<VSN><<<มาใหม่ สายเขาอ้อ อ.ชุม,อ.ปาล,อ.คง, สรุปรายการหน้า๑๐๓>>><NSV>

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย momotaro67, 25 ธันวาคม 2010.

  1. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457

    ปิดสองรายการนี้ให้พี่นอกเว็ปครับ
     
  2. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    ปิดหนึ่งองค์ให้พี่นอกเว็ปครับ
     
  3. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]
    โดย.. พระมหาวีระ ถาวโร (ท่านเจ้าคุณพระราชพรหมยานมหาเถระ)
    (บรรยายเมื่อ วันพุธที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘)
    เรื่องมีอยู่ว่า... ท่านพลตรียุทธศิลป์ เกสรศุกร์ ผู้บัญชาการกองพลที่ ๓ (ยศและตำแหน่งสมัยนั้น) ได้นิมนต์ หลวงพ่อพระมหาวีระ ถาวโร (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ) พร้อมด้วยพระเถระ รวม ๖ รูป เพื่อไปบำรุงขวัญของทหารในเขตกองทัพภาคที่ ๒ โดยนำผ้ายันต์พิชัยสงครามและเหรียญเอกราชไปแจกให้แก่ทหารตามฐานปฏิบัติการ ชายแดน ระหว่างวันที่ ๒๐-๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘ และในวันสุดท้ายคือวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๑๘ ได้ทำการแจกให้แก่ทหาร ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา และก่อนทำการแจกได้แสดงธรรมิกถาพิเศษ เรื่อง “อนาคตของชาติ” ณ พุทธศาสนสถาน ค่ายสุรนารี จ.นครราชสีมา
    มูลเหตุที่มาแจกวัตถุมงคล
    “..เจริญสุข แก่บรรดาทหารของชาติทุกท่าน อาตมาได้ไปทำการจากจ่ายผ้ายันต์และเหรียญแก่ทหารทางภาคเหนือมาแล้ว ๓ ครั้ง ต่อมาได้ทราบจากข้าหลวงของสมเด็จพระบรมราชินีนาถว่า “...สมเด็จพระบรมราชินีนาถทรงปรารภว่า หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านไม่ห่วงทหารภาคอีสานหรืออย่างไร จึงไม่ไปแจกของแก่ทหารทางภาคอีสานบ้าง..”
    ความจริงอาตมาห่วงทหารทางภาคอีสานเช่นเดียวกับทหารทางภาคเหนือ เมื่อท่านผู้บัญชาการกองพลที่ ๓ รับจะอำนวยความสะดวกในการเดินทางมาแจกจ่าย จึงได้นำสิ่งของมาแจกให้ครั้งนี้
    ขั้นแรกอนุศาสนาจารย์ได้อาราธนาให้แสดงธรรม ต่อมาท่านผู้บัญชาการกองพลได้อาราธนาให้เล่าเรื่องของที่นำมาแจกจ่ายว่าทรง คุณค่าอย่างไรบ้าง ผู้ที่ได้รับแจกไปจะได้เกิดศรัทธาความเชื่อมั่น
    เพื่อสนองเจตนาของอนุศาสนาจารย์และท่านผู้บังคับบัญชากองพลที่ ๓ ได้อาราธนาจึงขอพูดเรื่องธรรมะก่อนสักเล็กน้อย จากนั้นจึงจะพูดถึงเรื่องสิ่งของที่นำมาแจกจ่าย
    เราทุกคนอยากมีความดีด้วยกันทั้งนั้น แม้บางคนนึกว่าตนเองอยากมั่งอยากมี อยากมียศมีอำนาจ แต่ความจริงแล้วก็คืออยากมีดีนั่นเอง
    แม้เราจะมียศสูง แต่ถ้าใครมาว่าเราเป็นคนไม่ดี เราก็ไม่ชอบ เพราะฉะนั้นใครจะอยากอะไรก็ตามเถอะ แต่ที่สุดของความอยากนั้นก็คือความดีนั่นเอง
    รักษาศีล 5 ให้ได้
    ความดีนั้นมีกฏเกณฑ์ที่เราจะต้องทำเป็นเบื้องต้น 5 ประการ คือ
    1. เราไม่อยากให้ใครมาฆ่า รังแก ข่มเหงเรา เราก็อย่าไปฆ่า ไปรังแก ไม่ข่มเหงเขา
    2. เราไม่อยากให้ใครมาลักของๆ เรา เราก็อย่าไปลักของๆ เขา
    3. เราไม่อยากให้ใครมาผิดลูกผิดเมียเรา เราก็อย่าไปผิดลูกผิดเมียเขา
    4. เราไม่อยากให้ใครมาโกหกเรา เราก็อย่าไปโกหกเขา
    5. เราไม่อยากเป็นคนบ้า ก็อย่าไปดื่มสุราเมรัย เพราะถ้าเราดื่มสุรามากๆ เราจะกลายเป็นคนบ้า

    เจริญพรหมวิหาร ๔ ไว้
    ความดีที่สูงขึ้นไปอีกที่เราควรประพฤติเป็นหลักในการดำรงชีวิต เพื่อความสุขความเจริญแก่ตนเองคือ พรหมวิหาร มี ๔ ประการคือ
    1. เมตตา ความรัก เราต้องรักตัว รักครอบครัว รักญาติพี่น้องหมู่คณะ ตลอดจนถึงรักประเทศชาติ
    2. กรุณา ความสงสาร ที่มีต่อบุคคลที่ตกทุกข์ได้ยาก อยากให้เขาพ้นจากความทุกข์ทรมานที่เขารับอยู่
    3. มุทิตา ยินดีด้วยเมื่อบุคคลอื่นได้ดีมีความสุข ไม่ริษยาเขา เขาได้ดีก็ชื่นชมอนุโมทนาด้วย
    4. อุเบกขา วางเฉย เช่น เมื่อลูกของเรา ญาติพี่น้อง หรือพรรคพวกของเราไม่ทำผิด เราต้องวางตัวเป็นกลาง เมื่อเขาจะได้รับโทษก็ถือเป็นกรรมของเขา ไม่ช่วยเหลือเขาในทางที่ผิด

    เว้นจากความลำเอียงทั้ง ๔ ประการ
    ผู้ที่จะมีคุณธรรมในข้อที่ ๔ นี้จำเป็นจะต้องมีคุณธรรมข้ออื่นสนับสนุน คือเราต้องเว้นจาก อคติ คือ
    ๑. ความลำเอียงเพราะความรัก
    ๒. ความลำเอียงเพราะความชัง
    ๓. ความลำเอียงเพราะความหลง
    ๔. ความลำเอียงเพราะความกลัว

    ทหารแปลว่าคนหนุ่ม
    ทหารทุกคนต้องเป็นคนหนุ่ม แม้จะแก่อายุมากแล้วก็ต้องทำตัวเป็นคนหนุ่ม เพราะคำว่า ทหาร แปลว่า คนหนุ่ม
    คนหนุ่มนั้นจะต้องเป็นคนแข็งแรงว่องไวกล้าหาญบึกบึน มีไหวพริบปฏิภาณดี มีความสามัคคีรักใคร่กัน ไม่ทอดทิ้งกันเมื่อมีภัย ตั้งตนอยู่ในความไม่ประมาท
    และข้อสำคัญที่สุดนั้นต้องยอมตายเพื่อประเทศชาติบ้านเมืองเมื่อถึงคราวจำ เป็น นี้พูดอย่างทหาร เพราะอาตมาเคยเป็นทหารเรือมาแล้ว ย่อมรู้จักชีวิตวิญญาณของทหารดี
    ทหารไปรบถือว่าทำเพื่อชาติบ้านเมือง
    ทหารที่ไปราชการสงครามเพื่อป้องกันอริราชศัตรูนั้น หากไปฆ่าข้าศึกศัตรูก็ไม่ถือว่าเป็นความชั่ว แต่เป็นการทำดีต่างหาก เพราะเราทำหน้าที่ป้องกันสิ่งที่ดีงามเอาไว้
    ความดีนั้นคือความอยู่รอดของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความสงบสุขของปวงชนในผืนแผ่นดินไทยทุกคน

    ความสงบสุขนั้นเป็นยอดของความดีทั้งมวล การที่เรายอมเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตของเราเพื่อรักษาความดีทั้งหลายดังกล่าวมาแล้วนั้นไว้
    จึงได้ชื่อว่าเราทุกคนได้ทำความดี สมศักดิ์ศรีของทหารไทย จึงไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นบาปกรรม
    ภูอันธพาล (ภูพาน)
    อาตมาขึ้นเครื่องบินผ่านภูอันธพาล ไม่อยากเรียกว่า "ภูพาน" ดังที่เขาเรียกกัน เพราะภูนี้มีแต่พวกอันธพาลทั้งนั้น ได้พิจารณาถึงเหตุการณ์บ้านเมืองและการสู้รบของทหารเห็นว่า
    เราทุกคนจะไม่แพ้ จะไม่ต้องตกเป็นทาสของใครๆ ดังที่พวกเราพากันวิตกกังวลกันอยู่ในขณะนี้
    แม้แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงปริวิตกและทรงมีความห่วงใยประเทศชาติบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง
    ดังจะเห็นได้ว่า เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๘ พระองค์พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมราชินีนาถได้เสด็จไปยังวัดของอาตมา (วัดท่าซุง) และได้ตรัสถามความเป็นไปของบ้านเมืองในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร

    อนาคตของชาติ
    อาตมาได้ถวายพระพรพระองค์ว่า “ประเทศชาติบ้านเมืองของเราจะไม่ตกเป็นทาสของใคร อาตมาขอถวายชีวิตเป็นประกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ นับตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๐ เป็นต้นไป ประเทศไทยจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ ความเยือกเย็นจะเริ่มปรากฏ ความมั่งคั่งสมบูรณ์จะมีขึ้นแก่ประเทศชาติและประชาชน แต่จะยังไม่ปรากฏชัดนัก แต่เราจะมองเห็นได้ชัดๆ ก็ต้องปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เปรียบเหมือนอรุณได้ขึ้นดีแล้วและเริ่มฉายแสงให้เห็นความมืดหมดไป”
    ที่อาตมากล้ายืนยันต่อพระองค์เช่นนั้น ก็เพราะเหตุผลหลายประการ คือ
    คำทำนายของพระพุทธโฆษาจารย์
    ในประการแรก อาตมาได้พบและได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งเป็นสมุดข่อย ซึ่งพระอรหันต์ในอดีตนาม ว่า พระพุทธโฆษาจารย์ (ลำใย) เขียนไว้ ทำนายชะตาบ้านเมืองก่อนที่กรุงศรีอยุธยาจะแตกเสียอิสรภาพแก่พม่า ก่อนที่กรุงเทพฯ ยังไม่ปรากฏ
    โดยท่านได้เขียนทำนายไว้ว่า
    “กรุงศรีอยุธยาจะต้องถูกข้าศึกตีแตก แจ่จะเสียอิสรภาพไม่นานนัก จะมีคนดีของกรุงศรี
    อยุธยามากู้ชาติ แต่เมื่อกู้ชาติได้แล้วจะต้องไปตั้งเมืองหลวงอยู่ใหม่”

    และเหตุการณ์ต่างๆ ของกรุงศรีอยุธยาก็ได้เป็นจริงตามคำทำนายทุกอย่าง
    ทำนายเหตุการณ์ล่วงหน้าทั้ง ๑๐ รัชกาล
    ในสมุดข่อยเล่มเดียวกันนี้ พระพุทธโฆษาจารย์ได้กล่าวทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแก่กรุงเทพมหานคร เมืองหลวงใหม่ ในวันข้างหน้า ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นแต่ละรัชกาลดังนี้
    รัชกาลที่ ๑. ทำนายว่า มหากาฬผ่านมหายักษ์
    รัชกาลที่ ๒. ทำนายว่า รู้จักธรรม
    รัชกาลที่ ๓. ทำนายว่า จำต้องคิด
    รัชกาลที่ ๔. ทำนายว่า สนิทธรรม
    รัชกาลที่ ๕. ทำนายว่า จำแขนขาด
    รัชกาลที่ ๖. ทำนายว่า ราษฎร์ราชาโจร
    รัชกาลที่ ๗. ทำนายว่า นั่งทนทุกข์
    รัชกาลที่ ๘. ทำนายว่า ยุคทมิฬ
    รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว
    รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล
    ความแม่นยำของคำทำนาย
    เมื่อพิจารณาถึงคำทำนายและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่ละรัชกาลก็จะเห็นได้ชัดว่า คำทำนายนั้นถูกต้องเพียงใด
    รัชกาลที่ ๑. ผ่าน พระเจ้าตากสิน ขึ้นครองราชย์สมบัติ
    รัชกาลที่ ๒. ท่านว่างจากศึกสงครามก็หันมาทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้พระสงฆ์ค้นคว้าพระธรรมวินัยรวบรวมกันเป็นการใหญ่
    รัชกาลที่ ๓. ท่านมีหัวคิดริเริ่มหาเงินมาสร้างสรรค์บ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองปรากฏมาจนถึงทุกวันนี้
    รัชกาลที่ ๔. ท่านสนิทธรรมก็เพราะพระราชาองค์นี้ทรงผนวชถึง ๒๗ พรรษา มีความคล่องตัวในพระธรรมวินัย ทรงไว้ซึ่งพระไตรปิฎกอย่างแตกฉาน และยังมีความสนิทสนมกับ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) อย่างยิ่ง เป็นคู่บารมีกัน
    รัชกาลที่ ๕. จำแขนขาด เราเห็นได้ชัดมาก เพราะเราต้องเสียดินแดนไปหลายครั้งหลายหน โดยพระองค์ทรงยอมเสียแขนขาดีกว่าเสียตัวทั้งหมด คือยอมเสียผืนแผ่นดินบางส่วน เพื่อรักษาเอกราชของชาติไว้
    รัชกาลที่ ๖. เป็นโจร เพราะทรงใช้จ่ายเงินในท้องพระคลังจนหมดสิ้น แต่อาตมาเห็นว่าพระองค์ทรงเป็นนักชาตินิยม มีพระปรีชาสามารถปลุกใจประชาชนให้รักชาติบ้านเมือง เช่นมีเพลงบทหนึ่งทรงพระนิพน์ ไว้ว่า “ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำร่ำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย” ทรงเป็นนักประชาธิปไตย จึงได้ทำทุกอย่างให้บุคคลอื่นเห็นว่า พระองค์ไม่ทรงถือพระองค์ เช่น แสดงมหรสพ เล่นโขนกับข้าราชบริพาร
    ยิ่งกว่านั้นพระองค์ยังสามารถทำให้ประเทศไทยเป็นที่ปรากฏแก่ชาวโลก โดยส่งทหารไปช่วยสงครามโลกครั้งที่ ๑. จึงจำเป็นต้องใช้เงินมาก แม้จะใช้เงินมาก แต่ประโยชน์ก็เกิดแก่ประเทศชาติอย่างหนัก
    รัชกาลที่ ๗. นั่งทนทุกข์ พระองค์เสวยราชสมบัติอยู่ในเกณฑ์ตกอับพอดี เงินในท้องพระคลังก็หมดมาแต่รัชกาลก่อน
    พระองค์จึงทรงประทับอยู่บนกองทุกข์ต้องดุลข้าราชการออกเป็นจำนวนมาก เท่านั้นยังไม่พอ ต่อมาพระองค์ต้องจำพระทัยสละราชสมบัติ ไปนั่งทนทุกข์อยู่ต่างแดน จนสิ้นพระชนม์

    รัชกาลที่ ๘. ยุคทมิฬ บ้านเมืองอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่ ๒. ประชาชนตกอยู่ในสภาพบ้านแตก อดอยากยากแค้นแสนสาหัส พระมหากษัตริย์ก็ถูกลอบปลงพระชนม์จนสวรรคต
    รัชกาลที่ ๙. ทำนายว่า ถิ่นกาขาว เราก็เห็นแล้วว่าฝรั่งมาอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง ล้วนแต่คนผิวขาวทั้งนั้น
    สำหรับรัชกาลต่อไป คือ รัชกาลที่ ๑๐. ทำนายว่า ชาววิไล หมายความว่า บ้านเมืองเราได้ผ่านยุคเข็ญมาแล้ว จะได้ประสบความเจริญรุ่งเรืองกันเสียที เราจะมั่งคั่งสมบูรณ์เหมือนนานาอารยะประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย
    ราชวงศ์จักรีจะมีเพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้นรึ?
    ปัญหาที่น่าคิดต่อไปก็คือว่า
    ทำไมพระพุทธโฆษาจารย์จึงทำนายเหตุการณ์บ้านเมืองไว้เพียง ๑๐ รัชกาลเท่านั้น? กรุงเทพมหานครจะมีพระมหากษัตริย์เพียง ๑๐ พระองค์เท่านั้นหรือ?

    เป็นเรื่องที่อาตมาสนใจเป็นพิเศษ
    จึงได้สอบถามเรื่องนี้กับ หลวงพ่อปาน และพระอาจารย์ ต่างๆ ซึ่งจิตของท่านเป็นสมาธิเข้าถึงขั้นอภิญญา สามารถที่จะรู้จริงในเรื่อง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งก็ยังมีอยู่หลายๆ องค์ในขณะนี้
    ทุกๆ รูปที่อาตมาสอบถามจากท่าน ต่างก็ยืนยันตรงกันว่า

    พระมหา กษัตริย์จะยังคงมีอยู่คู่กับชาติไทยตลอดไปอีกนาน มิใช่เพียงแค่ ๑๐ พระองค์เท่านั้น แต่ที่พยากรณ์ไว้เพียงแค่นั้นก็เพราะว่าเริ่มตั้งแต่รัชกาลที่ ๑๐. เป็นต้นไป บ้านเมืองจะมั่งคั่งสมบูรณ์ ร่มเย็นผาสุก ประชาชนในชาติจะร่ำรวย ประเทศไทยจะเป็นประเทศมหาอำนาจประเทศหนึ่ง ซึ่งจะมีแต่ความเจริญตลอดไป ไม่ล้มลุกคลุกคลานดังที่แล้วมา จึงไม่จำเป็นจะต้องพยากรณ์ต่อไปอีก”
    พระพุทธทำนายเหตุการณ์ของโลก
    ประการที่ ๒. ที่ยืนยันว่าประเทศไทยจักไม่ตกเป็นทาสของใครๆ นั้นคือ พระพุทธทำนายเหตุการณ์ของโลก พระพุทธทำนายนี้ก็มีปรากฏในสมุดข่อยของพระพุทธโฆษาจารย์เช่นเดียวกัน ซึ่งมีข้อความปรากฏโดยสังเขปดังนี้
    “..อานันทะ ดูก่อน อานนท์ โลกต่อไปจะเต็มไปด้วยความเร่าร้อน ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปี (ประมาณ พ.ศ.๒๔๘๕) จะมีฝนเหล็กตกจากอากาศ จะมีไฟลุกจากอากาศ เหล็กกล้าจะผุดจากน้ำมาทำลายมนุษย์ มนุษย์และสมณะชีพราหมณ์จะตายกันมาก
    แต่ว่า.. อานนท์ ความเร่าร้อนก่อนกึ่งพุทธกาลนั้น ยังมีความเร่าร้อนน้อยกว่า ความเร่าร้อนหลังกึ่งพุทธกาล
    หลังกึ่งพุทธกาลจะมีความร้ายแรงยิ่งไปกว่านั้น ยักษ์หินที่ถูกสาปจะลุกขึ้นมาอาละวาดสมณะชีพราหมณ์จะล้มตาย ยักษ์นอกพระพุทธศาสนาทั้งหลายจะฆ่าฟันกันและกัน จะตายกันไปคนละครึ่ง จึงจะหยุดยั้งเลิกรบกัน
    แต่ทว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างแน่นแฟ้น จะมีภัยเช่นนี้เหมือนกัน แต่ไม่มากนัก”
    ความแม่นยำของพุทธทำนาย
    จากพระพุทธเจ้าทำนายนี้ เราก็จะเห็นได้ชัดเจนว่าเป็นความจริงทุกอย่าง ก่อนพุทธกาลได้เกิด สงครามโลกครั้งที่ ๒. ลูกระเบิดต่างๆ ซึ่งเป็นเหล็กเป็นไฟได้หลั่งไหลลงมาจากอากาศพิฆาตมนุษย์
    หลังกึ่งพุทธกาลได้เกิดสงครามลัทธิคือพวกยักษ์นอกศาสนา เพิ่งจะเลิกรากันไป แต่เมืองไทย ก็ยังได้รับผลกระทบกระเทือนมาจนกระทั่งบัดนี้
    มีเพียงไทยที่นับถือพุทธอย่างมั่นคง
    ตามพระพุทธทำนายนั้น ได้บ่งชี้ชัดว่าประเทศที่นับถือพระพุทธศาสนาจะมีภัยบ้างแต่ไม่มากนัก หากเราพิจารณาให้ดีๆ ก็จะเห็นเด่นชัดว่า ประเทศไทย นี้เท่านั้นที่นับถือพระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง และเป็นประเทศสุดท้ายที่พระพุทธศาสนายังเหลืออยู่ในท้องถิ่นบริเวณนี้ ประเทศอื่นๆ รอบบ้านเราก็กลายเป็นพวกเดียรถีย์นอกศาสนาพุทธไปเกือบหมดแล้ว
    เพราะฉะนั้น ประเทศไทยจึงเป็นเมืองสุดท้ายที่พระพุทธศาสนาจะสถิตสถาพรอยู่ได้ตลอดไป
    พระเจ้าอังครัฐตั้งจิตขอพบพระอรหันต์
    ในพระพุทธทำนายซึ่งปรากฏในตำนานบางแห่งได้เล่าไว้ว่า
    พระเจ้าอังครัฐ เจ้าเมืองอังครัฐ ซึ่งเป็นเมืองที่ประดิษฐาน พระธาตุจอมทอง อยู่ในขณะนี้ ได้ทรงตั้งจิตอธิษฐานขอให้พระองค์ได้พบพระอรหันต์ ขอให้พระอรหันต์เสด็จมาโปรด
    พระพุทธองค์ทรงทราบวาระจิตของพระเจ้าอังครัฐ จึงทรงส่ง พระโมคคัลลาน์ พร้อมด้วยพระเถระรวม ๔ รูป เดินทางมาเผยแพร่พระพุทธศาสนาที่เมืองอังครัฐก่อน
    ศาสนาจะอยู่ในเมืองไทยครบ ๕,๐๐๐ ปี
    ส่วนพระองค์ได้เสด็จมาภายหลัง เมื่อเสด็จมาถึงเมืองนั้น ได้ทรงพยากรณ์เกี่ยวกับความเป็นไปในอนาคตของพระพุทธศาสนาไว้ว่า
    “พระพุทธศาสนาจะเจริญรุ่งเรืองตั้งมั่นอยู่ในท้องถิ่นนี้ถึง ๕,๐๐๐ ปี”

    เมื่อพระพุทธศาสนายังตั้งมั่นอยู่ได้ในผืนแผ่นดินไทยตามพระพุทธทำนาย ก็หมายความว่าเมืองไทยจะต้องไม่ตกเป็นทาสของใครๆ เพราะความมั่นคงของชาติและพระพุทธศาสนาเป็นของคู่กันมาแต่บรรพกาล เมืองไทยจะไม่ตกเป็นทาสของใคร
    จากคำพยากรณ์ของพระพุทธโฆษาจารย์ก็ดี คำบอกเล่าของพระเถระผู้ได้ฌานสมาบัติก็ดี และจากพระพุทธทำนายก็ดี เป็นหลักชี้ชัดให้เรามั่นใจได้ว่า
    “เมืองไทยเรานี้จะต้องเป็นปึกแผ่นมั่นคงตลอดไป ไม่ตกเป็นทาสของใครๆ พวกนอกศาสนาจะไม่สามารถย่ำยีเมืองไทยได้
    แต่ข้อสำคัญนั้น เราทุกคนอย่าประมาท ต้องรักกัน สามัคคีกันไว้ ไม่แตกแยกกันและไม่ลุ่มหลงไปกับคำยุแหย่ของบุคคลผู้มุ่งร้ายต่อชาติบ้าน เมือง”
    ดวงทหารคู่กับดวงเมือง
    ขอให้ทหารทุกคนจงสำนึกตนเองว่า เราต้องมีความสามัคคี-เด็ดเดี่ยว-ไม่ประมาท-กล้าหาญ-และพร้อมที่จะยอมตาย เพื่อชาติบ้านเมืองและพระบวรพุทธศาสนา เมื่อถึงคราวจำเป็น
    เพราะบ้านเมืองจะอยู่รอดปลอดภัยก็เพราะทหารเท่านั้น ทั้งนี้เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑. เมื่อพระองค์จะเริ่มสร้างเมืองหลวงใหม่ ได้ทรงผูกดวงเมืองและวางลัคนาดวงเมืองไว้ให้คู่กับดวงทหาร โดยให้ทหารเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองบ้านเมือง บ้านเมืองจึงจะอยู่รอด
    ที่พูดนี้มิใช่จะมายุยงให้ท่านทั้งหลายกระด้างกระเดื่อง ทำการปฏิวัติรัฐประหารยึดอำนาจจากใครๆ เพียงแต่...ขอให้เราทุกคนช่วยกันควบคุมสถานการณ์ไว้ให้บ้านเมืองสงบสุขเท่า นี้ก็ได้ชื่อว่าทหารควบคุมรักษาเมืองแล้ว
    ดวงชะตาของทหารนั้น เข้าเกณฑ์ราชาโชค ตั้งแต่เดือนตุลาคม ๒๕๑๘ แล้ว และจะโคจรเข้าควบคู่กับดวงเมืองตั้งแต่เดือยมกราคม ๒๕๑๙ เป็นต้นไป ซึ่งจะมีอิทธิพลให้ประเทศชาติบ้านเมืองค่อยคลี่คลายไปในทางดีขึ้น ขณะนี้บ้านเมืองของเราอยู่ในสภาพป่วยไข้ จำเป็นจะต้องได้รับการเยียวยารักษาหรืออาจจะต้องถึงกับผ่าตัดบ้าง อาการของบ้านเมืองจึงจะดีขึ้น
    เมืองไทยมีขุมทรัพย์มหาศาล
    สภาพการณ์ของบ้านเมืองจะคลี่คลายไปในทางดี เริ่มแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๙ เป็นต้นไป และตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๐ ประเทศชาติและประชาชนจะเริ่มพบกับความสุขสบายขึ้นบ้าง แต่ก็ยังไม่มากนัก แต่จะปรากฏเด่นชัดว่าประเทศชาติและประชาชนจะร่ำรวยขึ้นมีความสุขสมบูรณ์ขึ้น ตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๔ เป็นต้นไป
    เพราะเรามีทรัพยากรมากมายมหาศาลล้วนแต่เป็นของมีค่าทั้งสิ้น อาทิเช่น น้ำมัน แร่ทองคำ แร่ยูเรเนียม วัตถุธาตุต่างๆ เหล่านี้มีอยู่พร้อมในเมืองไทย และเราก็ได้พบแล้ว แต่เรายังไม่สามารถจะนำเอาออกมาใช้ได้ เพราะเรามีขีดความสามารถอันจำกัด
    ทรัพยากรน้ำมันในประเทศไทย
    อย่าง น้ำมัน ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นและมีค่าที่สุดของคนทั้งโลกนั้น ในเมืองไทยเรามีมากมาย น้ำมันที่ใช้อยู่ในโลกขณะนี้มีไม่ถึงหนึ่งในสามที่มีในเมืองไทยเรา
    ที่อาตมาพูดเช่นนี้มิได้กล่าวเกินความจริง แต่เป็นการกล่าวที่เกิดจากประสบการณ์ที่พอเชื่อถือได้ กล่าวคือ
    เมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๑๗ อาตมาพร้อมด้วย พล.อ.ต.มรว. เสริม สุขสวัสดิ์ เจ้ากรมการสื่อสารทหารอากาศ ได้เดินทางไปยังจังหวัดชุมพร พักอยู่ ณ บ้านพักหลังหนึ่ง หลังจากคุยกันประมาณห้าทุ่มเศษก็เข้านอน
    พอไฟดับลงเท่านั้น ก็มองเห็นภาพคนดำใหญ่เดินเข้ามาในห้องโดยไม่เปิดประตู เขาเดินเข้าเดินออกโดยไม่ต้องเปิดประตู
    จึงถามเขาไปว่า อยู่ที่ไหน
    เขาบอกว่า อยาในห้องนี้แหละ
    แล้วก็คุยกันด้วยเรื่องต่างๆ เจ้าเทวดาดำใหญ่ได้เล่าให้ฟังว่า

    “เมืองไทยเรานี้มีน้ำมันมากมายมหาศาลเป็นลำธารกว้างขนาด ๑ กิโลเมตร และยาวหลายร้อยกิโลเมตร ไหลผ่านประเทศไทยไปลงทะเล
    เมื่อใดที่ผู้บริหารดีทรัพยากรจะปรากฏขึ้น
    เขาบอกว่า
    น้ำมันนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะขุดนำมาใช้เพราะฝ่ายบริหารยังไม่ดีพอ หากปรากฏขึ้นในขณะนี้ พวกทุจริตก็จะงุบงิบเอาไปเป็นผลประโยชน์ส่วนตนหมด

    เมื่อใดผู้บริหารประเทศมีมือสะอาดซื่อสัตย์สุจริต เห็นแก่ประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ ขุมทรัพย์มหาศาลในเมืองไทย
    เช่น บ่อน้ำมัน ก็จะค่อยผุดขึ้นมาให้เห็นเรื่อยๆ ไป ซึ่งจะนำผลรายได้อันมหาศาลมาให้เมืองไทย ทำให้เมืองไทยกลายเป็นเศรษฐีมีชื่อเสียงระบือไปทั่วโลก และจะได้เป็นมหาอำนาจประเทศหนึ่งในเอเชีย”

    ไปพิสูจน์สถานที่มีน้ำมันอยู่
    เจ้าเทวดาดำใหญ่ให้หลักฐานยืนยันคำพูดของตนว่า หากอยากข้อเท็จจริงเกี่ยวกับน้ำมัน ให้ไป ดูบ่อน้ำมันที่เมืองมะริด ในเขตพม่า ซึ่งเป็นบ่อน้ำมันสายเดียวกันอยู่ห่างจากผืนแผ่นดินไทยประมาณ ๓๐ กิโลเมตร
    ณ. ที่นั้นจะมีหนองน้ำอยู่แห่งหนึ่ง มีน้ำมันลอยฟ่องเต็มไปหมด ถ้าอยากเห็นให้ไปดูด้วยตนเอง
    อาตมาอยากพิสูจน์ความจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้ จึงได้เดินทางไปดูสถานที่แห่งนั้น เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๕๑๘ นี้เอง ปรากฏว่าเป็นความจริงทุกอย่าง
    บริเวณนั้นมีหนองน้ำซึ่งมีน้ำมันลอยเต็มไปหมด ชาวบ้านนำไปใช้เป็นเชื้อเพลิงได้เป็นอย่างดี จึงมั่นใจได้ว่าเทวดาดำองค์นั้นไม่โกหก เมืองไทยเรามีน้ำมันแน่ๆ
    ต่อเมื่อใดผู้บริหารใจซื่อมือสะอาดมาบริหารชาติบ้านเมือง ทรัพยากรเหล่านี้ก็จะปรากฏให้เห็น และนำมาใช้ให้บ้านเมืองเรามีความอุดมสมบูรณ์ดังกล่าวแล้ว
    ธงมหาพิชัยสงคราม
    สำหรับ ผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงคราม ที่นำมาแจกจ่ายครั้งนี้ ได้ทำขึ้นครั้งแรก ๑๐๐,๐๐๐ ผืน นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๙๐,๐๐๐ ผืน มีเหลือนำมาแจกจ่ายคราวนี้เพียง ๑๐,๐๐๐ ผืน
    การทำผ้ายันต์นี้ ก็ทำจากตำราของ หลวงพ่อปาน หลวงพ่อปานเคยทำเพื่อมอบให้เป็นธงนำทัพเข้าตีข้าศึก
    ได้ตำราทำยันต์พิชัยสงคราม
    ตามตำราบอกว่า ใครอยากเรียนตำรานี้ไปทำต่อ ต้องนำดาบสองเล่มออกไปรำกลางแจ้ง หากเกิดฟ้าผ่าในขณะรำดาบจึงจะเรียนตำรานี้ได้
    อาตมาเป็นพระไม่สามารถจะนำดาบออกไปรำได้ แต่ก็อยากเรียนตำรา จึงตั้งจิตอธิษฐานว่า
    หากตนมีบุญบารมีที่จะเรียนตำรานี้ได้แล้ว เวลาถือดาบออกพ้นจากชายคาขอให้เกิดฟ้าผ่า
    เมื่อตั้งจิตอธิษฐานแล้วก็ถือดาบ ๒ เล่ม ออกนอกชายคา พอพ้นจากชายคาเท่านั้นแหละฟ้าก็ผ่าขึ้น ๒-๓ ครั้ง
    จึงมั่นใจได้ว่าครูได้อนุญาตให้เรียนตำรานี้ได้แล้ว จึงได้เรียนตำรามาทำผ้ายันต์มหาพิชัยสงครามขึ้น
    มีพระเถระทางเหนือช่วยปลุกเสกด้วย
    และเมื่อทำด้วยตัวเองแล้ว ก็ได้อาราธนาพระเถระผู้ทรงวิทยาคมในภาคเหนือหลายรูปมาช่วยปลุกเสกให้เมื่อ เดือนสิงหาคม จึงได้นำออกแจกจ่ายแก่ทหารทางภาคเหนือ ปรากฏว่าได้ผลดี
    มีฐานปฏิบัติการบางแห่งที่ทหารรับผ้ายันต์ไปแล้ว ถูกถล่มด้วยปืน ค. และจรวดฐานแหลกหมด แต่ทหารในฐานปลอดภัยทุกคน ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ
    อย่างไรก็ตาม คนเราเมื่อถึงกำหนดจะต้องอสัญกรรมแล้วก็หนีความตายไม่พ้น แม้แต่ผู้บรรยายหรือผู้ทำผ้ายันต์นี้ก็ต้องตาย
    อานุภาพของผ้ายันต์
    ผ้ายันต์นี้จะช่วยได้ก็เพียงแต่ว่า หากเรามีเคราะห์กรรมจากอดีต เช่น เคยทำปาณาติบาต แรงอุปฆาตกรรม จะมาตัดรอนชีวิตเราให้หมดไปในเวลาอันไม่สมควร หากเรามีเคราะห์ถึงฆาตอย่างนี้ ผ้ายันต์จะช่วยให้เคราะห์เบาบางลง เพียงแค่ให้เราบาดเจ็บไม่ถึงตาย
    หากเคราะห์เราไม่ถึงฆาต เพียงแต่มีเคราะห์จะได้รับบาดเจ็บ ยันต์นี้จะช่วยไม่ให้เราบาดเจ็บเลย แม้แต่ถูกปืนหรือสะเก็ดระเบิดก็จะไม่ทำให้เราเสียเลือดแม้แต่หยดเดียว ลูกปืนที่มากระทบเราจะมีค่าเท่ากับแมลงตัวหนึ่งบินมาปะทะเท่านั้น
    ขอให้ทุกท่านถือว่า ยันต์ธงมหาพิชัยสงคราม เป็นสิ่งสำคัญที่สุด สำคัญกว่าเหรียญเอกราชที่ได้รับแจกไป

    ถ้านำไปใช้ในทางที่ผิดจะไม่มีผล
    และทั้งธงและเหรียญจะไม่มีผลในทางป้องกันตัวเลย หากเรานำไปใช้ในทางที่ผิดคิดมิชอบ หรือยิ่งคนที่คิดคดทรยศต่อชาติบ้านเมืองด้วยแล้ว อาตมาอยากให้เขามารับโดยเร็ว เพราะเหรียญและธงจะช่วยสนับสนุนให้เขาประสบความวิบัติเร็วเข้า
    มีอยู่รายหนึ่งมาขอผ้ายันต์จากอาตมา อาตมาไม่ให้เพราะเกรงว่าเขาจะนำไปใช้ในทางที่ผิด จะทำให้ชีวิตเขาสั้นเข้า
    แต่เขารับรองตนเองเช่นนั้น อาตมาก็มอบให้ไป และได้ทราบต่อมาภายหลังว่า เขานำผ้ายันต์ไปใช้ในทางที่ผิดตามที่อาตมาคาดการณ์ไว้ ผลที่สุดเขาก็ถูกยิงตาย

    สุดท้ายนี้ ขอตั้งจิตอธิษฐาน ด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัย จงดลบันดาลให้ทหารทุกคน จงมีความสุขความเจริญและปลอดภัย ชนะข้าศึกตลอดกาล.
    สวัสดี.
     
  4. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
  5. ชายชุดขาว

    ชายชุดขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    4,007
    ค่าพลัง:
    +12,706
    โอนเงิน พระแหวกม่านหลวงพ่อทรงแล้วนะครับ

    ที่อยู่จัดส่งตาม PM ครับ
     
  6. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    รับทราบครับผม...............................
     
  7. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    เหรียญโสฬส อ.ชุม ไชยคีรี หลังพระปิดตาปี 18


    เหรียญรูปเหมือนอาจารย์ชุม ไชยคีรี หลังพระปิดตา บรรจุเม็ดกริ่ง พิธีปลุกเสกทีละเหรียญตามตำราโสฬส โดยวิญญาณหลวงปู่คง ปรมาจารย์ขุนแผน วิญญาณหลวงปู่ทวดวัดช้างให้ หลวงพ่อคง วัดบ้านสวน วิญญาณมหาเทพบรมครู พระพิฆเณศวรที่สำนัก อาจารย์ชุม ไชยคีรี 16 วัน 16 คืน เสกทีละเหรียญ เหรียญสร้างจากเนื้อโสฬสธาตุ 16 อย่าง ส่วนหนึ่งได้นำมาจากชนวนสร้างพระโสฬสมงคล พระภควัมบดีของหลวงพ่อวัดแหลมทราย จ.สงขลาตั้งแต่ปี 2481 ก่อนประกาศสงครามโลกครั้งที่ 2 พิธีจำกัด 2,517 เหรียญ

    โสฬส 16 อย่างมี 1.เหล็กไหล 2.เจ้าน้ำเงิน 3.ทองคำ 4.เงินบริสุทธิ์ 5.นาค 6.ทองแดง 7.ทองเหลือง 8.แร่ดีบุก 9.แร่วุลแฟรม 10.แร่จักรนารายณ์ 11.แร่สังควานร 12.แร่ชิณ 13.แร่ตะกั่วดำ 14.แร่ตะกั่วเถื่อน 15.แร่เหล็กน้ำพี้ 16.เหล็กยอดพระปรางค์

    หายากครับ


    [FONT=&quot]*ปิดรายการนี้ครับ[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_2761.jpg
      SAM_2761.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.3 MB
      เปิดดู:
      140
    • SAM_2765.jpg
      SAM_2765.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.2 MB
      เปิดดู:
      175
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2011
  8. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]
    ประวัติ อาจารย์ชุม ไชยคีรี

    อาจารย์ชุม ไชยคีรี

    เป็นศิษย์สำนักเขาอ้อสายตรง ท่านสนใจในวิชาไสยศาสตร์มาแต่เยาว์วัย เมื่ออายุได้เพียง 5 ขวบ ก็สามารถภาวนาคาถาแค่สองคำ สะกดงูพิษทุกชนิดไม่ให้อ้าปากขบกัดได้เป็นที่น่าอัศจรรย์ แม้สุนัขก็เช่นกัน อาจารย์ชุมได้เรียนวิชาอาคมจากพ่อของท่านตั้งแต่ยังเ ด็กๆ ท่านเรียนวิชาได้เร็ว ทำอะไรก็ขลัง มีความเชี่ยวชาญในวิชาอาคมจนได้รับความเชื่อถือจากชาวบ้าน เมื่ออายุได้ 7 ขวบ ก็เคยเอามือปิดปากกระบอกปืนของเพื่อนบิดาที่มาเยี่ยมบ้าน ท่องคาถาเพียง 11 ตัว ยังเป็นเหตุให้ปืนยาวเหล่านั้นถึงแตกระเบิดเมื่อนำไปยิง เกิดมาเพื่อ "เป็น" โดยแท้
    จนอายุครบบวชก็ได้ไปบวชที่วัดไชยมงคลกับพระอาจารย์คง อาจารย์ชุมหลังจากบวชแล้วก็ตั้งใจศึกษาพระธรรม จนต่อมาท่านได้ไปที่พัทลุง ท่านจึงไปขออยู่ร่วมสำนักเขาอ้อ ฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์เอียด วัดดอนศาลา โดยมีท่านขุนพันธรักษ์ราชเดช เป็นผู้รับรองความประพฤติ อาจารย์ชุมได้รวบรวมตำราเขาอ้อที่กระจัดกระจายไปอยู่ ยังที่ต่างๆ ในระหว่างบวชท่านได้รู้จักกับหลวงพ่อคง วัดบ้านสวนและมีความเคารพซึ่งกันและกัน ต่อมาอาจารย์ชุมบวชอยู่ 15 พรรษา ลาสิกขาบทเมื่ออายุ 35 ปี และได้แต่งงานมีครอบครัว แต่ก็ยังคงติดต่อกับหลวงพ่อคง วัดบ้านสวนอย่างสม่ำเสมอ อาจารย์ชุมมีความใฝ่รู้ในวิชาเวทมนต์คาถายิ่งนัก ครูบาอาจารย์ท่านใดในยุคเก่าก่อนที่ว่าเก่ง ท่านเป็นต้องไปขอเรียน ขอศึกษาเอาจนได้ และนำสรรพวิชาเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ได้เป็นอย่างดี
    โดยพื้นฐานของจริตนิสัยในแต่ละคน เมื่อจิตใจมีความเมตตาอยู่เป็นนิตย์ ก็มักทำของไปทางมหาเสน่ห์ได้ผลกว่าวิชาอื่นๆ หากจิตใจออกไปทางนักเลง กล้าสู้ กล้าลุย ของที่ทำออกมาจะหนักไปทางคงกระพันชาตรีเป็นส่วนมาก เรียกว่าถนัดอะไรก็เก่งไปอย่างหนึ่ง แต่ไม่ใช่อาจารย์ชุม
    ฆราวาสผู้แตกฉานท่านนี้ เมื่อต้องการให้เป็นทางคงกระพัน ท่านก็สามารถกำหนดจิตได้ทันที ขนาดทดสอบเชือดเนื้อ เถือหนัง พิสูจน์กันเห็นๆ ครั้นจะแสดงทางมหาอุด ก็สั่งศิษย์ลงนั่ง ให้ผู้มีอาวุธปืนทุกชนิด ทดลองยิงข้ามศีรษะได้เลยไม่ออกสักกระบอกเดียว
    เมื่อจะแสดงวิชามหานิยม ก็เสกน้ำมันงา ทาหนูกับแมว แล้วปล่อยเข้ากรงเดียวกัน ถ้าเป็นลูกหนูกับแม่แมว ลูกหนูทั้งหมดก็จะคลานเข้าไปดูดกินนมแม่แมว หน้าตาเฉย และแม่แมวก็ยอมนอนให้กินแต่โดยดี จะทำกี่ตัวกี่ครั้งก็มีผลเช่นเดียวกันหมด เป็นสุดยอดของมหานิยมจริงๆ
    พิสูจน์ได้ทุกเวลาทุกสถานที่นี้เอง เป็นเหตุให้อาจารย์ชุมปรากฏชื่อลือชาไปทั่ว ได้รับเชิญไปงานพุทธาภิเษกและสาธิตวิชาต่างๆ ไม่ว่างเว้น แลท่านก็สามารถแสดงจิตตานุภาพให้เป็นที่ตื่นตะลึงมาแล้วหลายต่อหลายพิธี ท่านได้มีส่วนร่วมในการสร้างวัตถุมงคลของเขาอ้อหลายครั้ง และได้รับการยกย่องว่าเป็นฆราวาสผู้มีอาคมขลังมากผู้หนึ่ง ในบั้นปลายชีวิตของท่าน ท่านย้ายครอบครัวมาอยู่กรุงเทพ และอยู่มาจนเสียชีวิตเมื่อปี พ.ศ. 2525
    บรรพบุรุษของอาจารย์ชุมสืบสาวราวเรื่องเริ่มต้นได้จาก "ขุนไชย์คีรี" ต้นสกุล "ไชยคีรี" ซึ่งเคยเป็นนายกองคนสำคัญของพระยาทุกขราษฎร์ (ช่วย) ในยุคที่พระยาแก้วโกรพพิชัยเป็นเจ้าเมืองพัทลุง มีส่วนสำคัญในการนำทัพออกไปต้านข้าศึกร่วมกับพระยาทุกขราษฎร์ (ช่วย)ในสมัยที่ท่านยัง พระมหาช่วย เจ้าอาวาสวัดป่าเลไลย์ และตอนนั้นขุน ไชยคีรี ก๊มีฐานะเป็นนายบ้านในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในละแวกอำเภอชัยสน
    ขุนไชยคีรีผู้นี้เคยมาศึกษาเล่าเรียนอยู่ในสำนักเขาอ้อหลายปี สมัยที่ท่านปรมาจารย์จอมทองเป็นเจ้าสำนัก ได้วิชาความรู้จากสำนักเขาอ้อไปมาก ภายหลังได้ออกไปมีครอบครัว และได้รับยกย่องให้เป็นผู้นำชุมชนในตำแหน่งนายบ้านที่เขาชัยสน เมื่อเกิดสงครามพม่ารุกราน ก็ได้เข้าไปช่วยพระมหาช่วย จนได้รับชัยชนะและภายหลังได้รับปูนบำเน็จ

    บรรดาศักดิ์เป็นขุนในราชทินนาม "ขุนไชยคีรี" ในขณะที่พระมหาช่วยเกิดความละอายแก่ตัวเองที่คิดว่าแปดเปื้อนในการศึกสงคราม ตัดสินใจลาสิกขา ทางบ้านเมืองตอบแทนคุณงามความดีของท่านโดยแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยราชการเมืองพัทลุง และได้รับพระกรุณาโปรดฯ พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "พระยา" มีราชทินนามว่า "พระยาทุกขราษฎร์" ซึ่งปัจจุบันชาวเมืองพัทลุง พร้อมใจกัน ยกย่องให้เป็นวีรบุรุษประจำเมือง
    ขุนไชยคีรีมีบุตรธิดาหลายคน แต่ละคนล้วนได้รับวิชาไสยเวทย์ให้สืบทอดต่อ บางคนก็ได้เดินทางมาเรียนเพิ่มเติมที่สำนักเขาอ้อหนึ่งในนั้นคือ "หมื่นสิริพันธ์พิรุณ" หมื่นสิริพันธ์พิรุณได้รับถ่ายทอดวิชาไสยเวทมาจากขุนไชยคีรี และต่อมาได้เข้ามาเรียนต่อที่สำนักเขาอ้อจนเชี่ยวชาญ
    กลับไปอยู่บ้านเขาชัยสน ได้รับยกย่องจากชาวบ้านให้เป็นนายบ้านสืบต่อจากขุนไชยคีรีผู้เป็นบิดา ขณะที่นายบ้านหมื่นสิริพันธ์พิรุณก็ได้สืบทอดเจตนารม ณ์ของบิดาและอาจารย์แห่งสำนักเขาอ้อ โดยได้เข้าร่วมทัพต้านศึกทั้งพม่าและสลัดมลายู ไม่แน่ใจว่าในคราวพระยาพัทลุง (ทองขาว ณ พัทลุง) หรือว่าในคราวพระยาพัทลุง (จุ้ย จันทโรจนวงศ์)เป็นเจ้าเมืองพัทลุง แต่ได้มีวีรกรรมในการร่วมปกป้องบ้านเมืองแน่นอน จึงมีความดีความชอบได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นหมื่น มีราชทินนามว่า "หมื่นสิริพันธ์พิรุณ"
    หมื่นสิริพันธ์พิรุณ มีบุตรธิดาหลายคนทุกคนล้วยได้รับถ่ายทอดวิชาไสยเวทย์ บางคนต่อมาได้มาเรียนที่สำนักเขาอ้อจนเชี่ยวชาญเหมือนบรรพบุรุษ หนึ่งในจำนวนนั้นคือบิดาของอาจารย์ชุม ซึ่งเป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งที่ไม่ทราบนาม พยายามสืบถามหาจากหลายคนก็ไม่มีใครทราบ แม้กระทั่งทายาทของอาจารย์ชุมเอง เพราะท่านผู้นี้เสียชีวิตไปนานแล้ว
    บิดาของอาจารย์ชุมได้ชื่อว่าเป็นอาจารย์ไสยเวทย์ผู้ที่มีความเข้มขลังผู้หนึ่ง เรียกได้ว่าสมัยนั้ยละแวกเขาชัยสน ไม่มีใครโด่งดังไปกว่าท่านผู้นี้ ท่านได้จัดตั้งเป็นสำนักเล็กๆ เพื่อถ่ายทอดวิชาให้กับผู้ที่สนใจ มีคนไปเรียนกันพอสมควร ลูกๆโดยเฉพาะลูกชายจึงได้รับอิทธิพลในเรื่องนี้ไปด้วย ตัวอาจารย์ชุมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
    บิดาของท่านอาจารย์ชุม เป็นอาจารย์ไสยเวทย์ที่มีชื่อเสียงมากสมัยนั้น มีพรรคพวกที่สนใจทางนี้อยู่มาก หนึ่งบรรดามิตรสหายของท่านก็คือ ท่านอาจารย์คง พระครูธรรมโฆษณ์เจ้าอาวาสวัดไชยมงคล จังหวัดสงขลา ซึ่งท่านผู้นี้ก็มีความรู้ในทางไสยเวทย์เป็นอย่างดี และเก่งในทางโหราศาสตร์เป็นพิเศษ มีอยู่ครั้งท่านเดินทางมาอำเภอเขาชัยสน ขณะที่วัดเขาชัยสนกำลังมีการประชุมกำนันนายบ้านและในวันนั้นเอง อาจารย์ชุมก็ได้ถือกำเนิดขึ้น ซึ่งตอนนั้นบิดาของท่านอาจารย์ชุมกำลังร่วมประชุมอยู่ พระอาจารย์คงจึงบอกว่าเด็กคนนี้มีบุญเกิดในขณะที่คนส ำคัญกำลังประชุมกันพอดีให้ชื่อมันว่า"ชุม"ก็แล้วกัน
    ทารกคนนั้นจึงได้นามว่า "ชุม" ตั้งแต่บัดนั้นและพร้อมกันนั้นพระอาจารย์คง ก็ได้นพดวงชะตาทารกชุมมาตรวจดูพบว่า เด็กคนนี้มีบุญวาสนาสูงมาก ต่อไปภายหน้าจะมีชื่อเสียงจะเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไป พระอาจารย์คงจึงสั่งว่าเมื่อเขามีอายุครบบวชก็ขอให้ไปบวชที่วัดของท่าน
    อาจารย์ชุมเองมีความสนใจเรื่องไสยศาสตร์เป็นนิสัย ทราบว่าพอฝึกเรียนเขียนได้อ่านออกก็ได้อยู่ใกล้ชิดบิดามาก จึงเห็นการประกอบพิธีกรรมต่างๆ และบิดาของท่านก็เริ่มสอนคาถาสอนอาคมให้ตั้งแต่ยังเล็กๆ ผู้ใหญ่ที่อยู่ในวงการไสยศาสตร์ที่รู้จักอาจารย์ชุมดี พูดกันว่าอาจารย์ชุมมีพรสวรรค์ในเรื่องนี้ เรียกว่าเรียนอะไรก็จำดี ทำอะไรก็ขึ้นเอาดีทางไสยเวทย์ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ถึงแม้ว่าอาจารย์ชุมได้เรียนไสยเวทย์ขั้นพื้นฐษนกับบิดา แต่ท่านค่อนข้างที่จะเป็นคนรักการศึกษา เคารพในเหตุผลไม่เชื่ออะไรง่ายๆ แม้ในวัยเด็กบิดาของท่านได้สอนคาถาให้เพียงไม่กี่บท ซึ่งคาถาบทแรกที่สอนให้คือคาถาป้องกันพิษงู เพราะสมัยนั้นบ้านนอกมีสัตว์พวกนี้มาก ในวัยซนมักได้รับอันตรายจากสัตว์พวกนี้ บิดาอาจารย์ชุมจึงสอนคาถาให้ลูกชายไว้ป้องกันตัว อาจารย์ชุมเมื่อได้เรียนคาถานั้นแล้วก็อยากทดลองว่าเป็นอย่างที่พ่อพูดหรืแปล่า จึงไปจับงูกะปะมาตัวหนึ่งแล้วร่ายคาถาปรากฎว่างูกะปะทำอะไรไม่ได้จริง และต่อมาเมื่อท่านอายุได้ 7 ขวบบิดาก็ให้ท่องคาถากระสุนคดหรือที่รู้กันอีกนามว่ากรุสุนตก บิดาสอนให้แล้วก็สั่งห้ามไม่ให้แตะปืนของใคร เพราะอาจทำให้ปืนของเขาแตก เด็กชายชุมก็ไม่เชื่อเมื่อผู้ใหญ่เผลอ ก็ลองท่องแล้วเอามือไปลูบปืนของบิดาเพื่อนคนหนึ่งปรากฏเมื่อถึงเวลาใช้ปืนกระบอกแตกกระสุนตกแค่ปลายกระบอกเองเมื่อได้สัมผัสเหตุมหัศจรรย์เหล่านั้น
    อาจารย์ชุมเลยเกิดความเชื่อถือในวิชาไสยศาสตร์ตั้งแต่บัดนั้น ซึ่งตอนนั้นอายุยังไม่ถึง 10 ขวบภายหลังจากนั้นก็ตั้งใจเรียนเต็มที่ บิดาก็ถ่ายทอดให้อย่างไม่ปิดบัง เพียงอายุไม่มากนักอาจารย์ชุมก็มีความเชี่ยวชาญในเรื่องคาถาอาคมได้รับการนับถื อจากชาวบ้านตั้งแต่ยังหนุ่มถูกยกให้เป็นอาจารย์ตั้งแต่อายุยังไม่มากนัก
    เมื่อมีอายุครบอุปสมบทอาจารย์ชุมก็ได้ปฏิบัตตามสัญญา ที่ให้ไว้กับพระอาจารย์คงวัดไชยมงคลจังหวัดสงขลา จึงได้ไปอุปสมบทที่วัดนั้น ภายหลังจากอุปสมบทแล้ว อาจารย์เกิดชื่นชอบในชีวิตบรรพชิตขึ้นมา จึงไม่ได้ลาสิกขาตามที่ได้กำหนดไว้กล่าวคือแต่เดิมนั้นตั้งใจจะบวชเพียงพรรษาเดียว แต่ต่อมาเกิดเปลี่ยนใจอยู่ครองเพศบรรพชิตต่อไปโดยไม่มีกำหนดเมื่อุปสมบทเป็นพระแล้ว พระอาจารย์ชุมก็ได้รับความนับถือจากชาวบ้านเป็นอย่างมาก ทั้งนี้เพราะก่อนที่ท่านจะบวชก็มีคนเคารพนับถืออยู่มากแล้ว ในฐานะที่เป็นอาจารย์ทางไสยเวท เมื่อมาบวชเป็นพระจึงมาคนนับถือมากขึ้น


    อภิญญาของอาจารย์ชุม ไชยคีรี
    ในพิธีวัดถ้ำเขาเงิน อ.หลังสวน จ.ชุมพร
    โดย...รณธรรม ธาราพันธุ์

    สมัย 20 ปีก่อน ชื่อของอาจารย์ชุม ไชยคีรี ฆราวาสผู้เรืองเวทเป็นที่เลื่องลือกระฉ่อนไปทั่วประเทศ ไม่มีใครในวงการไสยศาสตร์ที่ไม่รู้จักท่าน

    อาจารย์ชุม ไชยคีรี เป็นศิษย์สำนักเขาอ้อสายตรง ท่านสนใจในวิชามายาศาสตร์มาแต่เยาว์วัย เมื่ออายุได้เพียง 5 ขวบ ก็สามารถภาวนาคาถาแค่สองคำ สะกดงูพิษทุกชนิดไม่ให้อ้าปากขบกัดได้เป็นที่น่าอัศจรรย์

    แม้สุนัขก็เช่นกัน

    เด็กชายชุมจึงเป็นหนูน้อยคนเดียวในหมู่บ้านที่ไม่เคยถูกสุนัขกัดเลย และเมื่ออายุได้ 7 ขวบ ก็เคยเอามือปิดปากกระบอกปืนของเพื่อนบิดาที่มาเยี่ยมบ้าน ท่องคาถาเพียง 11 ตัว ยังเป็นเหตุให้ปืนยาวเหล่านั้นถึงแตกระเบิดเมื่อนำไปยิง

    เกิดมาเพื่อ ?เป็น? โดยแท้

    อาจารย์ชุมมีความใฝ่รู้ในวิชาเวทมนต์คาถายิ่งนัก ครูบาอาจารย์ท่านใดในยุคเก่าก่อนที่ว่าเก่ง ท่านเป็นต้องไปขอเรียน ขอศึกษาเอาจนได้ และนำสรรพวิชาเหล่านั้นมาประยุกต์ใช้ได้เป็นอย่างดี

    โดยพื้นฐานของจริตนิสัยในแต่ละคน เมื่อจิตใจมีความเมตตาอยู่เป็นนิตย์ ก็มักทำของไปทางมหาเสน่ห์ได้ผลกว่าวิชาอื่นๆ หากจิตใจออกไปทางนักเลง กล้าสู้ กล้าลุย ของที่ทำออกมาจะหนักไปทางคงกระพันชาตรีเป็นส่วนมาก เรียกว่าถนัดอะไรก็เก่งไปอย่างหนึ่ง

    แต่ไม่ใช่อาจารย์ชุม

    ฆราวาสผู้แตกฉานท่านนี้ เมื่อต้องการให้เป็นทางคงกระพัน ท่านก็สามารถกำหนดจิตได้ทันที ขนาดทดสอบเชือดเนื้อ เถือหนัง พิสูจน์กันเห็นๆ ครั้นจะแสดงทางมหาอุด ก็สั่งศิษย์ลงนั่ง ให้ผู้มีอาวุธปืนทุกชนิด ทดลองยิงข้ามศีรษะได้เลย

    ไม่ออกสักกระบอกเดียว

    เมื่อจะแสดงวิชามหานิยม ก็เสกน้ำมันงา ทาหนูกับแมว แล้วปล่อยเข้ากรงเดียวกัน ถ้าเป็นลูกหนูกับแม่แมว ลูกหนูทั้งหมดก็จะคลานเข้าไปดูดกินนมแม่แมว หน้าตาเฉย และแม่แมวก็ยอมนอนให้กินแต่โดยดี จะทำกี่ตัวกี่ครั้งก็มีผลเช่นเดียวกันหมดเป็นสุดยอดของมหานิยมจริงๆ

    พิสูจน์ได้ทุกเวลาทุกสถานที่นี้เอง เป็นเหตุให้อาจารย์ชุมปรากฏชื่อลือชาไปทั่ว ได้รับเชิญไปงานพุทธาภิเษกและสาธิตวิชาต่างๆ ไม่ว่างเว้น

    แลท่านก็สามารถแสดงจิตตานุภาพให้เป็นที่ตื่นตะลึงมาแล้วหลายต่อหลายพิธี ดังเช่นที่ วัดถ้ำเขาเงิน

    ปี พ.ศ. 2511 หลวงพ่อคล้อย ฐานธัมโม เจ้าอาวาสวัดถ้ำเขาเงินในขณะนั้น มีดำริที่จะสร้างพระเครื่องรูป ?หลวงพ่อแดง พุทโธ? ปฐมเจ้าอาวาสของวัดถ้ำเขาเงิน ท่านจึงได้ออกปากขอความร่วมมือจากศิษย์ในสายเขาอ้อด้วยกัน มีอาจารย์ชุมเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ

    พระเครื่องที่สร้างในครั้งนั้น ส่วนใหญ่จะทำจากผงว่านหลายร้อยชนิด ซึ่งอาจารย์ชุมเป็นผู้ชำนาญในเรื่องว่านยายิ่งนัก และยังประกอบด้วยผงเกสรดอกไม้ 108, ผงพุทธคุณ 108, ผงพระกรุต่างๆ ทั่วประเทศ นำมาประชุมกันเป็นองค์พระขึ้น แยกพิมพ์ได้ดังนี้
    1. พระผงว่าน พิมพ์ ?พระกำแพงนิ้ว?
    2. พระผงว่าน พิมพ์ ?พระปิดตานอโม?
    3. พระผงว่าน พิมพ์ ?พระสิวลี?
    4. พระผงว่านรูปเหมือน ?หลวงพ่อแดง พุทโธ?
    5. พระผงเกสรรูปเหมือน ?หลวงพ่อแดง พุทโธ?
    6. เหรียญเตารีดรูปเหมือน ?หลวงพ่อแดง พุทโธ?
    7. รูปเหมือนหน้าตัก 5 นิ้ว ?หลวงพ่อแดง ทโธ?
    8. เหรียญทองแดง-ทองเหลือง ?กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์?

    วัตถุมงคลหมด อาจารย์ชุมได้กำหนดพิธีกรรมในการปลุกเสกให้เป็นไปตามแบบโบราณอย่างแท้จริงด้วยการ ?เสกเปิด? ไม่มีสิ่งใดถูกห่อหุ้มปิดบังเลย

    พระภาวนาจารย์ที่มาร่วมงานในครั้งนั้น ก็ล้วนเป็นอาจารย์ที่อาจารย์ชุมได้ทำการคัดมาแล้วเป็นอย่างดีด้วยตัวท่านเองว่า ?มือถึง? และยังรู้ใจกันดีอีกต่างหาก ดังมีรายนามต่อไปนี้
    1. พ่อท่านนำ ชินวโร วัดดอนศาลา อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
    2. พระครูพิพัฒน์สิริธร (คง สิริมโต) วัดบางสวน อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
    3. พระอาจารย์ปาล ปาลธัมโม วัดเขาอ้อ อ.ควนขนุน จ.พัทลุง
    4. พ่อท่านหมุน วัดเขาแดงตะวันออก อ.ควนขนุน จ.พัทลุง

    รวมทั้งอาจารย์ชุมด้วยก็เป็น 5 ปรมาจารย์

    อันที่จริงแต่ละท่านก็ล้วนมีความขลัง เหลือจะกล่าวอยู่แล้ว เมื่อมาร่วมกันประกอบพิธีใหญ่เช่นนี้ เชื่อได้ว่าของที่อยู่ตรงหน้า ไม่อาจประเมินค่าได้เลยทีเดียว

    พิธีมหาพุทธาภิเษกคราวนี้จัดทำขึ้นที่ถ้ำ จปร. เป็นเวลา 8 วัน 8 คืน นับตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2511 ถึงวันที่ 19 ปีเดียวกัน

    ทุกองค์ต่างทุ่มเทให้กับงานพิธีเป็นที่สุด และเมื่อ ?บรรจบคุณ? ครบสูตรตามตำราบังคับแล้ว ในวันสุดท้ายของพิธี อาจารย์ชุม ไชยคีรี ก็แสดงความมหัศจรรย์ของอำนาจจิตให้ปรากฏแก่สายตาผู้มาร่วมพิธี ด้วยการให้ศิษย์และพยานนำเอาพระผงว่านรูปเหมือนหลวงพ่อแดง พุทโธ จำนวน 1,000 องค์ ไปทิ้งลงทะเลบริเวณปากน้ำหลังสวน ส่วนตัวท่านก็นั่งบริกรรมภาวนาเรียกพระด้วยอำนาจจิตที่กล้าแข็ง น่าอัศจรรย์เหลือจะกล่าว เพราะพระทั้ง 1,000 องค์ ที่จมดิ่งลงสู่ก้นทะเล กลับปาฏิหาริย์ตกลงมาในบริเวณพิธีจนครบ 1,000 องค์ ทุกองค์เปียกชุ่มไปด้วยน้ำทะเล อันเป็นเครื่องยืนยันได้ว่า ?กลับมาจริง?

    ทั้งที่ปากน้ำหลังสวนกับถ้ำ จปร. ห่างกันถึง 10 กว่ากิโล

    คุณแม่บุญสืบ ไชยคีรี ภรรยาคู่ทุกข์คู่ยากของอาจารย์ชุม กรุณาเล่าให้ฟังว่า ทีแรกตำรวจนับร้อยนายก็มาล้อมกันเต็ม เพราะอาจารย์ชุมถูกกล่าวหาว่าแสดงกลโกหก ดังนั้นตามเวลาที่อาจารย์ชุมกำหนดไว้ หากพระไม่กลับมา ท่านจะถูกจับทันที
    ฐานหลอกลวงประชาชน

    แต่ก็ไม่มีใครได้จับ เมื่อพระตกลงมาต่อหน้าต่อตาคนร่วมพันในพิธี ผู้เคยหมิ่นประมาทท่านไว้ก็กลับใจมาเป็นศิษย์ภายหลัง
     
  9. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
  10. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
  11. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    พระกริ่งอุ้มบาตร "มุนีภิรมย์" หลวงพ่อประสิทธิ์ วัดไทรน้อย จ.นนทบุรี
    เนื้อนวะโลหะ พิมพ์ใหญ่ (ตอกโค๊ตด้านหลังองค์พระ) จารใต้ฐาน
    สวยมากครับ เสียงกริ่งดังกังวาลชัด

    ข่าวไม่ดีของท่าน คดีจบลงแล้วนะครับ ท่านโดนใส่ร้ายครับ

    [FONT=&quot]ให้บูชา 950บ. ครับ[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • SAM_2755.jpg
      SAM_2755.jpg
      ขนาดไฟล์:
      1.4 MB
      เปิดดู:
      488
    • SAM_2756.jpg
      SAM_2756.jpg
      ขนาดไฟล์:
      788.8 KB
      เปิดดู:
      418
    • SAM_2757.jpg
      SAM_2757.jpg
      ขนาดไฟล์:
      533.2 KB
      เปิดดู:
      339
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2011
  12. ชายชุดขาว

    ชายชุดขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    4,007
    ค่าพลัง:
    +12,706
    คุณโมครับ

    ภาพพระกริ่งไม่ขึ้นครับ อยากเห็นจัง
    แล้วข่าวไม่ดีคือข่าวอะไรครับ อยากทราบเหมือนกัน
     
  13. งูขาว

    งูขาว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มกราคม 2008
    โพสต์:
    945
    ค่าพลัง:
    +1,824
    ขอจองรายการนี้ครับ

    เหรียญโสฬส อ.ชุม ไชยคีรี หลังพระปิดตาปี 18


    [FONT=&quot]ให้บูชา 850บ. ครับ[/FONT][/QUOTE]
    ขอจองครับ
     
  14. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    ขอจองครับ [/QUOTE]

    รับทราบการจองครับผม
     
  15. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    หลวงพ่อไปล่ ฉันทสโร วัดกำแพง กรุงเทพฯ
    [​IMG]


    ประวัติหลวงพ่อไปล่
    หลวงพ่อไปล่ ท่านเป็นชาวบางขุนเทียน เกิดในรัชกาลที่ 4 เมื่อพุทธศักราช 2403 ในสกุลทองเหลือ พื้นเพเป็นชาวบ้านตำบลบางบอนใต้ เขตบางขุนเทียน เป็นบุตรของนายเหลือและนางทอง มีพี่น้องร่วมบิดา-มารดาเดียวกัน 5 คน
    ในเยาว์วัยได้เรียนหนังสือไทยและหนังสือขอมกับอาจารย์ทัด วัดสิงห์ เมื่อเป็นฆราวาสท่านเป็นคนมีร่างกายแข็งแรง มีจิตใจกล้าหาญ เป็นคนกว้างขวาง มีสมัครพรรคพวกมาก ซึ่งในยุคนั้นบ้านบางบอนเป็นดินแดนของนักเลงหัวไม้ เวลามีงานวัดยกพวกตีกันเป็นประจำ นายไปล่จึงนับว่าเป็นลูกพี่ของคนในหมู่บ้านนั้น
    ท่านอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดกำแพง เมื่อพุทธศักราช 2426 อายุ 23 ปี อาจารย์ทัด วัดสิงห์ เป็นพระอุปัชฌาย์ หลวงพ่อพ่วง วัดกก เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และหลวงพ่อดิษฐ์ วัดกำแพง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ มีนามฉายาว่า “ฉันทสโร”
    หลวงพ่อไปล่เมื่อวัยหนุ่ม ท่านมีความสนใจในทางวิชาอาคม โดยได้เดินทางไปเป็นศิษย์ของพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน เช่น เรียนทางคงกระพันชาตรีกับพระอาจารย์คง เรียนวิชาผูกหุ่นพยนต์กับหลวงพ่อหรุ่น วัดบางปลา เรียนทางเมตตามหานิยมกับหลวงพ่อพ่วง วัดกก เรียนทางสักยันต์คงกระพันกับหลวงพ่อดิษฐ์ วัดกำแพง
    ท่านสามารถสวดปาติโมกข์ได้ตั้งแต่บวชได้พรรษาที่สอง ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระอุปัชฌาย์ในเขตบางขุนเทียน และเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพนับถือของผู้คนในละแวกบางขุนเทียนเป็นอย่างมาก จนถึงมรณะภาพเมื่อพุทธศักราช 2489 (จากการสอบถามจากพระครูเกษมธรรมาภินันท์ เจ้าอาวาสวัดกำแพงองค์ปัจจุบัน เมื่อวันที่ 8 ก.ค.50)
    <table width="800" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr><td colspan="3" width="395">เหรียญหล่อหลวงพ่อไปล่รุ่นแรก
    </td> </tr> <tr> <td valign="top" width="395"> หลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง ได้สร้างเหรียญหล่อโบราณซึ่งวงการนิยมแบ่งออกได้เป็น 4 แบบ คือ
    1. เหรียญหล่อพิมพ์จอบใหญ่ มี 2 แบบ
    1.1 เหรียญหล่อพิมพ์จอบใหญ่ เนื้อฝาบาตรหรือเนื้อทองเหลือง พิมพ์มาตรฐาน
    1.2 เหรียญหล่อพิมพ์จอบใหญ่ เนื้อสัมฤทธิ์ พิมพ์ชาวบ้าน
    รูปลักษณ์เหรียญ
    ด้านหน้า เป็นรูปพระสงฆ์ (ไม่มีเกศ) นั่งขัดสมาธิราบบนฐานชั้นเดียว รูปเหรียญเป็นเหรียญหล่อทรงจอบ มีเส้นโค้งนูนโดยรอบเหรียญ 2 เส้น ให้รายละเอียดบนใบหน้า เช่น หู ตา จมูก ปาก ชัดพอประมาณ ครองจีวรเห็นรัดประคดชัดเจน ด้านบนเหรียญมีหูหล่อในตัวซึ่งทำทีละอัน ขนาดจึงไม่เท่ากัน
    ด้านหลัง มีอักษรไทย นูนสูง เขียนว่า “ที่ระฤก ๒๔๗๘“
    เนื้อ ทองเหลือง (ฝาบาตร) สัมฤทธิ์ เนื้อขันลงหิน
    2. เหรียญหล่อ พิมพ์รูปไข่ มี 2 เนื้อ คือ
    2.1 เหรียญหล่อรูปไข่ เนื้อสัมฤทธิ์
    2.2 เหรียญหล่อรูปไข่ เนื้อทองเหลืองหรือเนื้อฝาบาตร
    รูปลักษณ์เหรียญ
    ด้านหน้า เป็นรูปพระสงฆ์ (ไม่มีเกศ) นั่งขัดสมาธิราบบนฐานเขียงคล้ายกับเหรียญจอบใหญ่ เห็นหน้าสังฆาฏิและรัดปะคดชัดเจน รูปทรงเหรียญเป็นรูปไข่ มีหู หล่อในตัวด้านบน
    ด้านหลัง มีอักษรไทย เขียนว่า “ที่ระฤก ๒๔๗๘“
    3. เหรียญหล่อ ทรงเสมา เนื้อสัมฤทธิ์ (มีพบน้อยมาก)
    รูปลักษณ์เหรียญ
    ด้านหน้า เป็นรูปพระสงฆ์ (หลวงพ่อไปล่) อยู่ในกรอบรูปเสมา มีห่วงหล่อในตัวด้านบน

    </td></tr></tbody></table>ด้านหลัง มีแบบหลังเรียบ และแบบหลังมีอักษรไทย (ดูภาพประกอบ)
    เนื้อ สัมฤทธิ์ (แบบเหรียญรูปไข่)
    4. เหรียญหล่อทรงห้าเหลี่ยม รูปพระพุทธ เนื้อสัมฤทธิ์ (รุ่นล้างป่าช้า)
    รูปลักษณ์เหรียญ
    ด้านหน้า มีรูปพระพุทธประทับนั่ง ปางมารวิชัย บนฐานบัวสองชั้น อยู่ในซุ้มเรือนแก้ว มีหูหล่อในตัว
    ด้านหลัง มีอักษรขอม แปลเป็นภาษาไทยว่า “สุคโต” และมีตัว “อุ” ด้านบน
    เหรียญหล่อพิมพ์จอบใหญ่ และเหรียญหล่อรูปไข่ สร้างในปีเดียวกันคือในปีพุทธศักราช 2478 ในวาระที่ท่านอายุครบ 75 ปี แม้การสร้างอยู่ในปีเดียวกัน แต่เล่ากันว่ามีการหล่อหลายวาระ ตามความต้องการของลูกศิษย์ที่มาให้ช่างหล่อให้ เล่ากันว่าช่างหล่อเป็นน้องชายแท้ ๆ ของหลวงพ่อ หากมีลูกศิษย์นำเนื้อโลหะอะไรมาให้หล่อ ช่างก็จะหล่อให้ตามความประสงค์ และหลวงพ่อจะปลุกเสกให้เป็นคราว ๆ ไป (ข้อมูลนี้ได้มาจาก คุณบัณฑิต กรกนก)
    ส่วนเหรียญหล่อทรงเสมาและเหรียญหล่อรูป 5 เหลี่ยม ไม่แน่ชัดว่าสร้างในปีใด การแจกเหรียญนั้นบางท่านเล่าว่าเหรียญหล่อพิมพ์จอบใหญ่ท่านไว้แจกผู้ชาย เหรียญหล่อรูปไข่ไว้แจกสตรี ส่วนเหรียญทรงเสมาเนื้อสัมฤทธิ์สำหรับแจกเด็ก
    เหรียญ 5 เหลี่ยม เนื้อสัมฤทธิ์ (รุ่นล้างป่าช้า) กล่าวกันว่าสร้างในวาระที่ท่านปฏิสังขรณ์ป่าช้าวัดกำแพง ซึ่งชำรุดเสียหายจากภาวะน้ำท่วม คงจะมอบให้กับผู้มาช่วยซ่อมแซมบูรณะป่าช้า
    อย่างไรก็ดี ตามที่ได้สอบถามจากคนที่ทันยุคหลวงพ่อไหล่ หลวงพ่อไปล่ไม่เคยสร้างวัตถุมงคลเพื่อแลกกับปัจจัยในการสร้างถาวรวัตถุ ส่วนใหญ่เป็นการให้เปล่า ๆ จำนวนเหรียญที่สร้างรวมกันมีจำนวนไม่มากนัก น่าจะอยู่ในจำนวนหลักร้อย ไม่ถึงพันเหรียญ

    พระพุทธคุณ
    ผู้เขียนเคยได้ฟังมาจากนักเล่นพระรุ่นเก่าคือ คุณสมควร คุณาบุตร (ปัจจุบันเสียชีวิตไปแล้ว) เล่าว่าตอนเป็นเด็กเคยพบกับหลวงพ่อไปล่ ในตอนนั้นไปช้อนปลากัดแถววัดกำแพง มีพระภิกษุรูปหนึ่งเดินเข้ามาถามว่า “ทำอะไร?” ท่านจึงตอบว่า “กำลังช้อนปลากัด” พระภิกษุองค์นั้นได้พูดว่า “ปลากัดที่นี่หนังเหนียว” คุณสมควรมาทราบในภายหลังว่าพระภิกษุองค์นั้นคือหลวงพ่อไปล่ สมภารวัดกำแพงในขณะนั้น
    ยังมีเรื่องอีกเรื่องหนึ่ง จากคุณเป็งย้ง ตลาดพลู ได้เล่าว่า มีพ่อค้าปลาคนหนึ่งมาจากบางบอน (ชื่อนายประเสริฐ) นำปลามาขายเป็นประจำทุกอาทิตย์ ตัว “นายเสริฐ” สร้อยสายสร้อยทองเส้นใหญ่ เห็นได้สะดุดตา เมื่อมาเป็นประจำ ผู้คนจึงจำได้และรู้วัน-เวลาที่มา วันหนึ่งมีคนร้ายสองคนมาดักจี้ด้วยปืน แกไม่ยอมถอดสร้อยให้และขัดขืน คนร้ายได้ยิงออกมาสองนัดแต่ยิงไม่ออก แกจึงเอามีดสำหรับทำปลาจะเข้าไปฟัน คนร้ายเห็นท่าไม่ดี รีบหนีข้ามคลองไป เรื่องนี้มีชาวตลาดพลูรู้เห็นกันอยู่มาก ปรากฏว่าพระที่อยู่ในสายสร้อยก็คือเหรียญหล่อหลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง
    พระพุทธคุณของเหรียญหล่อของหลวงพ่อไปล่ท่านจึงขึ้นชื่อในเรื่องมหาอุดคง กระพันชาตรี และเมตตามหานิยม เป็นที่นิยมของผู้คนในย่านบางบอน บางขุนเทียน มีเรื่องเล่าขานกันอยู่มาก ว่ากันว่าหากคนวัดกำแพงมีเหรียญวัดหนังแล้ว ถ้าใครมีเหรียญหลวงพ่อไปล่ไปขอแลกเขาจะยอมแลกทันที ที่เป็นความนิยมของเหรียญหลวงพ่อไปล่ซึ่งมีมาตั้งแต่โบราณ


    เหรียญหล่อรูปไข่ หลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง รุ่นสร้างหอพระไตรปิฎก(รุ่น 3) จัดสร้าง 23 มี.ค. 2539 ตลับเดิมจากวัด รุ่นแรกราคาไปไกลมากมายชาวฝั่งธนเห็นเข้าละสู้ตายเท่าไหร่ก็ยอม เก็บรุ่นสาม ราคาถูกกว่าเหลือหลาย ผสมฉนวนของเหรียญรุ่นแรกด้วยครับ มีประสบการณ์แล้วด้วยนะครับ


    [FONT=&quot]*ปิดรายการนี้ครับ[/FONT]​
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • p11.jpeg
      p11.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      77.8 KB
      เปิดดู:
      396
    • p12.jpeg
      p12.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      74 KB
      เปิดดู:
      369
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2012
  16. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    เนื่องจากเมื่อวันก่อนเวปอัพโหลดรูปไม่ได้ ตอนนี้แก้ไขให้แล้วนะครับ

    ส่วนข่าวไม่ดีคือ
    ศาลอาญาจังหวัดนนทบุรีได้ตัดสินลงโทษ นท.กฤษดา สุขแสงดาว ในฐานะจำเลยข้อหากรรโชกทรัพย์ด้วยแบล้กเมล์พระครูนนทสิทธิการ (หลวงพ่อประสิทธิ์) เจ้าอาวาสวัดไทรน้อย ด้วยแผ่นซีดี ข่มใจกรรโชกทรัพย์ โดยทางจำเลยได้ยอมรับสารภาพต่อหน้าสาลว่าได้กระทำการดังกล่าวจริง
    โดยจำเลยได้มาขอขมาลาโทษกับพระครูนนทวิทธิการแล้ว โดยหลวงพ่อวัดไทรน้อยก็อโหสิกรรมให้
    ศาลอาญาจังหวัดนนทบุรี ได้มีคำตัดสินใก้ลงโทษจำเลยมีโทษจำหนึ่งคุกปี ปรับเป็นเงินสี่พันบาท
    แต่ เนื่องด้วยจำเลยยอมรับสารภาพ ศาลจำมีคำตํดสินเหลือจำคุกหกเดือน(รอลงอาญา)ปรับเป็นเงินจำนวนสองพันบาท ตัดสินเมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2553
    ช่วงเป็นข่าวดูมันใหญ่โตมโหฬาร แต่พอมีคำตัดสินของศาลออกมาแล้วว่าหลวงพ่อประสิทธิ์มิได้กระทำผิด...ไม่เห็น จะมีข่าวตามหน้าสื่อต่างๆเลย แล้วยังงี้วงการพระสงฆ์เมืองไทย มิต้องมามัวหมองเพราะมารศาสนาเปล่าๆหรือครับ...น่าสงสารหลวงพ่อท่านมาโดนคน ทำร้ายชื่อเสียงตอนอายุมาก น่าเศร้าใจจริงๆครับ
     
  17. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    [​IMG]

    สวัสดียามเช้าครับ ส่งให้แล้วนะครับเช้านี้

    คุณรับโชค EH939517926TH
    คุณงูขาว EH939517930TH
     
  18. รับโชค

    รับโชค เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    2,131
    ค่าพลัง:
    +11,878

    ขอบพระคุณครับคุณโม
    :cool::cool::cool:
     
  19. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    รูปหล่อโบราณฐานภูเขาหลวงปู่ศรี มหาวีโร วัดป่ากุง จังหวัดร้อยเอ็ด

    จำนวนการสร้างมีดังนี้ เนื้อเงิน ๒๙องค์ เนื้อนวะ๙๙๙องค์ เนื้อสำริด๙๙๙องค์ เนื้อทองเหลือง๑๙๙๙องค์ ชุดกรรมการ๑๙๙ชุด
    จัดสร้างโดยคุณเสมอ งิ้วงาม ร่วมกับชมรมพระเครื่องจังหวัดร้อยเอ็ด มอบถวายให้หลวงปู่ปลุกเสกวันที่ ๒๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๕๕๑ จัดเป็นพระดี พิธีดี และเจตนาการสร้างดี น่าสะสมครับ
    ชุดใหญ่ 4องค์(กะไหล่เงิน สำริด นวะ ทองแดงรมดำ) ตอก2โค้ด(โค้ด ศรี และ ศ) เลขเดียวกันทั้ง4องค์ แจกกรรมการ จัดสร้างจำนวน ๓๐๐ชุด มี๒ชุดครับ หมายเลข ๒๙๘


    *ปิดรายการนี้ครับ*
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • s21.jpeg
      s21.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      53.1 KB
      เปิดดู:
      83
    • s22.jpeg
      s22.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      54 KB
      เปิดดู:
      113
    • s23.jpeg
      s23.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      49.9 KB
      เปิดดู:
      96
    • s24.jpeg
      s24.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      51.7 KB
      เปิดดู:
      95
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 มีนาคม 2011
  20. momotaro67

    momotaro67 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7,026
    ค่าพลัง:
    +5,457
    รูปหล่อโบราณฐานภูเขาหลวงปู่ศรี มหาวีโร วัดป่ากุง จังหวัดร้อยเอ็ด

    ชุดใหญ่ 4องค์(กะไหล่เงิน สำริด นวะ ทองแดงรมดำ) ตอก2โค้ด(โค้ด ศรี และ ศ) เลขเดียวกันทั้ง4องค์ แจกกรรมการ จัดสร้างจำนวน ๓๐๐ชุด หมายเลข ๒๒๙



    [FONT=&quot]*ปิดรายการนี้[/FONT][FONT=&quot]ครับ[/FONT]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • s11.jpeg
      s11.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      56.3 KB
      เปิดดู:
      127
    • s12.jpeg
      s12.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      55.8 KB
      เปิดดู:
      121
    • s13.jpeg
      s13.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      43.6 KB
      เปิดดู:
      140
    • s14.jpeg
      s14.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      50.5 KB
      เปิดดู:
      182
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 สิงหาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...