ไฟล้างโลกและพระศรีอาริย์ตรัส

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย เกษม, 6 มิถุนายน 2009.

  1. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    ผมเชื่อในคำสอนของพระพุทธองค์ คือ
    1) ปัจจตัง มันเป็นเช่นนั้นเอง มีเหตุจึงเกิดผล ไม่มีเหตุผลก็ไม่เกิด
    2) ไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    3) ทาน ศีล ภาวนา และ ศีลสมาธิ ปัญญา
    4) อริยสัจจ์สี่ และ มรรคองค์แปด มรรค(สี่ + สี่)
    5) พรหมวิหารสี่ อิทธบาทสี่
    6) จิ เจ รุ นิ
    ึ7) โภชฌงค์เจ็ด

    แต่ผมจะไม่ไปคาดเดาอะไรอะไรที่ผมไม่รู้ และถึงรู้ผมก็จะไม่บอกว่าเป็นเช่นนั้นเช่นนี้เพราะจิตผมยังมีเจ้าตัวกิเลสอยู่ แม้แต่วิทยาศาสตร์ทางใจเราจะมั่นใจได้อย่างไรถ้าใจยังมีกิเลส
     
  2. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ถ้าตนของตนยังพอรู้ตัวว่ากิเลสยังมีมาก

    ก็ให้ ปฏิบัติธรรมมาก ๆ จะได้หักล้างกันไป

    จนกว่าจะเป็นขั้นประหารกิเลสในหัวใจ แบบกิเลสไม่สามารถเกิดขึ้นได้อีกใน

    หัวใจของพระอริยบุคคล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 มิถุนายน 2009
  3. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    ถ้าคุณถึงขั้นนั้นจริงก็ขออนุโมทนาสาธุด้วยครับ
     
  4. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852

    คุณนี่น่ารักนะ(||)
     
  5. ta_sepia

    ta_sepia เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    77
    ค่าพลัง:
    +179


    ถ้าพระพุทธเจ้าเกิดจากคนรวยและจนที่สุดแล้วล่ะก็ ยุคนี้ ก็ต้องมีพระพุทธเจ้าอีกสิครับ

    และอีกอย่างพ่อคุณเอ๊ย อ่ยาพยามจะลดพระพุทธเจ้าให้เท่ากับมนุษย์ขี้เหม็นเลยครับ

    คุณกำลังจะบอกว่า ฤทธิ์ไม่มีจริง คนมันเสริมเติมแต่งให้มีปาฏิหาริย์จะได้เชื่อถือน่ะสิ ????

    คิดอะไรเนี่ย มีก็คือมีสิ
     
  6. ขาโจ๋ข้าเอง

    ขาโจ๋ข้าเอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2004
    โพสต์:
    244
    ค่าพลัง:
    +4,856
    ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน
    ความไม่แน่นอน คือ ความแน่นอน
    ขอบคุณ จขกท ที่ให้ความรู้
    โมทนาบุญ กับ จขกท ด้วยครับ
    เรื่องอนาคตกาลที่จะเกิด อยากรู้ว่าพระพุทธเจ้า จะลงมาเมื่อไหร่ จะรวย หรือจน จะมีฤทธิหรือไม่มีฤทธิ จะเติมแต่งให้เกินเลยหรือเป็นเรื่องจริง ถ้าอยากรู้ก็ตามไปเกิดดูนะครับ อย่ามัวไปเฉไฉทางไหน เดี๋ยวเกิดไม่ได้ หรือไม่ได้เกิด ก็ไม่รู้ด้วยนะครับ ส่วนผมเป็นไปได้ไม่อยากตามไปแล้วครับ ตามไปอยู่กับท่านพ่อดีกว่า ท่านพ่อบอกว่าสบายดี ตัดให้เยอะๆหน่อย แล้วก็จะสบายเหมือนพ่อเอง ^^ จะเข็นขึ้นไหวมั้ยหว่าท่านพ่อคร๊าบบบ
     
  7. Sriaraya5

    Sriaraya5 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มีนาคม 2006
    โพสต์:
    3,079
    ค่าพลัง:
    +12,852
    ในภัทรกัลป์นี้จะมีพระพุทธเจ้ามา<WBR>ตรัสรู้ ๕ พระองค์
     
  8. Puiจ้า

    Puiจ้า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    92
    ค่าพลัง:
    +134
    เคยได้ยินเรื่องราวแบบนี้มาเหมือนกัน แต่เท่าที่ทราบคนที่อยู่ในยุคนี้ได้ ก็จะเป็นคนที่ดีๆ จิตใจบริสุทธิ์
     
  9. coolz

    coolz เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,594
    ค่าพลัง:
    +1,337
    เชิญพี่เกษมเล่าต่อคะ ยังติดตามอยู่ ^^
     
  10. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ในพระไตรปิฎกตามที่มีบันทึกเอาไว้ เกี่ยวกับเรื่องของพระศรีอาริยเมตไตรย พระพุทธเจ้าองค์ที่ 5 ในภัทรกัปนี้ ก็มีบันทึกเอาไว้เพียงเท่านั้น แต่บทความที่ผมจะนำมาให้ท่านได้อ่านกันต่อไปนี้เป็นเรื่อง พระศรีอาริยเมตไตรยนอกพระไตรปิฏก ท่านผู้อ่านต้องใช้วิจารณญาณเอาเองว่า จะเชื่อหรือไม่เชื่อนะครับ

    ยุคพระศรีอาริย์กึ่งกลางพระพุทธศาสนา(พญาธรรมิกราช)

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ในพระสุตตันตปิฎก ฑีฆนิกาย ปาฎิวรรค ในเรื่อง การเสด็จอุบัติแห่งพระพุทธเจ้าพระนามว่า เมตไตรย ว่า พระเมตไตรยจักเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยพระองค์เองโดยชอบ เพียบพร้อมด้วยวิชชาและจารณะ รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกผู้ที่ควรฝึกได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสว่า พระเมตไตรยอยู่ในพุทธวงศ์หรือเป็นวงศ์วานเดียวกันกับพระพุทธเจ้าโคตมในภัทรกัป ที่มีพระผู้มีพระภาคเจ้าถึง 5 พระองค์คือ พระกกุสันธะ ,พระโกณาคมมนะ,พระกัสสปะ,พระพุทธเจ้าโคตม และพระเมตไตรย ซึ่งเรื่องนี้บ่งบอกอยู่ในพุทธปกิณณกกัณฑ์หรือว่าด้วยเรื่องเบ็ดเตล็ดเกี่ยวกับพระพุทธเจ้าในพระสุตตันตปิฎก ขุทกกนิกาย พุทธวงศ์

    เหตุการณ์ก่อนหน้าที่พระเมตไตรยหรือพระศรีอาริยเมตไตรยจะมาปรากฏตนนั้น พระพุทธศาสนาจะเริ่มเสื่อมลงด้วยสาเหตุ 5 ประการ คือ

    1.การเสื่อมลงของหนทางแห่งความสำเร็จบรรลุมรรคผล ศีลธรรมและจริยธรรม 2.การเสื่อมลงของวิธีการปฎิบัติธรรมและการเจริญภาวนา
    3.การเสื่อมลงของการศึกษาธรรมและการเข้าถึงพระธรรม
    4.การเสื่อมลงของวัฒนธรรมทางพุทธศาสนา
    5.การเสื่อมลงของบูรพาอาจารย์

    อย่างไรก็ตามพระพุทธเจ้าโคตรมทรงตรัสว่า พระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระเมตไตรย จะมาปรากฏและสามารถแก้ปัญหาความเสื่อมลงของพระพุทธศาสนา และจะนำพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรื่องเป็นที่พึ่งที่แท้จริงตลอดไป จากความเป็นจริงที่เห็นได้ในปัจจุบันศาสนาพุทธได้แบ่งแยกนิกายเป็น 3 นิกายใหญ่คือ มหายาน,หินยาน และวัชรยาน

    ในแต่ละนิกายก็จะมีการแบ่งแยกออกไปอีก มีการปรุงแต่ง เพิ่มเติมหลักการสอนและปฎิบัติตามความเชื่อและความนิยม แต่ละบุคคลมีความเชื่อในผลบุญต่างๆโดยไม่ทราบว่า การกระทำไปนั้นมีความถูกต้องหรือไม่ มากกว่าการทำความเข้าใจถึงหลักธรรมที่แท้จริง ผู้คนโดยทั่วไปส่วนใหญ่เชื่อว่า พระศรีอาริยเมตไตรยจะมาปรากฏหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 5,000 ปี ซึ่งเป็นความเชื่อที่ขาดหลักฐานยืนยัน เชื่อโดยขาดเหตุผล

    จากตำนานโบราณ และตามพระพุทธพจน์ทำนายหรือคำตรัสของพระพุทธเจ้าโคดม จากศิลาจารึกในเขตมหาวิหาร ในสวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย แสดงว่า พระศรีอาริยเมตไตรยจะมาปรากฎพระองค์เมื่อพระพุทธศาสนาได้ล่วงมาถึงกึ่งพระพุทธกาล (2,500 ปี) ซึ่งขณะนี้พุทธศักราช 2500 จริงยังมาไม่ถึงแต่กำลังจะถึงแล้วซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นช่วงปัจจุบันนี้ แต่เนื่องจากความผิดพลาดของผู้นำพุทธศักราชมาใช้โดยขาดการวิเคราะห์และพิจารณา

    ทำให้พุทธศักราชที่ใช้ในทุกวันนี้ผิดพลาดจากปีพุทธศักราชจริงไปประมาณ 50 ปี ซึ่งในศิลาจารึกยังได้บ่งบอกว่า พระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระธรรมมิกราชโพธิสัตว์ จะเกิดขึ้นภายใต้ความอุปถัมภ์ของพระเถระโพธิสัตว์ ทั้งสองพระองค์สถิต ณ เบื้องตะวันออกของมัชฉิมประเทศ ทั้งสองพระองค์จะช่วยกันทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรื่องสืบไป และในเวลาไม่นานแผ่นดินอธรรมจะถล่มเป็นทะเล อธรรมจะพ่ายแพ้ไปทั้งหมด จากนั้นแผ่นดินจะเป็นยุคศรีวิไล

    ได้มีการบอกกล่าวเล่าสืบกันมาว่า ในยุคของพระศรีอาริยเมตไตรย ผู้คนจะไม่ลำบากบากแค้น คนทั่วไปจะมีกินมีใช้กันทั่วหน้า บ้านเมืองจะไม่มีโจรขโมยเป็นเสมือนปัจจุบันนี้ วิถีชีวิตของผู้คนเปลี่ยนไปจากสมัยอดีตอยู่มาก เมื่อมีความเจริญทางวัตถุและเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นเพื่อสนองความต้องการของมนุษย์มากขึ้นเท่าไหร่ ความเจริญทางด้านจิตใจกับลดน้อยลงไปทุกทีๆ ทั้งนี้เนื่องจากอะไรเป็นต้นเหตุ ผู้คนเข้าวัดน้อยลง คิดเพียงว่าไปทำบุญ ตักบาตร ถวายพระสงฆ์แล้วเพียงแค่นั้นก็ได้บุญหรือคิดเพียงเป็นการสะเดาะเคราะห์ต่อดวงชะตา เสริมบารมีเหมือนอย่างที่เป็นข่าวให้ได้เห็นการอยู่เรื่อยๆมา

    เป็นพุทธศาสนิกชนแต่เพียงชื่อมีมากมายขนาดไหน เรายอมรับกันหรือไม่ ที่ประเทศอินเดียมีผู้นับถือพุทธไม่น่าจะเกินร้อยละ 7 ทั้งที่เป็นต้นกำเนิดของพุทธศาสนาเพราะอะไรจึงเป็นเช่นนั้น เราทั้งหลายได้พิจารณาด้วยความคิดและสติปัญญาแล้วหรือยังว่า “ความเสื่อมต่างๆ ได้มีขึ้นมานานแล้วโดยที่เราไม่ค่อยได้เห็นหรือสังเกตถึงความเปลี่ยนแปลงต่างๆ”

    เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อยๆความมีศีลธรรมและจริยธรรมเสื่อมลง คนทั้งหลายจะไม่สามารถเข้าถึงวิธีการที่จะสำเร็จบรรลุมรรคผลได้ เมื่อพระสงฆ์ทั้งหลายไม่สามารถชี้แจงสั่งสอนหรือทำให้คนเหล่านั้นเข้าใจถึงหลักคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธองค์ได้ คนเหล่านั้นก็ไม่สนใจคำสอนของพระสงฆ์ คนรุ่นต่อมาจึงขาดความเข้าใจธรรมะที่แท้จริง พระพุทธศาสนาจึงเริ่มเสื่อมลงด้วยเหตุ 5 ประการ คือ

    1.การเสื่อมลงของหนทางแห่งความสำเร็จบรรลุมรรคผล ศีลธรรมและจริยธรรม
    2.การเสื่อมลงของวิธีการปฎิบัติธรรมและการเจริญภาวนา
    3.การเสื่อมลงของการศึกษาธรรมและการเข้าถึงพระธรรม
    4.การเสื่อมลงของวัฒนธรรมทางพุทธศาสนา
    5.การเสื่อมลงของบูรพาอาจารย์

    ท่านทั้งหลายคงเคยได้ยินชื่อของนอสตราดามุส(Nostradamus) หรือที่เราทราบตามหนังสือว่าเป็นผู้ที่ล่วงรู้เหตุการณ์ในอนาคต แล้วจดบันทึกในสิ่งที่ได้เห็นในนิมิต นอสตราดามุสเป็นคนฝรั่งเศส มีอาชีพเป็นแพทย์ ได้เขียนคำทำนายต่างๆ ไว้มากมายซึ่งได้จดบันทึกไว้เป็นหลักฐาน อีกทั้งข้อมูลจากตำนานต่างๆ ข้อมูลจากศาสนาอื่นๆ ที่กล่าวถึงบุคคลผู้ที่ได้ชื่อว่า”เป็นผู้นำสันติสุข” ซึ่งมีชื่อเรียกปรากฎตามการเรียกของแต่ละศาสนาและภาษานั้นๆ ดังเช่น

    ศาสนายิว ซึ่งเป็นต้นแบบของศาสนาคริสต์ เรียกว่า มาซายะ (Messiah)
    ศาสนาคริสต์ เรียกว่า Comforter
    ศาสนาอิสลาม เรียกว่า มาฮ์ดิ (Maldi)
    ศาสนาฮินดู เรียกว่า กาลกี(Kalki)
    ศาสนาพุทธ เรียกว่า เมตไตรยะ(บาลี),ไมเตรยะ(สันสกฤต) (Maitreya)


    ขอให้สังเกตว่า ทุกศาสนามีคำสอน และความเชื่อที่ต่างกัน และในศาสนาเดียวกันนั้นก็ยังมีการแตกแยกเป็นนิกาย หรือกลุ่มต่างๆ และสอนแตกต่างกัน แต่ทำไมถึงได้ระบุถึงผู้นำสันติสุขนี้ไว้เหมือนกันและสนับสนุนกัน ซึ่งเรื่องนี้จะกล่าวต่อไปในภายหลัง จากการศึกษาค้นคว้าของผู้เชี่ยวชาญทางศาสนาที่มหาวิทยาลัยและศูนย์ศาสนาที่สำคัญๆทั่วโลก เช่น กรีก,ฝรั่งเศส,ศรีลังกา,สหรัฐอเมริกา และอินเดีย เป็นต้น ได้มีความเห็นเดียวกันว่า

    พระเมตไตรย(Maitreya) หรือ Comforter หรือ Messiah หรือ Maldiหรือ Kalki หรือชื่อเรียกตามศาสนาและภาษานั้นๆ น่าจะเป็นบุคคลคนเดียวกันและจะมาปรากฏตนในปัจจุบันนี้ และตามตำนานโบราณยังได้บ่งว่า จะมีมหาภัยต่างๆ เช่น น้ำท่วม แผ่นดินไหว โรคระบาด มีวิกฤตต่างๆ ผู้คนเดือดร้อน และมีเหตุการณ์ที่เกิดได้ยากจะปรากฏขึ้นก่อนที่พระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระเมตไตรยจะมาปรากฏ ดังเช่น

    1.การเกิดของวัวป่าสีขาว (White Cow) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2537 ตามความเชื่อของชาวอเมริกัน-อินเดียน เชื่อว่าสันติสุขของโลกที่แท้จริงจะเกิดขึ้น ข่าวจากหนังสือพิมพ์ในสหรัฐอเมริกา

    2.การเกิดของวัวแดง (Red Heifer) ซึ่งเคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้วมากกว่า 2,000 ปี ได้กำเนิดขึ้นใหม่ในปี พ.ศ.2539 ที่ประเทศอิสราเอล การเกิดของวัวแดงตัวปัจจุบันตามความเชื่อของชาวยิวเป็นการแสดงว่า มาซายะ(Messiah) จะมาปรากฏตน สำนักข่าว CNN รายงานข่าวตามความเชื่อของชาวยิว

    3.ปรากฎการณ์เรียงตัวกันของดาวนพเคราะห์ทั้งหลายเมื่อต้นเดือน พฤษภาคม พ.ศ.2543 ตามความเชื่อของศาสนาฮินดูโบราณบ่งว่า กาลกี (Kalki) จะมาปรากฏตน

    4.พระจันทร์สีแดงอันเกิดจากจันทรุปราคาเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2543 แต่ประเทศไทยมีเมฆปกคลุมทำให้มองไม่เห็น เรื่องของพระจันทร์สีแดง มีในตำนานโบราณอายุกว่า 2,000 ปีกล่าวไว้ว่า “ในเวลากลางคืนไร้แสงอาทิตย์ และเกิดพระจันทร์สีแดงจะเป็นวันที่สำคัญยิ่งเพราะแสดงการมาของผู้นำสันติสุข” และในวันที่ 16 กรกฎาคม 2543 ดังกล่าวนั้นยังตรงกับวันอาสาฬหบูชาอีกด้วย

    เกี่ยวกับเรื่องที่ได้นำเสนอมาแล้วในตอนที่ 1 และในตอนที่ 2 นี้ก็ไม่ได้ขอให้เชื่อ แต่ขอให้พิจารณาถึงเหตุผลต่างๆ พิจารณาจากหลักฐานและข้อเท็จจริง การพิจารณาในสิ่งที่ดีงาม เปิดใจให้กว้าง ไม่เป็นกบในกะลาหรือเป็นน้ำชาล้นถ้วยที่ไม่ยอมรับอะไรเลย ยึดถือกับความเชื่อเก่าๆที่ขาดเหตุผลและหลักฐานความจริง จงอย่าลืมว่า พระศรีอาริยเมตไตรยนั้นท่านเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์ที่ 5 ต่อจากพระพุทธเจ้าโคตม และเป็นวงศ์วานเดียวกับพระพุทธเจ้าโคตมในภัทรกัป ที่มีพระผู้มีพระภาคเจ้าถึง 5 พระองค์คือ พระกกุสันธะ ,พระโกณาคมมนะ,พระกัสสปะ,พระพุทธเจ้าโคตม และพระเมตไตรย

    สำหรับการที่ผู้คนส่วนใหญ่ และผู้ที่บอกกล่าวว่า พระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระเมตไตรยจะมาปรากฏตนเมื่อพระพุทธเจ้าโคตมปรินิพพานไปแล้ว 5,000 ปี เป็นความเชื่อที่ขาดซึ่งหลักฐาน แม้แต่ในพระไตรปิฎกก็ไม่ได้ระบุเวลาดังกล่าวไว้ สิ่งที่เป็นหลักฐานที่พบได้ก็คือ หลักฐานที่พระธรรมทูตที่ได้ไปอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ และต้นศรีมหาโพธิ์ จากประเทศอินเดียเมื่อ พ.ศ.2484 ได้คัดลอกพระพุทธพจน์ทำนายหรือคำตรัสของพระพุทธเจ้าโคตม มาจากศิลาจารึกที่เก่าแก่ ณ เขตมหาวิหาร ในสวนมฤคทายวัน เป็นพระพุทธพจน์ทำนายที่ตรัสว่า พระศรีอาริยเมตไตรยหรือพระเมตไตรยจะมาปรากฏพระองค์หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 2,500 ปี (ศาสนาได้ล่วงเลยมาถึงกึ่งพุทธกาล)

    พระพุทธเจ้าโคตม ได้ตรัสสอนไม่ให้เชื่อในเรื่องใดทั้งสิ้น ซึ่งได้ตรัสสอนไว้ในกาลามสูตร 10 ประการ หากสิ่งที่ได้คิด ได้ทำ ได้ปฎิบัตินั้นเป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ด้วยข้อเท็จจริงเป็นประโยชน์ต่อตนเอง และผู้อื่นโดยส่วนรวมแล้วก็ควรจะนำมายึดถือปฎิบัติ การเชื่อจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรนำมาถกเถียงกัน แต่ที่สำคัญอยู่ที่การศึกษาหาข้อเท็จจริง ความเป็นจริงต่างๆให้เกิดประโยชน์ ไม่ใช่ให้เกิดโทษ การจะเอาเรื่องความเชื่อมายึดถือโดยตลอดนั้นก็จะขัดกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าและหลักความเป็นไปได้ของความเป็นจริง “ใบประดู่ลายในพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้าเพียงไม่กี่ใบ” เป็นสิ่งที่พระองค์ได้นำเรื่องที่เป็นความจริง พิสูจน์ได้และเป็นประโยชน์มาตรัสสอน แต่ใบไม้ที่เหลืออยู่บนต้น และอยู่ในป่าอีกมากมายนั้นเป็นสิ่งที่พระองค์ทรงทราบแต่ไม่ทรงตรัสสอน.

    คนเราทุกคนเกิดมาเพราะมีเวรจากการกระทำของตน มีใครจะทราบภูมิหลังของตนได้ว่า ชาติก่อนเกิดมาจากไหน ตายแล้วจะไปไหน บ้างก็บอกว่า ถ้าทำกรรมดีก็ได้ไปสวรรค์ ถ้าทำกรรมชั่วก็ได้ลงไปชดใช้กรรมอยู่ในนรก ซึ่งเป็นเรื่องที่เล่าสืบกันมา ได้ยินได้ฟังกันมาในลักษณะของนามธรรม แต่พระศรีอาริยเมตไตรยจะสามารถแสดงนรก-สวรรค์ให้ผู้คนได้เห็นจริงได้ด้วยรูปธรรม มิใช่เพียงนามธรรมตามที่ได้สั่งสอนกันมาหรือได้ยินได้ฟังกันมา เมื่อผู้คนได้ทราบผลแห่งการทำความดีและความชั่วแล้ว ผู้คนก็จะประพฤติปฎิบัติดี มีศีลธรรม ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ไม่เบียดเบียนกัน สังคมก็จะมีความสงบสุขที่แท้จริงอย่างยั่งยืนและตลอดไป

    ท่านผู้อ่านทั้งหลายคงพอจะทราบแล้วว่า จากการศึกษาและค้นคว้าจากผู้เชี่ยวชาญศาสนาในมหาวิทยาลัยต่างๆของโลกและศูนย์ศาสนาที่สำคัญๆต่าง ได้มีความเห็นเดียวกันว่า”ผู้นำสันติสุข”ที่มีชื่อเรียกตามแต่ละภาษาหรือแต่ละศาสนาเช่น ศาสนายิวเรียกว่า Messiah,ศาสนาคริสต์เรียกว่า Comforter,ศาสนาอิสลามเรียกว่า Maldi,ศาสนาฮินดูเรียกว่า Kalki และศาสนาพุทธเรียกว่า Maitreya น่าจะเป็นบุคคลคนเดียวกัน นอกจากนี้ใน Isaiah 9.6 และ 3.3 ของศาสนายิวกว่า 2,700 ปีมาแล้ว

    ได้ระบุเวลาเกิดของ Messiah ว่า จะเกิดในระหว่างสงครามซึ่งจะมีชัยชนะได้ด้วยไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญ (น่าจะหมายถึงระเบิดปรมาณูที่ใช้เฉพาะแค่ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ) และยังได้ระบุอีกว่า บุคคลนี้จะมาปรากฏตัวเมื่ออยู่ในวัยที่เรียกว่า “Golden Age”(วัยทอง,วัยกลางคน) นอกจากนี้ในศาสนาและลัทธิที่สำคัญๆ และจากตำนานที่เป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ได้บ่งบอกถึงบุคคลผู้นี้ไว้ดังนี้

    1.มีชื่ออยู่ในศาสนานั้นๆมีนามสกุลและคุณสมบัติส่วนบุคคลบ่งไว้พอเพียงที่จะพิจารณาและเข้าใจได้ เช่น ลักษณะของรูปร่าง,อายุ,จมูก,ปาก,เสียง
    2.บ่งบอกสถานที่และเวลากำเนิดของบุคคลนี้ว่าเกิดเมื่อใด
    3.ที่อยู่ปัจจุบันเป็นเมืองเล็กที่อยู่ในเมืองใหญ่
    4.เป็นผู้ที่มีความรู้ทั้งทางโลกและทางสวรรค์และจะพิสูจน์ให้คนทั่วไปเห็นได้ด้วยหลักฐานรูปธรรม
    5.เป็นผู้รู้จักมารและจะมาปราบมารด้วยพระธรรม
    6.เป็นผู้รู้โดยชอบจากการเข้าสมาธิ ความรู้ที่มีจะเกิดจากตนเอง
    7.เป็นผู้รู้ศาสนาทั้งหลายอย่างแท้จริง

    อ่านมาถึงขณะนี้ท่านผู้อ่านคงสงสัยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องราวที่ไร้สาระ หาความจริงไม่ได้กันแน่แต่เรื่องราวต่างๆเหล่านี้มีหลักฐานปรากฏอยู่ในตำนานและคัมภีร์ของแต่ละศาสนา ซึ่งผู้เชี่ยวชาญทางศาสนาได้ค้นคว้ามาแล้วมีหลักฐานของความเป็นจริงที่พิสูจน์ได้ไม่ใช่เรื่องที่กล่าวขึ้นลอยๆโดยไม่มีที่มา พระพุทธเจ้าโคตมะ ได้ตรัสสอนเกี่ยวกับเรื่องบัว 4 เหล่าไว้เปรียบเทียบกับความเข้าใจของคนไว้อย่างเป็นเหตุเป็นผลถึงชนิดของบัวต่างๆ อันประกอบด้วย บัวบานแล้ว,บัวปริ่มน้ำ,บัวใต้น้ำ และบัวใต้โคลนตม

    นอกจากนี้พระองค์ยังได้ตรัสสอน ปรโตโฆสะและโยนิโสมนสิการ คือ การสนทนา ซักถามจากผู้ที่เป็นเพื่อนแท้ และรู้จักคิดพิจารณาด้วยความจริงที่เป็นธรรมและมีประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น ก็จะเกิดปัญญาธรรมที่ถูกต้อง ท่านผู้อ่านลองพิจารณาหาเหตุผล ข้อเท็จจริง ความเป็นจริงว่าเรื่องที่ได้บอกกล่าวมานี้ เป็นอย่างไร อย่าได้ปักใจเชื่อโดยมิได้พิจารณา หรือคิดว่าไม่น่าเชื่อถือโดยคิดว่าไม่มีเหตุผล ไร้สาระ ในขณะที่ผู้คนในต่างประเทศหลายๆประเทศ กำลังตื่นตัวในเรื่องราวเหล่านี้แต่เรายังหลับใหลอยู่หรือ มีบุคคลผู้หนึ่งได้กล่าวไว้ว่า การจะพิจารณาว่าคุณธรรมของตนเองมีแค่ไหน ความมีกุศลผลบุญมีเพียงใด วัดได้จากความเข้าใจในเรื่องนี้...........

    โดย : falcon
    วันที่ : 2006-04-03 22:09:00

    ที่มา http://webboard.mthai.com/7/2006-04-03/218551.html
     
  11. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    ตำนานละแวก

    ต้นฉบับตำนานละแวกนี้เป็นของวัดศรีพิงค์เมือง (วัดศรีปิงเมือง) ต.หายยา อ.เมือง จ.เชียงใหม่ จำนวน ๑ ผูกความยาว ๖๒ หน้า คัดลอกโดยมหาวันภิกขุ เมื่อพ.ศ. ๒๔๒๓ ตรงกับ จ.ศ.๑๒๔๒ ปีกดสะง้าเดือน ๑๒ แรม ๙ ค่ำ วัน ๓ สรุปใจความได้ดังนี้

    ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั้น ทรงทำนายเหตุการณ์ในอนาคตไว้ที่เมืองละแวก เมื่อเสด็จมาถึงเมืองแห่งนี้พญานาคได้มาอุปัฏฐาก จึงทำนายว่า สถานที่ดังกล่าวนี้จะเป็นที่ตั้งของพระพุทธศาสนา พระอานนท์จึงขอเอาพระเกศาธาตุบรรจุไว้ที่นี่ พระพุทธองค์ทรงมอบพระเกศาธาตุให้จำนวน ๕ เส้น จากนั้นพระอินทร์ พระพรหม ครุฑ นาค และพญาเจ้าเมืองละแวก จึงก่อเจดีย์ขึ้นเป็นจำนวน ๕ องค์ สำหรับเป็นเครื่องหมายของศาสนา ๕,๐๐๐ ปี

    ครั้นเมื่อพระพุทธองค์นิพพานไปแล้ว ๒๒ ปี พญาอโสกธัมมิกราชได้มาบูรณปฏิสังขรณ์เจดีย์ดังกล่าวให้เจริญรุ่งเรือง โดยก่อกำแพงแก้วรอบบริเวณพร้อมทั้งติดแผ่นทองจังโกทุกองค์เจดีย์ ส่วนเมืองละแวกแห่งนั้นมีบริเวณกว้าง ๓ พันวา ยาว ๒ พันวา กำแพงเมืองก่อด้วยหินหนา ๖ พันวา สูง ๔ พันวาคูเมืองลึก ๗ วา สำหรับบริเวณที่สร้างเจดีย์ ๕ องค์กว้าง ๓๐๐ วาฐานเจดีย์องค์หนึ่งกว้าง ๑๔ วา สูง ๒๐ วา แต่ละเจดีย์มีซุ้มพระพุทธรูปทั้ง ๔ ด้านเหมือนกันหมดทุกองค์

    เจดีย์ทั้ง ๕ องค์ดังกล่าวนี้พระพุทธองค์ให้สร้างไว้ เพื่อเป็นเครื่องหมายทางศาสนา หากเจดีย์จมพื้นดินลงไป ๑ องค์เท่ากับศาสนาพ้นไปแล้ว ๑ พันปี จนกว่าจะครบ ๕ พันปีเจดีย์ทั้งหมดจึงจะหายไปในที่สุด เจดีย์ดังกล่าวนี้มีผู้อุปัฏฐากดูแลคือ ภิกษุ ๕๐๐ องค์ สามเณร ๕๐๐ รูป คฤหัสถ์ ๕๐๐ คน ในช่วงระยะเวลาระหว่างพุทธศาสนา ๕,๐๐๐ ปีนั้น จะมีพญาธัมมิกราชเกิดมาจำนวน ๕ องค์โดยมีช่วงเวลาครั้งละ ๑ พันปื

    สำหรับพญาธัมมิกราชองค์ที่ ๓ ที่จะเกิดมาในระหว่างพุทธศาสนาได้ ๓,๐๐๐ ปีนั้น(ตั้งแต่ พ.ศ.2001-3000 ) จะเกิดมาในขณะที่บ้านเมืองเดือดร้อนวุ่นวาย ผู้คนไม่มีศีลธรรม เกิดมีการรบพุ่งฆ่าฟันกันไปทั่ว

    ก่อนที่จะมีพญาธัมมิกราชเกิดขึ้นนั้น ท้องฟ้าจะมืดมิดเป็นเวลา ๗ วัน ครั้นถึงวันที่ ๘ ท้องฟ้าจึงจะสว่างสดใส เทวบุตรจะนำเอาเครื่องสูง ๕ ประการมา ทำพิธีราชาภิเษก(มุรธาภิเษก) โดยมีเทวดานางฟ้าและพระฤาษีมาร่วมพิธีด้วย รวมทั้งข้าทาสบาทบริจาริกาจำนวนหนึ่งหมื่นหกพันนางจากอุตรกุรุทวีป

    เมื่อเสร็จพิธีราชภิเษกแล้ว ปราสาท ๓ หลังจะผุดขึ้นมาจากพื้นดิน แต่ละหลังทำด้วยทองคำ แก้วและเงิน พญาธัมมิกราชองค์นั้นได้เสวยราชสมบัติในเมืองฝาง ในราชสำนักจะมีบุรุษผู้ประเสริฐจำนวน ๖ คน พญาธัมมิกราชจะขุดเอาข้าวของเงินทองจากพื้นดิน มาบูรณะบ้านเมืองและแจกจ่ายเป็นทานแก่คนทั่วไป หลังจากนั้นจึงได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้มีความเจริญรุ่งเรืองสืบต่อไป


    ขอเชิญอ่านหนังสือ 2 เล่มนี้ เพื่อเรียนรู้เรื่องของพระศรีอาริยเมตไตรย ที่จะมาเป็นพญาธรรมิกราช(พระเจ้าจักรพรรดิ์) โดยละเอียดทุกแง่ทุกมุมครับ​

    [​IMG]


    [​IMG]

    <!-- / message --><!-- edit note -->
     
  12. เฮียปอ ตำมะลัง

    เฮียปอ ตำมะลัง ทุกสิ่งจบสิ้นลงด้วยความตาย วุ่นวายทำไม ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    24,969
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2
    ค่าพลัง:
    +91,130
    อ นุ โ ม ท น า ส า ธุ ...รออ่านเหมือนกัน (good)
     
  13. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ศาสนศาสตร์ ****

    หมดยุคพระโคดม ก็เข้ายุคพระศรีอารย์
    เรากำลังเข้ายุคพระศรีอารย์ โลกกำลังปรับตัวด้วยน้ำที่เข้ามาเพิ่มมากขึ้น
    แล้วมนุษย์ทั้งโลกจะมาถือสัจจะ ปฏิบัติเหมือนกันทั้งโลก กราบแบบเดียวกัน
    จึงเป็นคำเตือนขึ้นมา ผู้ไม่เอาสัจจะ โลกเขาก็จะไม่ปล่อยไว้

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2009
  14. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    พระศรีอารย์ในจิตทัศน์ของนอสตราดามุส

    [​IMG]

    " เสียงนุ่มนวลแห่งมิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ ได้ยินจากแผ่นดินทิพย์ แสงเพลิงมนุษย์ ฉายรองรับเสียงประเสริฐนั้น จะเป็นเหตุให้โลกต้องเปื้อนเลือด สมณเพศทั้งหลายที่ไม่ยึดถือศีล (พรหมจรรย์) และนำไปสู่การทำลายโบสถ์วิหารที่ไร้ความบริสุทธิ์ "
    (ซ.1 ค.96 )

    นับว่าเป็นเรื่องที่น่าแปลกน่าอัศจรรย์อย่างมากเลยทีเดียว ที่นอสตราดามุสได้เขียนโคลงทำนายบทนี้ขึ้นเมื่อ 450 ปีก่อน ภายใต้สังฆจักรโรมันคาทอลิก สมมุติว่าท่านได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งมีประวัติยาวนานถึง 2,000 ปีกว่ามาแล้วในสมัยนั้น ท่านคงจะไม่กล่าวถึงพระศรีอาริยเมตไตรยอย่างแน่นอน ถ้าในจิตทัศน์ของท่านไม่ได้เห็น สัจธรรมบางอย่างที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และมีส่วนสัมพันธ์กับศรัทธาใหม่ของโลกโดยตรง คำว่า " มิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ " นี้จะเป็นอื่นไปไม่ได้นอกจากพระนามของพระศรีอาริยเมตไตรย เพราะคำว่า " เมตไตรย " นี้ แปลว่า " เพื่อน " ในความหมายของภาษาบาลี สันสกฤต บุคคลผู้นี้เป็น Sacred Friend จะเป็นใครก็ตาม แต่การใช้คำว่า " มิตรไมตรีอันศักดิ์สิทธิ์ " หรือ " เพื่อนผู้ศักดิ์สิทธิ์ " แสดงให้เห็นว่าผู้ที่จะมาโปรดสัตว์ในโลกยุคนี้ จะไม่ใช่เป็นบุคคล

    ธรรมดาอย่างแน่นอน อีกทั้งมาจากแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ หรือ Holy Ground อีกด้วย ก็ยิ่งชี้ชัดว่าน่าจะเป็นองค์พระศรีอาริยเมตไตรย ซึ่งนายจอห์น ฮอค ฟันธงว่าจะเสด็จมาในโลกนี้ประมาณ ระหว่างคริสต์ศักราช 2000 ( พ.ศ.2543 ) หรือกว่านั้นเล็กน้อย ซึ่งใกล้เคียงกับวันเวลาที่พระเยซู หรือพระมาซิ อาร์ พระมะห์ดีร์ ตามความเชื่อของมุสลิม จะเสด็จมาในวันพิพากษาโลกนี้ ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อกันอย่างเงียบๆ ว่าอาจจะเป็นพระศาสดาโพธิสัตว์องค์เดียวกันก็ได้

    การเสด็จมาของพระศรีอาริยเมตไตรย ก็คงต้องมาชำระสะสางความเสื่อมของศาสนาอยู่แล้ว ในภาวะที่มีการวิวัฒนาการ บรรดาพระสงฆ์สมณเพศผู้ยึดถือพรหมจรรย์ ก็คงไม่แตกต่างอะไรกับนักบุญทั้งหลายผู้เสียสละในอดีต วันเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนั้นคงต้องผ่านขั้นตอนตามปรกติวิสัย ซึ่งบางครั้งอาจต้องมีความเจ็บปวดอันเกิดจากการต่อต้าน หรือขัดแย้งทางอุดมการณ์และความคิดเกิดขึ้น ซึ่งในหลายๆ กรณีที่เกิดขึ้นในอดีต การเสียสละของนักบุญอาจถึงกับต้องเลือดตกยางออก

    " อังคารกับคฑาของจูปิเตอร์ (พฤหัส) เล็งลัคน์
    เกิดสงครามมหาวิบัติภายใต้ราศีกรกฎ
    หลังจากนั้นไม่นาน กษัตริย์ใหม่จะถูกสถาปนา
    เป็นผู้นำสันติสุขมาสู่โลกมนุษย์เป็นเวลายาวนาน "
    ( ซ.6 ค.24 )

    วรรคที่น่าสนใจในโคลงบทนี้ ได้แก่วรรคที่มีคำว่ากษัตริย์ ที่จะนำสันติสุขมาสู่โลกมนุษย์ หลายฝ่ายตีความกันว่า นอสตราดามุสกำลังพูดถึงวันที่โลกชำระบาปแล้ว หลังจากกลียุคอันเกิดจากสงคราม ภัยพิบัติอันเกิดจากธรรมชาติ หรือโรคระบาด โลกจะปรากฎผู้นำใหม่ที่มาในมิติที่อยู่เหนือธรรมชาติ อาจจะเป็นพระศรีอาริยเมตไตรย พระมาซิอา พระมะห์ดี หรือพระยาธรรมิกราช ที่เสด็จมาโปรดสัตว์ตามพุทธทำนาย ตามคำทำนายในพระคัมภีร์ไบเบิ้ล หรือตามพระวัจนะในพระคัมภีร์กุรอ่านก็ได้

    ตามการคำนวนทางโหราศาสตร์ โดยอาศัยหลักของดาราศาสตร์ ดาวอังคารจะเล็งลัคน์กับดาวพฤหัสหลังปี ค.ศ.1999 เป็นครั้งแรกในวันที่ 21 มิถุนายน ค.ศ.2002 (พ.ศ.2545) เพราะฉะนั้นเหตุการปาฎิหาริย์ที่จะทำให้ชาวโลกตะลึง น่าจะเกิดขึ้นในกำหนดเวลาดังนี้

    ระหว่างเดือนกันยายน - ตุลาคม ค.ศ.2004 ( พ.ศ.2547 )
    ระหว่างเดือนธันวาคม ค.ศ.2006 ( พ.ศ.2549 )
    ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.2009 (พ.ศ.2552 )
    ระหว่างเดือนเมษายน- พฤษภาคม ค.ศ.2011 ( พ.ศ.2554 )

    วันเวลาดังกล่าวที่บันทึกไว้ข้างต้นนี้ น่าจะเป็นการคำนวนเวลาของวาระแห่งการสิ้นยุค ของสังคมมนุษย์โลกจากหลักฐานต่างๆ เท่าที่จะเสาะหามาได้

    " บรรยากาศ ท้องฟ้า แผ่นดินโลกจะมืดลง และถูกบดบังจนมืดครึ้ม แม้แต่คนไม่เชื่อศาสนา ยังพร่ำเรียกหาพระผู้เป็นเจ้ากับนักบุญ.... "
    ( ซ.9 ค.83 )

    คำทำนายของนอสตราดามุสข้างต้นนี้ คล้องจองกับพุทธทำนายที่บอกว่า ท้องฟ้าจะมืดเจ็ดวันเจ็ดคืน ครุฑจะบินกลับถิ่นสถาพร คนจรจะกลับกรุง ฟูกจะมีหนาม ผีป่าจะเข้าบ้าน ผีบ้านจะเข้าไพร....และในพระคัมภีร์ไบเบิลกับพระคัมภีร์อัลกุรอ่าน ทำนายว่าพระอาทิตย์จะมืดลง ดวงจันทร์จะหยุดส่องแสง ดวงดาวบนท้องฟ้าจะร่วงหล่น...ช่างเป็นภาพที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่งเลยทีเดียว.....

    ( คัดลอกมาจาก หนังสือนอสตราดามุส ฉบับเพิ่มเติมเกี่ยวกับศรัทธาใหม่ เขียนโดยศาสตราจารย์เจริญ วรรธนะสิน )
     
  15. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** สงสารศาสนา ****

    ศาสนาพระโคดม เหมือนไฟแดงฉานร้อนรน
    เพราะ สัจจะคำสอนท่านถูกบดบัง
    สมณะแตกแยกเป็นหมู่เหล่าเป็นนิกาย
    นำความเชื่อนอกศาสนาเข้ามาปะมาปน
    นำพิธีกรรมลัทธิอาจารย์ เข้ามาหากินกับศาสนา
    นำศาสนาพระโคดมมาอ้างหากินด้วยวัตถุ
    ผู้ใดกระทำ ผู้ใดเกี่ยวข้อง ขอให้เลิก ขอขมาสิ่งศักดิ์สิทธิ์
    เมื่อหมดเวลา โลกเขาจะจัดสรรเหลือรอดพ้นภัย
    เฉพาะผู้ที่เชื่อ ผู้ที่ทำได้ ให้มาทำสัจจะของตนเองต่อให้สำเร็จ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  16. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** แก่นสารสากลโลก ****

    อะไรเป็นแก่นสารในการประพฤติปฏิบัติของทุกศาสนา ?
    ถ้า ไม่ใช่สัจจะ...แล้วจะมีอะไรอีก !!!!

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  17. deneta

    deneta เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    2,711
    ค่าพลัง:
    +5,720
  18. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ตัวตนที่ล่องหนตลอดเวลา ****

    สิ่งที่เกิดขึ้นจาก กายกระทำ วาจากระทำ ใจกระทำ นั้น...
    พระพุทธเจ้าเรียกว่า "ตัวกระทำ"
    พระพุทธเจ้าตรัสรู้ว่า....ตัวกระทำมีจริง ตัวกระทำเป็นสิ่งที่ไม่ตาย ตัวกระทำมีผลตอบแทน
    จะย้อนกลับมาถึงผู้ที่กระทำ แต่จะแผลงมาในรูปแบบใดคาดเดาไม่ได้
    ไม่ว่าจะเจตนา หรือ ไม่เจตนาทำ
    ไม่ว่าจะตั้งใจ หรือ ไม่ตั้งใจทำ
    ก็เกิดเป็นตัวกระทำขึ้นมาทั้งสิ้น
    ตัวกระทำจะตามติดตัวเราไปตลอดกาล เหมือนเงาตามตัว
    เหมือนบันทึกของตัวเอง ตั้งแต่เริ่มต้น

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  19. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** สัจจะธรรม ****

    ตัวกระทำ...คือ สิ่งที่จัดสรรการเกิด
    นิสัยสันดาน....เป็นสิ่งที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
    นิสัยสันดาน...สร้างการกระทำทั้งกายวาจาใจ
    การกระทำ....สร้างตัวกระทำขึ้นมา
    ตัวกระทำ...สะสมติดตัว เป็นของใครของมัน
    ตัวกระทำ....ส่งผลย้อนกลับมา
    เกิดเป็นเหตุการณ์....ส่งผลต่อกายและจิตใจ
    เมื่อตายไป...ตัวกระทำที่ทำเอาไว้ จะจัดสรรการเกิดใหม่อีกที
    การจะหลุดพ้นทุกข์...ไม่ใช่ประเด็นมุ่งเอาดี ถือศีลทำบุญทำทานอย่างเดียว
    แต่เป็นเรื่อง....การตัดลดนิสัยสันดานที่ยังคงเหลืออยู่
    เมื่อไหร่ที่เห็นอะไร พบอะไรก็ไม่เป็นอารมณ์ขึ้นมา...ก็บรรลุอรหันต์
    จะหลุดพ้นทุกข์พ้นไปจากโลกได้....คือไม่เอาทั้งดี ไม่เอาทั้งชั่ว
    ถ้ามุ่งเอาดี...ก็ต้องเกิดใหม่ เพื่อกลับมาเอาดี
    ถ้ามุ่งเอาชั่ว....ก็ต้องเกิดใหม่ เพื่อมุ่งเอาชั่ว
    พระพุทธเจ้า...ไม่เอาทั้งดี ไม่เอาทั้งชั่ว
    เมื่อละสังขาร....ตัวกระทำที่ทำได้ จึงจัดสรรให้หลุดพ้นไปจากโลก
    ไม่ต้องกลับมาเกิดใหม่บนโลกเข้าสู่นิพพาน คือ ไปถึงที่สุดได้

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กันยายน 2009
  20. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,681
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** หลุดพ้นทุกข์ ****

    คือ หลุดพ้นไปจากโลก ไม่ต้องกลับมาเกิดใหม่
    ลอยออกไปในอวกาศ เข้าไปในดวงอาทิตย์
    เมื่อเข้าไปได้แล้ว ก็จะเห็นการกระทำทั้งหมดของตนเอง ตั้งแต่ต้นจนจบ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     

แชร์หน้านี้

Loading...