เรื่องเด่น 2012 คำบอกเล่าจากต่างดาวและหลักฐาน

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย k.kwan, 26 พฤศจิกายน 2010.

  1. obs2553

    obs2553 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มกราคม 2011
    โพสต์:
    1,289
    ค่าพลัง:
    +176
    มาชวนคุณ k.kwan ไปแจมกระทู้คุณเป็ดหน่อย

    เรื่องในแนวเดียวกันค่ะ มะนาวต่างดุ๊ด-มนุษย์ต่างดาว กับ จานบิน :)
     
  2. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=iIN2jUL0eS8&feature=related]YouTube - ‪Metallica - The unforgiven ll‬‏[/ame]

    [ame=http://www.youtube.com/watch?v=m3W3qLIni9I]YouTube - ‪Guns N' Roses - Patience lyrics‬‏[/ame]

    [​IMG]
     
  3. panaone99

    panaone99 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    98
    ค่าพลัง:
    +292
    เมื่อประมาณเดือนที่แล้วเราฝันว่า เกิดคลื่นยักษ์สึนามิที่บ้านเรา ที่ระนอง เราวิ่งบอกชาวบ้านว่าคลื่นยักษ์กำลังมา แต่ไม่มีใครเชื่อเราเลย ในฝันเราวิ่งหนีแล้วไปเจอมอเตอร์ไซค์ของใครไม่รู้จอดอยู่ เห็นมีกุญแจเสียบไว้ เราจึงขับมา มาโผล่อีกทีเป็นที่วัดท่าซุง เห็นคนกำลังมากมาย ก็มาที่นี่ ทุกคนกำลังโกลาหล วุ่นวายไปหมด แล้วมีคนประกาศผ่านไมค์โครโฟนว่า คนที่มาถึงแล้วอย่าตระหนกตกใจรวบรวมกำลังใจให้นิ่ง ใครที่เคยฝึกสมาธิมา หรือได้ญาณขั้นไหนก็แล้วแต่ให้ทุกคนนั่งทำสมาธิ แล้วมีคนมาแจกกระดาษ เขาบอกว่าเป็นคาถาพระแม่ธรณี แล้วเราก็ตื่น เรามีความรู้สึกว่าเหนื่อยมากเหมือนมันเกิดขึ้นจริงๆ
     
  4. อินทิราธา

    อินทิราธา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 มกราคม 2011
    โพสต์:
    312
    ค่าพลัง:
    +346
    ได้ความรู้เพิ่มขึ้นนะคะ อ่านไว้ไม่เสียหลายค่ะ
     
  5. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ไขปริศนาสุริยะปฏิทิน 1000 ปี ภูเพ็ก
    ที่มาแหล่งข้อมูล:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width="99%" background=http://s.igetcdn.com/image/template/w057/08/body_h_center.gif>�������ҽҡ > �����л�ԷԹ ������ ʡŹ�� [Engine by iGetWeb.com]</TD><TD width=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD width=1 background=http://s.igetcdn.com/image/template/w057/08/body_left.gif>[​IMG]</TD><TD bgColor=#ffffff><TABLE width="100%" align=center><TBODY><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>



    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="98%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=WorkCenterHeader>[​IMG]</TD></TR><TR><TD class=WorkCenterContent>



    [​IMG]




    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=WorkCenterContentFont style="PADDING-RIGHT: 0px; PADDING-LEFT: 0px; PADDING-BOTTOM: 5px; VERTICAL-ALIGN: top; PADDING-TOP: 5px; 0px: ; 5px: ">[​IMG]


    สุริยะปฏิทินคืออะไร


    บรรพชนในอดีตอันไกลโพ้นรู้ดีว่าตำแหน่งที่ดวงอาทิตย์ขึ้นในแต่ละวันเคลื่นที่ไปเรื่อยๆโดยกลับไปกลับมาระหว่าง

    ทิศเหนือ และทิศใต้และช่วงเวลากลางวันกับกลางคืนไม่เท่ากัน ในหนึ่งรอบปีมี 3 จุด ที่ถือว่าเป็นตำแหน่งสำคัญคือ


    1.ศรีมายัน (summer solstice)เป็นตำแหน่งที่กลางวันยาวที่สุด ณ ปราสาทภูเพ็ก จังหวัดสกลนครเส้นรุ้ง 17 องศาเหนือ ดวงอาทิตย์ขึ้นที่มุมกวาด (Azimuth) 65องศา



    ตรงกับวันที่ 22 มิถุนายน กลางวัน ยาวถึง 13 ชั่วโมง


    2.ศารทวิษุวัต(Autumnal equinox)และวสันตวิษุวัติ (Vernal equinox) กลางวัน และกลางคืนยาวเท่ากัน


    12 ต่อ 12ชม.ดวงอาทิตย์ ขึ้นที่มุมกวาด 19 องศา เท่ากับ ทิศตะวันออกแท้ (Due east) ตรงกับ วันที่


    23 กันยายนและ 21 มีนาคม


    3.เหมายัน (Winter solstice) ที่ปราสาทภูเพ็กสกลนครดวงอาทิตย์ขึ้น ณ มุมกวาด


    115 องศา วันนี้กลางคืนยาวที่สุด 13 ชม. ตรงกับวันที่ 21 ธันวาค


    พวกเขาสร้างเครื่องมือติดตามตำแหน่งของดวงอาทิตย์เพื่อให้รู้ว่า เมื่อไหรจะถึงวันไหน ในรอบปีโดยใช้จุดที่

    ดวงอาทิตย์ขึ้นในแต่ละวันเป็นตัวชี้วัด สิ่งนี้เรียกว่า" สุริยะปฏิทิน"


    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]สุริยะปฏิทินมีเพียง 3 แห่งในโลก คือ[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]1.ปราสาทภูเพ็ก อ.พรรณานิคม จ.สกลนคร[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]2.ปราสาทหินพิมาย จ.นครราชสีมา[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]3.ปราสาทนครธม จ.เสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]โดยปราสาทภูเพ็กกับปราสาทนครธม ตั้งอยู่บนเส้นแวงที่ 103 เป็นเส้นตรงเดียวกัน[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]เป็นความจงใจของผู้สร้างปราสาท คือ พระเจ้าชัยวรมันที่ 7[/FONT]

    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]ความเป็นมาของปราสาทภูเพ็ก[/FONT]











    [FONT=MS Sans Serif, Tahoma, sans-serif]โดย สรรค์สนธิ บุณโยธยาน[/FONT]



    ความเป็นมาของปราสาทภูเพ็ก<O:p></O:p>



    ปราสาทภูเพ็ก เป็นโบราณสถานขอมตั้งอยู่บนยอดเขาที่ชื่อภูเพ็กสูงจากระดับน้ำทะเล 522 เมตร ที่บ้านภูเพ็ก ตำบลนาหัวบ่อ อำเภอพรรณานิคม จังหวัดสกลนคร บริเวณเส้นรุ้ง 17.19 องศาเหนือ และเส้นแวง 103.94 องศาตะวันออก ห่างจากตัวเมืองสกลนครทางรถยนต์ 37 กิโลเมตร โดยมาทางถนนหลวงแผ่นดินหมายเลข 22 สายนครพนม – อุดรธานี ถึงกิโลเมตรที่ 138 เลี้ยวซ้ายเข้าไปทางถนนลาดยางผ่านบ้านนาหัวบ่อ เข้าถึงเชิงภูเขาและเดินขึ้นบันไดอีก 491 ขั้น ถึงตัวปราสาท จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี พงศาวดาร และอุรังคนิทาน ทำให้เราทราบว่าเมืองหนองหานหลวงเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของอาณาจักรขอม ที่มีเมืองหลวงชื่ออังกอร์(Angkor)หรือเมืองพระนคร ตั้งอยู่ในประเทศกัมพูชาใกล้กับเมืองเสียมเรียบ(เสียมราช)ปัจจุบัน ชนชาติขอมตั้งตัวเป็นอาณาจักรอย่างจริงจังโดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ราว พ.ศ.1345 และมีกษัตริย์สืบทอดแผ่นดินต่อเนื่องกันมาจนถึง พ.ศ.1895 ก็ ถูกกองทัพจากกรุงศรีอยุธยาเข้ายึดครอง อนึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าปราสาทภูเพ็กกับปราสาทนครวัดและนครทมซึ่งเป็น ราชธานีของอาณาจักรขอม ตั้งอยู่บนเส้นตรงเดียวกันในแนวทิศเหนือ-ใต้ ณ เส้นแวง 103.9 องศาตะวันออก




    [​IMG]







    <?xml:namespace prefix = o /><o:wrapblock><?xml:namespace prefix = v /><v:shape id=_x0000_s1027 style="MARGIN-TOP: 238.65pt; Z-INDEX: 2; MARGIN-LEFT: 58.95pt; WIDTH: 331.2pt; POSITION: absolute; HEIGHT: 43.2pt" o:allowincell="f" type="#_x0000_t202" strokecolor="white"><v:textbox><TABLE style="BORDER-TOP-WIDTH: 1px; BORDER-LEFT-WIDTH: 1px; BORDER-LEFT-COLOR: #c0c0c0; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 1px; BORDER-BOTTOM-COLOR: #c0c0c0; BORDER-TOP-COLOR: #c0c0c0; BORDER-RIGHT-WIDTH: 1px; BORDER-RIGHT-COLOR: #c0c0c0" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-TOP-WIDTH: 1px; BORDER-LEFT-WIDTH: 1px; BORDER-LEFT-COLOR: #c0c0c0; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 1px; BORDER-BOTTOM-COLOR: #c0c0c0; BORDER-TOP-COLOR: #c0c0c0; BORDER-RIGHT-WIDTH: 1px; BORDER-RIGHT-COLOR: #c0c0c0">








    </TD></TR></TBODY></TABLE></v:textbox><?xml:namespace prefix = w /><w:wrap type="topAndBottom"></w:wrap></v:shape></B>​

    <O:p></O:p>ดวงตราไปรษณียากร Unseen Thailand เดือน กค.2547 ในภาพ สรรค์สนธิ บุณโยธยาน กำลังทิ้งลูกดิ่งเพื่อพิสูจน์ความแม่นยำของสุริยปฏิทิน ในวันวสัตวิษุวัต 21 มีนาคม หรือ Equinox พระอาทิตย์จะขึ้นตรงกลางศิวลึงค์ วันนั้นกลางวันและกลางคืนจะเท่ากันทั่วโลกคือ 12 ชั่วโมง






    1.1 พงศาวดารและอุรังคนิทาน<O:p></O:p>

    เมื่อครั้งศาสนาพระพุทธเจ้ากัสสะปะ ขุนขอมราชบุตรเจ้าเมือง อินทปัฐนคร ในประเทศกัมพูชา ได้ พาไพร่พลเดินทางมาสร้างเมืองใหม่บริเวณท่านางอาบให้ชื่อว่าเมืองหนองหานหลวง ขุนขอมมีโอรสคนหนึ่งชื่อว่าเจ้าสุระอุทก ขึ้นครองเมืองต่อจากพระบิดาด้วยพระชนมายุเพียง 15 พรรษา หลังจากที่ขุนขอมทิวงคต วันหนึ่งพระยาสุระอุทกเสด็จออกไปยังเขตแคว้นหนองหานหลวงแถบลำน้ำมูลได้เผชิญ หน้ากับ พยานาคชื่อธนมูล เกิดการต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายแต่ก็ไม่มีผู้ใดแพ้ชนะเพราะต่างอ่อนแรง ไปทั้งคู่ พระยาสุระอุทกจึงยกไพร่พลกลับ แต่นาคธนมูลผูกใจเจ็บจึงพาเหล่าทัพอสรพิษติดตามไปอย่างเงียบๆจนถึงเมืองหนอง หานหลวง ทั้งหมดได้แปลงกายเป็นอีเก้งเผือก พระยาสุระอุทกได้ทราบว่ามีอีเก้งเผือกมาปรากฏกายจึงสั่งให้พรานออกไปล่าเอา เนื้อมาแจกจ่ายกินกันอย่างทั่วถึงทั้งเมือง ทำให้นาคธนมูลโกรธแค้นยิ่งนัก ตกดึกคืนนั้นบรรดานาคได้โผล่ขึ้นมาถล่มเมืองหนองหานหลวงจนจมใต้น้ำ และจับพระยาสุระอุทกมัดด้วยบาศบ่วงฉุดลากอย่างทรมานไปลงแม่น้ำโขงแล้วเอาศพ ไปคืนให้แก่เจ้าเมืองอินทปัฐนคร ฝ่ายเจ้าภิงคารและเจ้าคำแดงราชบุตรของพระยาสุระอุทกพร้อมด้วยผู้ที่รอดตาย จำนวนหนึ่งได้มาตั้งเมืองใหม่อยู่บนที่ดอนบริเวณภูน้ำลอดเชิงชุม ณ ที่นั้นมีพระยานาคผู้ทรงศีลธรรมชื่อ สุวรรณนาค ได้ประกอบพิธีอภิเษกเจ้าภิงคาระขึ้นเป็นเจ้าเมืองหนองหานหลวงใหม่พระนามว่า พระยาสุวรรณภิงคาระ พร้อมกับมเหสีชื่อ พระนางนารายณ์เจงเวง ส่วนเจ้าคำแดงได้ไปครองเมืองหนองหานน้อย(บริเวณอำเภอกุมภวาปี) ต่อมาสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยสาวก 1,500 องค์เสด็จมาฉันข้าวที่ภูกำพร้า พระองค์ทรงรำลึกถึงประวัติพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ ที่เสด็จดับขันธปรินิพพานไปแล้ว ได้เคยมาประชุมรอยพระบาทไว้ที่ภูน้ำลอดเชิงชุมทุกพระองค์ จึงได้ประทับรอยพระบาทไว้บนแผ่นศิลาเป็นรอยที่ 4 พระยา สุวรรณภิงคารจึงสร้างเจดีย์ครอบรอยพระบาทเหล่านั้นไว้ปัจจุบันเรียกว่าพระ ธาตุเชิงชุม ต่อมาเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานแล้วพระยาสุวรรณภิงคารทราบข่าวว่า พระมหากัสสปะจะนำอุรังคธาตุมาบรรจุที่เมืองหนองหานหลวงจึงสั่งให้ชาวเมือง ฝ่ายชายและหญิงแข่งกันสร้างอุโมงค์หากใครเสร็จก่อนจะได้อุรังคธาตุไปบรรจุ ไว้บูชา ฝ่ายหญิงซึ่งมีพระนางนารายณ์เจงเวงเป็นหัวหน้าได้เลือกสถานที่ในเมือง ส่วนฝ่ายชายจะก่อสร้างบนภูเขาที่ดอยแท่น มีข้อตกลงว่าหากเห็นดาวเพ็ก(ดาวพระศุกร์)ขึ้น ก็ให้วางมือ ระหว่างก่อสร้างฝ่ายหญิงได้ใช้อุบายหลอกฝ่ายชายให้ทำงานไม่สะดวกเช่นแต่งตัว ไปยั่วยวน ขณะเดียวกันฝ่ายชายก็ประมาทฝีมือฝ่ายหญิงด้วย ในที่สุดฝ่ายหญิงสร้างเสร็จก่อนพร้อมกับจุดโคมไฟหลอกว่าดาวเพ็กขึ้นแล้วทำ ให้ฝ่ายชายละทิ้งงานและก็รู้ว่าถูกหลอก ปราสาทภูเพ็กจึงเสร็จเพียงครึ่งเดียวอย่างที่เห็น <O:p></O:p>

    หลัง จากยุคของพระยาสุวรรณภิงคาระแล้วมีเจ้านายขอมผลัดเปลี่ยนกันมาปกครองเมือง หนองหานหลวงอีกหลายคน แต่ที่สุดก็ทิ้งเมืองกลับไปยังกัมพูชาเพราะฝนแล้งติดต่อกัน 7 ปี ทำนาไม่ได้เลย เมืองหนองหานหลวงจึงร้างมาจนสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้โปรดเกล้าให้อุปฮาดเมืองกาฬสินธุ์มาเป็นพระธานีครองเมืองหนองหานหลวงโดย เปลี่ยนชื่อใหม่เป็นสกลทวาปี ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 3 ได้เกิดกบฏเจ้าอนุวงศ์ พระธานีมีใจเอนเอียงเข้าข้างจึงถูกประหารชีวิต และให้คนใหม่คือพระยาประเทศธานีเป็นเจ้าเมืองพร้อมกับเปลี่ยนชื่อเมืองเป็นสกลนครตราบจนปัจจุบัน <O:p></O:p>


    <O:p></O:p>

    <O:p></O:p>

    1.2 ประวัติศาสตร์และโบราณคดี <O:p></O:p>

    จาก เอกสารของกรมศิลปากรในหนังสือชื่อ รอยอดีตสกลนคร อธิบายว่าไม่สามารถยืนยันปราสาทแห่งนี้สร้างในสมัยใด เพราะไม่ปรากฏจารึกและลวดลายแกะสลักแม้แต่แผ่นเดียว แต่จากการดูแบบแปลนและทำเลสถานที่ตั้งสัณณิฐานว่าอาจจะสร้างในราวพุทธศัต วรรษ ที่ 16 – 17 ในศิลปะเขมรแบบบาปวน-นครวัด และน่าจะมีความตั้งใจสร้างเพื่อเป็นศาสนสถานฮินดู <O:p></O:p>
    ในความเห็นส่วนตัวของผมเชื่อว่าปราสาทภูเพ็กน่าจะสร้างในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ระหว่าง พ.ศ.1724 – 1762 ด้วยเหตุผล 4 ประการ กล่าวคือ<O:p></O:p>
    1.2.1 กษัตริย์ขอมองค์นี้มีโครงการก่อสร้างมากมายทั้งศาสนสถาน โรงพยาบาล ที่พักคนเดินทาง ถนน และปราสาทน้อยใหญ่ กระจายอยู่ทั่วราชอาณาจักร หลายแห่งสร้างไม่เสร็จเพราะสิ้นพระชนม์เสียก่อน นักโบราณคดีชาวสวีเดน ชื่อ Jan Myrdal เขียนไว้ในหนังสือเกี่ยวกับเมืองพระนคร (Angkor) ไว้ว่า “ พอบรรดาคนงานได้ยินข่าวการสิ้นพระชนม์ ต่างก็ละทิ้งงานและกลับบ้าน “ ขณะเดียวกัน David Chandler ผู้เขียนหนังสือ A History of Cambodia กล่าวถึงพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ว่า มีการบังคับเกณฑ์ผู้คนจำนวนมากไปก่อสร้างปราสาทต่างๆโดยบอกคนเหล่านั้นว่า “ พวกเจ้าเหนื่อยยากในชาตินี้จะได้บุญในชาติหน้า ” ดัง นั้นปราสาทภูเพ็กก็มีสิทธิถูกทิ้งงานเช่นเดียวกับปราสาทหลายแห่งในกัมพูชา เมื่อคนงานได้ยินข่าวการสิ้นพระชนม์ การผละงานและกลับบ้านไปอยู่กับลูกเมียในครั้งนี้อาจเป็นที่มาของตำนานการ แข่งขันระหว่างฝ่ายชายและฝ่ายหญิงที่ลงเอยด้วยความปราชัยอย่างย่อยยับของ ฝ่ายชาย อนึ่งจากการสนทนากับพระรูปหนึ่งซึ่งจำวัดอยู่ที่วัดภูเพ็ก ท่านเล่าให้ผมฟังว่าได้นั่งทางในเห็นภาพเหตุการณ์การก่อสร้างปราสาท ภูเพ็กโดยใช้แรงงานคนพื้นเมืองที่ถูกขุนขอมเกณฑ์มาเยี่ยงทาส มีการบังคับให้ทำงานหนักจนล้มตายมากมาย วิญญาณของเขาเหล่านั้นยังคงวนเวียนทนทุกข์ทรมานไม่ได้ไปผุดไปเกิด พระรูปนี้จึงต้องช่วยแผ่เมตตาให้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้ว่าจะฟังดูไม่เป็นวิทยาศาสตร์แต่ก็เป็นข้อมูลที่พระท่านเล่าให้ผมฟัง เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2545 ขณะเดินกลับจากการสำรวจเนินดินลึกลับ 7 ลูก ที่เรียงตัวเป็นเส้นตรงห่างจากกันประมาณ 60 ก้าวเดิน ในบริเวณที่ราบด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของภูเขาที่ตั้งปราสาทภูเพ็ก ในฐานะนักพิภพวิทยาผมต้องรับฟังข้อมูลทุกเรื่องด้วยความเคารพ <O:p></O:p>
    1.2.2 พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นับถือศาสนาพุทธมหายานอย่างเคร่งครัด แต่กษัตริย์ขอมองค์ต่อๆมา กลับไปนับถือฮินดูและไม่พอใจในศาสนาพุทธอย่างแรง ดังนั้นในช่วงสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 ระหว่าง พ.ศ.1786 – 1838 มีการทุบทำลายสัญลักษณ์ของศาสนาพุทธครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ดังที่ Vittorio Roveda กล่าวไว้ในหนังสือชื่อ Khmer Mythology Secret of Angkor โดยใช้ถ้อยคำว่า The new ruler reintroduced Shivaism in an episode of intolerance unique in the history of Southeast Asia, when all Buddhist images in the temples were destroyed. นี่อาจเป็นสาเหตุที่ทำไมผู้ปกครองชาวขอม รุ่นต่อๆมาในดินแดนหนองหานหลวง ไม่สร้างปราสาทภูเพ็กให้แล้วเสร็จตามเจตนารมย์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พวกเขาคงเป็นชาวฮินดูที่นับถือพระศิวะ (Shivaism) มิน่าเล่าที่ปราสาทภูเพ็กจึงมีสัญลักษณ์ “ ศิวะลึงค์ “ ตั้ง ตระหง่านอยู่ที่หน้าปราสาท ไม่แน่ว่าที่ตรงนั้นอาจจะเป็นที่ตั้งของพระพุทธรูปแล้วถูกนำไปทุบทิ้ง ดังเช่นพระพุทธรูปนาคปรกในปราสาทพระขันฑ์ (Preakhan) ที่ เมืองนครทม ถูกทุบทำลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยและทิ้งลงในบ่อน้ำ นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศสต้องงมขึ้นมาซ่อมอย่างประณีตและนำกลับไปตั้งไว้ที่ เดิมในปราสาทพระขันฑ์ตามเจตนารมย์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ผมคิดว่าน่าจะมีการค้นหาในบริเวณใต้สระน้ำหรือถ้ำต่างๆที่ปราสาทภูเพ็กอาจจะพบชิ้นส่วนของพระพุทธรูปนาคปรกอย่างที่ปราสาทพระขันฑ์ก็ได้ อย่างไรก็ตามที่ปราสาท นาคพัน (Neak Pean) ซึ่งสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 บริเวณกลุ่มโบราณสถานแห่งนครอังกอร์ ที่เมืองเสียมเรียบ ประเทศกัมพูชา มีรูปศิวะลึงค์อยู่หลายอันผู้เชี่ยวชาญบอกว่าพระเจ้าชัยวรมันที่ 8 สั่งให้นำเข้าไปแทนที่รูปพระโพธิสัตว์<O:p></O:p>
    <o:wrapblock><v:shape id=_x0000_s1033 style="MARGIN-TOP: -234.55pt; Z-INDEX: 8; MARGIN-LEFT: 447.75pt; WIDTH: 50.4pt; POSITION: absolute; HEIGHT: 28.8pt" o:allowincell="f" type="#_x0000_t202" strokecolor="white"><v:textbox></v:textbox></v:shape></o:wrapblock>
    <TABLE style="BORDER-TOP-WIDTH: 1px; BORDER-LEFT-WIDTH: 1px; BORDER-LEFT-COLOR: #c0c0c0; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 1px; BORDER-BOTTOM-COLOR: #c0c0c0; BORDER-TOP-COLOR: #c0c0c0; BORDER-RIGHT-WIDTH: 1px; BORDER-RIGHT-COLOR: #c0c0c0" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-TOP-WIDTH: 1px; BORDER-LEFT-WIDTH: 1px; BORDER-LEFT-COLOR: #c0c0c0; BORDER-BOTTOM-WIDTH: 1px; BORDER-BOTTOM-COLOR: #c0c0c0; BORDER-TOP-COLOR: #c0c0c0; BORDER-RIGHT-WIDTH: 1px; BORDER-RIGHT-COLOR: #c0c0c0">หน้า 5








    </TD></TR></TBODY></TABLE><w:wrap type="topAndBottom"></w:wrap></o:wrapblock></B>
    1..2.3 มีการพบพระพุทธรูปศิลปะขอม สกัดจากหินทรายขนาดเล็กที่ในถ้ำบริเวณปราสาทภูเพ็ก ปัจจุบันตั้งอยู่ในตู้กระจกภายในวัดพระธาตุภูเพ็ก แสดงว่าผู้สั่งให้สร้างปราสาทต้องเป็นชาวพุทธและพระราชาที่นับถือพุทธแถมมี อำนาจยิ่งใหญ่สามารถแผ่บารมีไปยังดินแดนไกลๆก็มีองค์เดียวคือ ชัยวรมันที่ 7 <O:p></O:p>
    1.2.4 เมืองหนองหานหลวงเป็นดินแดนที่อิทธิพลของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แผ่มาถึงอย่างแน่นอน เพราะที่บ้านพันนา ตำบลพันนา อำเภอสว่างแดนดิน มีโบราณสถานที่เป็น “อโรคยาศาล” หรือโรงพยาบาลตามโครงการรักษาพยาบาลฟรีแก่ผู้ป่วยโดยไม่จำเป็นต้องมีบัตรทองแบบ 30 บาท แถมยังมีบริการให้กินข้าวฟรีจากคลังของพระราชา ดังคำจารึกพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จากหนังสือหอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร กล่าวว่า “ ข้าว สารสำหรับเป็นเครื่องบูชาเทวรูปวันละหนึ่งโทรณะทุกวันเครื่องพลีทานที่เหลือ พึงให้แก่ผู้มีโรคทุกวัน ทุกปี สิ่งนี้ควรถือเอาจากคลังของพระราชาสามเวลา แต่ละอย่างควรให้ในวันเพ็ญ เดือนใจตระ และในพิธีศารท ในกาลที่พระอาทิตย์คล้อยไปทางทิศเหนือ “ นอก จากนี้ยังมีสะพานหินศิลปะขอม หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าสะพานขอม ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ที่ถนนทางเข้าตัวเมืองสกลนคร สะพานลักษณะนี้มีเพียงหนึ่งเดียวในประเทศไทย สำนักโบราณคดีและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติที่ 7 ขอนแก่น กรมศิลปากร ได้เขียนไว้ในหนังสือชื่อ รอยอดีตสกลนคร ว่ามีลักษณะเทียบได้กับสะพานข้ามแม่น้ำชีเกรง ที่เมืองกัมปงกเด็ย (Kampong Kdei) ประเทศกัมพูชา ซึ่งสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ราวพุทธศตวรรษ ที่ 18 และหนังสือ ชื่อ Khmer Lost Empire of Cambodia ของบริษัท New Horizons ระบุว่าสะพานข้ามแม่น้ำชีเกรง เป็นเขื่อนทดน้ำชลประทาน (Barrage-bridge) เรียกว่าสะเพียนปราโตด (Spean Praptos) จึง ทำให้เชื่อได้ว่ามีการใช้น้ำชลประทานเพื่อทำนาในบริเวณนี้ เพราะขอมมีชื่อเสียงด้านเทคโนโลยีการชลประทานอยู่แล้วจนนักโบราณคดีชาวตะวัน ตกที่ศึกษาเรื่องราวของอาณาจักรอังกอร์หรือเขมรโบราณ ต่างยกให้พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการน้ำ (Master of Water Management) Dr.Dhida Saraya กล่าวในหนังสือชื่อ Preah Vihear Sri Sikharesvara ถึงอิทธิพลทางด้านการเมืองและวัฒนธรรมของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 แผ่ขยายไปยังลุ่มน้ำชี-มูล แอ่งสกลนคร แอ่งแม่น้ำโขงถึงเมืองเวียงจันทน์และเวียงกาม <O:p></O:p>
    สรุป <O:p></O:p>
    1. ปราสาทภูเพ็กน่าจะสร้างในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งนับถือศาสนาพุทธนิกายมหายาน ระหว่าง พ.ศ.1724 – 1762 แต่สร้างไม่เสร็จเพราะสิ้นพระชนม์เสียก่อน และกษัตริย์ขอมองค์ต่อๆมากลับไปนับถือศาสนาฮินดูและไม่พอใจต่อโครงการต่างๆของชัยวรมันที่ 7 จึงไม่มีการสานต่อ ยิ่งกว่านั้นยังมีการทุบทำลายพระพุทธรูปจำนวนมาก<O:p></O:p>
    2. หลังจากสิ้นอำนาจของชัยวรมันที่ 7 แล้ว อาณาจักรขอมเริ่มเสื่อมอำนาจลงเรื่อยๆ ตามหลักแห่งสัจธรรมที่ว่าเมื่อผ่านพ้นจุดสูงสุดย่อมเสื่อมถอย และอาณาจักรใหม่ๆ เช่น สุโขทัย ก็เริ่มเรืองอำนาจขึ้นมาแทน ขุนขอมจึงไม่มีกำลังพอที่จะครอบครองเมืองหนองหานหลวงอีกต่อไป ดินแดนแถบนี้จึงถูกทิ้งร้างอีกคำรบหนึ่ง จวบจนสมัยพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 ปฐมกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้โปรดเกล้าให้ตั้งเป็นเมืองใหม่ชื่อว่า สกลทวาปี แต่สำหรับปราสาทภูเพ็กยังคงปราศจากผู้เหลียวแลปล่อยให้ยืนตระหง่านอย่างโดด เดี่ยวเดียวดายอยู่บนยอดเขาสูง 500 เมตร <O:p></O:p>
    3. ปัจจุบัน ร่องรอยของแนวคูรอบเมืองหนองหานหลวงที่มีลักษณะสี่เหลี่ยมจัตุรัส อันเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นของนครแห่งอาณาจักรขอม แทบไม่เหลือซากให้เห็นเพราะถูกเปลี่ยนสภาพเป็นถนนและอาคารบ้านเรือนต่างๆ ส่วนตัวหนองหารที่มีสภาพเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ ณ วันนี้ เกิดจากผลของการก่อสร้างประตูบังคับน้ำที่ลำน้ำก่ำเมื่อสมัยหลังสงครามโลก ครั้งที่ 2 และ ต่อมามีการก่อสร้างประตูน้ำที่ทันสมัยในบริเวณใกล้ๆกันโดยใช้เงินกู้จาก ประเทศญี่ปุ่นเมื่อไม่นานมานี้ หนองหารจึงกลายเป็นอ่างเก็บน้ำไปโดยปริยาย และที่แน่ๆแนวคูเมืองโบราณส่วนหนึ่ง(ใกล้กับท่อสูบน้ำประปา)จมอยู่ใต้น้ำดังที่เห็นในภาพถ่ายทางอากาศ <O:p></O:p>
    4. เมืองสกลนครในอดีตเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรขอม เพราะมีหลักฐานทางโบราณคดีมากมาย เช่น พระธาตุ(ปราสาท)เชิงชุม พระธาตุ(ปราสาท)นารายณ์เจงเวง ปราสาทบ้านพันนา (อโรคยาศาลา) เมื่อ อาณาจักรขอมล่มสลายไปอิทธิพลของล้านช้างเข้ามาแทนที่ และปัจจุบันตกอยู่ใต้อิทธิพลของอาณาจักรรัตนโกสินทร์ ส่วนอนาคตค่อยว่ากันเมื่อถึงเวลานั้น <O:p></O:p>



















    ความเป็นมาของสุริยปฏิทิน



    [​IMG] ดาราศาสตร์แห่งบรรพกาล ที่มาของปฏิทิน







    บทความโดย สรรค์สนธิ บุณโยทยาน




    1. ดาราศาสตร์กับมนุษยชาติ

    นักโบราณคดีที่ขุดค้นในดินแดนอู่อารยะธรรมของโลกระหว่างแม่น้ำไตรกีสและยู เฟรตีส ที่เรียกว่าเมโสโปเตเมีย(ปัจจุบันเป็นประเทศอีรัก) ยังไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจนว่าทำไมวิชาดาราศาสตร์จึงเป็นสิ่งแรกๆที่มนุษย์ ได้เรียนรู้เมื่อเข้าสู่อารยธรรม พวกเขาน่าจะศึกษาเกี่ยวกับสิ่งรอบตัวหรือสิ่งที่อยู่บนพื้นโลกมากกว่าจะไป เกี่ยวข้องกับเรื่องของระบบสุริยะและดวงดาวที่อยู่ไกลโพ้น วิชานี้น่าจะเหมาะสำหรับยุคสมัยของพวกเราในปัจจุบันที่มียานอวกาศ มีกล้องดูดาวประสิทธิภาพสูง มีเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ฯลฯ แต่ตรงกันข้ามจารึกโบราณของชาวสุเมเรี่ยนเมื่อ 6,000 ปีที่แล้ว ได้กล่าวถึงความเป็นมาของระบบสุริยะอย่างละเอียด พวกเขารู้จักดาวเคราะห์ชั้นนอกที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น คือ ดาวยูเรนัส และเนปจูน ซึ่งเราเพิ่งค้นพบเมื่อสองสามร้อยกว่าปีมานี้เอง ส่วนดาวพลูโตพบเมื่อเจ็ดสิบกว่าปีที่แล้วใน พ.ศ.2473 ยิ่งกว่านั้นจารึกของพวกเขายังยืนยันการมีอยู่ของดาวเคราะห์อันไกลโพ้นสุด ขอบที่ชื่อว่า นีบิรุ/มาร์ดุ๊ก (Nibiru/Marduk) โคจรรอบดวงอาทิตย์แบบตามเข็มนาฬิกา (Retrograde motion) ด้วยเวลา 3,600 ปี เป็นวงรีเหมือนดาวหางฮัลเล่ย์ ข้อมูลเหล่านี้ถูกถ่ายทอดเป็นภาษาอักเคเดี้ยน บาบิโลเนี่ยน และแอสสิเรี่ยน ซึ่งเป็นอาณาจักรที่เกิดขึ้นหลังจากสุเมเรี่ยนล่มสลายไปแล้วเป็นพันปี ห้องสมุดที่เมืองนิเนเว่ห์ของพระเจ้าอัสสูบันนิปาล (Ashurbanipal) กษัตริย์นักรบและนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอาณาจักรแอสสิเรียเมื่อ 2,600 ปี ที่แล้ว บรรจุข้อมูลเกี่ยวกับดาราศาสตร์ไว้มากมายไม่แพ้ห้องสมุดของท้องฟ้าจำลอง กรุงเทพ

    ที่ประเทศไอร์แลนด์ Ireland (เป็นเกาะอยู่ใกล้ๆประเทศอังกฤษ) มีกองหินประหลาดที่เข้าข่ายวิชาดาราศาสตร์ เรียกว่านิวเกรน (Newgrange) นักโบราณคดีเชื่อว่ามีอายุประมาณ 5,300 ปี หรือ 3,300 ปี ก่อน ค.ศ. กองหินดังกล่าวมีรูปร่างเหมือนกระทะทรงกลมคว่ำ สูง 10 เมตร กว้าง 87 เมตร มีช่องให้แสงอาทิตย์ยามเช้าของวันเหมายัน (Winter Solstice) ส่องลึกเข้าไปตามทางเดินแคบๆ







    กองหินลึกลับสโตนส์เฮ็จน์ (Stonehenge) อันลือชื่อของเกาะอังกฤษ ก็เป็นอีกแห่งหนึ่งที่ชี้บ่งตำแหน่งของดวงอาทิตย์ในวัน ครีษมายัน (Summer Solstice) ท่านเซ่อร์นอร์แมน ล็อกเยอ่ร์ (Sir Norman Lockyer) ผู้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของวิชาดาราศาสตร์แห่งบรรพกาล (Archaeo-astronomy) ได้ศึกษาเรื่องราวของสโตนศ์เฮ็นจ์อย่างละเอียดและเขียนหนังสือ ซื่อ รุ่งอรุณแห่งดาราศาสตร์ เมื่อ พ.ศ.2437



    ดวงอาทิตย์มีความผูกพันกับวิถีชีวิตของเราอย่างแนบแน่น เช่น เมื่อโลกพาพวกเราโคจรรอบดวงอาทิตย์ด้วยความเร็ว(ยิ่งกว่าลูกกระสุน ปืน)ประมาณ 30 กิโลเมตร/วินาที ครบ 1 รอบ เท่ากับเวลาที่โลกหมุนรอบตัวเองประมาณ 365.25 ครั้ง พวกเราก็แก่ไปอีก 365 วัน หรือ 1 ปี เพราะ DNA ของเราถูกโปรแกรมให้สอดคล้องกับโลกและระบบสุริยะ มิติแห่งกาลเวลาที่เราใช้อยู่ทุกวันนี้มาจากตัวเลขทางคณิตศาสตร์ที่เนื่อง จากความเกี่ยวพันระหว่างโลกกับดวงอาทิตย์ทั้งสิ้น




    [​IMG] 2. ปีแห่งจักรราศี และการเคลื่อนที่แบบถดถอยของตำแหน่งดวงอาทิตย์ในวัน วสันตวิษุวัต

    หลายพันปีมาแล้วบรรพชนผู้มีภูมิปัญญาสูงในดินแดนเมโสโปเตเมีย ได้แบ่งเส้นทางเคลื่อนที่ของดวงอาทิตย์ในท้องฟ้าออกเป็น 12 ช่องๆละ 30 องศา รวมทั้งสิ้น 12 x 30 = 360 องศา ในแต่ละเดือนดวงอาทิตย์จะเคลื่อนที่ไปตามตำแหน่งดังกล่าวเดือนละ 1 ช่อง และไกลออกไปมองเห็นกลุ่มดาวฤกษ์เป็นฉากอยู่ข้างหลัง ท่านเหล่านั้นสร้างจินตนาการให้กลุ่มดาวฤกษ์มีภาพลักษณ์เหมือนรูปคน รูปสัตว์ โดยตั้งชื่อให้เรียกขานได้ เช่น กลุ่มดาวแกะทองคำ กลุ่มดาววัว กลุ่มดาวคนคู่ และกลุ่มดาวปู ดังที่กล่าวแล้วในบท 2.1 เมื่อดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ไปตรงกับกลุ่มดาวฤกษ์ใดก็เรียกชื่อเดือนให้ตรงกับ กลุ่มดาวนั้นๆ การเคลื่อนที่ ครบ 1 รอบ ใช้เวลาประมาณ 365 วัน เรียกว่า 1 ปี เท่ากับดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ผ่านกลุ่มดาวฤกษ์ครบทั้ง 12 กลุ่มแล้ว

    ในที่นี้จำเป็นต้องมีจุดเริ่มต้นนับหนึ่ง ฮิปปาชุส (Hipparchus) นักดาราศาสตร์ชาวกรีกเมื่อ 2,200 ปีที่แล้ว กำหนดให้ตำแหน่งดวงอาทิตย์ในกลุ่มดาวแกะทองคำ หรือ ราศีเมษ (Aries) เป็นราศีแรกของปี และให้นับหนึ่งโดยเริ่มต้นจากวันที่กลางวันยาวเท่ากับกลางคืนพอดี วันนี้ดวงอาทิตย์ขึ้นที่ตำแหน่งตะวันออกแท้ทำมุมกวาด 90 องศา จากทิศเหนือ เผอิญอยู่ในช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิพอดี จึงเรียกวันนี้ว่า Vernal equinox หรือ Spring equinox ภาษาไทยใช้คำว่า วสันตวิษุวัต ที่จริงคำนี้เป็นภาษาแขกอินตาละเดีย (Hindi) ออกเสียงว่า Visuva มาจากรากศัพท์สันสฤกต ท่านบังเละแกออกเสียงในฟิล์มเต็มๆว่า Visuva Samkrati วิษุวะ สัมกราติ หรือ Mesha Samkrati เมช่า สัมกราติ พี่ไทยเราออกเสียงว่า วิษุวัต สงกรานต์ หรือ เมษา สงกรานต์ โชคดีที่ผมเคยเป็นนักเรียนเกษตรอยู่ที่รัฐปันจาบ อินเดีย 5 ปี เต็มๆ จึงมีประสบการณ์ภาษาแขกพอสมควร

    เมื่อ 134 ปี ก่อนคริสตกาล (134 B.C.) ท่านฮิปปาชัส ได้ค้นพบปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์ที่สำคัญเกี่ยวกับจักรราศี คือ การเคลื่อนที่แบบถดถอยของตำแหน่งดวงอาทิตย์ในวันวสันตวิษุวัต (Precession of vernal equinox) เรื่องนี้ค่อนข้างซับซ้อนสำหรับเราๆท่านๆที่ไม่ได้เรียนวิชาดาราศาสตร์มาโดย ตรง แม้กระทั่งหมอดูโหราศาสตร์ที่นั่งอยู่ใต้ต้นมะขามท้องสนามหลวง ผมเองกว่าจะทำความเข้าใจให้ตัวเองก็เล่นเอาหืดขึ้นคอต้องอ่านเอกสารกลับไป กลับมาหลายตลบ ในที่สุดสรุปสาระสำคัญได้ กล่าวคือ

    ที่เราเรียนวิชาภูมิศาสตร์ตอนเป็นเด็กๆคุณครูบอกว่า โลกของเรามีลักษณะเอียง 23.5 องศา จากแนวดิ่ง นั่นถูกต้องในปัจจุบันแต่ในความเป็นจริงมุมที่ว่านี้ขยับเปลี่ยนไปช้าๆ โดยแกว่งกลับไปกลับมาระหว่าง 21 องศากว่าๆ กับ 24 องศา กว่าๆ การเปลี่ยนเพียงแค่ 1 องศา ต้องใช้เวลานานถึง 7,000 ปี ท่าน Sir Norman Lockyer นักดาราศาสตร์แห่งบรรพกาลชาวอังกฤษ เจ้าของผลงานวิจัยชื่อ รุ่งอรุณแห่งดาราศาสตร์ (The Dawn of Astronomy) เมื่อ ปี ค.ศ.1894 หรือ พ.ศ.2437 ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับมุมเอียงของโลก












    <B>ปี คศ. มุมเอียงของโลกจากแนวดิ่ง (องศา)
    ปัจจุบัน 23.5

    </B>
    500 BC 23.75


    1000 BC 23.81


    1500 BC 23.87


    2000 BC 23.92


    2500 BC 23.97

    3000 BC 24.02

    3500 BC 24.07
    4000 BC 24.11




















    [​IMG]

    ถ้าโลกไม่เอียง 23.5 องศา แสงอาทิย์จะส่องตรงกลางโลกตลอดกาล กลางวันจะเท่ากับกลางคืนเสมอ ไม่ว่าโลกจะโคจรไปอยู่ส่วนใดของวงโคจรก็ตาม และจะไม่มีการเปลี่ยนฤดูกาล






    [​IMG]


    ภาพจำลองในวันวิษุวัต(Equinox)สำหรับคนที่อยู่ซีกโลกเหนือประมาณ เส้นรุ้ง20 องศาเหนือ สังเกตบริเวณโคนต้นไม้จะวางอยู่ซีกโลกเหนือเงาต้นไม้ตอนเที่ยงจะเอียงมาทิศ เหนือ(ซ้ายมือ) จะสังเกตเห็นพระอาทิตย์ขึ้นทางตะวันออกตรง (true east) เป็นรูปสีแดงเล็ก และโค้งข้ามศีรษะเอียงไปทางใต้เล็กน้อย และตกตรงทิศตะวันตกตรง เป็นรูปสีแดงใหญ่







    2.1 โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์และขณะเดียวกันก็หมุนรอบตัวเองด้วยมุมเอียงดังกล่าว ถ้าพูดเป็นภาษาคณิตศาสตร์ต้องบอกว่า โลกหมุนรอบตัวเองประมาณ 365 ครั้ง เท่ากับ โคจรรอบดวงอาทิตย์ครบ 1 รอบ 1 ปี จึงมีประมาณ 365 วัน ในแต่ละวันมุมตกกระทบของแสงอาทิตย์ที่กระทำต่อผิวโลก ณ เส้นศูนย์สูตร (เส้นลากผ่านกึ่งกลางโลก) จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ขึ้นอยู่กับตำแหน่งของโลกในวงโคจร ณ วันนั้นๆ และในรอบ 1 ปี แสงอาทิตย์ทำมุมตั้งฉาก 90 องศา กับเส้นศูนย์สูตร อยู่ 2 วัน คือ วันที่ 21 มีนาคม และ 23 กันยายน ภาษาดาราศาสตร์เรียกว่า วสันตวิษุวัต (Vernal equinox) และศารทวิษุวัต (Autumnal equinox) สองวันนี้กลางวันและกลางคืนยาวเท่ากันพอดี equinox มาจากภาษาลาติน equi = equal (เท่ากัน) nox = night (กลางคืน) equinox = equal night ท่าน ฮิปปาชัส กำหนดให้วันวสันตวิษุวัต ที่ดวงอาทิตย์อยู่ในราศีเมษ (Aries) เป็นวันแรกของปี บรรดานักโหราศาสตร์เรียกวันนี้ว่า จุดเริ่มต้นของราศีเมษ (First point of Aries) ความจริงข้อมูลนี้มีมาก่อนหลายพันปี ชาวเมโสโปเตเมียซึ่งเป็นต้นตำหรับวิชาดาราศาสตร์เรียกวันนี้ว่า นิสซันนู (Nissanu)





    [​IMG]



    ภาพจำลองการเกิด วสันตวิษุวัต(รูปโลกไกล)จะมีกลางวันเท่ากับกลางคืน มายัง ครีษมายัน(โลกอยู่ซ้ายสุด)แสงจะตั้งฉากกับเส้นรุ้งที่ 23.5 องศาเหนือกลางวันจะยาวกว่ากลางคืนที่สุด ต่อไปยัง ศารทวิษุวัต(โลกอยู่ใกล้)จะมีกลางวันเท่ากับกลางคืนอีกครั้ง และต่อไปยังเหมายัน(โลกขวาสุด)ที่แสงอาทิตย์ตั้งฉากกับเส้นรุ้งที่ 23.5 องศาใต้ กลางคืนจะยาวกว่ากลางวันที่สุด


    เมื่อ ปี ค.ศ.134 BC ท่านฮิปปาชัสให้ข้อมูลว่าตำแหน่ง วสันตวิษุวัต เปลี่ยนไปอย่างช้าๆโดยเคลื่อนที่ไปในทิศทางถอยหลังเข้าหาราศี มีน (Pisces) ซึ่งเป็นราศีสุดท้ายอันดับทื่ 12 แทนที่จะเดินหน้าไปสู่ราศีวัว(Taurus) ปรากฏการณ์นี้มีสาเหตุจากมุมเอียงของโลกเปลี่ยนไป ดังที่ผมอธิบายในข้อ 2.1 เมื่อคำนวณทางดาราศาสตร์พบว่า การเคลื่อนที่จากราศีหนึ่ง ไปสู่อีกราศีหนึ่ง กินมุม 30 องศา ใช้เวลา 2,160 ปี จึงเรียกว่า ปีแห่งจักราศี (Age of zodiac) ในสมัยของท่านฮิปปาชัส วสันตวิษุวัต อยู่ในราศีเมษ แต่ปัจจุบัน (2003) วสันตวิษุวัต ถดถอยมาอยู่ที่บริเวณเส้นแบ่งระหว่างราศีมีน(Pisces) กับราศีคนแบกหม้อน้ำ (Aquarius) และเมื่อการเคลื่อนที่ของ วสันตวิษุวัต ครบรอบ 360 องศา คือผ่านทั้ง 12 ราศี และกลับมาที่เดิมคือ ราศีเมษ ใช้เวลาทั้งสิ้น เกือบ 26,000 ปี นักดาราศาสตร์ ตั้งชื่อว่า ปีใหญ่(The Great Year)














    [​IMG]





    แผนภูมิแสดงการถดถอยของวสันตวิษุวัต(Vernal Equinox) จากราษีมีน(Pisces) ไปทางราศีกุมภ์(Aquarius) กินเวลาราศีละ 2.160 ปีกว่าจะครบรอบถึง 25,920 ปี









    มนุษยชาติกับปฏิทิน



    ตามหลักฐานทางโบราณคดีมนุษย์รู้จักสร้างปฏิทินก่อนการประดิษฐ์ตัวอักษร พวกเขาใช้ข้อมูลดาราศาสตร์เป็นเครื่องมือในการกำหนดช่วงเวลา โดยอ้างอิงกับสิ่งที่เห็นบนท้องฟ้าได้แก่ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ และแม้กระทั่งดาวฤกษ์ พวกเขาใช้ก้อนหินขนาดใหญ่เรียงตัวกันเป็นสัญลักษณ์ เช่น กองหินลึกลับ สโตนจ์เฮ้นจ์ (Stonehenge) ที่ประเทศอังกฤษ และ กองหินประหลาด เมดิซีน วีล (Medicine wheel) บนยอดของเทือกภูเขาบิ๊กฮอน ในรัฐไวโอมิ่ง สหรัฐอเมริกา ปัจจุบันนักวิชาการยังยอมรับว่ามึนตึ๊บเพราะไม่สามารถฟันธงว่าปฏิมากรรม เหล่านั้นมีอายุเก่าแก่ขนาดไหนและใครเป็นคนสร้างขึ้นมา เราเพียงแต่รู้ว่ามันเป็นปฏิทินที่ใช้ข้อมูลดาราศาสตร์อิงกับตำแหน่งของดวง อาทิตย์



    พระคำภีร์ไบเบิ้ลฉบับเก่า (The Old Testament) กล่าวถึงบรรพบุรุษเก๋ากึ๊กที่ชื่อ อีน็อก (Enoch) ชายผู้นี้แหละมีเรื่องราวระบุว่าซี้แหงกับพระเจ้ามากที่สุดและได้รับการถ่าย ทอดความรู้ดาราศาสตร์จากเทวดาที่ชื่อ อูเรี่ยน (Uriel) จนสามารถประดิษฐ์ปฏิทินโดยใช้ตำแหน่งดวงอาทิตย์เป็นตัวชี้ เรียกว่า เครื่องกลแห่งอูเรี่ยน (Uriel’s Machine)



    เมื่อมนุษย์เข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ ชาวสุเมเรี่ยนในดินแดนแห่งลุ่มน้ำ ไตรกีส และ ยูเฟรตีส ที่รู้จักกันดีในชื่อว่า เมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) ปัจจุบันอยู่ในประเทศอีรัก ของอีตาหนวดซัดดัม ได้สร้างปฏิทินขึ้นมาเป็นครั้งแรกของโลกที่เมือง นิปปู (Nippur) เมื่อ 3,760 ปี ก่อนคริสตกาล พวกเขาแบ่งช่วงเวลา 1 ปี ออกเป็น 12 เดือน และให้เริ่มปีใหม่ในวันวสันตวิษุวัต (Vernal Equinox) ซึ่งเป็นวันที่กลางวันเท่ากับกลางคืนและเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ (Spring Equinox) ครั้นอารยธรรมอียิปต์ฉายแสงขึ้นมาก็สร้างปฏิทินขึ้นมาใช้โดยถ่ายทอดข้อมูลไป จากชาวสุเมเรี่ยน ชาวอียิปต์ใช้วันที่ดวงอาทิตย์ขึ้นตรงกับดาวฤกษ์ซิริอุส (Sirius) เป็นปีใหม่ เพราะพวกเขานับถือดาวดวงนี้เป็นเสมือนเทพโอซิรีส (Osiris) เมื่ออาณาจักรโรมันผงาดขึ้นมาในหน้าประวัติศาสตร์ 753 ปี ก่อนคริสตกาล ก็สร้างปฏิทินขึ้นโดยนับเริ่มต้นจากปีที่สร้างกรุงโรม ภาษาลาตินใช้คำว่า ab urbe condita (A.U.C.) ปฏิทินโรมันเป็นจันทรคติคือใช้ดวงจันทร์เป็นตัวอ้างอิง โดยให้ปีหนึ่งมี 10 เดือน หรือ 304 วัน และให้วันที่ 1 มกราคม เป็นปีใหม่ ( เดือนมกราคม มาจากชื่อของเทพ เจนัส Janas ) ต่อมาปรับเพิ่มเป็น 355 วัน และมีเดือนบวกพิเศษอีก 1 เดือน ทุกๆปีเว้นปี แต่ปฏิทินฉบับนี้คลาดเคลื่อนจากรอบปีตามสุริยะคติ ประมาณ 5 วัน ในรอบทุกๆ 4 ปี เมื่อสะสมนานนับร้อยปีก็เป็นเหตุให้วันสำคัญไม่ตรงกับฤดูกาลที่กำหนด ชาวโรมันเริ่มหงุดหงิดกับปฏิทินของพวกเขาแต่ยังไม่มีใครอาจหาญลุกขึ้นมา แก้ไข จวบจนถึงสมัยของจอมทัพผู้ยิ่งใหญ่ จูเลียส ซีซ่า (Julius Caesar) เมื่อ 48 ปี ก่อนคริสตกาล พี่แกคุ้นเคยกับข้อมูลดาราศาสตร์และปฏิทินของอียิปต์เพราะมีหวานใจพระนางคลี โอพัตราอยู่ที่นั่น จึงเกิดความคิดว่าไหนๆก็มีเมียเป็นอียิปต์แล้วต้องเอาความรู้ของเขามาปรับ แก้ปฏิทินของโรมันซะเลย ใครจะว่ายังไงก็ไม่ว่ากันเพราะหลวมตัวไปแล้วนี่หว่า อันนี้ผมคิดเองนะครับไม่กล้ายืนยันว่าท่านซีซ่าร์คิดเช่นนี้หรือเปล่า แต่ดูเหตุการณ์มันฟ้องอยู่ในที ท่านซีซ่าร์เรียกที่ปรึกษาชาวอียิปต์ชื่อ โซซิเจเนส (Sosigenes) แห่งเมืองอเลกซานเดรีย มารับมอบภาระกิจให้คิดวิธีปรับแก้ปฏิทินโรมันเสียใหม่ให้สอดคล้องกับฤดูกาล


    ในที่สุด โซซิเจเนส ส่งการบ้านอันยอดเยี่ยมให้ท่านซีซ่าร์ ในอีก 2 ปี ต่อมา ( 46 ปี ก่อนคริสตกาล) โดยกำหนดให้เป็นปฏิทินสุริยะคติ ปีหนึ่งมี 365 วัน และบวกพิเศษ อีก 1 วัน ทุกๆ 4 ปี เพราะคำนวณจากฐานว่าโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ เท่ากับ 365.25 วัน ตอนแรกท่านซีซ่าอยากจะให้เริ่มวันปีใหม่ที่ วสันตวิษุวัต (Vernal Equinox) หรือไม่ก็ เหมายัน (Winter Solstice) แต่พวกวุฒิสมาชิกไม่ยอมเพราะปฏิทินโรมันถือว่า วันที่ 1 มกราคม มีความหมายอยู่แล้ว ด้วยเหตุผลทางการเมืองท่านซีซ่าจึงยอมประนีประนอมในประเด็นนี้เพราะไม่อยาก เป็นศัตรูกับวุฒิสภา อย่างไรก็ตามท่านซีซ่าร์ยังไว้เชิงเอาชื่อเจ้าของไปตั้งชื่อเดือน กรกฏาคม (July มาจาก Julius) และต่อมากษัตริย์โรมัน ชื่อ Augustus ก็เอาอย่างมั่ง เดือนสิงหาคม จึงใช้คำว่า August ปฏิทินของท่านซีซ่าร์ (Julian Calendar) ใช้อย่างแพร่หลายในประเทศยุโรปมาจวบจนถึง ปี ค.ศ.1582 ก็ต้องสังคายนาอีกครั้งหนึ่ง

    แม้ว่าปฏิทินซีซ่าร์ถือว่าดีที่สุดในยุคนั้นแต่ยังมีความคลาดเคลื่อนปีละ 0.0076 วัน เมื่อกาลเวลาผ่านไป 131 ปี ก็สะสมเป็น 1 วัน ยิ่งเวลาผ่านไปพันปีก็ยิ่งคลาดเคลื่อนมากขึ้นจนทำให้วันสำคัญทางศาสนา คาทอลิกไม่ตรงกับฤดูกาลทางดาราศาสตร์ เช่น อีสเตอร์ (Easter) ซึ่งถือเป็นวันที่พระเยซูฟื้นคืนชีพหลังจากสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน วันอีสเตอร์ถูกกำหนดโดยสภาศาสนาแห่งเมืองนีเซีย (Council of Nicaea) เมื่อปี 325 หลังคริสตกาล ให้ตรงกับวันอาทิตย์ถัดจากวันเพ็ญที่เกิดขึ้นหลังวันวสันตวิษุวัต ทั้งนี้พวกเขากำหนดให้ วันที่ 21 มีนาคม เป็นวันวสันตวิษุวัต ปฏิทินซีซ่าร์สะสมความคลาดเคลื่อนไว้มากจนเป็นเหตุให้วันที่ 21 มีนาคม ถึงก่อนวันวสันตวิษุวัต ดังนั้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1582 ท่านสันตะปาปา เกรเกอรี่ ที่ 13 แห่งกรุงโรม (Pope Gregory XIII) ได้ออกประกาศกฎหมายแห่งศาสนจักร ให้มีการปรับเปลี่ยนปฏิทินของท่านซีซ่าร์เสียใหม่ หลังจากที่มอบให้ผู้ทรงคุณวุฒิทางดาราศาสตร์ ชื่อ Jesuit Christopher Clavius (1537 – 1612) ทำการศึกษาอย่างละเอียด ประกาศดังกล่าวมีผลบังคับใช้เป็นกฎหมายที่ต้องปฏิบัติเพราะในยุคนั้นท่าน สันตะปาปาประมุขของศาสนจักรมีอำนาจล้นฟ้า สาระสำคัญของปฏิทินใหม่ซึ่งเรียกว่าปฏิทินเกรเกอร์เรี่ยน (Gregorian calendar) มีดังนี้






































    1. หลังจากวันพฤหัสบดี ที่ 4 ตุลาคม ค.ศ.1582 รุ่งขึ้นวันศุกร์ให้ถือเป็น วันที่ 15 ตุลาคม ค.ศ.1582 โดยอัตโนมัติปฏิทินฉบับนี้มีการชดเชยเพิ่มวันพิเศษ 1 วัน ทุกๆ 4 ปี เรียกว่า Leap Year คือให้มี 29 กุมภาพันธ์ ในปี ค.ศ.ที่หารด้วย 4 ลงตัว แต่ปีสุดท้ายของศตวรรษซึ่งตรงกับครบรอบ 4 ปี ได้แก่ 1600 และ 2000 ที่หารด้วย 400 แล้วลงตัว ให้มีวันที่ 29 กุมภาพันธ์ได้ ส่วนปีสุดท้ายของศตวรรษที่หารด้วย 400 ไม่ลงตัว เช่น 1700 1800 1900 และ 2100 ให้เดือนกุมภาพันธ์ มี 28 วันตามปกติ ปฏิทินเกรกอเรี่ยนใช้ข้อมูลที่นับจำนวนวันในรอบ 1 ปีเท่ากับ 365.2425 วัน ความคลาดเคลื่อนจากรอบปีทางดาราศาสตร์ (Solar Year) ที่มีจำนวนวันเท่ากับ 365.2422 เพียง 0.0003 วัน / ปี ดังนั้นจะมีความเที่ยงตรงได้นานถึง 3,336 ปี จึงค่อยปรับอีก 1 วัน เรียกว่านานจนลืมเลยละครับ ปีนี้ ค.ศ.2006 ต้องรออีกตั้ง 2,912 ปี



    ปฏิทินเกรกอเรี่ยน ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก เป็นปฏิทินที่เราๆท่านๆใช้กันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันในยุคปัจจุบัน เรียกว่าปฏิทินสากล



    ย้อนข้ามทวีปกลับมาดูที่บ้านเราโดยเฉพาะอย่างยิ่งดินแดนชมพูทวีป ชาวฮินดูมีปฏิทินใช้มาตั้งแต่โบราณกาล ที่โด่งดังและรู้จักแพร่หลายคือ ปฏิทินมหาศักราช (Saka calendar) เริ่มใช้ตั้งแต่พระเจ้าศาลิวาหนะ แห่งราชวงศ์ศกะ ทรงมีชัยชนะต่อศัตรูเทียบได้ตรงกับ ค.ศ.ที่ 78



    ปฏิทินมหาศักราชแพร่เข้าไปในดินแดนอาณาจักรขอมพร้อมกับความเชื่อทางศาสนา ฮินดูและกลายเป็นปฏิทินของพวกเขาไปโดยปริยาย จารึกของชาวขอมจึงอิงมหาศักราชทั้งสิ้น มหาศักราชถือว่าวันปีใหม่ตรงกับวันที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าสู่ราศีเมษ ความเชื่อนี้ตกมาถึงพี่ไทยอย่างเราๆด้วย เพราะวันมหาสงกรานต์คือปีใหม่ เป็นวันที่พระอาทิตย์เคลื่อนเข้าราศีเมษเช่นกัน เรื่องราวของ 12 จักรราศีตกมาถึงชมพูทวีปในสมัยที่จอมทัพหนุ่มไฟแรงแห่งอาณาจักร มาซีโดเนีย คือพระเจ้าอเลกซานเดอร์มหาราช กรีฑาทัพเข้ายึดครองดินแดนแถบนี้เมื่อ 327 ปี ก่อนคริสตกาล ชมพูทวีปในยุคนั้นกลายเป็นดินแดนในอาณัติของอาณาจักรมาซีโดเนียซึ่งมี วัฒนธรรมเหมือนชาวกรีก ปฏิทินมหาศักราชจึงใช้จักรราศีเช่นเดียวกับชาวกรีก



    ปฏิทินพุทธศักราช กำเนิดโดยนักปราชญ์ทางพุทธศาสนา กำหนดเอาปีที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน เป็นปี พ.ศ.1 โดยเริ่มนับ แรม 1 ค่ำ เดือน 6 ถัดจากวันนิพพาน คือ วันเพ็ญ เดือน 6 (ปัจจุบันตรงกับวันวิสาขบูชา) แต่ไม่ทราบเหตุใดประเทศต่างๆที่นับถือพุทธนับจุดเริ่มต้น พ.ศ. 1 ไม่พร้อมกัน พม่า จีน และอินเดีย นับ พ.ศ.1 ก่อนประเทศไทย 1 ปี ดังนั้น พ.ศ.2546 ของไทยจึงเท่ากับ พ.ศ.2547 ของพม่า


    ยุคขอมเรืองอำนาจในดินแดนแหลมทอง ระหว่าง คริสตศักราช ที่ 9 - 12 ก่อนยุคอาณาจักรสุโขทัย ครั้งนั้นพวกเขาใช้มหาศักราชอย่างแพร่หลาย ศิลาจารึกหลัก ที่ 1 ของพ่อขุนรามคำแหงที่ทรงประดิษฐ์อักษรไทยก็ใช้มหาศักราช ที่ 1205 (ตรงกับ พ.ศ.1826) ครั้นถึงยุคกรุงศรีอยุธยาไทยเราหันมาใช้ จุลศักราช และใช้มาเรื่อยๆจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ และต่อมา รัชกาลที่ 5 เห็นว่าไม่เหมาะสมเพราะเป็นของพม่าจึงโปรดให้เปลี่ยนมาใช้ พุทธศักราช แทนตั้งแต่นั้นมา อย่างไรก็ตามได้มีการกำหนดให้มี รัตนโกสินทร์ศก ขึ้นโดยเริ่มนับตั้งแต่สร้างกรุงเทพ เมื่อ วันที่ 6 เมษายน พ.ศ.2324 ปัจจุบันเรียกว่า วันจักรี

    ผมค้นคว้าอ่านหนังสือเกี่ยว กับปฏิทินนานาประเทศแล้วพบว่าพวกเขาเหล่านั้น ใช้ดาราศาสตร์เป็นตัวอ้างอิงทั้งสิ้น บางศาสนาใช้ทั้งพระอาทิตย์และพระจันทร์ประกอบกัน เรียกว่า Luni-solar calendar เช่น คริสตศักราช มหาศักราช และพุทธศักราช บางศาสนาก็ใช้พระจันทร์เพียงอย่างเดียว เช่น ชาวอิสลาม ชาวยิว และชาวจีน เรียกว่า Lunar calendar ส่วนใหญ่จะมีการปรับปฏิทินให้สอดรับกันระหว่าง พระอาทิตย์กับพระจันทร์ เพื่อให้วันสำคัญตรงกับฤดูกาลที่เป็นข้อกำหนดทางศาสนา เช่น ปฏิทินจันทรคติของไทย ต้องมีการปรับให้มี เดือน 8-8 ทุกๆ 2 – 3 ปี เพื่อขยับให้วัน สำคัญทางพุทธศาสนาอยู่ตรงกับฤดูกาล เพราะปฏิทินจันทรคติมีจำนวนวันน้อยกว่าสุริยคติ ปีละ 11 วัน หากปล่อยไปเรื่อยๆอีก 10 ปีข้างหน้าพวกเราคงต้องเข้าพรรษาในฤดูแล้งแถวๆเดือนมีนาคม และออกพรรษาในฤดูฝนราวเดือนมิถุนายน เนื่องจากวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ขยับร่นขึ้นไป ปีละ 11 วัน ส่วนทางศาสนาอิสลามพวกเขาไม่ปรับอะไรทั้งสิ้นเพราะถือว่าเป็นประสงค์ของพระ ผู้เป็นเจ้า พิธีสำคัญทางศาสนา เช่น วันรามาดาน (ฤดูถือศีลอด) จะขยับร่นไปเรื่อยๆปีละ 11 วัน โดยไม่คำนึงว่าจะตรงกับฤดูอะไร ข้างชาวจีน และชาวยิว แม้ว่าจะใช้จันทรปฏิทินแต่พวกเขามีการปรับโดยบวกเดือนพิเศษซึ่งมี 30 วัน เข้าไป เป็นเดือนที่ 13 เรียกว่า Leap Year จำนวน 7 ครั้ง ต่อ 19 ปี เพื่อให้วันตรุษ วันเฉลิมฉลอง และวันบุญประเพณีสำคัญต่างๆตรงกับฤดูกาลที่กำหนด








































    [​IMG]









    อย่างไรก็ตามถ้าใช้ตำแหน่งดวงอาทิตย์เป็นปฏิทินโดยไม่สนตัวเลขว่าเป็นวันที่ เท่าไหร่ อย่างนี้ไม่ต้องปรับอะไรเลยเพราะดวงอาทิตย์เป็นตัวทำให้เกิดฤดูกาล เพียงแต่ว่าต้องมีวัตถุถาวร มั่นคง ไม่โยกเยกและคนมือบอนก็ย้ายหรือขยับไม่ได้ เช่นก้อนหินหนักๆเป็นเครื่องชี้จุดที่ดวงอาทิตย์ขึ้น เรียกว่า สุริยะปฏิทิน
























































    </TD></TR></TBODY></TABLE>












    </TD></TR></TBODY></TABLE>










    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เครดิต คุณ Pirunya<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4819551", true); </SCRIPT> http://palungjit.org/threads/ไขปริศนาสุริยะปฏิทิน-1000-ปี-ภูเพ็ก.296111/
    <!-- google_ad_section_end -->
     
  6. kangmoto77

    kangmoto77 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    ตอนนี้2011แล้วครับ ที่คุนบอกว่าU.S.A จะโดนถล่มด้วยไพผิบัตนั้นได้เกิดขึ้นแล้วครับ สุดยอกเลย
     
  7. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    มหันตภัยดาวเคราะห์ชนโลก!!ชี้'อังกฤษ-สหรัฐฯ'แทบไม่เหลือซาก

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มิถุนายน 2554 03:07 น.


    [​IMG]





    เดลิเมล์ - ถ้าคุณอาศัยอยู่ในอังกฤษ สหรัฐฯหรือจีน ควรเริ่มเตรียมตัวตั้งแต่บัดนี้ หลังนักวิทยาศาสตร์คาดหมายว่าประเทศเหล่านี้จะได้รับผลกระทบร้ายแรงที่สุดในมหันตภัยดาวเคราะห์ชนโลกที่ส่อแววคืบคลานเข้ามา

    การคาดคะเนดังกล่าวนับเป็นครั้งแรกที่เหล่านักวิทยาศาสตร์บ่งชี้ว่าประเทศใดที่ต้องประสบหายนะภัยครั้งร้ายแรงที่ต้องสูญเสียชีวิตผู้คนจำนวนมากหรือได้รับความเสียหายจนแทบไม่สามารถฟื้นฟูคืนมาได้เลย

    ประเทศพัฒนาแล้วอยู่ในรายชื่อลำดับต้นๆ ทว่า จีน อยู่ในข่ายนั้นเช่นกันสืบเนื่องจากแนวโน้มผู้เสียชีวิตจำนวนมหาศาล กระนั้นก็ดีชาติเล็กๆอย่างสวีเดน ก็ตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงสืบเนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของพวกเขา

    อันดับรายชื่อดังกล่าวรวบรวมโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยเซาท์แฮมป์ตันของอังกฤษ โดยใช้ซอฟต์แวร์ที่เรียกว่านีโออิมแพคเตอร์ ซอฟต์แวร์ซึ่งใช้สำหรับโครงการศึกษากรณีวัตถุใกล้โลกของนาซาหรือ "นีโอ"(Near Earth Object)

    โดยรวมแล้ว 10 อันดับแรกของประเทศที่เสี่ยงได้รับผลกระทบรุนแรงจากเหตุดาวเคราะห์น้อยพุ่งชนโลกมากที่สุดคือ จีน อินโดนีเซีย อินเดีย ญี่ปุ่น สหรัฐฯ ฟิลิปปินส์ อิตาลี สหราชอาณาจักร บราซิลและไนจีเรีย


    [​IMG]


    แต่หากดูจากความเสี่ยงที่จะต้องสูญเสียชีวิตพลเรือน สหรัฐฯ จีน อินโดนีเซีย อินเดียและญี่ปุ่น คือประเทศที่อันตรายมากที่สุด ขณะที่ชาติที่อาจต้องเผชิญหายนะใหญ่หลวงต่อโครงสร้างพื้นฐานได้แก่ สหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่นและสวีเดน

    ตัวอย่างแห่งภัยคุกคามของดาวเคราะห์เพิ่งปรากฎให้เห็นสดๆร้อนๆเมื่อวันจันทร์(27) หลังดาวเคราะห์ 2011 เอ็มดี (2011 MD) ขนาดใหญ่เท่าบ้าน เคลื่อนตัวพุ่งเฉียดโลก ห่างไปแค่ 7,500 ไมล์เท่านั้น ขณะที่นักดาราศาสตร์พบเห็นความเคลื่อนไหวของมันก่อนเกิดเหตุเพียงไม่กี่วัน แถมตอนแรกยังคิดว่าเป็นเพียงแค่ชิ้นส่วนขยะอวกาศเท่านั้น

    ก่อนหน้านี้เมื่อเกือบ 100 ปีก่อน ณ ดินแดนห่างไกลใกล้แม่น้ำทังกัสกาของรัสเซีย มีผู้พบเห็นดาวเคราะห์เทียบกับวัตถุขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 50 เมตรระเบิดกลางอากาศ อันนับเป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ที่สุดที่ตกกระทบโลกในช่วงชีวิตปัจจุบัน ขณะที่ นิค บาลีย์ ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์นีโออิมแพคเตอร์ ชี้ว่าหากดาวเคราะห์ดังกล่าวเกิดระเบิดเหนือลอนดอน มันอาจกวาดล้างทุกสิ่งในรัศมี 25 ไมล์เลยทีเดียว

    จากข้อมูลของ DailyGalaxy.com ระบุว่าดาวเคราะห์เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 12 ไมล์ ก็สามารถทำลายล้างสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้จนหมดสิ้น และสันนิษฐานว่าดาวเคราะห์น้อยขนาดเท่านี้คือสาเหตุแห่งการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์เมื่อ 65 ล้านปีก่อน

    http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9540000079728

    ภาษาปะกิด

    Britain and the U.S. top league table of countries that would be worst affected by an asteroid strike | Mail Online

    เครดิต คุณ AmpeerA<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4827965", true); </SCRIPT> http://palungjit.org/threads/ไม่รู้ว่ามีใครเห็น-planet-x-หรือยัง.253139/page-177
     
  8. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    "สมุดโน๊ตช่วยชีวิต"
    [​IMG]
    คนเรายามตื่นตระหนกตกใจ มักจะทำอะไรไม่ถูก โดยเฉพาะเมื่อเกิดภัยพิบัติขึ้นอย่างกระทันหัน สิ่งที่เคยคิดเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่าจะต้องทำอะไรบ้างในยามที่เกิดภัยพิบัติ ไม่ว่าจะเป็นภัยจากสงครามหรือภัยจากธรรมชาติ ก็มักจะพาลหลงลืมไปหมดสิ้นเพราะความตกใจกลัวจนขาดสติ

    คนโบราณมักกล่าวเตือนลูกหลานเอาไว้เสมอว่า อย่าตั้งตนอยู่บนความประมาท เพราะความประมาทเป็นหนทางแห่งความตาย ถึงคุณจะมีความรู้ดีกว่าคนอื่นสักแค่ไหน แต่ถ้าไม่รู้วิธีนำความรู้มาใช้ในยามคับขันแล้วก็ไม่เกิดประโยชน์แต่อย่างใด เหมือนคำสุภาษิตที่ว่า "มีความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอด"

    เพราะฉะนั้นเมื่อพวกคุณมีความรู้เรื่องการเอาตัวรอดจากภัยพิบัติแล้ว ก็อย่าเพียงแต่อ่านผ่านๆ ไปเฉยๆ โปรดนำความรู้นี้มาทบทวน ฝึกฝน และดัดแปลงให้เหมาะกับตัวของคุณเอง โดยเฉพาะควรหา"สมุดโน๊ต"มาจดบันทึกเอาไว้ว่า เมื่อเกิดภัยพิบัติแล้วคุณจะต้องทำอะไรบ้าง เรียงลำดับจากสิ่งที่จำเป็นมากที่สุดไปหาน้อยที่สุด เช่น

    - ถ้าเกิดสงครามจราจลขึ้นกลางเมืองหลวง จนทวีความรุนแรงจนเจ้าหน้าที่รักษาความสงบไม่สามารถจะควบคุมได้ คุณจะต้องทำอะไรบ้างเรียงลำดับเป็นข้อๆ

    - ถ้าเกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงขึ้น คุณจะต้องทำอะไรบ้าง เรียงลำดับเป็นข้อๆ

    - ถ้าเกิดน้ำท่วมอย่างกระทันหัน คุณจะต้องทำอะไรบ้าง เรียงลำดับเป็นข้อๆ

    - ถ้าคุณจะต้องรีบไปซื้ออาหารมากักตุน จะต้องเตรียมซื้ออะไรบ้างที่จำเป็นในการดำรงชีพ 1- 2 สัปดาห์ จดเอาไว้เป็นข้อๆ

    - ถ้าคุณมีความจำเป็นต้องรีบอพยพอย่างเร่งด่วน คุณจะต้องไปหลบภัยที่ไหนบ้าง จดเอาไว้เป็นข้อๆ

    - ถ้าคุณมีความจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือ จากผู้มีความรู้เรื่องภัยพิบัติ คุณจะต้องติดต่อใครบ้าง เบอร์โทรศัพท์หมายเลขอะไรบ้าง จดเอาไว้เป็นข้อๆ

    - และอื่นๆ อีกมากมายที่มีความจำเป็นกับตัวคุณ เพราะแต่ละคนก็มีความจำเป็นที่ไม่เหมือนกัน จดเอาไว้เป็นข้อๆ

    เมื่อคุณจดสิ่งเหล่านี้เอาไว้ในสมุดโน๊ต เมื่อยามเกิดภัยพิบัติจนทำให้คุณตกใจจนลืมเรื่องอื่นๆไปจนหมดสิ้น แต่ก็ขอให้นึกถึงสมุดโน๊ตช่วยชีวิตนี้เอาไว้เป็นอันดับแรก และควรเก็บเอาไว้ใกล้ตัวเสมอ เพราะมันจะช่วยเหลือคุณได้ยามมีภัย อย่างน้อยคุณก็จะแก้ไขสถานการณ์ได้ดีกว่าคนอื่นๆ เช่นถ้ามีคนแห่กันเข้าห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของมากักตุนไว้ในยามที่เกิดภัยพิบัติ คุณก็จะไปได้ถึงเร็วกว่าคนอื่น ซื้อของที่จำเป็นได้ครบถ้วนมากกว่าคนอื่น เพราะคุณมีสมุดโน๊ตที่คุณจดเอาไว้แล้วว่าจะต้องซื้ออะไร และซื้อที่ไหนบ้างนั่นเอง...<!-- google_ad_section_end -->

    เครดิต คุณ <!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->เกษม ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่<!-- google_ad_section_end -->
     
  9. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    แฮ่ๆ ทำเรียบร้อยแล้วค่าสมุดโน๊ต ส่วนใหญ่จดแต่ประโยชน์ของมรณานุสติอ่าค่ะ เรื่องเตรียมหนีตายนั้น ไม่ได้เตรียมเลยค่ะ เตรียมหนีเกิดอย่างเดียวเยย......อิ อิ ^ ^
     
  10. ธรรมแท้ว่าง

    ธรรมแท้ว่าง กายเบาใจเบา

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    12,288
    ค่าพลัง:
    +12,620
    หนีเกิดแล้วไปเจอกันที่ไหน......ล่ะเนี่ย(ฮา)rabbit_run_away
     
  11. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    (มาแซวคนชอบหนีเกิด)

    มรณะนุสติ แบบนี้ป่าว คะ คิคิ

    [​IMG]
     
  12. COME&Z

    COME&Z เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,144
    ค่าพลัง:
    +234
    มีแพลงกิ้งเกาตูดด้วยอ่า กวนดีค่ะ อิอิ
    ว่าแต่คุณNeoWorldจะไปไหนอ่า...
    เดี๊ยนจาได้ไปหาถูก คริ คริ^___^
     
  13. กัลกิ

    กัลกิ สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    72
    ค่าพลัง:
    +5
    ครับ...พอจะรับทราบได้บ้าง แต่อย่าลืมนะครับ เรื่องการเปลี่ยนแปลงของดวงอาทิตย์ผมเป็นคนกล่าวไว้ตั้งแต่แรกแล้วครับ เพราะแถวบ้านผมมีคนสังเกตุเห็น ส่วน "มหาศักราช" นั้นเป็นของพระเจ้ากนิษกะมหาราชแห่ง อาณาจักรกุษาณ นับถือพระพุทธศาสนานะครับ
     
  14. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    * กำเนิดโลก,จักรวาลและมนุษย์


    2010/01/20 (ข้อมูลเหล่านี้แปลแบบสรุปอย่างย่อมากๆ จาก Levashov ebook และ ebook - slavonic Aryan Vedas เล่มนี้ ที่แปลจากภาษา รัสเชีย ซึ่งต้นฉบับมาจากภาษารูน(Rune) ถ้าตกหล่นประการใดก็ขออภัย หรือสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ที่ลิ้งของเขาที่แปะไว้หน้าบล๊อกครับ )


    ประวัติศาสตร์ เป็นคำที่คนในยุค ปัจจุบันเรียกกัน แต่ในยุคโบราณแล้วมันเป็นความรู้ดั้งเดิมของมนุษย์ที่บอกต่อๆกันมา


    เกี่ยวกับภาษารูนนิดนึง ภาษารูน(Rune) เป็นภาษาเก่าแก่ภาษาดั้งเดิมของมนุษย์ และยังเชื่อกันว่าเป็นภาษาของพระเจ้า ในอักขระ ทุกตัวอักษรนั้นมีพลังเพราะมันไม่ใช่เพียงแค่ตัวอักษรตัวใดตัวหนึ่ง เท่านั้น แต่มันเป็นส่วนประกอบของภาพสามมิติ และเป็นภาษาที่เข้าใจหรือทะลุทะลวง

    ใน 3 โลก คือ Materialworld, spiritual world ,God world

    คนที่จะอ่านได้และเข้าใจ ต้องเป็นคนที่มี consciousness สุง มีความคิดที่เป็นบวกการออกเสียงนั้นจะต้องมีการฝึกการหายใจเพราะเป็นการพูด ที่ใช้พลังเสียงออกมาจากภายใน ภาษารูนในยุคนี้หายสาปสูญไปแล้วเพราะคนที่อ่านแบบเข้าใจนั้นไม่มี เพราะพวกปรสิต(Reptilians)คนโบราณเรียกกันอย่างนี้

    ทำลายหลักฐานเกือบหมด แต่ยังมีบางส่วนที่ถูกเก็บอย่างดีไว้ในที่ลึกลับเพื่อให้พ้นหูพ้นตาจาก พวกปรสิต โดยสลักไว้บนแผ่นทองคำ

    ชาวอารยัน (Aryan)เป็นผู้ที่เริ่มต้นใช้ ภาษารูน





    ....กำเนิดโลกและจักรวาล....

    จากภาษารูนที่เขียนบอกเล่าไว้เป็นคำอธิบายที่ให้มนุษย์อย่างเราเข้าใจได้ ง่ายที่สุด (แต่กระบวนการคงซับซ้อนเกินความเข้าใจของมนุษย์อย่างเรา)ว่าพระเจ้า เป็นผู้สร้างจักรวาลและทุกสิ่ง แรกเริ่มนั้น พระเจ้า หายใจ ออกมาเป็นแสงสว่าง เป็นแสงสว่างที่ไม่มีวันดับ และแสงนี้ แตกกระจาย ออกไป ไกลและไกลออกไปเรื่อยๆ บางส่วน ทะลุเมฆดำจนทำให้เกิดเป็นแสงสว่างจ้าถาวร และบางส่วนก็แตกกระจายออกไปเรื่อยๆ และส่วนที่ออกมาจากความสว่างนั้น ยิ่งไกลจากพระเจ้าออกไปส่วนต่างๆเหล่านั้นก็เกิดเป็นระดับที่จับต้องได้ หรือ Materialworld ส่วนที่อยู่ไกล้พระเจ้าเข้ามาคือ spiritual world และส่วนที่อยู่ในบริเวณของพระเจ้า คือ God world แต่ละระดับก็มีจำนวน Dimension ที่ต่างกัน และ มีหลาย universe



    **กำเนิดมนุษย์**

    แสงสว่างที่ออกมาจากพระเจ้า นั้น project มนุษย์ หรือเรียกอีกทีให้เข้าใจว่าเป็นเสมือนกระจกเงา แต่มนุษย์ที่พูดถึงนั้นเป็นมนุษย์ที่อยู่ในระดับ God world คือส่วนหนึ่งของพระเจ้า

    มนุษย์ผู้นี้เรียกได้ว่าเป็นพระเจ้า พระเจ้าได้ project มนุษย์อีกหลายเผ่าพันธ์ ในระดับ spiritualworld และมนุษย์จากระดับspiritual world

    project มนุษย์ ใน Material world และมนุษย์ใน Material world บางส่วนที่มีระดับ spiritual ที่สุง เรียกว่า demigod ซึ่งเป็นผู้สร้าง

    สัตว์ และสิ่งมีชีวิตในโลก ในระดับ Material world มี demigod ผู้ที่มีระดับ spiritual ที่สุงสุดกว่าคนอื่น ชื่อ Svarog

    Svarog (ภรรยาชื่อ Lada ) มีบุตรชาย ชื่อ Dajdbog , Dajdbog (ภรรยาชื่อZhiva,Zlatogorka,Marena )มีบุตรชายชื่อ perun(ภรรยาชื่อ Diva) เผ่าพันธ์มนุษย์สืบเชื่อสายมาจาก perun



    ***สงครามระหว่างDark and light ***



    นานมาแล้ว ที่ โลก Arleg (ระดับ Material world ที่มีระดับ spiritual ที่สุง )

    เป็นที่อาศัยของ Messengerหรือผู้ส่งสาร ที่นี่มี 256 Dimension

    มี demigod ผู้หนึ่งชื่อว่า Chernobog ผู้ที่ไม่ต้องการทำตามกฎ (เพราะการที่จะไต่ระดับ ไปสู่ spiritual world หรือ God world

    นั้น ต้องเป็นไปตามกฏเกณท์ Chernobog เป็นชนชาวผิวดำ( Black demigod) ต้องการไต่ระดับไปตามทาง Golden way

    ขยายความ Goldenway ซักนิด นั้น เป็นทางเชื่อม โลก3โลก เข้าด้วยกัน มีอยู่ทุก universe ,galaxy ,planet.

    แม้แต่โลกเราก็มี Goldenway

    ชาวอารยัน (Aryan)นั้นรู้ความลับนี้เป็นอย่างดี

    จึงมีการทำสงครามกันระหว่าง Belobog (white demigod) และ Chernobog( Black demigod)

    และมีการทำสงครามกันเรื่อยมา ทุกๆ 4000 ปี เป็นสงครามที่ยืดเยื้อยาวนาน



    ****ที่มาของมนุษย์บน โลก ****



    ในช่วงสงครามนั้น มียานแม่ ชาวอารยันเรียกว่า Vaitmara และในยานแม่นี้มียานลำเล็กข้างในเรียกว่าVaitmana ทั้งหมด 144 ลำ

    เกิดเสีย และลงจอดที่ Planet earth หรือโลก ที่ continent (แถบขั้วโลกเหนือปัจุบัน) ในเวลานั้นยังไม่เกิด polar shift

    ที่นั่นจะอุณหภูมิคล้าย กรีซ และอิตาลี ปัจจุบัน



    ข้างในมีชนผิวขาวอยู่ 4 เผ่า

    กลุ่มแรก ชื่อ Aryan มี2เผ่าคือ Da'aryan และ H'aryan

    กลุ่มหลัง ชื่อ Slav มี2เผ่าคือ Rassen และ sretorus



    แต่ละเผ่ามีลักษณะ สีของดวงตา ต่างกัน Da'aryan มีดวงตาสี เทา H'aryan มีดวงตาสี เขียว

    Rassen มีดวงตาสี น้ำเงิน sretorus มีดวงตาสีน้ำตาล



    ทั้ง 4 เผ่านี้มาจากกลุ่มดาว Beta Leo Star System galaxy นี้ มีดาวดวงนึงที่มีลักษณะเหมือนโลก ชื่อว่า Ingard- earth

    Ingard หมุนรอบตัวเอง 576 วัน และ มี ดวงจันทร์ 2ดวง ดวงนึงเล็ก ดวงนึงใหญ่ ดวงใหญ่ หมุนรอบ Ingard 36 วัน

    ส่วนดวงเล็ก 9 วัน

    หลังจากที่ซ่อมยานเสร็จมีบางส่วนที่กลับดาว Ingard และมีบางส่วนที่อาศัยอยู่ที่นี่และ เรียกโลกใบนี้ว่า Midgard-earth

    ต่อมาก็มีการเข้ามาอาศัยอยู่ในโลกนี้เรื่อยๆ จากดวงดาวต่างๆ อีก3กลุ่มบ้างมาตามทาง Golden way (ประตูมิติ) บ้างก็มาโดยยานลำเลียง

    3กลุ่มหลังที่มา มีชนผิวเหลือง ผิวแดง และผิวดำ

    ชนผิวดำนั้น Aryanสงสารและนำพวกเขามาอาศัยที่นี่เพราะดาวของพวกเขาถูกทำลาย จากสงคราม

    และ เรียกลูกหลานของมนุษย์ที่เกิดที่นี่ว่า As


    ก่อนมี Homosapiens ได้ Humannoid อีกจำพวกนึงคือNeanderthalแล้วทั่วทุกหนแห่ง ยกเว้นที่ continentเพราะมีทะเลล้อมรอบ

    Neanderthalครองโลกนี้อยู่หลายแสนปี ที่เรียกว่าครองโลกคือว่าพวกนี้เป้นพวกที่มีพละ กำลังมหาศาลไม่มีใครต่อกรได้ นอกจากเสือเขี้ยวดาบ

    และประมาณ 4 หมื่นปีก่อน มี homo sapiens ในหนังสือเขาบอกว่า appear คือไม่รู้ที่มาของ homo sapiens แม้นักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายได้เพราะไม่พบหลักฐาน missing link พบฟอสซิลที่พบอยู่ทั่วไปหลายแห่งนั้นมีอายุเท่ากันทั้งหมดมี 4 race ฟอสซิลกระโหลกศรีษะเหล่านี้มีลักษณะที่แตกต่างกันเพียงเล็กน้อย และมาจาก สายพันธ์เดียวกัน และไม่เคยมีการค้นพบโครงกระดูกระหว่างวิวัฒณาการจากNeanderthal- Homo sapiens


    มีการเช็ค dna ระหว่าง Neanderthal(ที่พบร่างอยู่ไต้น้ำแข็งบนภูเขาCalpine glacier) และHomo sapiens ปรากฏว่าไม่ได้มาจากสายพันธ์เดียวกัน เช่นเดียวกับ ลา และม้า ที่มีลักษณะคล้ายกันแต่คนละสายพันธ์ และถ้ามีการสืบเผ่าพันธ์ได้ นั่นหมายถึงว่าถ้า Neanderthal สืบพันธ์

    กับ Homo sapiens ลูกที่ออกมาจะไม่สามารถสืบเผ่าพันธ์ได้อีก(เป็นหมัน) เช่นเดียวกันกับล่อที่ไม่สามารถสืบพันธ์ได้ต่อไป

    ส่วน Homo sapiens ที่พบกระโหลกที่ต่างกันนั้นสามารถสืบเผ่าพันธ์ต่อไปได้ (Compatible)

    หลังจากนั้น ประมาณอีก1000 ปี Neanderthal ก็สูญพันธ์แบบที่นักวิทยาศาสตร์ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไม Neanderthal ผู้แกร่งกล้า{supreme predator}จึงสูญพันธ์

    ซึ่งเมื่อเทียบกับ Cro-Magnonอ่อนแอกว่า และไม่มีขนปกคลุมร่างการให้ความอบอุ่นเหมือน Neanderthal


    Perun demigod ผู้มีหน้าที่โดยตรงในการดูแลประชากรที่อยู่ในโลกนี้ เป็นผู้ที่บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับอณาคตของโลกใบนี้ว่า

    Galaxy นี้มีรูปร่างเหมือน swastika ทุกๆ 1000 ปี ซีกหนึ่ง ของ Galaxy จะโคจรเข้าไปในก้อนเมฆ เป็นระยะเวลา1000ปี

    ซึ่ง เป็นข้อตกลงในการยุติสงครามชั่วคราวกับ ปรสิต (dark side) และเผ่าพันธ์มนุษย์ light side จะเข้ามายังโลกไม่ได้จนกว่าจะครบกำหนด

    1000 ปี และในขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่เกือบครบกำหนด 1000ปี Galaxy นี้เริ่มเคลื่อนออกมาจาก เงาเมฆ

    เชื่อ กันว่า ภายในปี 2012 นี้ ฝ่าย light side จะเริ่มเข้ามา ซึ่งนั่นหมายความว่าจะมีสงคราม(star war)อีก และมีบางส่วนที่เข้ามารอบ้างแล้ว และนานแล้ว แต่ยังรอเวลา

    ทั้งส่วนที่เป็นฝ่ายพันธมิตร (ชนผิวเหลืองและแดง) และจอดยานแม่ไว้ในหุบเขา(ในหนังสือบอกว่าที่ลึกลับบนเขา) คืออีก

    Dimension ที่มนุษย์มองไม่เห็น และตอนนี้จะเห็นได้ว่าพวกปรสิตมันกำลังเตรียมการ ในสงครามครั้งนี้






    เขียนโดย Dots conector ที่ 1/20/2010

    * ภาษารูน


    2009/12/25 ภาษารูนนั้นมีเข้ามาในโลกนี้ ประมาณ 6แสนปีก่อน มีการขุดพบ และพบ

    บางเล่มก็เขียนขึ้น เมื่อ 4 หมื่น ปีก่อน ทั้งหมดเป็นอักษรรูนที่สลักไว้บนแผ่นทองคำ มีบางส่วนถูกทำลายไป และบางส่วนยังเก็บไว้อย่างดีในที่ลึกลับ

    เริ่มมีการพิมพ์และแปลออกมาเป็นหนังสือ ประมาณ20-30ปีที่ผ่านมา

    ในปี 1875 มีการขุดพบ แผ่นทองคำเก่าแก่ที่มีอัขระโบราณ(รูน) สลักอยู่ ที่ไต้ซากโบราณสถาน 400 ชิ้นนักวิทยาศาสตร์เรียกว่า Santiya Dakov หรือ หนังสือ

    ในสมัยนั้นเป็นสมัยชอง กษัตริย์ Karl ที่ 1ได้สั่งให้มีการหลอมแผ่นทองคำ เพราะเป็นสิ่งมีค่า แต่ก่อนทำการหลอม ได้ทำการ copy ลงบนแผ่นตะกั่วและยังอยู่จนถึงปัจจุบัน และยังมี3-4แผ่นที่ยังไม่ได้หลอมถูกเก็บไว้อย่างดี

    นิตยสาร vediccouture ได้ตีพิมพ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ ใน เดือนกันยา2007 ที่ผ่านมา

    รูปแผ่นทองคำครับ



    [​IMG]
    [​IMG]


    เขียนโดย Dots conector ที่ 12/25/2009
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2011
  15. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    รื่องราวและสาเหตุก่อน continent จม

    2010/01/20
    (ข้อมูลเหล่านี้แปลแบบสรุปอย่างย่อมากๆ จาก Levashov ebook ถ้าตกหล่นประการใดก็ขออภัย หรือสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ที่ลิ้งของเขาที่แปะไว้หน้าบล๊อกครับ )



    ช่วงที่ continent (white race ตั้งชื่อว่า Da’Arya) จม นั้นหมายถึงว่า white race เข้ามาอาศัยบนโลกนี้แล้ว(ที่ continent ) ประมาณ370,000 ปี นับเวลาจากที่ ระดับ white race ทั้งสี่เผ่าได้นำยาน viatmaras ลงจอดทีี่ continent เมื่อ 500,000 ปีก่อน และcivilization ในขณะนั้นสุงมาก ผู้คนอยู่อย่างสงบและมีความสุข

    ในขณะนั้น ดวงจันทร์ดวงแรกชื่ิอ Lelia ได้มีพวก Dark force เข้ามาบุกรุก และสร้าง base ไว้บนดวงจันทร์ดวงนี้ เพื่อจะทำการยึดครองโลก และ source of life และมี star war บน Lelia และ Demigod ชื่อ Dazdbog ได้ตัดสินใจทำลายทำลายดวงจันทร์ดวงนี้ โดย ใช้ power of thought ชิ้นส่วนของ Lelia ได้ ตกลงมาบนโลก เหมือนห่าฝน จึงส่งผลให้เกิด polar shift ครั้งแรก และ continent จมในเวลาต่อมา (continent ไม่ได้จมในทันทีนะครับใช้เวลาระยะหนึ่ง)และในขณะนั้น มีผู้คนมากมายที่เสียชีวิตเพราะไปขึ้น ไม่ Vitmanas ทัน ผู้คนที่ยังรอดชีวิตอยู่ได้ใช้ Star Gates และ Vitmanas อพยพไปยัง กลุ่มดาวหมีน้อยหมีใหญ่ (ursa minor ) บางส่วนอพยพไปอยู่แถบไซบิเรีย ต่อมาเริ่ม continent จมลง <?XML:NAMESPACE PREFIX = ST1 /><ST1:pLACE st="on">Arctic Ocean</ST1:pLACE> (continent ไม่ได้จมในทันทีนะครับใช้เวลาระยะหนึ่ง) นั่นคือยุค ice age

    หลังจากนั้นประมาณ 40,000 ปีก่อน ได้กลับมาอาศัยอยู่ในโลกนี้อีกครั้ง แถบไซบิเรีย และ มีอีก 3 race ที่เข้ามาอาศัยอยู่ในโลกนี้ คือ yellow race ,red race,black race และ white race ได้จัดให้แต่ละ race อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ใกล้เคียงกับ ดาวบ้านเกิดที่สุด เดินทางมาโดย star gate ,viatmaras viatmanas ใน 3 race นี้ black race เป็นเสมือน refugee จากสงคราม เพราะดาวบ้านเกิดเขาถูกทำลาย เพราะนั้นพวก black race จึงเข้ามาอยู่มากกว่า race อื่น และ มีหลายเผ่า (พวกที่มีหน้าตาแบบแอฟริกา และ ผิวดำลักษณะคนอินเดีย) ระดับ consciousnessความรู้ความสามารถ ของแต่ละ race (1)white race (2) yellow race (3) red race (4)black race

    black race เป็นพวกที่มีความอ่อนแอทางด้าน spiritual ตลอดเวลาในสงครามที่ยาวนาน (star war)ผู้คนจาก black race ส่วนมากถูกควบคุม และสนับสนุน ฝ่าย Dark force ในการทำสงครามระหว่าง
    Dark และ Light


    จากที่เกิด polar shift เกิดยุค ice age ในยุคนั้น white race รุ่นต่อๆมา เริ่มอพยพหนีหนาวร่น ลงมา
    อยู่กระจายกันออกไป แถบยุโรป และ แอตแลนติก

    หลังจากสงครามใช้ไม่ได้ผลพวก parasite เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ที่แลกมาด้วยชีวิตของชาว white race มากมาย ก็ยังไม่ละความพยายาม จึงเปลี่ยนวิธี ใช้ กลวิธีไหม่ นั่นคือแอบแฝงเข้ามาในโลก และเจาะจงแฝงตัวเข้าไปในกลุ่ม white race โดยใช้กลอุบาย คือ การโกหก โดยที่พวกนี้(parasite) จะเลือกใช้กลอุบายนี้ กับพวกที่มี ระดับ spiritually immature (spiritual ไม่เติบโตเต็มที่ )

    *หมายเหตุ มนุษย์จากดาวต่างๆ มีศักยภาพ ทางเทคโนโลยี่และระดับ spiritual ที่ต่างกัน(แม้กระทั่ง race เดียวกัน )

    Ants เป็นเผ่าหนึ่งของชาว white race Ants เป็นเผ่าที่ยังมี spiritual ที่ยังไม่เติบโตเต็มที่
    พวก parasite จึงหลอกล่อ คนเผ่านี้ ให้หันมาสนใจในการพัฒณาในเทคโนโลยี่ โดยลืมพัฒณาทางด้าน spiritual และในที่สุดระดับ consciousness เริ่มตกต่ำลง parasite จึงใช้ช่องว่างยุยงให้คนเผ่า Ants
    คิดครอบครองโลก และเริ่มแผนการอย่างลับๆ โดย เริ่มสร้างฐานบนดวงจันทร์ Fatta


    และในช่วง13019 ปีก่อน (2010)มีสงครามนิวเคลียร์ ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ ครั้งแรกบนโลกใบนี้
    ซึ่งสร้างความเสียหายมหาศาล กับพืช สัตว์ และแหล่งน้ำ เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ และต่อมาภาย Radiation หลังส่งผล gene ของมนุษย์บางส่วนเปลี่ยนไป (มีร่างกายที่ใหญ่โตกว่าปรกติ ที่คนในยุคต่อมาเรียกว่า เนฟิล)
    ผู้นำ Ants เดินทางหนี โดยใช้ยานViatmara และ Viatmana และในขณะนั้น God Niy ใด้ทำลาย ดวงจันทร์ Fatta เพราะมี base ของ Ants และพวก parasite อยู่ เนื่องจาก Fatta มีแรงดึงดูดอันมหาศาล
    จึงเป็นเหตุให้ชิ้นส่วนของ Fatta ตกลงมาชิ้นใหญ่ยังโลกหลายชิ้น และบางส่วนก็ไปกระแทกกับดวงจันทร์ Mesiats(ดวงปัจจุบัน) ส่งผลให้ polar shift เอียง 23.5 degrees

    และ Atlantic จมในเวลาต่อมา star gate ทุกที่ถูกปิด (ในยุคนั้น star gate เปรียบเหมือนสถานี ที่ไปได้ยังดาวทุกดวง มีการคบหาสมาคมกับดาวดวงอื่นๆ หรือว่าถ้ามองภาพให้ชัดขึ้น ก็จะเหมือนกับรถไฟไต้ดิน และ สถานีรถไฟฟ้าที่เชื่อมโยงถึงกันได้) สาเหตุที่ ต้องปิด star gate ทุกที่ เพราะ ป้องกันไม่ให้พวก Dark force ใช้งาน

    ในครั้งนี้พวก Dark force ชนะ ตามที่คาดหวังไว้ ที่จะเห็น consciousness ของมนุษย์คนตกต่ำลง
    และระดับ civilization กลับไปเริ่มต้นจาก 0 ไหม่ จาก the galactic level กลายมาเป็น the level of the Stone Age และเป็นยุคice age ช่วงสุดท้าย ทางตอนบนของยุโรปร้างผู้คน อยู่ระยะเวลาประมาณ 5000-6000 ปี หลังจากนั้น ต่อมาเพิ่งจะมีผู้คนได้กลับขึ้นไปอาศัยอีกครั้ง

    ในช่วงเวลานั้น-จนถึงปัจุบัน โลกใบนี้จึงเปรียบ เสมือนเขตกักกันโรค ที่ถูกตัดขาด จากโลกภายนอก(Isolate this planet)

    แต่ก็ยังไม่ได้ถูกทอดทิ้งอย่างซะเลยทีเดียว เป็นช่วงระยะเวลา สงบศึก เท่านั้น


    เขียนโดย Dots conector ที่ 1/20/2010

    Dots connector: * เรื่องราวและสาเหตุก่อน continent จม
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2011
  16. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    * ความเป็นมาของอารยะธรรมโลกและศาสนา 1


    2010/01/22 (ข้อมูลเหล่านี้แปลแบบสรุปอย่างย่อมากๆ จาก Levashov ebook ถ้าตกหล่นประการใดก็ขออภัย หรือสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ที่ลิ้งของเขาที่แปะไว้หน้าบล๊อกครับ )



    หลังจากที่โลกกลับเข้าสู่ยุคหิน ระดับ consciousness และ spiritual ของผู้คนตกต่ำลงเรื่อยๆ

    เมื่อ 2695 BC (4702 ปีก่อน) (2010) เป็นยุคที่ระดับ consciousness และ spiritual ของผู้คนตกต่ำมาก

    โดย เฉพาะชาว Dravidian และ Naga พวกเขา บูชา(Kali-Ma )black mother และใช้ black magic มีการฆ่ามนุษย์และสัตว์เพื่อ บูชายันต์ (ชาว black race เป็นพวกที่มีระดับ spiritual ที่อ่อนแอ และ black race ยังจดจำข้อมูลที่พวก parasite ฝังไว้gene ในความสัมพันธ์(ความเป็นทาส) ระหว่าง พวกเขากับ Dark side)


    white race ได้ส่ง (ชาว Aryans)

    กลุ่ม white race teacher (Urs ) ผู้ซิ่งมีความรู้ ทางด้าน physic ;behavioral reactions of human genetics.

    เดินทางจาก ไซบิเรีย สู่ Dravidia (Ancient India) เพื่อจะเข้าไป หยุด การบูชายันต์ และ สอนความรู้ดั้งเดิม(Slavonic-Aryan Vedas ) และ รู้ว่าชาว Dravidian และ Naga บูชา(Kali-Ma )black mother มาหลายพันปี ซึ่งความทรงจำเหล่านี้ได้ฝังอยู่ใน DNA จึงได้คิดที่ทำการเปลี่ยนแปลง gene โดย การใส่ gene ของ white race เข้าไป โดย Genetic correction

    และนอกจากนั้นยังมีชาว yellow race บางส่วนที่ได้รับการเปลี่ยน gene (โดยสมัครใจ หรือขอร้องให้ทำเพื่อ improve consciousness )

    แต่พบปัญหาคือ โครโมโซมเพศหญิงจะมีลักษณะ เด่น กว่า โครโมโซมเพศชาย ถึงแม้ว่าจะได้รับการเปลี่ยน gene แล้ว ก็ยังมีข้อด้อยทางพันธุกรรม คือ ลักษณะนิสัย ไม่สามารถเปลี่ยนได้
    จึงได้หาวิธีไหม่คือ โดยการนำเซลโครโมโซมจากเพศชาย จากไขกระดูก ซี่โครง ได้ใช้การสะกดจิต (pst) เพื่อทำการผ่าตัด

    หลังจากนั้น ประมาณ 2619 BC.(2010) white race teacher (Urs ) ได้เดินทางกลับ ไซบิเรีย โดยทางเท้าใช้ระยะเวลา 76 ปี ผ่าน เทือกเขา หิมาลัย สู่ ไซบิเรีย

    *** Genetic engineering ความรู้นี้มาจาก white race ผู้คนในยุคนั้นที่อาศัยอยู่ทางฝั่งทวีปเอเชีย yellow race ,black race เห็นความรู้ความสามารถ ของ ชาว white race คิดว่าเป็นผู้วิเศษจึงคิด ว่าเป็น พระเจ้า และ ได้ทำการนมัสการ บูชา

    แต่จุดประสงค์หลัก ที่แท้จริงของ ชาว white race คือการนำ มนุษย์ ให้กลับมาอยู่ฝ่าย light side
    จึง ได้ทำการเปลี่ยนแปลง gene อย่างน้อย ให้ได้จำนวน 80 % ของ ทั้งหมด แต่กระบวนการ มันต้องใช้ระยะเวลาหลายร้อยปี ในการแพร่กระจาย เผ่าพันธ์ ไหม่นี้
    ด้วยระยะเวลา มันจึงเป็นอุปสรรค จึงไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะหลังจากที่ white race ได้เดินทางกลับไซบิเรียแล้ว พวก dark side ได้ทำบางสิ่งเป็นการรบกวนกระบวนการนี้

    ****ผู้คนที่ถูกเปลี่ยน gene เหล่านี้เรียกว่่า gray - sub race ในรุ่นแรกๆ พวกเขายังมีผิวที่ดำ แต่รุ่นต่อๆมาผิวเริ่มขาว จนกระทั่งขาว เหมือน ชาวยุโรป (แต่ในตา สีดำ หรือ ผมสีดำ ผมจะหยิก )

    ต่อมาหลังจากที่ พวก dark side ได้รบกวนกระบวนนี้ และไม่ประสบความสำเร็จ ในช่วงเวลานั้น ไม่มีใครทราบได้ ว่าเกิดอะไรขึ้น กับ พวก gray - sub race ไม่มีบันทึกไว้

    ***แต่ใน Apocrypha (คริสเตียน bible) ฉบับหนึ่งได้ทำการบันทึกเอาไว้ถึงการ สร้าง (bio robot) จะเอามาเขียนคราวต่อไปนะครับ

    Dravidian และ Naga ได้หยุดบูชา(Kali-Ma )black mother ชั่วระยะหนึ่งเท่านั้น(ผ่านไปประมาณ 3-4 generation)

    หลังจากนั้น ก็ได้กลับมาบูชา (Kali-Ma )black mother และ บูชายันต์มนุษย์อีก

    ความรู้ดังเดิม the Slavonic-Aryan Vedas ได้ถูกเปลี่ยนแปลง บิดเบือน มาเป็น the Hindu Vedas
    (Hindu มาจากคำว่า สินธุ) มีการบูชายันต์มนุษย์ และ ใช้ black magic


    จนกระทั่งเวลาผ่านไป 613 ปี (2009 BC.) (2010) white race ได้ส่งชาว Aryans เข้าไปครั้งที่สอง
    กลุ่ม นี้ เรียกว่า second Aryans campaign มีหัวหน้าทีม ชื่อ khan uman (ชื่อคล้าย ตัวเอกในรามเกียริต์) khan uman เป็น supreme priest ในทีมของ Goddess Tera ( female Demigod)
    เพื่อแก้ปัญหานี้อย่างเด็ดขาด

    Dots connector: * ความเป็นมาของอารยะธรรมโลกและศาสนา 1
    ความเป็นมาของอารยะธรรมโลกและศาสนา 2


    2010/02/07
    (ข้อมูลเหล่านี้แปลแบบสรุปอย่างย่อมากๆ จาก Levashov ebook ถ้าตกหล่นประการใดก็ขออภัย หรือสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ที่ลิ้งของเขาที่แปะไว้หน้าบล๊อกครับ )



    white race { Urs} ได้เดินทางเข้าไปยัง Dravidia เป็นครั้งที่สอง ในครั้งนี้ Urs ได้ทำการ เนรเทศ พวก Grey- Sub race ทั้งหมดให้ออกจาก อินเดีย ให้ไปยัง Artificial Mountains หรือ ปิรามิด (ประเทศอียิปต์) เนื่องจากพวก Grey- Sub race เป็นพวกที่มีนิสัยของ Parasite คือ ไม่ชอบทำงาน ขี้เกียจ ดังนั้นเอง การที่ Urs
    ส่งพวกนี้ไปยัง อียิปต์ ก็เพื่อต้องการจะดัดนิสัย และ เพื่อ Improve ระดับ Consciousness และ spiritual โดยการให้ไปทำงานที่ อียิปต์

    แต่ก็เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งใหญ่ เพราะ พวก Grey- Sub race ได้มีแผนการที่จะเดินทาง ไปยัง ดินแดน Kush ( Second Eden ) หรือ เอธิโอเปีย ในปัจจุบัน ซึ่งสถานที่นี้ได้ถูกเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ โดย พวก Black priest

    ขอย้อนไปอีกนิด ก่อนที่หลังจากที่ แอตแลนติกจมลง มหาสมุทร แล้ว พวก white race (Ants) ผู้นำ บางส่วนที่รอดชีวิตได้หนีไป โดยอาศัยยาน Vimana เข้าไป ตั้งรกราก ที่ อียิปต์ ซึ่ง ผู้คนดั้งเดิมที่อาศัยอยู่ที่นี่เป็นชาว Black race( อีกเผ่ามีหน้าตาแบบชาวแอฟริกา ) ผู้คนที่นี่ได้เมื่อเห็นความรู้ความสามารถของชาว white race( Ants) ถึงแม้ว่าความรู้ความสามารถต่างๆ จะถอยหลังลงไปเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังเหนือกว่า race อื่น ดังนั้นชาว Black race ที่นี่จึงคิดว่าเป็นผู้วิเศษ

    ด้วยเหตุนี้เองชาว white race (Ants) จึงได้เป็นผู้นำของที่นี่ (อียิปต์) และได้ใช้ระบอบการปกครองแบบเดิม เหมือนกับที่เคยใช้มาที่แอตแลนติก คือ ระบอบ ชั้น วรรณะ (caste system) โดยมีผู้นำเป็นชาว white race (Ants) และพวก Black race อยู่ในระดับล่าง หรือต่ำกว่า ซึ่งพวก Ants ไม่ได้สำนึกหรือเรียนรู้จากประสบการณ์ที่ผ่านมา(ในตอนแอตแลนติกจม และสงคราม)แต่ยังไงก็ตามใน สมัยอียิปต์ ระดับของ Special skill ,Ability , power ถดถอยไปเป็นอย่างมาก จึงไม่รุ่งเรือง เหมือนยุคแอตแลนติก

    - พวกผู้นำ หรือกษัตริย์ ของที่นี่ จะนับถือ หรือ บูชา เทพเจ้า RA ( ซึ่งเป็นชื่อ ของ Hierarchy ฝ่าย light side และRA มีความหมายว่า รัก ) ซึ่ง Ants ได้ยืมหรือขโมย ชื่อ เพื่อสร้างความเป็นพระเจ้าของตนเอง

    * Hierarchy เป็นระดับของ Civilization ทางด้าน spiritual ของฝ่าย light side

    - พวกที่อยู่ในระดับล่างลงมา จะนับถือ หรือ บูชา เทพเจ้า Osiris

    ในช่วงระยะแรก จะยังไม่มีลูกผสมระหว่าง ชาว white race (Ants) และชาว Black race เพราะยังมีระดับของ Evolution ที่ยังแตกต่างกันอย่างมาก จึงใช้งานพวก Black race เหมือนทาส และตั้งตนเป็นเหมือนพระเจ้า หรือ สมมุติเทพ

    เมื่อ พวก Grey- sub race ได้เดินทางจาก อินเดีย มาถึง อียิปต์ ในปี 1675 BC . โดยใช้ระยะเวลาในการเดินทาง เป็นเวลา 300 ปี ใน 10 generations
    คนกลุ่มนี้เรียกว่า Hyksos เนื่องจากว่า Grey- sub race เป็นกลุ่มคนที่ ถูก บล๊อก ยีนต์ ของ พวก Black race เอาไว้ จึงไม่ใช่แค่เป็นลูกผสมทั่วไป ดังนั้นพวกนี้จึงมีระดับของ Ability , Skill ,Power ที่พัฒณาแล้วในระดับหนึ่ง พวกนี้จึงมีเทคโนโลยี่ที่ทันสมัย ใช้บ้างแล้ว และอาวุธยุทโธปกร ก้อเหนือกว่าชาว Black race ที่อยู่ในอียิปต์ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องง่ายในการเข้ายึดครองอียิปต์ หลังจากเข้ายึดครอง ฝ่ายผู้นำ ก็ แต่งตั้งตนเอง เป็น ฟาโรห์ ของ อียิปต์

    แต่มี บางส่วน ที่ไม่หยุดอาศัย ที่อียิปต์ แต่ได้เดินทางต่อไปยัง ดินแดน Kush หรือ second Eden ประเทศเอธิโอเปีย ในปัจุบัน คนกลุ่มนี้ ไม่ได้เดินทางกลับไปยัง Dravidia อีกเลย จึงได้ปักหลักอาศัยอยู่ที่นี่ และจัดตั้งที่นี่เป็น Center of Dark force


    เขียนโดย Dots conector ที่ 2/07/2010


    http://dots-connector.blogspot.com/2010/02/2.html

    เรื่องราวความเป็นมาของพวก Grey-Sub Race


    2010/02/08
    (ข้อมูลเหล่านี้แปลแบบสรุปอย่างย่อมากๆ จาก Levashov ebook ถ้าตกหล่นประการใดก็ขออภัย หรือสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ที่ลิ้งของเขาที่แปะไว้หน้าบล๊อกครับ )

    Rulers of the Greys (Parasite) เป็นพวกที่มีร่าง พวกนี้เข้ามาในโลกครั้งแรก ก่อนสงคราม และ แอตแลนติกจม โดยแฝงตัวเข้าไปในกลุ่มคนของ ชาว White race (Ants) ในการปรากฎตัวครั้งแรก จะคลุมร่างกาย และคลุมใบหน้า หรือ พรางใบหน้าโดยการทาแป้งให้ขาว หรือแต่งหน้าเข้ม พวกนี้มีสีผิวเป็นสีเทามี 2 เพศในคนเดียวกัน พวกนี้ มีความรู้ทางด้าน Genetic เป็นอย่างดี

    และรู้ดีว่าถ้า จะควบคุมมนุษย์ แและ ครองโลกนั้น จะต้องมีอาวุธ หรือ เครื่องมือชั้นดีสาเหตุที่ยังครองโลกไม่ได้ทั้งหมด เพราะยังมี ผู้คนบางส่วน ที่ดำเนิน วิถีชีวิต ตามแนวทาง Slavonic-Aryan Vedas
    ดังนั้นพวก Grey-Sub race จึงเป็น Nutrient medium ของพวก Dark Forces เป็นเสมือนเครื่องมือหรืออาวุธชั้นดีที่จะใช้ในการครอบครองโลกใบนี้
    พวก Dark Forces จึงได้ทำการแก้ไข Unblock gene พวก Grey-Sub race

    อธิบายย้อนไปนิดนึงครับ

    -โครโมโซมเพศ ชายและ หญิง ของ Black race (ใช้สีสัญลักษณ์แดง) xx xy
    โครโมโซมเพศ ชายและหญิงของ White race (ใช้สีสัญลักษณ์ น้ำเงิน) xx xy

    วิธีการในครั้งแรก Urs ได้ผสม gene ของ white race โดย Genetic correction

    *เพศหญิงเป็นชาว white race + ชาย Black race ลูกที่เกิดมาจะเป็น white race

    (หญิง) xx + (ชาย)xy = (หญิง) xx (ชาย) xy


    *เพศหญิงเป็น black race + ชาย white race ลูกที่เกิดมาจะเป็น black race

    (หญิง) xx + xy (ชาย) = (หญิง) xx (ชาย) xy

    และวิธีการเหล่านี้ยังไม่ประสบผลสำเร็จ เพราะ ยีนต์ เด่น จากแม่ ทำให้ ลักษณะนิสัยไม่เปลี่ยน Urs จึงได้คิดค้นวิธีไหม่คือ

    การ Block gene เป็นการบล๊อกโครโมโซมของ black race ไม่ให้ active อีกต่อไปโดยจากการนำโครโมโซม ไขจากกระดูกซี่โครง เพศชาย ชาว white race
    จากสาเหตุนี้ พวก Dark force จึงรบกวนกระบวนการวิวัฒณาการ จึงไม่ประสบผลสำเร็จ และพวก black priest ได้วางแผนและสร้าง สถานที่บูชา Black mother {kali-ma} และ Naga แห่งไหม่ คือ Eden 2 และ Eden 3 Eden 2 หรือ ดินแดน kush ในเวลาต่อมาจึงเป็น ศูนย์กลางบัญชาการของพวก Dark force ที่นี่จึงเป็นสถานที่ ที่ผลิต New Grey- sub race ด้วยการ Unblock gene ในเวลาต่อมา เรียกว่า ยิว Israelite หรือ the "chosen people"



    วิธีการคือ การ ใส่ sperm semen ของพวก parasite เข้าไปใน รังไข่ของผู้หญิง Grey- sub race
    เนื่องจากพวก Parasite มี สองเพศในคนเดียวกัน และพวกนี้มีความรู้ในเรื่อง Genetic เป็นอย่างดี
    จึงรู้ว่าถ้า ใส่ sperm semen ในจำนวนที่มากเกินไป จะส่งผลให้ทายาท ที่จะเกิดมา มีหน้าตาคล้ายพวก Parasite ดังนั้น จึงระวังเป็นอย่างมากในการทดลอง เพราะแม้แต่เปอร์เซ็นแค่เพียงนิดหน่อย ของจำนวน sperm semen ก็ส่งผลให้ ทายาท ที่ออกมาเป็น Homosexual ทั้งเพศ ชายและเพศหญิง

    ดังนั้น ด้วยเหตุนี้เองพวกที่เป็น Homosexual ในพวก New Grey- sub race (ยิว) จึงมีจำนวนที่มาก สุงกว่า 70 %ของจำนวนทั้งหมด

    - การขลิบอวัยวะเพศชาย

    โครโมโซม Y ของ white race เป็น อันตรายและอุปสรรค สำหรับ Social parasite

    พวกที่เป็น elite จะมี gene ของ parasite ที่เด่นกว่า พวกนี้ไม่ต้องขลิบ อวัยวะเพศ

    ส่วนผู้ มี gene ของ white race เด่นกว่าต้องขลิบอวัยวะเพศเพราะการขลิบ นั้น ความเจ็บปวด (pain shock ) นั้นจะไปบล๊อก โครโมโซม Y ของ white race

    อีก 300 ปีต่อ มา พวก ยิว ที่อาศัยอยู่ที่ Kush ได้เดินทางกลับมายัง อียิปต์พวก New Grey- sub race (ยิว) ได้ ดูถูก หรือเหยียดกลุ่ม Grey- sub race ที่อาศัยอยู่ที่นี่เพราะ คนกลุ่มที่นี่ไม่ได้ Unblock gene ไม่ได้เดินทาง ไปยัง Kush และไม่ได้หยุดอยู่ที่แค่ อียิปต์แต่ได้เดินทางกระจัดกระจายไปทั่วโลก


    *หมายเหตุ ไม่มีใครรู้รายละเอียด ในช่วงที่พวก ยิว อาศัยอยู่ Kush เพราะใน คัมภีย์ 40 เล่มของพวก ยิว ไม่เคย ถูกแปลเป็นภาษาใดๆเลยมีแต่ Torah ที่เขียนขึ้นโดยชาว ยิว และแปล มาเป็น (Old testament) คริสเตียน bible

    *Slavonic-Aryan Vedas เป็นความรู้และความเข้าใจในทุกสิ่ง มนุษย์ โลก จักรวาล พระเจ้า หรือ พลังงานเริ่มต้น


    เขียนโดย Dots conector ที่ 2/08/2010

    http://dots-connector.blogspot.com/2010/02/grey-sub-race.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2011
  17. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    เพราะเหตุใดพวก Dark force ถึงสนใจโลกใบนี้

    2010/01/20
    (ข้อมูลเหล่านี้แปลแบบสรุปอย่างย่อมากๆ จาก Levashov ebook ถ้าตกหล่นประการใดก็ขออภัย หรือสามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดได้ที่ที่ลิ้งของเขาที่แปะไว้หน้าบล๊อกครับ )


    ย้อนกลับไปอีกนิดนึง ทำไมพวกจาก Dark force สนใจและไม่ยอมทำลายและละทิ้งโลกนี้ไป เพราะแร่ธาตุที่อยู่บนโลกนี้ ก็ถูกขุดขึ้นมาใช้
    เกือบหมดแล้ว โดยเฉพาะทองคำ (สำหรับพวก Dark force ที่อยู่อีกมิติหนึ่ง(cosmic parasite -พวกที่ควบคุมพวกที่มีร่างกายเรียกอีกที ก็คือ เจ้านายของพวกที่มีร่างกาย) จะยังชีพด้วยพลังงานจากทองคำ)
    พวก Dark force เคยขุดหาแร่ธาตุ จากดาวต่างๆ บุกรุก และทำสงคราม นำมนุษย์(จากดาวนั้นๆ) บางส่วนมาเป็นทาส โดยการควบคุมและลบล้างความทรงจำ (โดยการแผ่รังสีชนิดนึง อันนี้ผมจำไม่ได้ ขอกลับไปอ่านอีกทีแล้วค่อยมาเติมนะครับ) ใช้ในการขุดหาแร่ธาตุ และหลังจากขุดแร่ธาตุดาวดวงนั้นๆ หมดแล้ว ก็จะทำลายดาวดวงนั้นๆทิ้ง แล้วก็ค้นหาแหล่งไหม่ไปเรื่อยๆ
    (หมายเหตุ มนุษย์ของดาวแต่ละดวงมีศักยภาพ และ consciousness ในระดับต่างกัน ในสงครามก็มีดาวบางดวงมนุษย์ที่อาศัยอยู่ที่นั่น
    อ่อนแอกว่า ก็ถูกพวก Dark force ยึดครอง )

    *ส่วนโลกใบนี้ แร่ธาตุถูกขุด เกือบหมดแล้ว แต่ที่พวกนี้ ยัง สนใจอยู่ไม่ยอมไปจากที่นี่หรือทำลายทิ้ง โลกใบนี้ วิเศษตรงไหน

    เพราะว่าที่นี่ มี Source of life

    Source of life คือ crystal -generator เป็นพลังงานฟรีที่เข้มข้น และมีพลังงานมหาศาล ให้พลังกับสิ่งมีชีวิตทุกชนิด และที่สำคัญสามารถ improve gene และ improve consciousness ได้ เพราะโลกใบนี้เป็นเหมือนศูนย์รวมของหลายเผ่าพันธ์ ซึ่งเป็นเหมือนศูนย์การเรียนรู้ ทางด้าน spiritual (เพราะจุดเริ่มต้นของ golden way วางไว้ที่โลกใบนี้)

    Source of life มาจากพลังงานต้นกำเนิด หรือว่าพระเจ้านั้นเอง Source of life สามารถ improve gene ของสิ่งมีชีวิตทุกชิด ดังนั้นเองพวก Dark force ก็ต้องการครอบครองเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าดาวทุกดวงจะมี Source of life และ Source of life ไม่ได้กำเนิดขึ้นเองในโลกใบนี้ ชาวอารยัน บันทึกไว้ว่า Demigod จาก light force ได้นำมาไว้ที่โลกใบนี้ เมื่อ 50,000 ปีก่อนที่ continentจมลงสู่มหาสมุทร

    โดยใส่ Source of life ลงไปลึกในใจกลางโลก โดยมีทางเข้า กลางป่าลึกแห่งหนึงแถบยุโรป หน้าทางเข้าจะมีคนเฝ้าประตู ชาวอารยัน เฝ้าอยู่ แต่ไม่มีกุญแจ หรือรู้รหัสทางเข้า ที่นี่เคยมี Dark force ส่งคน(bio robot)เข้าไปก่อกวน เกือบ 200 คน แต่ทางฝ่าย light force ได้ส่งชาวอารยัน หรือคนของฝ่าย light ที่มีความรู้ความสามรถในการต่อสู้ (คล้ายๆกับนินจาที่เรารู้จักกัน)ในจำนวนเรียกได้ว่า 1/100 ได้กำจัดพวก Dark force ราบคาบ

    ที่นี่พวก Dark force ไม่กล้าบุกรุกเต็มที่ เพราะ light side demigod ปกป้อง Source of life โดยการ ให้ light force จอด vaitmana หลายลำเทียบท่าบน cosmos เพื่อเฝ้าระวังและจับตาดูตลอดเวลา


    พลังงานของ Source of life ได้กระจายไปตามที่ต่างทั่วโลก มากบ้า้งน้อยบ้าง และก้อขึ้นอยู่กับวิธีการดึงมาใช้ และโดยธรรมชาติเอง พืช ต่างๆ ที่อาศัยอยู่บนพลังงานของ Source of life โดยตรงพวกเขาก็จะเจริญเติบโตและมีขนาดใหญ่มากกว่าปรกติ

    levashov เป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการ รู้จักวิธีดึงพลังงานของ Source of life มาใช้กับพืชที่เขาปลูกอย่างน่าทึ่ง ทั้งที่พืชบางชนิดไม่สามารถเจริญเติบโตในเขตหนาวได้เลย แต่กลับเจริญเติบโตและมีขนาดใหญ่กว่าปรกติ โดยไม่ใส่ปุ๋ยใดๆ

    *หมายเหตุ บางส่วนของข้อความได้มาจากแหล่งอื่น บางส่วนจากในหนังสือของ levashov

    Dots connector: * เพราะเหตุใดพวก Dark force ถึงสนใจโลกใบนี้
     
  18. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    DNAรหัสลับสุดยอดที่มนุษย์ต้องรู้

    2009/12/25 ****DNAรหัสลับสุดยอดที่มนุษย์ต้องรู้

    หน้าที่ของ DNA หลายๆคนรู้ดีว่ามันมีหน้าที่สร้างโปรตีนและเก็บข้อมูลรหัสพันธุกรรม

    Modern science นั้นเข้าใจและรู้เรื่องเกี่ยวกับ DNA แค่ 10 %เท่านั้น แต่อีก 90% ยังไม่เข้าใจและค้นพบได้ว่ามันยังมีหน้าที่ทำอะไรอีก

    เพราะนั้นจึงเรียกอีก 90% ที่ไม่รู้นั้นว่า Junk DNA แต่แท้จริงแล้วมันมีหน้าที่ที่มหัศจรรย์กว่านั้น เพราะมีนักวิทยาศาสตร์หลายคนได้ค้นพบและพิสูจณ์แล้วว่าอีก90% มันยังมีหน้าที่ของมันในด้านSpiritual,paranormal,metaphysical

    ถ้าเปรียบมนุษย์คือคอมพิวเตอร์ DNA ก็เป็นเหมือนภาษา และ สามารถรับและส่งข้อมูลต่างๆไปยังUniverse ได้ และนักวิทยาศาสตร์พบว่า

    ลักษณะโครงสร้าง DNA ของสิ่งมีชีวิตทุกอย่างในโลกนี้มีโครงสร้างที่คล้ายกัน แม้กระทั่งแบคทีเรียซึ่งเป็นแค่อณุภาค และเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน

    เชื่อมโยงกับ Universe และพลังงานต้นกำเนิด(พระเจ้า) และเปรียบเสมือนลายเซ็นของพระเจ้า

    DNAสามารถอ่านซึ่งกันและกันได้ ดังนั้นเองพี่น้องเราจากดาวดวงอื่นจึงสื่อสารกันผ่าน DNA แต่มนุษย์ยังไม่เข้าใจที่จะนำมันมาใช้

    รูปร่างหรือโครงสร้าง ของ DNA คล้ายกับภาพ Vetruvian man ที่มีลักษณะ 2 ปีก และ2ปีกที่ว่านั้นเชื่อกันว่าเป็นเสาสัญญาณส่งเละรับขอ้มูล และเชื่อมโยงกับผู้สร้างเพราะโครงสร้างของ DNA นั้นไม่มีขอบเขตที่สิ้นสุด(และมีลักษณะคล้ายกับโครงสร้างของพลังงานโลก)

    จากการค้นพบของ Marko Rodin อัจฉริยะชาวอเมริกันเปรียบได้กับไอสไตน์คนที่2 ที่ค้นพบ Mathematic model{Toroid}

    เมื่อมองดูไกล้ๆจะพบว่าโครงสร้างของ DNA และToroid คล้ายกัน ซึ่งเป็นลักษณะ infinity pal torn ไม่มีขอบเขตสิ้นสุด
    *******ความน่าทึ่งของ คลื่นเสียง

    นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ ว่าคลื่นเสียงสามารถซ่อมแซม DNA ได้ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่าคลื่นเสียงรักษาโรคต่างๆได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคลื่นความถี่

    528 Hz ซึ่งเป็นคลื่นความถี่ในระดับเสียงตัวโน๊ต มี หรือเรียกอีกทีว่า Miracle note หรือพลังงานความรัก นั่นเอง (เข้าไปดูรายละเอียดในyou tube นะครับ)

    Dr. Joseph Puleo ผู้ริเริ่มค้นหาดนตรีหรือตัวโน๊ตโบราณ (Solfeggio)เจ้าของงานเขียน HEALING CODES FOR BIOLOGICAL APOCALYDS



    The secret Solfeggio Frequencies sound Vibration Rates for creation Destruction,and miracles.



    1. โด Ut=396=9 4. ฟา Fa =639=9

    2. เร Re=417=3 5. ซอล Sol=741=3

    3. มี Mi=528=6 6.ลา La=852=6

    และในตอนหลังก็มีการ ค้นพบอีก โน๊ตอีก3 ตัว 963 471 258 ว่ากันว่าระดับเสียงโน๊ตโบราณกับปัจจุบันนั้นต่างกัน ระดับเสียงของโน๊ตโบราณนั้นจึงไม่ได้เป็นแค่เสียง แต่มันเชื่อมโยงและมีผลต่อสรรพสิ่งในโลกและ Universe และผู้สร้าง ตัวเลขในระดับเสียงโน๊ตเป็นเสมือน matrix ซึ่งเรียกว่า perfect circle of sound

    คือ 147 369 528

    471 963 825

    741 639 258

    และผลลับของตัวเลข เหล่านี้ทุกตัว เมื่อนำมาบวกกันถอดรากจะได้ผลลับที่เท่ากัน เมื่อนำมาประกอบกับโครงสร้างของ DNA จะได้ลักษณะของรูปดาว12 แฉก (ดูภาพประกอบใน you tube ครับ) และ ตัวเลข 528 อยู่ตรงกลางคือพลังงานความรัก

    สรุปคือ .... เสียงมีผล กับอณุภาคต่างๆบนโลกนี้ และ Universe และ DNAเป็นเสมือนเสาสัญญาณรับส่งและเชื่อมโยงเราเข้ากับ Universe และ พระเจ้า

    ผมเอาข้อมูลมาจากที่นี่หยิบมาแค่บางส่วนนะครับ เพราะเนื้อหาค่อนข้างเยอะ


    http://www.drlenhorowitz.com/


    Dots connector: * DNAรหัสลับสุดยอดที่มนุษย์ต้องรู้
     
  19. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    2012 จะไม่ใช่ วันสิ้นโลก


    2010/02/15 ปี 2012 จะไม่ใช่วันสิ้นโลก

    -ทางด้าน consciousness และ spiritual จะเป็นช่วงระยะเวลาืที่ Parallel world เข้ามาพาดผ่านกัน ขอใช้คำนี้ ไม่รู้ว่าจะใช้คำไหนดี เป็นช่วงเวลาครบรอบ คือ ลักษณะของ Parallel world จะมีลักษณะรูปลักษณ์ คล้าย DNA และเมื่อในช่วงเวลาที่พาดผ่านนี้ เป็นเวลาที่สำคัญในการกำหนดทิศทางของ อณาคต ทางด้าน consciousness และ spiritual ของมนุษย์ ซึ่งในระยะช่วงเวลานี้ ไม่ได้มีผลแค่โลกใบนี้เท่านั้น แต่ทุก Planet ทุก Galaxy ,ทุก Universe และ God world, spiritual world ,materiel world แต่ผลที่ว่านี้เป็นผลด้านบวก เพราะ จะมีผู้คนที่สอบผ่านในระดับ consciousness และ spiritual ในแต่ละระดับ เช่น Materiel รวมไปถึง ผู้ที่อยู่ในระดับ Cosmic life form (ในระดับ Materiel world)
    และก็มี ในระดับ spiritual world และ God world อีกตามระดับ

    แต่สำหรับ มนุษย์ บนโลกนี้ ที่ยังอยู่แค่ระดับ Materiel ในการที่ออกจาก host นี้ กลับไปเป็น Cosmic life นั้น

    สำหรับคนที่สอบผ่าน ไปอาศัย ้host ในโลกที่มีระดับ consciousness และ spiritual ที่สุงกว่ามนุษย์โลก ที่นี่ จะยังต้องเรียนรู้อีกเพื่อพัฒณาระดับ ไปในระดับที่สุงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเข้าใจระดับ consciousness และ spiritual มากขึ้น จนไม่ต้องอาศัย host ในการเรียนรู้อีกต่อไป (เป็น cosmic life form ซึ่งแม้แต่ Supernova ก็ทำลายไม่ได้) แต่ก็ยังต้อง พัฒณา เพื่อให้ไปถึง ระดับ spiritual world

    ส่วนผู้ ที่สอบไม่ผ่านที่ออกจาก host ไปก็จะต้องกลับมาอาศัย Host (มาเกิด) เป็นมนุษย์บนโลกนี้อีกครั้ง (ซ้ำชั้น) ต้องมาเรียนรู้จนผ่าน


    ***ในการที่มนุษย์ ที่จะกลับมาอาศัย host ไหม่ นั้นตัววัดหรือตัวบ่งชี้ใน การกำหนด host ไหม่ คือ ระดับ consciousness และ ระดับของ Spiritual คือ ถ้า เข้าใจ ว่าเรา คือ พลังงาน(cosmic life) หรือ แสงสว่าง แล้วนั้น ระดับ consciousness เป็นตัวกำหนด ความสว่างของพลังงาน เพราะพลังงานนั้นจะความสว่างมากน้อย เข้มข้น ไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการเรียนรู้ในระดับการรู้ ทางด้าน spiritual มนุษย์บางคน อาจ มีความสว่างน้อย เทียบเท่ากับ สัตว์(ที่มีสมองใหญ่ ไม่ใช่ไดโนเสาร์นะครับ เพราะไดโนเสาร์ นั้น อยู่ในช่วงเวลาของ Evolution ของโลกที่ยังไม่สุกงอม ยังไม่พร้อมเป็นสถานที่เรียนรู้ทางด้าน consciousness ที่พูดนี้คือ มันเกี่ยวกับ Parallel world ที่ มีทั้ง อดีต ปัจบัน อณาคต)

    ในความเข้มข้นของความส่วางน้อยที่เทียบเท่าสัตว์ สมองใหญ่ก็จะเป็นตัวบ่งชี้ Host ไหม่ ในครั้งต่อไป คือ มี Host เป็นสัตว์ชนิดนั้นๆ การเรียนรู้ คือต้องพัฒณามาอยู่ในระดับมนุษย์อีก (แต่เป็นช่วงเวลาที่ยากมากในการที่จะพัฒณาระดับการเรียนรู้ จากระดับสัตว์มาเป็นมนุษย์อีก)

    ในระดับสัตว์ลงมานี้ถ้า ยังไม่พัฒณาขึ้นมาเป็นมนุษย์ไม่ได้อีก จาก สัตว์กลับมาสู่ host ก็อาจกลายเป็น สิ่งมีชีวิตอื่นไปจน สิ่งมีชีวิตเล็กๆ จน ความเข้มข้นของพลังงานหรือแสงสว่างหายไปในที่สุด

    จนในที่สุดก็จะ กลาย เป็น Cosmic parasite (ส่วนพวกที่ไม่มี conscience เลยเช่นพวก ยิว ที่เป็น elite ซึ่งเป็น Artificial light ไม่ใช่ แสงสว่างของ ทางด้าน light อยู่แล้ว ถึงออกจาก host ที่เป็น มนุษย์ไป และ พวกที่ถูกควบคุม
    (ไม่ตื่น)ก็ยังจะอยู่ใน Dark world ) ทาง Dark side นั้นการพัฒณาเป็นไป ในด้านตรงกันข้าม กับ Light side โดยสิ้นเชิง จาก เทา ก็
    กลายเป็นดำ ถึงดำสนิท ที่นั่น เป็น Dark world และระดับ ความเป็นใหญ่ ก็ ขึ้นอยู่กับพัฒณาการทางด้าน Dark



    ส่วน คนที่ยังไม่ออกจาก host(ไม่เสียชีวิต) นี้ไปชีวิตหลังจากปี 2012 จะเปลี่ยนไปตามทิศทาง ระดับ consciousness ที่มี

    คนที่ตื่นขึ้นก็จะ สงบ เข้าใจ ไม่แปลกใจ ในสถานการณ์ ที่เกิดขึ้นและเป็นไป

    (เพราะอาจจะเห็นใครหลายคนหายวับ ไปต่อหน้าต่อตา ซึ่งจะเป็นการก้าวกระโดด ในระดับ consciousness ไปอยู่ใน Dimension อื่น ที่มีเราอยู่ตามระดับ consciousness ที่เราเข้าใจ ก็คือใน Dimension ของเราที่นี่ เราจะหายไป แต่ตัวตนของเรานั้นไม่ได้หายไปไหน )

    แต่จะมีหลายคนที่ยังหลับไหล อยู่ไต้การควบคุมของ พวก parasite ก็ จะมีชีวิตที่งุนงง หวาดกลัว แปลกใจ กับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น

    ทำไมต้องเจาะจงเริ่มต้น ระดับ consciousness และ spiritual ที่นี่

    เพราะ Svarog Gods ที่ควบคุม ดูแล ระดับ Materiel world บอกว่าโลก นั้น เป็นเสมือน ราก ของ Tree of life (คือ จุดเริ่มต้นของเส้นทาง Golden way ที่เป็นเส้นทางที่สามารถเดินทางไปถึงยังทุกโลก Materiel world , spiritual world และ God world)

    เนื่องจาก Galaxy นี้ เป็นตั้งอยู่(ขอบของ Universe ) บน เส้นแบ่งเขต ระหว่าง Dark world และ light world และโลกใบนี้ ก็ ตั้งอยู่ขอบ ของ Galaxy ระดับ consciousness และ spiritual จะอยู่ในระดับ 0
    จึงเหมาะแก่การ พัฒณา และ เรียนรู้

    พวก ที่มาจาก Dark world เป็นแบบทดสอบ ชั้นดี ที่เอา อำนาจ ความร่ำรวย มาล่อ มนุษย์ให้ตกจาก ระดับ spiritual เหมือนดังเช่น ชาว White race เผ่า Ants ที่เป็นอย่างนั้น

    Golden way ต่างจาก Star Gate คือ

    -Golden way สามารถเดินทางไปถึงยังทุกโลก Materiel world , spiritual world และ God world (หลาย Dimension ) แต่เส้นทาง Golden way ไม่ใช่ใครจะเดินทางไปก็ได้ คนที่จะใช้เส้นทางนี้ได้ต้องมีระดับ ความเข้าใจด้าน spiritual ที่สุงมากพอ
    ระยะทางหรือขีดความสามารถ ที่จะไปได้ใกลขนาดไหนนั้น ความเข้าใจในระดับ spiritual จะเป็นตัวชี้วัด

    - Star Gate มีความจำกัด สามารถเดินทาง ได้ในระดับ Materiel world เท่านั้น


    * หมายเหตุ ผมใช้ภาษา ให้เข้าใจง่ายขึ้นเกี่ยว กับ คำว่าสอบผ่าน หรือไม่ผ่าน เพราะไม่รู้จะเปรียบเทียบคำไหนดี แต่มันก็คือ ความเข้าใจ ทางด้านconsciousness นะครับ

    (อ้างตามความรู้ทาง Slavic Aryan Vedas <***ขอขยายความ*** ความรู้นี้ มา จาก ชาว Aryan white race เผ่า Slav" Rassen ที่มี นัยตาสีฟ้า 1 ใน สี่เผ่า ที่เข้ามายังโลก ครั้งแรกและ อาศัยอยู่ที่continent ที่มีหน้าที่โดยตรงในการสอน ความรู้ ทั้งหมดเป็นความรู้ Basic ทางด้าน Material และ Spiritual
    สุดท้ายแล้ว ก็คือเข้า ใจการในระดับ Spiritual อย่างเดียว เกี่ยวกับ cosmic life และถัดมาก็ไต่ระดับของ consciousness และ spiritual )


    - ทางด้าน Materiel คือ 2012 ใน Levashov ebook ได้เีขียนไว้ว่าเป็นช่วงเวลา ครบรอบ 1008 ปี ที่ Galaxy นี้โคจรออกมาจาก Dark side


    เป็นช่วงระดับ consciousness และ spiritual ของผู้คนบางส่วน จะ

    ตื่นขึ้นจากหลับไหล อีกครั้ง

    อาจจะต้องมีสงคราม star war ที่เลี่ยงไม่ได้ ระหว่าง Dark และ Light

    ส่วน ภัยพิบัติ ที่จะเกิดขึ้นผลพวงจากสงคราม ย่อมตามมาเช่นกัน

    ใน ปัจจุบันนี้ ภัยที่ไม่ใช่ ธรรมชาติ เกิด จากการ ทดลอง อาวุธ HARRP
    ของพวก Dark side ก็มี




    เขียนโดย Dots conector ที่ 2/15/2010

    Dots connector: 2012 จะไม่ใช่ วันสิ้นโลก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2011
  20. k.kwan

    k.kwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2007
    โพสต์:
    15,900
    ค่าพลัง:
    +7,310
    ทดสอบ harrp ที่ Haiti

    2010/01/22 ขอแสดงความเสียใจให้พี่น้องชาว เฮติ

    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/Q9QtZkT8OBQ&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/Ap5TW0AUeGg&hl=en_US&fs=1& width=560 height=340 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/dvcI0l7YIYo&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    เหตุการณ์จริง ที่น่าสลดใจ จากฝีมือของ พวก parasite


    <EMBED src=http://www.youtube.com/v/HqtnAvm5OU0&hl=en_US&fs=1& width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>


    เขียนโดย Dots conector
    Dots connector: * ทดสอบ harrp ที่ Haiti
     

แชร์หน้านี้

Loading...