ใกล้ตายต้องทำอย่างไร

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย somchai_eee, 9 กรกฎาคม 2012.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ใกล้ตายก็เตรียมตัวตายสิครับ ไม่เห็นต้องไปปรุงแต่งอะไรมาก
     
  2. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    การวางจิตสำหรับผู้ป่วยระยะสุดท้าย
    ในครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปในที่รักษาภิกษุเจ็บไข้ ได้ประทานโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลายในที่นั้นว่า
    “ ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุ พึงเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะ เมื่อรอคอยการทำกาละ : นี้เป็นอนุสาสนีของเรา สำหรับพวกเธอทั้งหลาย.
    ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุ เป็นผู้มีสติเป็นอย่างไรเล่า ?
    ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้ตามเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส
    มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้ ; เป็นผู้ตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ....; เป็นผู้ตามเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ ....; เป็นผู้ตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกออกเสียได้.
    อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย ! เรียกว่า ภิกษุเป็นผู้มีสติ.
    ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุ เป็นผู้มีสัมปชัญญะ เป็นอย่างไรเล่า ? ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้รู้ตัวรอบคอบในการก้าวไปข้างหน้า การถอยกลับไป
    ข้างหลัง, การแลดู การเหลียวดู, การคู้ การเหยียด, การทรงสังฆาฏิ บาตร จีวร, การฉัน การดื่ม
    การเคี้ยว การลิ้ม. การถ่ายอุจจาระปัสสาวะ, การไป การหยุด, การนั่ง การนอน, การหลับ
    การตื่น, การพูด การนิ่ง, อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย ! เรียกว่า ภิกษุเป็นผู้มีสัมปชัญญะ.
    ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุ พึงเป็นผู้มีสติ มีสัมปชัญญะ เมื่อรอคอยการทำกาละ : นี้แล เป็นอนุสาสนีของเราสำหรับพวกเธอทั้งหลาย.”
    (สฬา. สํ. ๑๘ / ๒๖๐ /๓๗๔-๓๘๑.
    อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น น. ๗๘๗)
     
  3. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    พี่ครับ น่าจะเตรียมใจมากกว่านะครับ ไม่เห็นต้องไปปรุงแต่งอะไรมาก

    ส่วน ใกล้ตายก็เตรียมตัวตายนั้น หมายถึงจัดท่า เสื้อผ้า หน้า ผม รึเปล่าครับ ^^
     
  4. ดาหลัง

    ดาหลัง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    29
    ค่าพลัง:
    +47
    จากประสบการณ์ตรงคุณแม่ท่านปฏิเสธการรักษาทางด้านการแพทย์ทุกอย่าง
    ขอกลับบ้านนอนระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงค์ ขณะนอนจะกระซิบข้างหู
    คุณแม่ตลอดเวลาให้ท่านท่อง"พุทธโธ"ตลอดเวลาจนกระทั่งวันที่ท่านจากไป
    คุณแม่จากไปอย่างสงบไม่มีอาการกระวนกระวายใดๆ ทั้งสิ้น ปกติก่อนคนไข้จะสิ้นลมหายใจ
    จะกระวนกระวายเนื่องจากขาดออกซิเจน.ยังระลึกถึงคุณแม่เสมอคะ
     
  5. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    อีกสิ่งหนึ่งที่บอกได้คือ เมื่อรู้สึกว่า แย่เหมือนใกล้ตาย (อาจไม่ใกล้แต่คิดว่าใกล้เพราะเราไม่อาจรู้ว่าเราใกล้ ทั้งที่ แท้จริงแล้วมันใกล้ที่สุด คือทุกคนใกล้ตาย ) หากกลัวตายไม่ยอมรับความตาย จิตท่านจะฟุ้งซ่านมาก ไม่สามารถเดิน อานาปานสติ ได้ หากเดิน อานาปานสติไม่ได้ อย่าหวังจะเข้า สติปัฏฐาน4 ได้

    จึงจำเป็นอย่างมากที่ต้องยอมรับความตายให้ได้ครับ (อันนี้เกิดส่วนตัว ยังไม่มีพุทธวจน รองรับครับ)

    [​IMG]
     
  6. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    ฝึกเห็น /ยอมรับ ตัวเองตาย ไปพร้อมกับ เห็นคนที่เรารัก ทุกคนตายด้วย ความเป็นเช่นนั้นเอง ด้วยนะ
    แต่อย่าประมาท สร้างเหตุหรือปัจจัย ให้ถึง ความเป็นเช่นนั้นเอง นะครับ
    เดียวจะกลายเป็น 1 ความจริง สร้าง1 ความโง่ ไปเสีย

    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  7. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เหมือน หรือต่างกัน สำหรับวิธีปฎิบัติเมื่อยามมีร่างกายแข็งแรง ในช่วงชีวิตปัจจุบันไหมครับ
     
  8. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    อย่างพี่หลงนี่ พึ่งพิจารณาธรรมด้วยความไม่ประมาทเสมอ ความตายย่อมเป็นเรื่องธรรมดา ^-^
     
  9. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    ตอนแข็งแรงยิ่งต้องทำมากๆครับ จะหวังทำตอนคิดว่าใกล้ตายอาจไม่ทั่นนะครับ
    สติปัฏฐาน4 ก็เป็นธรรมเอกที่ต้อง เจริญอยู่แล้วครับ ทำไปพร้อมกับ อื่นเช่น มรณสติ ก็ดีนะครับ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เมื่อกลางคืนสิ้นไป กลางวันเวียนมาถึง
    ย่อมพิจารณาดังนี้ว่า ปัจจัยแห่งความตายของเรามีมากหนอ คือ งูพึงกัดเราก็ได้ แมลงป่อง
    พึงต่อยเราก็ได้ ตะขาบพึงกัดเราก็ได้ เพราะเหตุนั้นเราพึงทำกาลกิริยา อันตรายนั้นพึงมีแก่เรา
    เราพึงพลาดล้มลงก็ได้ อาหารที่เราบริโภคแล้วไม่ย่อยเสียก็ได้ ดีของเราพึงซ่านก็ได้ เสมหะของ
    เราพึงกำเริบก็ได้ลมมีพิษดังศาตราของเราพึงกำเริบก็ได้ มนุษย์ทั้งหลายพึงเบียดเบียนเราก็ได้
    พวกอมนุษย์พึงเบียดเบียนเราก็ได้ เพราะเหตุนั้นเราพึงทำกาลกิริยา อันตรายนั้นพึงมีแก่เรา ดูกร
    ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นพึงพิจารณาดังนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาปอกุศลอันเรายังละไม่ได้ที่จะพึงเป็น
    อันตรายแก่เราผู้ทำกาละในกลางวัน มีอยู่หรือหนอแล ถ้าภิกษุพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า ธรรมอัน
    เป็นบาปอกุศลอันเรายังละไม่ได้ที่จะพึงทำอันตรายแก่เราผู้ทำกาละในกลางวัน มีอยู่ ภิกษุนั้น
    พึงกระทำความพอใจความพยายาม ความอุตสาหะ ความเพียร ความไม่ท้อถอย สติและ
    สัมปชัญญะให้ยิ่ง เพื่อละธรรมอันเป็นบาปอกุศลเหล่านั้นเสีย เปรียบเหมือนบุคคลมีผ้าถูกไฟไหม้
    หรือศีรษะถูกไฟไหม้ พึงกระทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความเพียร
    ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะให้ยิ่ง เพื่อดับไฟไหม้ผ้าหรือศีรษะนั้น ฉะนั้น ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ถ้าแหละภิกษุพิจารณาอยู่รู้อย่างนี้ว่า ธรรมอันเป็นบาปอกุศลอันเรายังละไม่ได้ที่จะพึง
    เป็นอันตรายแก่เรา ผู้ทำกาละในกลางวันไม่มี ภิกษุนั้นพึงเป็นผู้มีปีติและปราโมทย์ หมั่นศึกษา
    ทั้งกลางวันกลางคืนในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย มรณสติอันภิกษุเจริญแล้ว
    อย่างนี้ กระทำให้มากแล้วอย่างนี้ จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด ฯ

    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  10. อุรุเวลา

    อุรุเวลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    3,464
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +8,002
    มรณัสสติสูตร

    พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๒๒ หน้าที่ ๒๗๙/๔๐๗
    ๙. มรณัสสติสูตรที่ ๑
    [๒๙๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ปราสาทสร้างด้วยอิฐใกล้บ้านนาทิกคาม
    ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้น
    ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย มรณัสสติอันภิกษุเจริญแล้ว
    ทำให้มากแล้ว ย่อมมีผลมากมีอานิสงส์มาก หยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นที่สุด ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    เธอทั้งหลายย่อมเจริญมรณัสสติหรือ เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสถามอย่างนี้ ภิกษุรูปหนึ่ง
    ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดคืน
    หนึ่งวันหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ข้าแต่
    พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล ฯ
    ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดวันหนึ่ง
    เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ข้าแต่พระองค์
    ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล ฯ
    ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ชั่วขณะที่ฉัน
    บิณฑบาตมื้อหนึ่ง เราพึงมนสิกาคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล ฯ
    ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ชั่วขณะที่
    เคี้ยวคำข้าวสี่คำกลืนกิน เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล ฯ
    ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ชั่วขณะที่
    เคี้ยวข้าวคำหนึ่งกลืนกิน เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเราพึงกระทำกิจให้มาก
    หนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติอย่างนี้แล ฯ
    ภิกษุอีกรูปหนึ่งได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ แม้ข้าพระองค์ก็เจริญมรณัสสติ ฯ
    พ. ดูกรภิกษุ ก็เธอย่อมเจริญมรณัสสติอย่างไร ฯ
    ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์คิดอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะ
    ที่หายใจเข้าแล้วหายใจออก หรือหายใจออกแล้วหายใจเข้า เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้
    มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เจริญมรณัสสติ
    อย่างนี้แล ฯ
    เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดคืนหนึ่งวันหนึ่ง เราพึง
    มนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติ
    อย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ตลอดวันหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค
    เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ก็ภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่าโอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่ว
    ขณะที่ฉันบิณฑบาตมื้อหนึ่ง เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเราพึงกระทำกิจให้มาก
    หนอและภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า โอหนอเราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่เคี้ยวคำข้าวสี่คำ
    กลืนกิน เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ ดูกรภิกษุ
    ทั้งหลาย ภิกษุเหล่านี้เรากล่าวว่า เป็นผู้ประมาท เจริญมรณัสสติเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะ
    ทั้งหลายช้า ส่วนภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่เคี้ยว
    ข้าวคำหนึ่งกลืนกิน เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำกิจให้มากหนอ
    และภิกษุใดย่อมเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า โอหนอ เราพึงเป็นอยู่ได้ชั่วขณะที่หายใจเข้าแล้วหายใจ
    ออก หรือหายใจออกแล้วหายใจเข้า เราพึงมนสิการคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาค เราพึงกระทำ
    กิจให้มากหนอ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหล่านี้ เรากล่าวว่าเป็นผู้ไม่ประมาท ย่อมเจริญมรณัสสติ
    เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลายแรงกล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลาย
    พึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราทั้งหลาย จักเป็นผู้ไม่ประมาท จักเจริญมรณัสสติเพื่อความสิ้นไปแห่ง
    อาสวะทั้งหลายอย่างแรงกล้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ
     
  11. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    พระเถระเมื่อจะแสดงธรรม โดยมุ่งการตอบคำถามของนายโจรนั้น จึงได้กล่าวคาถา
    เหล่านี้ความว่า
    ดูกรนายโจร ทุกข์ทางใจย่อมไม่มีแก่ผู้ไม่ห่วงใยในชีวิต ความกลัวทั้ง
    ปวงอันเราผู้สิ้นสังโยชน์ล่วงพ้นได้แล้ว เมื่อตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพสิ้น
    ไปแล้ว ความกลัวตายในปัจจุบันมิได้มีด้วยประการใดประการหนึ่งเลย
    ดุจบุรุษไม่กลัวความหนัก เพราะวางภาระแล้วฉะนั้น พรหมจรรย์เรา
    ประพฤติดีแล้ว แม้มรรคเราก็อบรมดีแล้ว เราไม่มีความกลัวตายเหมือน
    บุคคลไม่กลัวโรคเพราะโรคสิ้นไปแล้วฉะนั้น พรหมจรรย์เราประพฤติดี
    แล้ว แม้มรรคเราก็อบรมดีแล้ว ภพทั้งหลายอันไม่น่ายินดีเราได้เห็นแล้ว
    เหมือนบุคคลดื่มยาพิษแล้วคายทิ้งฉะนั้น บุคคลผู้ถึงฝั่งแห่งภพ ไม่มี
    ความถือมั่น เสร็จกิจแล้ว หมดอาสวะ ย่อมยินดีต่อความสิ้นอายุเหมือน
    บุคคลพ้นแล้วจากการถูกประหารฉะนั้น บุคคลผู้บรรลุธรรมอันสูงสุด
    แล้ว ไม่มีความต้องการอะไรในโลกทั้งหมด ย่อมไม่เศร้าโศกในเวลา
    ตาย ดุจบุคคลออกจากเรือนที่ถูกไฟไหม้ฉะนั้น สิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งมีอยู่

    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  12. somchai_eee

    somchai_eee เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +413
    ๗. เรื่องธิดานายช่างหูก [๑๔๓]
    ข้อความเบื้องต้น
    พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในเจดีย์ชื่อว่าอัคคาฬวะ ทรงปรารภ
    ธิดาของนายช่างหูกคนหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ว่า " อนฺธภูโต อยํ
    โลโก " เป็นต้น.
    คนเจริญมรณสติไม่กลัวตาย
    ความพิสดารว่า วันหนึ่ง พวกชาวเมืองอาฬวี เมื่อพระศาสดา
    เสด็จถึงเมืองอาฬวีแล้ว ได้ทูลนิมนต์ถวายทานแล้ว. พระศาสดาเมื่อจะ
    ทรงทำอนุโมทนาในเวลาเสร็จภัตกิจ จึงตรัสว่า " ท่านทั้งหลายจงเจริญ
    มรณสติอย่างนี้ว่า ' ชีวิตของเราไม่ยั่งยืน, ความตายของเราแน่นอน, เรา
    พึงตายแน่แท้. ชีวิตของเรามีความตายเป็นที่สุด. ชีวิตของเราไม่เที่ยง.
    ความตายเที่ยง; ก็มรณะอันชนทั้งหลายใดไม่เจริญแล้ว, ในกาลที่สุด
    ชนทั้งหลายนั้น ย่อมถึงความสะดุ้ง ร้องอย่างขลาดกลัวอยู่ทำกาละ เหมือน
    บุรุษเห็นอสรพิษแล้วกลัวฉะนั้น; ส่วนมรณะอันชนทั้งหลายใดเจริญแล้ว
    ชนทั้งหลายนั้น ย่อมไม่สะดุ้งในกาลที่สุด
    ดุจบุรุษเห็นอสรพิษแต่ไกล
    เทียว แล้วก็เอาท่อนไม้เขี่ยทิ้งไปยืนอยู่ฉะนั้น; เพราะฉะนั้นมรณสติอัน
    ท่านทั้งหลายพึงเจริญ. "
    พระศาสดาเสด็จประทานโอวาทธิดาช่างหูก
    พวกชนที่เหลือฟังพระธรรมเทศนานั้นแล้ว ได้เป็นผู้ขวนขวายใน
    กิจของตนอย่างเดียว. ส่วนธิดาของนายช่างหูกอายุ ๑๖ ปีคนหนึ่ง คิดว่า
    " โอ ธรรมดาถ้อยคำของพระพุทธเจ้าทั้งหลายอัศจรรย์, เราเจริญมรณสติ

    [​IMG][​IMG][​IMG]
     
  13. odanhi

    odanhi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มิถุนายน 2009
    โพสต์:
    245
    ค่าพลัง:
    +398
  14. ไร้นา

    ไร้นา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    63
    ค่าพลัง:
    +108
    เป็นจริงตามที่พระพุทธองค์ ตรัสไว้ชอบแล้ว ครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...