เมื่อพระอภิญญาท่านว่า...

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย toplus99, 20 พฤศจิกายน 2011.

  1. pisi

    pisi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +244
    เมื่อประมาณ 10 กว่าปีมาแล้ว ผมได้มีโอกาสไปเที่ยวที่จังหวัด กาญจนบุรี หลายครั้ง เพราะเพื่อนผมมีญาติอยู่แถวน้ำตกไทรโยค

    มีอยู่ครั้งหนึ่งผมบอกเพื่อนๆว่า อยากทำบุญ และอยากไหว้พระ มีที่ไหนบ้างที่อยู่ไม่ไกลจากแถวบ้านเพื่อน
    เพื่อน: มี อยากไป เดี๋ยวพาไป

    จากนั้นเพื่อนผมมันก็ไปตามหลานมันมา (หลานเพื่อนผมชื่อ ต้อ) แล้วบอกว่าอยากไปทำบุญ มีที่ไหนบ้าง
    ต้อ: มี เดี๋ยวพาไปหาพระอาจารย์.... อยู่ไม่ไกล

    เจ้าต้อ หลานเพื่อนผม เมื่อสมัยก่อนพ่อแม่เขาเคยทำบุญใส่บาตรกับพระอาจารย์เป็นประจำ ช่วงหลังพระอาจารย์ไม่ได้ออกมาบิณฑบาตรแล้ว จะทำบุญกับพระอาจารย์ก็ต้องลุยป่าฝ่าดงเข้าไปหา

    เมื่อตกลงกันได้แล้วก็พากันไปซื้อของกันที่ตลาด จากนั้นก็เดินทางกันต่อ จำได้ว่าเลยน้ำตกไทรโยคไปอีกพอสมควร จนถึงทางเข้า มองไปเป็นช่องเขาเล็กๆ คือ มีภูเขาเล็กๆอยู่ซ้ายขวา ตรงกลางเป็นช่องทางเข้า เมื่อเข้าไปก็พบทางเหมือนถนนเก่า แต่ไม่มีผู้ใช้ถนนนี้มานานแล้ว สังเกตุจากต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นรกทึบเป็นช่วงๆ โปร่งบ้าง ทึบบ้าง

    ต้องลุยผ่านดงต้นไม้ต้นหญ้าที่ขึ้นสูงท่วมรถปิคอัพ ต้องไปยืนอยู่ท้ายปิคอัพเพื่อมองทาง และคอยบอกคนขับรถ(อ้อ ครั้งนี้ไปกัน 6 คนครับ) ลุยไปเรื่อยๆ ต้นไม้และกิ่งไผ่ขูดรถตลอดทางเป็นช่วงๆ พอดีรถเพื่อนเป็นรถเก่า ไม่ต้องห่วงเรื่องสีรถที่โดนขูด แต่สองข้างทางนั้นบรรยากาศร่มรื่นมาก เสียงนกร้องก็ไพเราะ เห็นไก่ป่า ตลอดทางหลายฝูง แต่มันบินไว้มาก และเจ้าต้อ หลานเพื่อนผมก็เล่าให้ฟังว่า

    ต้อ: พี่... ปีก่อนแม่ผมให้เอาของมาถวายท่าน ผมขับรถเข้ามาหมูป่ามันวิ่งตัดหน้ารถผมเลย ผมเบรคแทบไม่ทัน เกือบชนเลยครับพี่

    แล้วเจ้าต้อ ก็เล่าเรื่องอื่นต่อให้ฟังว่า....

    ต้อ: เมื่อสมัยก่อนตอนผมวัยรุ่นนะ ผมเคยมาช่วยพระอาจารย์ถือของตอนรับบาตรด้วย แล้วไปส่งที่กุฎิ บางที่ก็นอนค้างที่นั้นเลย เป็นลูกศิษย์ช่วยดูแลเก็บกวาด เช็ดถู ต้มน้ำร้อนถวายท่านด้วย

    ต้อ: ตอนกลางคืนนะพี่ มีงูตัวเบอะเริ่มเลย ใหญ่มากๆ มานอนเฝ้าพระอาจารย์อยู่ใต้กุฎิ ผมไม่กล้าลงมาเลย ผมกลัว ขนาดผมอยู่เมืองกาญจน์เคยเห็นตัวใหญ่ๆมาแล้ว มันยังไม่เท่าตัวนี้เลย

    ต้อ: แล้วพี่เชื่อม่ะ ผมเป็นวัยรุ่นแข็งแรงนะ เดินตามพระอาจารย์ไม่ทัน ผมสังเกตุหลายที่แล้ว พอเข้าเขตป่่าที่ไม่มีคนแล้ว พระอาจารย์เดินปกติ แต่ผมต้องรีบจ้ำเดินจนต้องวิ่งตาม เห็นอยู่หลังไวๆ สักพักพระอาจารย์หายไปเลย....

    ต้อ: ผมก็วิ่งตามแบบนี้หลายวันแล้ว กะว่าเราแข็งแรงยังไงก็ตามทัน แต่...ไม่เคยทันเลยสักที ผมวิ่งไม่หยุดเลยนะพี่ พอผมมาถึงกุฎิ พี่เชื่อม่ะ พระอาจารย์ท่านสรงน้ำ เสร็จแล้ว และนั่งฉันน้ำชารอผมอยู่ พี่คิดดู ผมวิ่งไม่หยุดตามท่านมา แล้วกว่าท่านจะสรงน้ำ กว่าจะติดไฟต้มน้ำร้อนชงชา พี่ว่าใช้เวลาเท่าไร

    ผม: อืม....????? นั่นน่ะสิ

    ระหว่างนั้นที่เจ้าต้อ เล่าเรื่องให้ฟัง ก็ลุยเข้าไปเรื่อยๆ ค่อยๆไป ลุยไป ก็ช่วยกันดูทางไป ไปเร็วก็ไม่ได้ทางไม่ค่อยดีด้วย ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ในที่สุดก็มาถึง.....
     
  2. pisi

    pisi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +244
    ในที่สุดก็มาถึง....เมื่อทุกคนลงจากรถแล้ว ก็ชื่นชมธรรมชาติของป่่าเมืองกาญจน์ อากาศเย็นสบาย ฟังเสียงนกร้อง ต้นไม้น้อยใหญ่เขียวขจี มีความสุขมาก เห็นต้นใหญ่ประมาณ 4 คนโอบ เต็มไปหมด เป็นป่าที่สมบูรณ์มาก มองไปรอบๆมีแต่ป่าเขียวไปหมด

    ผม: ไหนอ่ะ ต้อ แล้วพระอาจารย์ท่านอยู่ตรงไหนอ่ะ มองรอบๆไม่เห็นมีกุฎิเลย
    ต้อ: อ๋อ...พี่ พวกพี่ต้องเดินขึ้นเนินนี้ไปอีก เพราะรถมาสุดได้แค่นี้ ไปไม่ได้แล้วต้องเดินต่อไปอีก

    ผมและเพื่อนๆมองดูรอบๆก็จริงตามนั้น มันสุดทางรถจริงๆ เพราะข้างหน้านั้นเป็นเนิน และด้านซ้ายขวาเป็น กำแพงภูเขาตั้งฉากอยู่

    ต้อ: เมื่อก่อนนี้ พระอาจารย์ท่านอยู่ข้างล่างนี้แล่ะ แต่ว่าช้างป่ามารบกวนท่าน ชาวบ้านเอาของมาถวาย เอาถังใส่น้ำมาถวาย ช้างป่ารื้อพังหมด เพราะมันมีโป่งน้ำอยู่แถวนี้สัตว์ป่าต้องมากินน้ำที่นี่(พร้อมกับชี้จุดให้ดู)

    ผม: เฮ้ย...มีช้างป่ามีสัตว์ป่าแถวนี้ด้วยเหรอ(นึกในใจว่า นี่เข้ามากันแบบนี้ง่ายๆ ไม่มีอาวุธหรือเครื่องป้องกันตัวกันเลยนี่นะ)
    ต้อ: มีสิพี่ ส่วนใหญ่สัตว์ป่าจะมาตอนเย็นกับกลางคืน กลางวันไม่น่าจะมีอะไร ไปกันต่อดีกว่าครับ

    แล้วพวกเราก็เดินขึ้นเนินไปอีก จนสุดเนิน มีกำแพงภูเขาตั้งฉากอยู่ข้างหน้าสูงประมาณชั้น 2 ของบ้าน และ มีบันไดลิง พาดอยู่ เป็นซุงต้นใหญ่ๆแล้วเอาไม้ท่อนตอกเป็นบันไดปีนขึ้นไปได้

    ต้อ: เนี่ยพี่ พอตอนพระอาจารย์ย้ายขึ้นมาข้างบนนี้ ชาวบ้านช่วยกันทำบันไดให้พระอาจารย์ ที่บ้านผมยังมาช่วยย้ายเลย

    ก็ปีนกันขึ้นไป เมื่อถึงข้างบนสิ่งที่เห็นอยู่ข้างหน้า อื้อหือ....ทำไมช่างร่มรื่นเช่นนี้ สงบเงียบ ต้นไม้เขียวขจี ผสมเสียงนกร้อง เดินไปตามทางเดินเล่นระดับ พื้นเป็นดินดำอุดมสมบูรณ์มาก ทางเดินที่เป็นดินดำกวาดเรียบเนียน จนไม่อยากจนเหยียบเดินเพราะกลัวจะเป็นรอยรองเท้า ทางเดินเล็กๆเล่นระดับ สองข้างทางมีปลูกต้นไม้ และ ไม้ประดับสวยงามมาก เจ้าต้อบอกว่า พระอาจารย์ท่านชอบปลูกต้นไม้ จนเดินมาถึงกุฎิ...ถึงแล้ว...
     
  3. pisi

    pisi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +244
    จนเดินมาถึงกุฏิ...ถึงแล้ว...เป็นกุฏิทำด้วยไม้ไผ่ ยกสูงขึ้นมานิดหน่อยเหมือนเถียงนา ข้างฝากุฏิเป็นไม้ไผ่สานๆกัน หลังคาเป็นมุงจาก กั้นเป็นห้องพอนอนได้เล็กๆ สะอาดมาก
    เจ้าต้อขึ้นไปกราบเรียนพระอาจารย์ ตามด้วยผมและเพื่อนๆ นั่งจนเต็มพื้นที่เพราะกูฏิเล็กมาก(แต่รับน้ำหนักไหว)เป็นกุฏิโปร่งๆสบายๆ

    พระอาจาย์นั่งรออยู่ก่อนแล้ว...ครองจีวรเรียบร้อย...ผิวกายผ่องมีรัศมี เหมือนมีแสงออกมาจากตัว ผมนั่งอยู่ตรงข้ามท่านเลยในระยะไม่เกิน 1 เมตร บรรยากาศเย็นช่ำเนียนมาก ด้านหลังท่านเป็นชั้นวางพระพุทธรูปองค์ประมาณ 5 นิ้ว ทำจากไม้ไผ่ง่ายๆ วางหนังสือธรรมะไม่กี่เล่ม มีบาตรพระ จีวร ผ้าต่างๆสำหรับพระ พับเรียบร้อยสะอาด ด้านข้างท่านมีแก้วน้ำ กระติกน้ำร้อน ของใช้จำเป็นอีกเล็กน้อยวางเป็นระเบียบ

    ผมและเพื่อนๆ ก็กราบนมัสการท่าน แล้วท่านก็กล่าวคำทักทาย...
    พระอาจารย์: เป็นไง...สบายดีกันดีมั้ย...มากันเหนื่อยๆนั่งพักให้หายเหนื่อยก่อน(น้ำเสียงนุ่มลึก)
    ผมและเพื่อนๆ: สบายดีครับพระอาจารย์
    พระอาจารย์: เจ้าต้อ พาเพื่อนมา แล้วมากันจากไหนล่ะ
    ผม: มาจากกรุงเทพฯ ครับ พอดีอยากทำบุญ คุยกันเสร็จก็พากันมาเลยครับ
    พระอาจารย์: ดี...การทำบุญเป็นเรื่องดี เกิดบุญกุศลก็เกิดแก่ตัว ไม่ได้เกิดที่ใคร

    ผม: พระอาจารย์ฉันแล้วหรือยังครับ
    พระอาจารย์: ฉันแล้ว...ไม่ต้องห่วง

    ผมก็นึกในใจว่า เอ...พระอาจารย์ฉันแล้ว เจ้าต้อก็บอกไว้ก่อนว่า พระอาจารย์ไม่ได้ออกไปบิณฑบาตรนานแล้ว ชาวบ้านก็ไม่ค่อยได้เข้ามา เพราะทางลำบาก ทางรถที่ลุยมาก็รู้ว่าไม่มาใครเข้ามานานแล้ว แล้วพระอาจารย์ฉันอะไรล่ะ

    แค่นึกเท่านั้นนะ
    พระอาจารย์: กินข้าวกันหรือยัง หิวกันมั้ย
    ท่านพูดไปพร้อมกับลุกขึ้น เดินไปด้านข้างของกุฎิ มีฝากั้นไว้นิดนึงแต่มองไม่เห็น ระหว่างที่ท่านลุกขึ้นต่อหน้าผม ผมเห็นแสงสว่างรอบตัวท่านมากกว่าเดิมอีก ตาก็มองตามท่านไป ส่วนเพื่อนๆผมไม่ค่อยสังเกตุเท่าผม และคุยกันอยู่ ชื่นชมบรรยากาศรอบข้าง ผมมองตามไป ท่านเลี้ยวซ้ายไปด้านหลังฝากั้นแป๊บเดียว เดินกลับมาพร้อมกับในมือ ถือกระทะใบเล็กๆ มีตะหริว 1 อัน และในกระทะมี คล้ายๆถั่วแดงคั่วกับน้ำตาลจนแห้ง อยู่ในกระทะ และหยิบถ้วยกับโถปิ่นโต แจกคนละใบ พร้อมช้อน ถือรอไว้คนละชุด

    พระอาจารย์: เอ้า...กินกัน แก้หิว
    แล้วท่านก็ตักใส่ให้คนละหน่อย คนนึงได้ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะครึ่ง เหมือนกับว่าท่านกำลังบอกว่า พระอาจารย์ฉันอาหารนี้ล่ะ ไม่ต้องห่วง
    ถั่วแดงรสชาติหวานนุ่ม เคี้ยวไปแทบละลายในปากเลย อร่อยมาก(ตอนนั้นคิดแบบนี้จริงๆ) แล้วพระอาจารย์ก็นั่งที่เดิมบนอาสนะของท่าน

    พระอาจารย์: อ้าว...กินอันนี้ด้วย เดี๋ยวไม่อิ่ม
    ว่าแล้วท่านก็หยิบซอง เครื่องดื่มพร้อมชงยี่ห้อ เน็ท-วี-ต้า จากกระป๋องเล็กๆข้างท่าน ออกมาแจกอีกคนละซอง ส่งแก้วให้คนละใบ แกะซองใส่กันเอง

    แล้วท่านก็หยิบกาน้ำร้อน ที่อยู่ข้างๆท่าน มาเทน้ำร้อนให้ พอเทลงแก้วควันไอน้ำลอยขึ้นเลย(ผมไม่รู้ว่าท่านไปต้มน้ำร้อนตอนไหน) จากนั้นก็ดื่มเน็ท-วี-ต้า กันทุกคน

    บรรยากาศรอบข้างกุฏิท่าน ผมออกไปเห็นก่อไผ่ และ ต้นกล้วย ลำใหญ่มากๆ สมบูรณ์มาก และที่พื้นกุฎิ ข้างที่ท่านนั่งก็มีมดดำตัวใหญ่ๆ(ขอเรียกว่ามดดำยักษ์ก็แล้วกัน) เพราะว่ามันใหญ่ประมาณ ตัวต่อ เลยครับ เดินเรียงเป็นขบวน มากินน้ำตาลที่ท่านโรยไว้เป็นจุดๆ ข้างๆท่าน พระอาจารย์บอกว่า มดเขากินน้ำตาลเสร็จแล้วเขาก็กลับ ไม่มารบกวนเดินไปที่อื่น ผมมองดูก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ.....
     
  4. lowprofile

    lowprofile เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    1,391
    ค่าพลัง:
    +6,023
    ท่านใดประสงค์จะทำบุญกับพระอริยสงฆ์อยุ่ไม่ไกล อันที่จริงยังคงมีพระสุปฎิบันโนหลายองค์ท่านอยู่ท่ามกลางป่าคอนกรีต
    โดยช่องทางเนทและธนาคารนี่แหละครับ
    เรียนเชิญครับ ได้กุศล2ทางคือ ได้ถวายทานต่อพระอริยสงฆ์และทานที่ถวายนำไปช่วยเหลือผุ้อื่นสร้างสาธารณะกุศล นับว่าเป็นมหากุศลเรียนเชิญครับ...

    A จัดหาทุนจัดซื้อเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์การแพทย์
    ให้แก่ รพ พหลพลพยุหเสนา จ. กาญจนบุรี
    เพื่อเป็นการถวายสักการะในวโรกาสที่ สมเด็จพระญานสังวร สมเด็จพระสังฆราช
    สกลมหาสังฆปรินายก จะทรงมีพระชนน์มายุครบ 100 พรรษาในปีพศ2556
    http://palungjit.org/threads/จัดหาทุนจัดซื้อเครื่องมือแพทย์และอุปกรณ์การแพทย์.309454/

    B ร่วมท<WBR>ำบุญทอดผ้าป่าสามัคคีมหากุศ<WBR>ล เพื่อสร้างอาคารผู้ป่วยดังก<WBR>ล่าว และซื้อเครื่องมือแพทย์ ไถ่ชีวิตโค-กระบือ เป็นเจ้าภาพเลนส์แก้วตาเทีย<WBR>ม (เลนส์ละ 4,000 บาท) ทำบุญใส่บาตร ถวายสังฆทาน ฟังธรรม ปฎิบัติภาวนา กับพระกรรมฐาน ซึ่งมาจากหลายจังหวัด ไม่น้อยกว่า 15 รูป โดยมีพระอาจารย์<WBR>ทองปาน จารุวัณโณ เจ้าอาวาสวัดป่าสันตินิมิต จ.ศรีสะเกษ (ศิษย์ในหลวงปู่บุญจันทร์ กมโล) เป็นต้นบุญ
    http://palungjit.org/threads/ใส่บาต...้อรัง-ผ่าตัดต้อกระจก-ไถ่ชีวิตโคกระบือ.319319/



    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>
    <!-- google_ad_section_start -->C เชิญร่วมสร้างหอผู้ป่วยภาวะวิกฤตระบบทางเดินหายใจ กับลปจันทร์ศรีให้กับโรงพยาบาลศูนย์อุดร

    http://palungjit.org/threads/เชิญร่วมสร้างหอผู้ป่วยภาวะวิกฤตระบบทางเดินหายใจ-กับลปจันทร์ศรี.312992/


    D ร่วมบุญสร้างอาคาร ร.พ.ชาติตระการ ร่วมกับหลวงพ่อสมบูรณ์ กันตสีโล
    http://palungjit.org/threads/ร่วมบุญสร้างอาคาร-ร-พ-ชาติตระการ-ถวายหลวงพ่อสมบูรณ์-กันตสีโล.321083/

    สาธุ สาธุ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มกราคม 2012
  5. Flashman

    Flashman Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2012
    โพสต์:
    185
    ค่าพลัง:
    +75
    โอ้โห น่ากลัวครับ :cool:
     
  6. pisi

    pisi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +244
    ผมมองดูก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ..... หลังจากนั้น พระอาจารย์ก็บอกว่าให้เตรียมตัวกลับกันได้แล้ว เพราะว่าตอนเย็นสัตว์ป่าจะออกหากิน จะอันตราย

    ผมและเพื่อนๆก็นำของใช้ถวายท่าน จากนั้นท่านก็เมตตาพูดคุยด้วยอีกนิดหน่อย แต่ผมสังเกตุว่า เรื่องที่ท่านพูดนั้น ไปตรงกับผมและเพื่อนๆทุกคน และ เน้นเรื่อง อิทธิบาท 4 และ ความไม่เที่ยง จากนั้นท่านก็บอกให้ทุกคนรับพร

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ ฯลฯ ระหว่างเริ่มสวด ผมสังเกตุเห็นแสงรอบกายพระอาจารย์สว่างเพิ่มขึ้นอีก น้ำเสียงนุ่มลึก รู้สึกเหมือนกับว่ามีพลังบางอย่างมาปกคลุมร่างกายผม เย็นสบาย เนียนนุ่ม และมีความสุขมาก

    เมื่อรับพรกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมและเพื่อนๆก็เตรียมตัวจะกลับ ท่านก็เมตตาบอกว่า เอาต้นไม้กลับไปปลูกด้วยคนละต้น(ท่านปลูกต้นไม้ต้นเล็กๆไว้มาก)ก็เลยได้ต้นไม้กลับมาปลูกกัน มีเศษจีวรของท่านผูกติดมาด้วย ผมยังเสียดายอยู่เลยตอนย้ายบ้านไม่ได้นำมาด้วย

    และพระอาจารย์ก็ลงมายืนข้างกุฏิ ยืนส่งผมและเพื่อนๆ บอกว่าให้เดินทางปลอดภัย และก่อนจะกลับให้เดินไปดูโป่งน้ำด้วย แต่อย่าอยู่นานนะให้รีบกลับ ผมและเพื่อนๆก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ก็เดินไปดูตามที่ท่านบอกไว้ แล้วก็รีบกลับออกมาใช้เวลาออกมาจนถึงถนนใหญ่ประมาณ 1 ชั่วโมง.....(จบตอนที่ 1)
     
  7. pisi

    pisi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +244
    (ตอนที่ 2).....หลังจากนั้นใช้เวลาประมาณ 2 ปี กว่าจะได้ไปกราบพระอาจารย์อีก เนื่องจากว่าผมและเพื่อนๆติดภาระกิจการงาน เมื่อนัดกันเรียบร้อยก็เตรียมซื้อสิ่งของเครื่องใช้นำไปถวายพระ ก็นัดกันออกเดินทางจากกรุงเทพ ประมาณตี 3 ถึงที่เมืองกาญจน์ตอนเช้า ไปกัน 5 คน

    เมื่อขับรถเลยน้ำตกไทรโยคไปแล้ว ก็ขับต่อไปเรื่อยๆจนมีความรู้สึกว่าพวกเราน่าจะขับรถเลยมาแล้วนะ แต่ไม่เห็นทางเข้า ก็เลยขับรถย้อนกลับไปใหม่ ขับไปก็ช่วยกันดูทางไป (อ้อ....รอบ 2 นี้ เจ้าต้อ หลานเพื่อนผมมันไม่อยู่บ้าน เลยไปกันเอง)ในที่สุดก็ย้อนกลับมาจนรู้สึกว่าน่าจะเลยมาแล้วอีก เพราะอีกนิดเดียวก็ถึงไทรโยคแล้ว จึงขับรถย้อนกลับไปอีกครั้ง

    ผมนึกแปลกใจว่าไม่น่าจะพลาดได้ เพราะช่วยกันดูหาทางเข้า แต่ก็เลยมาจนได้ ผมจึงนึกอธิฐานจิตถึงพระอาจารย์ว่า ผมและเพื่อนๆจะมากราบนมัสการพระอาจารย์ และทำบุญด้วย กว่าจะนัดกันได้พร้อมก็ 2 ปีแล้ว ขอให้พบทางเข้าด้วยเถิด

    และแล้วผมกับเพื่อนๆก็ขับรถ กลับไปกลับมาอยู่อย่างนี้ ตั้งหลายรอบ ผมก็อธิฐานจิตขออนุญาติท่านให้พบทางเข้าอีก จนไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดี จึงบอกเพื่อนว่าจอดรถลงไปสูบบุหรี่ก่อน แล้วค่อยว่ากันใหม่ เมื่อลงจากรถไปยืนสูบบุหรี่กันข้างทาง ก็มองซ้ายมองขวาว่าเอาไงกันดี

    ก็....ปรากฎว่าหันหน้าไปฝั่งตรงข้าม เห็นทางเข้าอยู่ฝั่งตรงข้ามตรงหน้าพอดีเลย เป็นช่องเขาเล็กๆ ก็ขับเข้าไปกัน บรรยากาศทุกอย่างคล้ายครั้งแรกที่ไป พอเข้าไปสักพักก็เปลี่ยนคนขับรถ ที่พอจะขับรถคล่องในการลุยดง และ ผมกับเพื่อนอีก 2 คนก็ขึ้นไปอยู่ท้ายปิคอัพ คอยมองทางและบอกคนขับ

    ขับรถเข้าไปสักพักก็พบกับต้นไม้ต้นใหญ่ล้มขวางอยู่ ก็ลงมาดูกันว่าเอาไงดี เพราะยกไม่ไหวมันหนักมาก ทางด้านซ้ายขวาก็เต็มไปด้วยต้นไม้ระยะห่างถี่มาก จนต้องหาช่องข้างทางลุยเข้าไปเพื่ออ้อมต้นไม้ที่ขวางอยู่ ระหว่างทางก็พบอุปสรรคต่างๆ ต้องลุยฝ่าดงไผ่ และต้นหญ้าที่สูงท่วมรถ บางครั้งก็ต้องหมอบลงเพื่อไม่ให้ต้นไม้มาเกี่ยวกับเสื้อกับตัว รถก็ขูดไปกับต้นไม้ต้นหญ้าไปเรื่อยๆ คงไม่มีใครเดินทางเข้ามานานแล้วต้นไม้จึงขึ้นรก

    ก่อนหน้าที่จะเข้ามาได้แวะไปที่ บ้านญาติเพื่อนกันก่อนจึงรู้ว่าญาติเพื่อนผมเขาเคยจ้างให้คนขับรถนำสิ่งของมาถวายพระอาจารย์ แต่มาติดหล่มกลางทาง เข้าต่อไม่ได้จึงเอาของกลับ


    ระหว่างทางผมคิดในใจว่า ทำไมอุปสรรคเยอะจัง ก็อธิฐานขอให้ได้พบพระอาจารย์ด้วยเถิด ขับไปสักพักก็ไปพบทางแยก เป็นทางแยกออกไปได้หลายทาง แต่ก็จำได้ว่าต้องผ่านทางแยกนี้ล่ะ และเนื่องจากเป็นทางแยกที่มีบริเวณกว้างมาก มีต้นหญ้าขึ้นสูงเต็มพื้นที่ ก็เลยไม่รู้ว่าจะไปทางไหนต่อ เพื่อนผมกระโดดลงจากรถเดินไปดูบริเวณรอบๆ เพื่อดูทางที่จะไปต่อ

    ผมยืนดูอยู่บนหลังปิคอัพ มองไปข้างหน้า...สักพัก....เห็น...รถปิคอัพ 2 คัน ไกลๆ กำลังขับสวนออกมา และตรงมาทางรถที่จอดอยู่ ผมก็บอกเพื่อนๆว่าเจอะทางไปแล้ว แต่ก็สงสัยว่าเป็นไปได้ยาก ว่าจะมาพบรถที่เข้ามาข้างในนี้ เพราะระหว่างทางที่เข้ามาก็รู้ว่า ไม่มีรถขับเข้ามาในนี้นานแล้ว ไม่มีร่องรอยว่ามีการขับรถลุยเข้ามา

    แล้วรถ 2 คันนั้นก็ขับเข้ามาจอดข้างๆ ในระยะประมาณ 10 เมตร ผมก็กระโดดลงจากหลังรถ แล้วเดินเข้าไปหา พร้อมกับยกมือไหว้ และ กล่าวคำทักทาย...สวัสดีครับพี่...
     
  8. moddang

    moddang เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,460
    ค่าพลัง:
    +5,423
    เข้ามาอ่าน ต่อเลยครับ กำลังมันส์
     
  9. pisi

    pisi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +244
    และ กล่าวคำทักทาย...สวัสดีครับพี่...ผมจะเข้าไปหาพระอาจารย์....หาทางเข้าไม่เจอ ไม่ทราบว่าไปทางไหนครับ

    ผมมองดูในรถทั้ง 2 คันนั้นมีทั้งหมด 5 ท่าน(ขออนุญาติเรียกว่า ท่าน) คันที่ 1 มีอยู่ 2 ท่าน คันที่ 2 มีอยู่ 3 ท่าน ผมคุยกับท่านที่อยู่ในรถคันที่ 1

    ใส่เสื้อเชิ้ตสีแดง กางเกงสีขาว ท่านคุยกับผมว่า...
    ท่านเชิ้ตแดง: อาจารย์....ไม่อยู่มั้ง ผมมาอยู่ที่นี่ 2 วันแล้วยังไม่เห็นท่านเลย ปกติถ้าพวกผมมากัน ท่านจะลงมาเยี่ยมพวกผม แต่นี่ไม่เห็นลงมาเลยนะ สงสัยท่านไปธุดงค์แล้วมั้ง
    ผม: อ๋อ...ไม่เป็นไรครับพี่ ถ้าท่านไม่อยู่ พวกผมขอกราบท่านที่กุฏิก็ยังดี แล้วผมจะเข้าไปทางไหนล่ะครับ
    ท่านเชิ้ตแดง: ทางที่ออกมาตะกี้นี้ล่ะ ไปล่ะ
    ผม: (ยกมือไหว้)ขอบคุณครับพี่
    แล้วรถทั้ง 2 คันก็ค่อยๆขับสวนออกไป

    ระหว่างสนทนากันนั้น ผมสังเกตุว่าท่านเชิ้ตแดงน่าจะเป็นเหมือนหัวหน้าทีม และแปลกที่ว่า ลูกตาดำของท่านมีสีอมฟ้า ไม่กระพริบตาเลย และลูกทีมอีก 4 ท่าน นั่งอยู่ในรถ นั่งหน้าตรง นิ่ง ไม่ขยับตัว เหมือนหุ่นเลย ผมแค่รู้สึกแปลก แต่ไม่ได้กลัว

    และผมกับเพื่อนๆก็ไปกันต่อ ตามทางที่ท่านเชิ้ตแดงแนะนำ สักพักก็ไปถึงทางลอดอุโมงต้นไผ่ เป็นกำแพงต้นไผ่ซ้ายขวา ปลายยอดโน้มเข้าหากัน พื้นดินเป็นแอ่งขับรถลอดไปสวยงามมาก จากจุดนี้ผมและเพื่อนที่ไปกันครั้งแรกจำทางได้แล้ว เพราะขับไปเรื่อยๆจนสุดทางรถวิ่ง ไปต่อไม่ได้แล้ว เมื่อถึงที่หมาย....ผมและเพื่อนๆก็ลงจากรถเพื่อชมธรรมชาติ...แต่...เอ...ทำไมบรรยากาศมันแปลกๆ...
     
  10. A เอม

    A เอม สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    25
    ค่าพลัง:
    +22
    รออ่านต่อค่ะ กำลังมันส์
     
  11. pisi

    pisi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +244
    แต่...เอ...ทำไมบรรยากาศมันแปลกๆ...เพราะว่าครั้งแรกที่มานั้นต้นไม้ใบหญ้าเขียวขจีสดชื่นมาก แต่ครั้งนี้ทำไมต้นไม้ดูเหมือนไม่มีชีวิตชีวาเลย ใบไม้แห้งกรอบ ไม่ได้ยินเสียงนกสักตัวเลย บรรยากาศนิ่งๆ เหงาๆ ยังไงก็ไม่รู้ มันแปลกจากเดิมที่ตั้งใจเอาไว้ว่าจะเห็นอีก

    เพื่อนๆผมก็ลงมายืนบิดตัวไปมาเพราะความเมื่อย ส่วนผมก็เดินเล่นอยู่ข้างๆ มองดูรอยล้อรถที่พื้นดินก็ไม่เห็นมีรอยเดิมของ 2 คัน ที่สวนออกไป ก็เดินดูรอบๆที่ท่านเชิ้ตแดงท่านบอกว่าเข้ามาพักอยู่ 2 วัน ก็ไม่มีร่องรอยอะไรเลยที่บอกว่ามาพักค้างคืนที่นี่ และแถวนี้ก็ใกล้โป่งน้ำด้วย มองไปก็เห็น อันตรายก็มี เป็นไปได้ไง

    แต่ผมก็ไม่ได้บอกพวกเพื่อนๆ เพราะว่าถ้าเกิดกลัวกันขึ้นมาเดี๋ยวจะยุ่ง สักพักก็ตกลงกันว่าเดินขึ้นเนินต่อ แต่ของเอาไว้ในรถก่อนจะได้ไม่ต้องแบกขึ้นไปเผื่อว่าพระอาจารย์ท่านไม่อยู่ เมื่อผมและเพื่อนๆเดินขึ้นไปจนสุดเนิน ก็ปรากฎว่าบันไดลิงที่เคยปีนขึ้น มันลงมานอนอยู่กับพื้น เมื่อมองหน้ากันเป็นที่รับรู้ ก็ลองช่วยกันยก 5 คน ปรากฎว่ายกไม่ขึ้น และไม่ขยับเลย มันเป็นท่อนซุงใหญ่ๆหนักมาก

    ก็เลยหาวิธีที่จะปีนขึ้นไปว่าเอาไงดี 5 คน ช่วยกันดูว่าจะปีนขึ้นตรงจุดไหน ตรงโน่นดีมั้ย ตรงนี้ดีมั้ย สรุปว่าเห็นทางเลือกเดียวคือ มันมีเถาวัลย์อยู่ 2 เส้น พาดย้อยลงมาพอปีนได้ ก็เลยให้เพื่อนคนนึงที่เคยมาด้วยกันในครั้งแรกปีนขึ้นไป แล้วที่เหลือรออยู่ข้างล่าง เมื่อเพื่อนผมปีนขึ้นไปแล้ว และเดินเข้าไปนิดหน่อย สักพักก็ตะโกนบอกว่า พระอาจารย์ถ้าท่านไปธุดงค์ ก็คงพึ่งเดินทางไปไม่กี่วัน เพราะว่าเห็นต้นไม้ต้นเล็กๆที่ท่านปลูกเอาไว้ อยู่ในสภาพใหม่ๆ มีเชือกฟางสียังสดอยู่เลยผูกไว้ค้ำที่ต้นไม้

    อ้าว...ไม่เป็นไร พระอาจารย์ไม่อยู่ ขอกราบกุฎิท่านก็ยังดี ไหนๆก็มากันแล้ว....ผมและเพื่อนที่รออยู่ก็ปีนตามขึ้นไป เพื่อนที่ขึ้นไปคนแรกก็เดินนำไปก่อนหน้า ได้ยินเสียงเพื่อนผมเรียก พระอาจารย์....พระอาจารย์....พระอาจารย์....อยู่มั้ยครับ ได้ยินเสียงเรียกอยู่นาน สักพักเดียวเพื่อนวิ่งมาบอกว่า ได้ยินเสียงพระอาจารย์ตอบกลับมาว่า...อือ...ได้ยินคำเดียว แสดงว่าพระอาจารย์อยู่ ผมและเพื่อนๆก็ดีใจที่ท่านอยู่

    และพวกผมก็ไปรวมตัวกันอยู่ที่หน้ากุฎิ ได้ยินเสียงท่านบอกให้ขึ้นมา ก็เลยขึ้นไปนั่งรอ ผมนั่งที่เดิม ส่วนเพื่อนๆก็นั่งอยู่ข้างๆติดกัน เพราะกุฎิมีขนาดไม่ใหญ่ สักพักพระอาจารย์ก็เดินออกมาจากห้องเล็กๆของท่าน เมื่อผมเห็นท่าน ผิวกายท่านผ่องเหมือนเช่นเคย มีแสงรอบตัวเหมือนเช่นเคย แต่ในขณะที่มองท่าน มีบางอย่างที่ทำให้ผมแปลกใจ และ ค่อนข้างตกใจด้วย เพราะว่าพระอาจารย์....
     
  12. Whitefaith

    Whitefaith Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +42
    อ่านแล้วลุ้นมากๆค่ะ แปลกๆกับคุณเชิ้ตแดงและเพื่อนมากๆ

    เป็นกำลังใจให้นะค่ะ
     
  13. pisi

    pisi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +244
    มีบางอย่างที่ทำให้ผมแปลกใจ และ ค่อนข้างตกใจด้วย เพราะว่าพระอาจารย์....มีหนวดเครา และ ผมขึ้นยาว(ประมาณว่าไม่ได้ ปลงผม มา2เดือนแล้ว)แต่...แสงรอบกายท่านสว่างไสว ผิวขาวเนียนเหมือนเด็กวันรุ่น มีสิ่งที่ผมว่าคล้ายๆ หมอกจางๆ คลุมท่านอีกที

    ระหว่างนั้นผมก็นึกขึ้นได้ว่า เอ...วันนี้เป็นวันพระ เมื่อวานเป็นวันโกน แล้วทำไมพระอาจารย์ถึงไม่ได้ปลงผมนะ แต่ว่าทั้งหนวดเครา และ ผมที่ขึ้นยาว น่าจะประมาณ 2 เดือนนะ แล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่า หรือ พระอาจารย์เข้าสมาบัตินาน

    นี่เราและเพื่อนๆมารบกวนการปฏิบัติธรรมของพระอาจารย์หรือเปล่านี่ มิน่าล่ะ กว่าจะหาทางเข้าได้ ก็วนกันหลายรอบ เข้ามาแล้วก็เจออุปสรรคต่างๆอีก แล้วท่านเชิ้ตแดงก็บอกว่าสงสัยไปธุดงค์มั้ง เหมือนว่าไม่อยากให้เข้ามารบกวนท่าน แต่ผมก็อธิฐานจิตถึงท่าน และ พยายามที่จะเข้ามากราบและทำบุญกับท่านให้ได้ พระอาจารย์ท่านเมตตามากจริงๆ ผมและเพื่อนถึงเข้ามาพบท่านได้ในครั้งนี้

    เมื่อพระอาจารย์เดินออกจากห้องเล็กๆ ออกมาแล้ว ท่านก็นั่งที่ประจำของท่าน ผมก็นั่งที่เดิมตรงข้ามกับท่าน และ เพื่อนๆก็นั่งข้างๆกันเหมือนเดิม เมื่อผมและเพื่อนๆกราบนมัสการท่าน และ เรียนแจ้งความประสงค์ในการมาครั้งนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    พระอาจารย์: เป็นไงบ้าง...สบายดีกันมั้ย(พร้อมกับยิ้มทักทาย)
    ผมและเพื่อนๆ: สบายดีครับพระอาจารย์
    ผม: คิดว่าพระอาจารย์ไม่อยู่ จึงไม่ได้ขนของกันขึ้นมาครับ
    พระอาจารย์: ไม่เป็นไร เดี๋ยวค่อยลงไปเอา นั่งพักให้หายเหนื่อยก่อน

    จากนั้นพระอาจารย์ก็ทักทายเพื่อนๆผม พวกเพื่อนๆก็สนทนากับท่านไปเรื่อยๆ ขณะนั้นผมก็มองสำรวจไปรอบๆตัว และ มองออกไปรอบข้างกุฏิ ปรากฏว่าชั้นวางพระพุทธรูปที่อยู่ด้านหลังพระอาจารย์ ทุกอย่างเหมือนเดิมทั้งหนังสือ และ ผ้าจีวรหรือเครื่องใช้ของท่านวางเป็นระเบียบเหมือนเดิม แต่ว่า....มีคราบฝุ่นเกาะมากอยู่ที่สิ่งของเหล่านั้น เมื่อกับว่าไม่ได้มีผู้ใดพักอาศัยอยู่ที่นี่เลยเป็นเวลานาน ผมมองไปด้านนอกกุฏิเห็นถังน้ำมัน 200 ลิตร ใช้สำหรับรองน้ำฝน บนปากถังมีผ้าจีวรผืนเล็กขึงอยู่สำหรับกรองเศษฝุ่นตะกอน ผ้าจีวรนั้นแห้งกรังมีฝุ่นผงตะกอนเกาะอยู่จนแห้ง จากสภาพโดยทั่วไปเหมือนไม่ได้มีใครอยู่มานาน เพราะตอนเดินเข้ามาก่อนถึงกุฏิ ทางเดินก็มีใบไม้แห้งๆตกเต็มไปหมด ไม่ได้เก็บกวาดมานาน พื้นดินก็แห้ง บรรยากาศแปลกๆ
     
  14. pisi

    pisi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +244
    พื้นดินก็แห้ง บรรยากาศแปลกๆ สักพักพระอาจารย์ก็บอกว่า....
    พระอาจารย์: อ้าว...จะเอาอะไรมาก็ไปขนกันขึ้นมา

    ผมและเพื่อนๆก็เตรียมตัวจะลงไปขนของขึ้นมา เพื่อนคนนึงก็บอกว่าเดี๋ยวไปหาเชือกก่อน เผื่อไว้ผูกของแล้วดึงขึ้นมา(ตรงที่ปีนขึ้นมาประมาณ 2 ชั้น เพราะบันไดลิง ลงไปนอนอยู่กับพื้น) พระอาจารย์ท่านบอกว่าช้างป่ามันดึงลงไป

    เมื่อเพื่อนผมได้เชือกมาแล้ว 1 เส้น ก็เตรียมตัวจะลงไปขนของ เพื่อนผมมาเล่าให้ฟังทีหลังว่า ตอนเดินไปหาเชือกด้านข้างกุฏิ และ เดินลงไปข้างกุฏินิดนึง เห็นโอ่งน้ำใบเล็กข้างในไม่มีน้ำเลย แห้งฝุ่นจับเลย และ สก๊อตไบรท์ สำหรับขัดล้างภาชนะก็แห้งกรังเหมือนไม่ได้ใช้งานมานาน

    ขณะกำลังจะลงไปขนของ เพื่อนผม 3 คนเดินนำหน้าไปก่อน ผมและเพื่อนอีกคนกำลังจะเดินตามไป พระอาจารย์ก็พูดขึ้นว่า...
    พระอาจารย์: เดี๋ยว....2 คนนั้นอย่าพึ่งไป อยู่ก่อน

    ผมกับเพื่อนก็รออยู่ก่อน พระอาจารย์ก็ชวนคุยไปเรื่อยๆ บ้านอยู่ไหน ทำงานอะไร มายังไง มีลูกหรือยัง สักพักพระอาจารย์ก็เรียกเพื่อนผมว่า....
    พระอาจารย์: ไอ้มนุษย์เหล็ก....เดี๋ยวไปติดไฟต้มน้ำให้หน่อย(แล้วก็ชี้ไปข้างๆด้านหน้ากุฏิ)
    เพื่อน: ครับพระอาจารย์

    แล้วเพื่อนผมก็เดินไปติดไฟต้มน้ำ(เพื่อนผมเล่าให้ฟังตอนหลังว่า สมัยก่อนเกิดอุบัติเหตุต้องดามเหล็กทั้งแขนขา ผมก็ไม่รู้ว่าเพื่อนผมดามเหล็กไว้ด้วย) แล้วพระอาจารย์ก็บอกกับผมว่า ไปช่วยเพื่อนขนของได้แล้ว ไอ้มนุษย์เหล็กอยู่ก่อน ผมก็เดินไปตามไปคนเดียว(ไอ้มนุษย์เหล็ก มาเล่าให้ฟังตอนหลังว่า หลังจากผมเดินไปแล้ว มันติดไฟต้มน้ำไว้แล้ว พระอาจารย์ก็บอกว่า ไอ้มนุษย์เหล็กไปช่วยเพื่อนขนของได้แล้ว ระวังนะ....อย่าประมาท พอมันเดินมาถึงทางกำลังจะปีนลง พอก้าวขา ปรากฏว่ามีงูเห่าโผล่มาจากซอกหิน มันเลยก้าวขาค้างไว้แล้วดึงขากลับช้าๆ พร้อมนึกถึงคำพระอาจารย์ ระวังนะ...อย่าประมาท)

    ส่วนผมท่านปล่อยให้เดินไปคนเดียวคงไม่เป็นไร(แต่วันนั้นผมมีแหวนลักขีญ์ 80 พรรษา ของหลวงพ่อ วิริยังค์ สิรินธโร ติดตัวไปด้วยมีพุทธคุณปกป้องอันตรายจากสัตว์มีพิษ และมีเขี้ยวทั้งหลาย)อันนี้ผมคิดเอาเองนะ ว่าคุ้มครองผมได้ ท่านจึงให้เดินไปคนเดียว

    เมื่อผมและเพื่อนๆขนของขึ้นมารอ ตรงจุดทางที่จะปีนขึ้น(ที่มีบันไดลิงหล่นลงไป)เพื่อนผมคนนึงก็ปีนขึ้นไปก่อนเพื่อจะหย่อนเชือกลงมาผูกของ จังหวะนั้นเองผมหันไปมองทางซ้ายของกำแพงหิน ปรากฏว่า.....
     
  15. น้ำใหลนิ่ง

    น้ำใหลนิ่ง Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    174
    ค่าพลัง:
    +79
    ต่อเลยครับท่าน มาติดตามครับ อ่านไปปิติไป

    โมธนาบุญด้วยครับได้ไปกราบพระอริยะบุคล สาธุ
     
  16. pisi

    pisi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +244
    ปรากฏว่า.....ทางซ้ายมือของผมเดินประมาณ 5 ก้าว มีบันไดลิงเล็กๆตั้งอยู่บนก้อนหินขนาดเท่าถังใส่น้ำแข็งใบใหญ่ บันไดไปเหล็กกลางเก่ากลางใหม่ ผมสะกิดเพื่อนๆแล้วชี้ไปให้ดู ทุกคนมองแล้ว...อ้าปากค้าง...งง กับสิ่งที่เห็นตรงหน้า เพราะว่าก่อนจะปีนขึ้น 5 คน ช่วยกันดูทางขึ้นว่าจะเอาไงดี จนสรุปว่าปีนเถาวัลย์ขึ้น แล้วอยู่ๆกลับมาบันไดลิงมาพาดไว้ มายังไงก็ไม่รู้ แต่ก็ดีเหมือนกันจะได้ขนของขึ้นง่าย(พระอาจารย์ท่านเมตตามาก)

    เมื่อขนของกันไปถึงกุฏิเสร็จแล้ว ผมและเพื่อนๆก็นั่งประจำที่เดิม และ พระอาจารย์ก็ลุกขึ้นเดินไปด้านข้างกุฏิ(ที่เดิม หลังฉากข้างห้องท่าน)ผมมองตามไป ท่านเลี้ยวเข้าไปไม่ถึง 5 วินาที หันกลับออกมาถือกระทะ เถาว์ปิ่นโตออกมา(เพื่อนที่นั่งข้างๆผมมองตาม มันร้อง เฮ้ย...(ร้องเบาๆ)พร้อมกับหันมามองหน้าผม แล้วบอกว่าตอนเดินไปเอาเชือก ตรงนั้นไม่มีอะไรวางอยู่เลย เป็นที่โล่งๆ)

    ผมก็เฉยๆ เพราะเริ่มชินแล้ว และก็รู้ว่าพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมด้วยความเพียร สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ เมื่อท่านเดินกลับมาก็แจกโถปิ่นโตคนละใบ แล้วตักถั่วแดงคั่วน้ำตาลแห้งๆให้คนละนิดคนหน่อย(เหมือนกับครั้งแรก)

    พระอาจารย์: อ้าว...กินกันก่อน แก้หิว
    พระอาจารย์: ไอ้มนุษย์เหล็ก ไปดูซิว่าน้ำร้อนหรือยัง
    ไอ้มนุษย์เหล็กก็ลงไปดู พระอาจารย์ก็เดินไปด้านข้างที่เดิม ผมก็ได้ยินเสียงไอ้มนุษย์เหล็กกลับมาบอกพระอาจารย์ว่า ยังไม่เดือดเลยครับ แต่ตาผมก็มองตามพระอาจารย์ไป พอท่านเดินไปถึง ครั้งนี้ แค่เอื้อมมือเข้าไป หันกลับมาอีกที....เฮ้ย...

    ...เฮ้ย...(ผมนึกในใจ)เพื่อนคนเดิมมองตาม ร้องเฮ้ยเบาๆ หันมามองหน้าผมบอกว่า เป็นไปได้ไง....พระอาจารย์เดินกลับมาพร้อมกับของที่ถืออยู่ในมือท่าน...มาม่า...ห่อใหญ่แบบแพ็คประมาณ 10 ซอง(สมัยนี้เห็นมีขายแต่แพ็คเล็กๆ)เอามาแจกผมและเพื่อนๆ

    พระอาจารย์: ไอ้มนุษย์เหล็กน้ำร้อนหรือยัง
    ไอ้มนุษย์เหล็กลงไปดูอีกครั้ง ผมและเพื่อนที่เหลือหลังจากกินถั่วแดงคั่วแห้งแล้ว ก็แกะห่อมาม่า ใส่รอในโถปิ่นโต

    สักพัก ไอ้มนุษย์เดินกลับขึ้นมาบนกุฏิ บอกพระอาจารย์ว่าน้ำเดือดแล้วครับ พร้อมกับในมือ ถือกาน้ำร้อนใบเล็ก....(ใบเล็ก)....ผมก็นึกในใจว่า กาน้ำใบเล็กเท่านี้ ทำไมต้มน้ำนานจัง ทีแรกนึกว่าใบใหญ่จึงต้องใช้เวลาต้มนาน(ก็ทำให้ผมแปลกใจอีก)....
     
  17. mind stone

    mind stone เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 มกราคม 2010
    โพสต์:
    532
    ค่าพลัง:
    +1,296
    อ่านเพลินเลย...ผมก็ไปเมืองกาญๆบ่อยเหมือนกัน...ถ้ามีวาสนาไปกราบท่านบ้างคงจะดีไม่น้อย...
     
  18. pisi

    pisi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +244
    ทีแรกนึกว่าใบใหญ่จึงต้องใช้เวลาต้มนาน(ก็ทำให้ผมแปลกใจอีก)....ผมเป็นคนเทน้ำร้อนคนแรก จึงเทน้ำลงไปนิดหน่อย กะว่าจะได้ครบทุกคน เหมือนกินมาม่าแบบคลุกคลิก เพราะว่ากาใบเล็กมีน้ำน้อย หลังจากนั้นจึงส่งให้เพื่อนๆ ระหว่างนั้นเพื่อนๆก็เทน้ำไป คุยกันไป ผมก็มองเพื่อนเทน้ำทีละคนจนครบ ปรากฏว่าแต่ละคน เทน้ำร้อนจนเต็มโถปิ่นโตครบทุกคน ผมก็แปลกใจ เมื่อคนสุดท้ายวางกาน้ำลง ผมก็หยิบต่อ ปรากฏว่ากาน้ำใบนั้นมีน้ำหนักแน่น ผมจึงเทลงในโถของผมจนเต็ม ก่อนวางผมแอบขยับข้อมือเพื่อเช็คน้ำหนัก ปรากฏว่า...มีน้ำหนักแน่น....เหมือนยังมีน้ำเต็มอยู่เลย จึงมีคำถามขึ้นมาในใจว่า....น้ำในกา มาจากไหน....?

    เมื่อผมและเพื่อนๆรับประทาน มาม่า กันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็เตรียมตัวถวายสิ่งของที่นำไป ระหว่างนั้นผมยกปีบน้ำมันก๊าดถวายท่าน ไม่รู้ว่าปีบหนัก หรือว่าผมไม่แข็งแรงก็ไม่รู้ พอผมยกถวายถือค้างไว้ เกร็งมือจนสั่น พระอาจารย์ยังหยอกผมเลยว่า แหมแค่นี้ทำสั่น(พร้อมกับอมยิ้ม) แล้วพระอาจารย์ก็ยื่นมือมารับ จับที่หูจับของปีบยกลอยขึ้นมือเดียวสบายๆ เหมือนมีน้ำหนักเบาๆ (สงสัยผมจะไม่แข็งแรงจริงๆ) เมื่อถวายสิ่งของเรียบร้อยแล้ว พระอาจารย์ก็มองหน้าผม พร้อมกับหยิบของที่ถวายไปแล้วอย่างหนึ่งขึ้นมายื่นให้ผม ผมยื่นมือออกไปรับ แล้วพระอาจารย์ก็พูดกับผมว่า.....
     
  19. pisi

    pisi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    122
    ค่าพลัง:
    +244
    แล้วพระอาจารย์ก็พูดกับผมว่า.....
    พระอาจารย์: เก็บเอาไว้พิจารณา

    ผมมองดูสิ่งของที่ท่านยื่นให้ผม เป็นใบมีดโกน ยิลเล็ตท์ 1 กล่อง เมื่อผมมองดูก็รู้เลยว่าท่านกำลังบอกผมในสิ่งที่ผมสงสัย เรื่อง ทำไมพระอาจารย์จึงไม่ได้ ปลงผม เพราะใบมีดโกนมีไว้สำหรับปลงผม

    ผม: เก็บเอาไว้พิจารณา อะไรหรือครับ
    พระอาจารย์: นั้นล่ะ...เก็บเอาไว้พิจารณา
    ผม: ครับ

    พอเพื่อนๆหันมามองของที่พระอาจารย์ให้ผมมา พระอาจารย์ก็พูดว่า...
    พระอาจารย์: ใบมีดโกนที่นี่มีเยอะแล้ว เอาเก็บกลับไปไว้ใช้เถอะ ไว้ที่นี่ก็ไม่ได้ใช้ เก็บไว้นานสนิมมันก็ขึ้น

    เมื่อผมรับใบมีดโกนไว้แล้ว จะเก็บกระเป๋ากางเกงก็ไม่กล้า เพราะว่าเป็นของที่พระให้ กระเป๋าเสื้อก็ไม่มี เลยฝากไว้ในกระเป๋าเสื้อแจ๊คเก็ตของเพื่อน แต่กลับมาถึงกรุงเทพฯแล้วดันลืมไว้ที่เพื่อนอีก

    แล้วพระอาจารย์ก็ให้พรเช่นเคย ท่านเน้นย้ำ เรื่อง อิทธิบาท 4 และ ความไม่เที่ยง และผมก็สนทนากับท่านว่า....
    ผม: พระอาจารย์ครับ ผมทราบแต่ชื่อเล่นของพระอาจาย์ตามที่คนอื่นเขาเรียกกัน ไม่ทราบว่า ชื่อจริงของพระอาจารย์ชื่ออะไรครับ
    พระอาจารย์: ชื่อพระ.....(ขออนุญาติสงวนข้อมูล หรือ พิกัดใดๆ ตามที่แจ้งไว้แต่ต้น)
    ผม: แล้วพระอาจารย์บวชที่ไหนครับ
    พระอาจารย์: บวชที่วัด.....กรุงเทพฯ
    ผม: แล้วพระอาจารย์ มาอยู่ที่เมืองกาญจน์ได้อย่างไรครับ
    พระอาจารย์: พออาตมาบวชที่วัด....ได้ไม่นาน ก็ออกเดินธุดงค์ไปทั่วทุกจังหวัดในประเทศไทย จากนั้นก็หยุดที่นี่ ปีพ.ศ.2529

    เมื่อถึงเวลาที่ต้องกลับกันแล้ว ผมและเพื่อนๆก็เตรียมตัวกัน พระอาจารย์ก็เมตตาให้ต้นไม้มาอีกคนละต้น พอลงจากกุฏิผมก็ว่าจะเดินไปข้างๆของกุฏิอีกฝั่งนึง เพราะว่าตั้งใจกะว่าอยากเดินจงกรม และ นั่งสมาธิ เนื่องจากตอนมาครั้งแรกนั้นบรรยากาศชุ่มชื่น ต้นไม้เขียวขจี ร่มรื่นมาก พอแค่คิดกำลังจะก้าวขาเดินไป พระอาจารย์ก็พูดกับผมว่า....

    พระอาจารย์: ไม่ต้องเดินไป

    ผมหยุดกึกเลย ในขณะที่เพื่อนๆผมกำลังเลือกต้นไม้กันอยู่

    พระอาจารย์: มันไม่เที่ยง

    เมื่อได้ฟังเช่นนั้น ผมก็ยกมือขึ้นไหว้พระอาจารย์ พร้อมกับตอบว่า ครับ

    จากนั้นผมและเพื่อนๆก็กลับลงมา ครั้งนี้พระอาจารย์บอกว่า ไม่ต้องแวะเดินเล่นข้างล่าง ให้รีบกลับเพราะจะมืดเร็ว เดี๋ยวออกลำบาก

    เมื่อผมและเพื่อนๆออกมาจนถึงถนนใหญ่ ก็ลงมาสำรวจรถว่าเป็นอย่างไรบ้าง ปรากฏว่า ทั้งคันมีแต่รอยขูด ข่วน บางรอยกินเนื้อสีลึกลงไป ทุกคนหันไปมองหน้า ไอ้มนุษย์เหล็ก เพราะว่าเป็นรถของมันในการเข้าไปในครั้งนี้

    ไอ้มนุษย์เหล็ก: มาวันนี้คุ้มค่าจริงๆ ไม่เสียดายสีรถเลย ถ้าวันนี้ไม่ได้มาด้วยสิ น่าเสียดาย

    เมื่อได้พูดคุยกันเพื่อนๆ ก็ได้ขอสรุปว่า พวกเราคงไม่เข้ามารบกวน การปฏิบัติธรรม หรือ การปฏิบัติภาระกิจของท่านอีกแล้ว แค่ระลึกถึงท่านก็พอ เนื่องจากการมาในครั้งนี้ ก็ดันทุรังจะเข้ามาให้ได้ อุปสรรคเขาก็ขวางเอาไว้แล้ว ท่านเชิ้ตแดงก็บอกเลี่ยงไปแล้ว บันไดลิงก็ไม่มีให้ขึ้น ก็ยังจะเข้ามากันอีก จึงตกลงกันว่าไม่ควรเข้ามารบกวนท่านอีก

    แต่สิ่งที่ผมยังสงสัยอยู่คนเดียว ก็คือ ทำไมท่านไม่ให้ผมเดินไปข้างกุฏิอีกด้านนึง เนื่องจาก บรรยากาศในครั้งนี้เหมือนไม่มีผู้ใดอาศัยอยู่เป็นเวลานานแล้ว และถ้าเดินไปแล้วพบร่างอีกร่างหนึ่งของท่านล่ะ....จะทำยังไงดี.....จะตกใจมั้ย....จะกลัวมั้ย....

    แต่ผมว่าพระอาจารย์ท่านแสดงให้ผมเห็นแล้ว ทั้ง 2 ครั้งที่ไป ให้เปรียบเทียบบรรยากาศทั้ง 2 ครั้ง แล้วท่านบอกกับผมเป็นคำสุดท้ายว่า......มันไม่เที่ยง.....(เล่าจบแล้วครับ)
     
  20. Whitefaith

    Whitefaith Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 มกราคม 2012
    โพสต์:
    80
    ค่าพลัง:
    +42
    ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่าดีๆค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...