แก้ปัญหานานาประการเกี่ยวกับภัยพิบัติด้วย "กำลังจักรพรรดิ"

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย karan20, 12 พฤษภาคม 2012.

  1. moddang

    moddang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,460
    ค่าพลัง:
    +5,423
    ดีจริงๆครับ บทจักรพรรดิ์นี้ น่าเสียดายหลายๆท่านที่เข้าใจผิดๆ ก็เลยไปชักนำผิดๆ ไม่ใช่ว่าไม่เคยได้ยินหลวงปู่พูด ก็คิดเอง นั่งเทียนเอง ว่าไม่มีบทนี้ ธรรมะ มีหลากหลายรูปแบบที่หลวงปู่ท่านนำมาสอน ก็อย่างว่า โลกนี้ก็ต้องมีหลากหลายมุมให้คนจะได้รู้ ว่ามี ต่ำ ก็ต้องมีสูง ไม่พอยังต้องมีตรงกลางอีก มีสีขาว ก็มีดำ ไม่พอก็มีสีเทาๆ และอีกหลากหลายล้านสี ไปสะสมบุญ ไปทำบุญ ไปรับบุญ ไปสะสมกำลังจิต ก็พอ สบายกาย สบายใจ สบายจิต อิอิ ใครไม่อยากสวดก็ไม่ต้องสวด ใครสวดรับรองดีครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 สิงหาคม 2012
  2. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    [​IMG]



    วันที่ 2 กันยายน 2555 หล่อหลวงปู่ดู่ขนาดเท่าองค์จริง<WBR> 6 องค์ ณ โรงหล่อลาดหลุมแก้ว
    ถ้าท่านใดสนใจแต่ไม่สะดวกเดินทา<WBR>ง คุณเหน่งจัดรถไว้ให้บริการ เป็นรถบัสมีแอร์
    ค่ารถคนละ 200 บาท เดินทาง วันอาทิตย์ที่ 2/9/12
    ติดต่อคุณเหน่ง ที่เบอร์ 086-335-8558
    กรุณาอย่าโทรช่วง 16.00-18.00 น.เพราะไม่สะดวกรับโทรศัพท์
    โอนเงิน นฤมล เสถียรธีรกร ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาสวนพลุ คอนเนอร์ ออมทรัพย์
    เลขที่บัญชี 212-201494-5 และกรุณาโทรศัพท์หรือส่ง massage แจ้งการโอนเงินให้ด้วย

    6.30 น. ขึ้นรถที่ปั้มน้ำมัน ปตท. สนามเป้า
    7.00 น. ออกเดินทางไปหล่อพระที่ปทุมธานี
    11.30 น. ร่วมเป็นเจ้าภาพถวายอาหารหลวงตา<WBR>ม้า
    ...
    ร่วมถึงพระและแม่ชีที่มาร่วมงาน
    12.30 น. เดินทางไปกราบพระนเศวรมหาราช
    อนุสาวรีย์พระนเศวรมหาราชที่ จ. อยุธยา
    13.30 น. เดินทางไปกราบ เดินทางไปกราบ
    อนุสาวรีย์พระศรีสุริโยทัย ที่ทุ่งมะขามหย่อง จ. อยุธยา
    14.30 น. เดินทางไปกราบหลวงปู่ดู่ที่ วัดสะแก
    15.45 น. เดินทางกลับกรุงเทพ


    รวมบทความและกระทู้โดย 'กาขาว'



    <!-- google_ad_section_end -->
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 สิงหาคม 2012
  3. karan20

    karan20 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,297
    ค่าพลัง:
    +2,379
    ภาพยนต์สารคดีเชิงท่องเที่ยววัดถ้ำเมืองนะ (ฉบับเต็ม)

    ขอเชิญลูกศิษย์ และผู้ที่เคารพศรัทธาต่อ หลวงปู่ดู่ หลวงตาม้า
    รับชมภาพยนต์สารคดีเชิงท่องเที่ยววัดถ้ำเมืองนะ (ฉบับเต็ม)

    แล้วช่วยกันเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ด้วยนะครับ

    [ame="http://www.youtube.com/watch?v=Bh6HdoefqMI"]วัดถ้ำเมืองนะ สารคดี HD - YouTube[/ame]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กันยายน 2012
  4. darakul

    darakul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2012
    โพสต์:
    73
    ค่าพลัง:
    +364
    สวดเป็นประจำมีโชคลาภและดีขึ้นจริง พิสูจน์แล้วด้วยการปฏิบัติของตัวเอง ทุกวันนี้ก็ยังสวดเป็นประจำ
     
  5. ์Ning chaiyo

    ์Ning chaiyo Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 กรกฎาคม 2012
    โพสต์:
    15
    ค่าพลัง:
    +50
    สวดไม่ได้ทุกวันในห้องพระ แต่ทุกขณะจิต ตื่น อาบน้ำ จะนอน ขับรถ ท่องไว้ในใจเสมอ ก็ดีขึ้น ถูกหวยบ่อยขึ้น จริงๆๆนะ ลองดูว่า สภาพจิตเราจะสงบมากกว่าเดิม
     
  6. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
  7. tippawanJr

    tippawanJr เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    45
    ค่าพลัง:
    +165
    ได้รับข่าวจาก sms ของคุณแม่ชีหนูนาว่าวันที่ 7 ตุลานี้จะมีพิธีหล่อพระที่ลาดหลุมแก้ว
    ไม่ทราบว่าจะมีการจัดรถอีกหรือไม่คะ
     
  8. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,865
    อนุโมทนา...สาธุ กับศิษย์หลวงตาม้า

    ที่ได้สร้างวีดีโอชุดนี้ด้วยครับ นับว่าเป็นงานสร้างระดับมืออาชีพจริงๆ
    ดูแล้วได้อารมณ์และเข้าถึงบรรยายกาศมากๆ
    รวมถึงเพลงประกอบวีดีโอก็ทำได้ดีมาก มุมกล้องก็สวย มีความพยายามอย่างสูง

    คงต้องกด LIKE :cool: สัก 108 ครั้ง เท่ากำลังมหาจักพรรดิ....อิอิอิอิอิ :cool::cool::cool::cool:
     
  9. pppp1234

    pppp1234 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2012
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +107
    มีค่ะน่าจะเบอร์โทรเดิมนะค่ะ หรือลองดูในเวปของวัดถำ้เมืองนะเห็นมีรายละเอียดในนั้ค่ะ
     
  10. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    พระในลูกแก้วหลวงปู่ดู่ ของหนุ่มน้อยเมืองสิงห์บุรี
    http://ainews1.com/article405.html

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]<TABLE style="WIDTH: 603px; HEIGHT: 384px" cellSpacing=0 cellPadding=0 width=603><TBODY><TR><TD style="WIDTH: 300px" vAlign=top width=300>[​IMG][/FONT]

    </TD><TD vAlign=top>พื้นเพของครอบครัว
    ผมเป็นคนจังหวัดสิงห์บุรี ครอบครัวค่อนข้างยากจน มีโอกาสเรียนแค่ประถม 6 ก็ต้องออกจากโรงเรียน โดยเหตุผลว่าเรียนต่อ ม.1 ค่าเทอมและค่าเสื้อผ้ารวมกันแล้วเกือบพันบาท ผมยังจำได้ดีตอนนั้นแม่ผมกอดผมไว้และบอกว่า"ลูกเรามันจนอย่าเรียนต่อเลยนะลูก"

    ผมได้ยินแม่พูดถึงกับน้ำตามร่วงอย่างไม่รู้ตัวเพราะสงสารแม่มากเมื่อวานผมเห็นแม่ไปขอเชื่อข้าวสารร้านข้างบ้านมา 1 กิโล ตอนนั้นผมบอกกับตัวเองว่าจะไปหางานทำเพื่อหาเงินมาให้แม่ ไม่อยากเห็นแม่ลำบากแบบนี้ผมออกจากโรงเรียนและไปเป็นลูกจ้างล้างจานที่ร้านข้าวแกงมีหน้าที่ยกข้าวแกงไปให้ลูกค้าพอว่างก็ต้องไปล้างจาน ค่าตัววันละยี่สิบบาท ผมทำอยู่นานเจ้าของร้านแกเป็นคนใจบุญบอกว่าผมขยันและอดทนดี


    </TD></TR></TBODY></TABLE>[FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ผลงานและหน่วยก้านแห่งความตั้งใจ [/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]นายจ้างจึงขึ้นเงินให้เป็นวันละห้าสิบบาทตามปกติเจ้าของร้านที่ผมอยู่ ถ้าวันไหนหยุดแกก็จะไปทำบุญตามวัดต่าง ๆ อยู่เสมอมีอยู่วันหนึ่งขายดีมากอย่างไม่เคยมีมาก่อนเพียงครึ่งวันก็ขายหมด พอเก็บร้านเสร็จ เจ้าของร้านก็บอกว่า วันนี้ขายดีเลิกเร็วไม่รู้จะไปไหน ไปกราบ 'หลวงพ่อดู่ที่วัดสะแก' ดีกว่า แกเลยชวนผมไปด้วย ผมว่างไม่รู้จะไปไหนเหมือนกัน ก็เลยไปกับเขาด้วย[/FONT]​

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ไปถึงวัดสะแกประมาณสามโมงเย็น มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อดู่นั่งอยู่กับท่านสองคน เจ้าของร้านเข้าไปถึง ก็ก้มลงกราบหลวงพ่อ ผมก็กราบตาม เจ้าของร้านพูดทักทายลูกศิษย์ที่อยู่ก่อนแล้ว อย่างคุ้นเคยแสดงว่ารู้จักกันมานานแล้ว หลวงพ่อท่านท่าทางเมตตามาก ท่านยิ้มอย่างอารมณ์ดีและส่งถ้วยที่มีน้ำชาให้ผมและเจ้าของร้าน ท่านมองผมด้วยความเมตตา ผมขนลุกขึ้นไปถึงหัวไม่รู้เพราะอะไร ท่านบอกผมวา [/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]'[/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]กินซะน้ำมนต์'[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ผมก็ยกขึ้นดื่มจนหมดถ้วย พอกินหมดวางถ้วยลงกับพื้น ผมรู้สึกสว่างไปทั่ว ตัวเบา ตาดูมองอะไรก็สว่างใสไปหมดทั้งหูก็ได้ยินชัดเจนขึ้นมากกว่าที่เคยเป็นมา จึงนึกไปว่าเราไม่เคยกินน้ำชาบ่อยนัก พอมากินเข้าร่างกายถึงสดชื่น เจ้าของร้านคุยกับหลวงพ่อดู่นานมากจนเย็นวันนั้นเขาเช่าพระองค์ละหนึ่งร้อยบ้าง สิบบาท ยี่สิบบาท ก็หลายองค์แหวนวงละสามร้อยบาทถึงห้าองค์[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600><TBODY><TR><TD vAlign=top>หลวงพ่อดู่บอกเขาว่าเอาเงินไปหยอดตู้ทำบุญไว้ ไม่ต้องเอาให้ท่าน วันนั้นผมไม่ได้พูดกับหลวงพ่อเลยสักคำ เจ้าของร้านเห็นว่าเย็นมากแล้วจึงลาหลวงพ่อกลับ เขากราบท่านผมจึงกราบตามแล้วเขาก็ลุกขึ้นเดินไปที่รถ ผมก็ลุกขึ้นจะเดินตามเสียงหลวงพ่อพูดว่า 'เดี๋ยวก่อนมานี่'</TD><TD style="WIDTH: 150px" width=150>
    [​IMG]




    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ผมหันไปตามเสียง เห็นท่านยิ้มอย่างเมตตา จึงเข้าไปหาท่านใกล้ ๆ ท่านหยิบลูกกลม ๆ เล็กๆสีขาวอมเหลืองให้ผมหนึ่งเม็ด และท่านก็พูดว่า 'เก็บติดตัวไว้ให้ดี ในนั้นมีพระอยู่ อีกหน่อยจะทำให้แกรอดตาย แล้วแกจะรวยเป็นเศรษฐี'

    ผมมองดูเม็ดกลม ๆเล็ก ๆ ที่ท่านให้ก็ไม่เห็นมีพระอะไรอย่างที่ท่านบอกเลยสักองค์ ท่านคงเห็นผมทำท่าแปลกใจ เลยพูดว่า 'แกไปได้แล้ว' ผมรีบกราบท่านอีกครั้ง แล้วรีบวิ่งไปที่รถเพราะกลัวเจ้าของร้านจะรอนาน ผมขึ้นรถเจ้าของร้านก็ถามว่า 'หลวงพ่อท่านเรียกทำไม' ผมบอกเขาว่า 'ท่านให้เม็ดกลม ๆ ผมครับ'
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600><TBODY><TR><TD style="WIDTH: 300px" vAlign=top width=300>
    <TABLE class=blog_center_data><TBODY><TR><TD>
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif][​IMG][/FONT]




    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    ..ทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต โอ้ ช่างมากมายมหาศาล เรื่องเหล่านี้เราต้องเพียรหาจิ๊กซอร์ต่างๆเอาเอง หลวงปู่บอกเราไม่เท่ากับเราได้ตระหนักรู้เอง)


    </TD><TD vAlign=top>เจ้าของร้านหันมามองดูสิ่งที่อยู่ในมือของผมแล้วพูดเฮ้ยนี่ของดีหายาก 'พี่มาหาหลวงพ่อหลายครั้งแล้วยังไม่เคยได้เลย เก็บไว้ให้ดีนะโว้ย' ผมรับคำว่า 'ครับพี่' หลังจากนั้นนานสักสิบกว่าวันเจ้าของร้านก็ไปหาหลวงพ่อดู่อีก แต่ผมไม่ได้ไปกับเขาด้วยพอเขากลับมาวันรุ่งขึ้น ก็บอกผมว่าหลวงพ่อท่านฝากของดีมาให้ผม แกส่งกระดาษให้ผมใบหนึ่ง พอผมเปิดดูในนั้นมีหนังสือเขียนว่าพุทธัง สรณัง คัจฉามิธัมมัง สรณัง คัจฉามิสังฆัง สรณังคัจฉามิ

    ให้ภาวนามาก ๆ ผมนึกกราบท่านในใจ ผมเป็นเด็กจนๆ คนหนี่งคิดว่าท่านคงลืมผมไปนานแล้ว แต่นี่ท่านยังเมตตาจำผมได้ และเมตตาให้คำภาวนามาด้วย ตั้งแต่เกิดมาผมไม่เคยไปกราบพระที่ไหน พอมาเจอแบบนี้ทำให้ผมเกิดความศรัทธาหลวงพ่อดู่เป็นอย่างมาก ด้วยความศรัทธาท่านผมจึงภาวนา ไตรสรณคมณ์เรื่อยมาผมไปไหนต้องมีลูกกลม ๆที่หลวงพ่อท่านให้ติดตัวอยู่ตลอดเวลา
    (คำภาวนาที่หลวงปู่ให้มา ทำให้ผู้ภาวนา จิตคิดถึงพระ ซึ่งหลวงปู่เคยบอกว่า เราคิดถึงพระท่านครั้งหนึ่ง ท่านจะคิดถึงเรากลับมา 14 ครั้ง แล้วนี่เราคิดถึงพระพุทธเจ้า และพระอรหันต์ กี่แสนกี่ล้านองค์ที่ผ่านมา ทั้งในโลกเรานี้ และโลกอื่นๆที่มีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น..


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ระยะหลังแม่ของผมเริ่มเจ็บป่วยอยู่บ่อยครั้งไปทำงานไม่ไหว ผมจึงขอเจ้าของร้านหยุดงานเพื่อพาแม่ไปหาหมอ ผลออกมาว่าแม่ของผมเป็นเบาหวานความดันไขมันในเส้นเลือด และอย่างอื่นด้วย ยาแต่ละอย่างแพงมาก ผมไม่มีเงินซื้อยาดี ๆทางโรงพยาบาลจึงให้ตัวที่ถูก ๆ คือยาที่ไม่มีมาตรฐาน[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ผมเสียใจที่ตนเองไม่มีปัญญารักษาแม่ คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่าทำยังไงถึงจะมีเงินซื้อยาดี ๆ ให้แม่ ก่อนออกจากบ้านเช้ามืดของทุกวัน ผมจะยกลูกกลม ๆ ที่แขวนอยู่ในคอขึ้นมาพนมและภาวนาไตรสรณคมณ์ทุกวัน เช้านี้ไม่เหมือนกับทุกเช้าพอผมภาวนาไตรสรณคมณ์จบ ก็อธิษฐานว่า 'หลวงพ่อดู่ครับผมขอเงินมาซื้อยารักษาแม่ด้วยเทอญ สาธุ' (นั่นพระท่านกำลังคิดถึงเราอยู่พอดี)[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600><TBODY><TR><TD>และก็ออกไปทำงานตามปกติ ตอนสาย ๆ ของวันนั้นมีผู้ชายคนหนึ่ง ที่ผมพอจำได้ว่านานๆ หลาย ๆเดือนจะมากินข้าวแกงสักครั้ง ก็มานั่งกินอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้เพราะผมไม่ทันสังเกต ผมจึงตักน้ำแข็งใส่แก้วและเดินไปให้เขาตามปกติเหมือนทุกครั้ง พอเขาเห็นผมก็พูดว่า 'มาทีไรเจอทุกครั้งเลยขยันจังนะ' ผมยิ้มรับในคำทักทายของเขา แล้วพูดว่า 'ถ้าไม่มาทำงานเดี๋ยวไม่มีข้าวกินครับ'

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เขาก็พูดว่า "เออพูดตรงดี พี่ชอบว่ะ แบบนี้ไปทำงานกับพี่ไหม"ผมถามเขาว่า 'งานอะไรครับ' เขาบอกว่า 'งานอยู่เรือดูดแร่' เงินดีนะน้อง [/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ผมถามต่อว่า 'ดีของพี่ได้เดือนละเท่าไหร่ครับ' เขาตอบทันทีว่า'เป็นหมื่น'พอได้ยินคำว่าเป็นหมื่น ผมถึงกับตาโตเลยทีเดียวผมเริ่มสนใจมาก[/FONT]


    </TD><TD style="WIDTH: 250px" width=250>[​IMG]


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    [/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ถามต่อว่า'ไปทำที่ไหนพี่'ชายผู้นั้นบอกว่า'จังหวัดภูเก็ต'ผมทวนคำพูดว่าภูเก็ตและนึกว่าแม่กำลังไม่สบายจะทิ้งแม่ไปได้อย่างไร แต่ถ้าได้ไปก็จะมีเงินมาซื้อยาดี ๆรักษาแม่ ชายผู้นั้นคงเห็นผมยืนคิดอยู่นาน ชายผู้นั้นจึงพูดขึ้นว่า'อาทิตย์หน้าพี่ถึงจะไปภูเก็ตอีกสองสามวันจะมากินข้าวใหม่น้องลองกลับไปคิดดูแล้วค่อยบอกพี่' แล้วเขาก็เดินออกจากร้านไปผมมองดูชายคนนั้นเดินจากไปจนลับสายตา[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เย็นนั้นผมกลับถึงบ้านก็นึกถึงแต่เรื่องอยากไปทำงานที่ภูเก็ตคืนนั้นผมนอนไม่หลับทั้งคืน วันต่อมาผมกำลังเอายาให้แม่กินแม่คงสังเกตเห็นผมผิดปกติเลยถามว่า'[/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ไปมีเรื่องอะไรกับเขาหรือเปล่า เป็นอะไรแปลก ๆ ไป'[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ผมจึงเล่าให้แม่ฟังทั้งหมด แม่ก็พูดว่า 'เรื่องแค่นี้เองลูกอยากไปไหมล่ะ ไม่ต้องห่วงแม่หรอกแม่อยู่ได้' ผมบอกแม่ว่า 'อยากรักษาแม่ให้หาย ถ้าผมมีเงินก็จะได้ไปซื้อยาทีดี ๆมาให้แม่กินครับ' แม่บอกว่า'ตามใจแกถ้าอยากไปทำงานแม่ก็ตามใจ' แม่กอดผมและพูดขึ้นว่า 'แม่รักลูกนะ ' ผมน้ำตาไหลและกอดแม่แน่นบอกว่า 'ผมก็รักแม่ครับ' และเราสองคนก็ร้องไห้[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]วันรุ่งขึ้นผมไปทำงานตามแบบทุกวันพอตอนเย็นเลิกร้านแล้ว ผมก็เข้าไปหาเจ้าของร้านบอกว่าผมขอลาออก เขาท่าทางตกใจพูดว่า 'อยู่กันมาตั้งนานไม่สบายใจมีอะไรบอกพี่ได้นะ' ผมจึงเล่าเรื่องแม่ไม่สบายผมอยากได้เงินไปรักษาแม่ ให้เจ้าของร้านฟังจนหมดเขาพูดเสียงดังว่า 'ให้มันได้อย่างนี้ เองทำถูกแล้วละจะไปเมื่อไหร่' ผมตอบว่า 'อีกสองสามวันครับ' เขาเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงควักเงินออกมานับน่าจะเป็นสองถึงสามหมื่นแล้วส่งให้ผม บอกว่า[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]'เอาไปพี่ให้'ผมงงบอกกับเจ้าของร้านว่า'ผมไม่รบกวนยืมเงินพี่หรอกครับถ้าเอาไปคงไม่มีปัญญามีเงินมาใช้คืนพี่' 'เอ็งกับพี่นับถือหลวงพ่อองค์เดียวกันเท่ากับเราเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันเหมือนพี่เหมือนน้อง ต้องช่วยเหลือกันถึงจะถูกเงินนี้พี่ไม่ได้ให้ยืมแต่พี่ช่วยโดยไม่ต้องเอามาคืน' [/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ผมเกรงใจเจ้าของร้านมากเขาเป็นคนใจบุญมีเมตตาและยังมีน้ำใจต่อผู้ที่ตกทุกข์ได้ยากอีกผมก้มลงกราบเขาเพราะไม่มีอะไรจะตอบแทนความดีของเขา[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]และนึกในใจว่าขอให้พี่จงเจริญ ๆวันต่อมาชายผู้นั้นก็มากินข้าวแกง พอเขาเห็นผมก็ถามว่า 'คิดได้หรือยัง' ผมตอบว่า 'ไปครับ' เขาพูดว่า 'เออดีไม่เสียแรงที่ชวน' ผมนัดกับเขาถึงวันที่จะออกเดินทาง เมื่อรู้วันเดินทางแล้วผมก็ไปบอกกับแม่และให้เงินแม่เก็บไว้หาหมอรักษาตัวระหว่งที่ผมไปทำงานผมบอกแม่ว่า 'ได้เงินเดือนเมื่อไหร่ผมจะรีบส่งมาให้แม่ทุกเดือน' ผมนำเงินติดตัวไปแค่หนึ่งพันบาทเป็นค่ารถ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]และในที่สุดผมได้ไปขุดทองที่ภูเก็ตเหมือนกับเวลาที่ผู้ใหญ่เขาคุยกันสมัยก่อนว่าใครไปทำงานขุดพลอยเมืองจันทบุรี หรือไปทำแร่ภาคใต้เท่ากับไปขุดทองแต่สิ่งที่มีคุณอนันต์ตรงกันข้ามก็จะมีโทษมหันต์เหมือนกันไปร่ำรวยกันมาก็มากพากันไปตายมาก็เยอะผมนั่งรถไปใจก็คิดว่าเราจะไปแล้วรวยหรือไปตายก็ยังไม่รู้ คิดไปคิดมายิ่งสับสนผมจึงคิดว่าตายเป็นตาย ผมต้องหาเงินรักษาแม่ให้ได้มือก็กำลูกกลม ๆ ของหลวงพ่อดู่และอธิษฐานว่า[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif](การที่ลูกตั้งใจและส่งเงินรายไดส่วนหนึ่งมาให้แม่ทุกเดือน เท่ากับลูกได้ตักบาตรกับพระอรหันต์ในบ้านทุกๆวันนั่นเอง อานิสงส์ที่ลูกจะพึงได้รับคือความสุขความเจริญ)[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]'เรือลำไหนที่ดีเจ้าของเป็นคนดีมีเมตตาอยู่แล้วจะมีเงินมากหรือร่ำรวยขอให้ผมได้ไปอยู่กับผู้นั้นด้วยเถิดสาธุ'[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]และผมก็ไปถึงจุดหมายปลายทาง ที่นั่นเป็นท่าเรือใหญ่ผู้คนมองดูพลุกพล่านคุยกันเสียงดังอย่างไม่มีใครเกรงใจกัน บางกลุ่มก็คุยภาษาอีสานบางพวกก็พูดใต้มีคนส่วนน้อยที่พูดภาษาภาคกลางที่นี่มีคนจากหลายจังหวัดหลายพ่อหลายแม่ น้อยคนที่จะมองดูแล้วบอกได้ว่าเป็นคนสุภาพแทบจะหาไม่เจอเลยทีเดียว ส่วนมากจะท่าทางนักเลง บางคนก็ตัวดำยังไม่พอแถมยังสักยันต์เต็มตัวมองดูแล้วไม่น่าไว้ใจ หรือที่เขาเรียกกันว่าน่ากลัว ผมเดินตามพี่คนที่พาผมไปทำงานเขาบอกว่าตัวเราชื่อโก๋ พี่โก๋ เดินนำหน้าผมเดินตามเดินผ่านวงเหล้าที่นั่งกินกันเป็นกลุ่มๆ บางคนหันมาเห็นพี่โก๋ก็ร้องทักว่า[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]'เฮ้ยมากินเหล้าด้วยกันโว้ยไอ้โก๋' พี่โก๋ก็จะตอบว่า 'พวกมึงกินกันเถอะ วันนี้กูยังไม่อยากเมา' พอมาถึงที่พักซึ่งเป็นเหมือนห้องแถวประมาณสิบกว่าห้อง ตรงกลางมีลานกว้างประมาณ 7-8 เมตร มีโต๊ะหินสองตัวต่อกันคนนั่งได้สักสิบกว่าคนสบายมาก ที่ตรงนั้นมีผู้ชายกลุ่มใหญ่นั่งกินเหล้ากันอยู่พอเห็นผมกับพี่โก๋ ก็ร้องทักว่า 'พี่โก๋พาใครมาด้วยละ' พี่โก๋บอกว่า 'น้องชายมันชื่อตั้ม'[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ในกลุ่มนั้นมีผู้ชายคนหนึ่งท่าทางคงเมามากแล้วพูดว่า 'หน้ามันอ่อนอย่างนี้มึงจะพามันเล่นลิเกหรือว่ะไอ้โก๋' 'กูจะพามันมาทำงานกับนายเค้า ไม่ได้มาเล่นลิเกแบบมึงว่าหรอก' เสียงชายคนเก่าพูดว่า 'ไอ้โก๋มึงยังกวนตีนเหมือนเดิมนะไม่ได้เห็นหน้ากันเสียหลายวัน' พี่โก๋พูด 'กูยังเหมือนเดิม' แล้วแกก็พาผมไปพักห้องเดียวกับแก 'มึงอยู่กับพี่ที่นี่แหละพี่อยู่คนเดียวห้องมันใหญ่ไปจะได้มีเพื่อนคุยถ้ามึงไปอยู่คนเดียวไอ้พวกเหี้ยมันเยอะเดี๋ยวไม่มีคนดูแลจะเกิดเรื่อง'[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เช้าของวันต่อมา พี่โก๋พาผมไปยังบ้านหลังหนึ่งใหญ่โตมากมีคนมาเปิดประตูรั้วบ้านให้เราสองคนเข้าไปในบ้าน มีผู้ชายตัวใหญ่ดำสักมังกรพันแขนใส่กางเกงตัวเดียวไม่ใส่เสื้อ อยู่ที่โต๊ะทำงาน พอเห็นพี่โก๋ก็พูดว่า 'เป็นยังไงกลับบ้านซะหลายวันพี่นึกว่าอาทิตย์หน้ามึงถึงจะกลับมาเรือมันขาดคนทำงานไม่ได้ดีเลยวะ'[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ตัวดำใหญ่ผมคิดว่าแกคงน่ากลัว แต่ที่ไหนได้แกพูดจายิ้มแย้มอารมณ์ดีท่าทางใจดีอีกต่างหากชายเจ้าของบ้านถามพี่โก๋ว่า 'แล้วพาใครมาด้วยละ' แกตอบ 'น้องครับพี่ผมจะเอามันมาฝากให้ทำงานกับพี่ครับ' 'รูปมันหล่อหน้ามันอ่อนจะทำงานไหวหรือวะโก๋' 'พี่ก็ให้งานเบา ๆ ให้มันทำก็ได้'[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เป็นอันว่าผมได้งานทำในห้องนั้น ที่โต๊ะรับแขกมีผู้หญิงแต่งชุดนักศึกษานั่งเขียนหนังสืออยู่สามคน มุมโต๊ะมีจานขนมและผลไม้วางอยู่ พวกเธอมองผมและก็ยิ้มให้ ผมยิ้มตอบพี่โก๋ลาชายเจ้าของบ้าน ผมก็ยกมือไหว้เขาและพากันกลับยังที่พัก ตอนหลังผมมารู้ว่าผู้หญิงสามคนนั้นคนหนึ่งเป็นหลานสาวของเจ้านาย อีกสองคนเป็นเพื่อนของเธอ เรื่องมันยาวครับผมขอเล่าเรื่องที่สำคัญดีกว่า เดือนต่อมาผมได้เงินเดือน พอได้ก็รีบส่งไปให้แม่ เงินประมาณหนึ่งหมื่นบาทต่อเดือนผมให้แม่เกือบหมด เหลือไว้บางเดือนก็ห้าหกร้อยบาทเท่านั้นก็พอใช้ เพราะผมไม่กินเหล้าไม่สูบบุหรี่[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]คนอื่นเขาได้เงินมาก็ไปกินเที่ยวกัน แต่ผมไม่ไปเพราะไม่ชอบที่นั้นมีทุกอย่างทั้งเหล้า การพนัน ผู้หญิง เพราะเรือแร่ขึ้นทีคนงานจะมีเงินกันเป็นจำนวนมาก บางคนก็ไปสิบห้าวันจะได้เงินประมาณสามหมื่น บางคนงานเบาเป็นคนถือสายน้ำฉีดแร่ก็จะได้ประมาณหมื่นแปดพัน หรือสองหมื่น คนที่ถือสายท่อดูดแร่ลงไปใต้น้ำเสี่ยงชีวิตมาก ก็จะได้เงินมากกว่าหน้าที่อื่นเป็นเท่าตัว [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]มีคนมากมายที่ต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้ที่นั่น ฆ่ากันตายก็เยอะ ลงไปดูดแร่เกิดเรื่องต่างๆ ตายกันไปจนนับไม่ถ้วน ที่นั่นไม่มีใครสนใจใคร เพราะเป็นที่ไกลปืนเที่ยง ฆ่ากันตายบ่อยมากพอตายตำรวจมาตรวจดูศพแล้วก็ไป โดยมาเอาผิดกับใครไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะตำรวจไม่ค่อยใส่ใจ เพราะคนมาอยู่รวมกันมากๆ เป็นร้อยพ่อพันธุ์แม่ยากแก่การดูแล มีทั้งดีและชั่วปนกันไป ผมมาอยู่ตั้งแต่ตัวยังไม่โตนัก ตอนนั้นผมอายุ 16 ปี ตัวเล็กเอวบางร่างน้อย[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]คนอื่นดูแล้วว่าท่าทางไม่แข็งแรง เราออกเรือจะใช้เวลาไปกลับสิบห้าวัน เจ้าของเรือตั้งเป้าของน้ำหนักแร่ไว้ว่าถ้าได้ 1,000 กิโลเมื่อไหร่ก็กลับได้เลย แต่ถ้าสิบห้าวันแล้วยังได้แร่ไม่ถึง 1,000 กิโลต้องกลับเหมือนกัน เพระอาหารและน้ำดื่มที่เตรียมไปพอแค่สิบห้าวันสิบห้าวัน ถ้าได้แร่ 700-800 กิโล ลูกเรือก็จะได้เงินน้อยแต่ถ้าได้แร่ถึง 1,000 กิโล คนถือท่อดูดแร่ที่ลงไปใต้น้ำจะได้เงินประมาณ 30,000 บาทคนฉีดน้ำบนเรือจะได้เงินประมาณ 20,000 บาท ส่วนผมจะได้ 10,000 บาท[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]แต่ต่อมาผมได้เงินมากกว่าคนอื่นเสียอีก ด้วยเหตุผลว่าพี่เจ้าของเรือแกชอบผมมาก เขามีเรืออยู่หลายลำ แต่ลำที่ผมอยู่เจ้าของเรือไปคุมด้วยตัวเอง แกเคยบอกผมว่าครั้งไหนที่ผมไม่สบาย และไม่ได้ไปด้วย ต้องไปนานจนครบสิบห้าวันทุกครั้งเลยแต่ถ้าผมไปด้วยอย่างมากก็แค่ 7 วันก็ได้แร่ถึง 1,000 กิโล และบางครั้งก็ห้าวันก็มีบางหนสามวันยังมีเลย[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]'พี่สังเกตเห็นแกเวลาที่เรือจะออกจากฝั่งจะยกสิ่งที่แขวนคอซึ่งเป็นเม็ดกลมๆ เล็ก ขึ้นมายกมือพนมแล้วว่าคาถาอะไรไม่รู้ แต่คาถาของเองนี่ขลังจริง ๆ ว่ะพี่นับถือ' ตอนหลังถ้าผมไม่สบาย แกบอกว่าไม่ต้องหยุดงานไปนอนในเรือแต่ไม่ต้องทำงานก็ได้ แต่แกแบ่งเงินให้เหมือนเดิมแกว่า 'แค่เองไปด้วยพี่ก็ได้กลับเร็วกว่าปกติตั้งเยอะ' [/FONT][FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ผมมาอยู่กับพี่เขานี่ก็สามปีแล้วผมโตเป็นหนุ่มเต็มตัวตอนนี้ไม่ได้เงินน้อยแล้วคนที่ลงถือท่ออยู่ใต้น้ำถ้าเขาได้เงิน 30,000 บาท ผมก็จะได้เงินถึง 40,000 บาทเลยทีเดียว[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ซึ่งผมไม่ได้มีคาถาอะไรอย่างที่เขาว่าหรอก เพียงแต่เวลาจะออกเรือผมก็จะยกลูกกลม ๆ ที่หลวงพ่อดู่ให้มาแล้วอธิษฐานว่า 'ขอให้ผมปลอดภัยได้เงินมา เพื่อเอาไปรักษาแม่ด้วยเทอญ สาธุ' ออกเรือทีไรลำอื่นไม่ได้แร่กัน แต่ลำที่ผมไปกับได้มากและกลับเร็วกว่าลำอื่นเสมอเจ้าของเรือจึงรักผมมากบอกว่าอยู่กันแล้วเจริญรุ่งเรืองคนแบบนี้หายากผมโชคดีทั้งเรื่องงานและความรัก หลานสาวของเจ้าของเรือ[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เธอก็มารักผมด้วยไม่เพียงแค่นั้นเพื่อนรักของเธอทั้งสองคนก็รักผมเหมือนกันจึงทำให้ผมเลือกไม่ถูกว่าคนไหนดี เธอทั้งสามคนเป็นคนสวยและน่ารักมากผมเคยบอกกับเธอทีละคนว่าบ้านผมที่จังหวัดสิงห์บุรีหลังเล็กเพราะครอบครัวของผมยากจนเธอบอกว่าจน ๆ แหละชอบ แค่เห็นผมครั้งแรกที่ผมมาสมัครงานกับพี่โก๋คืนนั้นกลับไปนอนไม่ค่อยหลับเลย [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ผมนึกในใจอะไรจะขนาดนั้น อยู่มาไม่นานนักพวกชายหนุ่มที่หลงรักพวกเธอแต่ผมไม่รู้ว่าคนไหนเพราะมีผู้ชายมาจีบพวกเธอมากมายหลายคน ส่วนมากจะรวย ๆกันทั้งนั้น[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]และ วันนั้นก็มาถึงผมจะต้องจำไปตลอดชีวิตอย่างไม่มีวันลืมเลยทีเดียวผมออกเรือ ไปดูดแร่ตามปกติแต่ครั้งนี้เจ้าของเรือไม่ได้ไปด้วยเพระเขามีธุระสำคัญต้องไปทำ ออกเรือไปเป็นวันที่สี่ได้แร่ประมาณ 800-900 กิโลแล้ว จะกลับอีกสองวันนี่แหละคืนนั้นอากาศดีดาวเต็มท้องฟ้า[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ผม ยืนคิดอะไรเพลิน ๆ อยู่ท้ายเรือได้ยินเสียงคนเดินมาข้างหลังจึงหันไปดูก็เห็นลูกเรือด้วยกันแต่ วันนี้เขาไม่ได้มาอย่างมิตรในมือเขาถือปืนมาด้วย พอเขารู้ว่าผมเห็นเขา ก็ยกปืนในมือมายิงผม มีเสียงดัง ปั้งปั้ง ปั้ง เป็นระยะ ๆ คมกระสุนปืนพุ่งเข้าหาผมทุกนัด อย่างแม่นยำตัวผมกระเด็นตกจากเรือ [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ตอนนั้นผมตกใจยังทำอะไรไม่ถูก หล่นไปในน้ำมันก็มืดผมมองไม่เห็นตัวเอง ได้แต่เอามือลูบๆ ดูว่าแผลถูกยิงตรงไหนบ้างแต่น่าแปลกตัวผมไม่มีบาดแผลสักแห่งเดียวแต่ผมต้อง ลอยคออยู่ในทะเลจนถึงเช้าและมีคนที่อยู่เรือลำอื่นมาช่วยและพาขึ้นฝั่ง ตอนหลังผมมารู้ว่าผู้ชายที่หลงรักผู้หญิงที่มารักผม จ้างลูกเรือที่อยู่เรือลำเดียวกับผม เป็นเงิน 50,000 บาท เพื่อฆ่าผมทิ้งกลางทะเล[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ตอนที่ผมถูกยิง ผมจำได้ว่าผมเห็นพระพุทธรูปเหมือนกับองค์ที่อยู่ที่วัดหน้าพระ เมรุในพระอุโบสถ จำได้ดีว่าเป็นพระมหาจักรพรรดิมาลอยอยู่ข้างหน้าของผม กระสุนปืนทั้งหมดทะลุผ่านองค์พระมหาจักรพรรดิ แล้วถึงมาโดนตัวผมด้วยอำนาจ ของพระพุทธคุณนี้เองจึงทำให้ลูกกระสุนปืนทุกนัดไม่ระคายผิวของผม (พลังแรงของลูกปืน ถูกพลังงานบุญบารมีของพระสลายไปหมด)[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ทำให้ผมนึกไปถึงตอนที่ 'หลวงพ่อดู่'ท่านมอบลูกกลม ๆ ให้ผมและท่านบอกว่ามีพระอยู่ในนั้นหลายปีที่ผ่านมาผมมองดูทีไร ไม่เคยเห็นพระที่ท่านบอกสักองค์มาเห็นพระตอนที่ผมถูกยิงนี่เอง ดีที่ผมจำคำสอนของหลวงพ่อดู่ได้ตลอดไม่เคยลืมคำว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณังคัจฉามิ และภาวนาอยู่ทุกวัน ถ้าไม่มี พุทธัง ธัมมัง สังฆัง ผมคงตายไปแล้ว (ที่หลวงปู่บอกให้ฟัง มันเป็นภาพจากอนาคตังสญาณ ที่แม่นยำของหลวงปู่นั่นเอง)[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif](ท่านอ่านมาถึงตรงนี้ จะได้เห็นความเมตตาของหลวงปู่ดู่ ที่มีญาณรู้คอยให้สติแก่ลูกศิษย์ตลอดเวลา) [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ผม รอดตายโดยไม่มีบาดแผลไม่สามารถเอามือปืนและคนว่าจ้างมาลงโทษได้ตามกฏหมาย ทั้งตำรวจก็ไม่สนใจในเรื่องคดีเพราะคนที่ว่าจ้างเป็นลูกของผู้มีอิทธิพล ในพื้นที่ ผมไม่ตายยิ่งเพิ่มความโกรธแค้นให้กับคนที่ว่าจ้างคนมาฆ่าผม หลายเดือนผ่านไป[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]เมื่อเขารู้ว่ากระสุนปืนไม่อาจฆ่าผมได้จึงเปลี่ยนวิธิใหม่ เขาไปจ้างหมออิสลามหรือที่เรียกกันว่าหมอแขก เพราะพวกนี้มีวิชาอาคมเข้มขลังมาก สามารถทำคุณไสย์ ให้คนตายมามากต่อมาก ที่นั่นคนอยู่เรือเขาไม่นิยมใส่รองเท้ากัน เพราะเวลาเดินบนเรือมันจะลื่นง่ายเลยเป็นเรื่องไม่ยากนักที่เขาจะให้คนแอบมาเอารองเท้าของผม ไปทำพิธีกรรมทางไสยศาสตร์มนต์ดำ[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ช่วงนั้นผมคงกำลังดวงตก อยู่ๆ เชือกแขวนพระขาด เลยยังหาเชือกใหม่ไม่ได้ ผมเก็บลูกกลมๆ ของหลวงพ่อดู่ไว้หัวนอน รุ่งเช้าก็ลืมนำติดตัวไปด้วย เที่ยวนั้นเรือดูดแร่ออกไปได้เพียงวันเดียวผมก็ปวดท้องอย่างแรง จนพี่เจ้าของเรือจะเอาเรือเข้าฝั่ง ผมบอกว่าอย่าเลยพี่ เดี๋ยวนอนพักก็หาย แต่ไม่เป็นอย่างนั้น ผมเริ่มปวดจากท้อง แต่เดี๋ยวก็ปวดหัวจนลูกตาแทบจะหลุดออกมาจากเบ้าตา หนักเข้าไม่หัวอย่างเดียว ในที่สุดก็ปวดไปทั้งตัว แม้แต่กระดูกยังปวด คิดในใจว่าจะรอดหรือเปล่า กลางคืนนอนก็ฝัน เห็นแต่ฝีปีศาจจะมาเอาชีวิต [/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]บางครั้งเหมือนกับครึ่งหลับครึ่งตื่น ฝีแขกใส่หมวกแบบอิสลาม มาบังคับให้ผมเอาเชือกมาผูกคอผมไม่ยอมทำตาม มันก็บอกว่าให้ไปโดดทะเล ผมนอนดิ้นไปดิ้นมาปวดทรมานไปทั้งตัว ผีเข้ามาบังคับจะเอาชีวิตอีก ไม่รู้จะทำอย่างไรดี ตอนหลังมันมากันเป็นสิบๆตัว มันพูดว่ามึงต้องตาย บางตัวก็จับแขนกดเอาไว้อีกตัวก็กดขา ไอ้ตัวดำสูงใหญ่เข้ามาบีบคอ จนผมเริ่มหายใจไม่ออก ตอนนั้นผมร้องไห้คิดถึงแม่ คิดว่าคงไม่ได้กลับไปเห็นหน้าแม่อีกแล้ว ครั้งนี้ต้องตายแน่นอน[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]มีเสียงหนึ่งซึ่งผมจำได้ว่า เป็นเสียงของ หลวงพ่อดู่ ท่านพูดว่าพุทธังธัมมังสังฆัง พอผมได้ยินหลวงพ่อท่านบอก ผมก็ตั้งจิตภาวนาว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมังสรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ ก็มีรัศมีเป็นแสงสว่างหลายสีพุ่งออกมาจากตัวผม รอบตัวทำให้แสงรัศมีนั้นโดนปีศาจทุกตัว มันร้องอย่างเจ็บปวด แสงสว่างนั้นกลายเป็นไฟเผาพวกปีศาจทั้งหมด ละลายไปกับอากาศ ผมเห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นกราบหลวงพ่อดู่ ใจก็บอกตัวเองว่ารอดตายแล้ว[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif](เมื่อมีเหตุปัจจัย สิ่งที่จะเกิดก็เกิด เมื่อจิตคิดถึงพระ พระท่านก็มาโปรดทันที)[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]คืนนั้นผมไม่ยอมนอน ผมนั่งสมาธิทั้งคืน จนเช้าประมาณแปดโมงเช้า มีเรือผ่านมาจะเข้าฝั่ง เจ้าของเรือที่ผมอยู่ รีบเรียกเรือลำนั้น ผมนอนอยู่ใต้ท้องเรือได้ยินเสียงเขาชัดเจน เขาบอกคนคุมเรือลำนั้นว่า 'น้องกูไม่สบายฝากเข้าฝั่งด้วย' แกรักและเป็นห่วงผมแบบน้องชาย[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]พอเรือเข้าถึงฝั่งผมรีบตรงไปยังห้องพัก แทนที่จะไปหาหมอ ถึงห้องก็ไปที่หัวนอนหยิบลูกกลม ๆ ยกมือพนมพระ นึกถึงหลวงพ่อดู่ ตั้งนะโมสามจบแล้วภาวนาไตรสรณคมณ์ พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณังคัจฉามิ เท่านั้นผมอ๊วกออกมาเป็นน้ำสีเหลือง ๆ เหม็นไปทั่วบริเวณนั้น สิ่งที่ออกมามันเหมือนกับน้ำเหลืองผีอย่างไงอย่างนั้นเลยทีเดียว พออ๊วกเสร็จ ผมรู้สึกร่างกายเบาสบายสดชื่น เหมือนไม่เคยเจ็บปวดมาเลยทั้งที่เมื่อคืนผมปวดไปทั้งตัว ครั้งนี้ถ้าไม่ได้อำนาจของไตรสรณาคมณ์ ผมจะเป็นอย่างไรอาจจะไม่รอดก็ได้ใครจะรู้[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ตอนหลังผมมารู้ชื่อของลูกกลมๆ ที่หลวงพ่อดู่ให้มาว่าชื่อ 'ลูกแก้วสารพัดนึก' ภูเก็ตที่ผมไปอยู่ตรงนั้น เขาเรียกว่าท่านุ่น [/FONT]
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600><TBODY><TR><TD style="WIDTH: 150px" vAlign=top width=150>[​IMG]

    </TD><TD vAlign=top>สมัยนั้นยังเป็นดินแดนป่าเถื่อน หรือที่เรียกว่า ไกลปืนเที่ยง แต่ผมก็รอดชีวิตมาได้ถึงสองครั้ง ครั้งแรกโดนยิง แต่กระสุนปืนไม่อาจระคายผิวของผม ครั้งสองโดนคุณไสยมนต์ดำของหมอแขก แต่ก็รอดมาอีก ไปอยู่ที่ไหนก็จะมีคนดีคอยช่วยเหลือ รักใคร่เมตตาโชคลาภทั้งทรัพย์สินเงินทองก็ได้มาจากการทำกิน</TD></TR></TBODY></TABLE>​
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif](ทั้งนี้ ด้วยได้คำแนะนำของหลวงปู่ดู่ และให้ลูกแก้วสารพัดนึก มาไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ ผู้ที่ยังไม่อยู่บน ทางมรรค ตลอดเวลา ย่อมมีเวลาเผลอสติได้ การมีลูกแก้วติดตัวตลอดเวลา จึงช่วยช่องโหว่ของสติ)[/FONT]
    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]จะไปทำอะไรอาชีพเดียวกับคนอื่น คนอื่นเขาทำแล้วไม่ค่อยได้ดี แต่พอผมทำก็จะเจริญและร่ำรวยอย่างผิดหูผิดตาทั้งผู้หญิงดี ๆ ก็มารักผมหลายคน ผมเป็นคนที่ไม่ชอบแต่งตัวทองสลึงเดียวก็ไม่เคยมีติดตัว ใส่เสื้อผ้าถูกๆ แต่ผู้หญิงกลับมาชอบอย่างมากมายหลายคน เงินทองทั้งหมดที่ได้มา ผมส่งไปให้แม่หมด เหลือไว้ใช้เพียง 500-600 บาทต่อเดือนเท่านั้น ชีวิตของผมดีขึ้นเรื่อย ๆหลายปีผ่านไปเดี๋ยวนี้ผมกลายเป็นเศรษฐีมีเงินทองมากมายทั้งเป็นเจ้าของเรือดูดแร่อีกหลายลำ แต่ผมไม่เคยลืมตัวยังแขวนลูกแก้วสารพัดนึกอยู่ในคอตลอดเวลา (เนื่องด้วย ความศรัทธา หลวงปู่ดู่ และเพียรระลึกถึง ทั้งสวดไตรสรณาคมณ์ทุกวัน แล้วอธิษฐานขอสิ่งที่ต้องการ เป็นประจำ และยังได้ตักบาตรกับพระอรหันต์ คือแม่ของตนเองด้วยทุกวัน ด้วยเงินเดินส่วนใหญ่ที่ส่งไปให้แม่ได้ใช้จ่าย ...ลูกกตัญญู.. ขอโมทนาสาธุ...แล้วอย่างนี้ใครนึกอยากได้ลูกแก้วบ้าง ?)[/FONT]

    [FONT=tahoma,arial,helvetica,sans-serif]ผมจำได้ตอนที่หลวงพ่อดู่ให้ลูกแก้วสารพัดนึกท่านบอกว่า 'เก็บติดตัวไว้ให้ดีในนั้นมีพระอยู่อีกหน่อยจะทำให้แกรอดตาย แล้วแกจะรวยเป็นเศรษฐี' คำพูดของหลวงพ่อดู่ท่านศักดิ์สิทธิ์ เป็นจริงทุกคำผมอยู่ที่ภูเก็ตนานจึงมีเพื่อนมาก เคยมีเพื่อนคนหนึ่งมันชอบสะสมพระดังๆ ที่มีราคาแพงมากๆ มันถามผมว่า 'มึงเป็นเถ้าแก่ใหญ่เงินทองมากมาย ทำไมเอาลูกอมกลมๆ มาแขวนคอลูกเดียววะ ไม่หาสมเด็จวัดระฆังมาแขวนคอสักองค์' ผมตอบมันว่า 'พระสมเด็จน่ะดีต้องคนมีบุญมีวาสนาถึงจะได้มีไว้ครอบครอง สำหรับกูลูกกลมๆ นี่แหละดีที่สุดแล้ว มึงรู้ไว้เลยนะ ที่กูมีวันนี้ได้ก็เพราะลูกกลมๆนี้แหละ'[/FONT]
    เรื่องราวที่คุณราชสีห์ ได้เผชิญกับมันมา ทั้งร้ายและดี คงจะช่วยทำให้ท่านผู้ติดตาม มีความเข้าใจและเข้าถึง ลูกแก้วสารพัดนึก ของหลวงปู่ดู่ ได้มากยิ่งขึ้น ... และหลายๆท่านอาจมีคำถามว่า แล้วป่านนี้เราจะมีโอกาสเช่นนั้นบ้างไหม ..ลองแวะที่นี่ครับ

    credit: ����
     
  11. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600><TBODY><TR><TD> หลวงปู่ดู่/พระศรีอาริย์


    [​IMG]



    ข้อมูลต่อไปนี้เหมาะสำหรับผู้ปฏิบัติธรรม โดยใช้ ลูกแก้วจักพรรดิ
    ของหลวงปู่เป็นตัวช่วย
    <TR><TD>เมื่อผู้เขียนได้รับมอบหมายจากหลวงปู่ ให้สร้างลูกแก้วสารพัดนึก โดยใช้ปูนซีเมนต์ขาวผสมผง ตอนแรกผู้เขียนจะทำ ๑๐๘ องค์ ท่านบอกว่าไม่พอ อีกหน่อยจะหายาก ลูกละพันยังหาไม่ได้ ท่านได้บอกเคล็ดลับของการเสกว่า ถ้าจะรู้ว่าใช้ได้หรือยังต้องดูในที่มืดๆ จะมีแสงสว่างนั้นแหละใช้ได้แล้ว

    นอกจากนี้ท่านยังให้เจาะเป็นช่องว่างตรงกลางไว้ ตอนแรกผู้เขียนจะขอท่านไม่ต้องเจาะ ท่านบอกไม่ได้เดี๋ยวจะเหมือนลูกกระสุน ซึ่งเด็กสมัยก่อนจะรู้ คือ นำดินเหนียวมาปั้นก้อนกลมๆ ไว้สำหรับใช้กับหนังสติกเพื่อยิงนก รูที่เจาะให้ว่างนั้นแทนอากาศธาตุ เวลานั่งภาวนาเกิดแสงสว่าง พวกแกก็ไปตามแสงสว่างนั้นแหละจะไปถึงวิมานแก้ว ที่อยู่ของพระพุทธเจ้า จะเห็นลูกแก้วลอยเต็มวิมาน ให้ขอท่านแล้วอธิษฐานกลืนไว้ตรงทรวงอก

    มีลูกศิษย์หลวงพ่อฤาษีลิงดำ เป็นนักปฏิบัติ ได้มาเจอกับผู้เขียนที่หน้ากุฏิหลวงปู่ ขณะนั้นท่านกำลังถวายข้าวพระอยู่ ลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งเลยให้เขานั่งดูสักครู่เขาบอกว่าหลวงพ่อกำลังถวายของ พระพุทธเจ้า อยู่บนวิมานแก้ว มีพระมากมาย

    ผู้เขียนเลยบอกว่าถ้าเห็นพระแล้วทำอย่างไรต่อ เขาบอกไม่รู้ ลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งเลยพูดว่าหลวงปู่บอกไว้ ถ้าเจอพระให้อธิษฐานเรียกพระเข้าตัว เขาก็ทำตาม และบอกว่าหลวงพ่อองค์นี้ไม่น่าจะธรรมดา เพราะตอนที่ท่านประสิทธิพระเครื่องให้เขาเห็นแต่งตัวแบบเทวดา พอลืมตามาเห็นท่านยิ้มๆ

    มาครั้งหลัง เขาบอกว่ามาพบ หลวงปู่ท่านเป่าหัวให้สว่างไป ๗ วัน คุยกันไปคุยกันมา ผู้เขียนเลยให้เขานั่งดูลูกแก้วมหาจักรพรรดิ (แก้วสารพัดนึก)เขานั่งสักครู่ แล้วบอกว่าตรงกลางลูกแก้วเห็นเป็นแสงสว่าง เลยให้เขาเดินจิตไปไหว้พระพุทธเจ้า จนไปถึงพระพุทธรูปองค์ที่ ๔ พอไปถึงองค์ที่ ๕ พออธิษฐานก็เห็นพระหน้าตัก ๒๐ วา ตามที่หลวงปู่บอกไว้

    ลูกศิษย์หลวงปู่คนหนึ่งให้เขาอธิษฐานเข้าไปในองค์พระ เขาเห็น พระศรีอาริย์ นั่งอยู่ตรงกลาง หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืดอยู่ขวา หลวงปู่ดู่อยู่ซ้ายมือของพระศรีอาริย์ ลูกศิษย์หลวงปู่ดู่บอกว่าขอให้อธิษฐานว่า หลวงปู่ทวดกับหลวงปู่ดู่ เป็นองค์เดียวกันหรือไม่ หรือท่านจะเป็น อัครสาวกเบื้องซ้ายขวา ของพระศรีอาริย์ในอนาคต

    อธิษฐานเสร็จเขาบอกว่า เห็นทั้งสามองค์ มารวมเป็นหลวงปู่ดู่ แสดงว่าทั้ง สามองค์เป็น องค์เดียวกัน ตั้งแต่นั้นมาเขามีความเคารพหลวงพ่อมาก เพราะจากประสบการณ์ที่ลูกแก้วมหาจักรพรรดิ์แสดงให้เขารู้เห็นด้วยตัวเอง

    มีลูกศิษย์ของท่านเป็นคริสต์ แต่ได้มาปฏิบัติ ขณะที่นั่งปฏิบัติที่กรุงเทพ หลวงปู่ทวดมาโปรดในนิมิต เมื่อหลวงปู่ยกมือขึ้นประทานพร เขาเห็นรูปผีเสื้อ ตรงกลางฝ่ามือ เขารีบขับรถจากกรุงเทพฯ มาหาหลวงปู่ที่วัด หลังจากกราบหลวงปู่แล้วเขาก็ขอดู เห็นเป็นรูปผีเสื้อจริง หลวงปู่ท่านบอกว่า “หลวงปู่ทวด ไม่ใช่ข้าแสดงท่านเป็นครูบาอาจารย์ ท่านจะทำอย่างไรก็ได้ เออ...โมทนาสาธุด้วย”

    หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า มีชาวบ้านแถบวัดสะแกเป็นผู้หญิง ปฏิบัติเก่ง อยากเห็นพระศรีอาริย์ มาก จึงขอหลวงปู่ทวด ช่วยพาไปวิมานพระศรีอาริย์ เมื่อไปถึง เขาบอกหลวงพ่อว่าเป็นเหมือนโรงลิเกประดับประดาอย่างสวยงามหลวงปู่ทวดบอกว่า แกรอประเดี๋ยว พระศรีอาริย์ ท่านจะออกมาจากฉากคอยดูให้ดี หลวงปู่ทวดหายไปสักครู่ ก็มีพระศรีอาริย์เดินออกมาจากฉาก พอพระศรีอาริย์หายไป เป็นหลวงปู่ทวดเดินมา เธอเลยถามหลวงปู่ว่าไหนล่ะพระศรีอาริย์

    หลวงปู่บอกว่าแกก็ดูเองซิสลับกันไปมาเช่นนี้ จนปฏิบัติเสร็จเขาก็มาเล่าให้หลวงปู่ฟังท่านก็พูดกับผู้เขียนว่า “คนเราบางทีต้องอาศัยไหวพริบปฏิภาณ” แกเลยงงว่าใครคือพระศรีอาริย์ “แล้วแกล่ะว่าเป็นใคร” ท่านพูดแล้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี


    </TD></TR></TBODY></TABLE>​

     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 ตุลาคม 2012
  12. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    หลวงปู่ดู่ กล่าวถึง แดนพระนิพพาน
    http://ainews1.com/article509.html

    สำหรับผู้สนใจการ คืนกลับสู่พระนิพพาน หรือสภาวะจิตเดิม ของทุกคนหรือทุกๆสรรพสัตว์ เมื่อเข้ามาหาความรู้และช่องทางการปฏิบัติจิต ในวงการสอนในพระพุทธศาสนา ยังมีครูบาอาจารย์ท่านกล่าวถึงสภาวะพระนิพพาน แตกต่างกัน ใน 2 มิติหลักๆ ฝ่ายหนึ่งพูดถึงสภาวะด้านรูปนิมิต อีกฝ่ายหนึ่งพูดถึงความว่างในสภาวะจิตเดิม (พลังงานคลื่นความถี่สูง) และผู้ที่ฝึกก็สามารถเลือกปฏิบัติได้ทั้ง 2 แนวทาง แล้วแต่ชอบได้อีกด้วย และก็จะบรรลุผลสำเร็จตามต้องการได้เช่นเดียวกัน เช่นเน้นการฝึกในหมวดมหาสติปัฏฐานในส่วนจิตตานุปัสสนา ให้จิตบรรลุถึง ทาง หรือ มรรค จิตพลิกขึ้นสู่สภาวะจิตเดิม แยกออกจากกาย แล้วหมั่นดำรงค์อยู่ใน มรรค จนมีมรรคสมบูรณ์ จิตสะสมพลังงานคลื่นความถี่สูง เป็นพลังงานที่ไปลบล้างหรือทำลายอนุศัยกิเลส (มรรคประหารกิเลส) ที่นอนเนื่องอยู่ในจิตของผู้ปฏิบัติจนหมดสิ้น จิตก็จะอยู่ในสภาวะจิตเดิม ในสภาพสุญญตา หรือจิตสูญจากกิเลส เช่นหลวงปู่สิวลี ใช้เวลาตั้งแต่เริ่มการปลงผม พอบวชเป็นพระภิกษุเสร็จสิ้น หลวงปู่ก็บรรลุอรหัตผลแล้ว เป็นต้น

    ส่วนผู้ที่ฝึกสายทำฌาณทำสมาธิ ให้มีฤทธิ์ทางใจ สามารถนำจิตไปสัมผัส แดนต่างๆในมิติต่างๆรวมทั้งแดนพระนิพพาน ได้เช่นเดียวกัน เช่น มจ.วิภาวดีรังสิต ที่ฝึกจิตในสายฌาณกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ หรือพระราชพรหมญาณเถระ ก็ประสบผลสำเร็จถึงแดนนิพพานก่อนสิ้นชีพตักษัย...หากเลือกทางแนวนี้ ควรมีไกด์นำทางหรือพึ่งบารมีครูอาจารย์ จะได้สะดวกในการเดินทางและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ตน ในการได้พบปะบุคคลต่างๆ (รูป เสียง แสงพลังงานนิมิต) หรืออดีตพ่อแม่ที่เป็นพระอรหันต์

    การปฏิบัติทั้ง 2 รูปแบบ เป็นเหตุให้ผู้ที่ปฏิบัติ ยังไม่ถึงจุดหมายทั้ง 2 แนวทาง เกิดความสับสนพอสมควร อย่างใดที่สมควรจะยึดถือนำมาปฏิบัติ หากท่านเป็นผู้หนึ่งอยู่ในกลุ่มที่กล่าวถึง ลองมาฟังเหตุผลของท่านผู้ที่มีความแจ่มแจ้ง ในทั้งสองวิธีการได้จากบทความต่อไปนี้:


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600><TBODY><TR><TD style="WIDTH: 250px" width=250>[​IMG]


    </TD><TD vAlign=top>หลวง ปู่ดูลย์ อตุโล ท่านเป็นพระเถระ ลูกศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตะเถระ พระปรมาจารย์สายกรรมฐานของภาคอีสาน ผู้เขียนได้รับฟังข่าวคราวจากทางหนังสือพระเครื่อง เกี่ยวกับรูปถ่ายที่ช่างภาพถ่ายรูปท่านในท่านั่งห้อยขา แต่พอล้างฟิลม์ออกมา กลับมีรูปซ้อนเป็นภาพนั่งสมาธิ โดยที่ท่านไม่ได้เปลี่ยนอริยาบท ซึ่งเขาเรียกว่าเป็นกายทิพย์ที่ท่านแสดง ขณะนั้นผู้เขียนทำงานเป็นพนักงานสินเชื่อ หัวหน้าแม่สอด-แม่ระมาด จังหวัดตากอยากไปนมัสการท่าน
    ความตั้งใจตอนนั้นเพียงเพื่อไปขอวัตถุมงคลและมีความเชื่อลึกๆ ในใจว่าท่านเป็นพระอรหันต์



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    เมื่อหยุดพักร้อนจึงเดินทางไปหาเพื่อนซึ่งจบมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ รุ่นเดียวกัน ซึ่งรับราชการเป็นอาจารย์ที่วิทยาเขตเกษตรสุรินทร์ พอถึงสุรินทร์เรียบร้อยเพื่อนก็ถามว่าทำไมอยากมากราบหลวงปู่ ได้ตอบเพื่อนว่า”เขาว่าท่านเป็นพระอรหันต์เลยอยากมาขอเหรียญทีท่านปลุกเสก” โดยใจตอนนั้นไม่ปรารถนาธรรมอะไรจากท่าน เพราะอยู่ในช่วง เป็นนักล่าวัตถุมงคล

    พอผู้เขียนไปถึงวัด หลวงปู่กำลังตื่นจากจำวัตรพอดี เพราะขณะนั้นท่านอายุมากแล้วจำเป็นต้องพักผ่อน เมื่อทางพระอุปัฎฐาก อนุญาตให้เข้าพบ ผู้เขียนได้เข้าไปกราบท่าน และได้ถวายปัจจัยแล้วนั่งเงียบอยู่ ไม่ทราบจะเริ่มต้นอย่างไร เสียงหลวงปู่พูดขึ้นว่า “เณรไปหยิบเหรียญมาให้ข้าที เขาอยากได้” ผู้เขียนดีใจมากรับเหรียญมาเก็บไว้แล้วกราบลาท่านกลับ (มิได้เฉลัยวใจสักนิด ว่าเหตุไร หลวงปู่จึงทราบความในใจของเรา)

    ภายหลัง ได้อ่านหนังสือหลวงปู่ฝากไว้ ทำให้นึกเสียใจว่า ทำไมเราไม่ไปขอฟังธรรมจากท่านในตอนนั้นเพราะเนื้อธรรมที่แสดงนั้นเป็นธรรมล้วนๆ ไม่ว่าทั้งทางคดีโลกและคดีธรรม โดยเฉพาะเรื่องจิตคือพุทธะ และประโยคที่กินใจมากคือ “คนเราเป็นทุกข์เพราะความคิด”

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600><TBODY><TR><TD vAlign=top>มีคำพูด ของหลวงปู่ที่กล่าวถึงความว่าง หรือสูญญตาว่า เป็นสมบัติของจิตเรา หรือที่เรียกว่าจิตเดิมแท้ มีสภาพบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ถ้าเราทำให้ปราศจากความปรุงแต่ง จึงจะถึงสภาวะนี้ได้ แต่หลวงปู่ไม่ได้พูดถึงแดนนิพพานเหมือนกับสาย มโนมยิทธิของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ และหลวงพ่อดู่ พรหมปัญโญ สิ่งเหล่านี้อยู่ในความกังขาข้องใจของผู้เขียนมาก หลวงพ่อดู่ท่านคงรู้ความคิด ท่านจึงพูดว่า “นิพพานจริงๆ แล้วเป็นความว่าง ไม่มีอะไรเลย”</TD><TD style="WIDTH: 250px" width=250>
    [​IMG]




    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    </I>
    ผู้เขียนจึงเรียนถามว่าแล้ววิมานแก้วพระพุทธเจ้าที่เราขึ้นไปกราบกัน “ไม่ใช่หรือ” ท่านตอบว่า”ใช่” เป็นพุทธนิมิตเป็นเครื่องรองรับผู้ปฏิบัติ ทำให้นึกถึงในประวัติของพระอาจารย์มั่น ตอนที่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ มีพระพุทธเจ้าเสด็จมาแสดงนิมิตให้เห็น พระอาจารย์มั่นเกิดความสงสัย จนกระทั่งพระพุทธเจ้าท่านตรัสขึ้น “จนถึงบัดนี้เธอยังสงสัยอะไรอีกหรือ ตถาคตมาในรูปธรรม ไม่ได้มาในนามธรรม”

    นอกจากนี้พระพุทธเจ้ายังได้แสดงนิมิต ให้พระอาจารย์มั่นดู คือในสมาคม เณรน้อยอรหันต์มาถึงก่อนก็นั่งหัวแถว พระผู้ใหญ่,พระพุทธเจ้าเสด็จมาทีหลังก็นั่งตามลำดับมา ซึ่งพระอาจารย์มั่นก็เข้าใจว่า “ความบริสุทธิ์ของพระองค์เสมือน ไม่มีใครมากน้อยไปกว่ากัน “แสดงถึงว่า เมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์แล้ว ถึงวิมุติธรรม คือความเสมอภาคของธรรม แต่ถ้าเป็นพุทธประเพณี นิมิตนั้นก็แสดงอีกโดยพระพุทธเจ้านั่งเป็นประธานตามด้วยพระอัครสาวก และพระ ผู้ใหญ่ตามลำดับอาวุโส

    วันหนึ่งหลวงพ่อ(ดู่)ได้เล่าถึงการ ปฏิบัติ โดยท่านเป็นผู้บอกว่า “เมื่อไปถึงวิมานแก้วได้แล้ว เป็นวิมานแก้วของพระพุทธเจ้าก็เหมือนกุฏิของพระพุทธเจ้า นอกจากนี้ก็มีวิมานพระธรรม อยู่ไปทางขวามือของพระพุทธเจ้ามีตู้พระไตรปิฎกอยู่หลายตู้ เขียนเป็นภาษาบาลีอักษรขอม ถ้าอยากรู้แปลว่าอะไรให้ถามหลวงปู่ทวด ซ้ายมือเป็นวิมานของพระสงฆ์ มีพระสงฆ์อยู่พระพุทธเจ้าเป็นประธาน แกเดินจิตให้ดีจากวิมานแก้วจะไปถึงพระพุทธรูป 4 องค์ของกัปป์นี้ มีลักษณะหน้าตักกว้างไม่เท่ากันตามบารมี องค์แรกเป็นของพระกกุสันโธมีหน้าตักกว้าง 20 วา องค์ที่สองพระโกนาคม หน้าตัก 15 วา องค์ที่สาม ของพระกัสสปหน้าตัก 10 วา องค์ที่สี่ หน้าตัก 5 วา ถ้าเป็นพระศรีอริย์องค์ที่ห้า ยังไม่ปรากฎถ้าอธิษฐาน ขอดูจะพบว่ามีหน้าตักเท่ากับองค์แรก เพราะท่านสร้างบารมีมาถึง 16 อสงไขยกับแสนมหากัปป์ ทำจิตให้ดี เดินจิตให้ถึงที่หลังพระทั้ง สี่องค์ มีที่เวิ้งว้างไม่มีประมาณนั้นแหละคือ แดนพระนิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเลยเป็นสภาพของความว่าง แต่ไม่ใช่สูญนะแก”

    ผู้เขียนถึง บางอ้อในคำสอนของท่าน ซึ่งสุดท้ายก็มาอยู่ในแบบเดียวกัน ตรงกับที่หลวงปู่ดูลย์ พูดไว้ไม่มีผิดเพี้ยน แต่หลวงพ่อท่านสอนแบบพระโพธิสัตว์ที่บุญญาธิการเต็มเปี่ยมแล้ว สาธุ สาธุ สาธุ

    ที่มา : หนังสือร่มเงาพุทธฉัตร พระอาจารย์ศุภรัตน์เป็นผู้เขียน

    (จิตเดิมแท้ ที่หลวงปู่ดูลย์ และหลวงปุ่ดู่พูดถึงความว่างของพระนิพพานนั้น ผู้ที่ปฏิบัติในมหาสติปัฏฐาน จนเข้าถึงทาง หรือ มรรค แล้วปรากฏการณ์ที่จิตได้เห็น จะเข้าใจสิ่งที่หลวงปู่ดูลย์ พูดไว้ หรือสภาวะนิพพาน ที่หลวงปู่ดู่กล่าวถึง ชัดเจนด้วยจิตตนเอง

    ส่วนผู้ที่ฝึกมโนมยิทธิ ในขั้นที่จิตมีกิเลสเหลือน้อยแล้ว จิตได้ไปสัมผัสรูปนิมิตต่างๆในสภาวะนิพพานได้ เหมือนกับผู้ฝึกได้ทำจิตของตนให้ว่างๆไว้ ภาพต่างๆก็จะมาปรากฏให้เห็นตราบใดที่สักแต่เห็นเฉยๆไม่มีการปรุงแต่ง ก็จะได้เห็นภาพต่างๆทั้งในอดีต จนกระทั่งต่อไปในอนาคต ทำให้เห็นเหตุปัจจัยต่อไปถึงผลที่จะเกิดในอนาคต เป็นวงรอบ ทำให้เข้าใจสิ่งต่างๆมันเป็นเหตุเป็นผลกันและกัน ไม่มีอะไรเป็นเรื่องบังเอิญ เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่มีอะไรเป็นของจริง นอกจากจิตที่เป็นหนึ่งเท่านั้น นั่นคือสภาวะจิตเดิมแท้นั่นเอง


    credit: http://www.ainews1.com/article509.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 ตุลาคม 2012
  13. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    ข้าจะคอยช่วย ศรัทธาข้าจริง นับถือข้าจริง ข้าอยู่ใกล้ๆแกจำไว้
    เถระอมตะวาจาของหลวงปู่ดู่
    http://ainews1.com/article510.html

    [​IMG]
    หลวงพี่ท่านหนึ่งจากวัดพระราม 9 ได้โพสท์ความประทับจิตประทับใจ กับหลวงปู่ดู่ ดังเนื้อหาต่อไปนี้ :
    เมื่อประมาณเดือน พฤษภาคม ๒๕๕๐ ที่ผ่านมา อาตมามีความศรัทธาที่จะทำผอบทองคำ เพื่อที่จะบรรจุอัฐฐิธาตุของหลวงปู่ดู่แต่มีปัญหาว่าจะหาอัฐิธาตุของหลวงปู่ได้ที่ไหน แล้วก็ไม่ทราบด้วยว่า ใครมีอัฐิธาตุของหลวงปู่ ก็เลยคิดว่าไม่เป็นไรเดี่ยวจะขอจากรูปเหมือนของหลวงปู่ หล่อด้วยปูนซีเมนต์ ขนาด ๕ นิ้ว ซึ่งได้มาจากวัดสะแก
    ครั้งแรกที่ได้ไปกราบหลวงปู่ โดยโยมเป็นผู้ถวายให้มา เมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมา ต่อมาเมื่อวัน อาทิตย์ที่ ๑ กรกฏาคม ๒๕๕๐ อาตมารู้สึกอยากไปวัดสะแก ไปกราบหลวงปู่ และตั้งใจจะไปถวายผ้าไตรจีวร และยารักษาโรคกับหลวงน้าสายหยุด อยากไปกราบท่านเพราะครั้งแรกที่ไป ไม่ได้ไปกราบท่าน อีกใจหนึ่งก็อยากไปขออัฐฐิธาตุหลวงปู่ที่วัด

    แต่ผอบทองคำที่สั่งทำก็ยังไม่เสร็จ ก็เลยคิดว่าจะเอาผอบพลาสติก (ทำจากเรซิน) ไปใส่อัฐฐิธาตุหลวงปู่ก่อน จำได้ว่าออกจากวัดพระราม ๙ ประมาณ ๑๐โมงเช้าโดยมีโยมพี่ชายเป็นคนขับรถให้ มีโยมแม่ พี่สาวและน้องสาวไปด้วย ระหว่างทางได้คุยกับโยมในรถ ว่าได้มีศรัทธาทำผอบทองคำแต่ยังทำไม่เสร็จ ตั้งใจว่าจะเอาผอบทองคำไปบรรจุในเจดีย์ที่ไหนสักแห่งหนึ่งในอนาคต โดยอยากได้อัฐฐิธาตุของหลวงปู่ดู่บรรจุลงในผอบทองคำ แล้วนำไปบรรจุในเจดีย์สืบต่อไป
    ก่อนถึงวัดสะแกแวะฉันภัตหารเพลที่ปั๊มน้ำมันใกล้วัดก่อนเพราะพระที่วัดท่านฉันเพลพอดี ถึงวัดสะแกประมาณ ๑๒.๑๐ นาที แวะกราบหลวงปู่ที่พิพิธภัณฑ์ และถ่ายรูปกับโยมเป็นที่ระลึกแล้วจึงไปที่ศาลา ที่มีพระศรีอริยเมตไตร รูปหล่อหลวงปู่ รูปหล่อหลวงปู่ทวด และเป็นที่จำหน่ายวัตถุมงคลของหลวงปู่ อาตมาเดินขึ้นไปบนศาลาเป็นคนแรก ผลักประตูกระจกเข้าไปในศาลา โดยมีโยมแม่ พี่และน้อง ตามหลังเข้ามาห่างๆ

    ในศาลา อาตมากวาดสายตาดูไปรอบๆศาลา มองไปข้างหน้าเป็นรูปพระศรีอริยเมตไตร ทางซ้ายและขวาเป็นรูปหล่อหลวงปู่ทวดและหลวงปู่ดู่ ทางด้านขวามือสุดเป็นที่จำหน่ายวัตถุมงคลของหลวงปู่ มีพระสงฆ์ ๑ รูปกับโยมผู้ชาย ๓-๔ คนคอยให้ความสะดวกกับผู้ที่ต้องการบูชาวัตถุมงคล ส่วนทางด้านซ้ายมือสุดมีญาติโยมนั่งอยู่ ๓-๔ คนเช่นกัน แต่ในขณะที่อาตมาก้าวเดินเข้าไปในศาลาได้ ๓-๔ ก้าว สายตาของอาตมาก็ไปเห็นโยมผู้หญิงคนหนึ่ง ใส่เสื้อลายดอกไม้นุ่งผ้าถุงอายุ ประมาณ ๔๕ปี ดวงตาเบิกกว้างเป็นประกาย มองมาที่อาตมา แล้วยิ้มให้เหมือนกับดีใจอะไรสักอย่าง พร้อมกับรีบคลานเข้ามาหาอาตมา
    อาตมารู้สึกว่าโยมผู้หญิงมีอะไรจะคุยด้วย เพราะอากัปกิริยาของโยมผู้หญิงที่กำลังคลานเข้ามาบอกเป็นนัยๆ อาตมาจึงคุกเข่าลงแล้วถามว่า โยมน้ามีอะไรกับอาตมารึเปล่า โยมกราบ ๓ ครั้ง แล้วพูดออกมาประโยคหนึ่งที่ทำให้อาตมาต้องตกตะลึงว่า จะเอาพระธาตุมาถวายเจ้าค่ะ พระธาตุๆของใครอาตมาถาม เงียบ โยมน้าไม่ตอบ แต่กับพูดออกมาอีกประโยคหนึ่งซึ่งทำให้อาตมาต้องขนลุกด้วยความปิติว่า พระท่านบอกว่า ถ้ามีพระมาให้เอาพระธาตุถวายท่าน อาตมานิ่งไปชั่วขณะ มือล้วงลงในย่ามหยิบผ้ารับประเคน ออกมารับประเคนพระอัฐฐิธาตุจากโยมน้า

    อัฐิธาตุบรรจุอยู่ในผอบพลาสติก(เรซิน)ขนาดประมาณผลองุ่น อะไรกันนี่ หลวงปู่เมตตามอบให้ทันที่ทันใด โดยยังไม่ได้เอ่ยปากขอใครเลย ส่วนโยมน้าผู้หญิงถวายเสร็จกราบ ๓ ครั้งแล้วออกไปจากศาลาไม่กลับมาอีกเลย เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมากไม่เกิน ๑ นาทีด้วยซ้ำไป ทีแรกอาตมาคิดว่าสงสัยทางวัดคงจะแจกให้บุคคลทั่วไป อาตมาจึงเดินไปดูบริเวณ ที่โยมน้าผู้หญิงนั่งซึ่งอยู่ใกล้ๆประตูกระจกทางซ้ายมือ ที่จะออกไปเป็นกุ ฎิหลวงปู่ ไม่เห็นมีผอบที่บรรจุพระธาตุ เตรียมแจกบริเวณนั้นอยู่เลย และอีกอย่างหลวงปู่ท่านมรณภาพปี ๒๕๓๓ ถ้าจะแจกก็น่าจะแจกในปี ๒๕๓๔ เพราะพระราชทานเพลิงในปีนี้
    นี่ก็ปี ๒๕๕๐ แล้ว ไม่น่าจะมีการแจกในปีนี้ อีกประการหนึ่งเมื่อพระราชทานเพลิงแล้ว อัฐฐิธาตุก็จะเก็บที่วัดอาจจะมีการ แจกถวายพระเถระผู้ใหญ่ น่าเสียดายที่อาตมาไม่ได้ทันถามโยมน้าที่ว่า พระท่านให้มาถวาย คำว่า พระท่าน คือใคร หลวงปู่ หรือ พระเถระรูปใดรูปหนึ่งที่อยู่ในวัดก็เป็นได้ ซึ่งท่านอาจทราบความประสงศ์ของ อาตมาแล้วไม่สะดวกที่จะเปิดเผยตัวท่านจึงให้โยมน้าผู้หญิงมาถวายแทนท่าน หรือประการสุดท้ายหลวงปู่อาจจะบอกพระสงฆ์ให้นำมาให้ก็เป็นได้ ท่านผู้อ่านล่ะคิดว่าอย่างไร.

    (ลักษณะอาการโยมน้า แต่งตัวแบบคนโบราณ และดวงตาก็เป็นประกายพิเศษ ออกจะไม่ใช่มนุษย์เดินดิน และมาจากทางกุฏิหลวงปู่อีกด้วย ทำภารกิจ ที่พระสั่งมาเสร็จ ก็รีบหลบหายตัวไป ท่านนึกออกหรือยังว่าไม่ใช่ใครที่ไหน ก็เทวดาประจำวัดนี้นั่นเอง ที่หลวงปู่มอบหมายภารกิจสำคัญมา หากหลวงพี่จะสังเกตที่ดวงตาของโยมน้า น่าจะไม่กระพริบตา เหมือนเช่นคนทั่วไป...ขอโมทนาด้วยกับท่าน เทพธิดานะ ระหว่างพิมพ์ข้อความนี้ ยังส่งกลิ่นหอมมาแต๊ะจมูกอีกด้วย)


    อาตมาใช้เวลาอยู่ในวัดสะแกประมาณ๔ชั่วโมง ไม่พบโยมน้าผู้หญิงอีกเลยจนกระทั่งกลับเข้ากรุงเทพก็ได้เล่าเรื่องที่ได้อัฐ ฐิธาตุให้โยมแม่ พี่และน้องฟังขณะอยู่ในรถพร้อมหยิบผอบเรซิน ออกจากย่ามให้ดู น้องสาวยังบอกอาตมาว่าแปลกมากนึกว่ารู้จักกับโยมน้าเพราะเห็นคุยกัน
    มาถึงตรงนี้แล้วรู้สึกซาบซึ้งในพระกรุณาของหลวงปู่ พระกรุณาของพระท่านที่เมตตาให้ในสิ่งที่คิดว่าหาได้ยากและเป็นไปได้ยาก แต่ก็เป็นไปได้และเกิดขึ้นแล้ว ทำให้หวลคิดถึง เถระอมตะวาจาที่ว่า ข้าจะคอยช่วย ศรัทธาข้าจริง นับถือข้าจริง ข้าอยู่ใกล้ๆแกจำไว้ ต่อให้ร้อยภาษา ล้านตัวอักษร ก็ไม่อาจแทนใจของอาตมาที่มีต่อหลวงปู่ดู่ได้.

    เรื่องราวทั้งหมดของอาตมาก็มีด้วยประการฉะนี้.....หลวงตาม้าตอบปัญหา ให้ลูกศิษย์ ที่หลวงตาลงมาที่ กทม. ว่าภาพของหลวงปู่ดู่ มีชีวิต ให้ทำใจสบายๆ เราก็จะพูดคุยกับหลวงปู่ได้ทุกเรื่อง พลังงาน แสง สี เสียง ของหลวงปู่ดู่ ไม่ได้หายไปที่ไหน คงอยู่ใกล้ๆ ตัวของผู้ที่เคารพศรัทธาหลวงปู่ อย่างแท้จริง มาถึงตรงนี้ บางท่านที่ต่อยังไม่ค่อยติด ขอให้ลองแวะที่ลิงค์นี้ ค่อยๆศึกษาดู

    credit: http://www.ainews1.com/article510.html
     
  14. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    การดูกายทิพย์ ในวิชชาของหลวงปู่ดู่ วัดสะแก
    http://www.ainews1.com/article528.html






    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600><TBODY><TR><TD style="WIDTH: 250px" width=250>[​IMG]










    </TD><TD vAlign=top>เป็นข้อมูลจากเว็บเก่าของวัดถ้ำเมืองนะ ที่ได้นำมาลงในเว็บไซท์ปัจจุบัน ให้ผู้สนใจศึกษากัน

    ขอนำเรื่องราวบางอย่างที่ได้เรียนรู้มาจาก หลวงตาม้าสมัยบวชเรียนอยู่กับท่านที่วัดถ้ำเมืองนะ นำมาถ่ายทอดเรียบเรียงเป็นบทความนี้เป็นธรรมทานครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย


    การดูกายทิพย์และวิธีการทรงกายจักรพรรดิ
    ร่างกายที่เราใช้ในการดำเนิน ชีวิตอยู่ทุกวันนี้ เป็นแค่ ธาตุ 4 ที่รวมตัวกันขึ้นมา ประกอบเป็นสิ่งที่โลกๆเรียกว่า เราแต่แท้จริงแล้วนี้ไม่ใช่เรา ไม่มีส่วนไหนในร่างกายอันเน่าเหม็นสกปรกนี้ ที่เป็นเราแม้แต่อย่างเดียว ทุกอย่างกำลังแก่ตัวลงตามกาลและเวลาและในไม่ช้า จะสลายตัวคืนสู่ธรรมชาติไปในที่สุด



















    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    กายทิพย์ คือรูปและนามที่ประกอบขึ้นจากจิต และมีความเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะอารมณ์ของ จิต กายทิพย์คือกายที่ซ้อนอยู่ในกายเน่าๆกายนี้ กายเน่าๆกายนี้ที่กายทิพย์ซ้อนอยู่ เป็นเพียงเปลือกเท่านั้น ทุกวันนี้เราเหมือนตัวทากที่อาศัยอยู่ในเปลือก ซึ่งเปลือกนี้แลที่เป็นสิ่งสำคัญที่จะดำรงอยู่ในภพมนุษย์ได้ เมื่อเปลือกแตกไป จิต กายทิพย์นี้ก็ไม่อาจทรงอยู่ในภพมนุษย์ได้อีกต่อไป ซึ่งเป็นที่ๆเราเอาร่างกายเนื้อมารับกรรม ใช้กรรม หรือ มาสร้างบุญบารมีมาปฎิบัติ ฯลฯ

    ต่อไปนี้จะลงลึกในส่วนกายทิพย์ ซึ่งเป็นรูปและนามที่ประกอบขึ้นถูกตกแต่งจาก อำนาจกรรม (ใครจะใหญ่เกินกรรม) และ สภาวะจิต ที่ส่งผลต่อกายทิพย์โดยตรงว่าจะมีรูปร่างเช่นไร

    กำหนดดูกายทิพย์
    หากกำหนดดู ทำใจให้สบายๆ อธิษฐานขอกำลังหลวงปู่ ขอดูเพื่อศึกษา แล้วกำหนดไป จับอารมณ์แรก จิตจะเห็นถึงกายทิพย์ที่ซ้อนอยู่ ไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องเกร็งวางใจสบายๆ ทรงอารมณ์กระแสหลวงปู่ที่ไหลผ่านเข้าสู่จิตเราให้มีกำลัง แล้วน้อมไปอารมณ์คล้ายการนึกแล้วเห็น แต่ไม่ใช่อุปาทาน ขอแค่ใจสบายและอาราธนากำลังหลวงปู่มาก่อนกำหนดทุกครั้ง แล้วไม่ต้องลังเลไม่ต้องสงสัย ให้มีความกล้า นึกกำหนดไป หลวงตาเมตตาสอนว่าอุปาทานต่างๆ หลวงปู่ท่านคุมปิดให้หมด เราไม่ต้องกังวล

    นิมิตที่เห็นนั้นจริงทุกประการ ซึ่งหลักการนี้ยังใช้กับการกำหนดดูภพภูมิด้วย และที่สำคัญที่สุด และเป็นพื้นฐานหัวใจที่สำคัญที่สุดของวิชาเปิดโลกทั้งหมด คือ พรหมวิหาร ซึ่งหลักการง่ายๆ ไม่มีอะไรมากเลยหลวงตาสอนว่า " รักทุกคน ไม่เกลียดใคร ไว้ใจบางคน" ซึ่งแปลถึงว่าเราไม่มีอคติใดกับใครๆ รักทุกคนโดยไม่มีสิ่งใดแฝง แต่ในทางเดียวกัน ก็เป็นการมีเมตตาอย่างมีปัญญา ทั้งนี้ในการทรงอารมณ์หลวงปู่ ในการน้อมไปดูนั้น การกำพระผงจักรพรรดิ จะช่วยได้มากสำหรับคนที่ฝึกใหม่ๆ ที่อำนาจจิตยังทรงกำลังหลวงปู่ได้ไม่นิ่งพอ

    หลวงปู่ดู่เป็นพระมหาบรมโพธิสัตว์เจ้าบารมีรวม ทั้งก่อนและหลังรับพยากรณ์ถึง 80 อสงไขย กับเศษแสนมหากัป และ สร้างบารมีพิเศษด้านกำลังจักรพรรดิ และเป็นผู้ที่จักมาตรัสรู้เป็นพระศรีอาริยเมตไตรยในอนาคตกาล อีกประมาณล้านปี มนุษย์ ขอจงมั่นใจในกำลังและเมตตาท่านเถิด

    คำแนะนำ - อย่าทิ้งการปฎิบัติภาวนา ตลอดชีวิต จนกว่าลมหายใจจะหมดไป
    ประเภทของกายทิพย์

    1. กายสัตว์นรก
      - เป็นกายทิพย์ที่จะปรากฎกับผู้ที่อำนาจจิตใจอยู่ในกิเลศอย่างเข้มข้น มีจิตใจที่เร่าร้อน ไม่สงบ วุ่นวายมีความคิดที่น้อมไปสู่อกุศล กายสัตว์นรกยังจำแนกออกไป ตาม อบาย ขั้นต่างๆ เช่นเปรต หรือนรกชั้นต่างๆซึ่งความน่าเกลียดน่ากลัวของกายทิพย์เหล่านี้ก็แตกต่างกัน ออกไปตามชั้นของสถาวะจิตที่อยู่ในอารมณ์แห่งบาปเพียงใดเมื่อเราสามารถที่จะกำหนดดูกายทิพย์เหล่านี้ได้ เมื่อเราเห็นกายสัตว์นรกเราก็สามารถน้อมกระแสดูต่อได้ว่า เมื่อเขาตายไป จะไปตกนรก ชั้นใดแต่ในทางกลับกัน แทนที่จะปล่อยให้เขาตกนรก เราก็สัพเพครอบวิมานให้ เขาเพื่อปรับพื้นฐานจิตใจเขาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เมื่อครอบวิมานกำลังบารมีบุญตัวนี้จักไหลเข้าสู่กายทิพย์เขาทำให้เขาจะมี โอกาสที่จะดีขึ้นเรื่อยๆได้
      หากไม่พ้นวิสัยของกรรมก็อาจรอดนรกได้ในที่สุด
    2. กายในของสัตว์
      - เมื่อพูดถึงกายในของสัตว์คนส่วนใหญ่คงนึกกันว่าจะมีลักษณะเหมือนสัตว์ชนิด นั้นๆ เช่นเมื่อสุนัขตายไป ก็ จะมีวิญญานในรูปร่างลักษณะ ของสุนัข แต่แท้จริงแล้วหาใช่เป็นยังงั้นเลย สุนัขที่เราเห็นนั้น แท้จริงกายในก็มีลักษณะคล้ายกับรูปร่างมนุษย์ที่ขดตัวลงไปคลาน 4 ขาในร่างของสุนัข และนับว่าเป็นความทรมานอย่างยิ่ง ภูมิของสัตว์พระพุทธเจ้าจึงจัดเป็นอบายภูมิชนิดหนึง แต่ทั้งนี้กายทิพย์ที่อยู่ในร่างของสัตว์ก็ยังมีลักษณะความหยาบละเอียดแตก ต่างกันไป เช่นหากเห็นสุนัขเรื้อนตามวัดวา พวกนี้ส่วนใหญ่คือสัตว์นรกที่ขึ้นมาชดใช้กรรมต่อในภูมิของสัตว์ ส่วนสุนัขที่เราเห็นอยู่ดีกินดี ก็ จะมีกายทิพย์ที่ยังเป็นกลางๆอยู่ ส่วนหากเป็นพระโพธิสัตว์ที่มีบุญญาบารมีหรือผู้มีธรรม โดนกรรมวิสัย
      ทำ ให้ต้องเกิดเป็นสัตว์ เช่นเกิดเป็นช้าง นก ฯลฯ จะมีความบริสุทธิ์ของกายทิพย์ที่มากกว่าสัตว์ทั่วไป แต่ทั้งนี้สำหรับโพธิสัตว์ที่บารมีเต็มแล้วจะไม่มีการไปเกิดเป็นสัตว์ หรืออบายภูมิใดๆ อีกเลย จักขึ้นลงเพียง ภูมิมนุษย์ กับภูมิ เทวดา พรหม
    3. กายมนุษย์
      - มีความคล้ายคลึงกับร่างกายที่เราครองอยู่ในชาติปัจจุบันมากที่สุด เพราะกรรมตกแต่ง กายทิพย์มนุษย์ คือกายที่อยู่ตรงกลางของประเภทกายทิพย์ทั้งหมด โดยกายทิพย์มนุษย์โดยทั่วไปสภาวะ อารมณ์จะอยู่กลางๆ คาบเกี่ยวระหว่างบาปและบุญ ขึ้นๆลงๆ ไม่คานกันมากนัก แต่ทั้งนี้ก็ยังแตกต่างกันอยู่ในเรื่อง ความหมองคล้ำ หรือความใสของกายทิพย์ สำหรับกายทิพย์มนุษย์ที่หมองคล้ำนั้น เหตุเกิดจาก ศีล 5 ไม่ครบ ยิ่ง มากข้อก็ยิ่งหมองและสุดท้ายนำพาไปสู่การเป็นกายทิพย์สัตว์นรกในที่สุดส่วน สำหรับมนุษย์ที่มีศีล 5 เป็นพื้นฐาน กายทิพย์จะมีความละเอียดมากกว่ายิ่งสถาวะอารมณ์ดีด้วย ก็ยิ่งมาก และเข้าใกล้สู่การเป็นกายทิพย์เทวดาต่อไป
    4. กายเทวดา
      - คือผู้ที่สามารถทำสภาวะจิตจนตั้งมั่นอยู่ในบุญตลอดเวลา เป็นปกติ มีหิริโอตะปะ ความละอายในบาป เป็นปกติมีศีลบริสุทธิ์ และมี อารมณ์เมตตาระดับหนึง แม้จะมีอารมณ์ขุ่นเคืองบ้างในบ้างครั้งแต่ก็เบาบางมาก และหายไปทันทีและจิตก็กลับมาทรงอารมณ์ที่อยู่ในบุญทันที กายทิพย์ตั้งแต่ระดับเทวดาขึ้นไปจะมีเครื่องทรงที่มาจากอำนาจบุญที่เคยกระทำ ไว้ ไม่ว่าทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขาและรวมถึงความเข้มข้นของอารมณ์จิตที่ตั้งมั่นในบุญและความละเอียดของ จิต ซึ่งจะส่งผลต่อความะเอียดของกายเทวดาว่าจะสามารถเข้าถึงสวรรค์ชั้นใดได้ จาก 6 ชั้น ซึ่งขึ้นอยู่กับบุญบารมี ด้วย จึงขึ้นอยู่กับเราที่จะทรงกายเทวดาได้ละเอียดแค่ไหนวิมานของเทวดาเองก็มี ความละเอียดประณีตแตกต่างกันตามกำลังบุญของเจ้าของวิมานนั้นๆ
    5. กายพรหม
      - มีความคล้ายคลึงกับกายทิพย์เทวดาแต่จะมีความละเอียดกว่ามากเครื่องทรงจะมี ความละเอียดกว่ามากและเบาบางลึกซึ้งสุขุม การจะทรงกายทิพย์ของพรหมได้จักต้องมีอารมณ์ตั้งมั่นและสมาธิของจิตที่ดีมาก อารมณ์ใจสบายอย่างที่สุด และ มีพรหมวิหาร เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขาอย่างเข้มข้นครบถ้วน ซึ่งเป็นพรหมวิหารธรรม ความหมายตรงตามชื่ออยู่แล้ว
    6. จิตพรหมลูกฝัก
      - ไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรมากเป็นเรื่องของคนที่เล่นณานสมาบัติขั้นสูงๆกัน พบมากในฤาษีและผู้ปฎิบัติบางสายที่เข้าใจผิดขั้นสุดท้ายว่านี้คือนิพพาน สถาวะนี้จิตจะไร้รูปไร้ร่าง ฯลฯ เมื่อตายไปจะไปติดแหง่กอยู่ในอรูปพรหม 4 ไปไหนไม่ได้ นิ่งอยู่อย่างนั้นไปไหนไม่ได้จนกว่าจะหมดกำลัง พอหมด หากมีกรรมบาปที่เคยทำเผลอๆดิ่งลงนรกต่อภูมินี้ให้อธิษฐานไว้เลยว่านับแต่บัด นี้ ตราบเข้านิพพานเราขอ ปิด อรูปพรหม 4 อย่างเด็ดขาด รวมถึงอบายภูมิ 4 แต่อธิษฐานอย่างนี้ ก็ต้องปฎิบัติด้วยต้องทำด้วยไม่งั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร
    7. กายทิพย์ของพระอริยะเจ้า
      - มีเครื่องทรงที่ใสคล้ายแก้วมีความบริสุทธิและละเอียดสูงส่ง ยิ่งตัดกิเลสมากข้อเท่าใดเข้าใกล้ความเป็นอรหันต์เพียงใดไล่ไปตั้งแต่ พระโสดาบัน พระ สกิทาคามี พระอนาคามีกายทิพย์รวมถึงเครื่องทรงก็ยิ่งใสเป็นแก้วมากขึ้นเท่านั้นส่วนถ้า ถึงกายทิพย์พระอรหันต์นั้นกายจะใสบริสุทธิ์หมดจดเป็นแก้วเป็นสภาวะกายทิพย์ ที่อยู่เหนืออำนาจของโลกสมมุติใดๆ และเมื่อละสังขารไป ก็จักเข้าสุ่แดนพระนิพพาน วิมานเป็นแก้วกายทิพย์ก็จักเป็นกายทิพย์พระวิสุทธิเทพ รูปลักษณ์กายพระอริยะเจ้านอกจากจะเป็นแบบมีเครื่องทรงโดยส่วนใหญ่ก็พบว่าจะอยู่ในลักษณะพระสงฆ์ได้ด้วย คือกายทิพย์ห่มบวชเป็นพระเลยก็อยู่ที่ความประสงค์ของพระอริยะองค์นั้นๆ แต่ส่วนมากครูบาอาจารย์ที่เป็นพระเวลาท่านไปโปรดใครท่านจะไปในรูปลักษณ์พระเป็นส่วนใหญ่
    8. กายทิพย์พระวิสุทธิเทพที่ประทับที่พระนิพพาน
      เครื่องทรงแตกต่างกันตาม สาวกภูมิ ปัจเจกภุมิ พุทธภูมิ แต่ความบริสุทธิ์เหมือนกันวิมานที่พระนิพพานก็แตกต่างกันตาม สาวกภูมิ ปัจเจกภุมิ พุทธภูมิ สภาวะนิพพานทุกอย่างเป็นแก้ว บริสุทธิ์ลักษะเหมิอนเพชรประกายพรึกเมื่อต้องแสงแดด เป็นแดนทิพย์และสภาวะทิพย์พิเศษที่อยู่นอกเหนือจากอำนาจใดๆ ทั้งสิ้นไม่ใช่อัตตา และไม่ใช่อนัตตา ไม่ไช่สูญ เป็นวิมุติเหนือโลกเฉพาะผู้เข้าถึงจักเข้าใจถึงอารมณ์นี้อย่างถ่องแท้ปถุชน ทั่วไปก็ฟังเอาตามผู้ที่เข้าถึงแล้ว แต่ทั้งนี้พระวิสุทธิเทพหากท่านจะโปรดใครหรือใครกำหนดไปหาท่านท่านก็จะแสดง เป็นรูปลักษณ์พระพุทธเจ้าห่มจีวร(หากเป็นพระวิสุทธิเทพพุทธภูมิ)หรือเป็นรูป ลักษณ์พระสงฆ์หากเป็นพระวิสุทธิสาวกภูมิ เรื่องวิมานนี้ก็นิยามได้ว่าพลังงานนั้นต้องมีทั้งรูปและนามถึงจะทรงตัวอยู่ ได้วิมานแต่ละแบบที่จะรองรับกายทิพย์เรา ณ สวรรค์แต่ละชั้นนั้น ก็เป็น เหมือนภาชนะรองสภาวะจิตตามกำลังนั้นๆ เป็นทั้งรูปและนามเกาะกันอยู่ แต่นั้นยังเป็นแบบสมมุติ วิมานแก้วที่พระนิพพานนั้นก็เป็นเหมือนภาชนะรองรับสภาวะธรรมที่เป็นที่สุด แล้ว มีทั้งรูปและนามประกอบกัน แต่เป็นรูปนาม แบบวิมุติและสุดท้ายจริงๆแล้ว รูปนามแบบวิมุตินี้ก็คือไม่มีอะไร นิพพานคือนิพพาน สภาวะอันปราศจากทุข์ แต่ไม่ใช่สูญ ที่สูญไปคือกิเลศ
    วิธีการทรงกายจักรพรรดิ








    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600><TBODY><TR><TD vAlign=top>ก่อนจะเข้าสุ่การทรงกายจักรพรรดิ ให้ฝึกการบวชจิตให้เป็นปรกติ

    การบวชจิต-บวชใน
    หลวงปู่ปรารภว่า... จะเป็นชายหรือหญิงก็ดี ถ้าตั้งใจประพฤติปฏิบัติมีศีล รักในการปฏิบัติจิตมุ่งหวังเอาการพ้นทุกข์เป็นที่สุด ย่อมมีโอกาสเป็นพระกันได้ทุกๆคน มีโอกาสที่จะบรรลุมรรค ผล นิพพาน ได้เท่าเทียมกันทุกคนไม่เลือกเพศ เลือกวัย หรือฐานะ แต่อย่างใด ไม่มีอะไรจะมาเป็นอุปสรรคในความสำเร็จได้ นอกจากใจของผู้ปฏิบัติเอง ท่านได้แนะเคล็ดในการบวชจิตว่า.....
















    </TD><TD style="WIDTH: 300px" width=300>
    [​IMG]









    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    " ในขณะที่เรานั่งสมาธิเจริญภาวนานั้น คำกล่าวว่า

    พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ให้นึกถึงว่าเรามีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัฌาย์ของเรา
    ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ... ให้นึกว่าเรามีพระธรรมเป็นพระกรรมวาจาจารย์
    สังฆัง สรณัง คัจฉามิ... ให้นึกว่าเรามีพระอริยสงฆ์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    แล้วอย่าสนใจขันธ์ 5 หรือร่างกายเรานี้ ให้สำรวมจิตให้ดี มีความยินดีในการบวช
    ชายก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุ หญิงก็ตั้งจิตเป็นพระภิกษุณี อย่างนี้จะมีอานิสงส์สูงมาก จัดเป็นเนกขัมบารมีขั้นอุกฤษฎ์ทีเดียว " กายทิพย์ของเรานั้นหาก่อนภาวนาเราได้ตั้งจิตบวชพระแล้ว ระหว่างที่ภาวนาอยู่กายทิพย์เราก็เป็นพระมีรัศมีกายทิพย์สว่างมากอย่างนี้จะมีอานิสงส์พลังบุญสูงมาก

    ภาวนาได้ง่าย เนื่องจากตั้งจิตไว้ในศีลและฐานะอันสูง อย่างนี้เรียกว่าบวชจิต ซึ่งการบวชจิตด้วยใจกุศลศรัทธานั้น มีอานิสงค์ดีกว่าผู้ที่บวชรูปลักษณ์ภายนอกแล้วไม่บวชจิตเสียอีก แต่หากบวชได้ทั้งนอกและในอานิสงค์ก็ทวีคูณแต่สำหรับฆราวาสผู้ครองเรือนนั้น เวลาสวดมนต์หรือภาวนาทำสมาธิ ตั้งจิตบวชเป็นพระแล้วอานิสงค์มากภาวนาได้ง่าย หลวงตาท่านสอนไว้ว่าหากเราภาวนาคาถาจักรพรรดิสบายๆ ทรงไว้ ภาวนาบ่อยๆ กายทิพย์จิตจะทรงเครื่องจักรพรรดิ เพราะว่าเป็นไปตามพลังงานที่เราสวด พอเป็นเช่นนี้แล้วอารมณ์สภาวะทิพย์นั้นจะทรงตัวได้เข้มขึ้นส่งผลดีต่อการปฎิบัติ

    การทรงกายจักรพรรดิ
    เราสามารถจะทรงกายพระจักรพรรดิได้ก็ต่อเมื่อเราสามารถปรับสภาวะจิตให้เข้าถึงกายทิพย์ตั้งแต่กายเทวดาขึ้นไป คุณสมบัติพิเศษของกายทิพย์ คือ เมื่อเราทรงกายเทวดา หรือ พรหม เราก็ทรงเครื่องจักรพรรดิเข้าไปอีกซึ่งจะทำให้มีกำลังบุญมาก เครื่องทรงจักรพรรดินี้ก็จะทรงที่กายทิพย์ ตั้งแต่ชั้นเทวดาขึ้นไปตราบใดที่อารมณ์จิตยังไม่ตก สำหรับผู้ที่ฝึกบ่อยๆเข้าจนชำนาญแล้ว ก็จะสามารถทรงเครื่องจักรพรรดิเป็นปกติไปเลย เวลา ไปที่ไหน เมื่อเราทรงกำลังบุญเปิดโลก รัศมีจะแผ่ในโลกทิพย์กว้างไกล การสัพเพมีกำลังมาก ฯลฯเรียกได้ว่าหากจะชำนาญในวิชาขั้นสูงของวิชาเปิดโลกได้ก็ต้องฝึกทรง เครื่องจักรพรรดิให้ชำนาญ ที่สำคัญอารมณ์ต่างๆ อย่าไปหมายมั่นว่าฉันจะทรง ให้เราทำอารมณ์ใจสบายๆ ก็พอ พยายามทำใจให้ถึงสภาวะของกายทิพย์ที่อธิบายไว้ตั้งแต่ชั้นเทวดาขึ้นไป ทำไปเพื่อความดี เพื่อความระงับกิเลศ เดี๋ยวก็ได้เองถึงเอง

    การทรง คือการทรงคาถาจักรพรรดินั้นเอง คาถาจักรพรรดิหลวงปู่เข้าถึงได้หลายระดับเมื่อเราเข้าถึงระดับที่ทรงคาถาจักรพรรดิจนเป็น อารมณ์ เราไม่ต้องมานั่งไล่ กายทิพย์ เพราะศีล อารมณ์ สภาวะกำลังบุญ พระไตรรัตน์ อยู่ในคาถาจักรพรรดิ หมดแล้ว ขอเพียงทำใจให้สบาย นึกถึงหลวงปุ่ ขอบารมีท่าน ตั้งท่านเป็นอารมณ์ พระพุทธเจ้าทรงเครื่องจักรพรรดิ อยู่บนหัว หลวงปู่ทวดอยู่บ่าซ้ายหลวงปุ่ดุ่อยู่บ่าขวา ภาวนา คาถาจักรพรรดิให้ใจสบายๆ อารมณ์สบายๆ คาถาจักรพรรดิเป็นอารมณ์ยิ่งดีเข้าเท่าไร โดยไม่ต้องสนใจว่าถึงไหนๆ เดี๋ยวก็ค่อยๆทรงได้เอง

    คาถาจักรพรรดิ หลวงปู่ดู่ คือ คาถาทรงกายจักรพรรดิ
    เมื่อ ภาวนาคาถาจักรพรรดิจนเป็นอารมณ์ ฝึกบ่อยๆ ทำให้เป็นนิสัย ให้เป็นปกติ ฝึกให้ชำนาญ ใช้เวลา มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับ ความตั้งใจของคุณเอง ข้อคิดที่ฝากไว้คือ อย่าเหลิง ไม่ว่าได้ถึงไหน อย่าหลงตนเอง ไม่ว่าคนจะสรรเสริญตนเช่นไร ให้มีสติ ตั้งใจภาวนา ไม่ประมาท ไม่มีใครจะใหญ่เกินกรรมเมื่อทำได้ คุณก็จะได้ พลังเหนือพลัง ที่จะสร้างประโยชน์สืบไป กำลังพระ+จักรพรรดิ หลวงตาท่านเองก็ทรงเครื่องจักรพรรดิ กายในท่านก็บวชพระจึงเป็นกำลังเหนือกำลัง และที่สำคัญที่สุด อย่าทิ้งหลวงปู่เป็นอันขาด ไม่งั้นทุกอย่างที่กล่าวมา คุณจะไม่มีกำลังของตนเองที่จะทำได้แม้แต่ข้อเดียว

    เราปฎิบัติไปโดย ตั้งให้ท่านคุมเราทุกขณะจิตให้อธิษฐานไว้ยังนี้เลย วิชาต่างๆที่อธิบายมานี้ให้ไว้เป็นแนวทางสำหรับผู้ที่มีจริตแบบนี้ เป็นตัวเลือกหนึ่งในการฝึกปฎิบัติในสายเปิดโลก ไม่ปฎิบัติแบบนี้ก็ไปต่อถึงจุดหมายได้เหมือนกันบางคนชอบแบบลึกซึ้งบางคนชอบ แบบเรียบง่ายก็ว่ากันไปเสมือนว่ามีถนน 10 สาย ที่จุดสุดท้ายถึงที่เดียวกันไม่ว่าปฎิบัติไปแบบไหน ขอให้ถูกตามที่หลวงปู่หลวงตาสอนเป็นพอ ถนนแต่ละสายจะแตกต่างกันที่ลีลาการเดินทางและประโยชน์ที่ สร้างทิ้งไว้ระหว่างเดินทาง มากน้อย แตกต่างกันอยู่ที่ตัวเรา ใครที่เน้นอยากจะช่วยผู้อื่นให้มากๆ ช่วยสรรพวิญญาณอย่างลึก ส่วนมากเป็นพุทธภูมิหรือสาวกภูมิพิเศษก็จะเดินอีกสายหนึง กับท่านที่มุ่งตัดกิเลศเพื่อพระนิพพานซึ่งทุกสายทุกทางย่อมถึง ที่หมายเดียวกัน บริสุทธิ์เหมือนกัน ขอโมทนา

    จะอ่านไว้เป็นความรู้ หรือจะอาข้อที่ตนสนใจลองปฎิบัติดูก็ได้ ไม่ว่าปฎิบัติเน้นแบบใดจุดสุดท้ายก็เหมือนกัน ทุกคนมีหลวงปู่ สุดท้ายสำคัญที่สุด อยู่ที่ความสบายของใจนั้นและธรรมรักษา


    credit: http://www.ainews1.com/article528.html]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 ตุลาคม 2012
  15. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    กำหนดจิตถามพระในการปฏิบัติ
    และในทุกเรื่องปัญหาชีวิตที่แก้ไม่ตก
    http://www.ainews1.com/article529.html


    ตอนหลวงตาม้าท่านออกธุดงค์ ก่อนออกธุดงค์นั้น หลวงปู่เรียกหลวงตาเข้าไปพบและมอบของสิ่งหนึ่งให้ .....สิ่งนั้นคือพระที่หลวงปู่ดู่สร้าง หลวงปู่ดู่บอกว่า " ....เอ็งเอาพระข้าไป ถ้าสงสัยอะไร เอ็งก็ถามพระเอาเอง ..."
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600><TBODY><TR><TD style="WIDTH: 150px" width=150>[​IMG]

    </TD><TD vAlign=top>พระที่สร้างด้วยสูตรของหลวงปู่ พระองค์เดียวแม้เพียงขนาดปลายก้อย ก็เปรียบเสมอ Hard Disk ที่เก็บข้อมูลไว้ทุกอย่าง ของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เรื่องนี้เป็นเรื่องเฉพาะพระโพธิสัตว์บางองค์เท่านั้นที่ทำได้ ไม่ต้องสงสัยอะไรมากครับ ว่าหลวงปู่ทำได้อย่างไร เอาเป็นว่า เมื่อเรารู้ว่าพระสูตรหลวงปู่ทุกองค์ไม่ว่าจะสร้างโดยใคร หากได้รับการถ่ายทอดโดยครูบาอาจารย์กันเป็นทอด ๆ เฉพาะบุคคลที่เหมาะสม มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันบางประการ และสร้างด้วยเจตนาบริสุทธ์ หลวงปู่ท่านคุม และรับรองครับ
    เหมือนกับที่หลวงปู่พูดว่า " เอ็งนึกถึงข้า ข้าก็นึกถึงเอ็ง เอ็งไม่นึกถึงข้า ข้าก็ยังนึกถึงเอ็ง..."

    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    บารมีหลวงปู่ยังไม่รวมตัว ยังอยู่ทุกอณูอากาศธาตุทั้ง 4 เนื่องเพราะท่านตาย-เกิดมานานแสนนาน การโน้มนำบารมี การต่อกระแสจิตถึงท่านจึงง่ายกว่า มีพระสูตรหลวงปู่หากสงสัยอะไรถามพระครับ หลวงปู่ท่านมีวิธีผ่านพลังงาน ผ่านกระแส และตอบคำถามต่าง ๆโดยวิธีการของท่านครับ

    วิธีการ
    1. ทำใจสบาย ๆ หลวงปู่เน้นที่ใจสบายๆ เบา ๆ ไม่เคร่งเกินไป คนยุคนี้ที่ฝึกแล้วไม่ไปไหนก็เพราะชอบเข้าใจว่า ของแบบนี้ต้องเคร่งมาก ๆ ประเภทหลับตาปี๋ไม่คุยกันใคร ไม่ยิ้มไม่พูด อันนี้พังครับสุดโต่งเกินไป แต่ต้องตั้งใจด้วยนะ ไม่ปล่อยให้สบายเกินไป และโปรดอย่าเข้าใจว่าวิชานี้ต้องยาก เราไปติดว่ายากมันก็จะยาก จริง ๆ กำลังที่ใช้ก็ประมาณอุปจารสมาธิเอง ซึ่งเกิดขึ้นได้ง่าย ๆกันทุกคนอยู่แล้ว
    2. กำพระผงจักรพรรดิแล้วกำหนดหลวงปู่หรือกำหนดให้เห็นรูปหลวงปู่ แล้วก็ถามเอาสบาย ๆไม่ต้องเคร่งอะไรมาก ไม่ต้องไปเงี่ยหูฟังว่าหลวงปู่จะตอบ บางทีหลวงปู่ไม่ตอบเป็นคำพูด ท่านจะตอบเป็นจิตรู้เลย หรือจะให้เห็นภาพเลย บางทีก็จะมีเหตุการณ์บางอย่าง ให้รู้เอง คือท่านจะดลทั้งใจ ทั้งรูปการณ์ให้พร้อมเสร็จ
    สำหรับลูกหลาน ผู้ที่มีบุญเนื่องด้วยหลวงปู่ดู่ ก็ดี หรือ ไม่รู้จักหลวงปู่ดู่ก็ตาม เมื่อได้ศึกษาหาความรู้ มากพอ เป้นที่เข้าใจ ในวัตรปฏิบัติของหลวงปู่ และเข้าถึงความเมตตาของหลวงปู่ และโดยเฉพาะที่ ฝากกายและจิตใจเอาไว้กับหลวงปู่ตราบเท่าเข้าสูนิพพานนั้น ก็จะมีพระผงจักรพรรดิ ของหลวงปู่หรือพระผงที่หลวงตาม้า สร้างแจก เอาไว้กับตัว
    (การระลึกถึงหลวงปู่ฯเสมอๆ และขอคำปรึกษาหารือเนืองๆ ในเรื่องต่างๆ ทั้งทางโลก และทางธรรมอยู่บ่อยๆ ย่อมจะเกิดความเคารพรัก และใกล้ชิดหลวงปู่มากยิ่งขึ้น และคำตอบต่างๆที่หลวงปู่ให้การช่วยเหลือและแก้ไขปัญหา แล้วเกิดผลสำเร็จแก่ตัวท่านไปโดยลำดับ ก็จะยิ่งเพิ่มความเข้าใจว่า พระของหลวงปู่นั้นมีชีวิตจิตใจจริงๆ เป็นเรื่องทราบได้เฉพาะตน ก็จะยิ่งเกิดประโยชน์ในการดำเนินชีวิตและปฏิบัติธรรม ให้ยิ่งๆขึ้น
    ส่วนผู้ที่กำลังเดินมรรค ก็จะช่วยท่านแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้เข้าถึงทางระยะสุดท้ายได้สะดวกยิ่งขึ้น มีหลวงปู่ฯที่เรารักเคารพ ร่วมทางไปกับเราตลอดเวลา ช่วยให้เราไม่พลาดจากทาง หรือมรรค ที่กำลังปฏิบัติ และขอให้หลวงปู่ร่วมโมทนาบุญไปกับการปฏิบัติของเราไปตลอดเวลา ระยะทางที่เหลือให้ครบวงรอบของปฏิจจสมุปบาท ก็จะสั้นเข้า จบหลักสูตรในพระพุทธศาสนาในที่สุดในชาติปัจจุบัน)

    credit: http://www.ainews1.com/article529.html
     
  16. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    หลักการและความรู้เรื่องพลังงานภพภูมิ
    และการเชื่อมต่อ ทั้ง 3 โลกธาตุ
    http://www.ainews1.com/article542.html

    [​IMG]
    หลักการและความรู้เรื่องพลังงาน ภพภูมิ และการเชื่อมต่อ ทั้ง 3 โลกธาตุ (วิชาเปิดโลก_หลวงปู่ดู่)
    เรื่องพลังงานนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ต้องอาศัยความเข้าใจ เป็นข้อหลักได้ดังนี้

    1. จักรวาลกว้างใหญ่ และมิได้มีเพียง 1 เดียว มีพลังงานมากมายกระจัดกระจายอยู่ บ้างก็เป็นพลังงาน บ้างก็เป็นธาตุ บ้างก็เป็นพลังงานกึ่งธาตุ ผู้รู้หลักการน้อมนำ จะนำพลังงานส่วนหนึ่งเหล่านั้นมาใช้ได้
    2. มนุษย์ก็มีพลังงานทั้งหยาบทั้งละเอียด ทั้งวัดได้ ทั้งวัดไม่ได้ และมนุษย์ก็ยังพิเศษกว่าที่มีตัวเจตนา พลังเหตุเจตนา มีกำลังในการโน้มนำ ชี้นำ ถ่ายทอดพลังงานได้
    3. การโน้มนำ ชี้นำ ถ่ายทอดพลังงาน จะแรง และมหาศาลมากขึ้น หากมีผู้ที่มีกำลังมากกว่า มีบุญญาบารมี มีการอธิษฐาน และการสั่งสมมาเพื่อการนี้ มาเป็นผู้ต่อกระแส เพิ่มกระแส ชักนำกระแส แห่งการการโน้มนำ ชี้นำ ถ่ายทอดพลังงาน
    4. ธาตุหยาบต้องอาศัยธาตุละเอียดด้วย เพราะมีความคล่องตัวที่แตกต่างกัน ดังนั้นภพภูมิ ทั้งมนุษย์และอมนุษย์ หากต่อกระแสกันได้ และเกื้อกูลกัน จะทำให้เกิดกำลัง และความคล่องตัวที่สูงยิ่ง
    5. มนุษย์อาศัยธาตุทั้งสี่เป็นกำลัง อาศัยเจตนา เป็นปัจจัยในการสร้างสรรค์ และทำลาย แต่เรื่องบางเรื่องเช่นเรื่องพลังงานละเอียด อมนุษย์ฝ่ายสุขคติภูมิย่อมมีกำลัง และภูมิความเข้าใจภูมิรู้มากกว่า ดังนั้น หากทั้งสองเกื้อกูลกัน สรรพกำลังจะบริบูรณ์
    6. อธิษฐานด้วยการเดินวิชาพระจักรพรรดิ สามารถเชื่อมต่อภพภูมิ ทั้ง 3 แดนโลกธาตุได้ ด้วยพลังงานเมตตาเป็นตัวต้น ครูบาอาจารย์ท่านจึงเรียกกันว่า วิชาเปิดโลก ที่นาน ๆที่จะเกิดขึ้นในวาระหนึ่งเท่านั้น
    7. การเดินวิชาตามตำรานั้น องค์ประกอบความครบ เว้นแต่ผู้เข้าใจพลังงานอย่างถ่องแท้ ก็ตัดบางสิ่งบางอย่างออกได้ แต่ตัดหลักสำคัญไปไม่ได้
    8. องค์ประกอบ คือ
      8.1 พระผงจักรพรรดิ เป็นสื่อกลาง เสมือนจานรับสัญญาญ ดาวเทียม
      8.2 หลวงปู่ดู่ บารมีรวมหลวงปู่ เป็นต้นพลังงานพลังบุญที่จะรวมพลังงาน รวมกองบุญกองอื่น เป็นบารมีของมหาโพธิสัตว์ เสมือนแหล่งสัญญาณที่จะส่งภาพ โดยมีพระพุทธเจ้าทุกองค์เป็นประธาน
      8.3 ตัวเรา ธาตุทั้ง 4 ขันธ์ทั้ง 5 กอง เปรียบเสมือนเครื่องรับสัญญาณโทรทัศน์
      8.4 จิตอธิษฐานที่มีกำลัง และได้รับการปรับคลื่นพลังงานให้ตรงกันกับแหล่งพลังงานต้น ด้วยพระคาถามหาจักรพรรดิ เสมือนเสาอากาศ หากมีแต่เครื่องรับโทรทัศน์แต่ขาดเสาสัญญาณก็ไม่สามารถรับสัญญาณโทรทัศน์ได้ ยิ่งกาลปัจจุบันคลื่นรบกวน คือมารกิเลสทั้งหลาย มีอยู่ทั่วทุกขณะทุกเวลา
      8.5 ความเข้าใจในหลักการโน้มนำ ชี้เส้นทางพลังงานอย่างกุศลและนอบน้อมในสิ่งที่มีคุณ-มีประโยชน์ เป็นหัวใจสำคัญยิ่ง เสมือนกระไฟฟ้าเลี้ยงเครื่องรับ ประการนี้ก็ขาดเสียมิได้
      9. ทุกวิชาหลวงปู่มีหลักที่ละไม่ได้คือ
      9.1. คาถาจักรพรรดิ์ (สร้างพลังงาน ติดต่อพลังงาน)
      9.2. คำอธิษฐาน(กำหนดเส้นทางพลังงาน)
      9. 3. บทสัพเพ (ส่งพลังงาน)
      9.4. จิตสบายที่สุดไร้ทุกข์ไร้กังวล (ความเป็นทิพย์ ที่มีกำลังสูง)
    10. โปรดหาข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องภพภูมิ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง ทั้งของฉบับเดิม และของที่อธิบายโดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ความรู้ดังกล่าวจะทำให้เข้าใจในเรื่องภพภูมิได้พอสมควร

    คาถาหัวใจวิชา
    พระคาถามหาจักรพรรดิ
    นะโมพุทธายะ พระพุทธะ ไตรรัตนะญาณ
    มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา
    พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ
    พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา
    อัคคีทานัง วะรังคันธัง สีวลีจะมหาเถรัง

    อะหังวันทามิ ทูระโต
    อะหังวันทามิ ธาตุโย
    อะหังวันทามิ สัพพะโส
    พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ

    คาถาอาราธนาพระเข้าตัว
    สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา
    พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพลัง
    อรหันตานัญ จะ เตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส
    (สวด 3 จบ หรือ 5 จบได้)

    คำกำหนดอธิษฐานจิต
    พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ
    แสงทิพย์อริยธรรมของพระบรมธรรมบิดา อธิษฐามิ
    อธิษฐานส่งวิญญาณ ปรับภพภูมิ แผ่บุญ หรือป้องกันวิญญาณ
    หลักการ
    การปรับภพปรับภูมิ แผ่บุญ
    พลังของพระผงจักรพรรดิเป็นของสูง อานิสงค์ครอบจักรวาล หากฉลาดในการนำไปใช้ย่อมมีประโยชน์มหาศาล นำไปแผ่ให้ภพภูมิต่างๆ เขาไปเกิดเป็นเทวดา เขาจะจำเราได้ ย่อมจะช่วยเราในภายภาคหน้าที่มีวาระ เรียกว่ามาเป็นบริวารเรานั้นเอง บางครั้งเขาติดอยู่ในที่ๆหนึ่ง โดยที่ไปไหนไม่ได้ แล้วเราผ่านไปแล้วกำหนดแผ่บุญส่งวิญญาณให้เขา แทนที่เขาจะต้องติดอยู่ตรงนั้นไปอีกหลายพันหลายร้อยปี แต่เราช่วยเขา ดูสิว่ามีประโยชน์ขนาดไหน ผีที่พวกเล่นไสยดำเลี้ยงไว้เหมือนกัน คิดดูสิว่าผีโดนเจ้าพวกนี้ใช้ทรมาน ไม่ต่างอะไรจากทาส บุญก็ไม่อุทิศให้ เอาแต่อาหารคาวหยาบๆให้กิน หลอกล่อผีไปวันๆ แล้วเราไปแผ่ส่งวิญญาณเหล่านี้ไป คิดดูสิว่าเราช่วยพวกเขาได้มากขนาดไหน

    หาก เราไปแห่งหนตำบลใดหากต้องการแผ่บุญปรับภพปรับภูมิส่งวิญญาณแก้ภูมิแถว นั้น ให้กำหนดขอพลังจากองค์พระ พร้อมบริกรรมบทพระจักรพรรดิแล้วน้อมแผ่ออกไป จะเป็นการส่งวิญญาณภพภูมิแถวนั้น โดยวิชานี้ทำได้แม้ยังไม่เห็นภพภูมิก็ตาม ขอแค่จิตเราน้อมไปด้วยความเป็นบุญเมตตาและหวังดี (การแผ่บุญครอบบุญ ใช้กับคนที่เราหวังดีได้ด้วยเช่นกัน หรือแม้กระทั่งกับศัตรูเรา ให้เขามาเป็นมิตรกับเรา ใช้ได้แม้กระทั่งสัตว์ ให้นึกถึงหลวงปู่แล้วครอบบุญ เป็นวิมานแก้วครอบตัวเขาไว้ จะช่วยปรับเขาให้เป็นสัมมาทิถิขึ้น แต่ต้องครอบบ่อย ๆ เพราะมนุษย์นั้นหยาบ โปรดยากกว่าวิญญาณหลายเท่านัก เมื่อความดีเขาไม่ถึง คลื่นความดีไม่ตรงกัน ไม่นานวิมานก็หลุด

    การครอบวิมานนี้ดีมากอีกเรื่องหนึ่ง คือ อย่างตามที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเทศน์ “ จิตมีดวงเดียวท่องเที่ยวไป จิตคิดดีก่อนตาย ไปสวรรค์ จิตคิดชั่วก่อนตาย ไปนรก “ หากผู้ที่เราขอหลวงปู่ให้ครอบวิมานให้แล้ววิมานยังอยู่ ตอนตายเขาจะเห็นวิมานครอบตัวเองไว้สวยงาม จิตจึงคิดดี แบบนี้เขาก็ไปสวรรค์ได้ ลองคิดดูนะวิชานี้ไว้ใช้ตอนเกิดภัยพิบัติ(หากมันเกิดขึ้น) จะช่วยสรรพสัตว์ได้ขนาดไหน)

    กำลังพุทธคุณของพระผงจักรพรรดิเรานำไป ใช้ในการปรับภพปรับภูมิเขาให้ดียิ่งๆ ขึ้นได้ โดยมิได้เป็นการใช้พุทธคุณในการเบียดเบียนเขา แต่เป็นการใช้กำลังเพื่อให้เขาโมทนาบุญซึ่งเรียกว่าการปรับภพปรับภูมิและเรา จะช่วยดวงวิญญาณได้จำนวนมาก การนำไปใช้ไม่ยากอาราธนาองค์พระกำไว้ในมือ สวดคาถาจักรพรรดิสัก 1 จบ (หากเราทรงกำลังพระจักรพรรดิมาตลอดด้วยการคลอ คาถามหาจักรพรรดิ ตลอดทุกอิริยาบถแล้ว ความเป็นทิพย์ของเรามีแล้ว ก็ไม่ต้องว่าคาถาอีก) ก็แล้วตามด้วยบทสัพเพ (บทนี้จำเป็นมากนับเป็นหัวใจของวิชาก็ว่าได้) แล้วก็นึกน้อมบุญนี้ให้แก่ดวงวิญญาณทั้งหลายที่เราต้องการแผ่บุญถึง นับได้ว่าพระผงจักรพรรดิใช้เพื่อการการแผ่บุญอย่างแท้จริง สงเคราะห์สัตว์โลกอย่างแท้จริง

    ลำพังกำลังของเราแต่ถ่ายเดียวยังมิ อาจครอบคลุม ในการส่งวิญญาณได้ทั่ว ได้ถึง และมากพอ ขอจงโปรดขอบารมีคุณพระท่านช่วยเหลือให้ ซึ่งควรจะเน้นไปที่บารมีรวมของพระโพธิสัตว์ที่บารมีเต็ม อันมีหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญเป็นต้น โดยมี พระกำลังพระจักรพรรดินี้เป็นสื่อกลาง มีบทสัพเพเป็นบทอัญเชิญน้อมนำบารมี

    วิธีการ
    ๑. กำพระในมือ จากนั้นโปรดกล่าวคำ อธิษฐานว่า
    ข้าพเจ้า ผู้เป็นผู้รับใช้พระพุทธศาสนา ขออัญเชิญบารมีแห่งพระพุทธเจ้าทุก ๆพระองค์ นับตั้งแต่ อดีต ปัจจุบัน และอนาคต โดยมีพระบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด(หรืออาจจะเป็น หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค , หลวงปู่ทวด วัดช้างไห้ , พระศรีอาริยะเมตรัย ก็ได้ ตามจริต ด้วยเหตุผลที่ว่าการอัญเชิญพระบารมี หรือการโน้มนำพระบารมีของพระมหาโพธิสัตว์นี้จะง่ายกว่า การโน้มนำพระบารมีแห่งพระผู้เข้าพระนิพพานแล้ว เนื่องจาก บารมีท่านมหาโพธิสัตว์เหล่านี้ยังไม่รวมตัว ยังคงกระจัดกระจายอยู่ทุกอณูในโลก) ขอได้โปรดส่งวิญญาณ ปรับภพปรับภูมิดวงวิญญาณของ......ชื่อนาม หรือกลุ่มก็ได้.....ให้สู่สุขติด้วยเถิด


    ๒. จากนั้นจึงกล่าว คำอัญเชิญพระเข้าตัว
    สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา
    พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพลัง
    อรหันตานัญ จะ เตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส

    (ในระหว่างนี้ให้วางจิตเบาๆ โน้มนำพระบารมีเข้าตัว หรือผู้ที่ได้แล้ว จะเห็นเองว่าจะมีพระบารมีเข้าตัวเป็นแสงสว่างวาบไปหมด ในขณะเดียวกับแสงนั้นก็พุ่งตรงไปยังดวงวิญญาณที่จะปรับภพปรับภูมิให้ แต่ทั้งนี้ไม่ใช่ดวงวิญญาณทุกดวงที่จะรับบุญ บางวิญญาณที่มีมิจฉาทิฐิ หรือมีโมหะ คือ ไม่รู้เรื่องว่าโมทนาคืออะไร ก็จะยังไม่ได้รับ เราก็ต้องสัพเพฯ หลายๆรอบ จนบารพระท่านครอบกายทิพย์สว่างเย็นไปหมด ช่วยโน้มนำให้วิญญาณนั้นละพยศและความโง่นั้นได้สำเร็จ หรือบางทีต้องขอบารมีหลวงปู่ท่านแรงเป็นพิเศษ ที่เรียกว่า แบบ ” พายุทอนาโด ” อัดตูมเข้าไปเลย)
    พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ แสงทิพย์อริยธรรมของพระบรมธรรมบิดา อธิษฐามิ

    ๓. การป้องกันวิญญาณก็เช่นเดียวกัน ไม่ว่าจะรอนแรมไปในที่แห่งใด ผู้ที่คล้องและทรงกำลังพระจักรพรรดิ รัศมีจะสว่าง จนดวงวิญญาณพากันมาดูด้วยความสงสัยว่า คืออะไร ตรงนี้ก็ให้ถือโอกาสแผ่บุญตามหลักการข้างต้น ผูกมิตรกับวิญญาณเจ้าถิ่นไว้ วิธีนี้ได้ประโยชน์มาก มีวิญญาณมากหลายอยู่มานับพันปีไม่มีที่ไป เราส่งวิญญาณให้เขา ต่อไปเมื่อมีวาระเขาจะกลับมาช่วยเรา วิชานี้ท่านโพธิสัตว์หรือพุทธภูมิทุกท่าน น่าจะศึกษาและปฏิบัติ เพราะเป็นวิชาสร้างบริวารอย่างหนึ่ง แต่ขอจงโปรดอย่าวางอารมณ์ว่าจะสร้างบริวารเลย ขอวางอารมณ์ด้วยเมตตาธรรม พรหมวิหารธรรมเถิด ขอโมทนา......

    ๔. ขอโปรด ส่งวิญญาณเจ้ากรรมนายเวรของท่านด้วย พระสูตรของหลวงปู่ท่านสร้างไว้อย่างฉลาดมาก ท่านสอนให้ปรับภพปรับภูมิอยู่เสมอ เพราะเป็นการส่งดวงวิญญาณทั้งทั่วไปและที่มาจองเวร ป้องกันความเดือดร้อนทั้งผู้สร้างและผู้รับพระไปบูชาติดตัว

    การนำไปใช้จริง
    ๑. ให้หมั่นส่งวิญญาณอยู่เสมอไม่ว่าจะเดินทางไปในที่แห่งไหนโดยเฉพาะเวลาไปจ่าย ตลาดในตลาดสด วิญญาณสัตว์ที่พึ่งตาย หรือที่ค้างอยู่มีมหาศาลทุก ๆวัน ตามป่าช้าหรือข้างทาง บางทีเวลาผมเดินทางไกล หลวงตาม้าบอกให้เปล่งกระแสบุญให้สว่างและให้ไกลมาก ๆ พร้อมทั้งอธิษฐานให้ทรงทั้งยามหลับยามตื่น เพราะเหล่าวิญญาณจะได้โมทนา บางทีก็ครอบให้เสร็จสรรพ แบบมัดมือให้เลย เดินทางไปต่างจังหวัดแต่ละทีก็เก็บได้มหาศาล

    ยิ่งทำบ่อยๆยิ่งคล่อง ครับ ถ้าทำคล่องแล้วต่อไปเวลากำหนดแผ่ก็กำพระแล้วน้อมกำลังบุญไปได้แค่กำหนดจิต ชั่วขณะโดยไม่ต้องใช้คำพูดก็ยังได้ ขอแค่ให้ใจทรงกำลังทั้งหมดที่อาราธนามาในขณะนั้นได้ก็พอ แล้วก็กำหนดแผ่ไปได้เลย ขณะกำพระ แต่ถ้าเป็นการอฐิษฐานใหญ่หรือการสวดมนต์ประจำวัน ก็อฐิษฐานใหญ่ตามเนื้อหาใน “ ตัวอย่างคำอธิษฐานจิตที่แนะนำให้ใช้เป็นประจำ ” ซึ่งจัดพิมพ์ให้โหลดไว้พร้อมกันแล้ว แล้วก็แผ่ไปทั่ว 3 โลก ไม่ว่าพรหมโลก เทวโลก มนุษยโลก ภพภูมิน้อยใหญ่ต่างๆ นรกโลก และทุกๆอบายภูมิ ผู้มีพระคุณแก่ข้าพเจ้า ครอบครัว เพื่อนฝูง คนที่เกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับข้าพเจ้าทุกๆคน ญาติข้าพเจ้าทั้งหมดในโลกทิพย์ บริวารข้าพเจ้าทั้งหมด เทวดาประจำตัวข้าพเจ้าทั้งหมด เจ้ากรรมนายเวรข้าพเจ้า <--- แผ่ไปให้ภพภูมิ เหล่านี้ครับเวลาอฐิษฐานใหญ่

    ๒. ก่อนทานอาหารหลวงตาแนะนำให้ส่งวิญญาณด้วย ให้ทำจนเป็นนิสัย เอาแบบให้กวาดมือเหนืออาหารทีเดียวให้ส่งให้หมด แม้แต่บะหมี่หมูสับก็ให้ส่งวิญญาณด้วย หลวงตาบอกว่าเนื้อไม่ว่าชิ้นเล็กชิ้นน้อย จะเป็นชิ้นหรือเป็นน้ำก็มีกระแสโยงถึงวิญญาณเจ้าของธาตุนั้นได้ ส่งให้เนื้อ กระแสบุญจะส่งถึงวิญาณเอง คนที่ชอบทานมังสะวิรัติ นอกจากไม่ทานเนื้อแล้วน่าจะทรงวิชานี้ด้วยนะครับ

    credit: http://www.ainews1.com/article542.html
     
  17. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    อานิสงส์การสวดบทพระบรมมหาจักรพรรดิ
    http://ainews1.com/article351.html


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600><TBODY><TR><TD vAlign=top>กล่าวโดยย่อคือ :

    บทนี้เป็นการสวดไหว้พระพุทธเจ้าทั่วทั้งพระนิพพาน ตลอดจนถึงพระธรรมเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยสงสฆ์สาวกทั้งมวล ไหว้พระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์รวมถึงน้อมนำกำลังของเทพพรหมพระอริยะเจ้าทั้งหลาย
    การสวดครั้งหนึ่งเป็นการดึงกำลังของพระเจ้าจักรพรรดิทุกๆพระองค์ ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมา รวมถึงกำลังของพระมหาโพธิสัตว์เจ้ามารวมอาราธนาเข้าที่กายและใจ และรวมกำลังพระโพธิญาณโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และอนาคต



    การสวดครั้งหนึ่งมีอานิสงส์แผ่ไปทั่วจักรวาล สามแดนโลกธาตุ สามารถแผ่บุญไปทั่วทุกสรรพสัตว์ ตลอดจนเทวดาประจำตัวเรา ญาติมิตร เพื่อนฝูงครอบครัว เจ้ากรรมนายเวร และหากนำบทนี้ไปสวดในนรกหรือแผ่ไปไฟนรกจะดับชั่วขณะ


    บทนี้เป็นการสร้างกำแพงแก้วคุ้มกันตัว รวมถึงอาราธนาบารมีครูบาอาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อัญเชิญเข้าตัวเพื่อป้องกันภัย และสร้างมหาโชคมหาลาภ



    </TD><TD style="WIDTH: 200px" vAlign=top width=200>
    [​IMG]



    </TD></TR></TBODY></TABLE>​
    อานิสงส์แก่ผู้สวดมีทั้งมหาบุญมหาลาภ เนื่องจากมีการกล่าวถึงพระสีวลี รวมถึงบทนี้มีพลังงานอย่างยิ่งในการเจริญพระกรรมฐาน หากนำไปสวดบริกรรมก่อน หรือระหว่างนั่งกรรมฐาน จะทำให้การภาวนามีพุทธานุภาพมาคลุม และคุมการปฏิบัติของเรา คลุมกายและจิตใจเป็นวิมานทิพย์ (ครอบวิมานให้ตัวเองหรือสวดอธิษฐานครอบคนอื่นก็ได้)
    หากสวดบทนี้สามารถอธิษฐานเรื่องราวใดๆ ที่ติดข้องใจได้ให้ผ่านพ้นไปอย่างทะลุปรุโปร่ง กล่าวโดยสรุปได้ว่าคาถาจักรพรรดินี้ จากการเรียบเรียงถ้อยคำโดยหลวงปู่ดู่ท่าน ก่อให้เกิดกำลังจักรพรรดิขึ้นด้วยในบทสวดพระคาถาครอบจักรวาล

    </EMBED>
    ปล.สำหรับนักปฏิบัติเบื้องต้นให้ใช้คู่กับพระผงจักรพรรดิจะทำให้ก้าวหน้าเร็ว

    ความรู้เกี่ยวกับพระผงจักรพรรดิ
    พระผงจักรพรรดิสูตรหลวงปู่ดู่ หลวงตาม้ามีพุทธคุณอย่างไร?
    พระผงจักรพรรดิมีประโยชน์มากโดยเป็นพระที่นำมาช่วยในการทำกรรมฐานและบูชาติดตัวเพื่อคุ้มครอง เป็นศิริมงคลแก่ตนเองและเป็นพลังงานบุญ แก่ภพภูมิโดยรอบ
    หลวงปู่ดู่กล่าวไว้ว่าพระรุ่นนี้ ที่มีผงจักรพรรดิของท่านป้องกันนิวเคลียร์ได้

    พระรุ่นนี้เหมาะสมเป็นอย่างมากในการเจริญกรรมฐาน หลวงปู่ดู่สมัยที่ท่านยังทรงธาตุขันธ์อยู่ ท่านสร้างพระผงออกมาเพื่อให้ลูกศิษย์ได้ใช้ในการเจริญพระกรรมฐาน ให้ก้าวหน้าได้โดยไว โดยเป็นการใช้พลังจากองค์พระ ในเนื้อพระผงจักรพรรดิของหลวงตาม้าทุกรุ่นบรรจุมวลสารผงจจักรพรรดิหลวงปู่ดู่ ที่ท่านหลวงตาม้าได้รับมาจากหลวงปู่ดู่โดยตรง และช่วงไหนสวดมนตร์นั่งสมาธิสวดมนตร์ แผ่เมตตาสม่ำเสมอบุญจะเกิดที่ตัวเราดีมากยิ่งขึ้น ทั้งพระธาตุที่องค์พระจะขึ้นเพิ่มขึ้นอีกด้วย (พระผงจักรพรรดิหลวงปู่ดู่ขึ้นพระธาตุทุกองค์) หลวงตาเคยเมตตากล่าวให้ฟังว่าพระที่ท่านทำขึ้นมาชุดนี้ เป็นพระกำลังของพระโพธิสัตว์จึงมีพุทธคุณ และกำลังบารมี 10 เข้มข้น นำไปใช้ประโยชน์ด้านกุศลได้ร้อยแปดพันเก้า

    หากนำไปบูชาก็จะเป็นการทำให้ภพภูมิเทวดาผีสางสัมภเวสีที่ผ่านไปผ่านมา รับกระแสตรงนี้เข้าไปปรับให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นด้วย
    (โดยการกำพระขอกำลังพระ/หลวงปู่สวดจักรพรรดิแล้วน้อมบุญไป)
    นอกจากนั้นยังมีพุทธคุณสูง สำหรับการเจริญภาวนากรรมฐาน โดยการเอามากำก่อนนั่งสมาธิ แล้วกำหนดจิตเข้าไปที่องค์พระจะทำให้ภาวนาได้ง่ายขึ้น เพราะมีพลังงานจากองค์พระมาเสริมที่องค์จิตด้วย จากนั้นจึงไปทำสมาธิในแบบที่ท่านถนัด โดยเป้นวิการที่นิยมกันในหมู่ลูกศิษย์ของหลวงปู่ดู่เรื่อยมาจนถึงหลวงตาม้า ในปัจจุบัน และ
    หากนำพระไปแช่น้ำก็สามารถทำเป็นน้ำมนตร์รักษาโรค หรือเป็นศิริมงคลแก่ตนก่อนออกไปดำเนินชีวิตก็ยังได้ โดยอธิษฐานเอาด้วยคาถาจักรพรรดิ

    อย่างไรก็ตามผู้ปฏิบัติตนก็ต้องตั้งตนให้อยู่ในความดีไว้ด้วย โดยมีพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง และมีศีล 5 เป็นฐานจะช่วยให้เราทรงในความดี และพุทธคุณช่วยเราได้เต็มที่

    กรรมฐานที่หลวงปู่ดู่ท่านสอน
    หลักในการนั่งสมาธิ ให้ขาขวาทับขาซ่าย มือขวากำพระวางบนมือซ้าย ให้นิ้วหัวแม่มือทั้งสองจรดกัน วางบนตักพอสบายๆ ปรับกายให้ตรง ผ่อนคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน ผ่อนลมหายใจยาวๆ ลึกๆสัก 3 ครั้ง ครั้งที่ 1 ให้ภาวนาว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ครั้งที่ 2 ภาวนาว่า ธัมมังสรณัง คัจฉามิ ครั้งที่ 3 ภาวนาว่า สังฆัง สรณัง คัจฉามิ จากนั้นจึงผ่อนลมหายใจให้เป็นไปตามธรรมชาติ ยังไม่ต้องนึกคิดสิ่งใด ทำใจให้ว่างๆ วางอารมณ์ทั้งที่เป็นอดีต และอนาคต เมื่อลมหายใจเริ่มละเอียดและจิตใจเริ่มโปร่งเบาขึ้นบ้างแล้ว จึงค่อยเริ่มบริกรรมภาวนา โดยกำหนดจิตไว้ที่หน้าผาก (เอาสติมาแตะรู้เบาๆ)แล้วตั้งใจภาวนาคาถาไตรสรณาคมณ์ดังนี้พุท ธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เมื่อภาวนาบริกรรมจบแล้ว ก็ให้วกกลับมาเริ่มต้นใหม่เช่นนี้เรื่อยไป มีสิ่งที่ควรทราบเพิ่มเติมาก็คือ ขณะที่บริกรรมภาวนาอยู่นั้น ให้มีสติระลึกอยู่กับคำภาวนา โดยไม่ต้องสนใจกับลมหายใจ คงปล่อยให้ลมหายใจเข้าออกเป้นไปตามธรรมชาติ ปราศจากการควบคุมบังคับ ภาวนาด้วยใจที่สบายๆ และให้ยินดีกับองค์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ที่เกิดขึ้นในจิต เมื่อจิตมีความสงบสว่าง ก็น้อมแผ่เมตตาออกไป โดยว่า พุทธัง อนันตัง ธัมมัง จักรวาลัง สังฆัง นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ แล้วตั้งใจภาวนาต่อไป เมื่อจิตถอนขึ้นจากความสงบ ให้ยกเอากายหรือเรื่องใดเรื่องหนึ่งขึ้นพิจารณา โดยน้อมไปสู่พระไตรลักษณ์คือ อนิจจัง (ความไม่เที่ยง) ทุกขัง (ความทนได้ยาก) และอนัตตา (ความไม่ใช่ตัวตนอันเที่ยงแท้) เมื่อรู้สึกว่าจิตเริ่มซัดส่าย หรือขาดกำลังในการพิจารณา ก็ให้วกกลับมาภาวนาคาถาไตรสรณาคมน์อีก เพื่อดึงจิตให้เข้าสู่ความสงบอีกครั้ง ทำสลับเช่นนี้เรื่อยไปจนกว่าจะเลิก ก่อนจะเลิกให้อาราธนาพระเข้าตัวว่า สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ แล้วจึงแผ่เมตตาอีกครั้ง โดยว่าเช่นเดียวกับที่กล่าวแล้วในตอนต้น อนึ่งการภาวนานั้น ท่านให้ทำได้ทุกอิริยาบท คือ ยืน เดิน นั่ง นอน และปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ การปฏิบัติจึงจะก้าวหน้า และชื่อว่าตั้งอยู่ในความไม่ประมาท

    คำอธิษฐานฝึกจิตเร่งสมาธิเร่งนิมิต
    'ข้าพเจ้า...(นาม) ผู้เป็นข้ารับใช้แห่งพระพุทธองค์ขอนอบน้อม และน้อมนำบารมีแห่งพระพุทธเจ้าพระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย พระอริยบุคคลทุกชั้นภูมิ พระโพธิสัตว์ พระธรรม และพระบรมมหาจักรพรรดิ์ ทุกๆพระองค์ตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคต ครูบาอาจารย์ทั้งหลายสืบๆกันมา โดยมีบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญเป็นที่สุด ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้าขึ้นสู่ภาวะพระกรรมฐาน 40 ทัศ พระปีติทั้ง 5 และวิปัสสนาญาณทั้ง 9 ขอพระกรรมฐานทั้ง 40 ทัศ พระปีติทั้ง 5 และวิปัสสนาญาณทั้ง 9 จงมาบังเกิดปรากฏในกายทวาร ในวจีทวาร ในมโนทวารของข้าพระพุทธเจ้า ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด ขอได้โปรดยกจิตของข้าพเจ้าขึ้นสู่ภาวะเมฆจิต สามารถกำหนดจิตรู้ภาวะการณ์ต่างๆ ทั้งเหตุ ผล อดีต อนาคต และปัจจุบัน ได้ทุกขณะจิตที่ปรารถนาจะรู้ เมื่อรู้แล้วขอให้เห็นภาพนั้นได้ชัดเจนแจ่มใส และพยากรณ์ได้ตามความเป็นจริงทุกๆประการ เหตุที่จะพึงบังเกิดแก่ข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าได้รู้เหตุนั้น ได้โดยมิต้องกำหนดจิตแต่ประการใด ณ กาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด'
    (กล่าวบทอัญเชิญพระเข้าตัว สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ )

    คำอธิษฐานรวมบุญ
    'ด้วยอำนาจแห่งพระมหาจักรพรรดิ์ทุกๆพระองค์ นับตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคต โดยมีบารมีแห่งองค์พระสมเด็จองค์ปฐมบรมมหาจักรพรรดิ์เป็นประธาน มีบารมีรวมพระมหาจักรพรรดิ ของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด ขอได้โปรดรวมกองบุญของข้าพเจ้า....(นาม) เพื่อเบิกมาใช้ให้มีความคล่องตัวในทุกๆเรื่อง อันใดติดขัดขอให้คล่องดังน้ำที่ไหลออกจากคนโทที่ไหลจากที่สูงลงสู่ที่ต่ำ อันใดคล่องตัวอยู่แล้วขอให้คล่องตัวยิ่งๆขึ้นไป โดยขึ้นชื่อว่า ความอด ความอยาก ความยาก ความไม่มี จงอย่าได้บังเกิดมีในข้าพเจ้า ผู้เป็นผู้รับใช้แห่งพระพุทธศาสนานับตั้งแต่กาลบัดเดี๋ยวนี้ตราบจนข้าพเจ้าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิด และโดยเฉพาะกาลนี้ขอให้คล่องตัวในเรื่อง'...(อธิษฐานพิเศษเอา)
    (กล่าวบทอัญเชิญพระเข้าตัว สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ )

    คำอธิษฐานส่งวิญญาณ ปรับภพภูมิ แผ่บุญ


    'ข้าพเจ้าผู้เป็นผู้รับใช้พระพุทธศาสนา ขออัญเชิญบารมีแห่งพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ นับตั้งแต่อดีตปัจจุบัน และอนาคต โดยมีพระบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด ขอได้โปรดส่งวิญญาณปรับภพปรับภูมิของ...ชื่อ นามสกุลหรือกลุ่มก็ได้ (หรือโดยถ้วนทั่วทุกตัวคน ทุกคนทุกท่านก็ได้) ให้สู่สุคติด้วยเถิด' แล้วอัญเชิญพระเข้าตัว
    1. ให้หมั่นส่งวิญญาณแผ่ทั่วทั้ง 3 โลก พรหมโลก เทวโลก มนุษยโลก ภพภูมิน้อยใหญ่นรกโลก และทุกอบายภูมิ ผู้มีพระคุณ ครอบครัว เพื่อนฝูง คนที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวพันกับข้าพเจ้า ญาติข้าพเจ้าทั้งหมดในโลกทิพย์ บริวาร เทวดาประจำตัว เจ้ากรรมนายเวรข้าพเจ้า เวลาทำบุญก็ให้เรียกกายทิพย์เข้ามารับบุญ
    2. ก่อนทานอาหารให้ส่งวิญญาณ กวาดมือเหนืออาหารมีกระแสโยงถึงวิญญาณเจ้าของธาตุนั้นได้ กระแสบุญจะส่งถึงวิญญาณเอง
    อธิษฐานให้บุตร คนรัก หรือคนในปกครอง แม้กระทั่งเจ้านายละมิจฉาทิฐิอยู่ในโอวาทเป็นคนดีขึ้น จิตใจเยือกเย็นขึ้น


    'ด้วยอำนาจแห่งพระมหาจักรพรรดิ์ทุกๆพระองค์ นับตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคต โดยมีบารมีแห่งองค์พระสมเด็จองค์ปฐมบรมมหาจักรพรรดิ์เป็นประธาน มีบารมีรวมพระมหาจักรพรรดิ ของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด ขอได้โปรดกล่อมเกลาปรับสภาพร่างกายของ (ชื่อ...นาม....หรือกลุ่ม) ให้ดีขึ้น ขอให้ร่างกายแข็งแรงจิตใจเยือกเย็นเบิกบานมีหิริโอตตัปปะ มีจิตใจฝักไฝ่แต่ความดีเกลียดกลัวความชั่วทั้งปวงให้ว่านอนสอนง่ายอยู่ในโอวาท'
    (กล่าวบทอัญเชิญพระเข้าตัว สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ )

    ใช้อธิษฐานทำน้ำมนตร์รักษาโรค
    ให้นำพระ (เลี่ยมก็ได้ไม่เลี่ยมก็ได้) มากำสวดคาถามหาจักรพรรดิ์ 7 จบ แล้วอธิษฐานว่า 'ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้พระพุทธศาสนา ขออัญเชิญบารมีแห่งพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ นับตั้งแต่อดีตปัจจุบันและอนาคต โดยมีพระบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด (อันนี้จำเป็นต้องขอบารมีท่านโดยตรง) ขอได้โปรดให้น้ำใดๆก็ตามไม่ว่าเล็กว่าน้อย หรือมากมายดังมหาสมุทรที่ถูกแช่ในพระผงกำลังพระจักรพรรดิ์นี้ จงมีพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ และมหิทธานุภาพเฉกเช่นเดียวกับหัวเชื้อน้ำมนตร์จักรพรรดิ์ทุกประการ เพื่อใช้ในการมงคลทั้งปวง เพื่อใช้ในการปรับธาตุทั้ง 4 และรักษาโรคภัยทุกประเภท ขอบารมีอันหาที่สุดมิได้ของหลวงปู่จงโปรดให้เป็นไปตามคำอธิษฐานแห่งข้าพเจ้านี้ด้วยเถิด' จึงค่อยๆจุ่มพระลงในภาชนะใส่น้ำ แล้วกล่าวคำอัญเชิญพระเข้าตัว
    (กล่าวบทอัญเชิญพระเข้าตัว สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ )

    ใช้ทำน้ำมนตร์แก้และกันคุณไสย
    คำกล่าวอาราธนาบารมีว่าข้าพเจ้าผู้เป็นผู้รับใช้พระพุทธศาสนา เป็นทาสแห่งองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ขออัญเชิญบารมีแห่งพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์นับตั้งแต่ อดีตปัจจุบันและอนาคต โดยมีพระบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด หลวงปู่ทวดวัดช้างไห้, พระศรีอริยะเมตรัย ขอได้โปรดแผ่บารมีมายังน้ำบริสุทธิ์นี้ ให้มีพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ และมหิทธานุภาพ ในการรักษาดรคอันเกิดแต่คุณไสยอวิชชานี้ด้วยเถิด....แล้วกล่าวคำอัญเชิญพระเข้าตัว
    (กล่าวบทอัญเชิญพระเข้าตัว สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ )

    การอธิษฐานครอบดวงแก้วให้แก่บ้านเพื่อป้องกันรังสีทั้งบ้านในกรณีที่เกิดภาวะสงครามที่มีการใช้กัมมันตรังสี เวลา 20.30 น.
    ตั้งจิตนน้อมถึงหลวงปู่ดู่ 'ขอเดชะเดชัง ขอเดชเดชะ ข้าพเจ้าขอถวายแล้วซึ่งร่างกายดวงวิญญาณถวายแล้วซึ่งขันธ์ทั้ง 5 กอง เพื่อบูชาคุณแห่งองค์พระตถาคตทศพล ขอบารมีแห่งพระองค์นับตั้งแต่อดีตปัจจุบันและอนาคต จงสถิตยย์อยู่เหนือศรีษะของข้าพเจ้าทุกวันคืน ทั้งยามหลับยามตื่น ยามยืน ยามเดิน ยามนั่ง ยามนอน ยามรู้ตัว ยามมิรู้ตัว ขอเดชะด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดีด้วยใจก็ดี กรรมอันใดอันข้าพเจ้าล่วงเกินกระทำแล้วในคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า ทั้งรู้ตัวก็ดีมิรู้ตัวก็ดี โดยเจตนาก็ดี มิเจตนาก็ดี ทั้งชาตินี้ก็ดี ทั้งอดีตชาตินับสงไขยมิถ้วนก็ดี กรรมอันใดเหล่านั้น ที่ข้าพเจ้าประมาทพลาดพลั้งไป ขอคุณพระพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระสังฆเจ้า จงโปรดละซึ่งโทษล่วงเกินอันนั้น เพื่อการปราศจากเวรภัยแก่ตัวข้า และเพื่อการสำรวมระวังในกาลต่อไป

    ข้าพเจ้าผู้เป็นผู้รับใช้พระพุทธศาสนา เป็นทาสแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ นับตั้งแต่อดีต ปัจจุบันและอนาคตโดยมีพระบารมีรวมของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด ขอได้โปรดแผ่บารมีมายังน้ำบริสุทธิ์นี้ให้มีพุทธานุภาพ ธรรมานุภาพ สังฆานุภาพ และมหิทธานุภาพ ในการป้องขจัดทำลายรังสี และพลังงานอันไม่ดีทั้งปวงที่เข้ามาในอาณาบริเวณเขตน้ำมนตร์แห่งนี้ ให้เกิดปรากฏเป็นปราการแก้วคุ้มครองเจ็ดชั้น ทั้ง 6 ทิศ คือเบื้องหน้า เบื้องหลัง เบื้องซ้าย เบื้องขวา เบื้องบน เบื้องล่าง ให้กระแสเย็นแห่งน้ำมนตร์นี้ จะเปล่งออกไปเป็นรัศมีเรืองรองคุ้มครองป้องกันและครอบปกคลุมบ้านทั้งหลังของข้าพเจ้านี้ ให้ผู้ที่อาศัยอยู่ภายในบ้านนี้ จงร่มเย็นปลอดภัยจากอันตรายทั้งหลายทั้งปวงด้วยเถิด' จากนั้นจึงกล่าวคำอัญเชิญพระเข้าตัว
    (กล่าวบทอัญเชิญพระเข้าตัว สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ )

    การนำองค์พระมาช่วยในการภาวนา ในการฝึกวิชาเปิดโลก (วิชาภูมิของพระพุทธเจ้าของหลวงปู้ดู่ และการปรับภพปรับภูมิ)
    เมื่อมีองค์พระแล้ว ให้อาราธนามาไว้ในมือ แล้วสวดบทเจริญพระกรรมฐาน ด้วยบทสรรเสริญพระพุทธคุณ บทอาราธนาศีล บทบูชาหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ และบทขอขมาพระรัตนตรัย แล้วต่อด้วยบทพระมหาจักรพรรดิ์ จากนั้นจึงทำสมาธิในอิริยาบทที่เราถนัด กำพระไว้ในกำมือน้อมนึกอาราธนากำลังจากองค์พระมาที่จิตเป็นการเพิ่มพลังจิตในการภาวนาของเรา การบริกรรมใช้คำบริกรรมพุทธคุณใดก็ได้ พุทโธ หรือภาวนาไตรสรณะคมน์ไปเรื่อยๆ แต่แนะนำให้ใช้บทสวดพระจักรพรรดิ์ มาใช้แทนคำบริกรรมในการทำสมาธิเพราะได้ผลเร็วที่สุด
    นั่งขัดสมาธิ ขาขวาทับขาซ้าย มือขวากำพระวางบนมือซ้าย ให้หัวแม่มือทั้งสองจรดกัน วางบนหน้าตักพอสบายๆ ปรับกายให้ตรงดำรงสติให้มั่น กำหนดจิตไว้ที่หน้าผาก เอาสติมาแตะรู้เบาๆ น้อมจิตเข้าหาพระ (นึกถึงหลวงปู่) แล้วตั้งใจภาวนาคาถา กำพระเบาๆ วางจิตเบาสบายๆ กายสบายๆ ขณะภาวนาให้หายใจเหมือนปกติ ไม่ต้องคำนึงถึงลมหายใจ เมื่อภาวนาจบแล้วให้วกกลับมาเริ่มต้นใหม่ อย่างนี้เรื่อยไป ระหว่างวันสวดคาถาจักรพรรดิ์ในจิตไว้ เป็นบุญใหญ่เป็นวิมานแก้วครอบเรา
    ให้ทุกคนอธิษฐานตั้งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไว้เหนือหัว โดยมีหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ อยู่ด้านซ้ายขวา ของพระพุทธเจ้า เวลาไปฝึกกายวิเวกก็นั่งภาวนาหลับตาไปเรื่อยๆไม่ต้องกลัว เพราะเราตั้งพระพุทธเจ้า หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ไว้แล้ว ไม่มีอะไรมาทำอะไรเราได้
    ให้คอยรู้กาย คอยรู้อย่างที่มันเป็น เพราะเราต้องการรู้ความจริงของกายของใจ เกิดปัญญาปล่อยวางการยึดถือกายใจได้ ทุกก้าวเดินถ้ามีความรู้สึกตัวเรียกว่าเดินจงกรมภาวนาไปรู้กายรู้ใจไป ละความเห็นผิดว่ากายใจนี้คือตัวเรา ปล่อยวางความยึดถือ รู้สบายๆกาบเคลื่อนไหวก็คอยรู้สึก ใจเคลื่อนไหวก็คอยรู้สึก รู้สึกไปตามธรรมชาติธรรมดาให้มีสติรู้สึกตัวสบายๆว่าเราสวดมนตร์
    'อธิษฐานให้พ้นทุกข์ หรือขอให้พบแต่ความดีตลอดไป จนพ้นทุกข์ ถ้าเป็นภาษาบาลีก็ว่า สุทินนัง วะตะ เมทานัง อาสะวะขะ ยาวะหัง นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ คนเราจะพ้นทุกข์ได้ต้องพบกับความดี มีความสุข ไม่จำเป็นต้อง อธิษฐานยืดยาวหรอก'
    ส่วนการอธิษฐานรับพรนั้น ท่านแนะนำว่า ตั้งจิตว่า 'ข้าพเจ้าขอรับพรที่ได้นี้ ขอให้ติดตามข้าพเจ้าตลอดไปในชาตินี้ชาติหน้า' แล้วอธิษฐานบทอัญเชิญพระเข้าตัว สัพเพ พุทธา สัพเพ ธัมมา สัพเพ สังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะ ยังพะลัง อะระหันตานัญ จะ เตเชนะ รักขัน พันธามิ สัพพะโส พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆัง อธิษฐามิ เวลามีพิธีอะไร เช่นเวลามีการปลุกเสกพระ เราก็สามารถรับพรจากพระองค์ไหนๆก็ได้ทั้งนั้น การสำรวม กาย วาจาใจ จึงเป็นสิ่งสำคัญเมื่อมีพิธีการทางสงฆ์ เพราะบ่อยครั้งขณะที่พระให้ศีล หรือให้พร ญาติโยมบางคนก็เริ่มคุยแข่งกับพระ เสียงโยมเมื่อรวมกันดังกว่าเสียงพระเสียอีก ตนเองไม่ได้บุญยังไม่พอแต่กลับไปสร้างความรำคาญให้ผู้อื่นเรียกว่าเป็นการขัดบุญที่ผู้อื่นจะพึงได้รับ หลวงปู่ดู่เคยพูดว่า 'ระวังให้ดี เดี๋ยวจะเกิดเป็นตะเข้ขวางคลอง'

    คำอธิษฐานเพื่อตัดกระแสกรรมที่เกี่ยวเนื่องระหว่างเจ้ากรรมนายเวรวิญญาณเกาะติดกาย
    ให้ผู้อธิษฐานนั่งต่อหน้ารูปปั้น หรือรูปภาพหลวงปู่ดู่ แล้วจับภาพหลวงปู่ดู่ไว้บนเหนือศรีษะของผู้อธิษฐาน ตั้งจิตนิมนตร์หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อเกษมเขมะโก พุทธังอาราธะนัง กะโรมิ ธัมมังอาราธะนัง กะโรมิ สังฆัง อาราธะนัง กะโรมิ น้อมระลึกถึงหลวงปู่ทวดแล้วว่าคาถา นโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ (3ครั้ง) น้อมระลึกถึงหลวงปู่ดู่ แล้วว่าคาถา นโม โพธิสัตโต พุทธะ พรหมะ ปัญโญ (3ครั้ง) ระลึกถึงหลวงพ่อเกษมเขมะโก แล้วว่าคาถา นโม เขมมะโกภิกขุ (3ครั้ง) แล้วนิมนตร์หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อเกษม เขมะโก มาคลุมกายเรา
    แล้วตั้งจิต อธิษฐานว่า 'ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีรวม อดีตปัจจุบันอนาคต ของหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นที่สุด ขอตัดกระแสกรรมเกี่ยวเนื่องระหว่างเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้าตั้งแต่ อดีตปัจจุบันอนาคตทุกดวงจิตวิญญาณทุกภพทุกชาติ เจ้ากรรมนายเวรที่ยึดครองร่างกายข้าพเจ้านี้ ให้ละจากบุพกรรมทั้งปวงเพื่อถวายเป็นพุทธบูชาตราบจากนี้ไป ข้าพเจ้าสร้างบุญกุศลที่ใด อย่างไรทั้งหมดทั้งมวล ขอให้ท่านอนุโมทนาร่วมกับข้าพเจ้าได้ ตั้งแต่บัดนี้ตราบชั่วชีวิตข้าพเจ้า สาธุฯ'
    ข้าพเจ้าขออาราธนาบารมีรวม หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อเกษม เขมะโก ขอหลวงปู่ หลวงพ่อ ได้แผ่บุญกุศลทั้งหมดให้แก่เจ้ากรรมนายเวรที่ครองกายข้าพเจ้า เจ้ากรรมนายเวรที่เล่นงานข้าพเจ้า ขอหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อเกษม ได้เมตตาอาราธนาบุญกุศลบารมีรวมแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยสงฆ์สาวก พระปัจเจกพุทธเจ้า ทั้งหลายทั้งปวงทั่วทั้งแสนโกฏิจักรวาล ตั้งแต่อดีต ปัจจุบันอนาคต
    รวมทั้งบุญกุศลของข้าพเจ้าทุกภพชาติ ขอได้โปรดรวมบุญทั้งหมดเหล่านี้เป็นกองบุญรวม ส่งให้ถึงญาติ และที่ไม่ใช่ญาติข้าพเจ้าก็ดี เทวดาเทพพรหมสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าที่ที่คุ้มครองรักษา เชื้อโรค นายเวร โดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้าตั้งแต่อดีตปัจจุบันอนาคตทุกดวงจิตวิญญาณทุกภพทุกชาติ (หรือเจ้ากรรมนายเวรของใครก็ตามที่ต้องการอธิษฐานให้) ให้ได้รับบุญเสวยผลบุญตลอดวันตลอดคืน ตลอดจนเราทั้งหลายเข้าสู่นิพพานก็ยังได้รับบุญเสวยบุญตลอดไป
    เมื่อท่านทั้งหลายโดยเฉพาะเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้าได้รับบุญแล้ว เมื่อท่านได้รับบุญแล้ว ขอให้ท่านตามไปอยู่กับหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ที่เทวโลก ไปเสวยสุขเรียนธรรมกับหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ และขอนิมนตร์หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ได้โปรดเมตตามารับตัวรับดวงวิญญาณท่านทั้งหลาย วิญญาณเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้าตั้งแต่อดีตปัจจุบันอนาคตทุกดวงวิญญาณทุกชาติ ทุกภพ โดยเฉพาะที่ดวงจิตนี้ ที่กำลังเล่นงานข้าพเจ้าอยู่ขณะนี้ ให้ได้อยู่ในอุปการะคุณของหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ ให้ได้รับบุญ เรียนธรรม เสวยสุขที่เทวโลก และได้รับการส่งวิญญาณปรับภพภูมิดวงวิญญาณกายทิพย์ให้ได้ไปสู่ภพภูมิที่ดียิ่งๆขึ้นไปตลอดวัน ตลอดคืน ตลอดไปเทอญ สาธุ



    การอธิษฐานขอบารมีพระช่วยเหลือในกรณีพิเศษในเวลา 20.30 น. ของทุกวัน
    1. เตรียมตัวให้พร้อมพร้อมใจดีกว่าพร้อมกาย หรือสถานที่ 20.15 น. ควรพร้อมแล้วอาจจะอยู่หรือไม่อยู่ในห้องพระก็ได้
    2. กำพระในมือพร้อมทั้งอธิษฐานขอท่านตามปรารถนา
    3. สวดมนตร์ตามตำรับหลวงปู่ดู่ อธิษฐานซ้ำอีกครั้งหลังสวดมนตร์เสร็จ หากทำทุกวันจะย่งทำให้คล่องตัวยิ่งขึ้น
    คาถารวมจิต

    เวลาภาวนาจิตไม่สงบ ฟุ้งซ่าน ให้นึกขอบารมีของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้โปรดเมตตาสงเคราะห์รวบรวมกำลังใจของเรา ให้ทรงตัวเร็ว แล้วภาวนาว่า 'อิติ สัมมาสัมพุทธัสสะ มะมะ จิตตัง' จนกำลังใจสงบจนทรงตัวแล้ว ค่อยใช้คำภาวนาตามเดิม

    กำหนดจิตถามพระในเรื่องการปฏิบัติ และในทุกเรื่องปัญหาชีวิตที่แก้ไม่ตก

    ทำใจให้สบายๆ กำพระ กำหนดให้เห็นรูปหลวงปู่ แล้วก็ถามเอาดื้อๆเลยเช่น 'หลวงปู่ทำอย่างไรดี ผมจะทำสัญญาฉบับนี้ ทำแล้วลูกจะเสียเปรียบไหม' จากนั้นทำใจสบาย ไม่ต้องเงื่ยหูฟังว่าหลวงปู่จะตอบ บางทีหลวงปู่ไม่ตอบเป้นคำพูด ท่านจะตอบเป็นจิตรู้เลย หรือจะให้เห็นภาพเลย บางทีก็จะมีเหตุการณ์บางอยางให้รู้เอง คือท่านจะดลทั้งใจ ทั้งรูปการณ์ให้พร้อมเสร็จ

    การอธิษฐานฝากดวงไว้กับหลวงปู่

    ให้นึกถึงหลวงปู่ (ดู่) แล้วอธิษฐานบอกท่านว่า ขอยกให้หลวงปู่เป็นพ่อแม่ครูอาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้หลวงปู่ช่วยดูแลทั้งทางโลก และทางธรรม และขอฝากดวงฝากชีวิตนี้ไว้กับหลวงปู่นับตั้งแต่นี้ไป จนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าสู่พระนิพพาน

    คำแปลคาถาบูชาพระ (มหาจักรพรรดิ์)

    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมบูชาต่อพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ พระพุทธเจ้าซึ่งมีพระญาณแก้วทั้ง 3 อันหมายถึงบุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ , อาสวักขยะญาณ มีมือถึงพันมือ หมายถึงการที่พระพุทธองค์ทรงแจกแจงหลักธรรม คือพระไตรปิฎกถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ ทรงเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พระธรรมของพระพุทธเจ้า พระสาวกผู้ปฏิบัติตาม ขอพระพุทธเจ้าปางมหาจักรพรรดิ ซึ่งมีชัยแก่พญาชมพูผู้มีฤทธิ์มากพร้อมทั้งพระธรรม และพระสงฆ์จงบังเกิดขึ้น ณ บัดนี้ด้วยเทอญ ข้าพเจ้าขอบูชาพระพุทธเจ้า บูชาพระธรรม บูชาพระสงฆ์ ด้วยสิ่งเหล่านี้ ได้แก่ธูปเทียน ไฟ หรือแสงสว่างของหอมทั้งมวล ขอนมัสการพระสีวลเถระเจ้าผู้เป็นเลิศทางลาภสัการะ ขอนมัสการสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป มีสังเวชนียสถาน เป้นต้น ขอนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุทั้งหลาย ทั่วทั้งแสนโกฏิจักรวาล ขอนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยเทอญ

    คำแปลบท อัญเชิญพระเข้าตัว (แผ่เมตตา)

    ด้วยอำนาจแห่งพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ด้วยอำนาจแห่งพระธรรมทั้งหลาย ด้วยอำนาจแห่งพระสงฆ์ทั้งหลาย ด้วยอำนาจแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหาล ด้วยอำนาจแห่งพระอรหันต์เจ้ารักษา (พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระสงฆ์) ทั้งหมดทั้งมวลขอให้เป็นไปตามคำอธิษฐาน ข้าพเจ้าขออธิษฐานด้วยอำนาจแห่งพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าขออธิษฐานด้วยอำนาจแห่งพระธรรม ข้าพเจ้าขออธิษฐานด้วยอำนาจแห่งพระสงฆ์.....บทนี้ใช้ได้ทั้ง 2 อย่างแล้วแต่เราตั้งเป้า

    credit: http://www.ainews1.com/article351.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 ตุลาคม 2012
  18. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    บทสวดพระคาถามหาจักรพรรดิ_ คู่มือการใช้พระผงกรรมฐาน
    ลูกแก้วมณีนพรัตน์ และ คำอธิษฐานประกอบการใช้พระ



    จัดทำโดยวัดพุทธพรหมปัญโญ (วัดถ้ำเมืองนะ) ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

    คำนำ
    หนังสือบทสวดพระคาถามหาจักรพรรดิ คู่มือการใช้พระผงกรรมฐาน เล่มนี้ คณะศิษย์ได้จัดทำขึ้น โดยมีจุดประสงค์เพื่อมอบเป็นธรรมบรรณาการ ให้ผู้ที่ได้รับไปได้ใช้สวดควบคู่ไปกับการบูชาพระผงกรรมฐาน สูตรหลวงปู่ดู่

    พระคาถามหาจักรพรรดิ เป็นพระคาถาศักดิ์สิทธิ์ที่ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ วัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เป็นผู้เรียบเรียงขึ้น อีกทั้งหลวงปู่ดู่ ยังเป็นผู้สร้าง พระผงกรรมฐาน เนื้อผงปูนซีเมนต์ขาวผสมผงจักรพรรดิอีกด้วย

    ปัจจุบัน ผู้ที่สืบทอดวิชาการสร้างพระผงกรรมฐาน และสืบทอดการสวดพระคาถา มหาจักรพรรดิ ก็คือ พระอาจารย์วรงคต วิริยะธโร (หลวงตาม้า) วัดพุทธพรหมปัญโญ ตำบลเมืองนะ อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่

    ผู้ที่สวดพระคาถามหาจักรพรรดิ ควบคู่ไปกับการบูชาพระผงกรรมฐาน และปฏิบัติตามแนวทางโพธิญาณ จะได้รับประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรม สุดแต่ผู้นั้นจะดำริชอบและประกอบไปด้วยธรรม นอกจากจะยังประโยชน์ให้เกิดแก่ตนเองแล้ว ยังสามารถยังประโยชน์ให้เกิดแก่ผู้อื่นในวงกว้างอีกด้วย

    คณะศิษย์ขอขอบพระคุณ คุณยุทธภูมิ อุพลเถียร ผู้เรียบเรียงหนังสือ มณีนพรัตน์ จักรพรรดิเปิดโลก ที่คณะศิษย์ใช้เป็นแนวทางในการจัดทำหนังสือเล่มนี้

    บุญอันเกิดแต่การมอบหนังสือนี้เป็นธรรมบรรณาการ คณะศิษย์ขอน้อมถวายเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา มารดาบิดาบูชา พรหมบูชา เทวดาบูชา คุณครูอุปัชฌาย์อาจาริยบูชา อันมีหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ และหลวงตาม้า เป็นที่สุด

    [​IMG]
    หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ
    วัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    บทสวดพระมหาจักรพรรดิ
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ(๓ ครั้ง)

    นะโมพุทธายะ พระพุทธไตรรัตนญาณ
    มณีนพรัตน์ สีสะหัสสะ สุธรรมา (อ่านว่า สุ-ทำ-มา)
    พุทโธ ธัมโม สังโฆ ยะธาพุทโมนะ
    พุทธะบูชา ธัมมะบูชา สังฆะบูชา อัคคีธานัง วะรังคันธัง

    สีวลีจะมหาเถรัง
    อะหังวันทามิทูระโต

    อะหังวันทามิ ธาตุโย
    อะหังวันทามิสัพพะโส
    พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ

    *สวดตามกำลังวัน อาทิตย์ ๖[FONT=&quot], [/FONT]จันทร์ ๑๕[FONT=&quot], [/FONT]อังคาร ๘[FONT=&quot], [/FONT]พุธ ๑๗[FONT=&quot], [/FONT]พฤหัส ๑๙[FONT=&quot], [/FONT]ศุกร์ ๒๑[FONT=&quot], [/FONT]เสาร์ ๑๐
    บทอาราธนาอัญเชิญพระเข้าตัว[FONT=&quot] ([/FONT]แผ่เมตตา)
    (ขณะที่สวดบทสัพเพฯ ให้กำหนดเป็นภาพพลังงานบุญ แผ่ออกจากายหลวงปู่ ส่งผ่านมาที่ตัวเรา แล้วให้เราน้อมจิตแผ่บุญนั้นออกไปยังเป้าหมายที่กำหนด)
    สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา
    พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญจะ ยังพลัง
    อรหันตานัญ จะ เตเชนะรักขัง พันธามิสัพพะโส [FONT=&quot]([/FONT]สวด ๕ จบ)
    พุทธัง อธิษฐามิ ธัมมัง อธิษฐามิ สังฆังอธิษฐามิ


    [FONT=&quot]([/FONT]ให้อธิษฐานจิต แล้วน้อมนำพลังงานแผ่ออกไป)
    คำแปลบทสวดพระคาถามหาจักรพรรดิ
    โดยหลวงตาม้า (พระอาจารย์วรงคต วิริยะธโร)
    นะโมพุทธายะ หมายถึงพระพุทธเจ้า 5 พระองค์
    พระพุทธไตรรัตนะญาณ หมายถึง สุดยอดของศีล สมาธิ ปัญญา
    มณีนพรัตน์ หมายถึง สมบัติจักรพรรดิ (อันได้แก่สมบัติหลัก 7 ประการ ได้แก่ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว ขุนพลแก้ว ขุนคลังแก้ว นางแก้ว แก้วมณี)
    สีสะหัสสะสุธรรมา สีสะ แปลว่า ความคิด หัสสะ แปลว่า มือ ก็คือ การกระทำ สุธรรมา คือ การรู้ทั้ง 3 โลกธาตุ รวมความคือ การคิดและลงมือทำ จนรู้ทั่วทั้ง 3 โลก
    พุทโธ ธัมโม สังโฆ หมายถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    ยะธาพุทโมนะ หมายถึง พระพุทธเจ้าที่จะมาตรัสรู้ในอนาคต คือพระศรีอริยะเมตไตรย (เป็นการไล่สูตรคาถาย้อนกลับแบบโบราณ โดยนำเอาคำ "ยะ" มาตั้งไว้ข้างหน้า หมายถึงกำลังของพระศรีอริยะเมตไตรยเป็นองค์นำ)
    พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา หมายถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    อัคคีทานัง วะรังคันธัง หมายถึง ไฟเผาทำลายกิเลสทั้งภายนอกภายใน
    สีวลี จะ มหาเถรัง หมายถึง โชค ลาภ ธุรกิจการงาน ครอบคลุมทั้งหมด
    อะหังวันทามิ ทูระโต อะหังวันทามิ ธาตุโย อะหังวันทามิ สัพพะโส พุทธะ ธัมมะ สังฆะ ปูเชมิ หมายถึง การบูชาทั้งหมดทั้งมวลในพระพุทธศาสนา

    <O></O><O></O>​
    อานิสงส์การสวดบทมหาจักรพรรดิ
    บทสวดมหาจักรพรรดินี้ หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ เป็นผู้เรียบเรียงขึ้น เป็นการสวดบูชาพระพุทธเจ้าทั่วทั้งพระนิพพาน ตลอดจนถึงพระธรรมเจ้า พระโพธิสัตว์เจ้า พระอริยะสงฆ์ และพระสงฆ์สาวกทั้งมวล เป็นการบูชาพระพุทธเจ้าทั้ง 5 พระองค์ รวมถึงน้อมนำกำลังของเทพพรหม พระอริยเจ้าทั้งหลาย การสวดครั้งหนึ่งๆ เป็นการอัญเชิญกำลังของพระเจ้าจักรพรรดิทุกๆพระองค์ ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน รวมถึงกำลังแห่งพระโพธิญาณของพระโพธิสัตว์เจ้าทั้งหลาย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และอนาคต อาราธนาเข้าที่กาย ใจ จิต วิญญาณของผู้สวด
    การสวดครั้งหนึ่งมีอานิสงส์แผ่ไปทั่วจักรวาล 3 แดนโลกธาตุ สามารถแผ่บุญปรับภพภูมิไปทั่วทุกสรรพสัตว์ ตลอดจนเทวดาประจำตัว ญาติมิตร ครอบครัว เจ้ากรรมนายเวร และหากนำบทสวดนี้ไปสวดหรือแผ่ไปในนรก ไฟนรกจะดับชั่วขณะนอกจากนี้ บทมหาจักรพรรดินี้ยังเป็นการสร้างกำแพงแก้วคุ้มกันตัวอีกด้วย

    การอาราธนาบารมีครูบาอาจารย์ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ อัญเชิญเข้าตัวนี้ เพื่อป้องกันภัย และสร้างมหาโชคมหาลาภให้แก่ผู้สวด เนื่องจากได้มีการกล่าวถึงพระสีวลีร่วมอยู่ด้วย

    บทมหาจักรพรรดินี้มีพลังงานมากมาย เหมาะอย่างยิ่งที่จะนำไปสวดบริกรรม ก่อนหรือระหว่างการนั่งภาวนาของเรา หากได้สวดอยู่เป็นประจำ จะสามารถอธิษฐานเรื่องราวใด ที่มีข้อติดขัด เรื่องร้ายทั้งหลาย ทำให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี นำมาซึ่งความเจริญแก่ผู้สวดทั้งในทางโลกและทางธรรม

     
  19. apichayo

    apichayo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    488
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +3,936
    คำแนะนำในการดำเนินชีวิตจากหลวงปู่ดู่
    http://ainews1.com/article504.html
    [​IMG]
    [​IMG]


    บทความของคุณ สิทธิ์.....คุณสิทธิ์ เป็นคนรุ่นใหม่ ที่เคารพศรัทธาในหลวงปู่ และออกจะช่างซักช่างถาม ดังตัวอย่าง ได้สรุปคำแนะนำจากหลวงปู่ดู่เอาไว้ดังนี้:
    1. หลวงปู่กล่าวรับรองว่าบทสวดมนต์แต่ละบท ๆ ในเจ็ดตำนานก็ดี ๑๒ ตำนานก็ดี ท่านว่าท่านเคยได้พิจารณาโดยตลอดแล้ว พบว่าดีทั้งนั้น ใช้ได้ทั้งนั้น ดีทุก ๆบทเลยทีเดียว
    2. บทไตรสรณาคมณ์นั้น (พุทธังสรณังคัจฉามิ ธัมมังสรณังคัจฉามิ สังฆังสรณัง คัจฉามิ) ท่านว่า “สวดครั้งหนึ่ง (ด้วยจิตที่เลื่อมใสศรัทธาและเป็นสมาธิ) มีอานิสงส์ไปถึง ๕ กัลป์เชียว”
    3. สำหรับผู้ที่รู้สึกว่าตนประสบเคราะห์นั้นท่านแนะให้สวดอิติปิโสฯ (บทสรรเสริญพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ) เท่าอายุบวกหนึ่ง
    4. บางครั้ง ผู้ที่เขามาคอยรับส่วนบุญ เขามีเวลาน้อย (อาจขออนุญาตผู้คุมมาได้เดี๋ยวเดียว) หรืออยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน มีเวลาน้อย หรือจะด้วยเหตุใด ๆ ก็ดี หลวงปู่จึงได้มีบทแผ่เมตตาชนิดสั้นแต่มีประสิทธิผลมากคือ “พุทธัง อนันตังฯ”) แทนบทกรวดน้ำ ซึ่งค่อนข้างยาวและกินเวลามากและเหมาะกับการแผ่เมตตาประจำวันหลังสวดมนต์ทำวัตรมากกว่า
    5. บทบูชาพระ (นะโมพุทธายะฯ) หลวงปู่บอกว่า “สวดแล้วรับรองว่าไม่มีจน” ท่านเอามาจากวัดประดู่ทรงธรรม สมัยที่ศึกษาเล่าเรียนอยู่ที่นั่น และเพื่อให้ลูกศิษย์ไม่มองข้ามความสำคัญ เพราะเหตุที่ได้มาจากหลวงปู่ง่าย ๆ ท่านจึงพุดแบบอมยิ้มไปด้วยว่า “คาถาดี ๆ นี่ อาจารย์สมัยก่อนเขาหวงกันนะ เขาไม่เอามาบอกง่าย ๆ หรอกแก”
    6. จุดสำคัญในเวลาสวดมนต์หรืออธิษฐานคาถาใด ๆ ต้องทำจิตให้เป็นสมาธิ ให้จิตสว่าง ให้จิตมีภาวะตื่น จึงจะมีผลมาก และถือเป็นสร้างความชำนาญในการทำกรรมฐานไปด้วยทุกครั้ง (สำหรับบทสวดมนต์ (ไม่ใช่คาถา) นั้น ถ้ามีโอกาสก็ควรศึกษาคำแปลเพื่อให้เกิดความเข้าใจข้อธรรมและซาบซึ้งในคุณพระ รัตนตรัยยิ่ง ๆ ขึ้นไป)
    7. สุดท้าย หลวงปู่บอกว่า “สวดมนต์เป็นยาทา ภาวนาเป็นยากิน” สวดมนตร์นานเท่าไรไม่ว่า แต่ภาวนาให้มากกว่าจึงจะถือว่าได้จัดสรรเวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุด
    เมื่อท่านได้อ่านบทความ ที่คุณสิทธิ์ ได้เขียนถึงหลวงปู่เอาไว้ ตามลิงค์ข้างต้นแล้ว ท่านจะได้รับประโยชน์ต่างๆอีกมากทีเดียว ต่อการซักถามและได้รับการชี้แนะจากหลวงปู่อย่างใกล้ชิด

    สำหรับบทไตรสรณาคมณ์ ในข้อที่ 2 นั้นมีอานิสงส์เป็นอย่างไรบ้างลองมาฟังประสพการณ์ของท่านผู้นี้ ที่เป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของหลวงปู่ ท่านลองแวะที่ลิงค์นี้ http://ainews1.com/article405.html ซึ่งมีเนื้อหาเข้มข้น แลกด้วยชีวิตทีเดียว ซึ่งเหตุที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของคนผู้นี้ ไม่ได้รอดสายตาอันยาวไกลของหลวงปู่ดู่ไปได้ และได้สั่งกำชับเอาไว้สั้นๆอีกด้วย แต่ผู้รับฟังยังไม่ทราบหรอกว่า เหตุรุนแรงอะไรจะเกิดขึ้นแก่ตัวเขา

    ส่วน นะโมพุทธายะ ในข้อ 5 นั้น ในลิงค์ข้างต้นคุณสิทธิ์ ได้รวบรวมชี้แนะเอาไว้แล้ว ว่าหลวงปู่ได้แจกแจงรายละเอียดสำคัญๆอย่างไรบ้าง
    บทสรรเสริญพระรัตนตรัย เต็มๆก็คือ

    [​IMG]
    ตั้งนะโม 3 จบ
    อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ
    สวาขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ
    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโตสาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเนยโย อัญชะสีกะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ


    ส่วนบทแผ่เมตตาในข้อ 4 นั้นมีดังนี้ :
    พุทธัง อนันตัง ธัมมัง จักรวา<WBR>ลัง สังฆัง นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ นึกถึงคุณของพระรัตนตรัย ให้แก่สรรพวิญญาณ ที่หลวงปู่กล่าวถึง ให้เขาได้รับไปอย่างรวดเร็ว

    ส่วนคำแนะนำในข้อสุดท้าย ทุกๆท่านคงเข้าใจดีอยู่แล้ว มีสิ่งที่จะพูดถึงอีกเล็กน้อย สำหรับผู้ที่ได้บำเพ็ญภาวนาโดยเฉพาะ ในมหาสติปัฏฐานสูตร เพื่อนำจิตให้หลุดพ้นออกมาจากกาย พลิกกลับไปสู่สภาวะจิตเดิม ได้แล้วนั้น ก็จะรักษาสภาพอารมณ์ของจิต เช่นเดียวกับที่ปรากฏ ในครั้งแรก ที่จิตมาถึง 'มรรค' หรือ 'ทาง' เดินของจิตของทุกๆคนที่มีอยู่แล้ว การดำรงค์สถานะของจิต ให้เป็นกลาง ไม่กระเดียดไปทางบวกหรือทางลบ เช่นเดียวกับผู้ที่รักษาจิต ระหว่างการภาวนาในหมวดนี้ สะสมพลังงานมากพอจนจิตได้มาถึง 'ทาง' หรือ 'มรรค' นั้น จะทราบอารมณ์ของจิตของตน ว่าอยู่ในสถานะเป็นกลางนั้นเป็นอย่างไร

    การดำรงค์สถานะของจิตเอาไว้เช่นนั้นตลอดเวลา อย่างต่อเนื่องติดต่อกันนานๆ ไม่มีคำภาวนาใดๆอีก มีเพียงการเฝ้าระวังรักษาจิต ให้อยู่บน 'ทาง' จะเป็นการสะสมพลังงานคลื่นความถี่สูง ที่พร้อมจะใช้ประหารกิเลสต่างๆ ที่นอนเนื่องอยู่ เมื่อมันโผล่หน้าขึ้นมาเมื่อไร จะถูกพลังงานคลื่นความถี่สูง ที่จิตสะสมไว้ทำลายไปทีละอย่างจนหมดสต๊อคของอนุศัยกิเลส ที่นอนเนื่องอยู่ในกมลสันดานของสัตว์ และจะได้รับประสบการณ์ต่างๆเป็นอันมาก ตามที่พระอาจารย์รัตน์ ท่านเล่าเอาไว้ที่ลิงค์นี้ ที่ถอดออกมาเป็นตัวหนังสือ ควบคู่ไปกับเสียงของพระอาจารย์ด้วย

    ที่กล่าวมานี้ คือการภาวนา เพื่อให้จิตบรรลุถึงสภาวะจิตเดิม และมุ่งกระทำมรรค ให้สมบูรณ์ ไม่ได้มุ่งภาวนาเพื่อทำฌาณ หรือฝึกกสิณชนิดต่างๆ เป็นช่องทางลัดตัดตรงของผู้ที่เกิดมาแล้ว ต้องการนำจิตของตนกลับไปสู่สภาวะจิตเดิม

    [
    credit: http://www.ainews1.com/article504.html
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 4 พฤศจิกายน 2012
  20. แดงโซดา

    แดงโซดา Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มิถุนายน 2012
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +46
    ..................................................
     

แชร์หน้านี้

Loading...