ไสยศาสตร์ฉบับชาวบ้าน..มี.สาระ แบบกันเอง

ขอบคุณครับ

 

สวยดีครับ ส่วนใหญ่ พม่า จะแกะจากไม้

ไม้เนื้อหอม จะนิยมมาก แต่ ก้แพง

 

ยกครูกับพระพุทธรูปครับ..

ทำขัน ๕-๘ ที่ผม เคยลงตัวอย่างไว้ให้

นำตำรา วางบนพาน แล้วทำตามขั้นตอนในหนังสือก็ได้

ตั้งนะโม ๓ จบ กล่าวบูชา พระรัตนตรัย สมาทานศีล๕ต่อหน้าพระก่อนจะดี

สวดพุทธคุณ ธัมมคุณ สังฆคุณ กล่าวคำสรรเสิญครู

ยกตำราขึ้น อธิษฐาน...ว่า ลูกขออนุญาติใช้ เวทย์มนต์ คาถาอาคม

ในตำรานี้ของ.....(เอ่ยชื่อเจ้าของตำรา) เล่มนี้ ขอให้ลูกใช้ได้ศักสิทธิ์

มีอิทธิฤทธิ์ตามประสงค์...และลูกขอให้สัจจะว่า จะนำไปใช้ในทางที่ถูกที่ควร

อะไร ก็ว่าไปครับ...แค่นี้ ก็ได้ ครับ..

จิต เป็น สื่อ หมายถึง....ก่อนว่า คาถาก็ต้อง
กล่าวระลึกถึงพระรัตนตรัย บิดามารดา ก่อน
(ข้าพเจ้าขอระลึกถึง พระพุทธคุณ พระธัมมะคุณ พระสังฆคุณ คุณบิดามารดา คุณครูบาอาจารย์ เจ้าของคาถาบทนี้..)
แล้ว ก็ ตั้ง สมาธิ นึกถึงแต่ ตัว คาถา ในขณะ ที่ว่า กำกับลงไป
ถ้าสั้น ให้ กลั้นใจ ภาวนา จะเสก ๓ ที ๗ ที ก็ แล้วแต่ครับ

 

ปางจกบาตร (อธิษฐานหยุดดวงอาทิตย์เพื่อฉันภัตราหาร).

..จะนิยมบูชาไว้ในบ้าน ร้านค้า

เพราะมี อุปเทห์ ว่า ท่านกำลัง ฉันอาหาร

จะทำให้ผู้บูชา มีกินมีใช้ ไม่จน...

 

ไม่เป็นไร ครับ

ถ้า ได้ไม่ได้ ยังไง แล้วค่อย มาสนทนากันอีกคราก็ได้ ครับ

สำหรับ บางบท ที่ไม่จำเป็น ก็อย่าพึ่งไปท่องนะครับ

อย่าง พวก โองการต่างๆ เช่น โองการธรณีสาร

เพราะ โองการ นั้น จะครู แรง..ท่องๆเล่นๆไม่ได้..จะเกิดโทษ

แต่ในตำรา ก็ ลงไว้ เพื่อให้ศึกษา แต่จะไม่ลงรายละเอียด เรื่อง ข้อควรระวังมากนัก

ส่วน บท ที่ไม่มี ข้อ จำกัด เยอะ คือ บท เมตตา..

 

พระอุปคุตสวยๆทั้งนั้นเลยครับเห็นแล้วก็เกิดกิเลสอยากได้อีกล่ะซิเรา

 

พี่คำรณครับ กรณีสมมุตินะครับ สมมุติว่ามีเกจิท่านหนึ่งทำวัตถุมงคลออกมาไม่ว่าจะเหรียญพระหรือของมงคล จนคนเกิดประสบการณ์กันมากมาย แต่อยู่มาวันหนึ่งถูกจับสึกด้วยขัดต่อวินัยสงฆ์ วัตถุมงคลที่เคยสร้างไว้จะยังศักดิ์สิทธิ์อยู่หรือเปล่าครับ

 

ถ้าท่านสร้างด้วย ฤทธิ์ฒาน กสิน ก็ จะขลัง

แต่ถ้า สร้าง ด้วย วิชาปลุกเสกด้วยวิชาคาถาอาคม ธรรมดาเสื่อมได้

แต่ มันจะค้านกันด้วย หลักการ เหตุผล

พระที่ เก่ง ถึงขั้น ปลุกเสกของขลัง ได้ อย่างมีประสิทธิภาพ

มีประสบการณ์(จริงนะ)...จะต้อง ได้ ฒาน๔ และ กสิน ไม่ว่ากองใด

กองหนึ่ง ประกอบกัน..แล้ว อธิษฐานลงไป พร้อมกับ คาถากำกับ

นี่ถึงจะประกันได้ว่า ของนั้น ขลังมั่นคง..

พระเก่ง ขนาดนั้น ไม่น่าจะถูกจับสึก เว้นแต่ ไปแกล้งท่าน

 

คำว่าปลุกเสกนั้นหลายคนอาจจะไม่เข้าใจ

การจะปลุกเสก หรือ บรรจุพลังงานลงไปในวัตถุ ให้ใช้ได้ตามเจตนา

ถ้า อย่างเราๆ คนทำมะดา ไม่ได้ ฌาน ๔ กสิน ก็ไม่มีพลังงาน

แค่บริกรรม คาถา เป่่าเฉยๆ ไม่ ขลังหรอกครับ

แต่ที่ ชาวบ้านๆ อย่างเราๆ ที่ใช้ คาถา อาคมนั้น ใช้ความศักดิ์สิทธิ์

ความขลังของคาถา ซึ่งจะได้เฉพาะตนเอง เรียกว่า ไปทำให้คนอื่นไม่ได้

ขลังชั่วคราว ข้ามคืน เกินวัน ก็ ต้องว่ากันใหม่..เพราะไม่ได้ไปเสกอะไร.

ไม่เหมือน ผู้ สำเร็จ ฌาน๔ กสิน ..ถึง แม้น จะเป็น โลกียะ ก็มีฤทธิ์

แต่ โลกียะฌาน ก็ยังไม่ใช่ได้ง่ายๆ ในเรื่อง อิทธิ วิธี..

 

ครูอาจารย์ท่านก็เล่า เหมือนๆกัน คือ

ถ้าพระอรหันต์ ถ้าสำเร็จ...แบบไม่มุ่งฤทธิ์(อภิญญา)
..ท่านจะไม่นิยม เสกเป่า

เพราะรู้ว่า..จะเกิด ฤทธิ์ยาก ถ้า ไม่มี อภิญญา

แต่ถ้าองค์ใดสำเร็จ อภิญญา ถือว่าท่านบำเพ็ญบารมีมาโดยเฉพาะ

เรียกว่า ผลพลอยได้จากความเพียร...จะเสกเป่าอะไร ก็ได้ หมด ขลังหมด

ดังนั้น สำคัญ อยู่ที่ว่า ...ของขลังนั้น ใช้วิธีใดเสกเป่าลงไป

ถ้าทำได้ ตามขั้นตอนของ ผู้มีฤทธิ์พึงทำได้ รับรองว่า

ขลังแท้ แน่นอน....เพราะผู้ทำ มีฌาน อภิญญา จะหยิบจับสิ่งใด

คาถาบทใด มาใช้ ย่อม ศักดิ์สิทธิ์ ได้ผล...

หนังจีน เขาเรียกว่า สูงสุดคืนสู่สามัญ ใช้กิ่งไม้มาใช้ก็ทัดเทียมกระบี่ชั้นดีได้

 

"""""""""""""""""""""""""""
ครับผม ขอบพระคุณครับ

 

เรื่องจับพลัง

หลายท่านถามมามากมายเรื่องการจับพลัง

อย่างที่บอกครับ..ว่า ถ้าจิตนิ่งก็จับได้....แต่แค่สัมผัส พลังนะครับ

เมื่อกี้ นั่งสมาธิ มา...ไม่ได้ลองจับ นานแล้ว..

พอดีได้พระ ปิดตามาองค์หนึ่ง ลูกน้อง เอามาให้ ไม่รู้ที่มาที่ไป

เลยลอง กำพระไว้ในอุ้งมือขวาทับมือซ้ายแบบหลวมๆ วางไว้บนตัก

ในท่านั่งสมาธิ ตั้งนะโม ๓ จบ
ว่าบท อิติปิโสฯ สวาขาโตฯ สุปฏิปันโนฯ
แล้ว ขึ้นบทอิติโสใหม่ ว่าช้าๆ...กำหนดจิต เบาๆไปที่องค์พระ

พลัง มาเป็นระยะๆ...แป้บ ๆ ๆ ..สุดท้าย แรงเข้าแรงเข้า

จนต้องวาง ครับ สรุป ว่า ถ้า วัด พลังงาน มีแน่นอน

แต่ไม่ได้ อยากรู้ ว่า ดีทางไหน ครับ...

เลยมาแนะนำว่า.....ลองทำตามนี้ ละกัน ท่านที่อยาก ใคร่ รุ้

แต่ กำทีละองค์นะ...ไม่ใช่ ทั้ง พวง ๕๕๕

อ้อ ยืนยันว่า ไม่ใช่ อุปทาน นะครับ..รู้แต่ ว่า มี พลัง

ที่ทำ น่ะ อยากยืนยันว่า ถ้าเรามีจิตนิ่งหน่อย ก็จับได้..ไม่ยาก

 

คาถาจุดธูปเรียกคน

หลายคนขอมา(อดไม่ได้จริงๆ ใจ่อน)
เหมาะสำหรับ อาชีพค้าขาย
มีร้านค้า ปักธูปได้ ...แต่ถ้า บนห้าง ไปดัดแปลงเอานะ
ควรใช้ธูปหอม...๕ ดอกขึ้นไป ๕ ๗ ๙ ๑๖
..อย่าเกินนี้เลย เดวจะควันมากไป๕๕

นะโม ๓ จบ

มะอะอุ สิวังพรหมา จิตตัง จิตมนุษย์หญิง-ชาย ทั้งหลายทั่วทั้งแผ่นดิน

มานี่ มามา อาคัจฉาหิ มีจิตมารักกูทุกผู้ทุกคน อุอะมะ เกลื่อนกล่นกันมา

อะมะอุ บูชากูอย่าได้ขาด สัพพะบูชา มหาลาภัง ภะวันตุเมฯ

ว่า ๓ คาบ ๕ คาบ ๙ คาบ ได้ทั้งนั้น

ควรเสก ตอนเช้า ขณะที่จิตยังไม่คลุกเคล้าสิ่งอื่นๆ

วางจิต ให้ นิ่มนวล เบา สบายๆ...นึกภาพ คนมากมายยิ้มแย้มแจ่มใส
เดินมาหา เรา

อ้อ บทนี้ เสกให้คนอื่น ก็ได้..อย่าเสกทั้งหมดนะ..เสกเฉพาะใช้เท่านั้น

 

ท้ายสุดแล้ว กระบี่อยู่ที่ใจ จนถึงขั้น ไร้กระบวนท่า สำเร็จวิชาเคลื่อนย้ายจักรวาล ไม่ต้องมีอะไรเป็นอาวุธก็ได้

อย่างพวกเครื่องรางต่างๆ ผมก็เคยถามหลวงพ่อพิเชฐ ว่า เบี้ยแก้ ปลัดขิก ฯลฯ เสกต่างกันอย่างไร ท่านก็บอกว่า จริงๆแล้ว มันก็มีวิธีการเฉพาะของแต่ละอย่าง ตัวคาถาก็แตกต่าง แต่ท้ายสุดแล้ว ทุกอย่างจะมารวมที่จิตเราเอง คือ ถ้าเอาปลัดขิกมา ก็สามารถเสกให้เป็นเบี้ยแก้ได้ ลูกแก้วก็เป็นเบี้ยแก้ได้ ผ้าขี้ริ้วก็เป็นเบี้ยแก้ได้ จะเสกอะไรให้มันมีฤทธิ์เหมือนเบี้ยแก้ก็ได้ มันเป็นแค่รูปลักษณ์ของมัน แต่ทุกอย่างสำเร็จไปแล้วที่ใจ อยู่ที่การอธิษฐานเสก แต่เบี้ยแก้ที่ทำให้ใช้กัน ก็ไม่ได้เสกให้มันเป็นแค่เบี้ยแก้ อัดทุกอย่างไปให้หมด อธิษฐานใช้เอาได้เลย ถ้าจะเอาไปทำอะไร

อย่างนี้ ก็น่าจะเป็นหนึ่งในตัวอย่าง ใช้กิ่งไม้แทนกระบี่ ครับพี่คำรณ
ผมมาช่วยพี่อธิบายแล้วครัับผม ไปเดินสายบุญมาเสาร์อาทิตย์ เหนื่อยมาก ราชบุรี โพธาราม ดำเนินสะดวก ร้อนตับแล็บ

 

อธิบายเรื่องนี้ ก็ต้องยาวๆ กันเลยทีเดียว

สติ กับ จิต มันควบรวม ปนกันอยู่ การฝึกสมาธิ ก็ต้องใช้สติ บังคับ ฝึกฝนจิต ไม่ให้ฟุ้งซ่าน กำจัดนิวรณ์ทิ้ง
เมื่อใช้สติ บังคับจิต ให้อยู่กับจุดๆเดียว คือ คำภาวนา หรือว่าลมหายใจ หรือจับภาพกสิน ผลที่จะได้ ก็คือสมาธิจิต ฌาณ และฤทธิ์ ต่างๆ

แล้วอีกอย่างนึงอีกเช่นกัน คือการ ใช้สติ ตามดูจิต ตามดูร่างกาย นั่นเข้าข่าย วิปัสนาญาณ ผลที่จะได้คือ การบรรลุธรรม แต่ที่สามารถใช้สติ ตามดูจิตดูใจได้ ส่วนหนึ่งก็มีสมาธิมาเอี่ยวด้วย ไม่ใช่สติล้วน กล่าวคือ ใช้สติดูจิต มันก็เป็นสมาธิด้วยอย่างนึงเหมือนกัน

พระท่านก็ต้องฝึกสมาธิเหมือนกัน เช่น สายกรรมฐาน ก็ให้ว่าพุทโธ จนได้ฌานนั่นแหละครับ นี่คือผลจากการภาวนา แล้วเมื่อฌานท่านได้แล้ว ท่านก็จะนำฌานที่ได้นั้น มาขัดเกลากิเลส โดยใช้ฌานที่ได้มาใช้พิจารณาร่างกาย สติตามดูจิต แล้วเมื่อทำจนจบกิจแล้ว ท่านก็เป็นพระอริยะเจ้าต่อไปครับ

สายหลวงปู่มั่น ท่านก็ฝึกกสิน เล่นฤทธิ์ ได้นะครับ เก่งด้วย ไม่ใช่จะใช้แต่สติอย่างเดียว

ขอจบการอธิบายครับ อย่าหาว่าผมจุ้นเลย มาช่วยอธิบายให้ครับ

 

มาติดตามครับพี่ tang_2536

 

ชอบเรื่องคาถาอาคมมาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่รู้พื้นฐานของการฝึก ปัจจุบัณส.ว.แล้วครับ 50ปลายๆ ขออนุญาตติดตามอ่านด้วยคนนะครับ ขออนุโมทนากับเจ้าของกระทู้และผู้ให้ความรู้ทุกท่านครับ ขอบคุณครับ

 

ผมก็อาศัย พุท-โธ นี้แหละครับ เป็นไม้หลักคอยยึดเหนี่ยว

ไม่ให้หลงหลุดลอยไปไหนมากจนเกินไป

ปล.ผมยังต้องฝึกอีกเยอะกว่าจะผ่านไปได้
และคอยหาพ่อแม่ครูอาจารย์ช่วยเมตตาเข็นหน่อยคงจะดีขึ้นตามลำดับครับ





ขอบคุณมากๆๆๆๆครับ มีอะไรแนะนำเพิ่มเชิญครับผม น้อมรับ

 

ถ้าพุทโธ อย่างเดียว นั่นก็คือ การฝึกสมาธิ ครับ แต่ในขณะเดียวกัน สติเรา ก็จะได้รับการฝึกด้วยเช่นกัน แต่จะได้สมาธิมากกว่า

ผมก็พุทโธ เช่นกัน เพราะคำภาวนาอื่น ไม่ตรงจริต บางอย่างยาวไป บางอย่างทำให้เรากังวลกับลม กับการพองขึ้นของท้อง เคยลองมาหลายอย่าง แต่ก็พุทโธ นี่แหละครับที่เหมาะกับตัวเอง

การจะพัฒนาในส่วนของการปฏิบัติธรรมนั้น อยู่ที่ตัวเดียวเลยครับ คือ ความเพียรอย่างมีระเบียบ ส่วนตัวผมแล้ว พยายามจะทำให้ตัวเองเป็นระเบียบ แต่ก็ไม่ได้เรื่องซักที ได้ทำบ้าง ไม่ได้ทำบ้าง ก็ลุ่มๆ ดอนๆ เหมือนกันครับ

 

สวัสดีครับพี่แตง-พี่สวนพลู ติดตามอ่านมาตั้งแต่ต้น ชอบมากๆ ครับ ได้ความรู้เยอะมั่กๆ