เมื่อพระยามัจจุราชมาทวงชีวิตข้าพเจ้า

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย tjs, 14 มิถุนายน 2013.

  1. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    คุณ tjs ได้มาสร้างบารมีตอบคำถามแก่ผู้สนใจไฝ่ธรรมอยู่ที่นี่เองหรือครับ

    ยินดีในบุญบารมีที่คุณพึงสร้างพึงกระทำด้วยที่สุดครับ เมื่อวานนี้ผมได้อนุโมทนาธรรมะ
    โลกุตรธรรมที่มีอยู่ในใจของคุณแล้ว ผมเกิดความรู้สึกแปลกๆขึ้นมาฉับผลันเหมือนแรง
    อธิษฐานเลยครับ แต่เป็นความรู้สึกทางด้านดี แต่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าผมจะมีปมในใจนิด
    หน่อยที่เหมือนว่าจะหาทางออกให้ใจไม่ได้ แต่ตอนนี้ปมที่ผมคาใจหลุดไปแล้วครับ สาธุ
    เหมือนเกิดใหม่ ไม่มีอะไรให้สงสัยตัวเองอีกแล้ว มันโล่งมันเบา มันไม่ตะขิดตะขวางใจ
    เหมือนก่อนหน้านี้ มันปลดล็อกไปได้แล้วครับ มันมีกำลังใจที่จะเพียรสร้างบุญบารมีเพื่อ
    พระนิพพานต่อไป อันนี้ถือว่ายกความดีให้กับคุณ tjs ว่าด้วยการปัตตานุโมทนามัยเลยครับ
    ขอบคุณมากๆ

    จากที่ไล่อ่านกระทู้ที่คุณตอบมานี่รู้สึกว่าคุณ tjs จะมีทิพจักขุญาณ ด้วยใช่ไหมครับ ผม
    เลยมีคำถามที่ฝังใจผมมานานอยากรบกวนถามคุณหน่อยครับ คือเมื่อก่อนหน้านี้สักปลายปี
    54 ผมได้บวชทดแทนบุญคุณบิดามารดา แล้วผมได้ไปปฏิบัติธรรมที่วัดเวียงกาหลง
    จังหวัดเชียงราย เป็นสายธรรมยุตครับ ผมเคยคุยกับหลวงพ่อธรรมสาธิต ซึ่งท่านเป็นพระ
    โพธิสัตว์ปรารถนาพุทธภูมิกำลังสร้างบารมีอยู่ครับ ตอนนั้นผมมีโอกาสได้คุยกับท่าน จู่ๆผม
    ก็พูดถามท่านขึ้นว่า หลวงพ่อครับ ทำไมผมมีความรู้สึกผูกพัน กับสวรรค์ชั้นดุสิตครับ ทำไม
    ผมไม่ค่อยอยากไปสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เลยครับ ผมเคยปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์มาก่อน
    หรือเปล่า แล้วหลวงพ่อท่านก็เมตตาตอบว่า การเป็นพระโพธิสัตว์นี้มันต้องเข้มแข็งนะ
    เปรียบเหมือนว่าเราต้องเดินลุยถ่านไฟจากบ้านเรานี้ไปอเมริกาเลยนะ จะเอาไหม พอผม
    ได้ยินหลวงพ่อพูดอย่างนั้น เกิดกำลังใจตกขึ้นมาทันทีแล้วรีบบอกหลวงพ่อไปทันควันว่า
    ผมไม่เอาแล้วครับ ไม่ไหว จากนั้นคำถามท่อนสุดท้ายที่ผมได้ถามท่านแต่ท่านไม่ได้ให้คำ
    ตอบผมโดยตรง และยังคาใจผมมานานและผมกำลังจะให้คุณ tjs ช่วยไขข้อข้องใจให้ผม
    หน่อย แล้วจู่ๆหลวงพ่อท่านก็พูดขึ้นมาเองของท่านว่า "เราอยากมีครอบครัวเหรอ" ผมก็
    เอ๊ะท่านรู้ใจเราได้อย่างไร เพราะตอนบวชนั้นผมอยากสึกมามีครอบครัวมากๆใจไม่ได้ใฝ่ไป
    ทางธรรมเลย ผมก็เลยยอมรับตอบท่านตามตรงว่า "ครับอยากมีครอบครัวครับ" แล้วก็นิ่ง
    ไปสักพักและผมก็ได้ถามหลวงพ่อเป็นคำถามสุดท้ายไว้ว่า " หลวงพ่อครับแล้วผมจะได้
    กลับมาบวชในพระพุทธศาสนาอีกหรือไม่ครับ(ภายในชาตินี้นะ) หลวงพ่อท่านก็พูดตอบว่า
    แล้วเราอยากบวชอีกไหมล่ะ ผมก็รีบตอบอย่างไวว่า อยากครับ" แล้วท่านก็ไม่พูดอะไรต่อ
    อีกเลย

    ผมก็เลยคาใจมาจนถึงทุกวันนี้ว่า ผมจะได้มีโอกาสกลับไปบวชในพระพุทธศาสนาอีกหรือ
    ไม่แต่ใจผมอยากบวชมากๆเลยนะครับ แต่ดูเหมือนว่าภาระทางโลกผมมีเยอะเพราะผมต้อง
    เลี้ยงดูสงเคราะห์ครอบครัวอยู่ จะทิ้งครอบครัวไปเพื่อตามทางของตนเองก็รู้สึกว่าไม่เหมาะ
    ดูเหมือนว่าโยนภาระให้กับอีกฝ่าย เพราะภาระที่ผมเจอตอนนี้ก็คือต้องหาเงินมาจุนเจือ
    ครอบครัว เพราะฐานะทางการเงินยังไม่คล่องตัว แต่ผมก็เคยคิดเหมือนกันนะถ้าครอบครัว
    รวยมีเงินเหลือใช้แล้วคงจะเป็นเวลาที่เราจะได้ไปตามทางของเราเสียที แต่ก็ไม่รู้เมื่อไรอีก
    ละ หรือมันอาจจะไม่มีวันเป็นไปได้ที่จะได้ไปตามทางของตนเองเลยชาตินี้ก็ไม่รู้

    รบกวนปรึกษาถามคุณ tjs หน่อยครับว่า อนาคตผมมีโอกาสจะได้สละละทิ้งทุกอย่างทาง
    โลกแล้วมุ่งสู่ทางธรรมโดยไม่หวนคืนเพศฆาราวาสอีกไหมครับ คือความรู้สึกผมตอนนี้ผม
    รู้สึกว่าผมอยากบวชธุดงค์ในป่าบำเพ็ญธรรมในป่าแล้วก็ตายในป่าไปเลย อะไรแบบนี้นะ
    ครับ ความรู้สึกผมมันบอกแบบนี้ ผมจะมีวันนั้นในชีวิตที่เหลือนี้ไหมครับ รบกวนคุณ tjs
    ไขข้อข้องใจให้ผมด้วยครับ ขอบคุณครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 24 ตุลาคม 2014
  2. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ยินดีครับ ท่านนิพพานสุข

    ความจริงแล้ว หากจะกล่าวตามวาสนาบารมีก็กล่าวได้ว่า เราทุกคนมีกรรมเก่า วาสนาเก่าให้ผล ประกอบกับกรรมปัจจุบัน

    สิ่งที่ท่านถามกระผมมานั้น ขอกล่าวว่า

    ท่านมีของเก่าสั่งสมไว้มากเช่นกัน แต่ในขณะเดียวกัน ในปัจจุบันชาติ ท่านก็ต้องใช้วิบากกรรม การมีคู่ การมีภาระหน้าที่ทางโลก จัดว่าเป็นวิบากกรรมอย่างหนึ่ง ที่เมื่อเราทำของเราไว้เราก็ต้องใช้คืน

    ท่านเคยปราถนาโพธิญาณ เมื่อหลายภพชาติที่ผ่านมา หากแต่ในปัจจุบันนี้ ความรู้่สึกส่วนนี้เบาบางลง แต่ด้วยวาสนาเดิม ที่เคยปฏิบัติธรรมและสร้างบารมีธรรมสั่งสมมาให้หนุนส่ง คือ มีความรอบรู้ในธรรมมากพอประมาณ แต่ในการปฏิบัติธรรม มีวิบากกรรมขัดขวาง ให้ไม่ก้าวหน้านักในธรรมขั้นสูง ส่วนบาารมีบุญทานอันนี้ก็ทำเป็นปกติ เพราะเคยทำมาอย่างนี้ แม้จะมากบ้างน้อยบ้างก็จะทำสั่งสมไป อันเป็นคุณลักษณะอย่างหนึ่งของพุทธภูมิ

    การสวดมนต์ภาวนาและรักษาศีล ยังไม่แก่กล้าเข้มข้น เพราะยังไม่ถึงเวลา แต่ของเก่ามี ดังนั้น อันความปราถนาที่จะบวชพรรชานั้น ในอนาคตกาลไม่นานนักก็จะได้บวช และปฏิบัติธรรมตามที่ตนปราถนา ครับ เป็นพระสุปฏิปันโน ส่วนหากจะถามว่า จะบรรลุธรรม ถึงนิพพานหรือไม่ ยังไม่สามารถตอบได้ เพราะ
    1 ลาพุทธภูมิหรือยัง ของคุณ กำลังใจในความเป็นพุทธภูมิยังไม่แน่นหนา หรือไม่มากนัก ผมคิดว่า หากตั้งใจลาก็จะลาได้ขาดได้สำเร็จครับ
    2เมื่อลาพุทธภูมิขาดแล้ว หมดห่วงไปอันหนึ่งแล้ว ห่วงที่เหลือคือครอบครัว แม้จะตัดได้ไม่ขาดในทันที แต่ก็จะทำได้ในกาลถัดไป ในเวลานั้นมาถึงแม้ปัญหาบางอย่างจะรุมเร้าแต่ก็จะสามารถบวชได้ แม้จะไม่ราบเรียบนักก็ตาม แต่ก็จะบวชได้สำเร็จตามที่ปราถนา
    3ความเพียรในปัจจุบัน และวาสนาเดิมหนุนส่ง หากทำได้สมบูรณ์ก็จะสำเร็จได้ หากไม่สำเร็จก็ไม่เกินสามชาติ นับจากชาตินี้ไป ก็จะทำได้สำเร็จในชาติที่สามครับ สาธุ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ตุลาคม 2014
  3. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    สำหรับผู้ที่ตั้งใจจะบวชบรรพชา และยังไม่พร้อมในเวลานี้ ขอให้ทำความเข้าใจว่า

    เพราะเราท่านทั้งหลายมีชะตากรรมวิบากกรรมที่หนุนนำที่แตกต่างกัน เป็นอุปสรรคในการบรรพชา ดังนั้น เมื่อท่านยังไม่พร้อม ในเวลานี้ ก็ขอให้ท่านพึงรอเวลา และเตรียมตนให้พร้อม สำหรับเวลานั้นมาถึง

    การเตรียมตนให้พร้อม หมายถึงการ ฝึกฝนตนเอง การรักษาศีล การสวดมนต์ภาวนา การปฏิบัติธรรม การฝึกสันโดษการฝึกสติ สมาธิ ปัญญา ชำระกิเลสของตน

    ยิ่งเราทำได้มาก ย่อมหมายถึงเรามีต้นทุนมาก เใมื่อเราบวชเป็นพระแล้ว การเจริญธรรม รักษาศีล ปฏิบัติธรรมของเราก็เป็นเรื่องง่าย ยิ่งขึ้นเป็นการต่อยอดความดี ต่อยอดการปฏิบัติ ต่อยอดการชำระจิตของเราให้ขาวสะอาดบริสุทธิ์

    เฉกเช่นกระผม ที่ตั้งปราถนาไว้ในอนาคตว่าปราถนาการออกบวช ธุดงค์ แสวงหาโมกขธรรมชำระจิต จนกว่าจะบรรลุธรรมและชำระจิตได้แล้ว เป็นที่พึ่งแก่ตนเองได้แล้ว ชนะกิเลสมารในตนได้แล้วจริงๆ ทำลายมานะทิฏฐิได้หมดแล้วจริง จึงค่อยกลับมาแนะนำช่วยเหลือผู้อื่น ต่อไปเป็นการแสดงความกตัญญุตาต่อพระรัตนตรัย ครูอาจารย์ทั้งหมด

    การมีชีวิตที่เหลืออยู่จึงเป็นไปเพื่อมรรคผล เท่านั้น ที่เจริญงอกงาม ไม่ได้มีสาระแก่นสารอื่นใดครับ สาธุ
     
  4. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    สาวกของพระพุทธองค์ต้องอยู่ ป่า เขา ถ้ำ ปลีกวิเวก ทนสภาพความลำบากนานาประการได้ ปล่อยวางสิ้นในรูปนาม ปัจจัยสี เป็นเพียงเครื่องดำเนินชีวิตบำรุงกายก็เท่านั้น สิ่งอื่นๆทั้งหลาย ควรละทิ้งไม่ควรมีสั่งสม แม้ปัจจัยสี่บางอย่างก็เช่นกันก็ต้องละทิ้งไม่ควรสะสม

    ศีลและธรรม เป็นเครื่องกางกั้นชำระจิตให้ขาวสะอาดบริสุทธิ์ ทำลายสิ้น รูปนาม อัตตา
    ขอให้เราทั้งหลายพึงตระหนักในสิ่งเหล่านี้ นี่คือสิ่งที่ผมได้ทำความเข้าใจและวางแบบแผนของตนเพื่อความเป็นนักบวช คือผู้ละทิ้งแล้วนั่นเองในอนาคตครับ สาธุ
     
  5. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    ก่อนอื่นผมต้องขอขอบพระคุณแก่ความเมตตาบารมีของคุณ tjs มากๆเลยนะ
    ครับที่ช่วยหาความจริงให้ผมได้รับรู้ เพราะตอนนี้ผมก็ยังไม่ก้าวหน้าในสมาธิ
    จนถึงกับมีทิพจักขุญาณสามารถเห็นนั่นเห็นนี่รู้นั่นรู้นี่ได้ แต่ผมก็พอมีอยู่นิด
    หน่อยนะครับ คือแบบว่าถ้ามีวิญญาณอยู่ใกล้ๆผม ผมจะรู้สึกขนลุกซู่ซ่าขึ้นมา
    เองเลยครับ แล้วจิตก็บอกเลยว่านี้เป็นวิญญาณผู้หญิงหรือผู้ชาย ความรู้สึกมัน
    ผุดขึ้นมาในใจเองของมันนะครับ แต่ผมไม่สามารถมองเห็นเหมือนมองตาเปล่า
    ได้นะครับ เพียงแต่รู้สึกสัมผัสได้เฉยๆ และที่แปลกอยู่อย่างคือ ผมมักจะมี
    อาการที่เรียกว่าผีอำเกิดขึ้นกับตัวเองบ่อยมากๆเลยครับ เมื่อวันก่อนนี้วันพระที่
    22 ที่ผ่านมาก็มี วิญญาณมากดหน้ากดหัวผมครับ คือตอนแรกจะฝันไปเรื่องผี
    ก่อนจากนั้นจะตกอยู่ในอาการแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น โดนวิญญาณของผู้หญิงกด
    หน้ากดหัวไว้ครับ ผมก็พยายามดิ้นๆ แล้วก็ตั้งสติเป่าพุทโธขึ้นไป ทำแบบนี้อยู่
    2-3ครั้งครับ ถึงจะมีสติตื่นขึ้นมาได้ ไม่งั้นก็สะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่อย่าง
    งั้นแหละครับ

    พอตื่นได้นี่ผมรีบแผ่เมตตาให้เขาเลยเพราะเขาเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผม จิต
    ผมบอก ตอนแรกถามเขา เขาจะมาเอาชีวิตผม ผมถามด้วยความรู้สึกเอานะครับ
    จะตรงหรือไม่ตรงก็ไม่รู้แต่จิตตอนนั้นมันบอกอย่างนั้น และขนก็ลุกทั้งตัวเลยครับ
    แล้วผมก็ต่อรองของให้บุญแก่เขาไปแทน แผ่ไปได้สองสามรอบเขาก็ยอมรับ
    และอโหสิกรรมให้กัน ต่อมายังไม่หลับก็ยังรู้สึกวาบๆเย็นๆอยู่อย่างนั้นนั่นแหละ
    ครับ ผมก็นึกในใจว่าเอะเราให้บุญแล้วนี่นา แต่เอาไปเอามาผมลองตั้งจิตถามดู
    ใหม่ คุณเป็นเจ้ากรรมนายเวรผมเหรอ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณเป็นสัมภเวสีหรือ
    ไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกเช่นกัน คุณเป็นอสุรกายเหรอ เงียบอีก พอถามด้วยจิตอีกที
    ว่า คุณเป็นเปรตมาขอส่วนบุญผมเหรอ แหมตอนนึกจบนั่นแหละ ขนนี่ลุกทั้งตัว
    เกรียวกราวจนไม่รู้จะพูดเป็นภาษาคนยังไง แล้วก็มากันเยอะด้วย ผมก็เลยตั้ง
    จิตแผ่เมตตาไปให้เขาทั้งหลายทั้งหมด ปรากฎว่าพอแผ่เมตตาเสร็จแล้วขนนี่ลุก
    กันเกรียวกราวอีกแต่ลุกแบบปีตินะครับคืออิ่มใจดีใจที่ได้ช่วยเขาได้ให้เขา แล้ว
    ก็ค่อยๆผ่อนคลายลงเป็นปกติ ที่ผมเล่ามาของจริงที่เกิดกับผมทั้งหมดเลยนะ
    ครับ ผมก็ไม่แน่ใจว่าความรู้สึกที่ผมสัมผัสวิญญาณได้เรียกว่าอะไร แต่พอมีบ้าง
    ครับทำได้นิดหน่อย ใจจริงก็อยากจะถอดจิตถอดใจไปเที่ยวสวรรค์ได้โน่นแหละ
    ครับ แต่เผอิญว่าทำไม่ได้เท่านั้นเอง

    ขอทิ้งท้ายขอรบกวนถามคำถามคุณ tjs อีกครับ
    ที่คุณบอกว่าผมได้ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์มาแล้วนั้น คือว่าตอนนี้ผมต้องการ
    ไปพระนิพพานในชาตินี้มากกว่าครับ คือว่าผมไม่ต้องการเกิดอีกแล้วครับ แค่
    ชาตินี้ชาติเดียวก็ทุกข์จะแย่อยู่แล้ว จะอีกตั้ง 3ชาติผมว่ามันนานโคตรเลยนะ
    ครับ งั้นผมขอถามวิธีการลาจากการเป็นพระโพธิสัตว์มาเป็นพระสาวกแทนครับ
    ว่าเขาทำกันอย่างไร ถึงจะลาขาดได้ และขอให้ขาดจริงๆเลยนะครับ เพราะเวลา
    นี้ผมต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน ขอรบกวนคุณ tjs ช่วยแนะนำวิธีให้ผม
    ด้วยครับ จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งเลย สาธุ
     
  6. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ขอทิ้งท้ายขอรบกวนถามคำถามคุณ tjs อีกครับ
    ที่คุณบอกว่าผมได้ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์มาแล้วนั้น คือว่าตอนนี้ผมต้องการ
    ไปพระนิพพานในชาตินี้มากกว่าครับ คือว่าผมไม่ต้องการเกิดอีกแล้วครับ แค่
    ชาตินี้ชาติเดียวก็ทุกข์จะแย่อยู่แล้ว จะอีกตั้ง 3ชาติผมว่ามันนานโคตรเลยนะ
    ครับ งั้นผมขอถามวิธีการลาจากการเป็นพระโพธิสัตว์มาเป็นพระสาวกแทนครับ
    ว่าเขาทำกันอย่างไร ถึงจะลาขาดได้ และขอให้ขาดจริงๆเลยนะครับ เพราะเวลา
    นี้ผมต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน

    ================

    ความปราถนาของคุณคือนิพพานนั้นในปัจจุบันชาตินี้ มีกำลังใจแรงมาก เพราะเบื่อหน่ายโลก การเกิด ตาย และอื่นๆ ผมทราบดี และขอแนะนำว่า

    1การลาพุทธภูมิ ก็ควรกระทำต่อหน้าพระพุทธรูปเป็นประธาน จุดธุปบูชาพระ 3ดอก บอกกล่าว ต่อหน้าพระ เปลี่ยนคำอธิฐานบารมีของตนใหม่เป็นขอปราถนาซึ่งพระนิพพานในชาตินี้ ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยปกเกล้าคุ้มจิต ดลบันดาลให้สำเร็จสมปราถนา ขอผลบุญกุศลบารมีครั้งอดีตจวบจนปัจจุบันจงหนุนนำให้ผลให้ชาตินี้อันเป็นชาติสุดท้ายของตน ให้อำนวยผลสำเร็จบรรลุธรรม หลุดพ้นทุกข์ ได้สำเร็จด้วยเทอญ

    2ให้วางแผนชีวิตของตนที่เหลือแบ่งเป็นสามช่วงคือ
    2.1ช่วงนี้จนถึงก่อนบวชให้เตรียมตนฝึกฝนไว้ให้พร้อม เพื่อการสั่งสมปัญญา มีดวงตาเห็นธรรม และปฏิบัติธรรมตามสมควรแก่ฐานะ
    2.2วางแผนการบวชพระให้ดีงาม ต้องเด็ดขาดเด็ดเดี่ยว หมายถึงต้องปฏิญาณตนเมื่อเป็นพระต้องรักษาศีล227อย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะศีลข้อสำคัญจะไม่กระทำผิดโดยเจตนา ยิ่งปราชิก4 ห้ามทำผิดโดยเด็ดขาด หากทำผิด ต้องสามารถยอมตายแทนได้ เพื่อรักษาศีลไว้ เป็นต้น
    2.3วางแผนหลังจากบวชได้พรรษากึ่งหนึ่งแล้ว จะต้องออกธุดงค์เพื่อพิสูจน์ตน แสวงหาโมกขธรรม ตรวจสอบจิตตนว่าทนในสภาพที่ลำบากตามป่าเขาได้หรือไม่ ปล่อยวางธรรมดาของโลกได้แล้วหมดจริง

    3 เมื่อทำข้อ2.3สำเร็จแล้วให้ตั้งจิตอธิฐานเจริญอริยะมรรคต่อเนื้องพร้อมเผยแผ่พระศาสนา สงเคราะห์สรรพสัตว์ ตามสมควรแก่กาละเทศะ บุคคลและสมควรแก่อายุขไของตนครับ ตราบจนที่สุดจึงละกายสังขารเข้านิพพานครับ สาธุ
     
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ก็เมื่อเธอปราถนาเป็นผู้อยู่เหนือโลก
    นั่นหมายความว่า เธอย่อมจะต้องรู้แจ้งโลก เมื่อใดที่เธอรู้แจ้งโลก อันหมายถึง ธรรมชาติ อันเป็นธรรมดาของโลก อันประกอบด้วยธรรมชาติภายในตนเอง และธรรมชาติภายนอกรอบๆตัวเราทั้งหมด อันประกอบด้วย คนสัตว์วัตถุ สิงของ ตัณหา อุปาทาน ขันธ์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นธรรมดา ของโลก
    เมื่อเข้าใจรู้แจ้งโลกแล้ว พึงเห็นแจ้งแล้วว่า ธรรมดาของโลกล้วนแปรเปลี่ยน ทุกขณะจิต ทุกเวลาลมหายใจเข้าออกเสมอ
    เมื่อรู้แจ้งสัจจะธรรม อันเป็นธรรมดา ของโลกแล้ว พึงมีปัญญาเห็นต่อว่า ก็ธรรมดาของโลกนี้ ล้วนไม่เที่ยงล้วนเป็นทุกข์ ไม่มีเหตุผลอะไรที่เราจะไปยึดมั่นถือมั่น
    ธรรมดาแห่งโลกนี้ เมื่อมีปัญญาพิจารณาถี่ถ้วนเห็นแจ้งอย่างนี้
    จึงปล่อยวาง ธรรมดาแห่งโลกหมดสิ้น เมื่อปล่อยวางธรรมดาแห่ง โลกหมดสิ้นได้แล้ว
    เธอย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้อยู่เหนือโลก คือ อยู่เหนือธรรมดาแห่งโลก ไม่ข้องเกี่ยวในธรรมดาของโลก เป็นผู้ไม่ยึดมั่นถื่อมั่นในธรรมดาแห่งโลก
    เป็นผู้ละทิ้งธรรมดาแห่งโลก ปล่อยวาง ว่างเปล่า จากธรรมดาแห่งโลก ได้หมดสิ้น
    นั่นแหละเธอ จึงเป็นผู้หลุดพ้นจากโลกได้แล้วอย่างแท้จริง จึงเป็นผู้อาศัยอยู่แล้ว ในความเหนือโลกเป็นที่สุดนั่นเองครับ สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    ขอบคุณมากๆครับที่ชี้ทางสว่างให้ผม เป็นประโยชน์มากเลยครับ

    ได้คุยกับคุณ tjs แล้วรู้สึกว่า จะมีคำถามผุดขึ้นตามมาเป็นดอกเห็ดเลยครับ ขออนุญาติ
    ถามต่อไปนะครับ

    นี่ขอถามเรื่องของอนาคตเลยนะครับ ที่คุณเมตตาบอกผมว่าผมมีของเก่าอยู่นั้น มันหมาย
    ถึงอะไรครับ หมายถึงบุญเก่าเยอะ หรือมีพวกฤทธิ์อภิญญาซ่อนอยู่เหมือนกัน แล้วต้องรอ
    จนถึงกาลเวลาเท่าไร อีกประมาณกี่ปี ของเก่าผมถึงจะมาครบ จะครบในขณะเป็นเพศฆารา
    วาส หรือครบในขณะได้กลับไปบวชเป็นพระแล้วครับ

    ถ้าเอาแบบพูดตรงๆเลย สมาธิผมตอนนี้อย่างเก่งก็ปฐมฌานครับ วนเวียนอยู่กับอุปจาร
    สมาธิอยู่เนี๊ยะ ดูเหมือนว่ามันจะไม่คืบหน้านะครับ แต่ก็ยังพอมีแรงที่จะพิจารณาธรรมะได้
    บ้าง ถ้าพูดแบบไม่เข้าข้างตัวเอง ผมว่ากำลังของปฐมฌานที่มีมันน้อยเกินไป น่าจะซัก
    จตุตถฌาน โน่นล่ะถึงจะฟัดกับกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ให้เอาอยู่ ตอนนี้ผมถือศีล 5
    เคร่งเลยนะครับ ผมขอพูดจากคำสัตย์จริงว่าผมทำได้บริสุทธิ์ผุดผ่องแล้ว เรื่องศีลผมไม่
    กังวลเลย แต่เรื่องสมาธิยังเอาแน่ไม่ได้ คุณ tjs ครับ ของเก่าผมที่ว่านั้นพอจะช่วยให้ผมมี
    สมาธิถึง ฌาน 4 ที่ว่าจิตแยกออกกับร่างกายโดยเด็ดขาดได้ไหมครับ เพราะผมต้องการ
    กำลังสมาธิเพื่อทำให้แจ้งซึ่งสัจธรรม และ ดับต้นตอของกิเลส ซึ่งผมเข้าใจว่าปฐมฌานที่
    ผมพอจะทำได้อยู่บ้างแล้วนี้มันไม่พอ ของเก่าผมมีฌาน 4 รวมอยู่ในนั้นด้วยไหม มีทิพ
    จักขุญานด้วยหรือเปล่า ช่วยแนะนำทุกคำถามที่ได้ถามมาแล้วข้างต้นด้วยนะครับ ทุกคำ
    ตอบคือกำลังใจขอบพระคุณมากครับ
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    การฝึกปฏิบัติธรรมมีลักษณะดังนี้คือ
    1 กายเคลื่อนไหวจิตสงบนิ่ง คือสมาธิกรรมฐานในการเดินจงกรม
    2 กายสงบนิ่งจิตสงบนิ่ง คือสมาธิกรรมฐานในการนั่งสมาธิ
    3 กายเคลื่อนไหวจิตเคลื่อนไหว คือวิปัสนาในการเดินจงกรม
    4 กายสงบนิ่งจิตเคลื่อนไหว คือวิปัสสนาในการนั่งสมาธิ ครับ
    ทั้งหลายเหล่านี้คือสิ่งที่นักรบธรรมต้องฝึกให้ครบทำให้เป็นเมื่อทำได้แล้วให้พิจารณาว่าจริตของตนเป็นอย่างไร สมาธิเกิดง่ายสงบง่ายรวมจิตได้เร็ว ปัญญาเกิดได้ ก็ให้เลือกวิธีที่ตนถนัดเพื่อการชำระจิตให้เจริญก้าวหน้ารวดเร็วยิ่งๆขึ้นไปครับ สาธุ
     
  10. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =============

    จากสี่ข้อที่กล่าวมาแสดงให้เห็นว่า หากการฝึกจิตสงบนิ่ง นั่นหมายถึงการเจริญสมาธิแบบฌาณ อันมีทั้งแบบรูปฌาณ และอรูปฌาณ

    ส่วนการเจริญสมาธิแบบจิตเคลื่อนไหว จะหมายถึงการวิปัสนา นั่นเพราะจิตเคลื่อนไปตามรู้ตามดูการทำงานของอวิชา ตัณหา อุปาทาน ความนึกคิดปรุงแต่ง เพราะการที่จิตมีสมาธิในการตามรู้นี่เอง ย่อมเห็นสภาพความจริง ทั้งมวล เมื่อจิตเห็น รู้ทัน ธรรมดา ธรรมชาติ ที่แท้จริง และเห็นความไม่เที่ยงเป็นทุกข์ จึงเกิดปัญญา ละปล่อยวางไม่ยึดมั่นถือมั่นนั่นเองครับ สาธุ
     
  11. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ทีนี้สมาธิระดับฌาณ1-4 และอรูปฌาณ5-8 ก็มีลำดับขั้นของมัน

    ตรงนี้ความก้าวหน้าในสมาธิระดับฌาณ นั้น จะต้องให้เวลากับมันให้มาก หมายความว่า จะต้องฝึกทำสมาธิให้มาก ยาวนานต่อเนื่อง จึงจะสามารถข่มระงับ นิวรณ์ ระงับเวทนาทางกายได้หมดสิ้น ระงับ วิตกวิจารณ์ ระงับปิติ ระงับสุข คงเหลือเพียงเอกคตารมณ์ หนึ่งเดียวเท่านั้น ไม่มีอารมณ์อื่นใดมาปรุงแต่ง

    ความสงบเอกคตาจิต นี่เองคือจิตที่มีกำลังมากในการวิปัสสนา และ ก็เป็นรากฐานของการก้าวไปสู่อรูปฌาณ 5-8 ครับ

     
  12. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =============

    เรื่องสมาธิผมอธิบายคร่าวๆไปแล้วว่าควรทำอย่างไร ตามกำลังและวาสนาบารมี

    คำถามที่ว่า จะก้าวหน้าในสมาธินั้น ย่อมมีความก้าวหน้าแน่นอน แต่ต้องอาศัยการปฏิบัติ จึงรื้อค้นของเก่าขึ้นมาใช้งานได้

    ของเก่าที่มีประกอบด้วย
    บุญทาน มีกำลังดี ทำมาดีปานกลานถึงมาก
    ศีล ทำมาดี แต่ยังไม่สามารถรักษาให้ดี100เปอร์เซ้นต์ได้ ต้องพยายามทำให้ได้
    สวดมนต์ภาวนา ของเก่าดีพอใช้ ต้องเสริมของใหม่คือการสวดพุทธมนต์เสริมกำลังสมาธิ และการฝึกภาวนา ต่อฌาณขึ้นไปอีก ของเก่าเคยไปถึงฌาณ4 ต้องเพียรให้มากแล้วจะรื้อค้นของเก่าได้สำเร็จ

    อภิญญามีแน่นอน ฌาณที่สองขึ้นไปเริ่มปรากฏนิมิตรมากขึ้นแต่ก็ให้ระวังเพราะมีทั้งจริงและไม่จริง ให้ปล่อยวางไม่สนใจ
    จากนิมิตร เมื่อเราวิปัสสนาไปด้วยชำระกิเลสให้เบาบางลง สะอาดขึ้น โลภ โกรธ หลงลดลง ไปมาก นิมิตจริงจะปรากฏ แม้นิมิตจริงปรากฏก็ห้ามยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวาง
    หลังจากนั้น ทิพยจักขุจะปรากฏ และหากสวดมนต์ในใจได้หลายบท จนชำนาญ ทิพยโสต ก็จะปรากฏ ครับ เมื่อใดที่ไปถึงฌาณ3-4 เจโตปริยญาณ พร้อมด้วยมโนมยิทธิ ก็จะปรากฏครับ

    ขอให้ปล่อยวางเรื่องอภิญญาเพราะมันไม่เที่ยง และอภิญญามันมาพร้อมกับกำลังสมาธิ ยังไงก็ต้องเจอมากหรือน้อยตอบไม่ได้ ครับ

    ส่วนการหลุดพ้น คือปั้นปลาย จนกว่าจะธุดงค์ เกือบแล้วเสร็จการเดินทางครับ

    ขอตอบเพียงเท่านี้ครับ สาธุ
     
  13. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    ขอบกราบขอบพระคุณในความดีความเมตตาของคุณ tjs มากๆเลยครับ

    สาธุ สาธุ สาธุ คุณ tjs ผมไม่รู้จะตอบแทนพระคุณความเมตตากรุณาของคุณได้อย่างไร
    จึงขอตอบแทนพระคุณของคุณทั้งหมดด้วยการ น้อมนำเพียรประพฤติปฏิบัติในความดี
    ตามพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้ถึงที่สุดของความดี ตาม
    กำลังบุญวาสนาบารมีที่คอยเกื้อหนุน เพื่อพระนิพพานภายในชาติปัจจุบันนี้เท่านั้น บุญใด
    กุศลใดๆก็ตามที่ข้าพเจ้าได้พึงกระทำบำเพ็ญมาดีแล้วตั้งแต่อดีตชาติจนถึงปัจจุบันบัดนี้ ขอ
    ให้รวมตัวกันเป็นกำลังบารมีทั้ง 10 ให้คอยคำชูอุดหนุนคุณ tjs พระมีพระคุณของข้าพเจ้า
    ให้มีกำลังใจเต็มได้ออกบวชเพื่อละกิเลสทั้งปวงในเร็ววัน หากคุณ tjs ได้สละละทางโลก
    แล้วเมื่อไรขอให้ข้าพเจ้าได้ถึงเวลากาลอันเหมาะสม ได้ออกบวชตามคุณ tjs โดยเร็วพลัน
    ภายใน3 ปีนับจากนั้นเป็นต้นไปด้วยเทอญ ขอเทพเทวดาทุกพระองค์จงเป็นทิพย์พยานใน
    การตั้งจิตอธิษฐานเมื่อสร้างความดีแก่พระพุทธศาสนาให้ถึงที่สุด เพื่อพระนิพพานในชาติ
    ปัจจุบันนี้ที่เดียวเท่านั้นด้วยเทอญ อนุโมทนาสาธุ คุณ tjs ผู้มีจิตใจเป็น "พระ" ขอกราบ
    สาธุเป็นที่สุดด้วยใจเคารพจริงๆ สาธุ สาธุ สาธุ
     
  14. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ในการปฏิบัติธรรม มีหลักสูตรที่ดีเยี่ยม หลักสูตรหนึ่ง มุ่งตรงต่ออริยะมรรค หลุดพ้นทุกข์ เป็นวิธีลัด แต่ก็ต้องใช้ความพยายามมากเหมือนกันแต่ก็รวดเร็ว ก็คือหลักสูตร การฝึกจิตเกาะพระ
    ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ดีมาก ปราถนาหลุดพ้นทุกข์ ให้ฝึกวิชานี้ อาศัยพุทธนุสติ จิตเกาะพระ เป็นเบื้องต้น ท่ามกลางคือสร้างจิตตนให้เป็นจิตบุญหรือจิตเกาะพระ อันหมายถึงจิตตั้งอยู่บนกระแสพระนิพพาน เมื่อจิตอาศัยเกาะพระนิพพานได้ถาวร นั่นแลคือที่สุดของการฝึกอบรมจิต

    หากท่านใดสนใจก็ขอให้ลองเข้าไปอ่านกระทู้ จิตพร้อมรับภัยภิบัติ ดูครับ มีอาจารย์ภูทยาน ท่านเป็นผู้เผยแผ่วิชาและถ่ายทอดแก่ทุกท่าน ที่สนใจ ปราถนาหลุดพ้นทุกข์ครับ
    มีครูอาจารย์หลายท่านคอยประกบให้คำแนะนำที่ดีด้านการปฏิบัติครับ
    กระผมไม่มีเวลาพอในการเป็นครูคอยสอน แต่ก็ยินดีและพร้อมช่วยแนะนำทุกประการหากท่าน ผู้ฝึกฝนปฏิบัติติดขัดอะไรก็สามารถเข้ามาแจ้งข้อติดขัดหรือสอบถามมาได้ครับ

    จึงฝากประชาสัมพันธ์มาให้ทราบ ณ โอกาส นี้ด้วยครับ สาธุ
     
  15. kengloveyou

    kengloveyou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    282
    ค่าพลัง:
    +2,077
    ตอนแรกผมว่าผมจะไม่สงสัยแล้วนะครับว่าสิ่งนั้นคืออะไร แต่ไหนๆก็ไหนๆล่ะ ยังไงก็ขอ
    รบกวนคุณ tjs ช่วยไขข้อสงสัยให้ผมอีกด้วยครับ

    คือว่า ช่วงนี้หรือพักใหญ่ๆนี้มีสิ่งแปลกเกิดขึ้นกับการเห็นของผมนะครับ คือแรกตอนที่เริ่ม
    ต้นใหม่ของอาการนี้คือ เวลาผมสวดมนต์ ผมจะเห็นแสงดวงเล็กๆ แต่เป็นสีแก้วคล้าย
    ดาวฤกษ์ที่มีความใสสว่างในตัวของมันเองมากๆ ผุดมาในดวงตาของผมเองโดยที่ผมไม่ได้
    กำหนดหาหรืออยากรู้อยากเห็นอะไร แบบว่าอยู่ ก็มีแสงนั้นเปล่งขึ้นมาของมันเอง ค้างนาน
    สักแป๊บเดียวก็ดับหายไปเอง ถ้าผมตั้งใจหันไปมองจะหายทันที แต่ถ้าไม่หันไปมองหรือ
    ทำเป็นไม่สนใจจะเห็นอย่างนั้น เดี๋ยวผุดขึ้น เดี๋ยวดับลง ของมันเอง แรกก็มาดวงเดียว
    เวลาสวดมนต์แต่พักหลังมาหลายดวง ยิ่งสวดขึ้นนะโม แล้ว ระยิบเลย สองสามดวงผลัด
    เปลี่ยนสลับที่กันไปมา ไม่ได้ลอยไปลอยมานะครับ แต่ผุดมาให้เห็นสว่างจ้าดวงเล็กๆแล้วก็
    ดับ แต่ตอนนี้ยิ่งเอาหนักเลยครับ คือว่า ไม่ต้องสวดมนต์ก็เห็นครับ อยู่เฉยๆอย่างนั่งพิมพ์
    คอมอยู่นี่ก็ผุดมาให้เห็นเลยครับ ผมก็เกิดความสงสัยว่าแสงนี่คืออะไร ผุดขึ้นมาให้เราเห็น
    เพื่ออะไร แสงคล้ายดาวฤกษ์ดวงเล็กๆแต่แสงใสจ้ามากๆ หนักจนบางทีนั่งในสมาธิก็ผุดขึ้น
    มาให้เห็นแล้วครับ เพราะแต่ก่อนหน้าไม่ได้มีอะไรพวกนี้เกิดขึ้นกับสายตาการมองเห็นเลย
    ก็เลยขอ รบกวนคุณ tjs ผู้มีทิพพจักขุ ด้วยไขข้อข้องใจให้ผมด้วยครับ ว่ามันคืออะไร มี
    ความเกี่ยวข้องอะไรกับผม ผุดขึ้นมาในสายตาผมทำไม เวลาตั้งใจมองทำไมกลับหายไป
    แล้วเป็นสิ่งด้านดีหรือด้านร้าย แล้วสิ่งนี้คือเครื่องบอกว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นอีกหรือเปล่า
    ครับ ขอขอบคุณครับ
     
  16. ราศีเมษ

    ราศีเมษ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 ตุลาคม 2014
    โพสต์:
    54
    ค่าพลัง:
    +29
    รบกวนท่าน tjs เช็ค PM ด้วยครับ ขอบคุณครับ
     
  17. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =============

    ผมก็มีเหมือนกันครับ เป็นเตโชกสิน เก่า หรือกสินแสงสีขาวเก่า ที่เคยฝึกไว้เป็นของเก่าของเราครับ ปกติเวลาเราฝึก อย่างเช่นเพ่งเปลวไฟ ถ้าเราได้กสินไฟ เวลาเรานั่งหลับตา ในความมืดสงบนิ่ง ภาพของเปลวไฟจากเทียนที่จุดสว่าง ก็จะปรากฏชัดในสมาธิเหมือนเรามองด้วยตาเปล่าครับ แต่ปรากฏได้ไม่นาน สำหรับผู้ที่ได้กสินใหม่ๆ อุคหนิมิต แต่ถ้าชำนาญ มากภาพเปลวไฟดังกล่าว หรือแสงสว่างดังกล่าวจะเกิดนาน และสามารถกำหนดให้ใหญ่เล็ก หรือมีกี่ดวงก็ได้ แบบปฏิภาคนิมิตครับ ตรงนี้ ต้องวางกำลังใจให้เป็นนะครับจึงจะทำได้ ไม่ยึดติดหรือยึดมั่น แค่กำหนดเฉยๆครับ ต้องทำบ่อยๆครับ แล้วจะรู้วิธีครับ
    แต่ก็ให้ฝึกวิปัสสนาควบคู่ไปด้วยเสมอนะครับ สลับกันไปครับ
     
  18. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ด้วยวันหยุดวันอาทิตย์ที่ผ่านมา กระผมได้ร่วมทอดกฐินและผ้าป่า วัดน้ำซับสังฆาราม ได้ยอดเงินประมาณ590,000 บาทครับ เพื่อสร้างศาลาธรรมสังเวธ ซึ่งได้จัดสร้างเกือบเสร็จสมบูรนณ์แล้วครับ
    และได้ร่วมทำทำบุญทอดกฐินวัด น้ำสาดกลาง เพื่อสร้างศาลาซึ่ง เสร็จสมบูรณ์แล้ว
    และได้ร่วมสมทบทุนสร้างวิหารหลวงพ่อพระครูโกวิโท ซึ่งจะเสร็จสมบูรณ์ในอาทิตย์นี้ ครับ

    ทั้งนี้จึงขอบอกบุญมาและขอให้ทุกท่านได้ร่วมอนุโมทนาในโอกาสนี้ด้วยครับ

    อนึ่งใกล้วันลอยกระทงแล้ว ขอให้เตรียมกาย วาจา ใจ ลอยประทีบ โคม หรือกระทง เป็นพุทธบูชาและบูชาพระแม่ธรณี พระแม่คงคา เทพพรหมผู้ มีคุณคณาปการ และยังช่วยปกปักษ์รักษาช่วยเหลือให้สรรพสัตว์อยู่เย็นเป็นสุขครับ
    อนึ่งก็เป็นการกราบขอขมากรรมต่อท่านด้วยครับ ขอผลสวัสดีทั้งหลาย ศิริมงคลทั้งหลายจงบังเกิดมีแก่พวกเราทุกท่านเทอญ สาธุ
     
  19. น้ำเกลี้ยง

    น้ำเกลี้ยง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 กุมภาพันธ์ 2014
    โพสต์:
    211
    ค่าพลัง:
    +505
    ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับพี่ก้อง และทุกๆท่านที่มีดวงจิตเป็นบุญกุศลมา ณ ที่นี้ ด้วยครับ สาธุ สาธุ สาธุ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 พฤศจิกายน 2014
  20. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    มีสหายธรรมสอบถามเรื่องความสำคัญของการแผ่อุทิศส่วนบุญกุศล

    กระผมจึงอธิบายว่า การแผ่อุทิศส่วนบุญกุศลนั้น จัดว่า มีความสำคัญและถือเป็นหน้าที่สำคัญอย่างหนึ่ง ที่ ควรกระทำทุกวัน อย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง ไม่ควรขาด
    เพราะเหตุมีอยู่ว่า เหล่าเจ้ากรรมนายเวร ทั้งหลาย นั้น มีหลายภพชาติ ส่วนหนึ่งตกนรกก็มีมาก ตลอดจน เครือญาติบรรพบุรูษผู้มีพระคุณ ที่ตกนรกลำบากเวทนาอยู่ก็มีมาก ครูอาจารย์เทพพรหมก็ดีที่ท่านเสวยสุขอยู่

    การที่เราต้องมีความกตัญญุตา กตเวที ต่อบรรพบุรุษ ครูอาจารย์เทพพหรม เจ้ากรรมนายเวร เจ้าที่เจ้าทาง จึงจำเป็นที่อย่างน้อยในหนึ่งวันนั้น เราจึงจำเป็นที่จะต้องแผ่อุทิศบุญกุศล หรือแผ่เมตตา ให้แก่ท่านเหล่านี้ทั้งหมด

    เพื่อจะได้สงเคราะห์ ช่วยเหลือ เขาเหล่านี้ ให้พ้นทุข และช่วยให้มีความสุขมากยิ่งๆขึ้น ไป

    อนึ่งหากนับเวลา เมืองนรกชั้นแรก ที่พระยายมราช ท่านดูแลรักษาอยู่นั้น มีกาลเวลา 1วันของท่าน เท่ากับ7วันของเรา ดังนั้นหากเรามีการแผ่อุทิศบุญทุกวัน นั่นหมายความว่า อย่างน้อยผู้ที่ตกนรกอยู่ใน1วันของเขานั้น เขาก็จะได้รับบุญจากเราถึงวันละ7ครั้ง ซึ่งจะทำให้ความทุกขทรมานของเขาทุเลาลงหรือทุกขเวทนาจากนรกก็จะบางเบาลง
    นอกจากนี้ ยังเป็นการสร้างกำลังใจให้เขาเหล่านั้นมีกำลังใจที่ดี ต่อสู้รับใช้กับวิบากกรรมของตนในนรก ด้วยประการหนึ่ง

    ดังนั้น การอุทิศบุญกุศลอย่างน้อยวันละหนึ่งครั้ง จึงไม่ควรขาด ถือว่าเป็นภาระหน้าที่อันสำคัญยิ่งอย่างหนึ่ง และเมื่อเราปราถนากระทำอย่างนี้ ก็ต้องกลับมาทบทวนดูเรื่อง บุญทาน ศีล สวดมนต์ภาวนาของเราดูว่า ในวันหนึ่งๆเราได้ทำความดีอะไรไว้บ้างเป็นกำลัง เพื่อจะได้เกิดเป็นบุญของตน แล้วจึงสามารถแผ่อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ตนสร้างในแต่ละวันอุทิศให้ผู้อื่นได้

    ฉนั้น สรุปคือสิ่งสำคัญที่ต้องกระทำสืบเนื่องกันประจำวันทุกวันคือ
    1การยึดมั่นในความดี ด้วยบุญทาน ศีล สวดมนต์ภาวนาอันเป็นต้นกำเนิดแห่งบุญกุศล
    2การแผ่อุทิศส่วนบุญกุศลหรือแผ่เมตตาให้แก่เจ้ากรรมนายเวร บรรพบุรุษ ครูอาจารย์เทพพรหม เจ้าที่เจ้าทาง หรือรวมถึงท่านพระยายมราช ท่านพระยายมบาล ท่านยมทูต นายนิริยบาล สรรพวิญญาญทุกดวงทั้งสามไตรภูมิ เพื่อแผ่อุทิศให้เขา ขอให้เขาจงพ้นทุกข์ จงมีแต่ความสุขตลอดกาลนานเทอญครับ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...