เรื่องราวที่คนทั่วๆไปไม่ค่อยรู้

ในห้อง 'พุทธภูมิ - พระโพธิสัตว์' ตั้งกระทู้โดย Aunyasit, 26 สิงหาคม 2005.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. Peng+

    Peng+ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +119
    ขอสนทนาเรื่องการกินเจต่อนะครับ

    จากที่คุณอัญญาสิทธิ์บอก
    "กฏแห่งกรรมที่สรรพสัตว์ต้องหมุนเวียนอยู่ในสังสารวัฏ ต้องมีบุพกรรมเป็นเชื้อของการเวียนว่ายตายเกิดจึงจะสามารถวนเวียนมาทำบารมีเพื่อการหลุดพ้นได้ หากไปกินพืชอย่างเดียวนานๆเข้าก็จะไม่สามารถมาวนเวียนทำบารมีได้ "

    อย่างนั้น ถ้าเราหวังเพื่อการหลุดพ้นในชาติปัจจุบัน การกินเจก็สามารถเสริม ให้ไม่เกิดเชื่อของกรรม และจะไม่ก่อบุพกรรมใหม่ต่อสังสารวัฎ จะไม่ทำให้เร่งเวลาเข้านิพพานง่ายกว่าหรือครับ (กรณีอรหันตสาวก ไม่ใช่พุทธภูมิที่ต้องการสังสารวัฏในการสร้างบารมี)

    และอีกอย่างที่ผมยังสงสัยเพิ่มเติมก็คือว่า กรณีอย่างพรหม ที่มีอายุยาวนานมากเมื่อเทียบกับมนุษย์ (สมมุติว่ามนุษย์อายุ 100 ปี วัวควายที่กินหญ้าอายุ 20ปี) การเวียนในสังสารวัฎ ย่อมได้จำนวนรอบมากกว่าพรหมมาก แต่พรหมก็มิได้ กินเนื้อสัตว์ แล้วอย่างนี้พรหมก็ไม่มีเชื้อของกรรมนะสิครับ แต่พรหมก็ยังอยู่ในสังสารวัฎ แล้วพรหมจะมีเชื้อบุพกรรมไหมครับ คุณอัญญาสิทธิ์พออธิบายข้อสงสัยได้ไหมครับ
     
  2. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    คุณ zoba

    การบูชาพระไว้ที่หิ้งพระ หากผู้บูชาสวดมนต์ไหว้พระ ภาวนาอยู่บ่อยๆนั้นก็สามารถทำให้พระที่เป็นของเลียนแบบมีความขลังขึ้นมาได้ครับ บางครั้งเป็นด้วยบารมีพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ ที่ผู้สวดเป็นสื่อในขณะจิตที่มีความบริสุทธิ์ระดับหนึ่งซึ่งเหมือนกับการปลุกเสกด้วยสื่อจากพลังจิตของผู้สวดมนต์เองหรือ อาจจะเป็นด้วยอำนาจของนาค ครุฑ เทวดา ที่เขามาเยี่ยมเยียน เขาอาจจะประสิทธิ์ประสาทน์ให้ก็เป็นได้ แต่ความเข้มขลังในพลังนั้นจะยั่งยืนยาวนานขนาดไหนนั้น ยากที่จะบอกได้ครับ หากว่าต้องการจะแขวนติดตัวก็ให้ครูบาอาจารย์ที่ท่านฝึกจิตจนมั่นคงแล้ว อธิษฐานจิตให้อีกครั้งนึงก็น่าจะมั่นใจได้มากขึ้นครับ

    คุณ sahadham

    จากข้อความของคุณสหธรรม "ถ้าเราหวังเพื่อการหลุดพ้นในชาติปัจจุบัน การกินเจก็สามารถเสริม ให้ไม่เกิดเชื่อของกรรม และจะไม่ก่อบุพกรรมใหม่ต่อสังสารวัฎ จะไม่ทำให้เร่งเวลาเข้านิพพานง่ายกว่าหรือครับ"

    การหวังหลุดพ้นในชาติปัจจุบันนั้น เป็นสิ่งที่หลายๆท่านปรารถนากัน แต่ก็เป็นเรื่องที่ยากมากๆครับ เพราะเราเกิดมาในยุคปัจจุบัน ส่วนใหญ่มาเพื่อชดใช้กรรมและทำบารมีครับ คือเกิดมาเพื่อบำเพ็ญบารมีเพื่อหวังการหลุดพ้น ส่วนผู้ที่เกิดมาเพื่อการหลุดพ้นอย่างแท้จริง(กรณีของสาวกภูมิ)นั้นเขาต้องมาด้วยบารมีสิบเต็มแล้ว ซึ่งก็ต้องมีความบริสุทธิ์มากๆ ลองไปศึกษาดูจากที่ครูบาชัยวงศาพัฒนาท่านกล่าวไว้สำหรับผู้ที่จะมาเพื่อการหลุดพ้นในชาติภพปัจจุบันว่าต้องมีลักษณะอย่างไรบ้าง เท่าที่ผมศึกษาดูแล้วก็คิดว่าสภาวะธรรมเหล่านั้นหาได้ยากมากๆสำหรับคนยุคปัจจุบันครับ

    กรณีการกินเจ แม้จะกินเจแต่เราก็อาจจะมีกรรมอื่นๆอีกมากมายก่ายกอง ที่ติดตัวเรามาในภพชาติต่างๆ ซึ่งแต่ละคนก็ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้าง และจะต้องชดใช้อีกนานเท่าไหร่ บางครั้งการกินอาหารที่เป็นชิ้นส่วนของสัตว์นั้นเป็นการชดใช้กรรมกันเพราะเขาอาจจะกินเรามาก่อนหรือมาชดใช้จากกรรมส่วนอื่นๆ ซึ่งการกินเนื้อสัตว์ของนักปฏิบัตินั้นได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่ายคือฝ่ายผู้กินก็จะได้ดำรงชีพและแผ่บุญกุศลให้สัตว์ ฝ่ายสัตว์นั้นก็จะได้รับบุญกุศลเพื่อไปในภพชาติที่สูงขึ้นเป็นต้น
    ผมเข้าใจว่าพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นครูใหญ่ของสรรพสัตว์ทั้งมวล ท่านตรัสห้าม แค่มังสะ 10 อย่างเท่านั้น ส่วนเรื่องของการงดเว้นเนื้อสัตว์ทุกชนิดหรือการกินเจนั้น หลักนี้พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้บัญญัติไว้ หากเราไปประพฤติปฏิบัติเพราะเข้าใจว่าจะทำให้บรรลุธรรมได้เร็วขึ้นก็อาจจะเป็นการ เกินครู ไปมั้งครับ เพราะในหลักบารมี 10 ที่เป็นเหตุปัจจัยของการบรรลุธรรมนั้น ไม่ได้มีอะไรบัญญัติเกี่ยวกับการกินเจไว้เลยครับ

    ในส่วนของพรหมนั้น ท่านอยู่ในภพภูมิของภาคเสวยผลบุญ มีหลายระดับชั้น ซึ่งก็ยังมีบุพกรรมอยู่เช่นกันครับ เพียงแต่กรรมยังส่งผลไม่ได้ ในขณะที่เป็นเป็นพรหม หากหมดบุญเมื่อไหร่ ก็จะหมุนเวียนมาทำบารมีที่ภพกลางคือโลกมนุษย์หรือไม่ก็อาจจะต่ำกว่ามนุษย์ก็ได้ ขึ้นอยู่กับกรรมของแต่ละท่านครับ ซึ่งก็ต้องมาวนเวียนเสวยกรรมเหมือนเราๆนี่แหละ และเท่าที่ทราบหลายๆท่านที่ลงมาจากชั้นพรหม เมื่อลงมาเป็นมนุษย์ท่านก็ยังทานเนื้อสัตว์เช่นกันครับ

    เรื่องกฏแห่งกรรมนั้นซับซ้อนมากครับ กรรมซ้อนกรรมต่างๆที่เรามองไม่เห็นนั้นมีอีกมาก และการปฏิบัติเพื่อการรู้กรรมของตนเองนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยครับหากศึกษาไปมากๆก็เข้าข่ายดังที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ คือเป็นเรื่องอาจินไตยที่หาจุดสิ้นสุดไม่ได้
     
  3. อวทม45

    อวทม45 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    330
    ค่าพลัง:
    +1,832
    ถ้าหากเราสามารถประคองจิตของเราให้อยู่ในความสงบปกติ โดยไม่ไปเอะใจอยู่กับสิ่งทีเกิดขึ้นนั้น จิตก็จะสงบนิ่งเป็นสมาธิอยู่ตลอดไป ถ้าหากเกิดเอะใจขึ้นมาเมื่อไรแล้ว สมาธิก็จะถอน ภาพนิมิตนั้นก็จะหายไป ในตอนนี้มีความสำคัญมากสำหรับนักปฏิบัติ ถ้าหากเรามีความรู้สึกว่า ภาพนิมิตต่างๆเป็นสิ่งอื่นมาแสดงให้เรารู้ เราเห็น บางทีเราอาจจะเข้าใจผิด เช่น อย่างเห็นภาพผีเปรต หรือเทวดา เป็นต้น บางท่านอาจจะคิดว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเขามาขอส่วนบุญเรา แล้วเราก็ไปนึกแผ่ส่วนบุญกุศลให้เขา ในเมื่อนึกขึ้นมาอย่างนั้นจิตก็ถอนจากสมาธิ ภาพนิมิตทั้งหลายนั้นก็หายไป อันนี้ไม่ค่อยร้ายแรงเท่าไรนัก แต่ถ้าหากบางท่าน อาจจะมีความรู้สึก หรือมีความเห็นนอกเหนือไปกว่านี้ โดยสำคัญว่าภาพนิมิตทั้งหลายเหล่านั้น เป็นสิ่งที่เข้ามาเพื่อจะดลบันดาลจิตใจของเราให้เกิดความสงบ ให้เกิดความรู้ แล้วบางทีเราอาจจะเผลอๆน้อมรับเอาสิ่งนั้น เข้ามาสิงสู่อยู่ในตัวของเรา แล้วสภาพจิตของเราจะกลายเป็นในลักษณะที่ว่า สภาพผีสิง นี้ถ้าหากเราไปสำคัญว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นตนเป็นตัวขึ้นมาก หรือเป็นสิ่งอื่นขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากไปมองเห็นภาพนิมิตของผู้ที่เราเข้าใจว่าเป็นผู้วิเศษ มาปรากฏกายให้เรามองเห็นแล้ว เราอาจจะน้อมเอาภาพนิมิตนั้นให้เข้ามาสู่ตัวของเรา หรือสู่จิตใจเรา เพราะความเข้าใจผิดว่า สิ่งที่มองเห็นนั้นเป็นสิ่งที่มาจากที่อื่น ในเมื่อเราน้อมเข้ามาแล้ว จะมีอาการคล้ายๆกับว่า มีสิ่งเข้ามาทรงอยู่ในจิต หลังจากนั้นเราก็จะกลายเป็นคนทรงไป อันนี้เป็นสิ่งที่เราควรจะระมัดระวังให้มากๆ การภาวนาหรือการทำจิตนี้เราไม่ได้มุ่งให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งมาช่วยดลบันดาลให้เราเป็นผู้รู้ ผู้เห็น เราต้องการจะทำให้จิตมีความสงบนิ่งเป็นสมาธิ โดยความเป็นอิสระของจิตเอง ถ้าหากจิตจะเกิดความรู้ ความเห็นอะไรขึ้นมา ก็เป็นสมรรถภาพของจิตเอง ไม่ใช่สิ่งอื่นบันดาล เพราะฉะนั้น ขอให้นักศึกษาธรรมะและนักปฏิบัติทั้งหลายพึงทำความเข้าใจ ในเรื่องนิมิตต่างๆ ถ้าหากว่า ท่านไม่ไปเอะใจ หรือไม่ไปสำคัญว่านิมิตต่างๆซึ่งไปปรากฏขึ้นนั้น เป็นสิ่งอื่นมาดลบันดาลให้เรารู้ เราเห็น ทำความรู้สึกว่าภาพนิมิตนั้น เกิดขึ้นจากจิตของเรา จิตของเรานั้นแหละเป็นผู้ปรุงแต่งขึ้นมา เพราะเรามีความสำคัญว่า เราอยากรู้ อยากเห็น ในเมื่อเราอยากรู้ อยากเห็น พอจิตสงบเคลิ้มลงไปอยู่ในระดับแห่งอุปจารสมาธิ ในตอนนี้จิตของเราจะฝันดีนัก ถ้าหากเรานึกถึงอะไรแล้วจะเกิดเป็นภาพนิมิตขึ้นมา ถ้าหากเราสามารถกำหนดจดจ่อรู้ลงที่จิตอย่างเดียว โดยไม่สำคัญมั่นหมายในนิมิตนั้นๆ ภาพนิมิตจะเป็นอุปกรณ์การปฏิบัติของท่านผู้มีสติปัญญา โดยกำหนดรู้อยู่ที่จิต แล้วภาพนิมิตที่มองเห็นนั้นจะแสดงปฏิกิริยาเปลี่ยนแปลงต่างๆ ถ้าจิตของท่านผู้ปฏิบัตินั้น มีสมาธิมั่นคงพอสมควรก็จะสามารถกำหนดเอานิมิตเหล่านั้นเป็นเครื่องหมายแห่งความรู้ เป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ บางทีภาพนิมิตนั้นอาจจะแสดงเรื่องอสุภกรรมฐาน หรือธาตุกรรมฐาน ให้เรารู้เราเห็นก็ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็จะสามารถทำสติสัมปชัญญะของเราดีขึ้น แล้วเมื่อสติสัมปชัญญะของเราดีขึ้นแล้ว จิตก็จะสงบ รวมตัวสู่ความเป็นหนึ่ง ซึ่งเรียกว่า อัปปนาสมาธิ
    หลวงพ่อพุทธ ฐานิโย
    ด้วยความปราถนาดี
     
  4. BiMode

    BiMode เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    303
    ค่าพลัง:
    +2,322
    ผมยอมรับว่ายังปฏิบัติยังไม่ถึงขั้นแต่ก็พอจะรู้สึกได้ถึงความเป็น "ปราชญ์" ของผู้ที่เป็นเจ้าของข้อความข้างบนได้ดีทีเดียว...
     
  5. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ผมก็เคารพนับถือท่านเป็นครูบาอาจารย์รูปหนึ่ง ธรรมะปฏิบัติที่ท่านเทศนานี่เข้าใจง่าย บังเอิญว่าตอนที่ผมปฏิบัติตอนแรกๆ ผลการปฏิบัติออกมาใกล้เคียงกับแนวทางที่หลวงพ่อพุธท่านเทศฯไว้ สมัยที่ท่านมีชิวิตอยู่ก็เลยมีโอกาสได้แวะเวียนไปถามท่านเรื่องการปฏิบัติธรรมอยู่บ่อยครั้ง ทั้งที่วัดป่าสาลวัน จ.โคราชและที่ท่านมากรุงเทพฯในหลายสถานที่ รวมทั้งที่ศาลาลุงชิน ที่ถนนแจ้งวัฒนะ ท่านก็มาบ่อย เมื่อท่านละไปแล้วก็เคยพบเห็นท่านอยู่โลกภายในเช่นกัน ซึ่งผลการปฏิบัติมีทั้งที่เป็นเรื่องของอารัมมณูปนิชฌานและลักขณูปนิชฌาน

    เรื่องอัปปณาสมาธินั้นก็มีประโยชน์เพราะอัปปณาสมาธินั้นจิตจะสั่งสมพลังได้เยอะ เมื่ออายะตนะดับไปทีละส่วน เช่น ตาดับไป หูดับไป กายดับไป ฯลฯ จิตจึงรวมเป็นหนึ่ง ตัวจะหายไป เหลือแต่จิตล้วนๆ มีแต่ตัวรู้อยู่เท่านั้น เมื่อจิตถอนออกมาก็จะเปิดอายตนะไปทีละส่วนจนถึงสภาวะปกติ หากชำนาญแล้วไม่ต้องตั้งท่ามาก กำหนดจิตดิ่งแล้วก็ดับอายตนะบางส่วนไปเลย หากจะเล่นกันให้ถึงแก่นก็ทำให้สันตติขาดเลยก็จะดี หากทำถึงแล้วก็จะเข้าใจสภาวะมิติของ สติ-จิต-ใจ ได้ไม่ยาก เมื่อสิบกว่าปีก่อนทำบ่อย นานๆไปก็ปล่อยวางไปทำแค่แตะๆแล้วก็ผ่านไป ให้จิตมันทำงานเป็นอิสระ

    ธรรมะในลักษณะที่เป็นการถอดกายทิพย์ออกไปทั้งตัว หรือการรู้เห็นในขณะที่มีสติเต็มร้อยและสนทนาวิสาสะกับสิ่งที่รู้เห็นได้นี่ ไม่เข้าข่ายของนิมิตแต่ประการใดครับ เป็นลักษณะของสัมผัสที่หก
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2006
  6. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    เมื่อคืนวันที่ 22 ส.ค. ก็ได้มีโอกาสไปถวายแผ่นทองคำ-เงิน-ทองแดง 5 ชุด ไว้กับหลวงปู่เณรคำน้อยเพื่อให้หลวงปู่เทพโลกอุดร นำไปให้เบื้องบนท่านลงอักขระ ขณะเดินทางเข้าเขตหนองหาน จ.สกลนคร มีฝนทิพย์หรือฝนพลุ ที่มีลักษณะเหมือนมีสิ่งฉีดน้ำออกมาจากท่อกลางอากาศ จะสามารถมองด้วยตาเนื้อได้ว่าน้ำที่ลงมาในหน้ารถนั้นมาจากที่เดียวกันแล้วก็กระจายออกลงบนกระจกรถยนต์ เมื่อจิตสัมผัสก็เลยอธิษฐานขอถ่ายรูป โดยเอากล้องดิจิตอลแนบกับกระจกรถเฉียงขึ้นไปในอากาศตามแนวของกระจกรถยนต์ ปรากฏว่าถ่ายได้ภาพดวงศีลธรรม เป็นดวงสีน้ำเงิน และสีอื่นๆ ขณะที่ฝนทิพย์หรือฝนพลุตกก็ลองถ่ายภาพไปในอากาศหลายวาระ บางภาพก็ติดดวงศีลธรรม บางภาพก็ไม่ติด บางภาพก็ติดรูปที่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นรูปอะไร

    สอบถามหลวงปู่เณรคำน้อย ท่านบอกว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์เขามาอนุโมทนาบุญ ท่านบอกว่าเพราะเราสื่อกับภพภูมิได้ จึงเป็นแบบนี้

    คืนวันที่ 23 ส.ค.ขากลับกรุงเทพฯ หลวงปู่เณรคำน้อยท่านโทรมาบอกว่าให้แวะหาด้วยเพราะหลวงปู่เทพโลกอุดรท่านฝากของมาให้ จึงแวะหาท่าน ท่านก็เล่าให้ฟังหลายเรื่องเกี่ยวกับสิ่งเร้นลับ แล้วท่านก็ให้แผ่นทองคำ-เงิน-ทองแดง มา 1 ชุดที่โยมอุปัฏฐากของหลวงปู่เณรคำน้อยถวายเพื่อเป็นชนวนในการสร้างพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ซึ่งเบื้องบนท่านอธิษฐานจิตลงอักขระให้แล้ว ท่านบอกว่าให้แต่งขันธ์รับด้วย

    ท่านเล่าว่าตอนนี้ที่ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย มีผู้หญิงคนหนึ่งอายุยังไม่มาก หลวงปู่เทพโลกอุดรท่านหวงมาก เครื่องประดับของเขานั้นล้วนมาทางนภากาศทั้งสิ้น ไม่ว่าสร้อย แหวน ตุ้มหู ชิ้นไหนเมื่อไม่ต้องการหรือชำรุดเสียหาย ท่านบอกว่าเขาก็จะวางไว้ แล้วสร้อย แหวน ตุ้มหูนั้นก็จะหายไปในนภากาศ ท่านบอกว่าคนนี้อดีตชาติบนโลกมนุษย์เป็นน้องสาวของท่าน ก็เลยต้องวนเวียนมาพบกันอีก ท่านบอกว่าอีกหน่อยวงศาคณาญาติที่ร่วมทำบารมีกันมาก็จะมาเจอกัน เมื่อถึงตอนที่หล่อพระแก้วก็จะได้เจอกันหมด

    ท่านบอกว่าเบื้องบนเขารู้ล่วงหน้าว่าต่อไปจะมีการสร้างพระแก้วมรกตบนมนุษย์โลก เขาจึงจุติกันมาเพื่อมาร่วมสร้างบุญกุศลอันนี้ สำหรับแผ่นทองคำ-เงิน-ทองแดง ก็เข้าใจว่าผู้หญิงคนนี้ถวายไว้ ซึ่งท่านเป็นหนึ่งในสี่ของมเหสี พ่อพระอินทร์ที่จุติลงมาทำบารมีชั่วคราว ก็จะหาโอกาสเลียบๆเคียงๆถามหลวงปู่เณรคำน้อยว่าเป็นมเหสีองค์ไหนของท่าน เพราะอยากรู้ว่าแม่สุจิตราท่านจุติลงมาอยู่ที่ไหน
     
  7. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    ภาพดวงศีลธรรมที่อธิษฐานถ่ายได้จากฝนทิพย์หรือฝนพลุในอากาศ ภาพสุดท้ายดูไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • X1.JPG
      X1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      5.1 KB
      เปิดดู:
      41
    • X2.JPG
      X2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      4.1 KB
      เปิดดู:
      42
    • X4.JPG
      X4.JPG
      ขนาดไฟล์:
      10.9 KB
      เปิดดู:
      44
    • X7.JPG
      X7.JPG
      ขนาดไฟล์:
      16.4 KB
      เปิดดู:
      44
  8. Bajang

    Bajang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    148
    ค่าพลัง:
    +1,268
    เรียนถามคุณอัญสิทธิ์ครับ

    จิต กับ ใจ ต่างกันหรือไม่อย่างไรครับ
     
  9. lotte

    lotte เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    726
    ค่าพลัง:
    +4,545
    คุณอัญญาสิทธิ์ครับไม่ทราบว่าพระศรีอารย์ที่อยู่ดุสิตองค์นี้องค์อันดับหนึ่งต่อจากองค์พุทธโคดมหรือเปล่าครับแล้วพระศรีอารยิ์ที่อยู่บนโลกนี้องค์ที่เท่าไรครับ
     
  10. วิปจิตัญญู

    วิปจิตัญญู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กุมภาพันธ์ 2006
    โพสต์:
    88
    ค่าพลัง:
    +850
    สวัสดีครับ คุณAunyasit

    รบกวนคุณ Aunyasit ขยายความ ข้อความ ตัวแดง เพื่อเป็นธรรมทาน ให้ ผม และ เหล่ามิตรธรรมเข้าใจ ครับ

    ไม่ทราบว่า คุณ Aunyasit ฝึกแบบ มหาสติปัฏฐาน4 รึป่าวครับ หรือคล้ายๆ รึป่าว โดย เรียนรู้กับตัวเอง มีสติคุมตลอด และ ดับ อายตนะ ยังไงครับผม ถือว่า คุณ Aunyasit สงเคราะห์ แล้วกันครับ เพราะ ผมไม่ค่อยมีความรู้ด้านนี้เลย ถ้ามีโอกาส ก็ยินดีที่ จะรับการถ่ายทอดโดยเป็น ผู้ฟังที่ดีครับ

    การดับอายตนะ เหมือน หรือ แตกต่าง กับ สภาวะ ณาน 1 - 4 อย่างไร ครับ ณาน 1 - 4 จะมี วิตก วิจารณ์ ปีติ สุข และเอกกัคตา + อุเบกขา

    ขอขอบคุณ และ ขอโมทนาบุญกับ คุณAunyasit ที่เพียรบำเพ็ญมา ผมขออวยพร และ ขอ ส่งกำลังใจ ช่วยให้งานเพื่อศาสนาและสิ่งที่ดีงามของ คุณAunyasitและคณะของท่าน สำเร็จทุกงานและไม่มีอะไรมาขวางกั้นได้ ครับ
     
  11. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    คุณ Bajang

    จิตกับใจ ต่างกันครับ จะสัมผัสใจได้นั้น ต้องอยู่ในสภาวธรรมที่จิตไร้การปรุงแต่ง คืออยู่ในขณะที่จิตไม่ทำงาน(ปรุงแต่ง) ซึ่งสัมผัสที่เป็นใจนั้นจะเป็นภาวะที่สงบ เย็น เรียบๆ เฉยๆ ส่วนสภาวธรรมของจิตนั้นจะมีการปรุงแต่งถึงเรื่องราวต่างๆตลอดเวลา ส่วนสตินั้นก็คือตัวรู้ที่รู้สภาวธรรมของจิตและสภาวธรรมของใจ นั่นเอง
    ถ้าพิจารณาไม่ละเอียดก็จะเข้าใจว่าจิตกับใจ เป็นสิ่งเดียวกัน แต่ที่จริงเป็นคนละอย่างกันครับ เราต้องฝึกใช้สภาวธรรมภายใน แยกแยะสภาวธรรมภายใน เป็นสัมผัสแบบหนึ่ง โดยเฉพาะผู้ที่ฝึกผัสสะในคู่ของจิต-ธรรมารมณ์ อยู่เป็นประจำ จะเข้าใจในมิติของ สติ-จิต-ใจ ได้ไม่ยากนัก
    หากจะเทียบกับการดูละคร จิตคือสภาวของการแสดงละครบนเวทีที่กำลังเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ส่วนใจคือโรงละครที่หากมองไปในขณะที่ไม่มีการแสดงละคร ก็จะเห็นแต่โรงละคร หากมองไปในขณะที่มีการแสดงละครก็จะเห็นทั้งการแสดง(จิต)และโรงละคร(ใจ)อยู่รวมๆกัน ส่วนสติคือผู้ดูหรือผู้ชมการแสดงละครที่ไปรู้เรื่องราวรายละเอียดต่างๆของละครและโรงละคร ก็อธิบายยากนะเพราะเป็นสิ่งที่ต้องสัมผัสด้วยตัวเองจึงจะเข้าใจได้

    คุณ วิปจิตัญญู
    ขอบคุณสำหรับคำอวยพรและความปรารถนาดีนะครับ ก็ขอให้พรและความปรารถนาดีนี้จงสนองตอบคุณวิปจิตัญญู เช่นกันครับ

    การดับอายตนะที่ผมว่ามานั้น ในการบำเพ็ญเพียรภาวนา จิตนั้นจะต้องเคยผ่านปิติห้ามาก่อน จากนั้นเมื่อขณะที่จิตกำลังจะเคลื่อนเข้าสู่ความสงบลึก จนถึงขั้นที่รู้สึกว่าร่างกายหายไปนั้น หากละเอียดพอก็จะสัมผัสการดับของอายตนะ(ภายนอก)อย่างเป็นขั้นเป็นตอน เช่น ดับการเห็น ดับการได้ยิน ดับการรับรู้เรื่องราวอื่นๆ แต่รู้สภาวความสงบของจิต(เดิมแท้)ในขณะนั้นๆว่าสงบอยู่เฉยๆ ก็คือเหลือแต่จิต(เดิมแท้)ล้วนๆ หรือเวลาที่จิตถอยออกมาออกมาสู่ภาวะปกติ ก็สามารถรับรู้การเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นขั้นเป็นตอนได้

    บางท่านอาจจะสับสนว่าทำไมมีจิตและก็จิตเดิมแท้ ด้วย ที่จริงเป็นคนละตัวกัน ในแง่มุมที่ผมมองนั้น คำว่าจิตที่เราคุ้นเคยกันนั้นคือรังสีของจิต(เดิมแท้)หรือรัศมีของจิตหรือจรณจิตที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ส่วนจิตเดิมแท้นั้นเป็นจิตที่มีความบริสุทธิ์ มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลงครับ

    สำหรับอารัมณูปนิชฌาน คือ การที่จิตรวมเป็นหนึ่งแล้วรู้อยู่เฉยๆภายในตัวเอง ส่วนลักขณูปนิชฌานนั้นเมื่อจิตรวมแล้วจิตจะเคลื่อนไปรู้นั่นรู้นี่นอกตัวได้ ซึ่งเมื่อจิตรวมแล้วจะเคลื่อนที่ไปภายนอกตัวได้

    ผมไม่เคยเทียบการดับอายตนะกับฌาน 4 เลยครับ แต่เท่าที่ดูก็คล้ายๆกันแหละครับ ปกติจะถามครูบาอาจารย์ว่าสิ่งที่เราปฏิบัติไปสัมผัสมานั้นถูกต้องหรือไม่ แต่ส่วนใหญ่ก็จะใช้วิธีการภาวนาให้มากขึ้นแล้วจะสามารถไปเข้าใจสิ่งที่เราสงสัยอยู่ได้ด้วยตัวเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2006
  12. KEN_BP

    KEN_BP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +544
    คุณ Aunyasit อธิบาย "สติ-จิต-ใจ" ได้ดีครับ
    กระผมเคยอ่านหนังสือมาครับ
    การดับอายตนะนั้นต้องใช้กำลังของสมาธิ คือฌาณ4
    แต่ก่อนที่จะดับอายตนะได้นั้น ค้องผ่านสภาวะธรรมของธาตุ4มาก่อน
    พอวางธาตุ4ลงได้ก็ มาอยู่ที่สภาวะของอายตนะ คือตาหูจมูกลิ้นกายใจ
    พอวางได้แล้วก็จะเข้าสู่สภาวะของขันธ์ พอวางสภาวะของขันธ์ได้
    หมายความว่าจิตไม่ได้ติดข้องกับ รูปเวทนาสัญญาสังขารวิญญาณ
    จิตก็เป็นอิสระ เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผู้เบิกบาน
    อ่านมาได้เท่านี้ครับ ผิดถูกอย่างไรต้องขออภัยด้วยนะครับ
    และขอท่านผู้รู้ช่วยแก้ไขและอธิบายอีกทีนะครับ
     
  13. ronny

    ronny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    43
    ค่าพลัง:
    +271
    เรียนพี่ อันยาสิท ผมไปนมัสการหลวงปู่ทองฤทย์มาเมื่ออาทิทย์ที่ผ่านมา ทางหาไม่ยาก ได้รับคำแนะนำในเรื่องต่างๆพอควร เดือนหน้าจะทำพิธีอะไรกัน จะไปร่วมบุญด้วยหลวงปู่แนะนำให้ไปกราบพระหลายองค์
     
  14. ตกยุคอะ

    ตกยุคอะ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 สิงหาคม 2006
    โพสต์:
    11
    ค่าพลัง:
    +31
    ตามอ่านกระทู้นี้มานานแล้วอะครับ ไม่ได้เชื่อและไม่ได้ไม่เชื่อ ไม่ได้หวังให้เกิดสงครามหรือภัยพิบัติ ไม่ได้หวังว่าจะอยู่รอดเป็นชาววิไล
    แต่ผมรักท่านปู่พระศรีอาริย์มัก..มากอ่าครับ ก็ไปกราบท่านที่วิหารพระศรีหลายครั้งแล้ว ได้ถวายดาบให้ท่านหนึ่งเล่มด้วยอะ แบบว่าภูมิใจหุหุ
    ขอให้มีฟามสุข อยู่ดีมีแรง ทุกผู้ทุกคนคร้าบ
    ปัจจุบันสำคัญกว่าวันที่จินตนาการอยากจะเห็น

     
  15. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    คุณ Ronny

    ก็อนุโมทนาบุญและยินดีด้วยครับ ที่ได้มีโอกาสไปกราบหลวงปู่ทองฤทธิ์ ญาณรู้ท่านอัศจรรย์มาก โดยเฉพาะเรื่องลี้ลับนี่ท่านสุดยอดเลยครับ ผมติดขัดอะไรก็ถามท่านเหมือนกัน บางครั้งก็ถามหลวงพ่อทองแดง หรือไม่ก็หลวงปู่เณรคำน้อย แต่ละท่านนี่ไม่ธรรมดาทั้งนั้นครับ

    สำหรับเดือนหน้ากะว่าจะลงไปภาคใต้ ไปให้ครูบาอาจารย์ท่านลงอักขระแผ่นยันต์สร้างพระ คาดว่าจะไปที่หลวงพ่อจำเนียร จ.กระบี่ และสงฆ์รูปอื่นๆที่สัมผัสโดยสัมผัสที่ 6 รวมทั้งจะไปกราบคารวะสรีระหลวงพ่อจ้อย วัดเขาสุวรรณประดิษฐ์ ไปสักการะ หลวงพ่อพัฒน์ วัดพัฒนาราม จ. สุราษฎร์ธานี ไปสักการะญาณศีลธรรมของพระพิฆเนศวร ที่วัดสวนขัน จ.นครศรีธรรมราช

    จากนั้นไปอธิษฐานที่วัดดอนศาลา และวัดเขาอ้อ จ.พัทลุง สายเขาอ้อนี้เป็นสายธรรมของหลวงปู่เทพโลกอุดรท่าน

    สุดท้ายก็จะไปภาวนารับญาณศีลธรรมของหลวงปู่ทวด ที่ สำนักสงฆ์ต้นเลียบ จ. สงขลา

    จะให้คณะติดตามไปด้วยหรือจะไปคนเดียวก็จะถามครูบาอาจารย์ก่อนครับ
     
  16. lotte

    lotte เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    726
    ค่าพลัง:
    +4,545
    อยากให้คุณอัญญาสิทธิ์ได้โปรดสร้างองค์ปฐมสี่ศอกขึ้นเพื่อป้องกันภัยพิบัติและบรรเทาความยากจนทั่วทุกภาคโดยอาจสร้างทุกภาคก็ได้ครับ เพราะท่านบารมีมากสุดในโลก ถ้าคุณอัญญาสิทธิ์อยากได้แม่พิมพ์องค์ปฐมก้โทรไปหาอาจารย์วีระพงษ์ ได้ครับแกให้ยืมฟรี 091552569 แกใจดีครับ หรือไม่ก็สร้างหลวงปู่ทวด หลวงปู่ปาน เพราะท่านเป็นพระบรมโพธิสัตว์บารมีเต็ม ท่านช่วยปัดภัยพิบัติได้ครับ หรือไม่ก็พิมพ์หนังสือธรรมะแจกนักโทษเรือนจำสิครับ ผมแจกเป็นห้าพันวัด โรงเรียนปริยัติธรรมหมดไทย เรือนจำทุกจังหวัด ผมก็ทำมาแล้ว โดยแจกให้เขาอ่านเรื่องโมทนาบุญกับพุทธองค์ทุกพระองค์ครับ และก็ให้เขาอภัยทานนับญาติกับโจรก่อการร้ายเป็นญาิตเรา แค่นี้บุญเขาก็มหาศาล จิตดับก่อนตายคิดแต่เรื่องดีๆแน่นอนครับเพราะโมทนาบุญกับพุทธองค์เนืองๆ แจกเป็นแผ่นพับก็ได้ครับ ขอให้คุณอัญญาสิทธิ์บารมีเต็มเร็วๆครับ
     
  17. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    คุณ Lotte

    โลกทั้งใบในยุคภัทรกัปป์นี้เป็นบารมีและหน้าที่ของพระพุทธเจ้า 5 พระองค์นี้ สำหรับพระพุทธเจ้าองค์ปฐมนั้นท่านบารมีมากก็จริงแต่ท่านไม่ได้มีหน้าที่อยู่บนโลกใบนี้ครับ เรื่องของการสร้างองค์ปฐมนั้น หากท่านไหนจะสร้างก็ถือว่าเป็นกุศลที่สร้างรูปเคารพของพระพุทธเจ้า

    สำหรับผมรับเทวบัญชามาสร้างพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ ซึ่งหนึ่งในห้าพระองค์นั้นก็คือพระแก้วมรกตซึ่งเป็นตัวแทนองค์พระศรีฯ ครูบาอาจารย์ท่านชี้แนะให้ทำอย่างนี้ เพราะเป็นสิ่งที่เทพพรหมเทวดา ท่านปรารถนาจะร่วมกันสร้าง คณะประธานในการสร้างประกอบด้วย พระศรีฯ พระครูเทพโลกอุดร(ญาณหนึ่งของท่านคือพระมาลัย) พ่อพระอินทร์ และอีกหลายๆท่านใน สวรรค์ 6 ชั้นและพรหม 20 ชั้น ท่านก็รอสร้างสิ่งนี้กันทั้งนั้นครับ ส่วนฐานบารมีที่จะสร้างพระพุทธเจ้า 5 พระองค์ได้สำเร็จคือบารมีจากการสร้างพระธาตุพนม ก็ต้องรวบรวมผู้ที่เคยร่วมสร้างพระธาตุพนมมาร่วมกันสร้างต่อไป และคณะนี้ก็ต้องวนเวียนมาบำรุงพระศาสนาจวบจนครบ 5000 ปี ก็มีหน้าที่เพียงเท่านี้แหละครับ
     
  18. lotte

    lotte เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    726
    ค่าพลัง:
    +4,545
    เรียน ท่านอัญญาสิทธิ์ที่เคารพ
    ถ้างั้นเปลี่ยนเป็นสร้างพระแก้วมรกตใหญ่สูงสัก20 เมตร ไว้ทั่วทุกภาคเพื่อป้องกันภัยพิบัติและบรรเทาความยากจนดีไหมครับ เพราะพระแก้วมรกตมีแค่ที่เดียวคือกทม ถ้ามีทุกภาคก็ป้องกันภัยได้ หรือสร้างปู่ศรีอารยิ์ไว้ทุกภาคองค์สูงเป็นสิบเมตรเพื่อป้องกันภัยท่านก็บุญมหาศาลเลยครับเพราะท่านอัญญาเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยเหลือชาวไทยทุกคนได้ให้รอดพ้นจากภัยพิบัติและความยากจนครับ ขอปูนมาสร้างฟรีได้ที่TPI เครือปูนซีเมนต์ไทย โดยให้ผู้ใหญ่ข้าราชการชั้นสูงขอให้ครับ ขอได้เป็นหมื่นๆกระสอบเลยครับ เรื่องงานบุญเขาแจกไม่อั้นหรือไม่ก็ขอที่แลนแอนเฮ้า ก็ดีนะครับเพราะแกทำบุญทีเป็นหมื่นๆล้านทีเดียว ขอเบอร์เขาได้ที่1133 ครับสอบถามเลขหมายTPI ปูนซีเมนตไทย หรือถ้าคุณอัญญาจะสร้างพระแก้วในวัดก็ให้วัดขอเงินจากสำนักพูทธ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม กองสลาก ครับ อยากให้สร้างพระเจ้า5องค์ๆใหญ่ละ15เมตรนะครับ โมทนาสาธุครับขอให้บารมีเต็มเร็วๆครับ
     
  19. Peng+

    Peng+ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    48
    ค่าพลัง:
    +119
    มีสองเรื่องอยากถามคุณอัญญาสิทธิ์ครับ
    ในสมัยพระศรีฯ ซึ่งถือว่าเป็นยุคที่วิเศษสุด ที่มนุษย์ไม่ต้องหาอาหาร ไม่มีการฆ่าฟันกัน ผมเลยสงสัยครับว่า
    1. ในสมัยนั้นพระศรีฯ ท่านจะสอนเรื่องศีล 5 ไหมครับ เพราะ ไม่มีการฆ่ากัน ไม่มีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เพราะคนไม่ต้องการอาหาร คนเลยอายุยืนมาก ไม่มีการลักทรัพย์ เพราะเพียงแค่นึกก็มีอาหารให้พร้อม ชายหญิงที่ไปเกิดในสมัยนั้น ก็ล้วนแต่เป็นพวกที่มีใจแบบผัวเดียว เมียเดียว จึงมีบุญได้ไปเกิดในสมัยนั้น แล้วอย่างนี้ เมื่อไม่มีเหตุให้สอนอย่างนี้แล้ว ผมก็เลยสงสัยว่า เมื่อคนไม่ทุกข์อย่างนี้แล้วจะบรรลุธรรมกันได้หรือ แล้วอย่างศีล 5 ก็ไม่มีเหตุให้สอน แล้วพระศรีฯท่านจะสอนไหม

    2. เรื่องที่หลวงพ่อฤาษีฯ เคยเล่าว่าในสมัยพระศรีฯท่านตรัสรู้แล้ว ท่านจะมาที่ที่พระมหากัสปะถูกเก็บร่างไว้ ซึ่งก็ไม่เน่าเปื่อย และพระศรีท่านจะมายกย่องคุณความดีของพระมหากัสปะมหาสาวกของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน เนื่องจากว่าพระมหากัสปะ เคยร่วมสร้างบารมีมาพร้อมกับพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันและพระศรี เป็นอันมาก และนำร่างพระมหากัสปะมาทำการฌาปนกิจ หลวงพ่อทองทิพย์เคยเล่าเรื่องนี้ไหมครับ

    ถามด้วยความอยากรู้ครับ
     
  20. Aunyasit

    Aunyasit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,312
    ค่าพลัง:
    +13,053
    คุณ sahadham

    1. เมื่อคนไม่ทุกข์แล้วจะบรรลุธรรมได้ โดยที่เบื่อความสุข ซึ่งคนในยุคพระศรีฯ จะสุขจนเบื่อ เพราะอายุคนก่อนหน้าที่พระศรีฯจะมาตรัสนั้นยาวนาน เป็นแสน เป็นล้านปี จนร้องขอที่จะออกจากความสุขคือเบื่อที่จะอยู่นั่นแหละ เทวดาถึงจะมาย่นย่ออายุให้เหลือ 80,000 ปี พระศรีฯก็จะมาตรัส ซึ่งต่างจากคนในยุคปัจจุบันที่หากไม่เห็นทุกข์ ก็ไม่เห็นธรรม คนปัจจุบันจึงพยายามหนีออกจากทุกข์ทั้งปวงเพื่อความสุข แต่คนในยุคพระศรีฯนั้นจะสุขจนเบื่อแล้วก็จะแสวงหาความสุขสูงสุดหรือบรมสุขคือพระนิพพาน

    2. เรื่องของพระมหากัสสปะ นั้นหลวงปู่ทองทิพย์ท่านก็เคยเล่าไว้ในทำนองเดียวกันกับหลวงพ่อฤษีลิงดำ ผมเคยได้รูปนึงมาเป็นรูปพระบำเพ็ญเหลือแต่กระดูก ที่บางคนทางสายโลกอุดรจะเรียกท่านว่าหลวงพ่ออิเกสาโร ผมก็ไปถามหลวงปู่ทองทิพย์ ท่านบอกว่าเป็นร่างของพระมหากัสสปะ อยู่ที่ เขาสามภู ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย พระอินทร์ท่านดูแลอยู่ พระอินทร์ท่านก็ได้เนื้อนาบุญส่วนหนึ่งจากการดูแลร่างพระอรหันต์ แต่ดวงจิตของพระมหากัสสปะท่านเข้าพระนิพพานไปนานแล้ว เมื่อถึงยุคของพระศรีฯในวันที่พระศรีฯจะเข้าพระนิพพาน ท่านจะไปอธิษฐานให้ภูเขาเปิดออกแล้วนำเอาร่างของพระมหากัสสปะมาไว้ในพระหัตถ์ อธิษฐานเตโชธาตุเผาสรีระของพระมหากัสสปะ แล้วก็เผาร่างของพระศรีด้วย เนื่องจากเป็นกรรมกันในสมัยพระเวสสันดร ที่พระมหากัสสปะ ได้เกิดเป็นช้าง พระศรีฯ เกิดเป็นควาญช้าง ที่บังคับช้างเอางวงจับเหล็กร้อนจนช้างเจ็บและป่วยตายในที่สุด ซึ่งชาติก่อนหน้านั้นพระมหากัสสปะเกิดเป็นพรานล่าสัตว์ แล้วก็ได้ฆ่าพระศรีฯซึ่งเกิดเป็นช้างเพื่อเอางาไปขายเลี้ยงลูกเลี้ยงเมีย บุพกรรมก็เลยผูกพันธ์กันมาจนถึงวันที่พระศรีฯจะเข้าพระนิพพาน

    ในแวดวงของผู้ลี้ลับจะรู้จักพระสงฆ์สำคัญอีกรูปหนึ่งคือพระกัสสปเถระ ซึ่งท่านยังไม่เข้าพระนิพพาน ท่านอยู่รอยุคของพระราโมพุทโธ สองท่านนี้ท่านก็มีเวรมีกรรมกันมาเช่นกัน ก็ต้องรอชดใช้กันตอนยุคศาสนาของพระราโมพุทโธ และมีพระสงฆ์รูปหนึ่งอยู่ทางแถบจังหวัดเลย เป็นสื่อญาณของพระกัสสปะเถระ ทำนองเดียวกันกับที่หลวงปู่เณรคำน้อยท่านเป็นสื่อญาณของพระครูเทพโลกอุดร นั่นเอง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กันยายน 2006
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...