เมื่อพระยามัจจุราชมาทวงชีวิตข้าพเจ้า

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย tjs, 14 มิถุนายน 2013.

  1. Ratree0424

    Ratree0424 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2014
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +158
    สาธุ ขอบพระคุณค่ะ คุณก้องด้วยกุศลที่ข้าพเจ้าได้ทําตั้งแต่ปฐมชาติจนถึงชาตินี้ขอไห้คุณก้องผู้เปรียบเสมือนครูอาจารย์ ยอดกัลยาณมิตรในทางธรรมได้มี สุขภาพที่แข็ง ไปถึงที่สุดแห่งธรรมด้วยเถิด สาธุคะ่
     
  2. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    มัชฌิมา ปฏิปทา การเดินทางสายกลาง หมายความถึงการเจริญทางจิต ภาวนา ด้วยความเป็นไปอย่างปติ ไม่ตึงไม่หย่อน หมายถึง ความเป็นผู้ เจริญ ในอริยะมรรค หรือมรรคทั้ง8ประการ

    เมื่อมีดวงตารู้แจ้งในธรรม ตามอริยะมรรค แล้ว การประคอง อริยะมรรคทั้ง8ข้อ ให้เจริญก้าวหน้า มั่นคง เป็นปกติ จึงเป็นสิ่งสำคัญ

    ผู้บรรลุธรรมทั้งหลายต่างทราบดีและรู้แจ้งแห่งหนทางอริยะมรรคที่ตนพึงก้าวเดินต่อไป จนกว่าชีวิตจะหาไม่ นั้นแลคือผู้เดินก้าวไปด้วยความไม่ประมาท ครับ สาธุ
     
  3. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ผู้ใดสามารถฝึกจิต เข้าถึงอริยะมรรคได้แล้ว เจริญอยู่อย่างปกติด้วยอริยะมรรค ผ่านการฝึกอบรม ขัดเกลากิเลส ชำระสำรอกกิเลสได้แล้วเสมอเช่นธุดงควัตร ดำเนินปกติได้แล้ว ย่อมเป็นผู้ผ่านด่านชนะจิต ตน สำรอกอัตตาแห่งตน ทำลายสิ้นอัตลักษณ์หมดสิ้นไม่หลงเหลือ

    ย่อมเป็นผู้หลุดพ้นห่างไกลกิเลสแล้ว เวรภัยทั้งหลายที่ทำลายจิตย่อมดับลงสนิทแล้ว ที่เหลือก็แค่ทำหน้าที่ของตน แค่เดินมรรคของตนให้สมบูรณ์ก็เท่านั้น ไม่มีอะไรให้ยึดมั่นอีกก็เท่านั้น ธรรมดา ย่อมเกิดปรากฏแก่จิตเป็นปกติอย่างนั้นครับ สาธุ
     
  4. พิ'ชา

    พิ'ชา สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 กันยายน 2007
    โพสต์:
    4
    ค่าพลัง:
    +14
    คุณก้องคะ

    หากคุณก้องพอมีเวลา ดิฉันขอความกรุณาสักสองเรื่องนะคะ ได้ส่งคำถามไปทาง PM แล้วค่ะ
    ขอบคุณมากค่ะ
     
  5. apedet

    apedet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +837
    ขอบคุณtjs มากครับที่กรุณาตอบคำถามเวลานี้ก็ได้ให้คุณแม่ยายเริ่มทำตามคำแนะนำและจะทำตามคำแนะนำให้หมดโดยเร็วครับ
    และถ้าคุณtjs มีเวลาผมขอคำแนะนำในคำถามส่วนที่เหลือด้วยในกล่องข้อความด้วยครับ
    ขอบคุณครับ
     
  6. apedet

    apedet เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    113
    ค่าพลัง:
    +837
    ขอบคุณมากๆครับ ขอให้เจริญในธรรม
     
  7. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ปรินิพพานมี ๓ คือ
    กิเลสปรินิพพาน การปรินิพพานแห่งกิเลส,
    ขันธปรินิพพาน การปรินิพพานแห่งขันธ์,
    ธาตุปรินิพพาน การปรินิพพานแห่งธาตุ.

    ปรินิพพาน3อย่าง เกิดขึ้นต่อเนื่องกันตามลำดับ เพราะ ย่อมอาศัย เหตุประการสำคัญ จิตปรินิพพาน คือจิต ละ อาสวะกิเลสได้หมดสิ้น เพราะจิตเข้าถึงอาสวักขยญาณ รู้แจ้งหลุดพ้นได้สำเร็จแล้ว ณ โพธิบัลลังก์ ในที่นี้ ขันธของพระพุทธเจ้ายังคงทำงานทำหน้าที่ของมันไป ตามวาระแห่งอายุไข มีวิบากกรรมเป็นเครื่องให้ผล แต่มีจิตเป็นอิสระเหนือกายธาตุขันธ์

    ถัดมา

    การปรินิพพาน ที่เป็น ขันธปรินิพพาน หมายถึงการที่ขันธ์ถึงกาลเวลาดับของมันอันเป็นไปตามสภาวะแห่งขันธ์ เมื่อกาย ขันธ์ดับปรินิพพานแล้ว ณ เมืองกุสินารา ส่วนที่เหลือสุดท้ายคือ ธาตุ หรือที่เราเรียกว่า พระบรมสารีริกธาตุ [พระสรีระธาตุ]

    ถัดมา

    ธาตุปรินิพพาน เมื่อถึงกาลเวลาในอนาคตกาล ย่อมเข้าสู่สภาพแห่งความเสื่อมสลาย เช่นเดียวกับพระบรมสารีริกธาติ ของพระพุทธเจ้า ก่อนๆทุกพระองค์ อันเป็นธรรมดาของธาตุทั้งหลายในจักรวาล เมื่อถึงเวลาย่อมถึงแก่ความเสื่อมสลายเช่นกัน

    ที่สุดแล้วทุกอย่างย่อมเข้าสู่ความเสื่อมสลายลงไปทั้งหมดทั้งสิ้น ครับ

    ส่วนคำถามที่ว่าแล้วแดนพระนิพพาน อันเป็นดินแดนที่สถิตอยู่ของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์นั้น ผู้ที่จะรู้แจ้งเข้าถึง ก็ย่อมจะต้องเป็นผู้มีจิตถึงพร้อมซึ่งความเป็นจิตนิพพาน ด้วยเช่นกัน จึงย่อมจะสามารถเข้าใจรู้แจ้งเห็นจริงได้ครับ สาธุ
     
  8. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ขอตอบคำถามเรื่องกรรมฐานครับดังนี้คือ
    จากการปฏิบัติเจริญกรรมฐาน เจริญภาวนามานาน10กว่าปี ขอกล่าวเพิ่มเติมเรื่องนี้ว่า
    1 ที่สุดแห่งกรรมฐานทุกกอง ให้ผลทั้งฌาณและอรูปฌาณ
    2 กรรมฐานทุกกองให้ผลตามลำดับขั้นการฝึกฝน ทั้งอุคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต และที่สูงกว่าปฏิภาคนิมิตขั้นอภิญญาแต่ในตำรามีกล่าวไว้น้อยมาก ท่านที่ปฏิบัติได้จะรู้ว่าเกิดขึ้นอย่างไร ผมให้ชื่อว่าเป็น มหาปฏิภาคนิมิต เป็นปฏิภาคแห่งนิมิตชั้นสูงหมายถึงอิทธิฤทธิ์และอภิญญา
    3 พรหมวิหารผู้ทีฝึกได้แล้วย่อมได้รูปฌาณ แต่ผู้ที่ก้าวหน้ามากว่านี้คือฝึกได้ถึงความเป็นมหาพรหมวิหาร ผู้นั้นย่อมถึงซึ่งอรูปฌาณ

    ส่วนข้อที่
    27. อากาสานัญจายตนะ (ระลึกถึงที่ว่างเป็นอนันต์)
    28. วิญญาณัญจายตนะ (ระลึกถึงตัวรู้เป็นอนันต์)
    29. อากิญจัญญายตนะ (ระลึกถึงความไม่มีอะไรเป็นอนันต์)
    30. เนวสัญญานาสัญญายตนะ (ภาวะที่ความจำได้หมายรู้น้อยมากจนแทบไม่เหลืออยู่)
    ส่วนนี้กล่าวแสดงสภาวะของฌาณ5-8 อันหมายถึงความเป็นอรูปฌาณ1-4

    สุดท้ายสิ่งที่ไม่สามารถหาได้จากตำรา แต่จะทราบได้จากการปฏิบัติคือ
    กระผมขอกล่าวว่า ฌาณ4 นั้นเป็นได้ทั้งรูปฌาณและอรูปฌาณ
    และขอกล่าวเสริมว่า เมื่อที่สุดแห่งฌาณ8หรืออรูปฌาณ4 นั้น ด้วยการเดินวิปัสสนาต่อเนื่องจะพบว่าเป็นทางตันไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ จิตเกิดปัญญาถอยกำลังสมาธิกลับลงไปสู่ฌาณ4ดังเดิม จึงอาศัยฌาณ4ที่มีสภาวะทั้งรูปฌาณและอรูปฌาณเข้าวิมุตติหลุดพ้นเข้าพระนิพพานได้ในที่สุดครับ สาธุ
     
  9. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    พระอรหันต์แบ่งได้ดังนี้
    แบ่งตามภูมิบารมีแห่งการตรัสรู้และหลุดพ้นทุกข์
    1.พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือ พระพุทธเจ้า คือผู้ตรัสรู้แล้วได้ก่อตั้งศาสนาพุทธ สามารถโปรดเวไนยสัตว์ให้หลุดพ้นเป็นพระอรหันต์ตามได้
    2.พระปัจเจกพุทธเจ้า คือผู้ตรัสรู้แล้ว แต่ไม่ประกาศศาสนา ไม่มีสาวก เกิดขึ้นเฉพาะในยุคที่ไม่มีพระพุทธศาสนาเท่านั้น
    3.พระอรหันตสาวก คือสาวกผู้บรรลุเป็นพระอรหันต์ จากการปฏิบัติตามธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า


    พระอรหันต์ แบ่งตามการปฏิบัติ คือ
    1.วิปัสสนยานิก ผู้เจริญวิปัสสนาล้วน แล้วได้ฌานในภายหลัง
    2.สมถยานิก ผู้มีสมถะเป็นญาณ ผู้เจริญสมถะกรรมฐาน จนได้ฌานก่อนแล้ว จึงเจริญวิปัสสนาต่อ

    พระอรหันต์ แบ่งตามความสามารถคุณวิเศษทางจิตและปัญญา คือ
    1.สุกขวิปัสสโก (ไม่มีญาณวิเศษใดๆ นอกจากรู้การทำอาสวะให้สิ้นไป (อาสวักขยญาณ) อย่างเดียว) อานิสงค์จากการที่ปฏิบัติวิปัสสนาเพียงอย่างเดียว
    2.เตวิชโช (ผู้ได้วิชชา 3 คือบุพเพนิวาสานุสสติญาณ (รู้ระลึกชาติได้) จุตูปปาตญาณ (รู้จุติและอุบัติของสัตว์ทั้งหลาย)อันเป็นที่เกิดจากการเข้าใจในกฎแห่งกรรมอย่างแท้จริงจึงรู้เหตุการณ์ที่จะเป็นไปได้ทั้งสิ้น อาสวักขยญาณ (รู้ทำอาสวะให้สิ้น) อานิสงค์จากการที่ปฏิบัติวิปัสสนา และถือวัตรธุดงค์
    3.ฉฬภิญโญ (ผู้ได้อภิญญา 6 คือทิพฺพจักขุ ตาทิพย์ (คือฤทธิที่สามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ใกล้ไกลได้ มีพระอนุรุทธะ เป็นเอกทัคคะ เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในด้านการมีตาทิพย์ คือสามารถมองเห็นโลกใบนี้ ราวกับ มองเม็ดมะขามป้อมบนฝ่ามือ) ทิพยโสต หูทิพย์อิทธิวิธี แสดงฤทธิ์ได้ (โดยเฉพาะมโนมยิทธิการแยกร่างและจิต เป็นฤทธิที่แสดงได้เฉพาะพระอรหันต์ประเภทฉฬภิญโญเท่านั้น ) เจโตปริยญาณ (ทายใจผู้อื่นได้) บุพเพนิวาสานุสสติญาณ (ระลึกชาติได้ ) และอาสวักขยะญาณ (ญานที่ทำให้อาสวะสิ้นไป) อานิสงค์จากการปฏิบัติวิปัสสนาและเจริญสมาธิจนได้ฌานสมาปัตติ
    4.ปฏิสัมภิทัปปัตโต (ผู้บรรลุปฏิสัมภิทา 4) คือแตกฉานในความรู้อันยิ่ง 4 ประการ ได้แก่ อัตถปฏิสัมภิทา ความแตกฉานในอรรถ ธัมมะปฏิสัมภิทาความแตกฉานในธรรม นิรุตติปฏิสัมภิทาความแตกฉานในภาษา ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ความแตกฉานในปฏิภาณไหวพริบ
     
  10. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ที่สุดของมัน(ที่จะรู้ได้ ก็คือที่สุดของสมมุติ อรูปเองก็เป็นสมมุติ)
    ที่สุด ที่ควรกล่าวก็คือ ปรมัตถ์ธรรม อันได้แก่ ที่สุดของความคิด ที่สุดของการรู้ ที่สุดของการสมุทัย ที่สุดของความอยาก ที่สุดของสมมุติ ที่สุดที่เรียกว่า อนัตตาธรรม

    และที่บอกว่า จิตเกิดปัญญาถอยกำลังกลับลงมาสู่ฌาณสี่ ดังเดิม(เกิดปัญญาถอย ไม่ไช่เพราะเจอทางตันจึงถอย)

    อันนี้หมายถึง เมื่อจิตผ่านอรูปทั้งสี่ คือ อากาศ(ละเอียดมองไม่เห็น) วิญญาณ(ละเอียดกว่าแต่รู้มองไม่เห็น) อากิญ(ละเอียดกว่ารู้ เพราะไม่ไช่เรารู้เอง แต่ไม่รู้ว่ารู้นี้ มันรู้มาจากไหน มันรู้ของมันอยู่) สัญญา(คือสิ่งที่ถูกรู้ ที่มองไม่เห็น มันมีสิ่งที่ถูกรู้กับตัวที่รู้อยู่นั้น เรียกว่า อาสวะ)

    ดังนั้น เมื่อเข้าถึงอนัตตาธรรมคือ เข้าไปรู้เห็นความจริงของอรูปทั้งหมด เห็นความจริงว่า สัญญาที่ถูกรู้(ทำไมถึงมีสัญญานี้ได้) และตัวที่รู้อยู่(อัตตาตัวตนที่มองไม่เห็น) เมื่อเกิดปัญญาเข้าใจความจริง คือ ความเป็นอนัตตาธรรม จิตจะวาง ทั้งสองตัวนี้ คือไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็จะหมดสิ้นอัตตาตัวตน รู้ได้เอง เข้าใจได้เอง แล้วจิตที่วางอัตตาตัวตนได้แล้ว บริสุทธิ์แล้วนี้ ผมไม่เรียกมันว่าจิตอีก ผมเรียกว่า แค่รู้(ไม่มีตัวรู้ แค่รู้ที่เรียกว่า สัมปชัญญะ ที่เป็นรู้ที่บริสุทธิ์ รู้ที่เชื่อมต่อมาจาก อายตนะกายใจ เมื่อมันวางอัตตาตัวตนตัวอวิชชา(ความไม่รู้ว่าตนเองหลงยึดมั่นถือมั่นในสมมุติสัญญานั้น) เมื่อวางได้ มันถึงจะหาทางกลับบ้าน(กายใจที่โลก) บางคนเรียกว่า จิตที่บริสุทธิ์กลับเข้าร่างมาเกิดใหม่อีกครั้งหนึ่ง ในร่างเดิม
     
  11. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    และการกลับเข้าร่าง ก็หมายถึง รู้ ของอายตนะใจนั่นเอง ที่ ใจเข้ามารวมกับกาย ใหม่อีกครั้ง แบบ เข้าใจกัน ไร้อวิชชา ไร้จิตอวิชชา

    ดังนั้นการเกิดใหม่ จึงเหมือน มีแค่กายใจที่เป็นอายตนะรับรู้โลก จริงๆ เวลาตายจึงจะตายแค่กายใจ ที่ตาย ไม่มีจิตอวิชชา นำพาไปเกิดภพภูมิอื่น เหมือนที่เคยมี


    ซึ่งขั้นตอนทั้งหมด จาก ขั้น อรูป ไปสู่อนัตตาธรรม แล้วกลับมา ร่างเดิมที่โลก
    จึงจำเป็นที่จะต้องอาศัยผู้ชี้ คนที่เขา เคยผ่านมาแล้ว เท่านั้น จึงจะไม่พากันหลงและเสียเวลาครับ
     
  12. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    และการเกิดใหม่อีกครั้ง นี่แหล่ะ ที่ กายใจใหม่นี้เท่านั้น ที่จะเดินมรรคแปดให้ได้ผล ได้จริงๆ ผลที่เป็นจริง ไร้อวิชชาใดใด มาเจือปนมรรค (เจือปนกรรม กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม) แปลว่า ไร้อัตตาตัวตนเจือปน ไร้อวิชชาเจือปน ไร้อุปทานเจือปน ในกรรมทั้งหลาย จึงเรียกว่า เป็นผู้ที่เป็นมรรคแล้วในตัวและมีผลแล้วในตัว แต่ผลเกิดกับคนอื่น ไม่ได้เกิดกับตนเอง
     
  13. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    ================

    ขออนุโมทนาเป็นอย่างยิ่งครับ ที่ท่านได้เข้ามาช่วยอธิบายขยายธรรม ให้กระจ่างชัดยิ่งขึ้นครับ สภาวะที่กล่าวให้เข้าใจได้ยาก แต่สำหรับบางท่าน ผู้เข้าถึงแล้ว ผ่านมาแล้ว ย่อมเข้าใจได้โดยง่าย ครับ สาธุครับ

    ยินดีต้อนรับครับ หากมีธรรมะส่วนใดเห็นว่าเป็นประโยชน์ ขอรบกวนท่านช่วยสาธยาย ให้ฟังด้วยครับ เพื่อเป็นธรรมทานครับ

    เพราะการเข้าไปเห็น การเข้าไปรู้ความจริง จึงเกิดปัญญารู้แจ้ง เมื่อรู้แจ้ง จึงเลิกถือมั่นยึดมั่น เมื่อนั้นจึงปล่อยวาง ฝึกต่อไปทำต่อไปจนกว่า..... อย่าหยุดครับ
     
  14. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    หวังว่าคุณก้อง จะเข้าใจในสิ่งที่ผม เล่าให้ฟังนะครับ

    ตามที่ผมเคยกล่าวมาหลายครั้งว่า

    การผ่านรูป ก็คือ การเข้าใจกายใจ โลกี โลก แล้วปล่อยวางเพราะเข้าถึงพระไตรลักษณ์

    การผ่านอรูป เพราะเข้าถึง พระอนัตตาธรรม

    ส่วนบางคนนั่งสมาธิ แบบผ่านเรื่องกายใจไปเลย โดยไม่ผ่านเรื่องของการเข้าใจในพระไตรลักษณ์ เขาก็จะไม่ได้สะสมปัญญา มาเพื่อ เข้าถึงอนัตตาธรรม

    ดังนั้น สติปัฏฐานสี่ คือ กาย เวทนา จิต ธรรม จึงต้องเป็นไปตามขั้นตอน จะลัดขั้นตอนไม่ได้ เหตุผลก็คือ ตราบใดที่วางความหยาบ ไม่ได้ จะข้ามไปวางความละเอียดเลย มันก็ขาดความสมบูรณ์ ขาดปัญญาที่สะสม ขาดฌาณที่สะสม นั่นเองครับ
     
  15. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ถามคุณก้อง ครับ ระหว่างเรื่อง เหนือโลก กับเรื่องโลก
    อะไร วางง่ายกว่ากันครับ(คำตอบเรื่องเหนือโลก นอกโลก นอกตัว วางง่ายกว่า)

    อะไรผ่านง่ายกว่ากันครับ (เรื่องเหนือโลก เรื่องนอกโลก นอกตัววางผ่านง่ายกว่า)

    อะไรคือสิ่งที่กายใจเราอยู่กับมันครับ(กายใจอยู่กับโลก อยู่กับคนอื่นๆ)

    ทำไมถึงยังมาเกิดเป็นมนุษย์โลก เป็นเพราะ ยังไม่ผ่านเรื่องโลก ไช่หรือเปล่าครับ(ไช่ เพราะเรื่องโลกมัน เป็นเรื่องที่ต้องอยู่กับมัน เข้าใจมัน ปล่อยวางมันให่้ได้)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 สิงหาคม 2014
  16. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =============

    อวิชชาดับแล้ว ตัณหาอุปาทานดับแล้ว จิตคือตัวผู้รู้ หรือตัวรู้ดับแล้ว เมื่อตัวรู้ดับแล้ว ก็ไม่มีอะไรให้รู้ สิ่งกระทบ ภายนอกมันเกิดกระทบ เกิดดับเป็นธรรมดาของมัน แต่ไม่รับเอามาแบกไว้ มัไม่รับ มันรู้วาง ไม่รู้วาง มันไม่มีอะไรปรุงแต่งชักนำไป มันก็หยุดอยู่แค่นั้น ทรงอารมรณ์ไว้ในสภาพอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างอื่น ครับ
     
  17. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    คำว่า เจอทางตันในอรูป (เพราะขาดปัญญาที่สะสมมา จากการวางเรื่องรูป(กายใจ))

    เมื่อเจอทางตัน แล้วให้ถอยกลับมา เพื่อเรียนรู้กายใจตามจริง(เพื่อฝึกสติปัฏฐานสี่ตามขั้นตอน เพื่อให้เกิดปัญญาปล่อยวางกายใจได้จริงๆนั่นเอง) จึงต้องกลับมาที่รูปฌาณสี่ อีกครั้งหนึ่ง เพราะมันต้องเป็นไปตามขั้นตอนนั่นเองครับ



    การนับเลข ต้องเริ่มจากศูนย์ไปหนึ่งเสมอ
    การก้าวเดิน ต้อง มีก้าวแรกเสมอ
    การถึงจุดหมาย ต้องมีสติรู้เรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบเสมอ ถึงจะเกิดความเชื่อมั่นใจตนเองได้จริง ว่า ตนเองรู้จริง ไม่ได้ฟังคนอื่นเขาเล่ามา
     
  18. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =============

    ขออนุโมทนาครับ ถูกต้องครับ เป็นอย่างนี้เพราะ กามาวัจระ รูปาวัจระ เป็นของหยาบ จิตปัญญาต้องกรองของหยาบออกก่อน เมื่อกรองหยาบหมดแล้ว อรูปาวัจระ นามธรรม ที่ละเอียด จึงจะต้องให้ตะแกรงใหม่ที่ละเอียดเสมอกันหรือมากกว่ากันจึงจะกรองได้ ปัญญาก็ต้องละเอียด การเห็น เข้าไปรู้ก็ต้อง ละเอียด ทุกอย่างจึงมีขั้นตอนของมันครับ สาธุ
     
  19. วงกลมจุด

    วงกลมจุด เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 มีนาคม 2013
    โพสต์:
    2,305
    ค่าพลัง:
    +2,253
    ความเป็นจริง เมื่อใครเข้าถึง อารมณ์อนัตตาธรรมนี้จริงนะ หมายถึงชำระจิตอวิชชาได้จริง บริสุทธิ์แล้วจริง จะไม่มีการทรงอารมณ์นะครับ

    นั่นเพราะ หมดอวิชชา หมดอัตตาตัวตนแล้ว ก็คือ ไม่เหลือสิ่งใดที่ยึดมั่นถือมั่น จริงๆ ก็ไม่ต้องทรง เพราะพ้นแล้ว อิสระแล้ว ดับหมดแล้ว การกลับมาที่ร่างเดิม คือกายใจ ก็ไม่ต้องทรงอะไรอีก ไม่ต้องรักษา เพราะมันบริสุทธิ์ของมันแล้วไงครับ

    แต่ถ้า ยังต้องทรง(ยังมีตัวทรง ยังมีสัญญาให้ทรง) แม้จะกลับมาที่กายใจ ก็ยังต้องทรง (อันนี้แหล่ะที่เขาเรียกกันว่า พรหมลูกฟัก นิพพานปลอมๆครับ)
     
  20. tjs

    tjs ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 เมษายน 2012
    โพสต์:
    3,650
    ค่าพลัง:
    +20,326
    =============
    ถ้าท่านฝึกปัญญามากพอ จนสามารถวางโลกของตนเองได้ โลกภานนอก โลกอื่นท่านก็วางได้ เพราะฉนั้นสิ่งสำคัญคือการรู้ทันโลกของตัวเองครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...