เรื่องเล่า ตื่นนอน ตอนสายๆ

ในห้อง 'จิตวิทยา & สุขภาพ' ตั้งกระทู้โดย suwi, 30 มิถุนายน 2010.

  1. ชัชชลี

    ชัชชลี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +1,411
    ตอนนี้ยังร่วมทำบุญสร้างพระพุทธชินราช(จำลอง)และฐานพระ ถวายเป็นพระประธานที่วัดพ่อขุนผาเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ได้อยู่นะคะ ร่วมทำบุญโดยโอนเงินมาที่บัญชีนี้นะคะ
    เลขที่บัญชี 895-2-33323-3
    ธนาคารกสิกรไทย สาขาบิ๊กซีอ่อนนุช
    ชื่อบัญชี ชัชชลี เบญจวิทย์วิไล
     
  2. ชัชชลี

    ชัชชลี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +1,411
    ได้ฤกษ์ถวายพระพุทธชินราช(จำลอง) ที่วัดพ่อขุนผาเมือง จ.เพชรบูรณ์จากหมอสุวิแล้วค่ะ เป็นวันที่ 27 พ.ย. 2558 เพื่อนๆที่ร่วมทำบุญ ถ้าท่านใดต้องการใบอนุโมทนาขอชื่อนามสกุลและยอดเงินด้วย ถ้าท่านใดต้องการไปร่วมงานและให้ช่วยจองที่พักให้รีบแจ้งภายใน 30 ก.ย.58
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 กันยายน 2015
  3. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา นอกจากอยู่ดีๆ เหมือนความสามารของกะทิเธอในการเขียนเล่าเรื่อง อยู่ดีๆ ก็สูญเสียไปแล้ว คือเขียนอะไรก็เหมือนไม่มีมุก มุกแป๊ก มุกฝืดขึ้นมาดื้อๆ ซะอย่างนั้น ความไหลลื่นในการคิดการเขียนก็เหมือนจะสูญหายไปด้วย ซะงั้น

    ในเวลาต่อมา กะทิเธอก็ป่วยหนัก ซึ่งในเวลาต่อมาอีกเช่นกัน หมอสุวิก็เล่าให้ฟังอีกว่า กะทิเธอมีการจุติใหม่ในร่างเดิม ที่เห็นชัดๆ ประมาณ ๒ ครั้ง

    พออ่านดูแล้วก็คิดในใจ แล้วความสามารถมันจะปรับเปลี่ยนไปด้วยรึเปล่าน้อ เรามาเรียกคืนกันดีกว่าไหมคะท่านผู้อ่านทุกท่าน


    นิทาน พลังอธิษฐานของกะทิ ตอน สวดมนต์อุทิศบุญ

    นิทานตอนนี้อาจจะสั้นไปหน่อยนะคะ แบบว่าการเขียนของกะทิเธอไปไม่เป็นแล้วหนะค่ะ

    เข้าเรื่อง...

    อย่างที่ท่านผู้อ่านทราบดีว่า กะทิเธอจะสวดมนต์อยู่บ่อยๆ เช่นเดียวกับท่านผู้อ่านที่มีความเพียรในการสวดมนต์นะคะ แต่ของกะทิเธออาจจะน้อยกว่าท่านผู้อ่านหน่อยหนึ่ง 555 ความจริงเป็นอย่างนั้น

    เมื่อทำบุญสวดมนต์แล้ว โดยเฉพาะในวันหยุด เสาร์ หรืออาทิตย์ ยัยกะทิเธอก็จะกล่าวต่อไปด้วยการสวดมนต์อุทิศ ซึ่งในการกล่าวอุทิศในช่วงเสาร์ หรืออาทิตย์นั้น จะมีการระบุผู้รับอยู่ในบางบทที่กล่าววาจาไป ซึ่งรวมถึงเทพพระองค์หนึ่ง ซึ่งหมอสุวิได้เคยให้กะทิเธอเข้าไปกราบรับใช้ และท่านเทพท่านนี้ก็เคยเป่ากระหม่อมให้พรเพี่ยงๆ ไว้กับกะทิเธอด้วย

    ด้วยความกรุณาของท่านเทพท่านนี้ ข้าเจ้าก็ยังระลึนึกถึงท่านอยู่เสมอ ดังนี้ในเมื่อบทสวดมนต์ของข้าเจ้ามีบทคำอธิษฐานอุทิศกล่าวถึงท่านด้วย เธอก็เลยส่งจิตส่งบุญไปถึงท่านอยู่บ่อยๆ ไปโดยปริยาย(เหมือนเป็นภาคบังคับกลายๆ) นั่นเอง

    ด้วยเหตุนี้ในทุกๆ วันหยุด ยัยกะทิเธอก็เลยเหมือนจะได้เข้าเฝ้าท่านเทพท่านนี้ แม้จะเพียงเสี้ยววินาทีที่เราได้กล่าวอุทิศบุญถึงท่าน ท่านก็จะมาปรากฎในนิมิตรให้เห็นว่า ท่านนั่งประนมมือบนตั่งที่ท่านใช้นั่งอยู่เป็นประจำ เพื่อให้เราได้รับรู้ว่า ท่านนั่นรับสาธุร่วมกับเราอยู่นะ

    วันเวลาผ่านไปเป็นเช่นนี้เสมอ จนกระทั่งเมื่อช่วงกลางปีพ.ศ.2558 ที่ผ่านมา ก่อนวันวิสาขบูชา ในทางมิติอื่น เขาเกิดเรื่องเกิดราวกันขึ้น จะมีสงครามอะไรกันหรือไม่ก็แล้วแต่ แต่ที่ยัยกะทิเธแน่ใจก็คือ มีการทำร้ายร่างกายกันเกิดขึ้น


    นี่คือสิ่งที่ยัยกะทิเธอสัมผัสได้ โดยเฉพาะจากการอุทิศบุญ เพราะอยู่ดีๆ ในทุกช่วงเสาร์หรืออาทิตย์ที่ท่านเทพพระองค์นี้เคยปรากฎอยู่ให้เราได้เห็นท่านเป็นปกติ อยู่ดีๆ ในวันนั้นท่านก็หายไป และท่านก็หายไปอย่างต่อเนื่องในอีกหนึ่งอาทิตย์ต่อมา จนเกิดสะกิตใจ เป็นที่สงสัยกับยัยกะทิเธอ

    / ยังมีต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2015
  4. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    เหตุนี้ยัยกะทิเธอจึงได้ปรึกษาท่านหมอสุวิ และในอีกอาทิตย์ต่อมากะทิเธอก็เห็นท่านเทพกลับมานั่งประนมมือรับสาธุกับยัยกะทิเธอดังก่อน แต่เป็นที่น่าสังเกตอยู่ด้วยว่า ท่านไม่ได้เปร่งปรั่ง แต่ดูหมองๆ อย่างไรชอบกล

    กะทิเธอจึงได้สอบถามไปยังหมอสุวิ ด้วยเพราะสงสัยว่า นิมิตรที่กะทิเธอเห็นท่านอยู่นี่ ใช่ตัวท่านจริงๆ ผู้เดิม หรือว่ายัยกะทิเธอกำลังโดนหลอกจากผู้อื่นมาปรากฎตัวให้เห็นแทนตัวท่าน และทำให้กะทิเธอเข้าใจผิดไปเองรึเปล่า?

    หมอก็ให้คำตอบมาว่า ท่านโดนทำร้ายมา ท่านป่วยอยู่ และหมอสุวิก็ได้ช่วยรักษาท่านแล้ว ดังนี้เราก็เบาใจว่า ภาพที่เราได้เห็นนั้น ไม่ได้โดนหลอกให้เชื่อว่าเป็นเช่นนั้น และท่านยังกลับมาอยู่ในที่ๆ ของท่าน ข้าเจ้าก็เบาใจ

    แต่ทว่า...หลังจากนั้นไม่นาน ท่านก็หายไปอีกแล้ว อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นกับท่านผู้อ่าน ว่าอยู่ดีๆ ท่านก็หายไปเมื่อช่วงกลางปีพ.ศ.2558 ที่ผ่านมา ก่อนวันวิสาขบูชา โดยในคราวนี้ท่านหายไปนานมากกกก แม้จะให้หลังวันวิสาขบูชาก็แล้ว ท่านก็ยังไม่กลับมาเลย

    ท่านหายไปนานมาก จากสัปดาห์ก็เป็นเดือน ใจยัยกะทิเธอก็เริ่มแป้วในทกสัปดาห์นั่นแหละ

    ก็ทำไมจะไม่ให้ใจแป้วล่ะคะ เราเคยๆ เห็นกันอยู่

    เปรียบไปก็เหมือนท่านผู้อ่านกลับบ้านของท่าน ทุกครั้งที่ท่านกลับบ้าน สมมติว่าท่านเห็นญาติของท่านนั่งอยู่ในห้องรับแขกอยู่เป็นประจำ

    แต่แล้วอยู่ดีวันดีคืนดี ญาติของท่านผู้อ่านที่เคยนั่งเก้าอี้ตัวนี้หายไปไหนก็ไม่รู้ แม้ปกติท่านอาจไม่เคยได้พูดกับญาติผู้ใหญ่ท่านนี้นัก แต่เมื่อคุณกลับบ้าน หลังจากวันนั้นวันแล้ววันเล่า เก้าอี้ตัวนั้นก็ยังคงว่งเปล่าเหมือนเดิม เป็นคุณๆ จะรู้สึกอย่างไร?


    ดังนั้นยัยกะทิจึงตั้งคำถามอย่างจริงจังไปยังหมอสุวิ และยังเคยถามไปยังคนในแก้งค์คนอื่นๆ อย่างเช่น คุณกรรมนิยาม ด้วย แต่ในเวลานั้นทุกคนก็นิ่งเฉย เฉยกันมากๆ


    / ยังมีต่อ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2015
  5. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    และแล้วหลังจากเวลาผ่านไปเดือนกว่าๆ ขณะที่ยัยกะทิอุทิศบุญท่านก็กลับมา และก็อย่างเคย ท่านดูหมองๆ แต่ยัยกะทิก็ตื่นเต้นล่ะ ท่านหายไปนานมาก และยังกลับมาให้กะทิเธอสงสัยว่าท่านเป็นตัวจริงรึเปล่า?

    ดังนั้นกะทิก็เลยต้องรีเช็คกับหมอสุวิ ซึ่งหมอก็ยืนยันกลับมาว่าใช่ท่านนั่นแหละ แต่ตั้งแต่ในตอนนั้นเป็นต้นมาจนถึงตอนนี้ ภาพนิมิตรที่ยัยกะทิเธอเห็นท่านเทพพระองค์นี้ไม่เคยกลับมาแจ่มชัดเหมือนเดิมเลย

    เรื่องของการอุทิศบุญถึงท่านเทพผู้นี้ ในตอนนั้นกะทิไม่เคยได้เล่าให้หมอสุวิฟังเท่าไหร่ว่าเหตุใด และทำไม จะต้องถามถึงท่านเทพผู้นี้อยู่เสมอด้วย จนกระทั่งท่านกลับมาให้ยัยกะทิเธอเห็นในครั้งล่าสุดเนี่ยแหละค่ะ จึงได้เล่าถึงการอุทิศบุญดังกล่าวข้างต้นที่เล่าให้ท่านผู้อ่านฟังมาทั้งหมดเนี่ย ให้กับคุณหมอสุวิฟัง


    สักพักกะทิเธอก็รู้สึกได้ว่ามีพลังงานบางอย่างส่ง(วิ่ง)มาที่ตัวกะทิ และไม่ทันได้ขาดคำ หมอสุวิก็ส่งข้อความมาบอกว่า...


    หมอสุวิ : ท่านเทพได้ส่งพรมาให้กะทิ.. พรนี้เป็นพรอะไรหว่า?

    กะทิ : เร็วเท่าคำถาม กะทิก็สวนตอบไปว่า "พรอันประเสริฐค่ะ"



    ชื่อพรนั้นชื่อว่า "พรอันประเสริฐ" สำหรับผู้อ่านอาจคิดว่า ยัยกะทิเธออาจตอบส่งๆ หรือตอบคำถามกวนๆ คุณหมอสุวิไปรึเปล่านะคะ? เพราะคำว่าพรอันประเสริฐอาจฟังดูกว้าง และเป็นคำที่ใช้กันทั่วไป แต่กะทิเธอไม่ได้ตอบกวนๆ กลับไปแต่ประการใด


    เพราะในขณะที่คุณหมอถาม ยัยกะทิเธอได้ยินเสียงที่ข้างหูส่งมาอย่างชัดเจนด้วยว่า "พรอันประเสริฐ" หมอสุวิก็ตอบกลับมา จำไม่ได้แล้วอะนะคะว่า หมอตอบกลับมาว่าอะไร แต่เท่าที่จำได้ ประมาณว่า "เป็นพรที่ดี เจ๋ง" อะไรทำนองนี้หนะค่ะ ประมาณว่าท่านหมอก็ยินดีไปกับพรที่เราได้รับ (รับคำกะทิเธอโดยไม่ได้ติว่าชื่อพรนั้นไม่ใช่ชื่อนี้)


    ส่วนยัยกะทิเธอก็ได้ยินเสียงข้างหูของเธอนั่นต่อไป ซึ่งเป็นเสียงอธิบายความหมายของพรที่ได้รับค่ะ และได้อธิบายให้หมอสุวิฟัง เพื่อไม่ให้หมอเข้าใจกะทิผิดไปเหมือนกันกับท่านผู้อ่านที่อาจเข้าใจผิดไปด้วยก็ได้ว่า ยัยกะทิตอบกวนๆ หวะเฮ้ย


    กะทิ (ตอบตามเสียงที่ได้ยินข้างหูประมาณว่า) : พรนี้ได้ชื่อว่าพรอันประเสริฐ เพราะในขณะที่ยัยกะทิเธอได้อุทิศบุญนั้น เธออุทิศด้วยความ "สุจริตใจ" ด้วยความสุจริตใจนี้ พลังบุญนี้เธอจึงได้รับในชื่อว่าพรอันประเสริฐ (ประมาณนี้นะคะ เท่าที่พอจะจำได้)

    หมอสุวิ : สาธุ

    ยัยกะทิก็เลยส่งพลังบุญของ พรอันประเสริฐ ไปให้หมอสุวิท่านด้วย หมอสุวิก็ส่งพลังบุญกลับมาให้ยัยกะทิ ยัยกะทิก็สาธุ พูดง่ายๆ ก็คือ เราจะเรียกว่าเล่นเกมส่งพลังกันไปมาอยู่สักครู่ แต่ไม่ใช่เกมอะนะ และหมอก็บอกประมาณว่าพอเถอะ เดี๋ยวมันจะไม่จบ


    งานนี้ท่านใดสนใจพลังบุญ พรอันประเสริฐก็ "สาธุ" เอานะคะ แล้วก็อุทิศบุญให้ท่านเทพพระองค์นั้นที่กะทิเธอเอ่ยถึงละกัน เพื่อระบุตัวตนถูกต้องได้ค่ะว่าให้เป็นสัจจะ(ตัวจริงแก่ท่านเทพผู้นั้น) ให้ท่านกลับมาแข็งแรง และสดใส สุขสว่างเหมือนเดิมนะคะ


    ปล. งานนี้ไม่ได้เอ่ยชื่อท่าน เพราะตอนที่กะทิเธอเขียน ไม่ได้ขออนุญาตจากท่านมาเขียนอะนะคะ อีกประการคือ แม้กะทิเธอจะมีจิตประสงค์ดี แต่กะทิเธอไม่แน่ใจว่า การเอ่ยชื่อในเวลานี้ อาจทำให้บางสิ่งที่อาจไม่ดีกับท่าน คอยจ้องทำร้ายท่านได้อยู่รึไม่หนะค่ะ จึงไม่อยากเอ่ยนามอะนะคะ




    ข้าพเจ้าอธิษฐาน พูลศิลป์ศักดิ์กุล เตชะวีระวงศ์ ขอน้อมถวายบูชาบุญจากการเขียนเล่าเรื่องนี้แล้วนั้น จงเป็นพลังบุญแก่ข้าพเจ้าส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่ง ข้าพเจ้าน้อมถวายบุญนี้ เพื่อขอขมาอโหสิกรรมกรรมต่อองค์พระรัตนตรัยในพระพุทธศาสนา ขอพลังบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมบูชาพระรัตนตรัยและขอขมาพระรัตนตรัยที่สมบูรณ์แล้วของข้าเจ้า ทั้งสองส่วน ใส่พานแห่งบุญของข้าพเจ้า อันประกอบด้วย บุญนี้และดอกไม้บูชา เพื่อน้อมถวาย แด่องค์พระเสมาสุงสุดแห่งมหาจักรวาลที่เป็นจริงโดยสัจจะ และแด่กัมมาเวที่เป็นจริงโดยสัจจะ และขอบุญและดอกไม้ที่ข้าพเจ้าได้ใส่พานน้อมถวายบุญแล้วนี้ จงเป็นพลังชำระมลทิน ออกไปจากกายธาตุ กายทิพย์ ดวงจิต และดวงวิญญาณของข้าพเจ้า ดังมลทินทั้ง 10 ประการนี้เทอญฯ มลทินที่1 ประตูมิติทั้งปวง มลทินที่ 2 ศาสตราวุธมีคมทั้งปวง มลทินที่ 3 พิษทั้งปวง มลทินที่ 4 โรคทั้งปวง รวมทั้งอสุรกายที่ทำให้ข้าพเจ้าเป็นโรค มลทินที่ 5 อาถรรพ์ และอาคมคุณไสย์ทั้งปวง มลทินที่ 6 ภูติอาคมทั้งปวง รวมกายเนรมิตรและปอบ มลทินที่ 7 พระเวทย์ขโมยบุญ และพลังไปจากข้าพเจ้า มลทินที่ 8 การถูกครอบงำความนึกคิด แทรกแซงเข้าโพรงถ้ำแห่งดวงจิต/แทรกเข้าไปในดวงจิตข้าพเจ้า มลทินที่ 9 ถูกฝังชิบที่ก้านสมอง โปรดประทานพลังการชะล้างและรักษาอาการป่วยจากการถูกฝังชิบที่ก้านสมองให้กับข้าพเจ้า มลทินที่ 10 พิษที่ก้านสมอง โปรดประทานพลังการชะล้างและรักษาอาการป่วยจากพิษที่ก้านสมองให้กับข้าพเจ้า ให้กลับหายเป็นปรกติ พ้นโพยภัยจากมลทินทั้ง 10 นี้ และขอให้ข้าพเจ้าอยู่เย็นเป็นสุข ปราศจากการถูกเบียดเบียนทั้งปวง ด้วยบุญที่ข้าพเจ้าได้น้อมถวายบูชาบุญ จากการเขียนเล่าเรื่องให้ผู้อ่านได้อ่านในครั้งนี้แล้วเทอญฯ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กันยายน 2015
  6. ชัชชลี

    ชัชชลี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +1,411
    ขอเชิญชวนเพื่อนๆร่วมทำบุญทอดกฐินสามัคคี ณ วัดพ่อขุนผาเมือง จังหวัดเพชรบูรณ์ ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2558
    เพื่อสมทบทุนสร้างอุโบสถ เป็นที่ประดิษฐานองค์พระพุทธชินราช(จำลอง)ที่พวกเราร่วมกันทำบุญสร้างค่ะ

    ร่วมทำบุญโดยโอนเงินมาที่บัญชีนี้นะคะ
    เลขที่บัญชี 895-2-33323-3
    ธนาคารกสิกรไทย สาขาบิ๊กซีอ่อนนุช
    ชื่อบัญชี ชัชชลี เบญจวิทย์วิไล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ไปอ่านเจอเรื่องของ อสูร มา อะนะคะ เห็นว่าน่าสนใจดี และเพราะนิทานตอนต่อไปยัยกะทิเธอจะพูดถึงเรื่อง สภาพ ของ มาร และ อสูร จึงน่าจะมีอะไรโปรยเข้าเรื่องสักหน่อยหนะค่ะ (อธิบายไม่ถูกแฮะ แต่เอาเป็นว่าจะพูดถึงเรื่องธาตุที่แตกต่างระหว่างมนุษย์ มาร และอสูร ละกันนะคะ ประมาณนี้)




    จึงไปขอแชร์เรื่อง อสูร มาจากคุณ Ann Pan ในเฟรชบุ๊คมานำเรื่องก่อนอะนะคะ เนื่องจาก เมื่ออ่านแล้วก็รู้สึกว่า น่าสนใจดี มีข้อความนิทาน ดังนี้ค่ะ


    กำเนิดอสูร


    สมัยก่อนนั้นสวรรค์มีทั้งหมด ๖ ชั้น ยังไม่มีพิภพอสูร
    เทวดาซึ่งอยู่ในสวรรค์ชั้นที่ ๒ เดิม เรียกว่า เนวาสิก
    เป็นเทวดาที่อยู่มานาน แต่หลงระเริงกับการดื่มน้ำคันธบานหรือสุราทิพย์ ทิพย์สมบัติที่เคยรุ่งเรืองจึงค่อยๆ เสื่อมทรามลง


    วันหนึ่ง มีเทพบุตรมาอุบัติใหม่ ๓๓ องค์ มฆเทพบุตรผู้เป็นหัวหน้านั้นมีรัศมีรุ่งเรืองมาก รุ่งเรืองกว่าเนวาสิกเทพทั้งหมด


    เพราะสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์ มฆมาณพได้สร้างสาธารณกุศลไว้มาก อีกทั้งยังประพฤติวัตตบท ๗ ประการ อันเป็นธรรมที่จะทำให้ได้เป็นท้าวสักกเทวราชด้วย
    เนวาสิกเทพผู้เป็นใหญ่รู้ว่าเทพผู้มาอุบัติใหม่มีบุญเหนือกว่า จึงจัดงานเลี้ยงต้อนรับพร้อมกับจะยกดินแดนสวรรค์ให้ปกครองกึ่งหนึ่งด้วย


    แต่มฆเทพบุตรปฏิเสธไม่รับ และแอบสั่งเทพสหายของตนว่าให้แกล้งทำเป็นดื่มน้ำคันธบานแต่อย่าดื่มจนเมามาย


    เมื่อเทพเนวาสิกดื่มน้ำคันธบานจนเมามายไม่ได้สติ มฆเทพบุตรและสหายจึงช่วยกันจับขาเหล่าเทพขี้เมาเหล่านั้นโยนลงจากเขาสิเนรุทั้งหมด

    แล้วมฆเทพบุตรก็ขึ้นปกครองสวรรค์ชั้นนี้เป็นท้าวสักกเทวราช โดยมีเทพบุตรสหาย ๓๒ องค์เป็นเทพปกครองชั้นสูง


    สวรรค์ชั้นนี้จึงได้ชื่อว่า ดาวดึงส์ ซึ่งหมายถึง สวรรค์แห่งเทพ ๓๓ องค์นั่นเอง


    ส่วนเทพเนวาสิก ถูกจับเหวี่ยงตกลงมาจากสวรรค์แล้วก็ตกลงสู่ก้นมหานทีสีทันดร
    พอสร่างเมาได้สติขึ้นมาก็ได้แต่เศร้าโศกเสียใจว่าพวกเราโดนยึดสวรรค์ไปเพราะมัวแต่เมาสุรา



    ทั้งหมดจึงตั้งปณิธานเลิกดื่มน้ำคันธบาน เทวดาเหล่านี้ต่อมาจึงเรียกว่า อสุรา หรือ อสูร หมายถึง "ผู้ไม่ดื่มสุรา"


    และด้วยบุญบารมีที่ยังมีอยู่ จึงบังเกิดพิภพทิพย์ขึ้นใหม่ภายใต้เขาสิเนรุ มีวิมานแก้ววิมานทองดุจเดียวกับวิมานเดิมบนสวรรค์ เรียกว่า อสูรพิภพ ตั้งอยู่ลึก ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ภายใต้เขาสิเนรุ ระหว่างภูเขา ๓ เส้า ที่ค้ำยันสิเนรุไว้เบื้องบน มีอาณาเขตหมื่นโยชน์ มีต้นจิตตปาตลีเป็นต้นไม้ทิพย์ประจำพิภพ มีท้าวเวปจิตติอสูร เป็นจอมอสูรผู้เป็นใหญ่


    เทวาสุรสงคราม


    พวกอสูรนี้แม้จะมีวิมานอยู่ใต้เขาสิเนรุ แต่ก็นับว่าเป็นเทวดาระดับเดียวกับเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เพราะมีรัศมี มีทิพย์วิมาน และมีบุญบารมีใกล้เคียงกัน พวกอสูรจึงอยู่ในอสูรพิภพอย่างมีความสุข


    แต่เมื่อถึงคราวที่ต้นจิตติปาตลีออกดอก บานสพรั่ง พวกอสูรก็จะหวนคิดถึงต้นปาริฉัตต์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ระลึกได้ว่าคราใดที่ปาริฉัตต์เบ่งบาน ก็เป็นเทศกาลที่พวกเราได้เคยรื่นเริงสนุกสนานกัน

    คิดได้ดังนั้นพวกอสูรก็แค้นเทวดา จึงยกเป็นกองทัพขึ้นไปรบกับเทวดาบนสวรรค์
    อสูรกับเทวดารบกันบ่อยครั้ง


    ฝ่ายเทวดามีท้าวมหาราชทั้ง ๔ เป็นแม่ทัพหน้า มีท้าวสักกเทวราชเป็นแม่ทัพหลวง
    ฝ่ายอสูรมีท้าวเวปปจิตติเป็นแม่ทัพหลวง และมีอสุรินทราหูเป็นแม่ทัพคนสำคัญ
    สงครามระหว่างเทวดากับอสูรนั้นผลัดกันแพ้ผลัดกันชนะมาตลอด แต่พวกอสูรก็ไม่สามารถยึดสวรรค์กลับคืนมาได้


    ต่อมาภายหลัง นางสุชาดาอดีตภรรยาของมฆมาณพได้มาเกิดเป็นนางอสูร ธิดาของท้าวเวปจิตติผู้เป็นใหญ่แห่งอสูรพิภพ


    ท้าวสักกเทวราชจึงได้แอบมาชิงตัวนางกลับไปเป็นพระชายาบนสวรรค์อีก
    ท้าวเวปจิตติก็เลยทำใจว่าศัตรูกลายเป็นลูกเขยแล้ว สงครามระหว่างเทวดากับอสูรจึงเลิกรากันไป


    อสุรินทราหู


    อสุรินทราหู เป็นอสูรผู้เป็นใหญ่ในอสูรพิภพ เป็นผู้ได้ชื่อว่ามีกายใหญ่ที่สุดในกามภพ
    ขนาดร่างกายของอสุรินทราหู คือ สูงถึง ๔,๘๐๐ โยชน์ ศีรษะยาว ๙๐๐ โยชน์
    หน้าผากกว้าง ๓๐๐ โยชน์ หว่างคิ้วกว้าง ๕๐ โยชน์ จมูก ๓๐๐ โยชน์ ปาก ๓๐๐ โยชน์
    คอยาว ๓๐๐ โยชน์ มือและเท้าหนา ๒๐๐ โยชน์ ข้อนิ้วยาวข้อละ ๕๐ โยชน์ มีส่วนหนา ๖๐๐ โยชน์ เป็นต้น


    ด้วยขนาดร่างกายที่ใหญ่โตที่สุดในกามภพ อสุรินทราหูจึงชอบแกล้งพระอาทิตย์และพระจันทร์

    เมื่อมองเห็นพระอาทิตย์และพระจันทร์โคจรอยู่ในวิถีก็มายืนดักหน้าเอามือบังบ้าง เอาลิ้นเลียบ้าง หรือบางคราวก็อ้าปากอมพระอาทิตย์และพระจันทร์เอาไว้ในกระพุ้งแก้ม
    ทำให้เทพบุตรเทพธิดาที่อาศัยอยู่ในพระอาทิตย์และพระจันทร์เดือดร้อนไปตามๆ กัน
    คราวหนึ่ง ขณะที่อสุรินทราหูกำลังอมพระอาทิตย์อยู่ ทำให้หมู่เทวดาที่เป็นพระโสดาบันเดือดร้อนกันถ้วนหน้า


    พระศาสดาได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์ตรัสกับราหูว่า "ดูกรราหู สุริยะเป็นผู้มีคุณ ส่องแสงให้ความสว่างแม้ในที่มืด ท่านจงปล่อยสุริยะผู้เป็นบุตรของเราเถิด"


    อสุรินทราหูสดับพระสุรเสียงของพระศาสดาก็ตกใจกลัว รีบหนีไปนั่งตัวสั่นงันงกด้วยความกลัวอยู่ต่อหน้าท้าวเวปจิตติจอมอสูรในอสูรพิภพ


    หลังจากสงครามระหว่างเทวดากับอสูรสงบลงแล้ว พวกอสูรก็อยู่กันอย่างสันติ
    บางพวกมีโอกาสได้มาเฝ้าฟังธรรมพระศาสดาและนำมาเล่าลือกันในอสูรพิภพถึงพุทธคุณของพระสัพพัญญู


    อสุรินทราหูได้ยินพวกอสูรและเทวดากล่าวสรรเสริญพุทธคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ่อยๆ อีกทั้งตนเองก็เคยได้พบปาฏิหาริย์ได้ยินพระสุรเสียงของพระศาสดามาแล้ว
    ใจจึงคิดอยากจะมาฟังธรรมบ้าง แต่เพราะตัวเองมีรูปกายใหญ่โตมโหฬารเหลือเกิน
    จึงจินตนาการไม่ออกว่าจะเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าองค์เล็กๆ ได้อย่างไร จะค้อมตัวลงฟังธรรมได้อย่างไร


    แต่เมื่อยิ่งฟังมากก็ยิ่งศรัทธามาก วันหนึ่งอสุรินทราหูจึงตัดสินใจไปเฝ้าพระพุทธเจ้า
    พระศาสดาทรงทราบอัชฌาสัยของอสุรินทราหู จึงรับสั่งให้พระอานนท์ตั้งเตียง แล้วพระองค์ก็บรรทมสีหไสยาสน์รออยู่บนเตียงนั้น

    ปาฏิหาริย์สยบราหู

    เมื่ออสุรินทรราหูมาเข้าเฝ้าแล้ว ด้วยพุทธานุภาพเป็นที่น่าอัศจรรย์ พระสรีระของพระพุทธเจ้าจึงดูสูงใหญ่มาก จนอสุรินทราหูผู้มีร่างกายใหญ่โต แม้ยืนอยู่ก็ยังต้องแหงนคอดูพระพุทธองค์ที่ประทับสีหไสยาสน์อยู่ เปรียบเหมือนแหงนคอดูพระจันทร์ปานนั้น
    อสุรินทราหูจึงคลายมานะ ฟังธรรมจากพระพุทธองค์ และประกาศตนเข้าถึงไตรสรณคมน์


    ที่มา :
    สักกปัญหสูตร ที. มหา.
    สุมังคลวิลาสินี อรรถกถามหานิทานสูตร ที. มหา.
    ปปัญจสูทนี อรรถกถาจังกีสูตร ม. ม.
    สารัตถปกาสินี อรรถกถานิทานสูตร สํ. นิ.
    ธัมมปทัฏฐกถา อรรถกถาคาถาธรรมบท อัปปมาทวรรคที่ ๒ เรื่องท้าวสักกะ ขุ.ธ.
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2015
  8. ชัชชลี

    ชัชชลี เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กุมภาพันธ์ 2012
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +1,411
    ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ สาธุ
     
  9. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ตอบคำถาม จากคำถามหลังไมค์นะคะ

    มีผู้ถามคำถามไว้ว่า ยัยกะทิเธอสวดมนต์อะไรบ้างอะนะคะ

    ในวันธรรมดา จะสวดดังนี้ในตอนเช้า

    บทพระโมรปริตร
    นโมฯ 3 จบ
    อาราธนาศีลห้า
    อิติปิโสฯ
    พาหุง มหากา
    อิติปิโสฯ เท่าอายุ
    บทสวดจากคุณวิเชียร อยู่เกตุ สวดเท่ากำลังดาวประจำวันเกิด
    (สิทธิกิจจัง สิทธิกัมมัง สิทธิการิยัง ตะถาคะโต สิทธิเตโช ชะโยนิจจัง สิทธิลาโภ นิรันตะรัง สัพพะโสตถี ภะวันตุเม ฯ)
    พระคาถาเงินล้านสัมปจิตฉามิ
    บทอนุโมทนาสาธุบุญกับร่วมกับผู้ทำความดีในวันนี้
    บทน้อมถวายบูชาบุญต่อองค์พระปฐม ฯลฯ
    บทแผ่เมตตาต่อมนุษย์ เทวดา สรรพสัตว์ เจ้ากรรมและนายเวร ฯลฯ
    บทน้อมถวายบูชาบุญที่ได้อุทิศบุญข้างต้นไปแล้วต่อองค์พระปฐม ฯลฯ

    ตอนค่ำก็สวดบทดังนี้

    บทพระโมรปริตร
    นโมฯ 3 จบ
    อาราธนาศีลห้า
    บทขอขมาต่อพระรัตนตรัย



    ในวันเสาร์หรืออาทิตย์ จะสวดดังนี้


    บทพระโมรปริตร
    นโมฯ 3 จบ
    คาถาบูชาครูบาอาจารย์และผู้มีพระคุณ (พุทธังวันทิตตาฯ)
    บมชุมนุมเทวดา(บทสัตตะปะริตตัง)
    บทไตรสรณะคมน์
    บทบูชาพระรัตนตรัย
    นโมฯ 3 จบ อีกครั้ง
    อาราธนาศีลห้า
    บทอิติปิโสฯ
    พระคาถาชินบัญชร
    บทมงคลจักรวาลน้อย
    บทอัคคัปปะสาทะสุตตะคาถา
    บทอะภะยะปะริตตัง
    บทกรวดน้ำ(อิมินา บุญญะกัมเมนะฯ)
    บทแผ่เมตตา
    บทตั้งจิตถวายทาน(อิทังเมทานัง อะสะวักขะยาวะหัง โหตุฯ)
    บทแผ่เมตตาให้ตัวเอง
    บทอนุโมทนาวิธี(บทกรวดน้ำ) อีกบทหนึ่งต่างจากบทข้างบน
    พระคาถาอัญเชิญเทวดากลับ
    คำอธิษฐานขอขมาและขออโหสิกรรมต่อบิดามารดาและเจ้ากรรมและนายเวรทุกชาติภพ
    คำอธิษฐานขอขมาและขออโหสิกรรมต่อสรรพสัตว์ที่เราเคยได้บริโภคเป็นอาหาร
    บทน้อมถวายบูชาบุญที่ได้อุทิศบุญข้างต้นไปแล้วต่อองค์พระปฐม ฯลฯ
    กราบพระรัตนตรัย (3 ครั้งปรกติ)
    กราบพระอาจารย์ขององค์ผู้มีพระภาคเจ้า (1 ครั้ง)/ องค์ผู้มีพระภาคเจ้า (1 ครั้ง) /อาจารย์ของยัยกะทิตั้งแต่อดีตชาติเริ่มต้นถึงชาติปัจจุบัน (1 ครั้ง)


    จบค่ะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2015
  10. kratium

    kratium เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2007
    โพสต์:
    484
    ค่าพลัง:
    +3,670
    แจ้งโอนเงินค่ะ โอนร่วมบุญเมื่อเดือน สิงหาคมค่ะ วันที่ 18 สิงหาคม 2558 โอนเงิน 300 บาท ในนามสุชาดา และผู้เกี่ยวเนื่องกับข้าพเจ้า
    เพื่อร่วมสร้างและซ่อมแซมบูรณะพระพุทธรูปทั้งปวง
    และร่วมสร้างพระประธาน วัดป่ากังวาลไพร จ.ชัยภูมิ
    ธนาคารกรุงเทพฯ สาขาแฟชั่น ไอส์แลนด์
    เลขที่บัญชี 865-0-39663-6
    นาง พัชรินทร์ วงศ์เอนกอนันต์

    โมทนาสาธุค่ะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. prapaanpong

    prapaanpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    891
    ค่าพลัง:
    +7,992
    โอนเงินร่วมบุญ 200 บาท สร้างและซ่อมแซมพระพุทธรูปทั้งปวง
    และร่วมสร้างพระประธานวัดป่ากังวาลไพร จ.ชัยภูมิ
    อนุโมทนา สาธุบุญ ทุกท่าน
     
  12. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    จะเรียกว่าเป็นนิทานได้ไหม ยัยกะทิกังวลอยู่ค่ะ เพราะได้นำเกริ่นเรื่องของอสูร ก็เพราะกำลังจะพูดถึงลักษณะทางกายภาพ(จะเรียกอย่างนั้นได้ไหม?) ที่ต่างกันของ มนุษย์ มาร และอสูร อย่างกว้างๆ คร่าวๆ แต่ก็อาจมีความยาวไม่เพียงพอที่จะเป็นนิทานตอนนึงได้


    คำถาม : การเล่าเรื่องราว ต่างกันกับการเล่านิทาน ตรงไหนอย่างไร? จึงทำให้ยัยกะทิกังวลใจนัก

    คำตอบ : ก็เพราะการเล่าเรื่อง หากเล่าไม่ตรงกันกับความเป็นจริง เหตุเพราะมี "กาล" หรือเวลา เข้ามากำกับ ทำให้ความจำของเราที่ตรง(เป็นจริง) กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง อาจหลงลืม ผิดเพี้ยนไป ยกตัวอย่างเช่น...


    ในเหตุการณ์จริง หมอสุวิ พูดว่า เออ...เก่งจังวุ้ย ตามทันหมอด้วย


    แต่เมื่อกาล เวลาผ่านไป ยัยกะทิ เธอจำคับคล้ายคับครา ว่าหมอได้ชมยัยกะทิ แต่จำไม่ค่อยได้ว่า พูดตรงเปี๊ยบว่ากระไร ก็จะมาเล่าให้พูดอ่านฟังว่า


    ในนิทาน ยัยกะทิเขียน >>> หมอสุวิ พูดว่า เออ...เจ๋งมาก ตามหมอทันด้วย


    ความต่างของการเล่าเรื่อง กับนิทานคือ การเล่าเรื่อง ถ้าเราเล่าเพี้ยน มันอาจเข้าข่ายกลายเป็นผิดศีล ข้อ มุสาวาทา ได้ไหม?


    แต่ถ้าเขียนเล่าเป็นนิทาน ซึ่งตรงกับภาษาอังกฤษที่ว่า Once upon a time กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว เนี่ย การเล่านิทาน ก็ยังคงเป็นแค่ "นิทาน" เพียงเรื่องหนึ่งที่อาจเป็นจริง หรือมีเคล้าโครงความเป็นจริง หรือเป็นเพียงจินตนาการ เป็นนิมิต ที่การได้รับการรีเช็คแล้ว หรือยังไม่ได้รีเช็ค ว่าสิ่งที่เราเห็น และนำมาเล่านั้น เป็นเพียงแค่จินตนาการ หรือ เป็นนิมิตที่เราได้เห็นมาจริง เป็นอย่างนั้นจริงๆ ใช่ไหม?


    นี่คือความแตกต่างของการเล่าเรื่อง กับการเล่านิทาน ในความรู้สึกของยัยกะทิเธอค่ะ


    เดี๋ยวจะมาเล่าต่อนะคะ

    แต่ผู้อ่านยังจำได้(ไม่ลืม)ใช่ไหมคะว่า มารแลอสูรก็มีลักษณะนิสัยคล้ายมนุษย์นั่นแหละ คือมีทั้งที่ดี และไม่ดี จุดนี้คงยังจำกันได้ใช่ไหมคะ?
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2015
  13. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ยัยกะทิเธออ่านข้อความนี้แหล้วเห็นว่าน่าสนใจค่ะ และตรงกับหลักการพัฒนาตนเองของเธอด้วย เธออ่านแล้วรู้สึกได้ว่า ผู้เขียนเล่า มีหลักคิดได้ลึกซึ้ง ละอียด "ถี่ถ้วน" มากกว่าเธอซะอีก


    *‎แม่คะทำไมพี่เขาไม่มีรถ‬?*


    เมื่อวานนี้หมอไปรับลูกที่โรงเรียน ขณะเรากำลังขึ้นรถกลับบ้าน ลูกสาววัยสองขวบกว่าก็ถามขึ้นว่า


    "แม่คะ ทำไมพี่เขาไม่มีรถมารับล่ะ?"


    หมอมองตามไปก็เห็นเด็กชายที่โตเกือบเข้าวัยรุ่นกำลังขึ้นนั่งซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์รับจ้างที่มารอรับ


    หมอพบว่า "คำตอบ" ที่หมอจะตอบลูก ในจังหวะตรงนั้นมันท้าทายตัวเองมากเลยค่ะ
    ยิ่งเจอประโยคต่อมาของเด็กหญิงวัยไร้เดียงสา "พี่เขาไม่มีรถมารับเหมือนเบเน่"
    อืมม หมอควรจะตอบเขาว่ายังไงดี...


    "ทำไมคนอื่นไม่มีรถมารับ?"


    "เขาคงมีแหละลูก โรงเรียนนี้ไม่มีรถคงมาเรียนไม่ได้หรอก"


    ประโยคที่หมอคงเผลอสอนเรื่องมาตรฐานสังคมที่สูงส่ง แถมสอนว่าเราและใครๆ ก็ต้องมีอะไรที่ไม่ต่างกัน


    "อืม เห็นมะล่ะ หนูโชคดีกว่าพี่เขาเยอะเลยน้า มีรถมารับสบายเลย"


    ประโยคที่อาจจะทำให้เกิดความภาคภูมิใจหรือรู้สึกว่าตัวเองโชคดี...แต่โดยการที่ต้องเหยียบหรือเทียบกับคนอื่น


    "อืม พี่เขาน่าสงสารจังนะ ไม่มีพ่อแม่มารับ ดูสิต้องนั่งมอเตอร์ไซด์รับจ้าง"


    ประโยคที่อาจจะฟังเหมือนสอนให้ลูกเห็นใจและสงสารคนอื่น แต่...ความต่างกันหรือการนั่งมอเตอร์ไซด์ มันไม่ใช่เรื่องที่ลูกต้องไปสงสารหรือเวทนาใคร (เพราะไม่งั้นชีวิตข้างหน้าอีกยาวไกล ลูกอาจจะกลับมารู้สึกอายหรือสงสารตัวเอง)
    ตอนนั้นเท่าที่คิดได้หมอเลยตัดสินใจบอกกับลูกไปง่ายๆว่า


    "พ่อแม่ ก็มีทั้งคนที่มีรถและไม่มีรถมารับลูกจ้ะ"


    "บางคนก็มีความจำเป็นต้องใช้รถมารับลูก"


    "บางคนก็อาจมีรถ แต่คิดว่าลูกก็เก่งพอที่จะเดินทางด้วยตัวเองได้แล้ว"


    "บางคนก็อาจจะไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อรถมาใช้"


    "บางคนก็อาจจะมีเงิน แต่ไม่ได้คิดว่าการมีรถเป็นเรื่องจำเป็น"


    "เราทุกคนไม่เหมือนกัน และไม่ต้องเหมือนกันจ้ะ"


    "ตอนนี้หนูมีแม่มารับ แต่พอหนูโตอีกหน่อย เราอาจจะลองกลับบ้านด้วยรถตุ๊กๆ หรือรถเมล์กันบ้างก็ได้นะ"


    "เบเน่อยากนั่งตุ๊กๆ"


    "อืม แม่ว่ามันก็น่าสนุกดีนะ"


    "เอ แล้วอย่างวันนี้ฝนตก แล้วตอนนี้แม่มีรถ ถ้าเราเจอเพื่อนที่ต้องเปียกฝนเพราะนั่งรถมอเตอร์ไซด์ เราจะทำยังไงดีล่ะ?"


    "เราก็ชวนเขาขึ้นรถมามี้ไปด้วยยยย"


    "ดีมากเลยจ้ะ ลูกแม่มีน้ำใจมากเลยนะ"


    หมอก็ไม่คิดว่าเด็กสองขวบจะเข้าใจอะไรลึกซึ้งมากมายในคำตอบหรอกค่ะ แต่หมอเชื่อว่า


    1. คำตอบของพ่อแม่ หลายครั้งมันจะกลายเป็นรากฐานการมองสิ่งต่างๆ ของชีวิตลูก

    2. การสอนลูกว่า "มีไม่เหมือนคนอื่น" เป็นเรื่องน่าสงสาร คือการสอนที่น่ากลัว

    3. การสอนว่า "เราช่างโชคดี" เพราะได้มีเหนือคนอื่น ก็เป็นการสอนที่ไม่น่าให้อะไรกับการพัฒนาทางใจของลูกเช่นกัน

    4. การสอนว่า "เราทุกคนล้วนแตกต่าง" คือรากฐานการทำความเข้าใจ ความเป็นไปของโลกใบนี้

    5. บางทีชีวิตดีๆ... ก็อาจได้มาจากการแค่รู้บทบาทของตัวเองว่าเมื่อไหร่ควรช่วยเหลือคนอื่น ไม่ใช่การคอยมองชีวิตของคนอื่น


    รักลูก... ช่วยลูกให้เข้าใจ "ความแตกต่าง" ด้วยการ "ไม่ต้องตัดสิน" ดูนะคะ
    หมอเชื่อว่านี่จะเป็นรากการคิดที่สำคัญของการมองอะไรในโลกใบนี้จริงๆ ^^

    ที่มา : Fb ‪#‎หมอโอ๋เพจเลี้ยงลูกนอกบ้าน‬

    ผู้พบว่าการตอบคำถามลูกเป็นอะไรที่ท้าทายสติมากๆ ^^"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 ตุลาคม 2015
  14. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    ไปอ่านหัวข้อ "นวัตกรรม 3G และ 4G" มาค่ะ พบข้อความตอนหนึ่งของบทความนี้ที่เขียนได้น่าสนใจมาก แม้อาจจะอธิบายในความหมายของธรรมะไม่ได้ละเอียด โดยเฉพาะการยกคำว่า อกาลิโก มาเขียนถึงเอาไว้เพียงผิวเผิน (ไม่ได้เข้าถึงในเบื้องที่ลึกซึ้ง ซึ่งมีมิติที่ลึกกว่านี้) แต่ก็ถือว่าจับนำประเด็นระหว่างทางโลกและทางธรรมมาเขียนเชื่อมกันได้อย่างน่าสนใจฝุดๆ


    3G มาไม่ทันไร 4G ก็ออกมาอีกแล้ว แต่มีเทคโนโลยีหนึ่งที่ไม่เคยเก่าและไม่เคยตกรุ่นเลย อีกทั้งยังเป็นสุดยอดเทคโนโลยี สุดยอดนวัตกรรม จะกี่หมื่นกี่แสนล้านปีก็ยังใหม่อยู่เสมอ หรือจะต่อไปในอีกแสนล้านปี ก็รับประกันได้ว่ายังใหม่เสมอ นั่นก็คือ ตัวของเรานี่แหละ ซึ่งประกอบด้วย กายกับใจ นี่คือสุดยอดนวัตกรรมสุดยอดของโลกที่จะหาใดมาเปรียบ ไม่ว่าเทคโนโลยีใดก็ไม่สามารถบรรลุธรรมได้


    เพราะการบรรลุธรรมนั้นต้องอาศัยกายมนุษย์เท่านั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ต้องมาเกิดบนโลกได้กายมนุษย์ แล้วบำเพ็ญเพียรจึงจะบรรลุธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้


    เทคโนโลยี 3G หรือ 4G นั้นแม้จะมีความเร็วมากมายเพียงใด ก็เป็นเพียงความเร็วในการส่งข้อมูล เช่น ดาวน์โหลดหนังเรื่องหนึ่งในเวลาเพียงแค่ไม่กี่นาที แล้วเราต้องใช้เวลาเท่าไหร่ในการนั่งดูหนังเรื่องนั้น 3G หรือ 4G เป็นพียงเทคโนโลยีที่มีความเร็วในการรับส่งข้อมูล แต่ไม่เคยมีใครเอ่ยถึงความเร็วในการรับรู้ข้อมูล


    เช่น เราโหลดหนังเรื่องหนึ่งใช้เวลา 2 นาที แต่เราต้องใช้เวลาในการดูถึง 2 ชั่วโมง จะทำให้การดูเร็วขึ้นโดยการเพิ่มความเร็วก็ไม่ได้ เดี่ยวตาลาย งงเอา


    แต่ถ้าเป็นเทคโนโลยีทางใจแล้วล่ะก็จะข้ามพ้นขีดจำกัดตรงนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่าเป็นอกาลิโก คำว่าอกาลิโก มีความหมาย 2 นัยคือ นัยแรก หมายถึง ความเร็วในการรับส่งข้อมูลต้องบอกว่าไร้ขีดจำกัด


    ยกตัวอย่างเช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงระลึกชาติได้ไม่มีที่สิ้นสุด แว๊บเดียวก็สามารถระลึกได้ไม่รู้กี่พันชาติ อีกทั้งการรับส่งข้อมูลและการรับรู้ข้อมูลประสานเป็นเนื้อเดียวกัน 3G หรือ 4G ทำอย่างนี้ได้รึเปล่า อีกนัยหนึ่งคือว่า สามารถรับรู้ได้ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ซึ่งด้านนี้ยังไม่มีเทคโนโลยีใดสามารถทำได้เลย นี่แหละ อกาลิโก


    ที่มา บทความส่วนหนึ่งจาก : 4G เทคโนโลยีใหม่มาแรง 3G และ 4G ต่างกันอย่างไร / 3G และ 4G เทคโนโลยีใหม่มาแรง 4G เทคโนโลยีใหม่มาแรง 3G และ 4G ต่างกันอย่างไร
     
  15. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    น้องๆ เด็กวัดภาษีเอกมัยขอให้ช่วยมาประกาศค่ะ

    ขอเชิญร่วมบริจาคโลหิต วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน 2558

    เวลา 8.30-12.00 น. ณ.โรงเรียนแจ่มจัทร์ (ใกล้ๆ ติดกันกับวัดหนะค่ะ)

    สามารถเดินทางเข้าทางซอยเอกมัย 21 หรือ ทองหล่อ 20 ได้ค่ะ

    ติดต่อสอบถามเพิ่มเติม : พระมหางามพล 083-2774760 หรือน้องเบลล์ 085-3515212 ค่ะ
     
  16. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    เมื่อวานไปร่วมกฐินพิเศษ เพราะเป็นงานกฐินสัมพันธภาพพระศรีลังกา+พระไทย (เฉพาะวัดภาษีเอกมัย) ครบรอบ 60 ปี

    งานนี้จึงกลายเป็นงานใหญ่ มีผู้ว่าการเขตวัฒนามาร่วมเป็นประธานในพิธีด้วย ทหารก็มาช่วยดูแลความปลอดภัยด้้วยค่ะ

    มีชาวศรีลังกาหลายครอบครัว จำนวนมาก เดินทางมาจากประเทศของเขา ทั้งครอบครัว ลูกก็เอามาด้วย แสดงให้เห็นถึงความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา

    เด็กๆ ศรีลังกาแปลกมา สังเกตว่าจะไม่วิ่งเล่นซนเหมือนเด็กไทย แต่สามารถนั่งนิ่งๆ ได้ในที่ของตัวเอง

    งานนี้ยัยกะทิเธอก็ช่วยโน่นนี่นั่น ตามประสาคนอยู่นิ่งไม่เป็น และตอนท้ายได้เชิญเด็กชายศรีลังกา 3 คน อายุประมาณ 7-9 ขวบ มาร่วมถวายผ้าชุดสงฆ์ ให้กับพระศรีลังกาด้วย

    แบบว่าตอนที่เรียกพวกเขา แปลกมากที่เด็กยิ้ม หน้าบานเลยอะ (ถ้าเป็นเด็กไทยในความคิด จะยิ้มหน้าบานอย่างนี้ไหม ถ้าเราเรียกมาให้ประเคนผ้า พร้อมเราหนะค่ะ)


    หลังจากพระรับกฐินเสร็จก็มีการทำโรงทานด้วย ยัยกะทิก็ไปวุ่นช่วยตักอาหารแจก ชาวศรีลังกาไม่กินเนื่อเลยค่ะ แม้แต่เนื้อไก่ ส่วนใหญ่แทบจะไม่แต่ อาหารที่พวกเขาดูจะรับประทานเป็นปรกติ รวมดูแล้วน่าจะชื่นชอบด้วย นั่นก็คือ ผัก และผลไม้

    พวกเขาสามารถกินผลไม้แทนมื้ออาหารกลางวันได้อย่างน่าชื่นตาบาน(แบบทำเอาข้าเจ้า งง อะนะคะ) แม้จะมีโรตี ก๋วยเต๊๋ยว ซุปต่างๆ อยู่หลายซุ้มด้วย

    และหลังจากจบงาน พ่อของเด็กชายคนหนึ่งที่เราเรียกให้ลูกชายของเขาไปถวายผ้า ก็อยากให้ยัยกะทิถ่ายรูปกับลูกของเขาด้วย


    แต่ยัยกะทิลืมกล้องของตัวเอง ไม่งั้นคงได้มีภาพมาฝากค่ะ


    เขียนมาเล่าเพื่อให้ร่วมอนุโมธนาบุญในการทอดกฐินของยัยกะทิ และผู้คนสาธุชน ฆราวาส ที่มีจิตตั้งใจจริง(ขนาดบินมากันทั้งครอบครัว ชาวศรีลังกา) และชาวไทยที่ร่วมใจกันทำโรงทาน ภายในงานเมื่อวานนี้ค่ะ
     
  17. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    เอาบุญมาฝากท่านอาจารย์ suwi(ทุกท่าน) คุณกะทิ และเพื่อนๆครับ วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน 2558 ที่ผ่านมา ผมและภรรยาได้ไปร่วมงานทำบุญกฐินที่วัดหลวงพ่อสดธรรมกายารามเป็นครั้งแรก ได้มีโอกาสร่วมบุญหลายประการทั้งบุญกฐิน บุญสร้างพระเหล็กไหล 3 องค์หน้าตัก 19 นี้ว เป็นการหล่อพระ 3 พี่น้อง จากเหล็กไหล 3 ชนิด(องค์ละชนิด) คือ เหล็กไหลวัชรธาตุ เหล็กไหลเงินยวงและเหล็กไหลสุริยันราชาครับ และบุญสร้างฐานรองพระนั่งเมืองแก้วองค์ใหญ่ ตอนไปทำบุญสร้างพระเหล็กไหลนั้น มีพานเหล็กไหลทั้งสามชนิดให้จบอธิษฐานด้วย ผู้ที่มีสมาธิดีเล่าว่าแค่พอไปไกล้ก็รู้สึกว่ามีพลังร้อนวูบขึ้นมาเลย ส่วนภรรยาเล่าว่าทั้งขนลุกและตัวชาไปเลย (ยกเว้นผมที่สัมผัสพลังอะไรกับเขาไม่ได้) ก็ได้ทำบุญกันตามกำลังและได้โมทนาบุญกับเจ้าภาพใหญ่ๆมาหลายท่าน นับว่าการตัดสินใจมาทำบุญที่วัดวันนั้นโชคดีเป็นที่สุด ผมจึงมาแจ้งให้ทราบเพื่อให้ทุกๆท่านมาร่วมโมทนาบุญด้วยกันครับ

    สำหรับภาพเหล็กไหลและรายละเอียดของการสร้างพระอ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.facebook.com/bokbunsangpra/posts/1052760998067621
     
  18. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    กะทิ อนุโมทนา "สาธุ" กับคุณ aries และครอบครัวของคุณ aries ด้วยค่ะ

    ยัยกะทิเธอไม่ได้สัมผัสพลังจากเหล็กไหลมานานแล้วอะนะคะ ดังนี้จึงรีบกดเข้าไปดูลิ้งก์ภาพที่คุณ aries แนบมาด้วย


    สำหรับผู้ที่อ่านท่านอื่น ลองสัมผัสพลังจากภาพ ก็จะพบว่ามีพลังอยู่ด้วยเช่นกันค่ะ ไม่จำเป็นว่าเราจะต้องเห็นของจริงจะๆ เช่นที่คุณ aries ได้เห็นมา เพียงภาพตามลิ้งก์ ก็สัมผัสพลังได้ใกล้ของจริงอะนะคะ
     
  19. aries

    aries เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    1,404
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,211
    ผมขอฝากกระแสบุญที่กล่าวมานี้ให้ท่านเทพผู้ให้พรอันประเสริฐที่คุณกะทิเคยกล่าวถึงด้วยนะครับ ^_^
     
  20. atidtarn

    atidtarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    637
    ค่าพลัง:
    +4,168
    สาธุค่ะ

    ท่านเทวดา ที่คุณ aries กล่าวถึงนั้น ตัวท่านเองตอนนี้ก็ไม่ค่อยสู้ดี มีการลี้ภัย หลีกภัยหลายครั้ง ทุกอย่างบนโลกอาจดูปรกติสุข มีผู้บริหารประเทศพี่ไทย ควบคุมให้ดำเนินไปราบรื่น


    แต่ในทางมิติอื่นแล้ว ไม่ได้เป็นไปอย่างนั้น พี่ไทยประสบปัญหาคอรับชั่นอย่างไร ทางมิติอื่นก็เกิดความวุ่นวายด้วยวิธีฉ้อฉลในทางอื่น(ที่ไม่ใช่เงินใต้โต๊ะอะนะคะ) แต่เป็นการสร้างกรรมทางอื่น เข้ามาเบียดเบียน แทรกแซง ทั้งกับมนุษย์ผู้มีบุญ และกับเทวดาทั้งหลายที่พยายามรักษาคุณความดีให้อยู่บนตาชั่งที่เที่ยงตรง ด้วยวิธีการพลิกแผลงต่างๆ



    และเพราะความฉ้อฉล บิดเบือด ก็ทำให้บุญของใครหลายคนถูกบิดเบือน ทำบุญทำดี อาจไม่ได้รับผลอันนั้น ประมาณนี้ เล่นกันประมาณนี้แล้วเลยอะนะคะ


    ดังนี้ เทวดาที่พยายามรักษาตราชั่ง จึงมีหลายท่านที่อาจ.... และจำต้องรักษาตนบ้าง ลีกภัยบ้าง เป็นต้นค่ะ


    กะทิเธอพยายามจะไม่นำมาเล่า เพราะบางท่านอ่านแล้วอาจคิดจนฟุ้ง(ซ่าน) เรื่องบางเรื่องถ้าหมอสุวิไม่อนุญาติให้นำมาเล่า กะทิเธอก็ไม่อาจก้าวก่ายได้ เพียงแต่เล่าคร่าวๆ เพราะว่าคุณ aries ถามถึงท่าน และอุทิศบุญให้ท่านมานะคะ


    กะทิเธอก็เลยจะเล่าสภาพที่กะทิเธอเห็นท่าน ณ ปัจจุบันให้ฟัง และเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้อง(พอเล็กน้อย) ให้คุณ aries และผู้อ่านได้พอทราบกัน


    ซึ่งหมอสุวิเอง เมื่อ 2-3 วันก่อนหน้านี้ ก็ได้สอบถาม รีเช็ค/ดับเบิ้ลเช็ค กับกะทิเธอ ว่ายังเห็นท่านอยู่ดีหรือไม่?


    กะทิเธอก็ตอบไปตามที่ได้เห็นให้หมอสุวิท่านฟังอะนะคะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 พฤศจิกายน 2015

แชร์หน้านี้

Loading...