เรื่องราวที่คนทั่วๆไปไม่ค่อยรู้

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Aunyasit, 26 สิงหาคม 2005.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. The Shadow

    The Shadow เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    557
    ค่าพลัง:
    +1,732
    อ่านๆไป ก็อาจทำให้คนอื่นๆเข้าใจไปว่า พี่น้องกันทะเลาะกันด้วย ผลประโยชน์ทางศาสนา

    เพื่อความเข้าใจที่ดีต่อกัน และเพื่อประโยชน์ของคนที่อยากร่วมบุญกับวัดป่าสีดา เพราะศรัทธาในหลวงปู่ทองทิพย์ และไม่ให้ศรัทธานั้นเสียเปล่า

    เป็นไปได้ไหม ถ้าจะเอาเบอร์บัญชีวัด มาแปะไว้ เพื่อให้คนที่ศรัทธา อยากสร้าง โอนเงินไปทำบุญกับวัดแทน เพราะเห็นบอกว่า คุณอัญญาสิทสร้างผิดสูตร พระท่านจะสร้างใหม่ จะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน หรือจะมาให้ทางคุณอัญญาสิทเลิกสร้าง แกก็ทำไปตั้งเยอะแล้ว จ่ายเงินไปเป็นล้านแล้วมั้งครับ

    ถ้าท่านใดที่ไม่ศรัทธาในคณะผู้สร้างชุดนี้ แต่มีศรัทธาอยากสร้างพระเจ้า5พระองค์ ศรัทธาในหลวงปู่ทองทิพย์ ก็ร่วมทำบุญไปกับวัด ถึงเวลาพระท่านก็เอาไปใช้เอง

    ใจที่เราตั้งไว้ดีแล้ว บุญย่อมสำเร็จประโยชน์แน่นอนครับ

    ที่อัญญาสิท ปรามาสผม ผมคงต้องบอกว่า มันไม่น่าใส่ใจ คุณคิดอย่างนั้น มันก็เป็นอย่างที่คุณคิดแล้วกัน
     
  2. tomon2

    tomon2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +77
    อยากเรียนถามกับ สำนวนที่ว่า"พุทธบุตรย่อมไม่ปฏิเสธพุทธบิดาตนเอง" ใครมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง อยากฟัง
     
  3. จักร

    จักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +432
    ผม...ศิษย์เก่าวัดดง

    ผมได้ยินมาว่ามีการถกปัญหาเกี่ยวกับวัดที่ผมเคยรู้จักมา หลานๆ ลูกศิษย์ทหาร ผมก็รู้จักบางคน ก็เห็นวัดมีทหารดูแลอยู่ดีแล้ว จึงไม่ค่อยไปยุ่ง นานๆ แวะไปทำบุญที แต่ก็โอนเงินเข้าบัญชีที่วัดทุกเดือนแหละ<O:p</O:p
    อ่านตั้งหลายวัน ถึงเข้าใจ <O:p</O:p
    ผมเป็นลูกศิษย์เก่าแก่ของหลวงปู่ทองทิพย์ก่อนที่ผู้พันจะไป ที่สมัยก่อนเรียกวัดดงพระเจ้า(ดอนพิพวย) อ่านความสงสัย 6 ข้อจากน้องปราบไตรจักร จะเมตตาตอบให้<O:p
    ไม่มีใครบ้าไปสาบานว่าถ้าไม่ทำบุญเท่านั้นเท่านี้แล้วจะมีอันเป็นไปหรอก ผู้ใดจะทำอะไร ผู้นั้นกำหนดเอง ตั้งใจเอง ทำอย่างไร ได้อย่างนั้น บ่ทำบ่อได้
    <O:p1. ชาวบ้านไล่เพราะมีปัญหากับชาวบ้านแถววัดเหรอ ทุกวันนี้ก็เห็นอยู่กันดี ช่วงหลังชาวบ้านเข้าไปทำบุญตั้งเยอะ ที่มีคนไล่ก็เห็นเป็นพวกคนใจบาปไง ที่ 5 ปีก่อนมาปล้นวัด ปล้นศพหลวงปู่โดยไม่ถูกต้อง จนพวกผู้พันกับน้องๆ ทหารไปตามศพกลับมา ก่อนนี้วัดมีพระเยอะ 20 ปีก่อนยิ่งมาก พวกโจรมันมาไล่พระไล่ โยม กระเจิดกระเจิงไปหมดตะหาก เป็นเรื่องเป็นราวออกหนังสือพิมพ์ ทหารเค้าทำดี ใครเป็นปราบไตรจักรยังไปหาติอีก พระตู่ก็ดูแลวัดอยู่กับเณรกับยายตุ๋ย ก็ถูกกันดีนะกับชาวบ้าน นี่ผมเพิ่งร่วมถวายศาลาหน้าวัดกับชาวบ้านเดือนก่อน<O:p</O:p
    2. ทำไมไม่สร้างวิหารแต่แรกหลวงปู่เสียเหรอ ก็ไม่มีเงินกันไง เงินเก็บวัดที่มีก็เอาไปซื้อโลงแก้วปรับอากาศ ทำกุฏิบรรจุศพ ใช้จ่ายไปประมาณล้านห้า ก็ผู้พันกับพระตู่ที่ช่วยกันหลักๆ แต่พวกพระต๋อย พระตู่ก็ตกลงกันไว้ว่าไม่เกิน 5 ปีจะทำวิหารให้ นี่ก็ปีที่ 5 พอดี ระหว่างนั้นพวกทหารก็ทำบุญอุทิศเลี้ยงพระ ฯลฯ ตลอด สร้างหอจักรทอง พระแม่ธรณีก่อนเพราะวัดนี้ถือศาสตร์ ให้แม่ธรณีป้องกันมารให้วิหารพระศรีฯ ก่อน ต้องเดินตามหลักการ ไม่กระโดดข้ามขั้น ช่วงปีหลังผู้พันไม่ค่อยมาเอง ชาวบ้านแถววัดถามหาเหมือนกัน และที่วัดรก ข้าวของใหม่เก่ารกเหรอ แสดงว่าน้องปราบไตรจักรไม่เคยมาไหว้ตอนหลวงปู่ยังอยู่ ใครถวายอะไรท่านก็วางบูชาไว้งั้นแหละ บางทีนะผลไม้จนเน่าไปต่อหน้า ปู่เขาบูชาเทวดา ไม่ต้องสะอาดเหมือนบ้านคนหรอก ที่คือหลักสูตรกรรมฐานของท่าน<O:p
    3. สร้างพระดำริมานานเหรอ ไม่เถียง และที่อยากทำวิหาร ก็บังเอิญป็นสัจจะที่พระคุยกันไว้ว่า ครบ 5 ปีจะสร้างพอดีนะ<O:p</O:p
    4. ว่าพระที่วัดเอาผ้ากฐินหลวงปู่มาห่มเหรอ ตัวรู้ได้ไง หูเบาเหรอ เคยไปถามท่านเหรอว่าจริงไหม ไม่ต้องมาหาถามในคอมฯ หรอก จะหาพวกให้คนเกลียดพระเหรอ แล้วถ้าจริงมันก็ไม่ผิดศีลเลย รู้จังบังสุกุลจากศพคนตายไหม บังสุกุลผิดศีลไหม เอาเป็นว่าอย่าเดาเลย สิบปากว่าบ่เท่าตาเห็น
    5. สูตรสร้างพระตามตลาดไม่มีหรอกนะ แต่ถ้าที่วัดนี้มี ของหลวงปู่นั้นมี ท่านเคยใช้ให้พวกผมทำ<O:p</O:p
    ขนาดสร้างอะไรแต่ละอย่างยังมีสูตรเลย ไปถามลูกศิษย์วัดเก่าๆ ดูนะ ขนาดสองอาทิตย์ก่อนไปวัดนี้มา เห็นเขาหล่อเทวดาซักองค์ ยังมีเครื่องบรรจุเลย ถ้าอยากรู้ไปดูเอง
    6. ทำไมลูกศิษย์หายเหรอ ไม่เห็นหายนี่ ไปวัดเสาร์ไหน ก็เจอทุกที ใครที่หายเขาคงไม่ค่อยว่าง หรือคงมีกิจอื่นที่ต้องทำ บางคนก็งานนอกที่ต้องหาเงินหาทองดูแลลูกเมีย อย่างมีคนหนึ่งเรียนด๊อกเตอร์ที่มหาลัย จบจะได้มีรายได้ มีหน้ามีตา พาคนเข้าวัดได้มากๆ แต่ใครที่คิดปรามาสพระ ก็คงหูเบาเหมือนน้องปราบไตรจักรแหละ <O:p
    เคยดูคนวิ่งมาราธอนไหมครับ แรกสตาร์ทออกตัวเป็นร้อย เข้าเส้นชัยจริงๆ บางทีไม่ถึงห้าสิบ ทำบารมีก็เหมือนกัน บางทีอาจเทวดากลั่นกรอง สอบจนเหลือไม่มาก แต่บุญสำเร็จ ดูคณะสร้างพระสิ เขายังไม่ท้อเลย <O:p
     
  4. จักร

    จักร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +432
    เห็นด้วยกับคุณ f1234 นะ ที่ให้เอาบัญชีวัดมาลง จะถามเจ้าอาวาสก่อนแล้วตอบให้ครับ
     
  5. tomon2

    tomon2 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +77
    อย่างที่คุณ f12345 เขียนมาน่าสนใจครับ คงมีคนไม่น้อยที่คิดแบบนี้ ผมเห็นด้วยคนหนึ่งล่ะ ท่านคงมีความรู้สึกคล้ายๆผม กับการตอบคำถามของคณะสร้างในขณะนี้ และเรื่องวุ่นวายที่ไม่จบสิ้นเสียที ไม่แก้ที่เหตุผลก็เลยเป็นเช่นนั้นเอง ....ลูกศิษย์วัดท่านไหนพอจะบอกบัญชีวัดให้ทราบได้บ้างครับ...จะได้มีอีกทางเลือกให้คนอื่นๆบ้าง ขอให้เจริญในธรรมครับ
     
  6. ฐตธนวัฒฆ์

    ฐตธนวัฒฆ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +745
    ศิวดล ว่างๆ มานั่งคุยกันดีกว่านะ จะได้แลกเปลี่ยนความรู้กัน

    ก็จะรอดูว่า วันที่ไปถวายพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ใครจะทำอะไร อย่างไร มีเวลาอีก ๑ ปี ถึงวันนั้นเราคงได้พบกันแน่ๆ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2006
  7. kitjang

    kitjang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 กันยายน 2006
    โพสต์:
    133
    ค่าพลัง:
    +511
    (f) ใจเย็นๆกันครับ คุณฐตธนวัฒน์ ผมคิดว่าคุณ ฟิวส์ขาดแล้ว ดีที่คุณยังมีสติที่ดีครับ ข้อความที่คุณเขียนแล้วลบไปนั้นไม่ดีเลย ยังดีที่คุณรู้ ว่า ไม่ดีครับ :cool: ก็อยากจะให้กำลังใจ กับคณะผู้จัดสร้างพระ กับ คำที่ผมจำขึ้นใจ จากครูบาอาจารย์ว่า " ชีวิต คือ การเรียนรู้ ปัญหาคือการต่อสู้ ศัตรูคือครูของเรา "
     
  8. ฐตธนวัฒฆ์

    ฐตธนวัฒฆ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +745
    พอดีมีคนมาสะกิด...เบาๆพอแล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2006
  9. ฐตธนวัฒฆ์

    ฐตธนวัฒฆ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +745
    ขอบคุณครับคุณ kitjang
     
  10. Doctorjoe

    Doctorjoe Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    10
    ค่าพลัง:
    +74
    การทำบุญ การอนุโมทนาบุญ ควรทำจิตให้เป็นบุญ การร่วมทำบุญสร้างพระ การหล่อพระนี่ เป็นบุญ ทำไมต้องคิดมากกันด้วย เพราะนี่คือการทำบุญ จิตควรเป็นบุญไม่ต้องเป็นทุกข์กังวลเพราะจะได้บาปแทน ให้คิดกันแบบง่ายๆว่า มีเพื่อนมาชวนทำบุญสร้างพระ เมื่อเราทำบุญไปแล้ว อนุโมทนาไปแล้วก็ได้ได้รับความสุขใจไปแล้ว ใครไม่ชอบทำบุญแบบนี้ก็ไม่เป็นไร ก็ควรอยู่เฉยๆ ไม่ควรหาทุกข์ใส่ตัวโดยไปสืบเสาะ แสวงหา ตรวจสอบ จับผิด ถ้าทำไปโดยปรารถนาดี ก็ได้ดีอยู่ แต่ถ้าทำไปโดยเป็นนิสัยของปัจเจกบุคคลแล้วไม่ได้ส่งเสริมเขา เมื่อพบว่าเขาทำดีแล้ว ก็เสียเวลาเป็นทุกข์อยู่เปล่าๆ เหตุไฉนจึงคิดมากกัน เอาเวลามาทำจิตว่างกันดีกว่า
     
  11. ศิวดล

    ศิวดล Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +75
    ใครเคยอ่านกระทู้คนไกลบ้างยกมือจ๊ะ ลองมาให้ดูวันนั้นกับวันนี้

    ข้อความที่ 11
    ท่านที่เป็นโลกอุดรนั้นมีไม่น้อย มีทั้งพระและฆราวาส แต่ที่คนพบเจอกันนั้น ส่วนใหญ่เป็น "พระครูโลกอุดร" ส่วน "หลวงปู่ใหญ่" นั้น ท่านเป็นพระสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ท่านอยู่มานานมากแล้ว อย่างน้อยตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ากกุสันโธ ในสมัยพระพุทธเจ้ายุคก่อนๆนั้น คนจะมีรูปร่างใหญ่โต เอาเป็นว่า หูของหลวงปู่ใหญ่ นั้นยาวประมาณ 3 เมตร (คนที่ไปพบเจอหลวงปู่ใหญ่ก็ยังมีชีวิตอยู่ทั้งพระ ทั้งฆราวาส) หลวงปู่ใหญ่ท่านปรารถนาเป็นอัครสาวกองค์หนึ่งของพระศรีฯ และผู้ที่เป็นใหญ่สุดในบรรดาผู้ที่เป็นโลกอุดรนั้น คือพระมหาโพธิ อันดับหนึ่ง คือ พระศรีอริยเมตตรัยโยโพธิ
    หากใครได้อตีตังญาณมาก่อน เมื่อปฏิบัติเข้าเขตบารมีของตัวเอง ศีลธรรมเขาก็จะเปิดให้เห็นร่างเก่าๆ ในยุคต่างๆของตน
    การเป็นโลกอุดรนั้น ต้องผ่านภูมิธรรมขั้นใดขั้นหนึ่ง อย่างน้อย โสดาปัตติผล(โสดาบันฤทธิ์)และมักมีอภิญญาขั้นสูงสุด ผู้ปฏิบัติในขั้นต้นจะมีเทวตานุสติเป็นพื้นฐาน จนกระทั่ง นาค ครุฑ เทวดา ฯลฯ เขาให้สิทธิ์ในศาสตร์ศิลป์ของเขา ว่ากันง่ายๆก็คือต้อง ผ่านภพ ผ่านภูมิ ต่างๆให้ได้ ในการปฏิบัติเขาจะทดสอบทั้งภายนอกและภายใน ปฏิบัติจากนอกสู่ใน ปฏิบัติจากในสู่นอก และวิธีนี้ผู้ที่ถอดจิตไม่ได้ ก็จะปฎิบัติไม่ได้ เพราะการปฏิบัติจากในสู่นอกนั้น ต้องมีพลังบุญบารมีมากพอที่จะนำพาจิตไปเรียนรู้ศาสตร์และศิลป์ ในภพภูมิต่างๆ ซึ่งเขาจะทดสอบต่างนานา คล้ายๆไปตีศึกนั่นแหละ แต่เมื่อผ่านได้เขาก็จะอนุโมทนา เป็นลำดับไป เรื่องนี้อธิบายยาก เป็นปัจจัตตังน่ะ
    เรื่องโลกอุดรนั้นเป็นเรื่องการปฏิบัติของผู้ปรารถนามาทำบารมีเฉพาะ และมักทำบารมีต่อเนื่องมาอย่างเข้มข้น โดยส่วนใหญ่แล้วจะไม่เกี่ยวข้องกับคนหมู่มาก

    จากคุณ คนไกล เมื่อวันที่ 22/12/2546 0:14:29

    ข้อความที่ 13
    ผู้ที่เป็นโลกอุดรหมายความว่า "ผู้ถึงโลกุตรธรรม" (ทั้งเข้าเป็นภูมิธรรมและผ่านภูมิธรรม) ซึ่งถือว่าเหนือโลกแล้วและมีคุณสมบัติพิเศษคือ มีบุญญฤทธิ์ขั้นสูง สามารถแสดงฤทธิ์ได้อย่างพิสดารด้วยอำนาจของอิทธิบาทสี่ ซึ่งภพภูมิต่างๆเขาอนุโมทนาและสามารถใช้วิชาที่เป็นศาสตร์ศิลป์ของภูมินั้นๆได้ อย่างเช่น วิชาย่นย่อแผ่นดินนั้น อาจจะเดินแค่ 3 ก้าวคือ เดินจากมิติมนุษย์ ไปสู่บังบดจากบังบดก็เดินออกมาสู่มิติมนุษย์ ไม่ได้ย่อแผ่นดินโลกมนุษย์เดินอย่างที่หลายคนเข้าใจกัน
    พระมหาโพธิ ก็มีคุณสมบัติเป็นโลกอุดรครบถ้วน แต่ท่านจะแสดงหรือไม่นั้นอีกเรื่องหนึ่ง
    ปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ผู้ที่เป็นโลกอุดรท่านมักจะไปอยู่ในภูมิบังบดและป่าหิมพานต์กัน เพราะมนุษย์โลกส่วนใหญ่มีศีลธรรมต่ำ นานๆท่านเหล่านั้นจะออกมาโปรดลูกหลานหรือบริวารครั้งหนึ่ง
    ที่จริงหากปฏิบัติยังไม่ถึงระดับและยังถอดจิตยังไม่ได้สมบูรณ์แบบ ก็อย่าไปสนใจมากเรื่องโลกอุดร เพราะจะเป็นเรื่องไกลตัวไป แต่เมื่อมีคุณสมบัติพื้นฐานพร้อมแล้ว หากมีวาสนาบารมีมา ก็คงได้สัมผัสเองแหละ
    ส่วนใหญ่ครูบาอาจารย์ระดับนี้ ท่านจะส่งกระแสจิตมาสอน ผู้ที่ทำตรงนี้ได้ก็มักจะทำโทรจิตได้เช่นกัน หากยังรับส่งกระแสจิตยังไม่แจ่มชัด ยังแยกแยะไม่ได้ว่า สิ่งที่สื่อมานั้นเป็น ผี นาค ครุฑ เทวดา พระ ฯลฯ ก็ยังถือว่ายัง งไกลกับการเข้าถึงผู้ที่เป็นโลกอุดร
    ที่จริงมีเรื่องราวอีกมากเกี่ยวกับโลกอุดร หากเล่าไปก็จะยิ่งสงสัยกันไปใหญ่ และจะขอยุติไว้แค่นี้เพราะเป็นมรรควิถีเฉพาะของผู้ที่มีบุญญฤทธิ์และทรงอิทธิบาทสี่ เท่านั้น ซึ่งถือว่ามีน้อยมากในโลกมนุษย์แห่งนี้
    จากคุณ คนไกล เมื่อวันที่ 28/12/2546 5:23:56

    ข้อความที่ 20
    เราเองไม่ได้เป็นศิษย์หลวงปู่ฤษีลิงดำ ก็เลยไม่รู้จะตอบอย่างไร ว่าทำไมเขาคิดกันแบบนั้น ก็ให้ลูกศิษย์หลวงปู่ฤษีช่วยอธิบายก็แล้วกัน
    เอาเป็นว่า คนเรา ทำบุญบารมี ทำกรรมมาแตกต่างกัน ก็ย่อมรู้เห็นเข้าใจ ในเรื่องต่างๆแตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ก็ให้สำรวม กายกรรม วจี มโน เพราะหากพลาดพลั้งและว่าตามเขาว่าบ่อยๆ ก็จะเป็นโทษแก่ตนเองเปล่าๆ หากรู้นอกแต่ไม่รู้ในนี่ต้องระวัง
    คนเรานั้นสำคัญอยู่ที่ภายในแหละ และทุกภพภูมิเขาก็วัดกันที่ภายใน ว่าใครสั่งสมความดีมามากน้อยแค่ไหน เมื่อปฏิบัติถึงกันก็จะรู้กันเอง ว่าบุญบารมีของตนมีขนาดไหน
    สำหรับเรื่องคุณความดี หรืออิทธิฤทธิ์ ปาฎิหาริย์ ก็ไม่ใช่ว่าจะนำเอามาใช้ได้โดยง่าย อย่างสมัยปัจจุบันนี้ส่วนใหญ่ สิ่งวิเศษในโลกที่เทวดาเขาปิดบังไว้มีอีกมาก เพราะไม่ใช่ยุคสมัยที่จะนำเอามาใช้ได้ เนื่องจากยุคสมัย ความเป็นไปในแต่ละยุค จะเป็นไปตามบารมีที่พระพุทธเจ้าท่านปรุงโลก ปรุงศาสนาคือท่านทำบารมีมาแบบไหนมา โลกในสมัยศาสนาของท่านก็จะแปลตามเป็นแบบนั้น ดังนั้น ผู้ที่เดินอากาศได้ ในสมัยพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ มายุคสมัยนี้ ส่วนใหญ่ก็ต้องมาเดินดินกัน เป็นต้น

    จากคุณ คนไกล เมื่อวันที่ 6/1/2547 22:26:41
    ข้อความที่ 17
    หลวงปู่พุทธอิสระ ภายในท่านดีนะ เราพบท่านภายใน ประมาณสามครั้ง เรื่องถึงไม่ถึงโลกอุดรนี่ เราไม่ขอตอบ เพราะว่ายากที่จะหยั่งถึง แต่ในรูปของศีลธรรมก็พบเจอท่านอยู่ในโลกทิพย์
    ท่านเป็นพระมหาโพธิ องค์หนึ่งแหละ มีคุณความดีต่อการได้รับการกราบไหว้อยู่มาก
    บางทีพระมหาโพธิ ท่านก็อาจจะว่ากล่าวพระสาวก เป็นบางครั้ง ในทางธรรมท่านอาจจะไม่เป็นไรเพราะบุญบารมีบารมีท่านมากแล้ว แต่อย่างเราๆนี่ที่ยังไม่เห็นหัวเห็นหางตัวเอง ก็อย่าไปริทำ เพราะแบกรับบารมีพระเหล่านั้นไม่ไหวหรอก จะทำให้การปฏิบัติติดหล่มซะเปล่าๆ
    เรื่องโลกอุดรนั้นตำราพอมีอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่ผู้ปฏิบัติที่ท่านเป็นพระ ท่านมักจะไม่เปิดเผยมาก ท่านจะบังๆไว้เป็นปริศนาธรรม ของเราเรียนรู้เรื่องโลกอุดร จากการปฏิบัติน่ะ และก็ไม่สามารถบอกทั้งหมดได้ นักปฏิบัติปากโป้งมากก็ไม่ได้ หากเทวดาเขาติแล้วจะเสียหาย คล้ายๆจะโดนตัดคะแนนในการปฏิบัตินั่นแหละ เรื่องลึกๆเกี่ยวกับภพภูมิ ก็มักเปิดเผยมากไม่ได้เช่นกัน พระพุทธเจ้าท่านจึงบัญญัติเรื่องปัจจัตตังไว้ไงล่ะ
    จากคุณ คนไกล เมื่อวันที่ 30/12/2546 16:35:55

    ///ได้สาระดีมั้ย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2006
  12. ศิวดล

    ศิวดล Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +75
    ฐตธนวัฒฆ์ รีบลบเลยนะ ตัวเองกลัวเสียลักษณ์เหรอ ทีหลังจะเขียนอะไรนี่ระวังหน่อยนะ ถ้าจะหลอกผู้ชม big brother นี่ต้องไปเรียนวิชาแถวอุดรกับอัญญาสิทธิ์ก่อนนะ จะได้แบ่งภาคได้เก่งๆ อิ อิ
     
  13. ศิวดล

    ศิวดล Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +75
    ฐตธนวัฒฆ์ อยากเจอศิวดลหรอ ทำไมต้องไปแอบคุยกันหละ จะเอาเงินมาปิดปากศิวดลหรอ ไม่เอาๆ ถ้าศิวดลหายไปนี่สงกะสัย ท่านผู้ชมคงมองศิวดลไม่ดีแน่ๆเลย ว่าแอบไปแบ่งตังส์กับใคร ...ปล.วันหลังส่งเป็นเช็คมาก็ได้ ศิวดลจะรอ จุ๊ๆๆๆๆ อย่าเอ็ดไป
     
  14. ฐตธนวัฒฆ์

    ฐตธนวัฒฆ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +745
    ไม่กลัวเสียภาพลักษณ์หรอก แปลกนะครับศิวดลมา หน้าเสือใจเนื้อกลับ จักรไม่อยู่ เอาอย่างนี้นะน้องศิวดล ต้องการอะไรบอกกันมาตรงๆดีกว่านะ ไม่อยากให้ทำอะไรบอกมาดีกว่า
     
  15. Wisdom

    Wisdom ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,669
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +26,542
    ...
     
  16. ฐตธนวัฒฆ์

    ฐตธนวัฒฆ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +745
    ไม่แอบพบหรอก ไปหาที่วัดป่าฯดีกว่า วันที่ ๕ ธันวา ดีมั้ย เยือนถึงถิ่นดีกว่า

    อ้อ...itv_man หน้าเสือใจเนื้อ จักร เอก อบ แจ๊ค ช่างทอง รอพบด้วยละ
     
  17. shunkthong

    shunkthong Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    5
    ค่าพลัง:
    +36
    <TABLE style="BORDER-TOP-STYLE: dotted; BORDER-RIGHT-STYLE: dotted; BORDER-LEFT-STYLE: dotted; BORDER-BOTTOM-STYLE: dotted" borderColor=#ff0000 cellSpacing=0 cellPadding=2 width=650 border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=2 width="90%" bgColor=#800000 border=0><TBODY><TR><TD><BASEFONT>
    บรมครูพระเทพโลกอุดร <CENTER></CENTER>
    </BASEFONT>
    </TD></TR></TBODY></TABLE>




    <TR><TD>[​IMG]
    ตามหลักฐานบันทึกในหนังสือมหาวงค์ พงศาวดารลังกา (คำบรรยายของหลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ อดีตภัณฑารักษ์เอก กรมศิลปากร ) พ.ศ. ๓๐๓ และตามหลักฐานของวัดเพชรพลี (วัดพริบพรีเดิม บันทึกอักษรเทวนาคี ขุดค้นพบ ณ ซากศิลาวัดบัวคูบัว ต.คูบัว จ.ราชบุรี ) กล่าวว่า พระพุทธศาสนาได้เริ่มแพร่เข้าสู่แคว้นสุวรรณภูมิ ใน พ.ศ. ๒๓๕ ( ซึ่งระยะต่างกัน ๖๘ ปี พ.ศ. ๓๐๓-๒๓๕ ) พระเจ้าอโศกมหาราชได้ทรงกระทำตติยสังคายนาพระไตรปิฎก คือ ทำการชำระพระไตรปิฎกขึ้นเป็นครั้งที่ ๓ ครั้รแล้วจึงอาราธนาพระโมคคลีบุตรติสสเถระ องค์อรหันต์เป็นประธานคัดเลือกบรรดาพระอรหันตเถระ ออกทำการเผยแพร่พระพุทธศาสนายังนานาประเทศ โดยแบ่งเป็น ๙ คณะ คณะที่ ๘ ไปยังสุวรรณภูมิประเทศ ( พม่า มอญ เขมร ลาว รามัญ ญวน ไปจรดแหลมมลายู หรือที่เรียกว่าอินโดจีน เป็นสุวรรณภูมิทั้งสิ้น )

    <CENTER>คณะธรรมฑูตคณะที่ ๘ ประกอบด้วย </CENTER>
    ๑. พระโสณเถระ
    ๒. พระอุตระเถระ
    ๓. พระฌานียะ
    ๔. พระภูริยะ
    ๕. พระมูนียะ
    สามเณรอิสิจน์ สามเณรคุณะ สามเณรนิตตย เขมกะอุบาสก อนีฆาอุบาสก อดุลลยอำมาตย์ และคุณหญิงอดุลยา พราหมณ์และนางพราหมณี ผู้คนอีก ๓๘ คน ได้มาพักที่วัดช้างค่อม ( นครศรีธรรมราช ) เมื่อวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือนอ้าย พ.ศ. ๒๓๕ ออกบิณฑบาตวันขึ้น ๑๕ ค่ำ แล้วเทศนาพรหมชาลสูตร และได้วางวิธีอุปสมบทญัตติจถกรรมวาจา โดยใช้อุทกเขปเสมาหรือเสมาน้ำและได้วางเพศชีสยาม โดยถือแบบเหล่าพระสากิยานีซึ่งเป็นต้นของพระภิกษณี โดยบวชหรือบรรพชาไม่มีเรือน ( อาคารสมา อนคาริย ปพพชชา ) ได้วางวิธีสวดปาติโมกข์ หรืออุโบสถกรรม ปวารณากรรม
    เมื่อพระเจ้าโลกละว้า (เจ้าผู้ครองแคว้น สุวรรณภูมิ ) รับสั่งให้มนขอมพิสณุขอมเฉย ขอมสอน ขอมเมือง สร้างวัดมหาธาตุ ท่านได้วางวิธีกำหนดนิมิตผูกขันธสีมา พ.ศ. ๒๓๘ เดือน ๕ ขึ้น ๑๕ ค่ำ
    ขณะอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ท่านได้สอนพระบวชใหม่ให้ท่องพระไตรปิฎกจบหลายองค์ แล้วจึงวางจึงวิธีสวด สาธยายโดยฝึกซ้อมให้คล่อง เมื่อคล่องแล้วจึงจะสัชฌากันจริง ๆ ท่านให้มนขอมปั้นพระพุทธรูปด้วยปูนขาวเป็นพระประธานในโรงพิธี เมื่อเรียบร้อยแล้วท่านวางวิธีกราบ สวดมนต์ ไหว้พระ เห็นดีแล้วจึงให้สร้างพระพุทธรูปประจำพระอุโบสถ จึงเป็นธรรมเนียมสืบต่อมาท่านได้วางวิธีกฐิน และธุดงค์ คือเที่ยวจารึกไปในเมืองต่าง ๆ
    การสร้างพระพุทธรูปในสมัยดังกล่าวนี้ก็ล้วนเป็นสิ่งสมมติ พระพุทธรูปเป็นองค์สมมติ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสงฆ์ก็เป็นเพียงสมมติสงฆ์ สาวกของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ส่วนพระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านใช้วงล้อเกวียนประดิษฐ์เป็นพระธรรมจักรแทนพระธรรม กับทีทิค ( มิ-คะ) คือสัตว์ประเภทกวาง ฟาน หรือเก้ง เป็นเครื่องหมายในสมัยสุวรรณภูมิ
    ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๓๙ พระโสณเถระกับพระเจ้าโลกละว้าราชา ได้ส่งพระภิกษุสยาม ๑๐ รูป มีพระญาณจรณะ (ทองดี) เป็นหัวหน้า พร้อมด้วยสามเณร ๓ รูปอุบาสก อุบาสิกา ได้เรียนและศึกษา ณ กรุงปาตลีบุตร แคว้นมคธ นับเป็นเวลา ๕ ปี ลุปี พ.ศ. ๒๔๕ พระเจ้าโลกละว้าสิ้นพระชนม์ ตะวันทับฟ้า ราชบุตรขึ้นครองราชย์ ทรงพระนามว่า ตะวันอธิราชเจ้า พระโสณเถระอยู่ ณ แดนสุวรรณภูมิวางรากฐานพระธรรมวินัยในพระบวรพระพุทธศาสนา เป็นระยะเวลา ๒๙ ปี และนิพพานในปี พ.ศ. ๒๖๔
    ตามหลักฐานบันทึกนี้จะเห็นได้ว่า กล่าวเพียงพระโสณเถระ ไม่ได้กล่าวถึงพระอุตรเถระ เป็นปัญหาว่า บรมครูพระเทพโลกอุดรเป็นองค์ใดกันแน่ เพราะในสมัยปัจจุบันกล่าวถึงบรมครูพระเทพโลกอุดร ไม่มีใครรู้จักพระอุตรเถระ
    เรื่องราวเกี่ยวกับบรมครูพระเทพโลกอุดรมีมาช้านานแล้ว เริ่มตั้งแต่ยุคสมัยสุวรรณภูมิ หริภุญไชย สุโขทัย อยุทยา และรัตนโกสินทร์ หลักฐานที่ปรากฏชัดเจนแต่ขาดการค้นคว้าอย่างจริงจัง รู้อยู่ในหมู่คนกลุ่มน้อย รู้ทางเจโตปริญาณบ้าง เช่น พระอริยคุณาธาร (ปุสโสเส็ง ) และหลวงปู่คำคะนิง ต่างเห็นพ้องต้องกันว่า “ บรมครูพระเทพโลกอุดร คือพระอุตรเถระ” ผู้ที่เคยได้พบท่านได้ถามท่านว่า “ บรมครูพระเทพโลกอุดรท่านคือพระอุตรเถระใช่ไหม” ท่านไม่ปฎิเสธ
    ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ท่านมีอายุ ๒,๐๐๐ กว่าปีแล้วท่านอยู่ได้อย่างไรกัน จึงมีความเชื่อแบ่งออกเป็น ๒ ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าท่านนิพพานไปนานแล้ว อีกฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าท่านยังไม่นิพพาน เพราะยังมีผู้พบเห็นท่านอยู่เสมอแม้กระทั่งทุกวันนี้
    บรมครูพระเทพโลกอุดร เป็นพระภิกษุลี้ลับ เร้นลับ และมหัศจรรย์อเนกประการ ลี้ลับ เร้นลับไปหมดทุกอย่าง เริ่มตั้งแต่ชื่อของท่าน ที่อยู่อาศัยของท่าน และที่มาที่ไปของท่าน และที่มหัศจรรย์ก็คือ เรื่องราวของท่านทั้งหมด
    บรมครูพระเทพโลกอุดรคือใคร เป็นคำถามที่หาคำตอบที่สมบูรณ์ยังไม่ได้ เพราะ
    ท่านจะสอนลูกศิษย์เสมอว่า อดีต เป็นเรื่องที่ผ่านพ้นไปแล้ว ไม่ต้องนำมาคิด อนาคต เป็นเรื่องที่ยังมาไม่ถึง ไม่ควรไปสนใจให้เสียเวลา ปัจจุบัน สำคัญที่สุดให้เร่งศึกษา เริ่งปฎิบัติ
    เมื่อถามถึงชื่อท่าน ท่านก็จะไม่ตอบ แต่จะบอกว่าอย่ามัวไปเสียเวลากับชื่อ ให้เร่งปฎิบัติ เป็นการตอกย้ำว่า ช่วงเวลาของชีวิตนี้น้อยนักไม่เพียงพอแก่การปฎิบัติอยู่แล้วอย่ามัวไปเสียเวลากับการไม่ปฎิบัติอยู่เลย
    ชื่อที่เรียกท่านอยู่ทุกวันนี้ จึงเป็นชื่อสมมุติที่ท่านวังหน้า หรือสมเด็จวังหน้ากรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท (บุญมา) พระอนุชาในสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าฯ รัชการที่ ๑ แห่งปฐมบรมจักรรีวงศ์ เป็นผู้เรียกท่าน
    บางท่านบอกว่า บรมครูพระเทพโลกอุดรคือพระมหาโพธิศรีอุดม ซึ่งชื่อนี้พระมหากัสสปะ เป็นผู้ตั้งให้ บิดาท่านเป็นชาวเนปาล มารดาท่านเป็นชาวทิเบต
    บางท่านบอกว่า ท่านคือ ครูบาบุญทา จันทวังโส เกิดเมื่อเดือน ๗ เหนือปี พ.ศ. ๑๘๓๔ บิดาชื่อ คำฝั้น เป็นคนศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย มารดาชื่อ คำขยาย เป็นคนจังหวัดลำพูน มรณภาพเมื่อปี พ.ศ. ๑๙๒๐ อายุ ๘๖ ปี อัฐิของท่านเก็บไว้ที่พระธาตุ (เจดีย์) วัดสันป่ายางหลวง อ. เมือง จ. ลำพูน
    บางท่านบอกว่าท่านคือ หลวงปู่คำแพง คำภาวนาถึงท่านใช้คำว่า “ โอทาตัง”
    ทางท่านบอกว่าท่านคือ หลวงปู่เดินหน คำภาวนาถึงท่านใช้คำว่า “อิเกสาโร อกาวิติ นโมพุทธายะ” เป็นคน อ. เดิมบางนางบวช จ. สุพรรณบุรี บิดาเป็นคนจีน มารดาเป็นคนไทย ท่านได้มรณภาพไปแล้ว เมื่อ ๖๐ กว่าปีก่อน สังขารของท่านอยู่ที่ถ่ำละว้า จ. กาญจนบุรี ในท่านั่งสมาธิ
    ฝ่ายหนึ่งเชื่อว่าท่านได้มรณภาพไปแล้ว เพราะไม่เชื่อว่าพระจะมีอายุยืนยาวหลายร้อยปี
    แม้แต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สุดยอดแห่งพระภิกษุในโลกนี้ยังมรณภาพ
    เคยมีลูกศิษย์ของท่านถามท่านว่า ท่านอายุเท่าไรแล้ว ท่านได้กรุณาบอกลูกศิษย์ว่า ไม่ได้จำ จำได้แต่ว่า เมื่อตอนสร้างประปรางค์ลพบุรีนั้น ท่านได้มายืนดูเขาสร้างอยู่ ประกอบกับเหตุผลดังกล่าวข้างต้น จึงมีผู้เชื่อว่าท่านมรณภาพแล้ว มีการเชิญดวงวิญญาณท่านประทับทรง ซึ่งมีหลายสำนักทรงอยู่ มีทั้งทรงจริง ทรงไม่จริง เป็นเรื่องของศรัทธา ท่านผู้อ่านต้องพิสูจน์เอาเอง เห็นจริงแล้วจึงค่อยเชื่อ อันเป็นหลักธรรมคำสอนของพระพุทธศาสนา


    <CENTER>กาลามสูตรของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระบรมครู </CENTER><CENTER>๑. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตาม ๆ กันมา </CENTER>๒. อย่าปลงเชื่อ ด้วยการถือสืบ ๆ กันมา
    ๓. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
    ๔. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
    ๕. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะตรรก
    ๖. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมาน
    ๗. อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการคิดตรองตามแนวเหตุผล
    ๘. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฏีที่พินิจไว้แล้ว
    ๙. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะมองเห็นรูปลักษณะน่าจะเป็นไปได้
    ๑๐. อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้เป็นครูของเรา
    พิสูจน์ให้รู้แจ้งเห็นจริงแล้วจึงเชื่อ

    <CENTER>โอวาทหลวงปู่เทพโลกอุดร </CENTER>
    การปฎิบัติธรรมทางด้านจิต จงเป็นผู้มีสติปัญญารู้เท่าทันความเคลื่อนไหวของจิตทุกลมหายใจเข้าออกและทุกอิริยบท เว้นเสียแต่หลับ เมื่อรู้ทันจิตแล้ว ต้องรู้จักรักษาจิต คุ้มครองจิต จงดูจิตเคลื่อไหวเหมือนเราดูลิเกหรือละคร เราอย่าเข้าไปเล่นลิเกหรือละครด้วย เราเป็นเพียงผู้นั่งดู อย่าหวั่นไหวไปตามจิต จงดูจิตพฤติการณ์ของจิตเฉย ๆ ด้วยอุเบกขา จิตไม่มีตัวตน แต่สามารถกลิ้งกลอกล้อหรือยั่วเย้าให้เราหวั่นไหวดีใจและเสียใจได้ ฉะนั้นต้องนึกเสมอว่าจิตไม่มีตัวตน อย่ากลัวตจิต อย่ากลัวอารมณ์ เราหรือสติสัมปชัญญะต้องเก่งกว่าจิต
    ความนึกคิดอารมณ์ต่าง ๆ เป็นอาการของจิต ไม่ใช่ตัวจิต แต่เราเข้าใจว่าเป็นตัวจิตธรรมชาติคือผู้รู้อารมณ์ คิดปรุงแต่งแยกแยะไปตามเรื่องของมัน แต่แล้วมันต้องดับไปเข้าหลักเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป คือไม่เที่ยง ไม่จีรังยั่งยืนทนได้ยากเป็นทุกข์ และสลายไปไม่ใช่ตัวตน มันจะเกิดดับ ๆ อยู่ตามธรรมชาติ เมื่อเรารู้ความจริงของจิตเช่นนี้ เราก็จะสงบไม่วุ่นวาย เราในที่นี้หมายถึงสติปัญญา สัพเพ ธัมมา อนัตตา ธรรม (สิ่งทั้งปวง ) เป็นอนัตตาคือไม่ใช่ตัวตน
    นิมิตที่เกิดขึ้นขณะนั่งสมาธิมีอยู่ ๒ ประการ คือ ๑ . เกิดขึ้นเพราะเทพบันดาล คือเทวดาหรือพรหมแสดงภาพนิมิตและเสียงให้รู้เห็น ๒. นิมิตเกิดขึ้นเพราะอำนาจสมาธิเอง
    นิมิตจะเป็นประเภทใดก็ตาม ขอให้ผู้เจริญกรรมฐานจงเป็นผู้ใช้สติปัญญาให้รู้เท่าทันนิมิตที่เกิดขึ้นนั้นด้วยปัญญา อย่าเพิ่งหลงเเชื่อทันทีจะเป็นความงมงาย ให้ปล่อยวางนิมิตนั้นไปเสียอย่าไปสนใจให้เอาจิตทำความจดจ่ออยู่เฉพาะจิต
    เมื่อจิตสงบรวมตัว จิตถอนตัวออกมารับรู้นิมิตนั้นอีก หากปรากฎนิมิตอย่างนี้ซ้ำ ๆ ซาก ๆ หลายครั้งแสดงว่านิมิตนั้นเป็นของจริงเชื่อถือได้ แต่อย่างไรก็ตามนิมิตที่มาปรากฏนี้อยู่ในขั้นโลกียสมาธิ นิมิตต่าง ๆ จึงเป็นความจริงน้อย แต่ไม่จริงเสียมาก จงมุ่งหน้าทำจิตให้สงบเป็นอัปนาสมาธิ อย่าสนใจนิมิต หากทำได้อย่างนี้ จิตจะสงบตั้งมั่น เข้าถึงระดับฌานจะเกิดผลคือสมาบัติสูงขึ้นตามลำดับ จิตจะมีพลังอำนาจอันมหาศาล ฤทธิ์เดชจะตามมาเองด้วยอำนาจของฌาน

    <CENTER>ธรรมะบางข้อของ บรมครูพระเทพโลกอุดร </CENTER>
    จึงได้ธรรมะของท่าน สรุปย่อ ๆ บางส่วนได้ดังนี้
    ๑. ธรรมะของท่านต้องเกิดจากการปฎิบัติเท่านั้น
    ๒. ต้องมีสติอยู่ทุกลมหายใจเข้าออก
    ๓ อยากรู้ธรรมะหรือคำสอนของท่านให้ดูจิตตนเอง
    ๔. ให้รักผู้อื่นเหมือนที่รักตน
    ๕. ให้ทำตัวเหมือนน้ำ
    - น้ำไปได้ทุกสถานที่ อยู่ในน้ำ ในอากาศ ในดิน
    - น้ำอยู่ได้ทุกสภาวะ เป็นไอน้ำ เป็นน้ำ เป็นน้ำแข็ง
    - น้ำให้ความชุ่มชื่น สดชื่น แก้กระหาย น้ำให้ชีวิต และทำลายชีวิต
    - น้ำให้ความความเย็น ให้ความร้อน
    - น้ำมีรูปร่างต่าง ๆ กันตามรูปร่างของภาชนะ
    - น้ำใช้ล้างความสกปรกให้สะอาด ฯลฯ

    <CENTER>นิพพานนัง ปรมัง สุขัง </CENTER><CENTER>“ นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง นิพพานไม่มีทุกข์
    ไปถึงพระนิพพานแล้วไม่มีคำว่าตาย
    ไม่มีคำว่าเคลื่อน ไม่มีคำว่าไปไหน
    อยู่ที่พระนิพพาน เป็นสุข
    ไม่แก่ ไม่ป่วย ไม่ตาย” </CENTER>

    <CENTER>พระคาถาบูชาบรมครูพระเทพโลกอุดร </CENTER>
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
    โย อะริโย มะหาเถโร อะระหัง อะภิญญาธะโร
    ปะฎิสัมภิทัปปัตโต เตวิชโช พุทธะสาวะโก
    พะหู เมตตาทิวาสะโน มะหาเถรานุสาสะโก
    อะมะตัญเญวะ สุชีวะติ อะภินันที คหาวะนัง
    โส โลกุตตะโร นาโม อัมเหหิ อะภิปูชิโต
    อิธะ ฐานูปะมาคัมมะ กุสะเล โน นิโยชะเย
    ปุตตะเมวะ ปิยัง เทสิ มัคคะผะลัง วะ เทสสะติ
    ปะระมะสารีริกะธาตุ วะชิรัญจาปิวานิตัง
    โส โลเก จะ อุปปันโน เอเกเนวะ หิตังกะโร
    อะยัง โน โข ปุญญะลาโภ อัปปะมัตโต ภะเวตัพโพ
    สาธุกันตัง อะนุกะริสสามะ ยัง วะเรนะ สุภาสิตัง
    โลกุตตะโร จะ มะหาเถโร เทวะตานะระปูชิโต
    โลกกุตตะระคุณัง เอตัง อะหัง วันทามิ ตัง สะทา
    มะหาเถรา นุภาเวนะ สุขัง โสตถี ภะวันตุ เม
    (แปล ขอน้อบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง (๓ครั้ง)
    พระมหาเถระผู้เป็นอริยเจ้าองค์ เป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา พุทธสาวกผู้ได้วิชชาสาม
    มีเมตตาต่อคนทั้งหลายเป็นวิหารธรรม พระมหาเถระผู้ชำนาญในการสั่งสอน ดำรงชีวิตอมตะ ยินดีในการอยู่ป่าคือถ้ำ
    พระมหาเถระองค์นั้นมีนามว่า โลกอุดร อันพวกเราบูชาอย่างยิ่ง เพราะอาศัยในคุณธรรมในองค์ท่าน ชักชวนพวกเราประกอบกุศลทั้งหลาย
    ท่านให้ความรักพวกเราเหมือนบุตร แสดงมรรคและผลเท่านั้น พระธาตุของท่านส่องประกายดังเพชร
    พระมหาเถระอุบัติขึ้นในโลก และทำประโยชน์โดยส่วนเดียวด้วย นับเป็นบุญลาภของพวกเรา อันหาประมาณมิได้
    พวกเราจักกระทำตามคำสั่งสอนของท่านอันเป็นยอดสุภาษิต อนึ่งพระมหาเถระนามว่าโลกอุดร เป็นที่เคารพบูชาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
    ข้าพเจ้าจักกราบไหว้บูชาคุณของพระอุตตระตลอดกาลทุกเมื่อ ด้วยอานุภาพแห่งพระมหาเถระ ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่ข้าพเจ้าทุกเมื่อเทอญ

    <CENTER>ฉบับย่อ </CENTER>
    นะโม ๓ จบ

    <CENTER>โลกกุตตะโร จะ มะหาเถโร
    อะหัง วันทามิ ตัง สะทา
    เมตตาลาโภ นโสมิยะ
    อะหังพุทโธฯ </CENTER>
    ภาวนา ๓ จบ ๗ จบ หรือ ๙ จบ เช้า-เย็น ตื่นนอน และก่อนนอน

    <CENTER>พระคาถาบูชาบรมครูเทพโลกอุดร </CENTER>
    นะโม ๓ จบ
    อุตะเร อะริโยนามะ วันทิตาเตจะ อัมเหหิ
    สักกาเรหิ จะปูชิตา เอเตสัง อานุภาเวนะ
    สัพพะ โสตถี ภะวันตุโน
    เมตตา ลาโภ นะโส มิยะ อะหะ พุทโธ
    เมตตา ลาโภ นะโส ทะยะ อะหะ พุทโธ
    นะโมพุทธายะ นะมะพะธะ จะภะลาโภ
    นิโสทะโย อะหะพุทโธ นะโมพุทธายะ
    อิตติถะลาโภ เอกลาโภ ชะโยนิจจัง

    <CENTER>พระคาถาบูชาบรมครูเทพโลกอุดร </CENTER>
    (อธิษฐานฤทธิ์) นะโม ๓ จบ

    <CENTER>อะอุมะ พุทโธ นะโมพุทธายะ
    นะมะพะธะ รัตตะนะตะยา นุภาเวนะ
    สะทา โสตถี ภะวันตุเม
    อิทธิ อิทธิ ฤทธิ ฤทธิ สิทธิ สิทธิ
    ชัยยะ ชัยยะ ลาภะ ลาภะ
    อุตระเรนะ
    พุทธะ นิมิตตัง อิติ
    ธัมมะ นิมิตตัง อิติ
    สังฆะ นิมิตตัง อิติ</CENTER>
    (ตั้งจิตอธิษฐานตามความปราถนา)
    <CENTER>พระคาถาขอพบบรมครูพระเทพโลกอุดร </CENTER>
    นะโม ๓ จบ
    “ โย อะริโย มะหาเถโร นามะ อุตะโร
    จะอำมะเหหิ ปูชิตา เอเตนะ ชะยะมังคะลัง”
    ท่องวันละ ๓ จบก่อนนอนเป็นเวลา ๑๑ วันติดต่อกัน เมื่อครบแล้ว รุ่งเช้าวันที่ ๑๒ ให้จัดอาหารเจไปรอใส่บาตรที่สถานอันเหมาะสม เช่น หน้าบ้านของตัวเราก็ได้
    ขอเรียนว่าอาจจะไม่พบเห็นทุกคน แต่ให้ทำใหม่ได้อีกใน ๖ เดือนต่อไป หากมีความนับถือ คือศรัทธาจริง ก็คงจะพบในครั้งใดครั้งหนึ่งแน่นอน คาถาบทนี้อย่างน้อย ก็เคยมีคนได้พบบรมครูพระเทพโลกอุดรมาแล้ว ก่อนจะท่องให้จัดเครื่องบูชาเสียก่อน คือ
    ๑. ธูป ๙ ดอก ๒. เทียน ๙ เล่ม ๓. ดอกไม้สีขาว ๙ ดอก ผ้าขาวหรือกระดาษขาวเท่าฝ่ามือ ๙ ผืน / แผ่น ใส่พานหรือถาดไว้ในที่สูงหรือหน้าที่บูชาพระ ( จัดครั้งเดียวต่อพิธี ๑๑ วัน ที่ทำพิธี ๑๑ วัน ที่ทำพิธีแต่ละครั้ง ) จะทราบได้อย่างไรว่าเป็นบรมครูพระเทพโลกอุดร เพราะท่านไม่มาในร่างจริงเสมอไป ก็ขอให้สังเกตที่ข้อเท้า คือเท้ายาวผิดปกติ บางคนก็ได้เห็นท่านในรูปตัวจริงก็มี บางคนเห็นเป็นพระหนุ่มรูปงาม งามเหนือมนุษย์ทั่วไป ท่านบอกว่า ผู้ใดนับถือศรัทธาท่านจริง และเวลาภาวนาทำใจเหมือนเด็กแรกเกิดได้ ผู้นั้นได้พบกับท่านแน่นอน

    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    ขออนุญาตนำมาลงเป็นความรู้ครับ ขอให้เจอพระครูเทพกันทุกๆคนครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2006
  18. chatyamn

    chatyamn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    664
    ค่าพลัง:
    +4,057
    ช่างทอง...นี่ สะดุดผมเลยนะครับ...(คงไม่ได้หมายถึงเรามั๊ง อุปทานกินหัวอีกแล้ว)....ผมพึ่งเคยไปวัดป่าสีดาครั้งเดียวเอง....อิอิ.
     
  19. ไผ่สีทอง

    ไผ่สีทอง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    20
    ค่าพลัง:
    +120
    มีคนมาทดสอบผู้พันเยอะจัง

    อ่านแล้วเหนื่อย

    วันนี้จะเป็นอดีตของวันพรุ่งนี้

    วันนี้จะเป็นอดีตของวันสร้างพระเสร็จ
    อยากเห็นวันสร้างพระเสร็จจังเลย

    แล้วคงอยากกลับมาอ่านข้อความของวันนี้อีก
    ใครเป็นใคร แล้วใครจะไปไหน แล้วใครจะได้อะไร

    ด้วยภูมิปัญญาอันน้อยนิดของกระผม
    น่าจะพอดูออก

    อนุโมทนา สาธุ กับคณะด้วยครับ
     
  20. ศิวดล

    ศิวดล Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    62
    ค่าพลัง:
    +75
    //
    ดูท่าแล้ว คุณศิวดลนั้นไม่ใช่ลูกศิษย์หลวงปู่ทองทิพย์แน่นอนครับ แต่เป็นลูกศิษย์ใครผมไม่ทราบ เพราะดูแล้วไม่เข้าใจในพระธรรมคำสอนของหลวงปู่ทองทิพย์เอาซะเลย ผมว่าสุดท้ายคุณศิวดลจะเอาตัวไม่รอดเพราะไม่สามารถต้านทานบารมีการอธิษฐานจิตของครูบาอาจารย์ทั่วประเทศ ที่ท่านร่วมกันอธิษฐานจิตเพื่อความสำเร็จในการสร้างพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ได้ เพราะบุญบารมีจากการสร้างพระในครั้งนี้ครูบาอาจารย์ท่านบอกไว้ว่าสามารถลัดบารมีในการบำเพ็ญได้ถึง 1 กัปป์ ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ครูบาอาจารย์หลายๆท่านรวมทั้งสานุศิษย์ของท่าน ขวนขวายกันที่ร่วมสร้างพระพุทธเจ้า 5 พระองค์เพื่อหวังอานิสงส์กันครับ//

    โหคุณนี่ไวจริงๆ เผลอแผลบเดียวชวนเชื่อเลยนะ ไอ้เรื่องผมจะเป็นลูกศิษย์ใครนี่ก็บอกไปแล้วนะ

    ผมถือครูบาอาจารย์เดียวครับ ขันธ์ครูก็มีอยู่ หลวงปู่ทองทิพย์ ท่านสอนครับ ว่า "อย่าหลายครูหลายคาย" ผมจำได้ครับและนำไปปฏิบัติ แต่คุณอัญญาสิทธิ์นี่ผมว่าคงจำคำสอนนี้ของหลวงปู่ไม่ได้ ดูจะหลายครูนะ เดี๋ยวไปหาพระองค์นั้นทีองค์นี้ที ให้รับรองศีลธรรมตัวเอง แต่พอดีพระที่วัดป่าสีดาท่านไม่ชอบรับรองกิเลสคนครับ ก็เลยไม่พอใจ หรือว่าคุณอัญญาสิทธิ์ร้อนวิชาครับ

    หลวงปู่เคยเตือนอะไรคุณไว้บ้างล่ะกับเรื่องนี้ จะให้เอามาเล่าแบบสาธารณะไหม จะได้รู้กันไปเลย

    อานิสงค์ในการสร้างพระน่ะมีจริง ไม่ใช่ไม่มีผมเชื่อ เคยห้ามคุณหรือ ผมห้ามคุณไม่ได้หรอก แต่ผมมาชี้ให้คนอื่นเห็นแสงสว่างที่น้อยนิดเท่านั้นเอง สรุปนะผมรู้สึกว่าการตอบคำถามของพวกคุณต่างหากที่มันไม่เห็นจะตรงประเด็นกันซักเท่าไหร่เลย

    ไม่ต้องตามมาตอบผมทุกคำถามก็ได้ ผมลดคำถามทุกอย่างเลยนะไม่อยากให้อุณหภูมิในเวปนี้มันมากไป ถามประโยคเดียว
    "ทำไมถึงไม่ไปปรึกษาคนที่วัดก่อน ถ้าสร้างเสร็จแล้วจะเอามาวางไว้เฉยๆ หรือ วัดนี้ไม่ใช่วัดร้างนะเขามีคนดูแลอยู่ รวมถึงญาติโยมที่มาทำบุญทุกเช้าๆ เขาก็เป็นห่วงเรื่องนี้ และเขาก็รักและศรัทธาพระที่คุณพูดถึงกันทุกคน ทำไมคุณเอาข้อมูลไม่จริงมาลงล่ะ เพื่ออะไร เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของหลวงปู่หรือใครกันแน่"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤศจิกายน 2006
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...