เหรียญลป.เรืองหลังพระสิวลีรูปหล่อลพ.เจ็ดกษัตริย์ ลป.สอ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,110
    ค่าพลัง:
    +21,386
    4v946.jpg FB_IMG_1744788014687.jpg
    พระคู่บารมีหลวงปู่เครื่องวัดเทพสิงหาร
    เหรียญหลวงปู่ดี ฉันโน
    ท่านดังมากใน USA ครั้งเมื่อที่เกิดเหตุการณ์ที่ซุปเปอร์มาเก็ตแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา เมื่อมีโจรถือปืนบุกเข้ามาปล้นแต่เจ้าของร้านต่อสู้ โจรเลยกระหน่ำยิงไม่ยั้ง แต่เกิดเหตุการณ์ที่เสียงปืนมีเสียงแชะๆ ปืนด้านสับไม่แตก เจ้าของร้านกลับรอดตาย
    ๏ ประวัติและปฏิปทา หลวงปู่ดี ภัทธิโย ๏
    หลวงปู่ดี ภัทธิโย วัดป่าหิมพานต์ (สำนักวิปัสสนากัมมัฏฐานภัทธิโย) อ.กุดข้าวปุ้น จ.อุบลราชธานี พระภิกษุสงฆ์แต่อดีตนั้น ท่านนิยมศึกษาเล่าเรียนวิชาอาคม เวทวิทยา ทั้งยังมีคาถา คุณไสย ศาสตร์มากมายหลายชนิด ล้วนแล้วเป็นวิชาอันเร้นลับและเป็นวิชาของฝ่ายโลกีย์ทั้งสิ้น หลวงปู่ดี ภัทธิโย ท่านก็เคยศึกษาเล่าเรียนมาตามประเพณีนิยมของพื้นบ้านเช่นกัน
    ในจังหวัดอุบลราชธานี ถ้าจะพูดถึงเรื่องคาถาอาคม เวทมนตร์ต่างๆแล้ว นับว่ามีมากแทบทุกท้องถิ่น
    แต่เมื่อถึงยุคของพระธุดงค์ บิดาผู้จุดประทีปธรรมกรรมฐาน ได้ปรากฏขึ้น ๓ องค์ พร้อมๆกัน จะด้วยกําลังจิตและแรงสนับสนุนใดๆ ก็ถือว่าเป็นบิดาผู้เปิดประตูใจของกุลบุตรผู้มีปัญญา ท่านคือ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโล, หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต, ท่านเจ้าคุณอุบาลีคุณูปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท)
    บิดาแห่งพระกรรมฐาน ๓ องค์นี้ ท่านได้พยายามฝึกสอนลูกศิษย์ที่เป็นเพศบรรพชิต คือ สร้างบุคคลธรรมดาๆ ให้เป็นอริยบุคคล จนปรากฏผลแห่งคุณภาพมากมายนับพันๆองค์ ซึ่งศิษย์เหล่านั้นก็รวม หลวงปู่ดี ภัททิโย ด้วยองค์หนึ่ง
    หลวงปู่ดีได้พยายามศึกษา หาความรู้จริงในธรรมะ จนสามารถเอาตัวรอดได้ในที่สุดนั้น ก็เพราะได้พลิกจิตใจดําเนินตามข้อวัตร ปฏิบัติตามคําสั่งสอนในหลักสมถกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐาน จากหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต บิดาแห่งกองทัพธรรมในอดีต
    หลวงปู่ดี ภัทธิโย ท่านเกิด เมื่อวันที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ.๒๕๕๕ ตรงกับปีชวด
    บิดาชื่อ นายสาน มารดาชื่อ นางเคี่ยม มีอาชีพทํานาค้าขาย
    อายุ ๑๔ ปี บิดามารดาได้พร้อมใจกันนําบุตรชายไปบรรพชา เป็นสามเณร ณ วัดใกล้บ้าน เพื่อ จะได้ศึกษาเรียนหนังสือและ ธรรมวินัย ซึ่งก็สามารถเรียนรู้ ได้เร็วอ่านออกเขียนได้ตามสติ ปัญญา
    อายุได้ ๒๐ ปีเต็ม ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์ โดยสมบูรณ์ ณ วัดโพธิ์ไทร โดย หลวงพ่อหัน แห่งวัดโพธิ์ไทรเป็นพระอุปัชฌาย์
    เมื่อบวชเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านได้ศึกษาธรรมสอบได้นักธรรมเอก
    หลังจากสอบนักธรรมแล้ว ท่านก็หันเหชีวิตออกปฏิบัติเดินธุดงค์เข้าป่าดงผ่านเส้นทางของ ผู้สละเรือน ออกสู่ความวิเวกไป ประเทศเขมร ลาว พม่า
    ท่านบุกป่าไปหลายแห่ง ผจญกับอุปสรรคนานัปการ ได้พบกับครูบาอาจารย์และพระสหธรรมิก มากมายหลายองค์ดังปรากฏต่อ มาดังนี้
    ๑. ได้ไปพบ พระอาจารย์เกตุ แห่งประเทศลาว ได้ศึกษาวิชาเวทมนตร์ และกสิณต่างๆ จน แก่กล้า
    ๒. ได้เรียนสมถะและวิปัสสนากรรมฐานกับ หลวงปู่ มั่น ภูริทัตโต สามารถเอาตัวรอดได้
    ๓. ได้พระสหธรรมิกรุ่นพี่ หลวงปู่เครื่อง ธัมมจาโร เป็นผู้ปรึกษาและช่วยเหลือกันในยาม ทุกข์ยากขณะเดินธุดงค์ร่วมกัน
    หลวงปู่ดี ภัทธิโย ท่านเป็นพระผู้มีความสงบ สันโดษมักน้อย ผู้คนน้อยนักจะรู้จักท่าน ด้วยเหตุของความพึงมีพึงได้ ได้แล้วไม่สะสมไม่ติดในสภาวะให้เป็นธุลี ปิดบังหนทางปฏิบัติธรรม
    หลวงปู่ดี ภัทธิโย เคยเดินทางเข้ามายังกรุงเทพฯ พร้อมกับหลวงปู่เครื่อง
    เมื่อมาถึงก็ต้องรีบกลับทั้งสององค์ กล่าวคือ มองเห็นความวุ่นวายอันเกิดจากมายาการปรุง แต่ง ไม่เป็นไปโดยธรรมชาติ เห็นมนุษย์ผู้โลภ ผู้หลง ก็ต้องวางใจ เพราะไม่สามารถพูดภาษาธรรมต่อกันได้
    แต่คนป่าคนดง เมื่อสอนให้ รักษาศีลเขาก็อยู่ในขอบเขต แต่ที่มาพบนี่รับศีลแล้วก็นั่งโกหก อยู่ได้ต่อหน้าของท่าน พูดเพ้อเจ้อ ฟุ้งซ่าน สอนธรรมะก็ไม่หลั่งไหลเข้าจิตใจเลย ดุจการตักน้ําใส่ภาชนะที่คว่ําไว้ฉะนั้น…
    หลังจากเดินธุดงคกรรมฐานมาเป็นเวลาหลายสิบปี ท่านจึงกลับบ้านเกิดและมาสร้างสํานัก สงฆ์ขึ้น คือ วัดป่าหิมพานต์ เพราะมีสภาพที่สงบสงัด เหมาะแก่การเจริญศีล สมาธิ ปัญญา อีก ทั้งมีต้นไม้ปกคลุมเป็นธรรมชาติที่เยือกเย็นเมื่อพบเห็น
    วัดป่าหิมพานต์ ตั้งอยู่ ณ บ้านหนองบัว อ.กุดข้าวปุ้น จ.อุบลราชธานี
    เส้นทางธรรมดังกล่าวนี้ ยินดีต้อนรับผู้แสวงหาความสงบ วิเวก ไม่ยากแก่การเดินทางไป แม้จะลําบากทางกายแต่จิตใจเบิกบาน
    ทั้งนี้วัดป่าหิมพานต์ดินแดน ห่างไกลความเจริญ เป็นดินแดน แห่งธรรมะ เหมาะแก่การบําเพ็ญ ภาวนาเพื่อจิตพ้นจากทุกข์ของ เราทุกคน
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญหลวงปู่ดี ปี ๒๕๒๐
    ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250416_140753.jpg IMG_20250416_140826.jpg
     
  2. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    8,063
    ค่าพลัง:
    +7,064
    ขอจองครับ
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,110
    ค่าพลัง:
    +21,386
    วันนี้จัดส่ง

    1744811247736.jpg

    ขอบคุณครับ
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,110
    ค่าพลัง:
    +21,386
    FB_IMG_1744816199868.jpg

    หลวงพ่อผัน วัดราษฎร์เจริญ(วัดแปดอาร์) ต.หนองแขม อ.หนองแค จ.สระบุรี หลวงพ่อผัน (พระครูสรกิจพิจารณ์) ท่านเกิดเมื่อวันศุกร์ที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๔๕๔ ปีกุน ณ บ้านหนองแขม หมู่ ๑ ต.หนองแขม อ.หนองแค จ.สระบุรี อุปสมบทเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๔๗๔ ณ พัทธสีมาวัดหนองโสน ต.สนับทึบ อ.วังน้อย จ.พระ นครศรีอยุธยา โดยมี พระครูนิเทศธรรมคาถา วัดบ้านสร้าง เป็นพระอุปัชฌาย์ เจ้าอธิการจาด วัดวงษ์สวรรค์ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการหนู วัดบ้านสร้าง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายาว่า "จิณฺณธมฺโม" หลังจากนั้นได้มาจำพรรษาที่วัดราษฎร์เจริญ ในช่วงที่ หลวงพ่อผัน เข้ารับตำแหน่งเจ้าอาวาสครั้งแรก สภาพของวัดราษฎร์เจริญทรุดโทรมอย่างหนัก อาคารเสนาสนะต่างๆ ชำรุดมาก หลวงพ่อก็ได้บูรณปฏิสังขรณ์จนดีขึ้นตามลำดับ และมีความเจริญรุ่งเรืองครบถ้วนสมบูรณ์ในทุกๆ ด้าน หลวงพ่อผัน เป็นพระเถราจารย์ผู้มีประพฤติตามพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัด ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบมาโดยตลอด และปฏิบัติกิจการพระศาสนาอย่างถูกต้อง อีกทั้งท่านยังมีเมตตาธรรมใน การปกครองคณะสงฆ์ งานด้านต่างๆ เช่น งานสาธารณูปการณ์ การก่อสร้างศาสนวัตถุต่างๆ ภายในวัด ท่านก็ได้เป็นผู้นำดำเนินการก่อสร้างเพื่อประโยชน์แก่พระศาสนาและพุทธ ศาสนิกชนมากมาย เช่น ก่อสร้างอุโบสถ ศาลาการเปรียญ หอสวดมนต์ วิหารกุฏิ ฌาปนสถาน ซุ้มประตูหน้าวัด กำแพงรอบวัด เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการใช้สอยและความสวยงาม ร่มรื่นเป็นระเบียบเรียบร้อยในทุกๆ ด้าน นอกจากนี้ ท่านยังได้สนับสนุนในการก่อสร้างอาคารเรียนของ โรงเรียนวัดราษฎร์เจริญ เพื่อประโยชน์แก่ลูกหลานชาวบ้าน ตลอดทั้งให้ความเอื้อเฟื้อแก่ชุมชนชาวบ้านทุกครัวเรือน หลวงพ่อผันเป็นพระสุปฏิปัณโณ ผู้มีเมตตาธรรมสูง มีศีลบริสุทธิ์ ปฏิบัติกิจของพระศาสนาอย่างดีเยี่ยม จนเป็นที่เคารพนับถือของพุทธศาสนิกชนทั่วไปทั้งใกล้และไกล และที่สำคัญอย่างยิ่งคือ หลวงพ่อผัน ท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากท่านหนึ่งของ จ.สระบุรี ที่พุทธศาสนิกชนทั่วไปให้ความเคารพนับถือ และเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างมาก หลวงพ่อปฏิบัติตัวเป็นพระของ ชาวบ้านอย่างแท้จริง ไม่ถือตัว ไม่เลือกชั้นวรรณะ เวลามีญาติโยมมานิมนต์ให้ท่านไปงานบุญกุศลต่างๆ ท่านจะสนองศรัทธาถ้วนทั่วทุกบ้านเรือน โดยไม่ถือว่าจะเป็นบ้านของคนมั่งมี หรือบ้านของคนยากจน ท่านให้ความเสมอเหมือนกันหมด ส่วนจตุปัจจัยที่ท่านได้รับ จากการที่มีผู้ศรัทธาถวาย ท่านจะนำมาก่อสร้างถาวรวัตถุ เสนาสนะต่างๆ ภายในวัดราษฎร์เจริญ จนหมดสิ้น ไม่เก็บสะสมไว้เป็นสมบัติส่วนตัวแต่ประการใด จึงทำให้วัดมีความมั่นคงอยู่จนทุกวันนี้ หลวงพ่อได้ละสังขารไปเมื่อ วันที่ ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๔๘สิริรวมอายุ ๙๔ ปี และได้เกิดปาฏิหาริย์พิเศษ คือ สรีระของหลวงพ่อ ไม่ปรากฏอาการเน่าเปื่อยแต่อย่างไร กลับแข็งเหมือนหิน มีลักษณะเป็นสีขาวเหมือนแป้ง ขณะเดียวกัน ได้ปรากฏในเวลาต่อมาว่า ทั้งเส้นผม และเล็กมือเล็บเท้าของหลวงพ่อได้งอกยาวออกมาจากเดิมอีกด้วย วัดจึงเก็บรักษาสรีระของหลวงพ่อไว้ในหีบแก้ว โดยตั้งบำเพ็ญกุศลเพื่อให้ศรัทธาสาธุชนทั่วไปสักการบูชาจนถึงทุกวันนี้ ในส่วนวัตถุ มงคล หลวงพ่อผัน ท่านได้สร้างไว้หลายรุ่น ล้วนมีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ในทุกๆ ด้าน ที่นิยมกันมาก คือ เหรียญรุ่นแรก ปี ๒๕๐๕ เป็นเหรียญเสมา รูปหลวงพ่อนั่งสมาธิเต็มองค์ ออกเนื่องในโอกาสได้รับพระราชทานสมณศักดิ์ และเหรียญที่สร้างความโด่ง ดังให้หลวงพ่อมากเป็นพิเศษ คือ เหรียญรุ่นแทงคอหมู เป็นเหรียญรูปหลวงพ่อนั่งสมาธิเต็มองค์ อยู่ในซุ้มใบเสมา คล้ายๆ กับเหรียญรุ่นนั่งพานของพระเกจิอาจารย์บางท่าน เหรียญนี้ออกในโอกาสบูรณปฏิสังขรณ์วัด ปีใดไม่แน่ชัด สาเหตุที่ได้เรียกเหรียญรุ่นนี้ว่า "รุ่นแทงคอหมู" เนื่อง มาจากสมัยที่เหรียญรุ่นนี้ออกให้ทำบุญใหม่ๆ มีชาวบ้านคนหนึ่งได้รับเหรียญนี้มา แล้วเอาเหรียญใส่ไว้ในซองยาทัมใจ จากนั้นจึงเอาซองยาใส่ลงในกระเป๋าเสื้อตัวเอง ชาวบ้านคนนี้มีหน้าที่แทงคอหมู เพื่อชำแหละส่งขายตลาด วันนั้นหลังจากได้รับเหรียญหลวงพ่อผันแล้ว ก็ยังคงทำหน้าที่เพชฌฆาตตามปกติ ขณะที่เขาแบกหมูเอาไว้บนบ่า แล้วเหวี่ยงตัวหมูลงบนโต๊ะ เพื่อที่จะฆ่านั้นเอง ซองยาในกระเป๋าเสื้อของเขา ได้หลุดลอยตกลงบนโต๊ะฆ่าหมูก่อนแล้ว ทำให้ตัวหมูทับซองยานั้นพอดี จากนั้นเขาได้เอามีดปลายแหลมแทงเข้าที่คอหมู เหมือนอย่างที่เคยทำมาเป็นประจำ แต่วันนั้น...เกิด เหตุการณ์ประหลาด เพราะปลายมีดอันคมกริบ ไม่สามารถจะแทงคอหมูเข้าได้เลย จึงเปลี่ยนมุมแทงอีกด้านหนึ่ง ก็ปรากฏแทงไม่เข้าเหมือนเดิม เขาแปลกใจมาก จึงพลิกตัวหมูขึ้นมา ก็พบกับ ซองยาทัมใจที่ใส่เหรียญหลวงพ่อผัน ตกอยู่ใต้ตัวหมู จึงรู้ได้ทันทีว่า ที่แทงคอหมูไม่เข้า เพราะเหรียญหลวงพ่อผัน นี่เอง ตกลงว่า หมูตัวนั้น...รอดตายราวปาฏิหาริย์ และที่น่ายินดีอีกอย่าง คือ ชายคนนั้นเลิกอาชีพฆ่าหมูอีกต่อไป ปาฏิหาริย์เรื่อง "แทงคอหมู" ของ เหรียญหลวงพ่อผัน รุ่นนี้ลือกระฉ่อนไปทั่วหมู่ลูกศิษย์ และผู้เคารพศรัทธาในหลวงพ่อผัน ต่อมาได้ขยายสู่แวดวงนักสะสมพระเครื่องโดยทั่วไป จนทุกวันนี้ เหรียญรุ่นแทงคอหมู กลายเป็นเหรียญหายาก และมีราคาเช่าหาแพง อีกเหรียญหนึ่งของ...พระเกจิอาจารย์ดังแห่งเมืองสระบุรี
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญเสมาหลวงพ่อผันออกวัดวงษ์สวรรค์ปี๒๕๓๗ ให้บูชา 130 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาท

    IMG_20250416_140939.jpg IMG_20250416_141007.jpg
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,110
    ค่าพลัง:
    +21,386
    FB_IMG_1744874945948.jpg FB_IMG_1744874956697.jpg

    เหรียญสัมพุทโธโภคทรัพย์หลวงปู่พล วัดหนองคณฑี
    พระพุทธบาทสระบุรี
    คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ
    เล่าเรื่องเกี่ยวกับพระเดชพระคุณพระอริยสงฆ์ ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเรียกว่า พระสุปฏิปันโน มาหลายองค์แล้ว ชักจะเบื่อ ๆ ลองมาเปลี่ยนบรรยากาศติดตามเรื่องของฆราวาส ๒ ท่านดูบ้าง คือ เรื่องของ คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ เดี๋ยวพอให้คลายหายง่วงหายเหงา แล้วค่อยกลับเรื่องไปคุยถึงหลวงพ่อ ฯ หลวงปู่องค์อื่น ๆ กันอีกก็แล้วกันนะครับ
    ในสมัยที่ผมได้มาพบกับหลวงพ่อ ฯ ของเรานั้น ผมมียศเป็นร้อยตำรวจเอก แต่ได้รับเกียรติยศเป็นอย่างสูง ให้ไปช่วยราชการอยู่ที่กองยุทธการ กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า (ปัจจุบันเรียกชื่อใหม่ว่า “ศูนย์อำนวยการร่วม กองบัญชาการทหารสูงสุด”)
    ทั้งนี้ เป็นความกรุณาอย่างยิ่งของท่าน พล.อ. ทวนทอง สุวรรณทัต อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งในขณะนั้นมียศเป็น พ.อ. ดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองยุทธการ ท่าน พล.อ. เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ อดีตนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นมียศ พล.ท. ดำรงตำแหน่งรองเสนาธิการกองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า ท่าน พล.อ.อ. ทวี จุลละทรัพย์ อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ขณะนั้นดำรงตำแหน่งเสนาธิการทหาร และท่าน พล.อ. ทำเนียบ ทับมณี รองประธานคณะเสนาธิการ กองอำนวยการกลางรักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ขณะนั้นยศ พ.ท. ดำรงตำแหน่งประจำกองยุทธการ
    ความจริงนอกจากผู้หลักผู้ใหญ่ทางฝ่ายทหารจะได้กรุณาผมดังกล่าวแล้ว ท่านผู้ใหญ่ทางตำรวจที่ให้ความกรุณาเป็นอย่างยิ่งกับผมในครั้งนั้นก็มี คือ ท่าน พล.ต.ท. ประเนตร ฤทธิ์ฤาชัย อดีตผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ ขณะนั้นยศ พล.ต.ต. ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน และท่าน พล.ต.อ. วสิฏฐ์ เดชกุญชร ณ อยุธยา อดีต รมช. กระทรวงมหาดไทย ขณะนั้นยศ พล.ต.ต. ตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน ได้ช่วยเหลือและชักชวนให้ผมไปช่วยราชการที่กองบัญชาการตำรวจตระเวณชายแดนเช่นเดียวกัน
    ผมจำได้ดีว่า ทั้งสองท่านยังได้กรุณาพาผมไปเลี้ยงอาหารที่ร้านแห่งหนึ่งแถวถนนพหลโยธิน แต่แล้วในที่สุด ด้วยความจำเป็นและความสะดวกสบายที่ได้รับมากกว่าจากทางกองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้า ผมจึงจำเป็นต้องเลือกการไปช่วยราชการอยู่กับฝ่ายทหาร ทั้งๆ ที่ความผูกพันทางใจที่ลึกซึ้งนั้นอยู่กับตำรวจตระเวณชายแดนมากกว่า
    แต่ถ้าท่านเป็นผม ก็คงจะต้องเลือกเช่นเดียวกับที่ผมเลือกไปแล้ว ก็ลองคิดดูว่าจะให้ผมเลือกทางไหน ในเมื่อขณะนั้นผมยังเดินไม่ได้ ต้องใช้ไม้เหน็บรักแร้ค้ำยันเวลาเดิน และต้องไปรักษาพยาบาลที่ ร.พ. พระมงกุฎทุกวัน ผมและภรรยาเช่าบ้านอยู่ที่ท่าดินแดงฝั่งธนบุรี ผมจะไปทำงานที่กองบัญชาการตำรวจตระเวณชายแดน ซึ่งอยู่ตรงข้ามซอยสายลม พหลโยธินได้อย่างไร จะเบียดขึ้นรถประจำทางรึ ก็คงจะไปไม่รอด ครั้นจะขึ้นรถแท็กซี่อีกรึ ก็คงจะไม่มีปัญญา
    สำหรับทางฝ่ายทหารนั้นมีขีดความสามารถในการสนับสนุนและช่วยเหลือผมได้ดีกว่ามาก กล่าวคือ ได้จัดรถยนต์รับ-ส่ง พร้อมพลขับให้ อันเป็นการดูแลและอำนวยความสะดวกตลอดจนบรรเทาความเดือดร้อนในการเดินทาง ทั้งการไปทำงานและการไปรักษาพยาบาลที่โรงพยาบาลพระมงกุฎ
    ดังนั้น ผมจึงจำเป็นต้องเลือกหนทางที่จะสามารถดำรงชีวิตได้เอาไว้ก่อน และในระหว่างที่ผมช่วยราชการอยู่ที่กองยุทธการ กองบัญชาการทหารสูงสุดส่วนหน้านี้นั่นเอง ผมก็ได้รับความกรุณาจากท่าน พล.อ. ทวนทอง สุวรรณทัต เป็นอย่างยิ่ง โดยท่านได้กรุณาสนใจและเอาใจใส่ ให้ความสนิทสนม ให้ความคุ้นเคยประดุจบิดาซึ่งกระทำต่อบุตร
    ท่านมักเข้ามาที่ห้องทำงานของผมบ่อย ๆ นอกจากจะเข้ามาคุยเฮฮาสัพเพเหระ หรือเข้ามาสอนเรื่องหน้าที่การงานต่าง ๆ แล้ว ยังสอบถามเกี่ยวกับสาระทุกข์สุขดิบไม่เคยขาด เพราะความดีมีน้ำใจอันสม่ำเสมอของท่านนี่เอง ทำให้ท่านได้เห็นหนังสือที่เกี่ยวกับหลวงพ่อของเรา (ประวัติหลวงพ่อปาน ฯ วัดบางนมโค) ที่ผมได้พยายามซ่อนเร้นแล้วบนโต๊ะทำงานของผม
    (ความจริงก็ไม่ได้ตั้งใจซ่อนให้จริงจังอะไร เพราะไม่ได้เป็นความผิดอะไร เพียงแต่อายนิดหน่อย กลัวท่านจะหาว่าบาดเจ็บแค่นี้ถึงกับเสียอกเสียใจจนต้องเข้าหาพระหาเจ้า จึงเอาหนังสือเล่มอื่นวางทับไว้ และด้วยเกรงว่าท่านจะหาว่าเอาเวลาราชการมาอ่านหนังสืออย่างหนึ่ง และงมงายอีกอย่างหนึ่ง)
    ต่อมาท่านก็คงจะสังเกตว่า เมื่อมีเวลาว่างคราใด ผมจะต้องหยิบหนังสือของหลวงพ่อ ฯ ขึ้นมาอ่านทุกที (ส่วนใหญ่เป็นเวลาหลังอาหารเที่ยง) ท่านจึงหยิบไปเปิดอ่านดูบ้าง พลิกไปพลิกมาแล้วก็คืน ผมเดาว่าท่านคงจะมีความสนใจ ดังนั้น ถ้าผมมีหนังสือเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวกับหลวงพ่อ ฯ ผมจะหามาเผื่อให้ท่านด้วยอีก ๑ ชุดเสมอ หลังจากนั้นเมื่อท่านพบผม ท่านถามทำนองหยั่งเชิงผมทันทีว่า
    “คุณว่าจริงเร๊อะ” (ท่านคงจะหมายถึง เรื่องราวต่าง ๆ ในหนังสือที่หลวงพ่อเขียนเล่าเอาไว้)
    ผมก็ได้แต่มองหน้าท่านแบบยิ้ม ๆ ไม่ตอบท่านตรง ๆ ในทันที (เพราะผมก็ยังไม่แน่ใจนั่นเอง) แต่เมื่อเวลาผ่านไป ผมได้มีโอกาสศึกษาธรรมจากหลวงพ่อ ฯ และยังได้พบเห็นสิ่งแปลก ๆ ที่น่าอัศจรรย์ของหลวงพ่อ ฯ และเมื่อสังเกตว่าท่านมีเวลาว่างพอ ผมจึงได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อ ฯ ที่ผมได้ประสบพบมาให้ท่านฟัง ซึ่งท่านก็ฟังเรื่องที่ผมเล่าอย่างสนใจ แต่ก็ไม่ได้ข้อสรุปจากผมว่า จริงหรือไม่จริง
    ส่วนผมเองนั้นก็ไม่ทราบว่าท่านเชื่อหรือไม่เชื่อ (บุคคลในระดับนี้นั้น เด็กระดับผมชักจูงท่านไม่ได้หรอกครับ) เพราะภูมิปัญญาและความรู้ตลอดจนประสบการณ์ของท่าน สูงกว่าผมมากมายนัก
    เวลาล่วงเลยไปอีกระยะหนึ่ง ผมจึงได้ทราบว่า ท่านนั้นมีความเคารพเชื่อถือใน “หลวงปู่พล” เป็นอย่างยิ่ง สาเหตุนั้นมีอยู่ กล่าวคือ ท่าน พล.อ.ท. ลิขิต สุวรรณทัต (ยศ น.ท. สมัยนั้น) ญาติของท่านและภรรยา ได้ไปฝึกวิปัสสนากรรมฐานกับ “หลวงปู่พล” อยู่เสมอ ๆ
    สมัยนั้นทราบว่า หลวงปู่พล ฯ ท่านมักจะมาสอนกรรมฐานอยู่ที่สำนักสงฆ์แห่งหนึ่งแถว ๆ บางแค ท่านลิขิต ฯ กับภริยาก็มักจะหาโอกาสไปฝึกเสมอ และได้นำบุตรชายของท่าน ๒ คนติดตามไปด้วย คือ คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ ซึ่งเมื่อท่านบิดามารดากำลังฝึกกรรมฐาน คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ ก็เล่นกันอยู่ข้างนอกตามประสาเด็ก
    ครั้นเล่นจนเหนื่อยอ่อนจึงมานั่งคอยบิดามารดา และได้ยินการสอนของ หลวงปู่พล ฯ ไปด้วยโดยบังเอิญ และก็ตามประสาเด็กอีกนั่นแหละ คุณจักร ฯ กับ คุณศาสน์ ฯ ก็ชวนกันเล่นนั่งสมาธิเลียนแบบผู้ใหญ่ตามที่ได้ยินคำสอนของ หลวงปู่พล ฯ นั้น
    ปรากฏว่า ทั้ง คุณจักร ฯ และ คุณศาสน์ ฯ นั้น พอจิตเป็นสมาธิก็ได้ทิพจักขุญาณทันที สามารถเห็นเทวดา เห็นพรหม เห็นพระ และไม่ใช่เพียงแต่เห็นอย่างเดียว ยังสามารถติดต่อพูดคุยด้วยได้อีก สิ่งของต่าง ๆ ที่บ้านใคร คุณจักร ฯ และ คุณศาสน์ ฯ บอกได้หมดว่าอะไรวางอยู่ตรงไหน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยไปที่บ้านนั้นมาก่อน
    แม้สิ่งของบางอย่างที่เจ้าของลืมไปแล้วว่าสิ่งของในกล่องที่เก็บเอาไว้นั้นเป็นอะไร ก็สามารถบอกได้เลยว่าสิ่งของนั้นเป็นอะไร ทีนี้ท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ ซึ่งมีศักดิ์เป็นคุณตาท่านก็สนุกใหญ่ ท่านพา คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ไปที่บ้านของท่าน พาไปที่ห้องเก็บของ แม่จ้าวโวย...สัพเพเหระ สิ่งของกองเป็นพะเนินอยู่ในห้อง อยู่ในกล่องก็มี ห่อเอาไว้ก็มี ขี้ฝุ่นหนาปึ้ก
    ท่านเจ้าของเองก็ลืมไปหมดแล้วว่า ภายในมีอะไรบ้าง แล้วคุณตาก็ถามคุณหลานว่าห่อนั้นห่อนี้มีอะไร คุณหลานก็บอก ซึ่งเมื่อแก้กล่องหรือห่อออกมาพิสูจน์ดู ก็ตรงตามที่คุณหลานบอกเอาไว้ไม่มีผิดพลาด คุณตากับคุณหลานก็มักจะเล่นทายสิ่งของที่หมกเอาไว้จนคุณตาลืมอยู่เป็นประจำ จนคุณหลานสุดแสนจะเบื่อหน่าย แต่คุณตาไม่เบื่อเลย (สมัยนั้น คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ อายุราว ๆ ๔-๕ ขวบ)
    คุณตาอยากเล่นแบบนี้ด้วยทุกวัน เพราะการทายสิ่งของดังกล่าวนี้ คุณตาสามารถท้าพิสูจน์กับใครก็ได้ว่าคุณหลานเห็นจริง ๆ นอกจากนั้น เรื่องที่ตลกและขำขันก็คือ คราวหนึ่ง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นึกสนุกอยากจะรู้ใจเจ้าสุนัขที่เลี้ยงเอาไว้ขึ้นมา จึงได้ผลัดกันหลอกถามเจ้าสุนัขน้อยนั้นว่า ระหว่าง คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ นั้น เจ้าหมาน้อยรักใครมากกว่า
    คำตอบของเจ้าหมาน้อยทำให้ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ หัวเราะลั่นจนงอหาย ชอบอกชอบใจว่าสุนัขนั้นตอบถูกใจ แต่ก็ทำเอาคุณพ่อคุณแม่ตกอกตกใจคิดว่าเกิดอะไรขึ้นจึงได้มาสอบถาม และจึงพลอยได้รู้เรื่องนี้ไปด้วย
    ทั้งนี้ไม่ว่าใคร พอได้ทราบว่าเจ้าหมาน้อยตอบ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ว่าอย่างไรแล้ว ต่างก็หัวร่อกันงอหายเช่นเดียวกับ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ไปตาม ๆ กัน เพราะสำหรับสุนัขแล้ว คำตอบนี้แสดงให้เห็นว่าเจ้าสุนัขน้อยตัวนี้ นอกจากจะฉลาดแล้วยังมีปฎิภาณไหวพริบและ IQ ไม่เบา
    อยากรู้ไหมว่าเจ้าสุนัขตอบ คุณจักร ฯ กับคุณศาสน์ ฯ ว่าอย่างไร มันตอบว่า “รักเท่ากัน”
    ผมยังจำได้ดีในขณะที่ได้ฟังเรื่องนี้จากท่าน พล.อ. ทวนทอง ฯ ท่านจะเล่าไปหัวเราะไปขบขันขนาดน้ำหูน้ำตาไหล ท่านว่า “แหม...ไอ้หมาตัวนี้มันฉะหลาด (ฉลาด)” แล้วก็หัวร่อต่อจนงอหงาย..!
    "หลวงปู่พล ธัมมปาโล" วัดหนองคณฑี จ.สระบุรี
    "ปรมาจารย์" ด้านวิปัสสนาธุระ" พระผู้ปฏิบัติดี
    ปฏิบัติชอบ รักสงบ แต่มากด้วยเรื่องราวของอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เกิดขึ้นกับบรรดาลูกศิษย์มากมาย
    ประการแรก เรื่องราวของลูกศิษย์ท่านหนึ่งซึ่งชอบเหน็บธนบัตรเอาไว้ในหนังสือ ครั้นต้องการจะหาเงินก็ไม่สามารถหาให้เจอได้สำเร็จ จึงนำความมาแจ้งแก่หลวงปู่พลฯ เพื่อขอความช่วยเหลือ หลวงปู่พลท่านหลับตาครู่หนึ่งและบอกกับลูกศิษย์ว่า "เงินยังอยู่ที่เดิม. . .แต่เราจะขยับให้" หลังจากนั้นลูกศิษย์จึงกลับไปที่บ้านอีกครั้งและพบว่า มีเงิน ยื่นออกมาจากหนังสือ แบบที่หลวงปู่ท่าน บอกกล่าวมาอย่างน่าอัศจรรย์
    ประการที่สอง มีหญิงชราท่านหนึ่งป่วยเป็นโรคร้ายแรงที่แพทย์ลงความเห็นว่า สามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อีกไม่เกิน ๗ วันเท่านั้น ทางครอบครัวได้แต่ทำใจและเริ่มเตรียมงานศพ. . .ปรากฏว่าหลวงปู่พล ท่านทำยาส่งให้หญิงชราท่านนี้ ๑ แก้วและถามรายละเอียดว่าอยู่โรงพยาบาลไหน ห้องอะไร คืนนี้ท่านจะนั่งสมาธิไปรักษาให้ ปรากฏว่าวันต่อมาหญิงชราท่านนี้ ลุกขึ้นมาใช้ชีวิตได้อย่างปกติสมบูรณ์ต่อไปอีกถึง ๓ ปีก่อนจะเสียชีวิตโดยไม่ต้องการการรักษาใดๆ
    ประการที่สาม หลวงปู่เสกทราย ไล่แมลงที่มากัดกินพืชตามไร่นา มีลูกศิษย์มาเรียนหลวงปู่ว่าพืชไร่ที่ปลูกไว้โดนแมลงต่างๆ เข้ามาทำลายทำให้เกิดความเสียหายต่อพืชผล หลวงปู่พล จึงให้นำทรายมา แล้วท่านเสกให้ชาวบ้านเอาไปโรยตามไร่นา ปรากฏว่าแมลงต่างๆ หายไปหมด
    หลังจากนั้นจึงมีคนขนทรายมาเป็นคันรถ ให้หลวงปู่เสก เพื่อนำไปโรยตามไร่นา
    หลวงปู่พล ธัมมปาโล ท่านมรณะภาพ
    22 / พ.ย./ 2534 ( 92ปี )

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญสัมพุทโธโภคทรัพย์หลวงปู่พลวัดหนองคณฑีกะไหล่ทองลงยาสีน้ำเงิน

    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250417_143456.jpg IMG_20250417_141347.jpg
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,110
    ค่าพลัง:
    +21,386
    FB_IMG_1744879062291.jpg FB_IMG_1744880546438.jpg

    ในบรรดาศิษย์หลวงพ่อเดิม
    ที่มีชื่อเสียง เขาว่า
    ลพ.กัน เขาแก้ว คือศิษย์เอก
    ลพ.กวย วัดโฆสิตาราม คือศิษย์ที่มีชื่อเสียงที่สุด
    แต่ ลพ.น้อย คือศิษย์
    ผู้ครองวัดต่อจากหลวงพ่อเดิม
    หลวงพ่อน้อย เตชปุญฺโญ (พระครูนิพนธ์ธรรมคุต)
    ท่านเกิดเมื่อวันพฤหัสบดี แรม ๗ ค่ำ เดือน ๖ ปีวอก ตรงกับวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๔๕๑ ที่บ้านหนองโพ หมู่ที่ ๑ ตำบลหนองโพ อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ โยมบิดา นายแป้น ชูจันทร์ โยมมารดา นางเงิน ชูจันทร์ มีพี่น้องร่วมบิดามารดารวม ๖ คนคือ
    ๑. นางริม จันทร์เจริญ (ถึงแก่กรรม)
    ๒. นางรวย ชวดนุช (ถึงแก่กรรม)
    ๓. จ.ส.ต.ทอง ชูจันทร์ (ถึงแก่กรรม)
    ๔. พระครูนิพนธ์ธรรมคุต (มรณภาพ)
    ๕. นายมี ชูจันทร์
    ๖. นายมอม ชูจันทร์
    เมื่อเติบโตมีอายุสมควรแล้ว ได้รับการศึกษาสมัยใหม่ ตามแบบที่หลวงพ่อเดิมได้จัดขึ้น สมัยนั้นมีเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓ เมื่อเรียนจบแล้วออกไปช่วยบิดามารดาประกอบอาชีพมีการทำนาเป็นพื้นการทำไร่มีเล็กน้อย เช่นการทำไร่แตง ไร่ผัก เป็นอาชีพเสริม พออายุครบ ๒๐ ปี บิดามารดาก็จัดการอุปสมบท ที่วัดหนองโพ เมื่อวันที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๔๗๑ มีพระครูนิวาสธรรมขันธ์ (หลวงพ่อเดิม) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์รุ่ง (หลวงพ่อรุ่ง) วัดหนองสีนวล เป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระสมุช์ชุ่ม ขนฺธสโร วัดหนองโพ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เพราะท่านเกิดต้นปีจึงอุปสมบทก่อนกำหนดการเกณฑ์ทหาร
    เมื่ออุปสมบทแล้วก็จำพรรษาอยู่ที่วัดหนองโพ เรียนและสอบได้นักธรรมชั้นโท ประมาณพรรษาที่ ๔ หรือ ๕ ได้ไปจำพรรษาที่วัดหัวหวาย ๑ พรรษา เพื่อไปฝึกเรียนทำพระปรอทจากหลวงพ่อวา ต่อจากนั้น ก็มาอยู่จำพรรษาเป็นประจำ วัดหนองโพ โดยตลอดหลวงพ่อน้อยเป็นคนละเอียดถี่ถ้วน เขียนหนังสือขอมได้สวยงามเรียบร้อย หลวงพ่อเดิมจึงเรียกใช้ใกล้ชิด หลวงพ่อเดิมมอบให้เป็นผู้ลงอักขระพระเครื่อง ตะกรุดและยันต์ต่าง ๆ ตลอดมา กับทั้งทำหน้าที่เลขานุการหลวงพ่อเดิมในตำแหน่ง (เจ้าคณะแขวง) เจ้าคณะอำเภอพยุหะคีรี จึงต้องเข้าประชุมแทนหลวงพ่อเดิม ท่ามีกิจธุระต้องไปก่อสร้างตามวัดต่าง ๆ กลับมาจำพรรษาที่วัดหนองโพบ้างไม่กลับบ้าง ถ้าการก่อสร้างที่วัดใดใกล้จะเสร็จ ท่านก็จำพรรษาอยู่ที่นั่น และทำงานก่อสร้างให้เสร็จแล้วจึงกลับ หลวงพ่อน้อยจึงทำหน้าที่แทนตลอดมาจนหลวงพ่อเดิมพ้นจากตำแหน่งเจ้าคณะอำเภอ

    เมื่ออุปสมบทแล้วหลวงพ่อน้อยหัดเทศน์มหาชาติเพราะในสมัยนั้นกำลังนิยมเทศน์มหาชาติกันอยู่ ท่านเทศน์ได้ทุกกัณฑ์แต่ที่ท่านเทศน์จนคล่องจริง ๆ นั้นคือกัณฑ์กุมารเทศน์ได้คล่อง ท่านเคยเล่าให้ฟังว่าเขานิมนต์ไปเทศน์ติด ๆกัน วัดไม่ห่างกันมากนัก มีโยมคนหนึ่งแกตามไปฟังทุกครั้ง ท่านก็แปลกใจว่า โยมคนนี้ เทศน์วัดนั้นก็ไปฟัง เทศน์วัดนี้ก็มาฟัง เทศน์อยู่สามครั้งด้วยกัน ก็บอกกับโยมที่ไปกับหลวงพ่อว่าแกตามไปฟังนั้นเพื่อจะติว่าเทศน์วัดนั้นกับวัดนี้ จะผิดกันบ้างไหม แกฟังมาสามครั้งแล้ว หาที่ติไม่ได้ พระแก่นี้ใช้ได้แล้ว หลวงพ่อว่ากัณฑ์กุมารนี้เทศน์ให้ดีแล้วกำหนดเวลาประมาณสามชั่วโมงจึงจะจบ หลวงพ่อเป็นนักเทศน์อยู่หลายปี จนพระสมุห์ชุ่ม ขนฺธสโร ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดหนองโพมรณภาพแล้ว หลวงพ่อเดิมก็มีอายุมากขึ้นและท่านลาออกจากเจ้าอาวาส หลวงพ่อน้อยจึงรับตำแหน่ง เจ้าอาวาสวัดหนองโพ และเป็นเจ้าคณะตำบลหนองโพ เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๔๙๑ จึงเลิกเทศน์เพราะมีหน้าที่การงานรัดตัวหาเวลาไม่ค่อยได้ และได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์เมื่อปี ๒๔๙๔ แล้วได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูนิพนธ์ธรรมคุต พระครูสัญญาบัตรชั้นตรี เมื่อปี ๒๕๐๐ ต่อมาเลื่อนเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นโท ในปี ๑๕๑๒ และเลื่อนเป็นพระครูสัญญาบัตรชั้นเอก เมื่อปี ๒๕๒๑
    เมื่อหลวงพ่อเดิมมรณภาพไปแล้ว กุฏิก็เก่าชำรุดทรุดโทรมมากแล้วหลวงพ่อน้อยต้องไปหาไม้มาทำกุฏิต้องไปค้างคืนรอนแรมในป่าเวลาหน้าแล้งเมื่อชาวบ้านเสร็จจากนา ยกครัวกลับมาบ้าน ก็ชวนโยมไปหาไม้ เข้าดงด่านตาพัน พุเม่น หนองรั้ว ตัดฟันไม้แล้วขอแรงเกวียนชาวบ้านไปเข็นมาบ้าง ท่อนใหญ่ ๆ ก็จ้างรถยนต์บรรทุกมาบ้าง นำมาเลื่อยที่วัดหนองโพจ้างพวกเลื่อยไม้ที่มาจากจังหวัดแพร่ให้เลื่อยโดยมากเลื่อยกันเองบ้าง เอามาทำกุฏิเสนาสนะให้เข้าระเบียบต่อมา
    มูลเหตุในการสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่อน้อยนั้นเกิดขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๕๐๕ ท่านไปธุระที่ตำบลตาคลีหรือที่ไหนที่จะต้องขึ้นรถไฟ เมื่อเดินผ่านตลาดหน้าสถานีหนองโพ นางบุญยืน ไทยจงรักษ์ ก็บอกลูกชายอายุ ๔-๕ ขวบ ว่าหนู หลวงตามาแล้วไปธุระหลวงตาซิลูกเด็กก็เข้ามาไหว้หลวงพ่อ แล้วขอพระ ว่าหลวงตาขอพระให้ผมบ้าง ท่านก็ตอบว่า กูไม่มีว่ะ ไอ้หนู เมื่อเขาให้ไปไหว้หลวงพ่อครั้งใดก็ขอพระทุกทีหลายครั้งเข้า เด็กก็ว่าให้ว่าหลวงตานี่บวชมาตั้งหลายปีแล้วจะทำพระไว้แจกลูกหลานมั่งก็ไม่ได้ นางบุญยืน จึงว่าแก่ลูกชายว่า แกไปว่าหลวงตาอย่างนั้นได้หรือแล้วจะทำโทษเด็กหลวงพ่อก็ห้ามว่าแกอย่าไปว่าเด็กเลยเพราะมันพูดถูกแล้ว แต่นั้นมาหลวงพ่อจึงได้เริ่มสร้างเหรียญสองหน้าขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๔ และเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้เงินมากในคราวสร้างศาลาการเปรียญจึงจัดทำขึ้นมาครบทุกอย่าง ในปี พ.ศ. ๒๕๑๖
    โดยปกติ หลวงพ่อน้อยเป็นผู้มีสุขภาพดีแข็งแรงท่านไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วยอันใด แต่เมื่อมีอายุมากขึ้นความต้านทานไม่พอจึงเจ็บป่วยบ้าง ก่อนที่ท่านจะป่วยมากนั้นท่านได้ถอนฟันออกทั้งหมดเพื่อใส่ฟันใหม่ระยะที่ถอนฟันกว่าจะหมดกับการใส่ฟันใหม่นั้นเป็นเวลากว่า ๒ เดือน ท่านฉันอาหารไม่ค่อยได้ตามปกติเมื่อใส่ฟันแล้วสุขภาพก็ไม่คืน กำลังของท่านก็ทรุดโทรมลงไปตามลำดับ ท่านได้เข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลราชวิถีในความดูแลของนายแพทย์ สุนทร อันตรเสน ที่ต้องพักอยู่หลายวัน ๓ ครั้ง ครั้งแรกเข้ารักษาโรคปอดครั้งที่ ๒ เข้ารักษาโรคหัวใจ ครั้งสุดท้ายโรคทางเดินอาหารเพราะฉันอาหารไม่ได้เลย กลืนไม่ลงคอพอฉันน้ำกับนมกล่องได้บ้าง แต่ไม่มากนัก เข้าโรงพยาบาลราชวิถีอีกเมื่อวันที่ ๑๖ ตุลาคม เวลา ๐๕.๐๐ น. ถึงโรงพยาบาลแล้วหมอแทงน้ำเกลือไม่เข้าจึงผ่าตัดเส้นเลือดที่แขนซ้ายเอาหลอดยางสอดเข้าในเส้นเลือดให้น้ำเกลือและอาหารทางนั้น เมื่ออยู่โรงพยาบาลหลายวันเข้าแม้แต่ฉันก็ไม่ลงคอ หมอจึงผ่าตัดให้เมื่อวันที่ ๑๓ พฤศจิกายน ๒๕๓๓ แต่มีโรคแทรก ท่านจึงถึงแก่มรณภาพ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๓๓ เวลา ๒๓.๒๐ น. ที่โรงพยาบาลราชวิถี สิริรวมอายุได้ ๘๒ ปี ๕ เดือน ๒๔ วัน รวม ๖๓ พรรษา
    Cr.ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ จากเพจ ศิษย์วัดหนองโพหลวงพ่อเดิม ไว้ณ ที่นี้ด้วยครับ
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมือที่มาอย่างสูงครับ

    รูปถ่าย ๑ นิ้วหลวงพ่อน้อยวัดหนองโพหลังยันต์หน้าโบสถ์วัดหนองโพ
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250417_141415.jpg IMG_20250417_141435.jpg
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,110
    ค่าพลัง:
    +21,386
    FB_IMG_1744890489040.jpg

    รูปเหมือน หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค รุ่นสู่พุทธภูมิ ปี ๒๕๓๖ เนื้อนวะ หลัง พระพุทธประทับสัตว์
    ปลุกเสกพิธีใหญ่ ในวันเสาร์ 5 วันที่ 27 มีนาคม 2536
    จัดสร้างโดย พระครูวิหารกิจจานุยุต (อุไร กิตติสาร) เจ้าอาวาส วัดบางนมโค
    โดย มี พระเกจิคณาจารย์ ร่วม ปลุกเสก มากมาย อาทิเช่น
    1. หลวงปู่ทิม วัดพระขาว จ.อยุธยา
    2.หลวงพ่อแม้น วัดหน้าต่างนอก จ.อยุธยา
    3.หลวงพ่อเพิ่ม วัดป้อมแก้ว จ.อยุธยา
    4.หลวงพ่อพูล วัดบ้านแพน จ.อยุธยา
    5. พระครูวิหารกิจจานุยุต (อุไร กิตติสาร) เจ้าอาวาสวัดบางนมโค จ.อยุธยา
    6. หลวงพ่อมี เขมธัมโม วัดมารวิชัย จ.อยุธยา
    7.พระครูกิตติธรรมธาดา (เจ้าอาวาสวัดเจ้าแปดทรงไตรย์) จ.อยุธยา
    8.หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์กบเจา จ.อยุธยา
    โดยแต่ละพิมพ์ขี่สัตว์ก็จะมีพุทธคุณที่โดดเด่นกันไป ทีนี้เรามาดูพระพิมพ์ขี่ทั้ง 6 สัตว์กัน
    1.พิมพ์ขี่นก
    งานด้านพุทธศิลป์ของพระพิมพ์ขี่นก สังเกตได้ง่ายๆ ว่าตรงใต้ฐานจะเป็นนกที่มีลักษณะปากแหลม หางยกขึ้นไม่มาก ส่วนด้านพุทธคุณนั้นว่ากันว่าจะถูกโฉลกกับคนที่ประกอบอาชีพการเกษตร ช่วยให้สำเร็จในการทำไร่นา และการเพาะปลูกพืชพันธุ์ นอกจากนี้ยังมีความเชื่อว่าหากบูชาจะช่วยเสริมด้านการค้าขายอีกด้วย โดยเฉพาะกลุ่มคนที่ทำอาชีพเกี่ยวกับการเจรจา การสื่อสาร
    2.พิมพ์ขี่ไก่
    เป็นพิมพ์ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในพิมพ์ขี่สัตว์ โดยพิมพ์ขี่ไก่ก็จะมีแบบที่นิยมเป็นหลักๆ คือ “ทรงไก่หางพวง” และ “ทรงไก่หาง 5 เส้น” สังเกตได้จากหางของไก่นั่นเอง ซึ่งมีพุทธคุณด้านค้าขายดี และเมตตามหานิยม เพราะพฤติกรรมของไก่ที่เป็นจ่าฝูงจะมีตัวเมียล้อมรอบ เมื่อมารวมกับผงวิเศษ 3 สูตร ยิ่งเพิ่มความศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นนั่นเอง
    3.พิมพ์ขี่ปลา
    พระพิมพ์ที่มีปลาอยู่ใต้พระพุทธเจ้า เชื่อว่าจะช่วยเรื่องการค้าขายทางน้ำ หรือผู้ที่เลี้ยงชีพโดยอาศัยแม่น้ำ จะช่วยให้รอดพ้นจากสัตว์อันตรายที่อยู่ในน้ำได้
    4.พิมพ์ขี่ครุฑ
    พระเครื่องที่นิยมในหมู่ข้าราชการชั้นเจ้านาย เชื่อว่ามีพุทธคุณดีในทางอำนาจราชศักดิ์ ผู้คนเกรงขาม ขจัดเรื่องที่ไม่ดี และยังช่วยปรับเรื่องฮวงจุ้ยอีกด้วย

    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    รูปเหมือนหลวงพ่อปานวัดบางนมโคหลังพระพุทธรูปประทับสัตว์ เนื้อนวโลหะ
    ๑. ขี่ครุฑ (ปิดรายการ)
    ๒. ขี่ไก่ (ปิดรายการ)
    ๓.ขี่นก (ปิดรายการ)

    ๔.ขี่ปลา


    ให้บูชาองค์ละ 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250417_165847.jpg IMG_20250417_165904.jpg IMG_20250417_165948.jpg IMG_20250417_165934.jpg IMG_20250417_170011.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 เมษายน 2025 at 20:20
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,110
    ค่าพลัง:
    +21,386
    วันนี้ จัดส่ง

    1744983007013.jpg

    ขอบคุณครับ
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,110
    ค่าพลัง:
    +21,386
    Phra_Phuttha_Sothon_2024_(5).jpg

    หลวงพ่อโสธร หล่อโบราณ ท้องสนามหลวง พ.ศ.2549
    อานุภาพความศักดิ์สิทธิ์ของหลงพ่อโสธร มีมากเหลือที่จะเล่าสู่กันฟังให้หมดได้เพราะหลวงพ่อโสธรเป็นต้นโพธิ์ต้นไทร อันใหญ่ให้สรรพสัตว์ได้พำนักอาศัย หลวงพ่อเป็นร่มใหญ่กางกั้นสรรพภัยอันตรายความเดือดร้อนรำเค็ญ ให้สรรพสัตว์อยู่เย็นเป็นสุข เป็นแพทย์วิเศษพยาบาลผู้อาพาธให้หายขาด เป็นสรณะที่พึ่งพิงของหมู่บริษัทผู้ถูกภัยคุกคาม เป็นหมอดูพยากรณ์ทายโชคชะตา วาสนาทั้งอดีตอนาคตและปัจจุบัน ให้ทุกท่านผู้ต้องการทราบ หลวงพ่อเป็นสัพพัญญู สำเร็จทุกวิชาทุกอย่างทั้งทางโลกและทางธรรม เป็นบรมครูของเทวดาและมนุษย์ไม่มีผู้ใด ยิ่งไปกว่าหลวงพ่อโสธรมหาพิธีครั้งประวัติการณ์ อันเชิญหลวงพ่อโสธรเข้ากรุงเทพ สมโภชองค์จำลอง 108 นิ้ว มณฑลพิธีท้องสนามหลวงเป็นครั้งแรก 9 วัน 9 คืน ในมหามงคลวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ทรงครองราชย์ครบ 60 ปี คณะกรรมการจัดงานสมโภชพระพุทธโสธรจำลอง หน้าตัก 108 นิ้ว จึงประกาศจัดงานพิธีฉลององค์หลวงพ่อโสธรครั้งประวัติศาสตร์ขึ้น ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง 9 วัน 9 คืน ตั้งแต่ 27 มค. ถึง 5 กพ.2549 เพื่อเปิดโอกาสให้พุทธศาสนิกชนได้มาปิดทองสักการะขอพรเป็นครั้งแรก ให้เป็นสิริมงคลในเทศกาลตรุษจีน ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง กทม. หลวงพ่อพระพุทธโสธรองค์ใหญ่ หน้าตัก 108 นิ้ว ได้ประกอบพิธีเททองหล่อไว้เป็นครั้งประวัติศาสตร์ ณ วัดโสธรวรารามวรวิหาร พระสงฆ์จากทั่วประเทศเจริญพุทธมนต์กว่า 10,000 รูป เพื่ออัญเชิญไปเป็นองค์ประธานในอาคารหอประชุมใหญ่ของมหาวิทยาลัยสงฆ์ต่อไปช้าตรู่วันที่ 23 ม.ค. ที่บริเวณข้างพระอุโบสถวัดโสธรวรารามวรวิหาร อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา มีพุทธศาสนิกชนหลายหมื่นคนหลั่งไหลมาร่วมพิธีอัญเชิญหลวงพ่อพระพุทธโสธรหรือหลวงพ่อโสธร (องค์จำลอง) เข้ากรุงเทพมหานครครั้งแรกในประวัติศาสตร์มืดฟ้ามัวดิน จนฤกษ์ดีมีชัยเวลา 09.39 น. นายกิตติ เป้าเปี่ยมทรัพย์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ฉะเชิงเทรา และคณะมาเป็นประธานในพิธีจุดธูปเทียน ร่วมฟังการสวดพระพุทธมนต์แล้วกดปุ่มรถเครนขนาดใหญ่ยกองค์หลวงพ่อโสธรลงสู่แพขนานยนต์ที่ประดับด้วยธงสี ผ้าสี สวยงามจอดเทียบท่าน้ำในแม่น้ำบางปะกงเพื่อมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ ตามแผนที่วางเอาไว้ โดยในพิธีมีการประดับผ้าสี จุดประทัดจำนวน 1,260,000 ดอกดังสนั่นหวั่นไหวทั้งงานและพราหมณ์โปรยข้าวตอกดอกไม้เพื่อสิริมงคลด้วย
    ทั้งนี้แพขนานยนต์ได้เคลื่อนออกจากท่าน้ำไปตามแม่น้ำบางปะกง โดยมีเรือยาวขนาด 60 ฝีพายหลายสิบลำพายเรียงรายตามแพแห่หลวงพ่อโสธรจำลองวนขวา 3 รอบเอาฤกษ์เอาชัยที่หน้าวัดโสธรวรารามวรวิหารจากนั้นก็มุ่งหน้าไปทาง อ.บางปะกง และทีมงานจะแวะพักเอาแรง 1 คืน วันที่ 24 ม.ค. ขบวนแห่จะเดินทางต่อไปแวะพักที่ปากน้ำ จ.สมุทรปราการ วันที่ 25 ม.ค. ขบวนจะเลี้ยวเข้าสู่แม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงท่าน้ำราชวงศ์และท่าน้ำสะพานพุทธยอดฟ้าฯ และในวันที่ 26 ม.ค. คณะกรรมการจะประกอบพิธีทางสงฆ์อัญเชิญหลวงพ่อโสธรขึ้นจากแพขนานยนต์มาที่มลฑลพิธีท้องสนามหลวงเพื่อประดิษ ฐานให้คนไทยและพุทธศาสนิกชนผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนแวะมาเคารพสักการะทั่วกัน โดยจะมีพิธีเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ที่ท้องสนามหลวงถึง 9 วัน 9 คืนด้วย
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250418_212257.jpg IMG_20250418_212328.jpg IMG_20250418_212205.jpg IMG_20250418_212356.jpg
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,110
    ค่าพลัง:
    +21,386
    _paragraph_111.jpg
    FB_IMG_1745072241950.jpg
    ประวัติและปฏิปทา
    พระญาณรังษี (จวบ สุภัทโท)
    วัดราชสิทธาราม ราชวรวิหาร (วัดพลับ)
    แขวงวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ
    ๏ อัตโนประวัติ
    พระญาณรังษี (จวบ สุภัทโท) มีนามเดิมว่า จวบ เกิดมงคล เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 21 มิถุนายน พุทธศักราช 2456 ตรงกับวันแรม 3 ค่ำ เดือน 7 ปีฉลู ณ หมู่ที่ 1 ต.ดอนตะหนิว อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา โยมบิดาชื่อ ขุนมัธยมยุชกิจ (ขำ) โยมมารดาชื่อ นางแย้ม เกิดมงคล
    ๏ การอุปสมบท
    ในช่วงวัยเยาว์ สำเร็จการศึกษาชั้นประถมบริบูรณ์จากโรงเรียนวัดเดิม อ.พิมาย จ.นครราชสีมา
    จากนั้นได้เข้าพิธีอุปสมบทเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ.2473 ณ พัทธสีมาวัดทองหลางน้อย ต.ตะหนิน อ.บัวใหญ่ จ.นครราชสีมา โดยมีพระครูจันทสรคุณ วัดบ้านเสมาใหญ่ เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอาจารย์มี วัดบ้านเสมาใหญ่ เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระอาจารย์หนู วัดโคกหนองแวง เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    ภายหลังอุปสมบท ท่านได้มุ่งมั่นศึกษาพระปริยัติธรรมด้วยความมุ่งมั่น สอบได้นักธรรมชั้นตรี-โท-เอก ณ สำนักเรียนวัดอรุณราชวราราม แขวงวัดอรุณ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ
    นอกจากนี้ ท่านยังเป็นผู้มีความรู้ด้านภาษาขอม สามารถอ่านออกเขียนได้ รวมทั้งมีความชำนาญเกี่ยวกับวิชาแพทย์แผนโบราณ
    ๏ งานสนับสนุนส่งเสริมการศึกษา
    “หลวงพ่อตาทิพย์” ของศิษย์
    พระญาณรังษี (จวบ สุภัทโท) เป็นผู้สืบทอดสายวิปัสสนากัมมัฏฐานตามแนวทางของ สมเด็จพระอริยวงษญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สุก ญาณสังวร) หรือ พระสังฆราชไก่เถื่อน จาก พระครูสังวรสมาธิวัตร (หลวงปู่แป๊ะ ธัมมสาโร) วัดราชสิทธาราม ราชวรวิหาร (วัดพลับ) กรุงเทพฯ
    ท่านมีความเชี่ยวชาญและได้เป็นอาจารย์คอยอบรมวิปัสสนากัมมัฏฐาน จนได้รับฉายาว่า “หลวงพ่อตาทิพย์” เนื่องจากท่านสามารถนั่งสมาธิหยั่งรู้ถึงเหตุการณ์ในอนาคตได้ ทำให้มีศรัทธาจากญาติโยมทั่วสารทิศ มาขอให้ท่านช่วยตรวจดูความเป็นไปที่เกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งท่านไม่เคยขัดศรัทธาญาติโยมแต่อย่างใด
    ๏ การมรณภาพ
    ด้วยล่วงเข้าสู่วัยชรา พระญาณรังษี เริ่มมีอาการอาพาธจากความชราและโรคภัยต่างๆ ต่อมาท่านได้เกิดอาการวิงเวียนศีรษะอย่างแรง คณะศิษยานุศิษย์ได้นำพระญาณรังษี เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลธนบุรี เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ เมื่อเวลา 07.00 น. ของวันอาทิตย์ที่ 14 มกราคม พ.ศ.2550
    ปรากฏว่า อาการท่านทรุดหนักลง ถึงขั้นช็อกหมดสติ ประกอบกับท่านอยู่ในวัยชราภาพ สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง คณะแพทย์ได้พยายามรักษาอาการพระญาณรังษีอย่างสุดความสามารถ แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตไว้ได้
    ในที่สุด เมื่อเวลา 04.04 น. เช้าวันจันทร์ที่ 15 มกราคม พ.ศ.2550 ท่านได้ละสังขารจากไปอย่างสงบ ณ โรงพยาบาลธนบุรี รวมสิริอายุได้ 94 พรรษา 73 ภายหลังเข้ารับการรักษาอาการอาพาธด้วยโรคเบาหวาน ถือเป็นการสูญเสียพระเถระชื่อดังรูปหนึ่งแห่งวงการสงฆ์ ท่ามกลางความเศร้าสลดของคณะสงฆ์วัดราชสิทธารามฯ และความอาลัยเป็นอย่างยิ่งของบรรดาคณะศิษยานุศิษย์ทั่วไป
    กำหนดการพิธีสวดพระอภิธรรมศพ เมื่อวันอังคารที่ 16 มกราคม พ.ศ.2550
    .............
    ญาติโยมที่ป่วยไข้เป็นโรคต่างๆที่รักษาไม่หาย จะมาขอความช่วยเหลือจากหลวงปู่ และในบางครั้งมีญาติโยมที่ป่วยไข้อาการหนักมาพักรักษาตัว หลวงปู่ท่านไม่รังเกียจและให้การช่วยเหลือทันที โดยไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อย ท่านยังคงทำวัตร สวดมนต์ เจริญจิตภาวนา เจริญพระกรรมฐาน เป็นประจำทุกวัน ในวันพระท่านจะลง อุโบสถเพื่อเทศน์โปรดญาติโยมเป็นประจำ และท่านยังเป็นอาจารย์ผู้มอบกัมมัฏฐานให้แก่ศิษยานุศิษย์ที่สนใจ มาประพฤติประฏิบัติ นำไปเป็นหลักเกณฑ์ตามแบบฉบับสำนักวัดพลับ (รายละเอียดขึ้นครูพระกรรมฐาน) จนเป็นที่เลื่องลือถึงความสามารถ ท่านได้ตรวจดูดวงชะตาในเหตุการณ์ อดีต อนาคต ปัจจุบัน ที่ได้จากภาพนิมิตแต่ละเหตุการณ์มารวมกัน และทายผลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้แก่ญาติโยม ที่ได้ญาณหยั่งรู้จากการฝึกฝนปฏิบัติพระกรรมฐาน โดยทายผลได้อย่างแม่นยำ จนลูกศิยษ์และประชาชนชาวไทยและชาวต่างประเทศ ให้ขนานนามท่านว่า "หลวงพ่อตาทิพย์ หลวงปู่ตาทิพย์ " หลวงปู่ได้ให้การช่วยเหลือ ศิษยานุศิษย์และประชาชนทั้งหลาย ให้ประกอบสัมมาอาชีพโดยสุจริต ทำให้ศิษยานุศิษย์และประชาชนมีความเจริญรุ่งเรื่อง ทางด้านตำแหน่งหน้าที่ การงาน ทางด้านอาชีพค้าขาย นักธุรกิจ นักการเมือง พ่อค้า ประชาชน และอีกหลายสาขาอาชีพ ท่านได้นำวิชาความรู้ที่ได้ศึกษาเล่าเรียนมา เป็นประโยชน์ศิษยานุศิษย์และประชาชนทั้งหลาย ปฏิปทาของท่านเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาแก่ญาติโยมที่พบเห็น และได้อบรมสั่งสอนศิษยานุศิษย์ของท่านให้เป็นผู้มีความเมตตาซึ่งกันและกัน ท่านได้ช่วยเหลือวัดว่าอารามเป็นจำนวนนวนมาก โดยเฉพาะวัดบ้านเกิดและใกล้เคียง ท่านเป็นพระสงฆ์ผู้เป็นแบบอย่างที่ดีงาม มีคุณธรรมสูง ให้การช่วยเหลือสงเคราะห์ญาติโยม มักน้อย สันโดด หายากที่จะมีสิ่งใดมาเปรียบเทียบได้ ท่านได้สงเคราะห์ช่วยเหลือญาติโยมติดต่อกันเป็นเวลานาน ถึง 40 ปี จวบจนถึงกาลมรณะภาพ ด้วยโรคชรา ท่านมาคติธรรมที่น่าเลื่อมใสศรัทธาแก่ศิษยานุศิษย์ เป็นพระสงฆ์ผู้เปี่่ยมล้นด้วยความเมตตาแก่ชาวโลก ท่านพูดเสมอว่า " มีเมตตามากมาก ต้องมีขันติมากมาก " เป็นการบ่งบอกถึงยความอดทนและปฏิปทาที่น่าเลื่อมใสของท่าน ที่ไม่เห็นแก่ความเหน็ดเหนื่อยเมื้อยล้า ท่านสละเวลาของท่านช่วยเหลือผู้คน ถึงแม้ว่าจะชราภาพลง หลวงปู่ก็ยังสงเคราะห์ญาติโยมตลอดเวลาวัตถุมงคลและวิชาความรู้ต่างๆ หลวงปู่จวบ ได้ศึกษาวิชาอักขระขอมและเลขยันต์ การปลุกเสกอักขระเลขยันต์ จากเกจิอาจารย์ ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน หลวงปู่ได้จัดทำวัตถุมงคล เช่น พระผงหมอดินยาใบโพธิ์ ตระกรุดกันภัย น้ำเต้ากันภัย น้ำเต้าเรียกเงินเรียกทอง ผ้ายันต์ เหรียญรูปหล่อ พระผงสมเด็จ พระผงพระร่วงเปิดโลก (พิมพ์แบบพระต่างๆ ที่หลวงปู่ได้อธิตฐานจิต ดูลายละเอียด) หมีดหมอ และน้ำพระพุทธมนต์ค้าขาย น้ำพระพุทธมนต์ปัดเป่ารักษาโรคภัย และยังได้ศึกษาศาสตร์วิชาแขนงต่างๆทางโหราศาสตร์ เช่น การตั้งชื่อ พิธีกรรมบวงสรวง สะเดาะเคราะห์ต่อชะตา พิธีกรรมรับดาวนพเคราะห์ทั้ง 9 เจิมรถยนต์ เจิมบ้านเรือน เสริมบารมีลงนะหน้าทอง นะมหานิยม นะเรียกเงินเรียกทอง จตุโรบังเกิดทรัพย์ ยันต์ตรีนิสิงเห การยกเสาเอกบ้านเรือนและบริษัทห้างร้าน การวางศิลาฤกษ์ การอธิษฐานจิตให้ค้าขายดี อธิษฐานจิตวัตถุมงคเพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และอีกมามาย ซึ่งเป็นเมตตามหานิยมค้าขาย ร่ำรวยเงินทอง และทำให้ลาภผลทวีเพิ่มพูล สมบูรณ์พูนผล ทั้งทางโลกและทางธรรม จึงเป็นประโยชน์แก่ศิษยานุศิษย์และประชาชน

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    วัตถุมงคลลป.หาไม่ยากไม่ง่าย ไม่ค่อยพบเจอทั่วไปหลังท่านมรณภาพ
    เหรียญใบโพธิ์ สมเด็จพระสังฆราชสุกไก่เถื่อน วัดพลับ หลวงปู่จวบ อธิฐานจิตปลุกเสกปี ๒๕๑๙

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งเดือน 30 บาท

    IMG_20250419_211455.jpg IMG_20250419_211518.jpg
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,110
    ค่าพลัง:
    +21,386
    get_auc3_img (14).jpeg get_auc3_img (16).jpeg get_auc3_img (17).jpeg get_auc3_img (18).jpeg
    เหรียญพระฤกษ์ ปี ๒๕๑๔ วัดสูง จอหอ นครราชสีมา เนื้อทองแดง หลวงพ่อคูณปลุกเสก ๓ วาระ และเข้าพิธีใหญ่อีกหลายพิธีเหนือกลางอีสาน
    ครูบาอาจารย์องค์สำคัญปลุกเสกอีกหลายรูปเช่น
    หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง
    หลวงพ่อมุมวัดปราสาทเยอร์
    หลวงปู่สุข วัดโพธิ์ทรายทอง
    หลวงพ่อโต วัดกล้วย
    หลวงพ่อก้อน วัดห้วยสะแกราช
    หลวงพ่อพิชัยวัดคอกหมู ศิษย์หลวงปู่ทองวัดราชโยธา
    หลวงพ่อเกษมเขมโกลำปาง
    หลวงพ่อผางวัดอุดมคงคาคีรีเขตปลุกเสกอีก ๓ วาระ
    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ (ปิดรายการ)

    IMG_20250419_203725.jpg IMG_20250419_203812.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 เมษายน 2025 at 23:50
  12. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,110
    ค่าพลัง:
    +21,386
    LP-Hin.jpg

    พระครูสังฆรักษ์ หิน อินทวินโย หรือ หลวงปู่ หิน เรียกตามตำแหน่งฐานานุกรมในพระเดชพระคุณ ท่านเจ้าคุณพระเทพสิทธินายก ( หลวงปู่นาค)ว่า พระครูสังฆรักษ์ หิน หลวงปู่ หิน เป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่รูปหนึ่งของวัดระฆังโฆสิตาราม
    หลวง ปู่ หิน นามสกุลเดิม สุขเกษม เกิดเมื่อ 9 เดือนพฤศจิกายน 2442 ตรงกับ วันพฤหัสบดี ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 12 ปีกุน เวลา ประมาณ 18.30 น. ที่จังหวัด ปริวแวง ประเทศ กัมพูชา บวชเป็น สามเณร 15ปี ภายหลังได้ลาสิกขาบท มาช่วยโยมมารดาบิดา มาประกอบอาชีพ อยู่พักหนึ่ง และได้ทำการอุปสมบทใหม่อีกครั้ง อายุ 21 ปี ณ...พัทธสีมา วัดธนาคัน ตำบลจาง อำเภอ ตะแบก จังหวัด ปริวแวง ประเทศกัมพูชา โดยมีพระรัตนาวงศาเป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์แรม เป็นพระกัมมวาจา และพระมงคลเถระเป็นพระอนุสาวนา จารย์.....หลังจากออกพรรษาแล้ว ท่านได้เดินทางไปศึกษาหาความรู้ในทางไสยศาสตร์..ชั้นแรกคือการเรียน ตรีนิสิงเห การเรียนลงเลขยันต์...ยันต์ตรีนิสิงเห มีอุปเท่ห์สารพัดซึ่งหลวงปู่ หิน ใช้ได้ผลมามาก หลวงปู่ หิน ท่านมีความมุ่งมั่นในทางการเรียนวิชาไสยศาสตร์มาก เดินธุดงค์รุกขมูลตามป่าดงดิบ ประเทศพม่า พระตะบอง นครวัด ได้ร่ำเรียน วิชาการต่างๆมากมาย ฝึกฝนกับพระคณาจารย์ต่างๆ การอบรมเสร็จสิ้น เมื่อ เดือน 12 พศ..2465 หลวงปู่ หิน ได้เดินธุดงค์ มาเรื่อยๆ ตามตะเข็บชายแดน ของประเทศไทย มายัง กบินทร์บุรี นครนายก สระบุรี และได้เดินมานมัสการ พระพุทธบาท สระบุรี จากนั้น ใช่ว่า มาอยู่ เมืองไทยนะครับ ...ท่านเดินทางกลับไปประเทศพม่า โดยใช้เส้นทางเดิม กลับวัดธนาคันตามเดิม คือ วัดที่ท่านบวชแต่ครั้งแรก
    ในระหว่างนั้นท่านก็หมั่นปฏิบัตรธรรมกรรมฐาน จนได้ชื่อว่าเป็น พระที่เชี่ยวชาญทางกรรมฐานท่านหนึ่ง ทุกครั้งที่ท่านออกพรรษา ท่านจะออกธุดงค์ตลอดไม่ค่อยอยู่วัด ออกธุดงค์ไปเรื่อยๆ เวียงจันทร์หลวงพระบาง ย้อนกลับมา เมืองไทย แล้วกลับประเทศพม่า ...ครั้งหนึ่งหลวงปู่ หินมีความประสงค์จะเดินทางรุกค์ขมูลไปยังประเทศอินเดียให้ได้ แต่แล้วเป็นจุดหักเห ของชีวิตของท่าน พระเพื่อนที่ร่วมเดินทางของท่านเกิดป่วยกลางป่าลึกในระหว่างทาง จึงได้เดินทางมาที่เมืองไทยทำการรักษาตัว ในที่สุดพระรูปนี้ มรณภาพลงที่ จังหวัด ตาก ...ในเวลานั้น ใกล้เวลาจะเข้าพรรษาหลวงปู่ หิน จำต้องจำพรรษาที่ จังหวัด ตาก 1 พรรษา
    หลังจากนั้น หลวงปู่ ก็เดินธุดงค์ ต่อไป ที่ จังหวัด เชียงใหม่ เลยเข้าไป ประเทศ พม่า และต่อมาท่านเดินทางมาที่ จังหวัด สุโขทัย พักอยุ่ ที่ วัดพุทธปรางค์ อำเภอ สวรรคโลก 2 เดือน และออกธุดงค์มาเรื่อย จนถึง จังหวัด พระนครศรีอยุธยา ได้พบกับพระอุปัชฌาย์ เทพ ซึ่ง เป็นพระเพื่อนมาแต่เดิม เป็นเจ้าอาวาส อยู่ วัดทางหลวง ตำบล ปลายกลัด อำเภอบางซ้าย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ท่านจึงพำนักที่นั้น และช่วยดำเนินการสร้างเสนาสนะสงฆ์ ตลอดจนวิหารและศาลาฟังธรรมต่างๆ จนลุล่วง ท่านได้อยู่วัดทางหลวงเป็นเวลา 11 พรรษา อยุธยา นั้น ไม่สิ้นคนดี เป็นคำพังเพย โบราณ ที่เราคุ้นๆหูกันอยู่นะครับ หลวงปู่ หิน ได้ร่ำเรียนไสยศาสตร์แถบนี้มาก ต่อมาก แม้กระทั่งหลวงพ่อ จง แห่งวัดหน้าต่างนอก... หลวงพ่อ ต่วน วัด กล้วย ซึ่งต่อมาเป็นพระสหายทางสมิกธรรม ฯลฯ ประวัติการร่ำเรียนวิชาทาง ไสยศาสตร์ของท่าน ว่าร่ำเรียนกับพระอาจารย์ท่านใดนั้นมิอาจบรรยายได้ เพราะ หลวงปู่ หิน ท่านออกธุดงค์ เพียงรูปเดียวในระยะหลัง
    ต่อมาใน พศ....2478 ท่านได้ทราบถึง กิติศัพท์ ของท่านเจ้าประคุณ สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต พรหมรังสี เกิดมีความศรัทธาอย่างแรงกล้า จึงตัดสินใจเดินทางมายัง วัดระฆังโฆสิตาราม และเข้ากราบนมัสการ พระเทพสิทธินายก หรือ หลวงปู่ นาค ขณะนั้น หลวงปู่ นาค ดำรงตำแหน่ง พระราชโมฬี เจ้าอาวาส แห่งวัดระฆัง สนทนาธรรมเป็นที่ถูก อัธยาศัย ยิ่งนัก ....หลวงปู่ นาค จึงได้ชักชวนให้อยู่จำพรรษา อยู่ วัดระฆัง เสียที่นี่ คณะ3 ซึ่งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ของวัด ปัจจุบันเป็นโรงเรียนโฆสิตสโมสร ในสมัยนั้นทางสำนัก วัดระฆังได้เปิดอบรม กัมมัฎฐานและวิปัสสนา หลวงปู่ นาค ก็ได้แต่งตั้ง หลวงปุ่ หิน มีหน้าที่ช่วยเหลือในกิจของสงฆ์ทางวัด ตลอดมา ไม่ว่าพัฒนางานก่อสร้างทำนุบำรุงต่างๆ สมัยนั้นมีแต่แรงงานพระในผ้าเหลืองล้วน หลวงปู่ หิน เป็นช่างควบคุมเองทั้งหมด ไม่ว่า ครั้งใด คำปฏิเสธนั้น ไม่เคย หลุดจากปากท่านเลย กับการก่อสร้างวัดวาอารามต่างๆหลายวัด แม้ในบางครั้งท่านได้ไม่มีเงินพอที่จะช่วย ท่านก็นำพระผงของท่าน มามอบให้ประชาชนได้บูชากัน เพื่อนำเงินไปใช้ในการก่อสร้าง นั้นๆ เป็นเจตนาที่บริสุทธิ์โดยแท้
    การสร้างพระผงต่างๆ ของหลวงปู่ หิน แห่งวัดระฆังนั้น ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น หลวงปู่ นั้นมีความศรัทธา ต่อ สมเด็จพระพุฒาจารย์ โต มากๆ หลวงปู่ท่านพยายามเสาะแสวงหา พระสมเด็จมาสะสมไว้ ทั้งที่ แตกหักและชำรุด จนมีจำนวนมากพอแก่ความต้องการ ท่านจึงนำมาโขลกเป็นผง นอกจากนี้แล้ว ท่านยังได้ยัดผงปิลันทร์จากกรุ มุมพระอุโบสถ ด้านทิศใต้ .....ผงจากกรุ วัดสามปลื้ม ผงสุริบาตร และผงตรีนิสิงเห ที่ขาดมิได้ ...... การสร้างพระพิมพ์ของหลวงปู่ นั้น เริ่มตั้งแต่ พศ...2482-พศ..2515มีจำนวน 8 รุ่นด้วยกัน อาจารย์ ขวัญ วิสิฎโฐ ( คุ้มประยูร) เป็นผู้ช่วยเหลือโดยใกล้ชิด พระเครื่องที่สร้าง
    นอกจากนี้ยังมีพระนอกพิมพ์อีกจำนวนหลายพิมพ์เช่นกัน เรียกว่า พิมพ์นอก เป็นพระที่สร้างในปีเดียวกัน แต่ไม่ได้ออกเป็นทางการ ท่านจะแจกเป็นการส่วนตัวแต่พิมพ์ทรงจะแตกต่างกันออกไป
    ท่านพระครู สังฆรักษ์ หิน อุปสมบทพระ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พศ...2463พรรษาแห่งการบวช ท่านศีกษาทางกรรมฐานจนแตกฉาน จนเกิดความชำนาญ ต่อมาศึกษาทางด้านคาถาอาคม จนเกิดความแตกฉาน วิชาไสยศาสตร์ ชนิดหาตัวจับยาก ภายหลังค้นคว้าแพทย์แผนโบราณ รักษาผู้คนตกทุกข์ได้ยาก เป็นพันๆคนในขณะนั้น ท่านย้ายมาอยู่ วัดระฆัง พศ...2478 �พศ..2521 ตลอดระยะเวลา 43ปี ภายหลังหลวงปู่ หิน ป่วย ท่านได้ย้ายมาอยู่ที่ วัดกล้วย จ...อยุธยา เพื่อทำการรักษาตัวเพราะไม่มีเวลาพักผ่อน และท่านมีเวลาไม่นานแล้ว ประกอบกับมีเนื้องอกที่ กระพุ้งแก้มเพราะ เกิดจาการฉันท์หมากมาก ในปีเดียวกันนั้นเอง
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญไตรมาสหลวงปู่หินวัดระฆัง
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250420_000939.jpg IMG_20250420_001011.jpg
     
  13. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,110
    ค่าพลัง:
    +21,386
    FB_IMG_1745148558881.jpg

    หลวงปู่ดู่ วัดสะแกเคยบอกศิษย์ที่ชอบสายเหนียวให้ไปหาอาจารย์พรหม
    เคยลองวิชากับหลวงพ่อกวย วัดบ้านแค
    หลวงปู่สีวัดสะแก ซึ่งท่านเก่งขนาดไหน ยังชมว่า "ในอยุธยา(ยุค)นี้ เรื่องคงกระพันไม่มีใครเกิน(ท่านพรหม)" หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ได้เจอกับหลวงพ่อพรหม ในงานปลุกเสกพระเครื่อง เห็นผ้ายันต์ที่หลวงพ่อพรหม ลงอักขระไว้ หยิบมาดูและบอกว่า "ผ้านี้ท่าน(พรหม)เสกได้ขลังดีจริงๆ" ส่วนหลวงปู่โต๊ะเจอหลวงพ่อพรหม บอกกับศิษย์ว่า "พระท่านรูปนี้อนาคตจะสำคัญมาก เพราะมีพลังจิตแก่กล้ามากเหมือนพระอาจารย์ยุคเก่าแก่
    ประวัติและเกียรติคุณหลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ
    ในช่วงใกล้ พ.ศ.2500 นั้น ขณะที่พระอาจารย์รุ่นอาวุโสกำลังปรากฎเกียรติคุณอยู่ มีพระอาจารย์หนุ่มวัยประมาณ 40 ปี ท่านหนึ่ง สามารถสอดแทรกเบียดเข้ามามีชื่อเสียงร่วมสมัยกับพระอาจารย์รุ่นใหญ่ได้ ทั้งยังได้รับการยกย่องจากพระอาจารย์รุ่นใหญ่หลายท่าน ว่าเป็นผู้ทรงวิทยาคมขลังชนิดของจริง สามารถนั่งอธิษฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคลร่วมกับพระเกจิอาจารย์รุ่นใหญ่ได้อย่างเต็มภาคภูมิ ความทรงวิทยาคมของท่าน ทราบกันในหมู่พระเกจิอาจารย์รุ่นอาวุโส ถึงขนาดพระอาจารย์ใหญ่หลาย ๆ ท่านสั่งความกับลูกศิษย์ลูกหาว่า ให้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ให้ได้ พร้อมทั้งให้คำรับรองว่าพระท่านรูปนี้มีวิทยาคมแก่กล้าเหมือนพระอาจารย์รุ่นเก่าจริง ๆ พระอาจารย์รูปนี้คือ หลวงพ่อพรหม ติสสเทโว แห่งวัดขนอนเหนือ จ.พระนครศรีอยุธยา นั่นเอง
    หลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ ท่านเกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2456 ตรงกับวันแรม 8 ค่ำ เดือน 11 ปี ฉลู อุปสมบทในเดือน 6 ตรงกับปี พ.ศ. 2479 อายุ 23 ปี
    พระครูสารกิจ (ฝัก) วัดทำเลไทย อ.เมือง จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระอุปัชฌาย์
    พระอาจารย์ชุ่ม วัดขนอนเหนือ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    พระอาจารย์ทอง วัดขนอนเหนือ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    หลวงพ่อพรห์ม วัดขนอนเหนือ ถึงแก่มรณภาพเมื่อวันที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2534 รวมสิริอายุได้ 78 ปี
    ความเข้มขลังทางพุทธาคมของหลวงพ่อพรหม ถูกถ่ายทอดโดยโยมสุวรรณบิดาของท่านตั้งแต่เยาว์วัย ผ่านตำราของท่านขรัวแสง วัดเสาประโคนสหธรรมิกของหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ทำให้ท่านได้ชื่อว่า “หนังดีและมีอาคมขลังมาตั้งแต่รุ่นหนุ่ม” โยมพ่อสุวรรณได้สอนบุตรชายให้หัดเขียนอักขระเลขยันต์ ฝึกฝนท่องคาถาอาคมในวัยเพียง ๗ ขวบ(เด็กชายพรหม อายุ ๒ ขวบ พ่อสุวรรณได้ออกบวชเป็นพระได้ ๑ พรรษา) ความสามารถตามประสาเด็กของบุตรชายเป็นที่พอใจของผู้เป็นบิดา พ่อสุวรรณได้หมั่นพร่ำสอนวิชาอาคมอย่างต่อเนื่อง ด้วยนิสัยใฝ่รู้ของเด็กชายพรหม ทำให้เข้าใจและแตกฉานในวิชาที่บิดาสอน ในวัย ๑๕ ปี ครั้งหนึ่งในช่วงนั้น วัดต่างถิ่นได้จัดงานประจำปีขึ้น เด็กชายพรหมได้ทำการเสกว่าน แจกให้กับเพื่อนๆประมาณ ๓-๕ คน เพื่อป้องตัว ก่อนที่ทุกคนจะเข้าสู่บริเวณงานวัดแห่งนั้น สมัยนั้นเมื่อมีการข้ามถิ่นของไอ้หนุ่มต่างบ้านเมื่อใด ย่อมเกิดการเขม่นหรือไม่พอใจของทั้งสองฝ่ายเป็นเรื่องธรรมดา แต่ครั้งนี้คู่กรณี ซึ่งฝ่ายหนึ่งเป็นไอ้หนุ่มเจ้าของถิ่น ส่วนอีกฝ่ายเป็นไอ้หนุ่มบ้านเดียวกันกับเด็กชายพรหม ทั้งสองฝ่ายไม่ยอมลงให้กัน ผู้เป็นเจ้าถิ่นนั้นมีพวกมาก ซ้ำยังมีกองเชียร์ร่วมลุ้นด้วย การต่อสู้ดำเนินขึ้น ฝ่ายที่ดูจะเพรี่ยงพร้ำกลับเป็นไอ้หนุ่มต่างถิ่นที่ขณะนี้สถานการณ์ เปลี่ยนเป็นถูกรุมอย่างไม่ยุติธรรม เด็กชายพรหมและเพื่อนๆ เห็นเหตุการณ์โดยตลอด เด็กชายพรหมเชื่อมั่นในวิชาอาคมที่ได้เรียนจากบิดา ทั้งว่านกันศาสตราวุธ ที่ทำการเสกก่อนมาเที่ยวงาน เด็กชายพรหมและเพื่อนๆ จึงเข้าช่วยเหลือเพื่อนบ้านเดียวกัน อย่างไม่เกรงกลัว แม้ว่าคู่ต่อสู้นั้นมีจำนวนมากกว่า สร้างความไม่พอใจให้กับนักเลงเจ้าถิ่นเป็นทวีคูณ การต่อสู้เป็นไปอย่างดุเดือด อาวุธมีดทั้งสั้น , ยาว ถูกนักเลงเจ้าถิ่นนำมาใช้ ท่ามกลางสายตาและเสียงโจษขานอื้ออึงของผู้คนในงาน นักเลงเจ้าถิ่นมั่นใจว่าคมมีดทั้งหลายแทงถูกคู่ต่อสู้หนุ่มชาวบ้านกรดอย่างแน่นอน เหตุการณ์สงบลงด้วยความบอบซ้ำของนักเลงเจ้าถิ่นอย่างสิ้นท่า เพื่อนๆ ของเด็กชายพรหม พากันสำรวจร่างกายของตนที่ถูกอาวุธ ของคู่ต่อสู้แทงอย่างไม่ยั้งมั่นใจอย่างไรก็ต้องได้แผล แต่เป็นที่น่าอัศจรรย์ใจนัก ทั่วทั้งร่างกายของทุกคนไม่มีแม้เลือดสักหยดให้เห็น มีเพียงรอยช้ำบริเวณจุดที่คิดว่าถูกแทง หรือถูกของหนักเท่านั้น เหตุการณ์ครั้งนี้ผู้ที่ได้พบเห็นต่างโจษขานกัน ถึงความหนังเหนียวของเด็กชายพรหมและเพื่อนๆ ทำให้เด็กชายพรหมเป็นที่ยอมรับในกลุ่มเพื่อนเป็นอย่างมาก ว่าเป็นผู้มีวิชาอาคมหรือมีของดี
    ภายหลังแม้อุปสมบทแล้ว ท่านยังได้ศึกษาหาความรู้จากพระอาจารย์ที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นหลายท่าน เช่น หลวงปู่ฟัก วัดทำเลไทย หลวงปู่อ่ำ วัดงิ้วงาม หลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ ฯลฯ ด้านความเข้มขลังพุทธาคมและสมาธิจิตของท่าน ซึ่งแม้แต่ หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี หลวงพ่อหน่าย วัดบ้านแจ้ง หลวงปู่สี วัดสะแก หลวงพ่อเอีย วัดบ้านด่าน ฯลฯ ยังเอ่ยปากให้การยกย่องแทบทั้งสิ้น หลวงปู่สีวัดสะแก ซึ่งท่านเก่งขนาดไหน ยังชมว่า "ในอยุธยา(ยุค)นี้ เรื่องคงกระพันไม่มีใครเกิน(ท่านพรหม)" หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ได้เจอกับหลวงพ่อพรหม ในงานปลุกเสกพระเครื่อง เห็นผ้ายันต์ที่หลวงพ่อพรหม ลงอักขระไว้ หยิบมาดูและบอกว่า "ผ้านี้ท่าน(พรหม)เสกได้ขลังดีจริงๆ" ส่วนหลวงปู่โต๊ะเจอหลวงพ่อพรหม บอกกับศิษย์ว่า "พระท่านรูปนี้อนาคตจะสำคัญมาก เพราะมีพลังจิตแก่กล้ามากเหมือนพระอาจารย์ยุคเก่าแก่"
    การฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อขัน หลวงพ่อพรหมจำพรรษาอยู่วัดขนอนเพียงไม่กี่พรรษา โยมบิดาเห็นว่าควรที่จะให้พระบุตรชาย ได้ศึกษาวิชาอาคมเพิ่มเติมจึงได้พาไปฝากตัวเป็นศิษย์ กับหลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ ซึ่งเป็นพระที่เก่งกล้าในวิชาอาคมแบบไม่เป็นสองรองใครรูปหนึ่ง หลวงพ่อพรหม มีพื้นฐานในวิชามาจากโยมบิดาซึ่งเป็นศิษย์หลวงพ่อขันมาก่อนแล้ว หลวงพ่อขันจึงสอนเพียงวิชาการสักอักขระเลขยันต์รูปแบบต่างๆและเชือกคาดเอว,ผ้าขอด, การลงตะกรุด, เดินธาตุสี่ หลวงพ่อพรหมเรียนวิชาอยู่ไม่นานจากพื้นฐานที่มีมาก่อนนั้น ทำให้ท่านสำเร็จแต่ละวิชาอย่างแตกฉาน ท่านได้อยู่รับใช้ หลวงพ่อขันอีกระยะหนึ่งจึงกราบลาพระอาจารย์กลับ เรียกได้ว่าวิชา หรืออักขระเลขยันต์ ตำราการสักยันต์ ท่านได้มาจากหลวงพ่อขันแทบทั้งหมด ความเก่งกล้าในวิชาอาคม และเคร่งครัดในพระธรรมวินัยของหลวงพ่อพรหม ทำให้เกิดศรัทธาจากคณะศิษย์มากขึ้น แต่ละวันหลวงพ่อพรหมจะรับลูกศิษย์เป็นเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้น เวลาที่เหลือท่านจะใช้ในกิจของสงฆ์ และการปฏิบัติธรรมเจริญสมาธิ
    การสร้างวัตถุมงคล หลวงพ่อพรหมได้จัดสร้างวัตถุมงคลครั้งแรก เมื่อปี พ.ศ.๒๔๙๔ เป็นเหรียญรุ่นแรกรูปทรงเสมา สร้างโดยหมอชาวญี่ปุ่น นับว่าแปลกมาก ซึ่งหมอชาวญี่ปุ่นท่านนี้มีความสนิทสนมกับหลวงพ่อพรหมมาก ด้วยมีอยู่ครั้งนึงหมอชาวญี่ปุ่นได้ถูกนักเลงแถวอยุธยารุมทำร้าย หลวงพ่อพรหมท่านจึงจับสักยันต์เต็มแผ่นหลัง(สมัยนั้นหลวงพ่อ อายุเพียง 30 ต้นๆ แต่เริ่มมีชื่อเสียงด้านการสักยันต์แล้ว) ด้วยหลวงพ่อเห็นว่าหมอญี่ปุ่นจะมีอันตรายอีก เนื่องจากสมัยนั้นทหารญี่ปุ่นที่หลงเหลือจากสงครามโลกครั้งที่2 มักไม่เป็นที่ชื่นชอบของนักเลงบ้านเรา ซึ่งหลังจากได้รับการสักยันต์จากหลวงพ่อพรหม หมอญี่ปุ่นก็ไม่เคยได้รับบาดเจ็บจากทั้ง มีด ปืน นับได้ว่าแคล้วคลาดคงกระพันมาตลอด จึงศรัทธาหลวงพ่อพรหมเป็นอย่างมาก จึงขออนุญาตออกทุนสร้างเหรียญรูปเหมือนถวายหลวงพ่อ ซึ่งอาจเป็นญี่ปุ่นคนแรกที่แขวนพระก็ว่าได้ โดยสร้างเพียง 2 เนื้อ คือทองแดงผสม 100 เหรียญ เนื้อเงิน 50 เหรียญ จึงกลายเป็นเหรียญที่หายากมากๆ จนกลายเป็นตำนานไปแล้ว เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อพรหมนี้ ถือว่าเป็นเหรียญหลักของวงการพระเครื่องมานานแล้ว ไม่ใช่พึ่งมานิยม แต่เนื่องจากเหรียญสร้างน้อยมาก ผู้ที่มีต่างเก็บ และหวงแหน จึงไม่ค่อยเห็นในตลาดพระเครื่องทุกวันนี้ ต้องถามเซียนเหรียญรุ่นเก๋าถึงจะทราบ ซึ่งการสร้างเหรียญรุ่นแรกในปีนั้น พ.ศ.2494 หลวงพ่อพรหมพึ่งจะมีอายุเพียง 38 พรรษา(เกิด พ.ศ.2456) ซึ่งถือว่าหนุ่มมากๆ เรียกว่าวัยฉกรรจ์เลยก็ว่าได้ กำลังร้อนวิชา(เสกแบบจัดหนักจัดเต็มแน่นอน) ด้วยพรรษาเพียงเท่านี้แต่กลับสร้างเหรียญรุ่นแรกขึ้นมาได้(อาจเป็นเกจิที่อายุน้อยที่สุดที่ได้สร้างเหรียญรุ่นแรก) นับได้ว่าไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ทั้งในอยุธยายุคนั้นก็มีพระเกจิอาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ ระดับปรมาจารย์อีกหลายท่าน ที่พึ่งสร้างเหรียญรุ่นแรกออกมา แต่เหรียญหลวงพ่อพรหมนี้ ที่เป็นเพียงพระหนุ่ม กลับได้รับความนิยมจากผู้คน ต่างแสวงหามาครอบครอง ตั้งแต่เหรียญออกมาใหม่ ๆ เนื่องจากมีประสบการณ์ทางด้านมหาอุดคงกระพันให้เห็นกันมาก ซึ่งจะว่าไปแล้วในกระบวนเหรียญพระอาจารย์ที่สร้างในยุคนั้น พ.ศ.2490-2495 มีข้อมูลจากคนเก่าคนแก่มาว่าเหรียญหลวงพ่อพรหมรุ่นแรกเช่าหากันแพงที่สุดในยุคนั้น สำหรับเหรียญรุ่นแรกนี้ ทำการแกะบล็อค และปั้มเหรียญ ที่โรงงานเดียวกันกับเหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม(ซึ่งสังเกตได้ว่าเหรียญจะมีลักษณะคล้ายกัน) หลวงพ่อพรหมดูฤกษ์ยามแล้วปลุกเสกเหรียญในโบสถ์ จากนั้นนำมาปลุกเสกที่กุฏิอีก 1 ไตรมาส แล้วค่อยทยอยแจกให้กับลูกศิษย์ลูกหา ซึ่งต่อมาภายหลังท่านได้จัดสร้าง เหรียญซึ่งมีลักษณะเป็นรูปพระนารายณ์ในรูปแบบต่างๆกันเช่น นารายณ์เส้น ปี2509, นารายณ์ออกศึก ปี2516,นารายณ์ทรงเมือง ปี2521 และเหรียญหนุมานออกศึก เหรียญสิงห์ , ยันต์ต่างๆ รูปทรงที่เป็นพระนารายณ์ หนุมาน และสิงห์นี้ถือเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นเฉพาะตัวของท่าน ซึ่งเหรียญนารายณ์เส้น ปี2509 ยังถือว่าเป็นเหรียญพระสงฆ์องค์แรกของประเทศที่อันเชิญพระนารายณ์มาประทับที่หลังเหรียญ
    ชื่อเสียงของท่านโด่งดังตั้งแต่ก่อน พ.ศ. 2500 โดยเฉพาะด้านการสักยันต์ ยันต์พระนารายณ์,พระ บุตร-ลบ, ราชสีห์, หนุมานดันปฐพี ถูกถ่ายทอดผ่านปลายเข็มสักสู่เนื้อหนังลูกผู้ชายชาวอยุธยาคนแล้วคนเล่า ผู้ผ่านศึกมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ คมศัสตราวุธนานาหาได้ชำแรกผ่านผิวกายไม่ เล่ากันว่าก่อนที่เสือขาวจะพาพวกปล้นตลาดท่าเรือนั้น (ปิดตลาดปล้นปี 08) ได้มาขอผ้าขอดจากหลวงพ่อ (มีอานุภาพคุ้มครองบริวารได้ 7 คน) จนสามารถหนีการจับกุมของเจ้าหน้าที่ได้
    ประสบการณ์ วัตถุมงคลของท่านล้วนมีประสบการณ์ แคล้วคลาด คงกระพัน ทั้งสิ้น เป็นที่โจษขานกัน ทั้งในอดีตและปัจจุบัน อย่างกว้างขวาง ปัจจุบันวัตถุมงคลของท่านเป็นที่ต้องการของลูกศิษย์มาก ๆ และเริ่มหายาก เนื่องจากวัตถุมงคลยุคต้น ของหลวงพ่อสร้างน้อยด้วย ผู้ที่มีต่างหวงแหน เนื่องจากมีประสบการณ์เรื่องเล่าอย่างโชกโชน วัตถุมงคลของหลวงพ่อพรห์มจะปลุกเสกอธิฐานจิตเดี่ยวตลอดไตรมาตร ท่านบอกว่า ได้ทำทั้งที เมื่อมีดีแล้ว ต้องทำให้ดีที่สุด
    ...........
    หลวงพ่อพรหม ติสสเทโวรูปนี้ เก่งขนาดเคยลองวิชากับหลวงพ่อกวย ชุตินธโรวัดโฆสิตารามมาแล้วเมื่อได้รับอาราธนาไปนั่งปรกพุทธาภิเษกทำเอาไฟลุกไหม้สายสิญจน์จนเกือบจะเผาราชวัตรฉัตรธงในพิธี เมื่อนั่งปรกเสร็จหลวงพ่อเทียมวัดกษัตราธิราชเจ้าของตระกรุด4 มหาอำนาจอันโด่งดังที่ได้รับอาราธนามานั่งปรกด้วยถึงกับเดินมาบอกว่าเล่นกันเป็นเด็กเลยนะท่าน นับแต่นั้นมา หลวงพ่อพรหมและหลวงพ่อกวยท่านก็นับถือกันเพราะต่างนับถือในวิทยาคมของกันและกันไปมาหาสู่กันหลายครั้งและยังแลกเครื่องรางเป็นที่ระลึกกันอีกด้วย(ข้อมูลจากหนังสือมงคลทิพย์รวมวัตถุมงคลหลวงพ่อกวยวัดโฆสิตารามฉบับสมบูรณ์ปกสีดำ)
    พระพิมพ์สมเด็จ หลังยันต์เฑาะว์ ปี๒๕๓๒ หลวงพ่อพรหม สวยเดิมสมบูรณ์ครับ ท่านผู้ดำเนินการสร้างคือ คุณกมล ฤดีศานต์ เป็นผู้จัดสร้างพระผงให้หลวงพ่อมากมายหลายรุ่น เช่น 1.พระปิดตาหกเหลี่ยม ปี๒๖ 2.พระผงพิมพ์วัดปากน้ำ ปี๒๖ 3.พระปิดตามหาลาภ ปี๒๘ 4.พระสมเด็จสุขะโต ปี๒๘ อืนๆๆ มีลงอยู่ในหนังสือวัตถุมงคลของหลวงพ่อทุกรุ่นครับ
    จำนวนการสร้าง
    ๒,๐๐๐ องค์
    รูปทรง
    ด้านหน้าเป็นแบบพระสมเด็จ ด้านหลังเป็นยันต์นับเป็นพระผงรุ่นสุดท้ายที่คุณกมลสร้างถวายหลวงพ่อพรหม
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    ให้บูชา 400 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250421_000139.jpg IMG_20250421_000159.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2025 at 20:53
  14. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,110
    ค่าพลัง:
    +21,386
    FB_IMG_1745171464784.jpg

    หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์หลวงปู่สอ พันธุโล รุ่นสร้างบารมี วัดป่าหนองแสง จ.ยโสธร เนื้อกะไหล่ทอง
    พระพุทธสิริสัตตราช (หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์)
    “พระพุทธสิริสัตตราช” สัตต-เจ็ด,ราชกษัตริย์ หรือพระพุทธรูปหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ผู้ทรงเป็น “ศิริ” แห่งแผ่นดิน เป็นพระพุทธรูปปางนาคปรกคล้ายศิลปะสมัยเชียงแสน หรือทางเวียงจันทน์ อายุตามสันนิษฐานของกรมศิลปากร ประมาณ ๘๐๐ กว่าปี มีลักษณะคือ มีพญางูใหญ่ ๗ ตัว ๗ หัว แผ่ปกคลุมองค์พระอยู่ หลวงปูท่านเล่าประวัติความเป็นมาว่า เมื่อท่านปฏิบัติธรรมได้ ๒ พรรษา ขณะท่านนั่งสมาธิอยู่ เห็นงูตัวใหญ่สีทอง เลื้อยเข้ามา ตาท่านไม่ได้ลืม แต่จิตภายใน มองเห็นงูถนัด งูเลื้อยขึ้นมาพันตัว แล้วดันตัวท่านขึ้นขดลำตัวเป็นวงกลมให้ท่านนั่ง ซึ่งนิมิตนี้ เองเป็นจุดเริ่มต้น ที่จะให้ได้มาซึ่งพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ "หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์"
    หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์หลวงปู่สอ พันธุโล รุ่นสร้างบารมี วัดป่าหนองแสง จ.ยโสธร ถือเป็นหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์รุ่นสาม สร้างประมาณปี 2543
    หลวงปู่สอ พัลธุโล ท่านเป็นศิษย์สายกรรมฐานสายหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต,หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโณ,หลวงปู่ฝั้น อาจาโร,หลวงปู่ดุลย์ อตุโล,หลวงปู่ขาว อนาลโย, หลวงปู่ชอบ ฐานสโม, หลวงปู่หลุย จันทสาโร ฯลฯ
    หลวงปู่สอ ท่านเป็นพระที่มีอุปนิสัยเด็ดเดี่ยวอาจหาญมากๆ ท่านปฏิบัติจริงชนิดยอมตายได้ถ้าไม่บรรลุธรรม และสิ่งที่เป็นบุญวาสนาที่หลวงปู่สอมีไว้ ได้แก่ "องค์หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ " ที่เป็นพระที่ได้จากสมาธิและเป็นพระที่เป็นคุณอันวิเศษอย่างยิ่งและเป็นที่พึ่งของคนไทยทั้งประเทศ (โดยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงโปรดให้หล่อหลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์ขนาด 99 " ไว้ในทุกๆเขื่อนของประเทศ)
    ในส่วนภูมิธรรมของหลวงปู่สอ ท่านหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโณท่านได้กล่าวไว้ว่า " ท่านหลวงปู่สอ พันธุโล ท่านเป็นพระที่บริสุทธิแล้วและท่านไม่เกิดอีกแล้ว " และที่พิเศษก็คือ เกศา และเล็บของหลวงปู่สอ ท่านแปรเป็นพระธาตุแม้ชีวิตท่านยังไม่สิ้นเลยก็ตาม
    คำอธิษฐานบูชาพระพุทธสิริสัตตราช(หลวงพ่อเจ็ดกษัตริย์)
    ตั้ง (นะโม 3 จบ )
    ยัมปะเนตัง พุทธะสิริสัตตะราชาติ สะวะหะเยนะ ปัญญาตัง,
    ตะเมวะ อารัทธะวิริเยนะ พันธุลัตเถเรนะ อาภุชังคะนิมิตเตนะ ลัทธัง,
    มะยัมปะนะ อัตตะโน อัตตะโน วิภูติง อาสิงสะมานา สักกัจจัง อิมะเมวะ
    พุทธะสิริสัตตะราชะ ปะฎิมัง อะภิปูเชมะ , อิมัสสานุภาเวนะ มหานิสังโส ,
    มหาโภโค , มหาลาโภ นิรันตะระเมวะ อัมหากัง โหตุ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 400 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาท
    ครับ

    IMG_20250421_004616.jpg IMG_20250421_004644.jpg IMG_20250421_004707.jpg
     
  15. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,110
    ค่าพลัง:
    +21,386
    FB_IMG_1745245076967.jpg
    บทสวดพญาครุฑ ของ หลวงพ่อวราห์ วัดโพธิทอง
    ตั้งนะโม 3 จบ
    คะรุปิจะ กิติมันตัง มะอะอุ
    โอมพญาครุฑ รุจ รุจ แล้วรวย
    นะได้เงิน นะได้ทอง นะได้ทรัพย์
    นะเมตตา นะล้างอาถรรพ์
    นะเจริญ นะมั่นคง อธิฐามิ
    หรือ คำบูชาแบบย่อ
    ครุฑโธครุฑธา ปะฏิเสวามิ
    ประวัติ หลวงพ่อวราห์ วัดโพธิ์ทอง พระอาจารย์ชื่อดัง ที่แม้แต่รัฐมนตรียังต้องต่อคิวเข้าพบ
    ประวัติ หลวงพ่อวราห์ ปุญญวโร (พระครูวิศิษฏ์วิทยาคม)
    หลวงพ่อวราห์ เกิดในครอบครัวที่มีบิดาเป็นชาวไทยมุสลิม ส่วนมารดาเป็นชาวไทยพุทธ ทำให้ในวัยเด็กท่านจึงนับถือทั้ง 2 ศาสนา ท่านถือกำเนิดที่ย่านบางมด เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร เมื่อปี พ.ศ. 2504 จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2527 เกิดอุทกภัยขึ้น ทำให้ครอบครัวของท่านได้รับความเดือดร้อน ท่านจึงตั้งจิตอธิษฐานต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่าขอให้ครอบครัวของท่านรอดพ้น ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปคำขอของท่านก็เป็นจริง ท่านจึงเข้าอุปสมบทตามที่ได้บนบานไว้เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2528 ณ พัทธสีมาวัดโพธิ์ทอง
    ประวัติ หลวงพ่อวราห์ วัดโพธิ์ทอง
    ภาพจาก : เฟซบุ๊ก วัดโพธิทอง บางมด กทม.
    ชีวิตในร่มผ้ากาสาวพัสตร์ของหลวงพ่อวราห์ วัดโพธิ์ทอง
    หลังจากบวชเรียน ท่านได้ออกเดินธุดงค์ไปทั่วทุกสารทิศตั้งแต่เหนือสุดจรดใต้สุด เพื่อศึกษาวิชาธรรมะต่าง ๆ กับพระเกจิอาจารย์ชื่อดังในหลาย ๆ สำนัก โดยท่านมีความสนใจในด้านวิชาอาคม และด้านโหราศาสตร์ และนอกจากนี้ท่านยังได้มีโอกาสเดินทางไปศึกษาตำราพุทธศาสนาในต่างประเทศอีกด้วย
    เมื่อท่านได้ศึกษาเล่าเรียนธรรมะจนเป็นที่พอใจแล้ว จึงเดินทางกลับมาที่วัดโพธิ์ทองเพื่อสงเคราะห์ญาติโยม และศรัทธาสาธุชนทั้งหลายที่ต่างเดินทางมาพึ่งใบบุญของท่าน
    ประวัติ หลวงพ่อวราห์ วัดโพธิ์ทอง
    ภาพจาก : เฟซบุ๊ก วัดโพธิทอง บางมด กทม.
    หลวงพ่อวราห์ วัดโพธิ์ทอง กับตำนานการสร้างพญาครุฑ
    แม้ชีวิตส่วนใหญ่ของหลวงพ่อวราห์จะวนเวียนอยู่กับเรื่องของพญานาค แต่เหตุที่ท่านมีชื่อเสียงในด้านการสร้างพญาครุฑนั้นมาจาก เมื่อครั้งหนึ่งท่านได้รับนิมนต์จากบุคคลสูงศักดิ์ให้ไปสวดสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่ง ซึ่งเหตุการณ์นั้นทำให้ท่านได้พบผู้มีบุญในญาณบอกว่าให้ช่วยสร้างพญาครุฑให้ด้วย
    หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวผ่านไป ท่านจึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตจากพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งในขณะนั้นยังมีพระศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ โดยครุฑที่หลวงพ่อวราห์ปลุกเสกขึ้นมานั้น ได้ทำการแจกจ่ายไปยังข้าราชบริพารในพระราชวังและมอบให้กับทหารตำรวจด้วยส่วนหนึ่ง
    ต่อมาในปี พ.ศ. 2564 ชื่อเสียงของหลวงพ่อวราห์ในด้านการสร้างพญาครุฑก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นไปอีก เมื่อท่านจัดพิธีปลุกเสกพญาครุฑแบบ SNFT เป็นครั้งแรกของโลก โดยท่านได้นำเอาพลังแห่งพุทธคุณบรรจุลงในดิจิทัลไฟล์ ซึ่งท่านได้ให้เหตุผลในการปลุกเสกครั้งนี้ว่า ความเชื่อต้องปรับเปลี่ยนให้เท่าทันโลกในยุคปัจจุบัน และเป็นการนำเทคโนโลยีมาผนวกรวมกับความศรัทธาของผู้คนด้วย
    อาจดูเหมือนกล่าวเกินจริง แต่หลาย ๆ คนที่ได้บูชาพญาครุฑที่หลวงพ่อวราห์ปลุกเสกขึ้นมานั้น ล้วนแล้วแต่มีชีวิตที่ดีขึ้น และพบเจอแต่ความรุ่งเรือง ทำมาค้าขายคล่องมือ มีเงินมีทองใช้ไม่ขาดสาย และประสบความสำเร็จสมปรารถนากันทุกคน
    ประวัติ หลวงพ่อวราห์ วัดโพธิ์ทอง
    ภาพจาก : เฟซบุ๊ก พญาครุฑ พระอาจารย์วราห์ วัดโพธิ์ทอง กรุงเทพฯ:โดยใหญ่ อยุธยา
    และนี่ก็คือส่วนหนึ่งของประวัติ หลวงพ่อวราห์ วัดโพธิ์ทอง หนึ่งในพระอริยสงฆ์ผู้มีญาณวิเศษที่ยังมีลมหายใจอยู่ในปัจจุบัน โดยครั้งหนึ่งท่านเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า แม้แต่นายกรัฐมนตรี “ชาติชาย ชุณหะวัณ” ยังต้องมาพึ่งพาร่มธรรมของท่าน
    นับว่าเป็นอีกหนึ่งพระสงฆ์ไทยที่มีคุณูปการต่อศรัทธาสาธุชนและวงการสงฆ์ของประเทศไทยเป็นอย่างมาก หากใครเคารพเลื่อมใสท่าน ก็สามารถหาวัตถุมงคลที่ท่านปลุกเสกมาบูชากันได้ เพื่อความร่วมเย็นเป็นสุขของชีวิต
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระพุทโธสาริกาหลังครุฑเนื้อผงผสมเกศาหลวงพ่อวราห์วัดโพธิ์ทอง บางมด กรุงเทพ
    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250421_213603.jpg IMG_20250421_213622.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 เมษายน 2025 at 23:31
  16. สิริพงษ์

    สิริพงษ์ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2017
    โพสต์:
    340
    ค่าพลัง:
    +372
    จองครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...