เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 7 เมษายน 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,801
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,276
    ค่าพลัง:
    +26,001
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๗ เมษายน ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,801
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,276
    ค่าพลัง:
    +26,001
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพเดินทางไปยังวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) หมู่ที่ ๕ ตำบลเขาวง อำเภอพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี ตามฏีกานิมนต์ของท่านเจ้าคุณหลวงตา - พระราชภาวนาพัชรญาณ วิ. ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสระบุรี เจ้าอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) ด้วยความที่ออกจากที่พักช้า คิดว่างานนี้น่าจะไปถึงทีหลังท่านอื่น ๆ แต่ปรากฏว่ายังคงไปถึงก่อนตามปกติ

    เมื่อไปถึงสักครู่หนึ่ง ท่านพระครูปลัดสุวัฒนรัตนคุณ เจ้าอาวาสวัดท่าซุงก็ตามมาติด ๆ พระครูสาครสิทธิวิมล หรือที่พวกกระผม/อาตมภาพเรียกกันง่าย ๆ ว่า "ป๋าลอ" เจ้าอาวาสวัดศาลพันท้ายนรสิงห์ ก็มาอีกท่านหนึ่ง สักพักหนึ่งท่านเจ้าคุณหลวงตาก็มานั่งร่วมวงคุยด้วย ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องสัพเพเหระ บ่นถึงสุขภาพตามประสาคนแก่

    ถัดไปที่มาถึงก็เป็นตุ๊พ่อสิงห์ (พระอธิการสิงห์ วิสุทฺโธ) เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ หลวงพ่อมนัส มนฺตชาโต เจ้าสำนักสงฆ์ฟื้นฟูจิตเขาแหลม จังหวัดจันทบุรี หลวงพ่อเจ้าคุณดำ - พระราชสุวรรณเวที (สันติ สนฺติญาโณ ป.ธ.๖) เจ้าอาวาสวัดสุวรรณคีรี เป็นต้น

    มีการกราบทักทายกันเป็นปกติ แม้ว่าจะโดนท่านเจ้าคุณดำประท้วงแล้วประท้วงอีกว่า "ส่วนใหญ่ก็อายุกาลพรรษาใกล้เคียงกัน แถมบางท่านอายุมากกว่าผมเสียด้วย" แต่ว่าพวกเราก็กราบในฐานะที่ท่านเป็นพี่ อายุกาลพรรษามากกว่า

    ในเรื่องของพระภิกษุสงฆ์ของเรานั้น เคารพกันตามอายุพรรษา ไม่ใช่อายุทางโลก หรือว่าตำแหน่งทางโลก อายุทางโลก ตำแหน่งทางโลกนั้น เรายกย่องให้เกียรติกันตามโดยปกติ แต่ถ้าว่ากันตามพระธรรมวินัยแล้ว ก็ต้องเคารพกันตามอายุพรรษา


    เมื่อได้เวลา ทางด้านเจ้าหน้าที่ก็นิมนต์เข้าไปภายในโบราณสถานถ้ำเขาวง ซึ่งเป็นมณฑลพิธีในการปลุกเสกวัตถุมงคลครั้งนี้ กระผม/อาตมภาพเห็นมีวัตถุมงคลหลายอย่างที่ตั้งอยู่ ชัด ๆ เลยก็คือรูปของพระปัจเจกพุทธเจ้า เจ้าของพระคาถาเงินล้าน กับวชิราวุธ ซึ่งกระผม/อาตมภาพไม่ค่อยเห็นด้วยว่าจะมีการสร้างขึ้นมา เนื่องเพราะว่าวชิราวุธนั้นเป็นตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์ของในหลวงรัชกาลที่ ๖ ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับมาตรา ๑๑๒ หรือไม่ ?
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,801
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,276
    ค่าพลัง:
    +26,001
    ในงานพิธีครั้งนี้รวบรัด จัดได้รวดเร็วสมดั่งใจ กระผม/อาตมภาพนั่งอยู่ในท้ายแถวแรก ซึ่งทางด้านหัวแถวก็คือหลวงพ่อมนัส มนฺตชาโต ถัดมาเป็นหลวงพ่อโอ (พระครูสมุห์พิชิต ฐิตวีโร) ตามมาด้วยหลวงพ่อเจ้าคุณดำ หลวงพ่อชลอ แล้วเป็นกระผม/อาตมภาพ

    อีกฝั่งหนึ่งได้ยินว่ามีตุ๊พ่อสิงห์ แล้วก็ท่านอาจารย์บ๊ะ (พระอาจารย์ศิริชัย ชยธมฺโม) วัดโพธิ์ลังกาอยู่ด้วย ส่วนท่านเจ้าคุณหลวงตานั้น นั่งหันหลังให้กับพระประธานอยู่ตรงกลาง ท่านพระครูปลัดสุวัฒนรัตนคุณ หรือหลวงพ่อสมนึก สุธมฺมถิรสทฺโธ เจ้าอาวาสวัดท่าซุงนั้น นั่งอยู่ตรงข้ามกับท่านเจ้าคุณหลวงตา

    เพียงแต่ว่าในมณพลพิธีนั้น จะมีกลิ่นขี้ค้างคาวค่อนข้างจะแรงมาก เนื่องเพราะว่ามีค้างคาวเข้าไปอาศัยนอนพักอยู่ภายในถ้ำ ซึ่งถ้าเป็นกระผม/อาตมภาพก็ทำพิธี "เชิญออก" ไปหลายปีแล้ว แต่เนื่องจากว่าไม่มีใครรู้เคล็ดลับว่าจะเชิญค้างคาวออกจากถ้ำอย่างไร ก็เลยทำให้จะต้องมีกลิ่นรบกวนอยู่เป็นปกติ ถือเสียว่าดมยาแก้เป็นลมก็แล้วกัน..!

    ครั้นเสร็จพิธีแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ต้องรีบเดินทางกลับ เพราะว่ายังมีนัดอยู่กับญาติโยมอีกคณะหนึ่ง เหตุที่ต้องนัดก็เพราะว่าญาติโยมคณะนี้นั้นมีบุญคุณต่อกระผม/อาตมภาพมานานแล้ว และโดยเฉพาะลูกสาวลูกชายของท่าน ก็คือลูกสาวลูกชายของกระผม/อาตมภาพนั่นเอง ถ้าหากว่าเป็นญาติโยมปกติทั่วไป กระผม/อาตมภาพจะไม่รับนัดอย่างเด็ดขาด

    ในส่วนของการที่มาร่วมพิธีในครั้งนี้นั้น สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับบรรดาพระเถระที่มีอายุกาลผ่านวัยสูง ๆ ส่วนใหญ่ก็ ๗๐ กว่าปี ๘๐ กว่าปี ก็คืออากาศที่ร้อนมาก ซึ่งถ้าหากว่าพลาดพลั้งอย่างไร ก็อาจจะเป็น "ลมแดด" หรือที่สมัยนี้เรียกกันเสียจนกระทั่งไม่รู้ศัพท์ภาษาไทยไปแล้วว่า "ฮีทสโตรก" ซึ่งโรคนี้จะว่าไปแล้ว เป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก โดยเฉพาะถ้าเป็นผู้สูงอายุและความดันต่ำ เมื่อโดนความร้อนเข้า หลอดเลือดจะขยายตัว ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ อาจจะถึงขนาดล้มทั้งยืนได้..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,801
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,276
    ค่าพลัง:
    +26,001
    อากาศบ้านเรานั้น รุนแรงขึ้นไปตามวาระตามเวลา นึกถึงสมัยที่กระผม/อาตมภาพยังเด็กอยู่ ฤดูร้อนเป็นฤดูร้อน แต่ก็ไม่ร้อนมาก อาศัยอยู่ใต้ร่มไม้ชายคาก็เป็นอันว่าหายร้อนแล้ว ฤดูหนาวก็หนาวจัด ถ้าหากว่าพ้นจากฤดูหนาวแล้ว ก็เป็นอันว่าเริ่มเข้าสู่ฤดูร้อน มีการทำกิจกรรมต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้าวเสร็จเรียบร้อย ก็มีการทำบุญต่าง ๆ ตามเทศกาล ส่วนฤดูฝนนั้น ไม่ต้องห่วง ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล พูดง่าย ๆ ว่าสามารถคำนวณได้ว่า จะปลูกข้าวปลูกผักอย่างไร ให้เหมาะสมกับดินฟ้าอากาศ

    แต่เนื่องจากว่า
    คนเรามีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ประการหนึ่ง อีกประการหนึ่ง ส่วนที่หนักที่สุดก็คือ การทำเกษตรเชิงพาณิชย์ ต้องการพื้นที่ในการปลูกพืชผลการเกษตรสำหรับการพาณิชย์เป็นจำนวนมาก ๆ เป็นหมื่นเป็นแสนไร่ ไม่ว่าจะเป็นอ้อย ข้าวโพด ตลอดจนกระทั่งมันสำปะหลัง เหล่านี้เป็นต้น จึงต้องมีการตัดไม้ทำลายป่า จนกระทั่งแทบจะไม่มีพื้นที่ป่าเหลืออยู่แล้ว

    มีสถิติบอกว่าบ้านเรามีพื้นที่ป่าอยู่ประมาณ ๑๗ เปอร์เซ็นต์ กระผม/อาตมภาพเชื่อว่าเหลือถึง ๑๐ เปอร์เซ็นต์ก็ดีมากแล้ว..! เนื่องเพราะว่าเมื่อดาวเทียมยิงลงมา เจอพื้นที่ตรงไหนเขียว ๆ ก็เหมาว่าเป็นพื้นที่ป่าทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่เป็นสวนยางพาราบ้าง สวนปาล์มน้ำมันบ้าง ซึ่งไม่ใช่พื้นที่ป่าที่แท้จริง จึงทำให้อากาศขาดความสมดุล เพราะว่าไม่มีพื้นที่ป่าในการคอยถ่วงดุลอยู่ จึงทั้งร้อนทั้งแล้ง

    แล้วเมื่อถึงเวลาฝนมา ก็ไม่สามารถที่จะรองรับน้ำฝนได้มาก เนื่องเพราะว่าต้นไม้แต่ละต้น เมื่อถึงเวลา ก็จะดึงน้ำไปเก็บไว้ ระหว่าง ๔๐ - ๖๐ ลิตร แล้วแต่ว่าเป็นต้นเล็กต้นใหญ่ ในเมื่อเรามีต้นไม้น้อย จึงทำให้น้ำหลาก น้ำท่วมเป็นปกติ

    แล้วอีกส่วนหนึ่งที่เหลือเชื่อก็คือ
    น้ำท่วมเพราะว่ามีพื้นที่ป่า ซึ่งเรื่องนี้ ถ้าหากว่ากระผม/อาตมภาพพูดไปแล้ว คนก็จะหาว่าบ้า..! เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าเมื่อถึงเวลาแล้ว ป่าย่อมส่งความชื้นขึ้นไป เมื่อกระทบกับหมู่เมฆข้างบน ก็จะดึงเอาเมฆนั้นลงมา และทำให้ฝนตกในบริเวณนั้น

    ถ้าสมมติว่าในบริเวณนั้นสามารถรองรับน้ำ ตีเสียว่า ๑ ถัง แต่ในเมื่อพื้นที่ตรงบริเวณนั้นมีความชื้นจากต้นไม้ หมู่เมฆผ่านมาเมื่อไร ก็โดนดึงลงไปให้ตกกลายเป็นฝน จากที่รองรับได้ ๑ ถัง แต่ปรากฏว่าน้ำเทลงมาถังแล้วถังเล่า ก็เลยกลายเป็นว่าปัจจุบันนี้น้ำท่วมเพราะว่ามีป่าไปเสียส่วนหนึ่ง ซึ่งเรื่องทั้งหลายนี้ บรรดานักวิชาการเขาไม่ยอมรับ ปล่อยให้กระผม/อาตมภาพเพ้อเจ้อไปอยู่คนเดียว..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    16,801
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,276
    ค่าพลัง:
    +26,001
    เพียงแต่เป็นห่วงว่าคนรุ่นหลัง ๆ นั้น ถ้าหากว่าไม่ตายเพราะสงครามเสียก่อน ก็คงจะอยู่ยากมากขึ้นไปทุกวัน เนื่องเพราะว่าอันดับแรกจำนวนคนที่มากขึ้น พื้นที่ในการทำการเกษตรที่จะเลี้ยงตัวเองก็น้อยลงประการหนึ่ง โดนบรรดานายทุนรายใหญ่ ดึงไปเข้าร่วมโครงการทำการเกษตรเชิงเดี่ยว เพื่อที่จะป้อนให้กับโรงงานต่าง ๆ ของนายทุนอีกอย่างหนึ่ง

    ขณะเดียวกันจำนวนคนที่มากขึ้น พื้นที่การทำกินโดยเฉลี่ยก็ลดน้อยถอยลง ส่วนที่ไม่มีพื้นที่ทำกิน ถ้าไม่ไปเข้าโรงงานต่าง ๆ ก็ต้องไปทำผิดกฎหมายด้วยการหักล้างถางพงในพื้นที่ส่วนที่เหลืออยู่ ก็จะทำให้พื้นที่ป่าน้อยลงไปเรื่อย ๆ

    ขณะเดียวกันในส่วนของพื้นที่ป่าที่เหลือ ซึ่งดาวเทียมรายงานลงมานั้น ก็กลายเป็นพื้นที่การเกษตรเชิงเดี่ยว อย่างเช่นว่าพื้นที่ของดงยางพารา พื้นที่ของดงปาล์มน้ำมัน เป็นต้น ซึ่งพืชผลทั้งหลายเหล่านี้ ถ้าหากว่าขายไม่ได้ ก็ไม่สามารถที่จะกินได้อีกต่างหาก

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าใครยังมีพื้นที่เหลืออยู่ ให้พยายามศึกษาในการทำเกษตรยั่งยืน ไม่ว่าจะเป็นเกษตรตามแนวทฤษฎีใหม่ หรือที่เรียกง่าย ๆ กันว่า เกษตรเศรษฐกิจพอเพียงตามรอยศาสตร์พระราชาอย่างหนึ่ง หรือว่าโครงการโคกหนองนาในพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ อีกประการหนึ่ง

    ถ้าทำในลักษณนี้ ก็จะเป็นเกษตรยั่งยืน คือสามารถที่จะทำให้เรามีกินมีใช้ก่อน หลังจากที่เหลือแล้ว ค่อยนำออกไปขาย เป็นรายได้เข้ามาเจือจุนครัวเรือนของตน พูดง่าย ๆ ว่า
    ต่อให้ไม่มีเงิน ก็สามารถที่จะมีอยู่มีกินตามปกติ

    เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ กระผม/อาตมภาพเคยแนะนำให้ชาวบ้านแถวทองผาภูมิทำอยู่ประมาณ ๙ ปีเต็ม ๆ ในช่วงที่ยังสังกัดส่วนเผยแผ่จริยธรรมของกรมป่าไม้ ซึ่งปัจจุบันนี้เปลี่ยนเป็นกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ซึ่งไม่แน่ใจว่ากระผม/อาตมภาพยังจะเรียกชื่อได้ถูกต้องหรือเปล่า ?

    ในช่วงนั้นก็ยังคิดว่า "เราเป็นพระ ทำไมต้องมาทำหน้าที่แบบนี้ด้วย ?" แต่เมื่อยิ่งนานไป ก็ยิ่งเห็นอย่างชัดเจนว่า
    บุคคลที่ไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ ไม่มีความมั่นคงทางด้านอาหารแล้ว ส่วนอื่น ๆ ก็จะลำบากไปทั้งหมด จึงได้เห็นสายพระเนตรอันยาวไกลของในหลวงรัชกาลที่ ๙ ซึ่งได้กำหนดเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามหลักแนวเศรษฐกิจพอเพียง แล้วก็ได้รับการสืบสาน รักษา และต่อยอด โดยในหลวงรัชกาลที่ ๑๐ สืบมา

    แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าลูกหลานซึ่งมีที่ดินมรดกของปู่ย่าตายาย ก็มักจะขาย เอาเงินไปใช้จ่ายในส่วนอื่นเสียหมด ทำให้ต้องยากลำบากในการที่จะทำมาหากิน แล้วมาซื้อข้าวของที่แพงขึ้นไปทุกวัน ซ้ำยังทำให้สภาพอากาศทั้งร้อนทั้งแล้งอย่างที่เห็นอยู่ ถ้าหากว่าท่านใดกลับตัวทัน หันมายึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ก็อาจจะทำให้ท่านทั้งหลายลำบากน้อยกว่าคนอื่นเขา แล้วในขณะเดียวกัน
    เมื่อพึ่งพาตนเองได้ ลูกหลานของเราก็จะได้มีความมั่นคงในชีวิตมากขึ้น

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๗ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...