งแต่เป็นเณร จนเมื่อครบบวชพระ ท่านก็ได้บวชพระและออกร่ำเรียนกับพระอาจารย์เก่ง ๆ ในสมัยนั้นมากมาย โดยเฉพาะหลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา
    เมื่อครั้งเกิดสงครามยุคมหาเอเชีย (พ.ศ. 2483) จอมพล พิบูลย์สงครามได้ขอให้หลวงพ่อจาด ช่วยทำตะกรุดแจกทหาร จนเกิดประสบการณ์มีชื่อเสียงเรียงสนั่นในยุคนั้น ครั้นมีเครื่องบินของฝรั่งเศสมาทิ้งระเบิดใส่ทหาร หากแต่ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บเลย
    หลวงปู่หุนนี่แหละที่ท่านเป็นผู้ม้วนตะกรุดและพันตะกรุดให้หลวงพ่อจาดในเวลานั้น และคอยรับใช้ในเรื่องต่าง ๆ มากมาย
    จนกระทั่งหลวงพ่อจาดเมตตาในความขยันและความเป็นผู้อ่อนน้อมของท่าน จึงเมตตามาก รักเหมือนลูก สอนวิชาอาคมต่าง ๆ ให้จนหมดสิ้น สอนวิชาปลุกเสกพระ วิชาเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี
    โดยเฉพาะวิชาบังไพร หลวงพ่อจาดท่านเก่งมากหลายครั้งหลวงพ่อจาดท่านจะเรียกหลวงพ่อหุนให้มาร่วม ปลุกเสกเหรียญและตะกรุดด้วยกันเพื่อต้องการทดสอบลูกศิษย์ จนหลวงพ่อจาดเอ่ยชมว่า

    "เอ็งนี่แน่ เสกได้เหมือนข้าไม่มีผิด ได้ดั่งใจข้าจริง ๆ "

    จากนั้นหลวงพ่อหุนท่านก็ได้ขอลาหลวงพ่อจาด ออกร่ำเรียนต่อไปอีกจนมาพบหลวงพ่อทอง วัดก้อนแก้ว ชาวบ้านแถวนั้นรู้จักดี เพราะหลวงพ่อทองท่านเก่งมากในเรื่อวิปัสสนากรรมฐาน ช่วยเหลือชาวบ้านในเรื่องต่าง ๆ ทั้งเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เดือดร้อนล้มละลายเจ็บไข้หลวงพ่อทองท่านช่วยได้
    หลวงพ่อหุนท่านจึงฝากเนื้อฝากตัวเป็นศิษย์อยู่นานถึง 7 ปี เรียนวิชาท่านมาทั้งหมด หลวงพ่อทองท่านได้แนะนำหลวงพ่อหุนให้ไปหาหลวงปู่คำปั่น พระสายเขมรเพื่อร่ำเรียนวิชา ต่อ
    หลวงพ่อหุนท่านก็ออกธุดงไปจนได้พบและโดนหลวงปู่คำปั่นทดสอบวิชามากมาย
    มีคืนหนึ่ง หลวงปู่คำปั่น ได้เสกท่อนฟืนเผาผีเป็นตะขาบนับร้อยตัว ยั๊วเยี๊ยไปหมด หลวงปูหุนได้ร่างคาถาท่องมนต์และลูบตัวตะขาบ เท่านั้นตะขาบก็กลับไปเป็นท่อนฟืนดังเดิม ถัดจากตะขาบก็เสกก้อนถ่าน กลายเป็นผึ้งนับพันตัว หลวงปู่หุนท่านหยิบดิน 1 กำเสกคาถา1 อึดใจ แล้วลืมตาโปรยดินใส่ฝูงผึ้ง จากนั้นผึ้งก็กลายเป็นกองถ่านดังเดิม
    เมื่อทดสอบวิชาผ่าน หลวงปู่คำปั่นจึงสอนวิชาให้จนหมดสิ้น แล้วท่านจึงได้ลาหลวงปู่คำปั่นเพื่อศึกษาต่อไป
    ปัจจุบันหลวงปู่หุนท่านเป็นเจ้าอาวาสที่วัดบางผึ้ง ฉะเชิงเทรา จากวิชาที่ท่านร่ำเรียนมา ท่านคอยช่วยเหลือลูกศิษย์มากมาย ช่วยได้ทุกเรื่อง เศรษฐีแถวนั้นนับถือท่านมาก เพราะหลวงปู่ได้ช่วยไว้เยอะจากล้มละลายกลายเป็นอภิมหาเศรษฐี จากคนจนกลายเป็นคนรวย หลวงปู่นี่แหละเสกแผ่นทองเข้าตัว เสกตั๋วให้เป็นเงิน
    นับว่าท่านเป็นพระสุปฏิปันโนแห่งลุ่มน้ำบางปะกง

    พระกริ่งศุภมงคลและ เหรียญนั่งพานรุ่นแรก หลวงปู่หุน วัดบางผึ้ง จ.ฉะเชิงเทรา ชุดกรรมการหมายเลข ๗๘
    ชุดกรรมการ ที่ลงมี 8 รายการดังนี้

    1. พระกริ่งศุภมงคลรุ่นแรก เนื้อนวะโลหะก้นเงินเกศเงิน 1 องค์
    2. เหรียญนั่งพานเนื้อนวะโลหะหน้ากากเงิน 1 เหรียญ
    3. เหรียญนั่งพานเนื้อปลอกลูกปืนหน้ากากอัลปาก้า 1 เหรียญ
    4. เหรียญนั่งพานเนื้อตะกั่วหน้ากากทองฝาบาตร 1 เหรียญ
    5. เหรียญนั่งพานเนื้อตะกั่วหลังเรียบจารมือ 1 เหรียญ
    6. เหรียญนั่งพานเนื้อตะกั่ว 3 เหรียญ
    พร้อมกล่องเดิมจากวัด
    อนาคตไกลครับรุ่นนี้!


    [FONT=&quot]ให้บูชา 7,450บ. ครับ[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_3146.jpg
      SAM_3146.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.8 MB
      เปิดดู:
      64
    • SAM_3148.jpg
      SAM_3148.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.7 MB
      เปิดดู:
      98
    • SAM_3149.jpg
      SAM_3149.jpg
      ขนาดไฟล์:
      2.2 MB
      เปิดดู:
      311
    • SAM_3150.jpg
      SAM_3150.jpg
      ขนาดไฟล์:
      2 MB
      เปิดดู:
      78
    • SAM_3152.jpg
      SAM_3152.jpg
      ขนาดไฟล์:
      2.4 MB
      เปิดดู:
      74
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 มกราคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...