เรื่องราวที่คนทั่วๆไปไม่ค่อยรู้

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Aunyasit, 26 สิงหาคม 2005.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. ปราบไตรจักร

    ปราบไตรจักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +104
    เกษียรสมุทร ปัจจัย 800,000บาท หายไปไหนหมด ถามท่านตู่ด้วยเด้อ... เอาไปทำอะไรกันกับปัจจัย จำนวนนี้

    ลูกศิษย์พระตู่ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็อย่างเกษียรสุมรกันทุกคนหรือเปล่าครับพี่น้อง...ช่วยพิจารณาทีครับพี่น้อง....

    เล่นเกม ตาต่อตา ฟันต่อฟัน ดีกว่ามั้ย...สมุทรเกษียร...555555

    โอ๊ยกลัว....คุณจังเลยยยยยย กลัวเป็นบาปกรรมด้วย 55555

    จะให้แฉเรื่องเงิน 800,000 บาทดีมั้ยครับพี่น้อง
     
  2. narit108

    narit108 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +16
    55555 บาปไตรจักร 55555
     
  3. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    หลวงปู่ท่านละสังขารเมื่อเวลาประมาณสิบโมงเช้า เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2544 ณ สถานที่ตรงที่หลวงปู่ท่านนั่งรับญาติโยม ในวันงานบุญสำคัญๆ ซึ่งอยู่ตรงหน้าประตูเข้า-ออก กุฎีของหลวงปู่ ซึ่งเป็นตำแหน่งเดียวกันกับที่สังขารท่านตั้งอยู่ในปัจจุบันนี้ แต่เดิมตรงบริเวณนี้เป็นที่ว่าง ด้านหลังมีห้องเก็บเครื่องบูชาต่างๆและมีห้องส้วมหนึ่งห้อง ผมและคณะฯ ช่วยกันขุดถวาย จำได้ว่ามีวันหนึ่งหลวงปู่ท่านเทศน์ให้ฟังเรื่องของการขุดส้วมถวายวัด ท่านชี้ไปด้านหลังว่าใครอยากได้อานิสงส์บุญกุศลการสร้างส้วม ก็ให้ขุดห้องส้วมถวายในห้องด้านหลังที่ท่านนั่ง ผมจึงตัดสินใจรับอาสาทำส้วมให้ท่านทันที ทำกันตั้งแต่บ่ายไปเสร็จประมาณเที่ยงคืน ก็เดินทางกลับกรุงเทพฯ

    ในขณะเวลาที่หลวงปู่ท่านละสังขาร ผมอยู่ที่กรุงเทพฯ เมื่อทราบข่าวจึงได้ตระเวนหาซื้อโลงแก้วที่กรุงเทพฯเป็นเวลาสองวัน วันที่สามจึงได้นำโลงแก้วไปบรรจุสังขารของท่าน ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 4 ปัจจัย(เงิน)ที่นำมาซื้อโลงแก้วและโต๊ะบูชาประดับมุกนั้น ส่วนใหญ่มาจากปัจจัยที่ผมและคณะฯได้ไปทอดกฐินถวายท่าน เป็นระยะเวลา 2 ปีก่อนที่ท่านจะละสังขารและผมได้เปิดบัญชีธนาคารร่วมกับหลวงปู่ไว้ จำนวนหลายแสนบาท เมื่อท่านละสังขาร ก็ได้นำปัจจัยดังกล่าวทั้งหมดมาซื้อ/ทำสิ่งต่างๆถวายหลวงปู่

    ภาพสังขารของหลวงปู่นอนอยู่ในมุ้งก่อนบรรจุโลงแก้ว และภาพเมื่อบรรจุโลงแก้วและภาพสานุศิษย์บางส่วนของท่าน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • A10.JPG
      A10.JPG
      ขนาดไฟล์:
      86 KB
      เปิดดู:
      75
    • A9.JPG
      A9.JPG
      ขนาดไฟล์:
      71.4 KB
      เปิดดู:
      58
    • A8.JPG
      A8.JPG
      ขนาดไฟล์:
      76.4 KB
      เปิดดู:
      79
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2007
  4. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    ภาพม้าแก้วมณีกาบส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นสื่อแห่งความสำเร็จของพระศรีฯ รวมทั้งเป็นสื่อแห่งความสำเร็จในการสร้างพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ด้วยครับ

    สำหรับม้าแก้วมณีกาบนั้นตามทำบารมีกับหลวงปู่ทองทิพย์มาตั้งแต่ยุคที่หลวงปู่ท่านใช้ชาติเป็นการเกด ครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • X1.JPG
      X1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      53.5 KB
      เปิดดู:
      57
    • X2.JPG
      X2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      52.3 KB
      เปิดดู:
      45
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2007
  5. ปราบไตรจักร

    ปราบไตรจักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +104
    narit ไม่ต้องหัวเราะหรอก ปัจจัย 800,000 บาทนะมีมูลความจริง ถูกแบ่งออกเป็นสามส่วนไม่ใช่หรือ 300,000บาท 100,000 และ 400,000บาท ปิดบัญชีวัดกันเองมิใช่หรือ เงินที่ได้รับบริจาคมามิใช่หรือ

    หายไปไหนหมดละ เงินที่ได้จากผ้าป่าบูรณะพระธาตุ
     
  6. จักร

    จักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +432
    ผมขอตอบ แทนคุณ narit108 เลยครับว่า เท่าที่เห็น จะเงิน 8 แสน หรือเท่าไรอีก ก็คงมาเป็นสิ่งที่อยู่ในวัดนั้นแหละครับ เห็นหลวงพ่อมีอุดมการณ์สร้างสรรค์พัฒนาวัดอย่างนี้ คิดๆ ดู ผมว่า 8 แสนคงน้อยไปน่ะครับ อย่างต่ำคง 4 - 5 ล้านแล้วล่ะ แค่ค่าไฟฟ้านะ วันนั้นท่านเอาบิลให้ผมดูเป็นชุด ก็ตกเดือนละ 4-5 พันกว่าบาทแล้ว
    คุณ ๆ ทั้งหลายครับ ทำทานกับสงฆ์ตัวแทนพระพุทธเจ้าแล้วจงอย่าติดในทรัพย์นั้นเลยครับ หวงกันเข้าไปมันอาจไม่ถึงบุญนะ
    แค่อดีตนิทานที่อาจารย์ผมสอนมา ว่าอดีตมีพระสงฆ์หวงผ่าจีวรของตน พอถวายให้พระรูปอื่นไปใช้ก็ยังหวงอยู่ จากนั้นพอตนตายลง บาปกรรมที่หวงผ้าจีวรนั้นจึงไปเกิดเป็นตัวไร คอยกัดผู้อื่นที่ใช้จีวรนั้นเรื่อย นี่ขนาดเป็นพระนะ แล้วเรา ๆ ศีล 5 บางวันก็ยังไม่ครบ ก็ขอให้มีธรรมของผู้ทำทานกันด้วยครับ
    ทานกับใครก็ให้ทำด้วยศรัทธา หากไม่ศรัทธาก็ไม่ต้องทำ ทำไปแล้วก็ไม่ต้องหวง พระจะเอาไปเผามันก็เรื่องของพระนะครับ เพราะ "ทาน จะสอนให้เราสละจากทรัพย์ ไม่ตระหนี่ ถ้าเราทานโดยเลิกตระหนี่หวงแหนได้นั้น จึงจะเรียกว่าปรมัตทาน"
    (ป.ล. ใครที่เข้าใจก่อนแล้วก็ขอโทษนะครับที่ผมสอดแทรกความรู้)
     
  7. จักร

    จักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +432
    และทานกับโยม หรือทานกับพระ อย่างไหนที่จะได้อานิสงส์มากกว่ากัน อันนี้ใคร ๆ ก็รู้
     
  8. จักร

    จักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +432
    เรื่องทานอีก(ที่บริสุทธิ์)
    สมมุติว่า เราสร้างสิ่งของราคา 2 พัน บาท แต่เราบอกบุญคน แล้วคนร่วมบริจาคมา 5 พันบาท ...แล้วเราไปถวายพระแค่ 2 พันนั้น ส่วนที่เหลือถ้าไปหักเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเช่นค่าน้ำมันรถ ค่าพิมพ์ซอง ฯลฯ นั้นถือว่าเราผิดนะครับ
    ที่ถูกคือ ไม่ว่าจะได้เงินจากการบริจาคมาเท่าไร ก็ให้ถวายพระไปทั้งหมด ดังตัวอย่างข้างต้นนี้ก็ให้ถวายไปทั้ง 5 พันบาทเลย จึงจะถือว่าบุญนั้นบริสุทธิ์
    ขอเอาธรรมนี้มากล่าวให้กับท่านผู้อ่านเป็นความรู้ครับ ใครที่อาจเคยผิดพลั้งเรื่องนี้ไปจะได้เข้าใจให้ถูกครับ
     
  9. จักร

    จักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +432
    continue เพราะมีเหตุ

    ฝากถึงคนที่มีความคิดแบบคุณ ปราบไตรจักร กับคุณอัญญาสิทธิ์<O:p</O:p
    ...ผมไม่ได้เป็นใครที่คุณคิด และสำนวนผมเป็นเช่นนี้เสมอ <O:p</O:p
    วัดป่าสีดา ฯ ช่วงนี้มีคนไปน้อยอยู่แล้ว คุณเป็นคนไกล แล้วมาด่าพระวัดนี้ทำไม คุณไม่อยากให้คนมาทำบุญที่วัดหรือไง โจมตีอาศรมนี้บ่อย ๆ ที่นี่อาศรมอะไรคุณก็รู้ คนไม่ดีจริงอยู่ไม่ได้หรอก มาก็อาจมาไม่ได้นะ มันจะดูว่าไกล และมายากเย็นเหลือเกิน และคุณทวงบุญคุณเหลือเกิน จะเงินทองที่คุณบอกว่าไปซื้อโลงแก้ว ต่างๆ ก็เอาไปจากพระตู่แหละ ช่วงนั้นประมาณล้านห้าแสนบาท พระให้แต่เงินไป แต่คุณไปติดต่อจัดซื้อเองทั้งนั้น พวกที่คุณว่าเป็นค่าดำเนินงานน่ะ คุณเอาไปใช้เองบ้างไหมล่ะ เรื่องส่วนตัวของคุณผมก็รู้มากนะ ก็ผมเคยร่วมผจญทุกข์สุขกับคุณมานาน แต่ผมไม่อยากแฉ มันเป็นสันดานที่ไม่ดีเลย หากผมเห็นปราบไตรจักรป้ายสีคนอื่น ไม่จริงทั้งนั้น แล้วผมไปทำตาม ...ผมก็ไม่อยากทำอย่างนั้นกับคุณนะครับ<O:p</O:p

    พวกคุณใช้สื่อ เป็นอาวุธในยุคนี้ทิ่มแทงพระสงฆ์อันเป็นดุจบุตรของพระพุทธเจ้า ไม่อยากให้คนไปทำบุญที่วัด แล้วดึงศรัทธาเงินตรามาเข้าที่พวกคุณอันเป็นโยมเอง กลัววัดแย่งเงินคนสร้างพระของคุณกันเหรอ ? แต่สุดท้ายคุณก็อยากเอาพระแก้วฯ มาไว้ที่วัด ก็เลยพิมพ์ให้ดูเหมือนหลวงพ่อเลวซะเลยใช่ไหม จะได้ข้ามหัวท่านเรื่องเอาพระมาถวายไปเลย หลวงพ่อน่ะไม่มีเครดิตจะเสียหรอก ท่านไม่ได้โด่งดังอะไร พวกคุณตะหากที่กลัวจะเสียเครดิต กลัวจะหาเงินไม่ทันวันหล่อพระ ใครทักท้วงหน่อยก็ร้อนรน... วัดไม่ง้อหรอก เขามีแต่เป็นห่วงคุณมาตลอด ไม่อยากให้คุณหลงตัวเองจนเพ้อเจ้า คนทำบุญควรอ่อนน้อม <O:p</O:p

    ตอนนี้หลวงพ่อพาสร้างวิหารครอบศพหลวงปู่อยู่ คุณคิดว่าไม่ถูกใน Image ของคุณ แล้วไม่ช่วย ก็เรื่องของคุณเถอะ อย่าคิดนะว่าวัดไม่มีพวกคุณแล้วอยู่ไม่ได้ เขาอยู่ได้มาตั้งนานแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณเคยถวายเข้าวัดต่างๆ ผมก็เคยร่วมแทบทั้งนั้น มันดีที่มันศีกดิ์สิทธิ์ในเบื้องหน้า แต่เคยมองย้อนถึงไหมว่ามันต้องมีเบื้องหลังด้วย คือการบำรุงรักษา(Maintanance) สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ก็ไม่ต่างกับมีชีวิต ต้องมีอาหาร ค่าน้ำค่าไฟ มันคือบารมีในการรับผิดชอบดูแลรักษาพระพุทธศาสนา คนอื่นคณะอื่น ๆ เขามาอุปถัมภ์วัดนี้มากกว่าคุณอีกนะ เป็นหลักแสนหลักล้าน ไม่ได้โดนบังคับนะ มีจริง ๆ คุณลืมตามองท่านอื่นเหล่านั้นหน่อยนะครับ หรือช่วงหลังคุณอาจไม่เคยรับรู้เลย เพราะถอดใจจากวัดไปแล้ว สร้างพระเจ้า 5 พระองค์น่ะมันดี แต่อย่าลืมคุณของวัดสิ ผมยังอายแทนคุณเลย ผมเชื่อว่าสมดุลของระบบมันมีอยู่
     
  10. ปราบไตรจักร

    ปราบไตรจักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +104
    โอ้...พวกบารมีมากมาย...39...narit...อบ...ศิวดล

    มีดีอะไรกันพอที่จะเชื่อถือพวกคุณได้...แค่ภาษาที่พวกคุณใช้กันตั้งแต่แรกก็ไม่น่าเชื่อถืออยู่แล้ว...อย่าบิดเบือนความจริงเลย

    พระชื่ออะไรที่นครพนมที่บอกว่าเอาชื่อหลวงปู่มาหากิน...โมเมหรือเปล่า...

    น้ำ...มันกำลังลด ตอก็โผล่...ให้เห็น...วิ่งกันวุ่น แก้ตัวไปเรื่อย...ข้างๆคูๆ

    โอ้ย...อ้างว่าเป็นพระ...รู้แก้ใจตนอยู่แล้วว่าอะไรเป็นอะไร...

    ถ้านับถือเคารพ บูชาหลวงปู่จริงๆแล้ว...ทำไมที่บริเวณโลงแก้วรกยังกะรังหนูละ มืดก็มืด...จะเข้าไปกราบสักการะ ก้ต้องขออนุญาตก่อน...ทำไมที่วัดอื่นถึงไม่เป็นอย่างนี้...เคยไปวัดหลวงพ่อพูลมั้ย...ผู้คนเข้าไปกราบสักการะได้ทุกคน เป็นที่เปิดเผยได้...ปกปิดอะไรกันไว้...กลัวผู้คนเห็นอะไร....

    ใครทำอะไร...อย่างไร...เป้นที่รู้แก่ใจตนเองอยู่แล้ว...อบ...39...narit
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มกราคม 2007
  11. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    อบ...เจอปู่ฤทธิ์ว่าให้เลยเครียดจัดล่ะสิ อ่านดูจากข้อความที่ว่า "เงินทองที่คุณบอกว่าไปซื้อโลงแก้ว ต่างๆ ก็เอาไปจากพระตู่แหละ ช่วงนั้นประมาณล้านห้าแสนบาท พระให้แต่เงินไป แต่คุณไปติดต่อจัดซื้อเองทั้งนั้น พวกที่คุณว่าเป็นค่าดำเนินงานน่ะ คุณเอาไปใช้เองบ้างไหมล่ะ " อบคิดเองหรือว่าหลวงพี่บอก ถ้าหลวงพี่บอกก็แสดงว่าพระพูดเท็จ ถ้าอบคิดเองก็แสดงว่ามั่วข้อมูล เพราะว่าตอนที่เขาไปส่งโลงแก้วที่วัดฯนั้น เงินยังอยู่ในบัญชีธนาคารยังไม่ได้เบิกมาจ่ายเขาในตอนนั้น เพราะว่าคนเบิกเงินจากธนาคารคือพี่เอง ตัวพี่ยังไม่ถึงหนองคายแล้วจะเบิกเงินได้ยังไงล่ะ หลายวันต่อมาพี่จึงไปเบิกเงินที่ธนาคารให้โดยพี่เป็นคนเซ็นต์เบิกเงินเพราะมีชื่อพี่อยู่ ธนาคารจ่ายเงินมาให้ก็ส่งให้หลวงพี่ที่เคาน์เตอร์ธนาคารเพราะไปธนาคารด้วยกัน อบลองไปถามหลวงพี่ดูว่าในบัญชีนั้นมีเงินอยู่เท่าไหร่ และเป็นธนาคารอะไร(พอดีจดตัวเลขไว้ เลยพอจะมีหลักฐานยืนยันเพราะรู้ว่าแต่ละปีทอดกฐินถวายหลวงปู่ได้เงินเท่าไหร่) ไปขอหลวงพี่ดูใบเสร็จการจ่ายเงินซะก็แล้วกัน อบจะได้หูตาสว่าง ว่าทั้งโลงแก้วและโต๊ะบูชาประดับมุกนั้น หลวงพี่จ่ายเขาไปรวมกันไม่เกินเจ็ดแสนบาท ท่านเป็นคนจ่ายเงินกับเขาเองทั้งหมด พี่ไม่ได้เกี่ยวข้องในการจ่ายเงินให้ผู้ขาย ดังนั้นการเอาเงินมาใช้เองจึงไม่มี เข้าใจ๋ ตัวเลขล้านห้าที่หลวงพี่บอกมานั้นเป็นตัวเลขหลอกชาวบ้านหรือเปล่า หากอบมากรุงเทพฯ จะพาไปพบกับคนขายโลงแก้ว ถามเขาได้ว่าหลวงพี่จ่ายเงินเขาอย่างไร จ่ายกี่ครั้ง อบรู้ไหม หลวงพี่พูดไม่ตรงกับความจริงบ่อยครั้ง พี่เจอมาหลายครั้งในหลายวาระ จึงค่อยๆถอยห่างออกมา หลวงพี่เหมาะสมกับกับชื่อตู่แล้วล่ะ เป็นปรมัตถ์จริงๆ หากพระสงฆ์จะทำสัจจะบารมี ศีลข้อมุสานี้ต้องไม่มีพลาดแม้แต่น้อย หรือว่าหลวงพี่คุมแค่ปราชิก 4 ศีลข้อมุสาเลยไม่ต้องใส่ใจใช่หรือเปล่า
    สำหรับเรื่องการแต่งขันธ์บอกกล่าวหลวงปู่ในการสร้างพระพุทธเจ้า 5 พระองค์นั้น พี่ทำตั้งแต่รับขันธ์กล่าวสัจจะวาจาสร้างพระฯต่อหน้าหลวงปู่แล้วล่ะ มาวาระหลังๆก็แต่งขันธ์บอกกล่าวหลวงปู่อยู่เป็นประจำ แต่ก็ไม่ได้แต่งขันธ์ให้หลวงพี่เพราะท่านไม่เห็นด้วยและปฏิเสธการสร้างพระฯมาตั้งแต่ต้นแล้ว การอ้างว่าตนเองเป็นบุตรของพระพุทธเจ้าแต่ปฏิเสธรูปเคารพตัวแทนของพระพุทธเจ้านี่มันขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงนะ ความหมายก็คือการปฏิเสธหลวงปู่ทองทิพย์ นั่นเอง
    สำหรับเรื่องผ้าไตรมหากฐินนั้น หลวงพี่นำมาห่มแทนหลวงปู่จริง ก็แกะห่มกันต่อหน้าพวกเราหลังถวายผ้ากฐินเสร็จนั่นแหละ อันนี้พี่จำได้ดีว่าไม่มีการบังสุกุล พี่อธิษฐานถวายหลวงปู่และไม่เคยคิดที่จะถวายหลวงพี่ เมื่อแต่งขันธ์ถวายจะกล่าวถวายผ้ามหากฐินให้แก่หลวงปู่ทองทิพย์ การที่หลวงพี่นำผ้ากฐินไปห่มเสียเองก็ถือว่าผิดเจตนาของผู้ถวายคือตัวพี่ จึงดูว่าหลวงพี่ขาดความเคารพต่อหลวงปู่ การที่หลวงพี่จะทำแทนหลวงปู่น่ะ หลวงพี่มีความดีใกล้เคียงหลวงปู่แล้วหรือยัง การใส่แหวนใส่กำไลน่ะมีบารมีทำได้แบบหลวงปู่แล้วเหรอ
    เรื่องการอ้างคุณของวัด คุณของคนดูแลวัด ฯลฯ นั้น เมื่อคณะทหารนิมนต์สังขารหลวงปู่กลับมาวัด หลวงพี่ก็ตั้งตนเองเป็นผู้ดูแลวัด ตั้งตนเองเป็นใหญ่ในวัดเอง จัดแจงถือสิทธิ์ทุกอย่างในวัดว่าเป็นของตนเองไม่ใช่หรือ เคยให้เกียรติ์ เคยปรึกษากับพระสงฆ์รูปอื่นๆที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่บ้างหรือเปล่าล่ะ หลวงพี่มองว่าลูกศิษย์หลวงปู่ทั้งพระทั้งฆราวาสที่ไม่เห็นด้วยกับตนเองว่าเป็นมารหมด ตัวเองดีคนเดียว ใครอยากได้บุญกับหลวงปู่ก็ต้องมาทำบุญกับตนเอง ใครไม่มาหาตนเอง ไม่มาแต่งขันธ์คารวะตนเองที่ถือว่าเป็นตัวแทนหลวงปู่ก็จะไม่ได้บุญกับหลวงปู่ ใช่หรือไม่ อย่างนี้หลงไปหรือเปล่า หลวงพี่มักกล่าวกับผู้คนและพวกเราก็ได้ยินอยู่บ่อยว่าหลวงปู่ตายในกุฎีอาตมา ท่านจึงเป็นเสมือนสมบัติของอาตมา ก็จะถามว่าหลวงปู่ท่านละสังขารในกุฎีของหลวงพี่จริงหรือ ดูจากภาพแล้วก็จะรู้ว่าไม่ใช่ หลวงพี่มาสร้างคลุมพื้นที่ตรงนี้ทีหลังไม่ใช่หรือ ดังนั้นการกล่าวอย่างนี้จึงเป็นการพูดเท็จต่อสาธารณะ ทำไมไม่บอกความจริงคนเขาไป มันไม่ได้เสียหายอะไรกับการพูดความจริง
    หากหลวงพี่ตู่มีบารมีหรือดีจริง วัดไม่เป็นอย่างที่เห็นตอนนี้หรอกและปัญหาอย่างที่เป็นอยู่ก็จะไม่เกิดขึ้น ที่เป็นปัญหาอยู่ในปัจจุบันก็เพราะไม่ว่าใครจะมาทำอะไรให้กับวัด หากไม่นำเงินมาให้หลวงพี่นำพาทำ หลวงพี่ก็จะขวางเขาไปหมดโดยอ้างว่าทำไม่ถูกสูตรของหลวงปู่บ้าง ทำไม่ถึงหลวงปู่บ้าง เพราะกลัวว่าคนอื่นเขาจะได้บุญบารมีมากกว่าตนเอง เคยมีครูบาอาจารย์บางท่านมาคารวะหลวงปู่ ท่านบอกว่าเข้าไปข้างในวิหารที่จะกราบหลวงปู่ ไปเห็นสิ่งที่รกรุงรังแล้วอึดอัด ท่านบอกกับพี่ว่า "ผู้พัน หากสมภารสกปรก วัดรกรุงรัง" ท่านบอกว่าทำอย่างนี้กับหลวงปู่ อานิสงส์จะลงข้างล่างนะ

    ช่วงที่ผ่านมาได้ถามพระสงฆ์ลูกศิษย์หลวงปู่หลายรูปว่า ท่านไหนจะร่วมทำวิหารหลวงปู่ฯกับหลวงพี่ตู่บ้าง ถามทั้งหลวงพี่ต๋อย หลวงพี่อรุณ หลวงพี่ไหม ไม่มีใครร่วมด้วยกับหลวงพี่ตู่แม้แต่รูปเดียว อบไปถามเหตุผลเอาเองว่าเป็นเพราะอะไร แต่เมื่อบอกท่านว่าคณะพี่จะสร้างพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ถวายหลวงปู่ ทุกรูปก็ตอบรับว่าจะมาร่วมงานหล่อพระฯด้วย อบลองไปพิจารณาเอาเองว่าหลวงพี่ตู่ เป็นพระสงฆ์นำสร้างวิหาร ทำไมสานุศิษย์หลวงปู่เขาไม่ร่วมด้วย แต่พอฆราวาสอย่างคณะพี่ สร้างพระฯถวายหลวงปู่ ทำไมพระสงฆ์เหล่านั้นท่านจึงยินดีมาร่วมด้วย หากกำจัดอคติในใจตนเองได้ อบก็คงจะได้คำตอบ

    เรื่องการสร้างพระพุทธเจ้า 5 พระองค์นี่ไม่ใช่เป็นเรื่องหากินของใครหรอก คนเขาทำบุญทำกุศลไว้ในพุทธศาสนาตามที่หลวงปู่ท่านแนะนำ หากอบจะคิดอย่างนั้นก็เป็นกรรมของอบเองที่ปรามาสหลวงปู่ ก็คิดได้ตามสบายนะ สุดท้ายหลวงพี่ตู่ก็ห่วงว่าตัวเองจะไม่ได้เงินหรือเปล่า ดูนัยยะที่อบเขียนมาแล้วไม่น่าจะแปลความหมายเป็นอย่างอื่นได้เลย หรือต้องการให้มีชื่อหลวงพี่ตู่อยู่ในใบฎีกาบอกบุญด้วย บางทีหลวงพี่อาจจะดีเกินไปที่จะมีชื่อปรากฏอยู่ในใบฎีกาสร้างพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ถวายหลวงปู่เพราะหลวงพี่ปฏิเสธมหากุศลนี้เป็นคนแรกน่ะ และการที่จะให้ผู้อื่นเขานอบน้อมต่อตนเองนั้น หลวงพี่ต้องประพฤติปฏิบัติตนอยู่ในพระธรรมวินัยให้ผู้คนเขาเคารพศรัทธาด้วย หากไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยแล้วคนเขาไม่เคารพศรัทธาก็เป็นเรื่องธรรมดา หากใครคุ้นเคยอยู่ในวัดป่าสีดาฯคงจะเคยได้ยินหลวงพี่ดุด่าว่ากล่าวแม่ตุ๋ยในหลายวาระ หลายครั้งที่ได้ยินคำว่า มึง กู ที่ใช้กับแม่ตุ๋ย ซึ่งเป็นโยมอุปัฏฐากวัด ก็เลยพิจารณาว่าผู้ประพฤติธรรมปฏิบัติกับผู้มีพระคุณรุ่นแม่แบบนี้หรือ ก็ได้แต่สงสารแม่ตุ๋ยน่ะ ความศรัทธาของตนเองจึงค่อยๆจางหายไปกับกาลเวลา

    เอาเป็นว่าเรื่องการทำบุญทำกุศลนั้นพี่ทำของพี่อย่างนี้ก็แล้วกัน การทำการสร้างนั้นมีครูบาอาจารย์ท่านคอยกำกับดูแลให้อยู่ตลอดเวลา ป่านนี้หลวงปู่ท่านคงจะนั่งหัวเราะแล้วล่ะ ก็คงจะตรงกับนิมิตจากการปฏิบัติที่หลวงปู่ท่านให้ไว้ในปี 2543 ว่า "ผู้พันๆ มากับหลวงปู่นี่ ไม่ต้องไปกับพระตู่" แล้ววันนั้นก็มาถึงจริงๆ

    คิดว่าอบจะมีปัญญาขึ้นในไม่ช้า เคยถามครูบาอาจารย์บางท่าน ท่านบอกว่าคงจะอีกสัก 2-3 ปีอบจึงจะหูตาสว่างขึ้น ช่วงนี้ก็เสวยวิบากกรรมไปก่อน ลองพิจารณาดูว่าที่ผ่านมาครูบาอาจารย์บางท่านที่ อ.โพนพิสัย ท่านไม่ให้พบ ไม่ให้กราบแล้วไม่ใช่หรือ ลองคิดดูว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ตัวเราเองเป็นคนบุญหรือเป็นคนบาปกันแน่ พี่รู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นในวันนั้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กุมภาพันธ์ 2007
  12. illanzer

    illanzer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +840
    เอ้า เครียดกันมามากแล้ว ผมขอถือโอกาสบอกบุญเลยละกันนะครับ ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2550 ที่จะถึงนี้

    ผมจะถือโอกาสไปสมัครเรียน คณะการแพทย์แผนจีน ที่มหาวิทยาลัยหัวเฉียว เพื่อเตรียมศึกษาหาแนวทางรักษาผู้คนทั้งหลายในยามภัยพิบัติ

    ขอให้ทุกท่านจงหยุดร้อน และมาร่วมกันอนุโมทนากันกับการสละตนเพื่อโปรดสรรพสัตว์ทั้งหลายของผมในครั้งนี้ด้วยเถิด
     
  13. ปราบไตรจักร

    ปราบไตรจักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +104
    เข้าอะไรผิดกับการครองผ้าบังสุกุลหรือเปล่า...เคยศึกษาธุดงควัตร 13 ประการหรือเปล่า...

    ผ้าไตรจีจรที่ถวายแล้วโดยฆราวาสแก่พระภิการูปใดรูหนึ่งแล้ว ถึงแม้จะมรณภาพแล้วก็ตามก็ถือว่าเป็นอดิเรกปัจจัยของภิกษุนั้น นอกจากภิกษุนั้นจะถวายต่อไปให้กับภิกษุอื่น
    บังสุกุลที่พิจารณาจากศพ ตามข้างทาง ตสมป่า ตามเขาโน้นถึงจะทำได้

    ศึกษาให้ดีๆเด้อ.......

    บังสุกุลวัตรจากวิสุทธิมรรค...

    อาจารย์พึงกล่าวนิทานแห่งพระเถระอันเป็นพี่แห่งพระเถระสองพี่น้อง อันอยู่ในเจติยบรรพตวิหาร อันมีความปรารถนาน้อยในธุดงค์สาธกเข้าในอธิการนี้

    กิริยาที่กล่าวทั่วไป บัณฑิตพึงรู้ดังนี้ก่อน เอวํ ก็มีด้วยประการดังนี้ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>

    “อิทานิ เอเกกสฺส สมาทานวิธานปฺปเภทเภทานิสํเส วณฺณ นิสฺสามิ ปํสุกุลิทงฺคํ ตาว คยปติทานจีวรํ ปฏิกฺฺขิปามิ ปํสุกุลิกงฺคํ สมาทิยามิติ อิเมสุ ทฺวิสุ วจเนสุ อญฺญตเรน สมาทินฺ โหติ อิทํ ตาเวตฺถ สมาทานํ เอวํ สมาทินฺนํ ธุตงฺเคน ปนเตน โสสานิกํ อาปฎิกํ รถิยโจฬํ สงฺการโจฬํ โสตฺถิยํ นฺหานโจฬํ ติตฺฉโจฬํ คตปจฺจาคตํ อคฺคิทฑฺฺฒํ โคขายิตํ อุปจิกาขยิตํ อุนฺทูรกฺขายิตำ อนฺตจุฉินฺนํ ทสาจฺฉินฺนํ ธชาหตํ ถูปจีวรํ สมณจีวรํ อาภิเสรกิกํ อิทฺธิมยํ ปนฺถิกํ วาตาหฏํ เทวทตติยํ สามุทฺทิยนฺติ <o:p></o:p>

    วาระนี้ จะได้รับพระราชทานถวายวิสุชนาในเตรสธุดงค์นิเทศปริเฉท ๒ ในปกรณ์ ชื่อว่า วิสุทธิมรรค สืบอนุสนธิตามกระแสวาระพระบาลี มีเนื้อความว่า “อิทานิ เอเกกสฺส วณฺณยิสฺสามิ” ในกาลบัดนี้ข้าพระองค์ผู้่มีนามชื่อว่าพุทธโฆษาจารย์ จักสังวรรณนาสมาทานแลวิธานแลประเภทแลเภทะแลอานิสงส์ แห่งธุดงค์สิ่งหนึ่ง <o:p></o:p>

    “ปํสุกฺลิกิงคํ ตาว” จะกล่าวด้วยวิธีสมาทานปังสุกุลิกังคธุดงค์ก่อนวิธีจะสมาทานปังสุกุลิกังคธุงดงค์นั้น พระโยคาวจรภิกษุผู้ประพฤติซึ่งความเพียร พึงสมาทานด้วยพระบาลีทั้งสองอย่าง <o:p></o:p>
    คือพระบาลีว่า “คหปติทานจีวรํ ปฏิกฺขิปามิ” อย่าง ๑ <o:p></o:p>
    คือพระบาลีว่า “ปํสุกุลิกงฺคํ สมาทิยามิ” อย่าง ๑ <o:p></o:p>
    พระบาลีทั้งสองอย่างนั้น จะสมาทานอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ชื่อว่าสมาทานแล้ว <o:p></o:p>
    สมาทานบทต้นว่า “คหปติทานจีวรํ ปฏิกฺขิปามิ” นั้น แปลเนื้อความว่า ข้าพระองค์จะห้ามเสียบัดนี้ ซึ่งจีวรอันคฤหบดีถวาย <o:p></o:p>
    จะสมาทานบทปลายว่า “ปํสุกุลิกงฺคํ สมาททิยามิ” แปลว่า ข้าพระองค์จะสมาทานถือเอาบัดนี้ ซึ่งปังสุกุลิกังคธุดงค์ <o:p></o:p>
    กิริยาที่สมาทานในปังสุกุงลิกังคธุดงค์ บัณฑิตพึงรู้ดังนี้ก่อน <o:p></o:p>

    “เอวํ สมาทินฺนํ ธุตงฺเคน ปน” อนึ่งพระโยคาวจรภิกษุสมาทานดังนี้แล้ว พึงถือเอาซึ่งจีวรอันใดอันหนึ่ง คือจีวรชื่อว่าโสสานิก แลจีวรชื่อว่าอาปณิกัง ชื่อว่ารถิยโจฬัง ชื่อว่าสังการโจฬัง โสตถิยังนหาน โจฬัง ติตกโจฬัง คตปัจจาคตัง อัคคิทัฑฒัง โคขายิตัง อุปจิกาขายิตัง อุนทูรักขายิตัง อันตัจฉินนัง ทสาจฉินนัง ธชาหตัง ถูปจีวรัง สมณจีวรัง อาภิเสกิกัง อิทธิมยัง ปันถิถัง วาตาหฏัง แลชื่อว่าเทวทัตติยัง แลวจีรชื่อว่าสมุททิยัง เข้ากันเป็นจีวร ๒๓ อย่าง ฉีกผ้าเสียแล้วละเสียซึ่งที่อันทุพพลภาพ ซักซึ่งที่อัน มักกระทำ ให้เป็นจีวรนำเสียซึ่งจีวรที่คฤหัสถ์ถวายอันมีในก่อน จึงบริโภคนุ่งห่ม <o:p></o:p>
    มีอรรถสังวรรณนาในบท คือโสสานิกังเป็นปฐมนั้นว่า “สุสาเน ฉฑฺฑิต” ผ้าอันใดที่บุคคลทิ้งเสียแล้ว ในสุสานประเทศป่าช้า ผ้าอันนั้นชื่อว่า โสสานิกจีวรที่ ๑ <o:p></o:p>
    ผ้าอันใดที่ตกอยู่ในที่ประตูร้านตลาด ผ้านั้นชื่อว่า อาปณิกจีวรเป็นคำรบ ๒ <o:p></o:p>
    ผ้าอันใดที่บุคคลทั้งหลายมีประโยชน์ด้วยบุญ ทิ้งลงมาโดยช่องหน้าต่างให้ตกอยู่ในตรอกสถล ผ้านั้นชื่อว่า รถิยโจฬะ เป็นคำรบ ๓ <o:p></o:p>
    ท่อนผ้าที่บุคคลทิ้งเสียแล้วในกองหยากเยื่อ ชื่อว่า สังการโจฬะจีวร เป็นคำรบ ๔ <o:p></o:p>
    ผ้าที่บุคคลเช็คคัพภมลทินแล้วแลทิ้งเสีย ชื่อว่า โสตถิยจีวรเป็นคำรบ ๕ <o:p></o:p>
    “กิร” ดังได้สดับมา “ติสฺสามจฺจมาตา” มารดาแห่งอำมาตย์ ชื่อว่าดิสสะ เช็คคัพภมลทินด้วยผ้าค่าควรแสนตำลึง ยังหญิงทาสีใหนำไปทิ้งไว้ในทางที่จะไปสู่ตาลเวฬิวิหาร ด้วยมนสิการกระทำไว้ในใจว่า “ปํสุกุลิกา คณฺหิสฺสนฺติ” พระภิกษุทั้งหลายที่มีบังสุกุลจีวรเป็นปกตินั้น จะได้ถือเอา พระภิกษุทั้งหลายก็ถือเอาผ้านั้น เพื่อประโยชน์แก่จีวรอันคร่ำคร่า <o:p></o:p>
    “ยํ ภูตเวชฺเชหิ” ชนทั้งหลายที่หมอภูตปีศาจ ให้อาบน้ำกับด้วยศีรษะ ทิ้งผ้าอาบน้ำอันใดเสียด้วยอาโภคคิดว่า ผ้านี้เป็นกาลกิณีแล้วก็ไป ผ้านั้นชื่อว่า นหานโจฬจีวร เป็นคำรบที่ ๖ <o:p></o:p>
    ผ้าท่อนเก่าที่บุคคลทิ้งไว้ในท่าน้ำ ผ้านั้น ชื่อว่าติดถโจฬจีวร เป็นคำรบที่ ๗ <o:p></o:p>
    มนุษย์ทั้งหลายไปสู่สุสานประเทศ กลับมาอาบน้ำแล้วทิ้งผ้าชุบอาบอันใดไว้ ผ้านั้นชื่อว่า คตปัจจาคตจีวร เป็นคำรบที่ ๘ <o:p></o:p>
    ผ้าอันใดมีประเภทบางแห่งอันไฟไหม้ ผ้านั้นชื่อว่า อัคคิทัฑฒจีวร เป็นคำรบที่ ๙ <o:p></o:p>
    แท้จริงผ้าที่ไฟไหม้นั้น มนุษย์ทั้งหลายก็ย่อมทิ้งเสีย <o:p></o:p>
    ผ้าทั้งหลายที่โคเคี้ยวแลปลวกกัด แลหนูกัด แลขาดในที่สุด แลผ้าชายขาด ผ้าทั้ง ๙ ประการนี้ มนุษย์ทั้งหลายย่อมจะทิ้งเสีย <o:p></o:p>
    แลผ้าชื่อว่า ธชาหตจีวรเป็นคำรบ ๑๕ นั้น อรรถสังวรรณนาว่า “นาวํ อภิรุยฺหตฺตา มนุษย์ทั้งหลายเมื่อจะขึ้นสู่สำเภา ย่อมผูกธงปักไว้ที่ท่า แล้วจึงขึ้นสู่สำเภา เมื่อล่วงทัศนาวิสัยแห่งมนุษย์ทั้งหลายนั้นแล้วพระภิกษุทั้งหลายมีบังสกุลเป็นวัตรจะถือเอาผ้านั้นก็ควร <o:p></o:p>
    อนึ่ง ผ้าอันใดที่เสนาของพระราชาทั้งสองผู้เป็นธงแล้วแลตั้งไว้ในยุทธภูมิ ในการเมื่อเสนาทั้งสองฝ่ายไปแล้ว พระภิกษุมีปังสุกุลเป็นปกติ จะถือเอาผ้านั้นก็ควร ผ้านั้นชื่อว่า ธชาหฏจีวรเป็นคำรบ ๑๕ <o:p></o:p>
    ผ้าที่มนุษย์ทั้งหลายโอบพันจอมปลอม แล้วแลกระทำพลีกรรม ผ้านั้นชื่อว่า ถูปจีวร เป็นคำรบ ๑๖ <o:p></o:p>
    ผ้าอันใดเป็นของแห่งพระภิกษุ ผ้านั้นชื่อว่า สมณจีวร เป็นคำรบ ๑๗ <o:p></o:p>
    ผ้าอันใดที่บุคคลทิ้งไว้ในที่อภิเษกแห่งบรมขัตติยราช ผ้าอันนั้นชื่อว่า อาภิเสกิกจีวร เป็นคำรบ ๑๘ <o:p></o:p>
    จีวรแห่งเอหิภิกษุ ชื่อว่า อิทธิมยจีวร เป็นคำรบ ๑๙ <o:p></o:p>
    ผ้าอันใดตกอยู่ในระหว่างหนทาง ผ้านั้นชื่อว่า ปักถิกจีวร เป็นคำรบ ๒๐ <o:p></o:p>
    อนึ่ง ผ้าอันใดตนอยู่แลเพราะเหตุลืมสติ แห่งมนุษย์ทั้งหลายอันเป็นเจ้าของ ผ้าอันนั้นให้พระภิกษุรักษาอยู่หน่อยหนึ่งแล้วจึงถือเอาผ้าอันนั้นชื่อว่า ปันถิกจีวร เป็นคำรบ ๒๐ ดุจเดียวกัน <o:p></o:p>
    ผ้าอันใดลมประหารแล้วพาไปตกลงในที่ไกล ผ้านั้นชื่อว่า วาตาหฎา เป็นคำรบ ๒๑ <o:p></o:p>
    อนึ่ง ผ้านั้นเจ้าของไม่เห็นแล้ว ภิกษุจะถือเอาก็ควร <o:p></o:p>
    ผ้าอันใดเป็นผ้าอันเทวดาให้ เหมือนกันกับผ้าอันนางเทวธิดาถวายแก่พระอนุรุทธ ผ้านั้นชื่อว่า เทวทัตติยะ เป็นคำรบ ๒๒ <o:p></o:p>
    ผ้าอันใดคลื่นซัดไปบนบกผ้านั้นชื่อว่า สามุททิยจีวรเป็นคำรบ ๒๓ <o:p></o:p>

    อนึ่ง ผ้าอันใดที่ทายกถวายว่า “สงฺฆสฺส เทม” ข้าพระองค์ถวายแก่พระสงฆ์ แลผ้าที่ภิกษุทั้งหลายเที่ยวไปเพื่อภิกขะแล้วแลได้ผ้าอันนั้นไม่เป็นปังสกุลจีวร
    <o:p></o:p>
    วินิจฉัยในภิกขุทัตติยจีวรนั้นว่า “ยํ วสฺ สคฺเคนคา เหตฺวา ทียฺยติ” จีวรอันใดที่พระภิกษุทั้งหลาย ยังพระภิกษุมีปังสกุลธุดงค์เป็นปกติให้ถือเอาตามวัสสาอายุแล้วแลให้ <o:p></o:p>
    ใช่แต่เท่านั้น จีวรที่พระภิกษุแลคฤหัสถ์ทั้งหลายให้ด้วยวาจาว่าพระภิำกษุทั้งหลายอยู่ในเสนาสนะนี้ จงบริโภคนุ่งห่มจีวรนี้ “นตํ ปํสุกุลํ” จีวรทั้งสองสถานนั้นไม่เป็นปังสุกุลจีวร <o:p></o:p>
    ถ้าพระภิกษุคฤหัสถ์ทั้งหลายไม่ถวายเอง จึงจะเป็นปังสุกุลจีวร <o:p></o:p>
    อนึ่ง จีวรอันใดที่ทายกทั้งหลายตั้งไว้ในที่ใกล้เท้่าของพระภิกษุ พระภิกษุนั้นก็ถวายตั้งไว้ในมือของปังสุกุลิกภิกษุ จีวรนั้น ชื่อว่า บริสุทธิ์ แต่ฝ่ายอันหนึ่ง <o:p></o:p>
    จีวรอันใด ทายกถวายตั้งไว้ในหัตถ์แห่งพระภิกษุนั้น ๆ ก็เอาไปตั้งไว้ในที่ใกล้เท้าของปังสุกุลลิกภิกษุ จึวรนั้นก็บริสุทธิ์อีกฝ่ายหนึ่ง <o:p></o:p>
    จีวรอันใด ทายกตั้งไว้ในที่ใกล้เท้าแห่งพระภิกษุ ๆ ก็เอาไปถวายแก่ปังสุกุลิกเหมือนอย่างนั้น จีวรนั้นชื่อว่าบริสุทธิ์ทั้งสองฝ่าย <o:p></o:p>
    จีวรอันใด ที่พระภิกษุได้เพราะเหตุทายกตั้งไว้ในมือ พระภิกษุนั้นก็ถวายตั้งไว้ในมือแห่งปังสุกุลิกภิกษุ จีวรนั้นชื่อว่าไม่เป็นจีวรอันอุกฤษฏ์ <o:p></o:p>
    พระภิกษุที่ปังสุกุลเป็นปกติ รู้ซึ่งเภทะคือกิริยาแตกทำลายแห่งปังสุกุลจีวรดังนี้แล้ว พึงบริโภคนุ่งห่มจีวร <o:p></o:p>
    “อิเมตฺถ วิธานํ” วิธีในปังสุกุลิกธุดงค์นี้ บัณฑิตพึงรู้โดยนัยแห่งคำอันเราจะกล่าวมาแล้วนี้ <o:p></o:p>
    “อยมฺปน ปเภโท” อนึ่งประเภทแห่งปังสุกุลิกภิกษุ บัณฑิตพึงรู้โดยนัยแห่งคำอันเราจะกล่าวดังนี้ <o:p></o:p>
    “ตโย ปํสุกุลิกา” พระภิกษุที่มีปังสุกุลเป็นปกตินี้มี ๓ จำพวกคือ ปังสุกุลิกภิกษุเป็นอุกฤษฏ์ ปฏิบัติเป็นอย่างสูงจำพวกหนึ่ง <o:p></o:p>
    คือปังสุกุลิกภิกษุเป็นมัชฌิม ปฏิบัติเป็นอย่างท่ามกลางจำพวกหนึ่ง <o:p></o:p>
    คือปังสุกุลิกภิกษุเป็นมุทุ ปฏิบัติเป็นอย่างต่ำจำพวกหนึ่ง เป็น ๓ จำพวกด้วยกันดังนี้ <o:p></o:p>
    พระปังสุกุลิกภิกษุที่ถือเอาผ้าโสสานิกจีวร ที่บุคคลทิ้งเสียแล้วในสุสานประเทศอย่างเดียว ชื่อว่าปฏิบัติเป็นอุกฤษฏ์เป็นปฐมที่หนึ่ง <o:p></o:p>
    พระปังสุกุลิกภิกษุที่ถือเอาผ้าปังสุกุล ที่บุคคลตั้งไว้ว่าบรรพชิตจะได้ถือเอาผ้าอันนี้ ชื่อว่าปฏิบัติเป็นมัชฌิมที่สอง <o:p></o:p>
    พระปังสุกุลิกภิกษุ ที่ถือเอาผ้าทายกตั้งไว้ในที่ใกล้แห่งเท้าแล้วแลถวาย ชื่อว่าปฏิบัติเป็นมุทุที่สาม <o:p></o:p>
    พระปังสุกุลิกภิกษุทั้ง ๓ จำพวกนี้ เมื่อยินดีจีวรที่คฤหัสถ์ทั้งหลายให้ธุดงค์ก็ทำลายในขณะที่ตนยินดี ด้วยฉันทะแห่งตน <o:p></o:p>
    อธิบายว่า พระภิกษุไม่ชอบใจที่ทรงไว้แก่ตน แลบริโภคนุ่งห่มด้วยตน แต่ว่าไม่ห้ามที่คฤหัสถ์ทั้งหลายถวายเพื่อจะรักษาไว้ ซึ่งความเลื่อมใสของคฤหัสถ์ ยินดีว่าจะได้ถวายแก่พระภิกษุทั้งหลายอื่น ดุจดังว่าธุดงค์เภทแห่งพระภิกษุทั้งหลาย มีพระอานนท์เถรเจ้าเป็นอาทิ แลทำลายในขณะแห่งตนยินดีด้วยอภิวาสนขันติ อธิบายว่าปังสุกุลิกังคภิกษุนั้น ยินดีด้วยปรารถนาว่าจะบริโภค <o:p></o:p>
    “อยเมตฺถ เภโท” ว่าด้วยธุดงค์ทำลายในปังสุกุลิกธุดงค์ บัณฑิตพึงรู้โดยนัยดังกล่าวมานี้ <o:p></o:p>
    อนึ่ง อานิสงส์ปังสุกุลิกธุดงค์ บัณฑิตพึงรู้โดยนัยจะกล่าวดังต่อไปนี้ <o:p></o:p>
    “ปํสุกุลจีวรํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา” บังสุกุภิกษุ ชื่อว่าสภาวะปฏิบัติสมควรแก่นิสัยเป็นอานิสงส์ เพราะเหตุว่า องค์สมเด็จพระผู้ทรงพระภาคตรัสเทศนาไว้ว่า บรรพชานี้อาศัยปังสุกุลจีวร <o:p></o:p>
    อนึ่ง ปังสุกุลิกภิกษุนี้จะได้อานิสงส์ คือจะยังตนให้ตั้งอยู่ในอริยวงศ์เป็นปฐม <o:p></o:p>
    ตนจะไม่มีทุกข์ที่จะรักษาจีวร แลจะไม่ประพฤติเนื่องด้วยบุคคลผู้อื่น แลมิได้กลัวแต่โจรไพร แลปราศจากบริโภคตัณหา ปรารถนาจะนุ่งห่มจีวรทั้งปวงและจะทรงไว้ซึ่งบริขารสมควรแก่สมณะ บังสุกุลจีวรนั้นมีค่าน้อย เป็นจีวรอันได้ด้วยง่าย จะบริโภคนุ่งห่มก็ปราศจากโทษ องค์สมเด็จพระผู้่ทรงพระภาคตรัสสรรเสริญไว้ดังนี้ <o:p></o:p>
    อนึ่ง “ปาสาทิกตา” ปังสุกุลิกภิกษุนั้น จะนำมาซึ่งความเลื่อมใส่แก่ชนทั้งหลายอื่น เพราะเหตุว่าภิกษุที่ทรงปังสุกุลจีวรนั้นเป็นที่เลื่อมใสของสัตว์โลกที่เป็นลูขปมาณ แลจะยังผลแห่งคุณทั้งหลายมีอัปปิจฉตาคุณ คือภาวะมักน้อยเป็นต้นให้สำเร็จ <o:p></o:p>
    “สมฺมาปฏิปตฺติยา อนฺพฺรูหนํ” อนึ่งพระภิกษุที่ทรงผ้าปังสุกุลนั้นจะยังสัมมาปฏิบัติให้เจริญ แลจะยังชนอันมีในภายหลังให้ถึงซึ่งทิฏฐานุคติดูเยี่ยงอย่างปฏิบัติ <o:p></o:p>
    พระพุทธโฆษาจารย์เจ้า นิพนธ์คาถาสรรเสริญพระภิกษุทีทรงบังสุกุลจีวรไว้ว่า “มารเสนวิฆาฏาย ปํสุกุลธโร ยติ” แปลเนื้อความว่า “ยติ” อันว่าพระโยคาวจรภิกษุ ทรงบังสุกุลจีวรเพื่อว่าจะกำจัดเสียซึ่งมารแลเสนามาร งานในพระพุทธศาสนาปรากฏดุจดังว่าบรมขัตติยราชผูกสอดทรงไว้ซึ่งเกราะ อันพิจิตรด้วยสัตตรัตนะกาญจนมัย งามในยุทธภูมิที่รบระงับเสียซึ่งข้าศึก <o:p></o:p>
    อนึ่ง “ยํ โลกครุนา โก ตํ” องค์สมเด็จพระสัพพัญญูผู้เป็นพระบรมครูแห่งสัตว์โลก พระองค์ทรงสละเสียซึ่งวรวัตถา พระภูษาอันประเสริฐมีโกสิยพัตร์เป็นอาทิ ทรมานพระองค์ทรงปังสุกุลจีวรนั้นเล่า เหตุอันใดพระโยคาวจรภิกษุดังฤๅ จะไม่ทรงปังสุกุลจีวรนั้นเล่าเหตุใดเหตุดังนั้น พระภิกษุที่ระลึกถึงคำปฏิญาณแห่งตนที่รับคำว่าบรรพชาอาศัยปังสุกุลจีวรเป็นอาทิแล้ว ก็พึงยินดีด้วยปังสุกุลจีวรอันประพฤติเป็นไปตามความเพียรแห่งตน <o:p></o:p>
    สังวรรณนามาในสมาทานแลวิธาน แลประเภทแลเภทะแลอานิสงส์ ในบังสุกุลลิกังคธุดงค์นี้ บัณฑิตพึงรู้ด้วยประการดังนี้ก่อน <o:p></o:p>
    ในลำดับนั้นข้าพระองค์ผู้มีนามว่า พุทธโฆษาจารย์ จักแสดงเตจีวริกังคธุดงค์เป็นคำรบ ๒ <o:p></o:p>
    เตจีวริกังคธุดงค์นี้ พระภิกษุย่อมสมาทานถือเอาด้วยพระบาลีทั้งสองคือสมาทานว่า “จตุตฺถจีวรํ ปฏิกฺขิปามิ” แปลว่าข้าพระองค์จะห้ามเสียซึ่งจีวรเป็นคำรบ ๔ <o:p></o:p>
    แลสมาทานว่า “เตจีวริกงฺคํ สมาทิยามิ” แปลว่าข้าพระองค์จะสมาทานถือเอา ซึ่งจีวรกังคธุดงค์ <o:p></o:p>
    พระภิกษุจะสมาทานด้วยพระบาลีอันใดอันหนึ่ง ก็ได้ชื่อว่าเป็นอันสมาทานแล้ว <o:p></o:p>
    “เตน ปน เตยีวริเกน” อนึ่งภิกษุที่มีไตรจีวรผ้าสามผืนเป็นปกตินั้น มีจีวรอันคร่ำคร่า ได้ผ้าเพื่อประโยชน์จะทำจีวรแล้วยังไม่สามารถอาจเพื่อจะกระทำได้ เพราะเหตุไม่มีความสบาย แลไม่ได้ซึ่งวิจารณกรรมกระทำจัดแจง แลสิ่งของอันใดอันหนึ่งมีเข็มเป็นต้น ยังมิได้สำเร็จตามใดก็พึงเก็บไว้ตราบนั้น โทษจะบังเกิดขึ้นเหตุเก็บผ้าไว้นั้นมิได้มี <o:p></o:p>
    อนึ่ง จำเดิมแต่ย้อมแล้วนั้น พระภิกษุจะเก็บไว้ไม่ควร เมื่่อพระภิกษุเก็บไว้ กระทำสันนิธิสั่งสม พระภิกษุนั้นชื่อว่าธุดงค์โจร <o:p></o:p>
    วิธานแห่งเตจีวริกธุดงค์ บัณฑิตพึงรู้ดังนี้ <o:p></o:p>
    อนึ่ง วินิจฉัยโดยประเภทแห่งเตจีวริกังคธุดงค์นั้นว่า “อยํปิ ติวิโธโหติ” พระภิกษุที่มีไตรจีวรเป็นปกติมี ๓ ประการ คืออุกฤษฏ์ แลมัชฌิมะ แลมุทุกะ <o:p></o:p>
    ในกาลเมื่อพระภิกษุอันเป็นอุกฤษฏ์ จะย้อมไตรจีวรนั้น พึงย้อมผ้าชื่อว่าอันตรวาสกก่อน <o:p></o:p>
    เื่มื่อจะย้อมผ้าอันตรวาสกนั้น นุ่งผ้าชื่อว่าอุตราสงค์แล้วย้อมผ้า ชื่อว่าอันตรวาสก <o:p></o:p>
    เมื่อจะย้อมผ้าอุตราสงค์นั้น นุ่งผ้าชื่อว่าอันตรวาสกแล้ว พึงย้อมผ้าชื่่อว่าอุตราสงค์ <o:p></o:p>
    เมื่ื่อจะย้อมผ้าสังฆาฏิ “ตํ ปรุปิตฺวา” ห่มผ้าชื่อว่าอุตราสงค์นั้นแล้ว พึงย้อมผ้าสังฆาฏิ อนึ่งอุกฤษฏ์ภิกษุนั้น จะนุ่งผ้าสังฆาฏิไม่ควร <o:p></o:p>
    วัตรอันนี้เป็นวัตตปฏิบัติของอุกฤษฏ์ภิกษุ อันอยู่ในเสนาสนะใกล้บ้าน <o:p></o:p>
    อนึ่ง อุกฤษฏ์ภิกษุที่อยู่ในอรัญเสนาสนะ จะซักจะย้อมซึ่งผ้าทั้งสอง คืออันตรวาสก แลผ้าอุตราสงค์ ในกาลอันเดียวกันก็ควร <o:p></o:p>
    พระอุกฤษฏืภิกษุที่อยู่ป่าย้อมผ้านั้น เห็นบุคคลผู้หนึ่งเดินมาแล้ว แลอาจะเพื่อจะฉุดคร่ามาซึ่งผ้าย้อมฝาด กระทำในเบื้องบนได้ฉันใด พระภิกษุนั้นก็พึงนั่งอยู่ในที่ใกล้จีวรฉันนั้น <o:p></o:p>
    อนึ่ง พระภิกษุมีไตรจีวรเป็นปกติ อันเป็นมัชฌิมปฏิบัติอย่างกลางนั้น จะย้อมไตรจีวรในโรงเป็นที่ย้อมนั้น ย่อมมีผ้าฝากสำหรับพระภิกษุบริโภคนุ่งห่ม ในขณะจะย้อมจีวร มัชฌิมภิกษุนั้นจะนุ่งห่มซึ่งผ้านั้นแล้ว แลกระทำซึ่งรัชชนกรรมก็ควร <o:p></o:p>
    มุทุกภิกษุปฏิบัติอย่างต่ำจะนุ่งจะห่มจีวรทั้งหลาย แห่งพระภิกษุอันเป็นสภาพ แล้วแลกระทำซึ่งรัชชนกรรมก็ควร <o:p></o:p>
    อนึ่ง เครื่องลาดอันเป็นของสงฆ์ แลเป็นของแห่งบุคคลอื่นอันบุคคลกระทำให้แล้วด้วยผ้าย้อมฝาด ตั้งไว้ด้วยความสามารถเป็นเครื่องลาดในอาสนะนั้น ก็ควรแก่มุทุกภิกษุนั้น <o:p></o:p>
    พระมุทุกภิกษุจะยังชนให้รักษา แล้วแลนำไปซึ่งเครื่องลาดนั้นเพื่อประโยชน์แก่ตนไม่ควร <o:p></o:p>
    อนึ่ง มุทุกภิกษุจะนุ่งห่มจีวร แห่งพระภิกษุทั้งหลายอันเป็สภาคเนือง ๆ นั้น ก็มิได้ควร <o:p></o:p>
    อนึ่ง ผ้าย้อมฝาดกระทำเป็นอังสะผืนหนึ่ง เพิ่มขึ้นไปเป็นคำรบ ๔ ผืน ก็ควรแก่พระภิกษุอันมีไตรจีวรเป็นปกติ <o:p></o:p>
    ผ้าอังสะนั้น ถ้าจะว่าโดยกว้างคืบหนึ่งเป็นประมาณ ถ้าจะว่าโดยยาว ๓ ศอกเป็นประมาณนั้นแลควร <o:p></o:p>
    อนึ่ง ธุดงค์แห่งพระภิกษุทั้ง ๓ มีอุกฤษฏ์ภิกษุเป็นอาทิ ย่อมทำลายในขณะที่ตนยินดีจีวรเป็นคำรบ ๔ <o:p></o:p>
    เภทะ คือกิริยาทำลายในเตจีวริกธุดงค์ บัณฑิตพึงรู้ดังกล่าวมานี้ เอวํ ก็มีด้วยประการดังนี้ <o:p></o:p>
    “อยํ ปน อานิสํโส เตจีวริโก ภิกฺขุ สนุตุฏโ โหติ กายปริหาริเกน จีวเรน เตนสฺส ปกฺขิโนวิยสมาทาเยว คมนํ อปฺปสมารมฺภตา วตฺถสนฺนิธิปริวชฺชนํ สลฺลหุกวุตฺติตา อติเรกจีวโลลุปฺปหานํ กปฺปิเย มตฺตการิตา สลฺเลขวุตฺติ ตา อปฺปิจฺฉตาทีนํ ผลนิปฺผตฺตีติ เอวมาทาทโย คุณา สมฺปชฺชนฺตีติ อติเรกวตฺถตณฺหํ ปหาย สนฺนิธิวิวชฺชิโต ธีโร สนฺโต สสุขรสญฺญู ติจิวรธโร ภวติโยคี ตสฺมา สปตตจรโณ ปกฺขีว สจีวโรธ โยคีวโร สุขมนุวิจริตุกาโม ติจีวรนิยเม รตึ กยิราติ” <o:p></o:p>
    วาระนี้จะได้รับพระราชทานถวายวิสัชนาในธุดงค์นิเทศ ในคัมภีร์พระวิสุทธิมรรค สังวรรณนาในอานิสงส์เตจีวริกภิกษุที่ทรงไตรจีวรสืบอนุสนธิตามกระแสวาระพระบาลี <o:p></o:p>
    มีเนื้อความว่า “อยํ ปน อานิสํโส” อนึ่งอานิสงส์แห่งพระภิกษุมีไตรจีวรเป็นปกตินั้น บัณฑิตพึงรู้โดยนัยแห่งพระบาลี อันข้าพระองค์ผู้ชื่อว่าพุทธโฆษาจารย์ จะแสดงดังนี้ <o:p></o:p>
    “เตจิวรีโก ภิกฺขุ” พระภิกษุที่มีไตรจีวรเป็นปกตินั้น จะได้ซึ่งอานิสงส์ คือสันโดษยินดีในปัจจัยแห่งตน คือจีวรอันรักษากายไม่ให้มีอันตราย คือลมแลแดดเป็นอาทิ แลจะถือเอาไตรจีวรไปด้วยตนได้ดุจนกอันมีปีกบินไปในอากาศ แลจะมีกิจน้อย เพราะเหตุหามิได้แห่งกิจทั้งหลาย มีกิจที่จะนำไปซึ่งอติเรกจีวรเป็นอาทิ แลจะเว้นจากสันนิธิสั่งสมซึ่งผ้า แลจะประพฤติเบากายแลจะละเสีย ซึ่งโลภในอติเรกจีวร และจะกระทำซึ่งประมาณในปัจจัยอันควร แลประพฤติสัลเลขากระทำให้จิตเบาจากกิเลส แลยังผลแห่งคุณทั้งหลายมีอัปปิจฉตาคุณคือมีความปรารถนาน้อยเป็นต้น ให้สำเร็จคุณอานิสงส์แห่งเตจีวริกธุดงค์ มีคำกล่าวมาแล้วในหนหลังดังนี้เป็นต้น ย่อมจะสำเร็จแ่ก่พระโยคาวจรภิกษุผู้มีไตรจีวรเป็นปกติ <o:p></o:p>
    ใช่แต่เท่านั้น พระพุทธโฆษาจารย์เจ้ารจนาพระบาลีสรรเสริญอานิสงส์เตจีวรธุึดงค์ไว้ว่า “อติเรกวตฺถตณฺหํ ปหาย” พระโยคาวจรภิกษุอันดำเนินด้วยญาณคติละเสียซึ่งตัณหากล่าวคือความปรารถนาอติเรกจีวร เว้นแล้วจากสันนิธิสั่งสมผ้า รู้ซึ่งรสแห่งความสุขอันบังเกิดแต่สันโดษ จึงทรงไตรจีวรบริโภคผ้านุ่งห่มแต่สามผืนเท่านั้น เหตุดังนั้น พระภิกษุในพระศาสนานี้ ปรารถนาจะเป็นโยคาวจรอันประเสริฐ มีจีวร ๓ ผืนไปกับด้วยกาย ปรารถนาเพื่อจะเที่ยวไปตามความสุขสบาย ดุจดังปักษาชาติทั้งหลาย อันเที่ยวไปกับด้วยปีกแห่งตนพึงกระทำซึ่งความยินดีในกิริยาที่กำหนดซึ่งจีวรรักษาเตจีวริกธุดงค์ <o:p></o:p>
    สังวรรณนามาในสมาทาน แลวิธาน แลประเภท แลเภทะแลอานิสงส์ในเตจีวริกธุดงค์ ก็ยุติเพียงเท่านี้ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
     
  14. ปราบไตรจักร

    ปราบไตรจักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +104
    ศึกษาให้ดีๆเด้อ...ไม่รู้ว่าปราชิกหรือเปล่า หยิบเอาของบุคคลอื่นเกิน 5 มาสก โดยเจ้าของไม่ได้อนุญาต

    กรรมใครกรรมมันเด้อ...อบ...39...narit
     
  15. Bajang

    Bajang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +1,268
    มีระเบียบการหรือค่าใช้จ่ายคร่าวๆ มั้ยครับ เรียนอะไร ที่ไหน เวลาไหน ใช้เวลาเท่าไหร่ อะไรประมาณเนี้ยะ ขอบคุณครับ
     
  16. kitjang

    kitjang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2006
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +511
    เห็นคุณปราบตอบ แล้วคิดถึงคุณ ฐตธนวัฒน์ จัง เดี๋ยวนี้หายไปไหนนะ
     
  17. illanzer

    illanzer เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    631
    ค่าพลัง:
    +840
    http://cm.hcu.ac.th/

    ตามลิ้งค์ข้างบนครับ
    ผมก็ไม่รู้ว่าจสอบผ่านรึเปล่า อิอิ ไปช่วยกันหลายๆ คนก็ดีครับ ทั้งแพทย์แผน ไทย จีน อินเดีย ศาสตร์โบราณทั้งหลาย มีคุณประโยชน์ครับ พอดีผมก็มีความรู้ทางด้านพื้นฐานมวยจีนมาบ้างนิดหน่อย ก็เลยคิดว่ามันสามารถนำมาพัฒนาการรักษาโรคแผนจีน ที่มีความละเอียดเรื่องโครงสร้างร่างกายมนุษย์ มากกว่าแผนอื่นน่ะครับ(เท่าที่รู้)
     
  18. Bajang

    Bajang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +1,268
    ขอบคุณครับ
     
  19. จักร

    จักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +432
    อยากหยุดไหม

    เรียนคุณอัญญาสิทธิ์ และคนที่มีความคิดแบบคุณปราบไตรจักร<O:p</O:p
    1. รายจ่ายที่คุณว่าหลวงพ่อมั่วน่ะ คือผมบอกไม่ละเอียดเองครับ คือส่วนที่คุณบอกเรื่องราคาโลงแก้วก็ถูกอยู่ แต่ส่วนอื่น ๆ ก็มี เบื้องต้นรวมไปถึงค่างานกระจก งานโลหะ ฯลฯ เอาเป็นว่าผมมีบิลรายจ่ายพวกนั้นอยู่ในมือแล้วกัน และพระท่านให้ผมรวมบัญชีบันทึกไว้เองเป็นแฟ้มครับ รายจ่ายอื่นที่คุณไม่รู้ก็มีอีกเยอะ คือคุณไม่ใช่เจ้าวัดนะ ไม่รู้ทุกเรื่องก็ไม่แปลก ยิ่งเดี๋ยวนี้ไม่เข้าวัด แต่ด่าคนที่วัดจัง แค้นใจอะไรกับพระนักหนา ท่านอยู่ของท่านเฉย ๆ ไม่เคยทำอะไรคุณเลย นี่ก็ผมเช็ดขี้อยู่นะครับ<O:p</O:p
    ...ที่สำคัญตั้งแต่ยุคหลวงปู่ ก็ไม่มีใครกล้ามายุ่งกับการใช้จ่ายของท่านเช่นกันเพราะคนให้เกียรติพระที่สุด ไม่มีการจดด้วย นี่ดีนะที่ยุคนี้มีจด เพราะมันมีการก่อสร้าง รายจ่ายมันมากก็จึงต้องบันทึกยอดไว้ ที่นี่ไม่มีกรรมการ เรื่องเงินมานานแล้ว เพราะกันกิเลสคนมันมาก บางคนก็จ้องจับผิดพระ บางวัดพระจะเบิกเงินก็โดนกรรมการด่า ใครรับไม่ได้มีวิธีแก้ 2 อย่างคือ แก้ที่ต้นเหตุคือทำจิตให้เข้าใจการทำทานจริง ๆ ถ้ากลัวพระเอาเงินไปใช้เรื่อยเปื่อยก็อฐิษฐานให้เป็นเงินสงฆ์เมื่อทำทาน คือนอกจากอธิษฐานเรื่องหลักแล้วก็รวมถึงเปิดกว้างว่าเป็นเงินสงฆ์ด้วยก็ดี ทำอะไรแล้วแต่ท่านเผื่อไว้ด้วยครับ พระจะได้ไม่อึดอัด .. วิธีที่สองคือ ไม่ต้องทำบุญ<O:p</O:p
    2. ที่คุณอัญญาสิทธิ์ว่าผมเสียใจเรื่องโดนหลวงปู่ทองฤทธิ์ว่า กับเรื่องอาจารย์น้อยที่โพนพิสัยน่ะ ผมไม่เคยเสียใจครับ คุณเอาความคิดคุณมาอ่านใจอ่านวาจาผมมันคงอ่านไม่ถูกหรอก ผมมีเหตุผลที่ไปพูดไปสถานที่นั้นมา ลองไปห้องสมุดแล้วศึกษารามายณะดูนะครับ คิดเอาเองว่าตอนไหนที่สำคัญ แต่ที่ใคร ๆ ว่าผมเสียใจมาก... นั่นเรื่องเดียว คือเสียใจที่พี่น้องอย่างพวกคุณ กล้าเหยียบย่ำและให้ร้ายป้ายสีพระ และพี่น้องที่คบหามานาน เพียงแค่เอาชนะตามแผนให้บรรลุวัตถุประสงค์ แผนขู่อะไรนักหนา คุณมักยืมชื่อคนอื่นมาเป็นอิทธิพล ข่มเหงศิษย์สายอื่นมานาน เขาไม่อยากตอบโต้คุณหรอก แต่วันนี้คุณทำกับพระและคนเคย ๆ ผมจึงเสียใจและผิดหวังในตัวคุณมาก<O:p</O:p
    ... และผมจะยังถือคติ ว่าจะไม่ด่า หรือว่าติเตียนพระที่คุณนับถือ เพราะผมเคารพในคุณของพระเสมอ ผมไม่เคยดีเท่าพระ ดังนั้นคุณก็อย่าเอาพระมาอ้างให้เสียหายเลย<O:p</O:p
    3. คุณปราบไตรจักรครับ พระจากนครพนมที่พูดถึง ชื่อ
     
  20. ปราบไตรจักร

    ปราบไตรจักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    115
    ค่าพลัง:
    +104
    อบ...เอ๊ย...อบ...ทำตัวเป็นเจ้าของวัดตนเองซะงั้น....เข้าทำนองว่า...วัดข้าใครอย่าเตะ....

    หลวงพ่อข้า...ใครว่า...มีปัญหาแน่....กลัวจังเลยยยยยย 555555

    กลัวพระที่ปราชิกแล้ว.......กลัวจังเลยยยยยย อ่านยังบังสุกุลวัตร ผ้าที่เป็นบังสุกุลได้นะมีอะไรบ้าง ศึกาบ้างเด้อจะได้ไม่ตกนรกอเวจี

    --ผมมาตามเช็ดขี้ ที่คนปาใส่หลวงพ่อ หรืออยากให้คุณหยุดปรามาสพระ แก้ไขสิ่งร้ายไปก็เท่านั้น---

    มีใครไปขี้ที่ไหนบ้างละ...อบ...ขับเครื่องบินไปเช็ดหรือเปล่า....ระวังตกใส่ขี้เด้อ....555555

    ลูกศิษย์พระโพธิสัตว์เป็นอย่าง อบ อย่าง เกษียรสมุทร 39 และ ศิวดล โลกนี้คงเจริญขึ้นเยอะกว่าเดิมนะครับพี่น้อง ปฏิปทาดีเยี่ยม.....

    ทำอะไรต้องไปขออนุญาต อยากได้เงินละซิ ไม่มีเงินเข้ากระเป๋า ถึงอยากให้ไปคุยด้วย......ระวังคาถาอาคมเสื่อมเด้อ................โอม มะลึก กึก กึ๋ย....จงมาตามเช็ด....ข้า 5555555

    ความจริงก็คือความจริง อย่าดื้อดึงไปเลย....
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...