เชิญเข้าร่วมสนทนาพิเศษเรื่อง มิติ ความฝัน ชาติภพ จิตวิญญาณ โดย @โนวา อนาลัย@ [Writer]

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย mead, 8 สิงหาคม 2007.

  1. *April*

    *April* เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    84
    ค่าพลัง:
    +349
    อ่าน แล้วซึ้งจังค่ะ
     
  2. deejaimark

    deejaimark เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มกราคม 2006
    โพสต์:
    1,844
    ค่าพลัง:
    +16,511
    เยี่ยมคะ อนุโมทนา

    ถ้าว่างก็ เชิญแวะรับรอยยิ้มที่ห้องนี้ด้วยนะคะ เชิญทุกท่่านเลยคะ
    http://palungjit.org/showthread.php?t=170804
    เอารอยยิ้มมาฝากคะ
     
  3. sarissa

    sarissa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +631
    มาขอบคุณพี่นักเขียนสำหรับบทความอันมีค่า

    บทความนี้เตือนสติริสาได้หลายๆอย่าง และที่สำคัญทำให้เราได้รับรู้ว่า ความรักคือทุกสิ่ง Love is all around.

    ขอบคุณด้วยหัวใจรักค่ะ
     
  4. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ยินดีต้อนรับคุณ April สู่ห้องวิทย์ฯด้วยครับ
    พบกันวันก่อนก็พาเดินกลางแดดตอนเที่ยงๆซะแว้ว (คงสุกพอดีนะครับ อิอิ)
    มัวแต่หลงทางหาร้านอาหารกันอยู่ วัดจีนที่ไปพบปะกับเพื่อนๆนั้นก็สวยงามมากๆ
    การได้สนทนาธรรมแลกเปลื่ยนมุมมองด้วยกันนั้นเป็นสิ่งที่ดีครับ...

    ที่ได้คุยกันเรื่อง"ความเชื่อ"นั้นว่ามีอิทธพลกับเราขนาดไหน ขอยกตัวอย่างให้ฟังอีกนิดครับ
    ความเชื่อทั้งหลายนั้นพี่นักเขียนฯอธิบายไว้ว่าเหมือนกับ"ลูกตุ้ม"ซึ่งแกว่งไปตามแรงเหวี่ยวที่สม่ำเสมอในโครงสร้างของมัน แต่เมื่อเราพยายามจะเปลี่ยนความเชื่ออย่างตั้งใจ ก็เหมือนการที่เราหยุดลูกตุ้มก่อน เพื่อที่จะให้มันแกว่งใหม่ในทิศทางใหม่ที่เราต้องการ ซึ่งต้องใช้พลังสูงกว่าเดิมเพื่อทำให้ระบบประสาททั้งหมดเปลี่ยนแปลง

    "ความเชื่อแต่ละความเชื่อ จึงเป็นเหมือนสถานีอันทรงพลัง มันดึงดูดเอาสัญญาณต่างๆที่ปรับจนลงรอยกับความเป็นไปได้ที่เธอต้องการและในขณะเดียวกันก็ขัดขวางกั้นสัญญาณอื่นๆ ที่ไม่ส่งเสริมความเป็นได้อันใหม่ ดังนั้นเมื่อเธอเปลี่ยนความเชื่อ สัญญาณรบกวนที่เกิดจากความเชื่อเดิมมักจะดำเนินต่อไปอีกพักนึง...."
    จากหนังสือ ธรรมชาติของชาติภพ+บทที่ 8 ไปอ่านต่อได้เลยครับ
    http://www.novaanalai.com/Book_1/BK1Cover.html

    การเปลื่ยนความเชื่อเป็นความรู้
    ทำให้เราก้าวข้ามพ้นขีดจำกัดของกรอบความเชื่อหรือความไม่รู้ได้อย่างดีครับ
    เปลี่ยนแปลงได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้เราชีวิตเราเป็นไปในทิศทางที่เราพอใจ
    และถ่ายทอดแปลงสภาพแห่งอารมณ์และจินตนาการให้กลายเป็นประสบการณ์ชิวิตที่เราพอใจได้ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2009
  5. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    ;aa37ยินดีต้อนรับคุณ เมษายน สู่ห้องวิทย์ครับ ;aa37

    ขอบคุณ คุณ mead ที่นำเนื้อหาที่อมตะ มาบอกกล่าวในวันแห่งความรักของชาวพุทธในวันนี้นะครับ
    ไม่รู้ว่าผมเข้าใจถูกรึเปล่าว่า เมื่อเราเปลี่ยนความเชื่อ จากความเชื่อหนึ่ง ไปอีกความเชื่อนึง ทำใจให้ร่มๆก่อน ว่าอาจจะไม่ได้ผลปุ๊ปปั๊ปทันใจอย่างที่คาดหวังเอาไว้ ขึ้นอยู่กับสัญญาณรบกวนของความเชื่อเก่าจะหมดไปเมื่อไหร่ ;aa8
     
  6. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    *-* สวัสดีวันพระครับเพื่อนๆทุกคน *-*

    การเปลื่ยนความเชื่อที่คุณเซลล์บอกว่าต้อง ทำใจให้ร่มๆก่อน (เหมือนการหยุดลูกตุ้ม) น่าสนใจนะครับ
    ในทางปฎิบัติก็น่าจะหมายถึงการกำหนดทิศทางความคิดใหม่
    ด้วยการเลือกที่จะสังเกตรับรู้สิ่งต่างๆด้วยมุมมองพิเศษนะครับ(ด้านบวก)

    โดยเราเองมีสิทธิ์เลือกระหว่าง การจดจำสิ่งต่างๆที่เราพอใจรวมทั้งการจดจำสิ่งต่างๆที่เราไม่พึงใจเช่นกัน - การจินตนาการถึงสิ่งที่เราอยากให้เป็น - การคาดหวังบางสิ่งบางอย่างที่ปรารถนาไว้ ฯลฯ
    แต่ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหนๆ ความคิดของเราก็จะผลิตและสั่นสะเทือนขึ้นจากภายใน เป็นจุดเริ่มต้นการดึงดูดประสบการณ์ต่างๆเข้ามาและเข้าคู่กับสิ่งที่เราสั่นสะเทือนออกไปด้วย

    การเปลื่ยนรูปแบบการสั่นสะเทือนที่ละนิดทีละหน่อย จนกระทั่งเราจะเข้าใจว่ามันทำงานอย่างไร? ส่งผลต่อประสบการณ์ของเราอย่างไร? เป็นสิ่งที่เราๆทุกคนทดลองได้ไม่ยากครับ

    ส่วนการมุ่งไปสู่การบรรลุถึงสิ่งใดก็ตาม จะช้าหรือเร็วน่าจะอยู่ที่การเข้าใจว่าอารมณ์ของเราบอกอะไรเกี่ยวกับการสั่นสะเทือนนั้นๆ และมีแรงต้านทานหรือสัญญาณรบกวนที่ทำให้ช้าหรือป่าว?..เชื่อว่าทุกอย่างสามารถสร้างสรรค์ได้โดยเริ่มต้นจากภายใน..เรื่องนี้น่าสนุกและตื่นเต้นมาก (หากทำได้สำเร็จด้วยยิ่งดี)

    ให้ทดลองเพ่งจดจ่อติดต่อกันอย่างน้อย 21 วัน
    เชื่อว่าจะมีสิ่งนั้นเข้ามาสู่ประสบการณ์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง (พี่นักเขียนแนะนำไว้)
    ตอนนี้ก็มีโปรเจคที่เรากำลังทดลองทำกันอยู่ ขอให้รวมใจกันทำให้สำเร็จตามที่เราปรารถนาครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 กุมภาพันธ์ 2009
  7. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    การเปลี่ยนแปลงความเชื่อ เปลี่ยนแปลงความเชื่อ เปลี่ยนแปลงความเชื่อ

    เหรอ..

    เอ..ทำไมผมจึงมีปัญหากับคำๆนี้จังเลยก็ไม่รู้นะ

    ใจหนึ่งก็อยากเปลี่ยนแปลงไปตามนิยามของ"กฎแห่งแรงดึงดูด"
    และรวมถึงของที่อจารย์อนาลัยบอกไว้ว่า "เราเชื่อยังไง เราก็จะเจอยังงั้น"

    แต่อีกใจหนึ่งก็กังวลว่า ถ้ามันไม่จริงหละ ถ้ามันไม่เป็นอย่างนั้นหละ
    อะไรจะเกิดขึ้นกับภพชาติต่อไปของผม

    ตอนนี้ ผมจึงเป็นอะไรที่ลอยเท้งเต้งอยู่กลาง 2 กระแสนี้ จะว่ากำลังเดินไป
    ทางใดทางหนึ่งก็ไม่ใช่ จะว่าใช่ก็ไม่เชิง เป็นแบบนี้มาเป็นปีแล้วครับ
    ฝึกอะไร ปฏิบัติอะไร ก็ไม่ก้าวหน้า และก็ชักไม่ค่อยอยากฝึก รวมถึงไม่ค่อยอยากรู้อะไรแล้วด้วย

    เฮ้อ..จะเป็นแบบนี้อีกนานแค่ไหนน๊า...มันเหมือนคนไม่มีเป้าหมายอะไรเลย
    ดำรงชีวิตผ่านไปวันๆยังงั้นแหละ

    ช่วยทีเถอะครับ ใครที่พอจะเข้าใจความรู้สึกนี้อยู่บ้าง
     
  8. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425

    หวัดดีครับคุณชยุต พอเข้าใจความรู้สึกนี้นะครับ ไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตครับ อิอิ
    แต่ว่าลองคิดให้ง่ายๆกว่านั้นหน่อยนะครับ ไม่ว่าจะเป็นกฎแห่งกรรม หรือกฎแห่งแรงดึงดูด กฎแห่งธรรมชาติ ไม่ว่าจะมีใครกล่าวถึงสักกี่ครั้ง ก็ไม่อาจเปลื่ยนความเป็นจริงแห่งธรรมชาติที่เป็นหนึ่งเดียวกันไปได้เลย เพราะมันเป็นของมันเช่นนั้นอันปราศจากกรอบความเชื่อใดๆ มีแต่ปัญญาและความรักอันปราศจากเงื่อนไขที่เป็นสากลครับ

    เคยคิดกลัวเรื่องเท้งเต้งเหมือนกันนะ..แต่ตอนหลังรู้แล้วว่าที่ไปสูงสูดของเราก็เป็นที่เดียวกันครับ
    ไม่ไกล้ไม่ไกลที่ไหนเลย เพราะอยู่ในจิตใจของเราครับ
    หากความเชื่อเหมือนกับการเดินทางออกจากจุดที่เราอยู่-ไปสู่จุดที่เราอยากไป
    ก็มักจะมีคำถามว่าเรากำลังอยู่ตรงไหน และอยากไปอยู่ตรงไหนล่ะ?
    เพราะเราทุกคนก็อยู่ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลจากภายนอกและเป็นรูปธรรมมาก บ่อยครั้งเราถูกดูดไปทางนู้นที-ทางนี้ที ทำให้เรามักหลงทางในขณะที่กำลังเดินทางไปยังจุดหมายที่เราอยากไปจริงๆ

    มีคำตอบง่ายๆครับ
    ถ้าความสุขของเราอยู่ที่ไหน ของขวัญชิ้นสำคัญก็อยู่ตรงนั้นหล่ะครับ
    ความเบิกบาน พึงพอใจ จะเชื่อมโยงเราไว้กับสิ่งนั้น เราและใครๆก็จะได้รับประโยชน์จากความสนใจนั้นๆ แต่ละความคิดจะพาเราเคลื่อนเข้าไปใกล้ๆ หรือถอยห่างกับสิ่งที่เรามุ่งมั่นปรารถนานั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเองหล่ะครับ

    ยังไงก็อย่างเพิ่งท้อถอยนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2009
  9. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    ตามความเข้าใจส่วนตัว
    ผมไม่เห็นรู้สึกเลยนะว่ากฏแห่งกรรมกับกฏแห่งแรงดึงดูด มันจะมีปัญหาอะไรกันเลย

    ถ้าคนที่คิดโกหกคนอื่นตลอด ก็จะเจอประสบการณ์ที่ว่าคนอื่นโกหกกับเค้าตลอดเหมือนกัน คิดว่า เอ๊ะ คนนี้อาจจะโกหกก็ได้นะ ทั้งๆ ที่คนนั้นก็ไม่ได้โกหกอะไร

    ความคิดที่ต้องคิดว่าจะเจอกับคนโกหกตลอดนั้น นั่นก็เป็นผลจากความเชื่อเกี่ยวกับการโกหกของเค้า ถึงแม้ว่าของจริงจะไม่มีใครโกหกเค้าเลยก็ตาม แต่เค้าก็สร้างความคิดว่ามีตนโกหกเค้าอยู่ตลอดเวลา ทำให้ตกอยู่ในประสบการณ์ทางความคิดที่เค้าสร้างขึ้นมาเอง


    การดึดดูดสิ่งต่างๆ เข้ามาตามกฏแรงดึงดูดนั้น บางครั้งมันก็ก่อให้เกิดนิสัยที่ทำให้เราพบเจอ หรือพบกับบุคคลที่สามารถพาไปทางนั้น หรือเดินทางนั้นอยู่แล้วก็ได้ เอาง่ายๆ อย่างพวกขายตรง มักจะสอนลูกทีมอยู่เสมอว่า ทำได้! ทุกคนสามารถทำได้! นั่นเป็นการสร้างแรงดึดดูดเข้ามา ส่วนที่ว่าจะดึดดูดมาได้แค่ไหน มันก็ขึ้นกับแต่ละคนด้วย ใช่ว่าจะใช้เวลาเหมือนกันทุกคน เพราะว่าการจะไปเป็นอย่างนั้น ก็เท่ากับว่าตัวเองก็ต้องเปลี่ยนตัวเองด้วย เปลี่ยนตัวเองให้คุณสมบัติเหมาะกับตรงนั้น การเปลี่ยนแปลงตัวเองนี่แหล่ะ ต้องใช้เวลา บางคนเข้าเค้าไปเยอะแล้วก็เปลี่ยนไม่นาน บางคนยังอีกเยอะก็ใช้เวลานานหน่อยอยู่ที่ว่าจะทนไหวหรือเปล่า


    วันนี้อ่านเรื่องฤกษ์ยามมา ก็นึกไปว่าการที่ฤกษ์ยามมีผลนั้น ก็คงเหมือนๆ กับนิทานที่พี่นักเขียนเคยเล่าให้ฟังคือเรื่องมดที่เปรียบเทียบว่าเวลาเย็นมีคนกลับบ้านเสียงก็จะอึกทึก ถ้ามดตัวไหนรู้ตรงนั้นก็จะทำนายได้ว่าเมื่อไหร่จึงจะเป็นเวลาดีที่จะเดินทางโดยที่ไม่โดนเหยียบตายซะก่อน

    แต่ในชีวิตเราไม่มีปัจจัยเดียวเหมือนมด อาจจะมีเรื่องอื่นๆ เข้ามาเกี่ยวข้อง การที่เรื่องอื่นๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องเนี่ย ก่อให้เกิดเงื่อนไขที่ทำให้เดินทางสะดวกสบายที่สุดมันก็คิดคำนวณยากอยู่

    เหมือนๆ ว่าเราเดินทางไปข้างที่มีลูกตุ้มเหวี่ยงอยู่ข้างหน้า ลูกตุ้มนั้นเหวี่ยงไม่พร้อมกัน แต่มันจะมีจังหวะนึงที่เหวี่ยงพร้อมกัน(เหมือนไฟกระพริบรถยนต์ซึ่งถ้าเคยสังเกตเล่นๆ จะมีบางช่วงที่รถสองคนจะกระพริบพร้อมกัน แล้วหลังจากนั้นก็จะไม่พร้อมกันแล้ว) ซึ่งจังหวะนั้นจะทำให้เราเดินทางได้สบาย จังหวะนั้นแหล่ะคือฤกษ์งามยามดี

    การเริ่มต้นเดินทางในเวลาที่ต่างกัน จึงก่อให้เกิดประสบการณ์ต่างๆ กัน ในเส้นทางที่เป็นไปใด้ที่เป็นอนันต์ การเลือกเส้นทางที่ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี ที่ตัวเองพอใจ นั่นแหล่ะคือฤกษ์งามยามดี


    คิดไปเรื่อย.... ตึง ตึ่ง โป๊ะ
     
  10. จิตต์ปภัสสร

    จิตต์ปภัสสร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มกราคม 2007
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +4,545
    [​IMG]
     
  11. VeggieGuy

    VeggieGuy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    3,942
    ค่าพลัง:
    +4,262
    ...

    ตอนนี้เริ่มลงมือวาดภาพเหมือนคุณ Mead ที่ติดค้างไว้แล้วครับ
    ก่อนหน้านี้ข้อมือยังเคล็ดอยู่เนื่องจากอุบัติเหตุ "อันน่าขบขัน" ครั้งที่แล้ว

    ขอบคุณพี่นักเขียนสำหรับบทความดีๆ เกี่ยวกับความรัก เสมือนของขวัญวันวาเลนไทน์ ครับ
     
  12. VeggieGuy

    VeggieGuy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    3,942
    ค่าพลัง:
    +4,262
    เข้าใจความรู้สึกนี้ของคุณชยุตเป็นอย่างดีเลยครับ
    อาจจะพูดได้ว่าอยู่ในสภาวะเดียวกันด้วยซ้ำ
    มันเหมือนกับว่าเรา "อ่านมาก" และ "รู้มาก" หรือเปล่าครับ
    เราได้รู้คำตอบที่ลึกซึ้งแล้วจากการอ่านและการตรึกตรองตาม
    อะไรที่ตื้นเขินกว่านี้เราก็รู้สึกว่ามัน "หน่อมแน้ม" เหลือเกิน
    และรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจอีกต่อไปสักเท่าไหร่สำหรับเรา
    แต่เราก็ไม่รู้สึกถึงรสชาติของมันอย่างแท้จริง เหมือนกับเราไม่มีประสบกาณ์จริง
    เลยทำให้เรารู้สึกหงุดหงิด ไม่มีอะไรดึงดูดใจ อยู่ไปวันๆ
    ทำให้นึกถึงที่พระพุทธองค์เปรียบเสมือนคนที่รับจ้างเลี้ยงโค แต่ไม่เคยได้ดื่มนมโค ได้แต่เพียงค่าจ้างไปวันๆ
    ผมคิดว่าตัวเองเป็นแบบนั้นนะครับ
    แต่มองในแง่ดี เหมือนกับเรากำลังจะเข้าสู่ "กระแส" แล้วล่ะ เหลือที่กั้นเพียงนิดเดียวระหว่างเรากับกระแส
    ถ้าตัวนี้พังลงเมื่อไหร่เราก็เป็นหนึ่งเดียวกับกระแสทันทีง่ายดายเลย
    ทีนี้ก็คงต้องมาดูแหละครับว่า ตัวกั้นดังกล่าวของเรานั้นคืออะไร
    กำลังหาอยู่เหมือนกันครับ ช่วงนี้ก็ใช้วิธีหยิบหนังสือที่เราประทับใจขึ้นมาอ่านทบทวนอยู่เรื่อยๆ ก็ช่วยได้เหมือนกันครับ
    บางทีก็รู้สึกเหมือนเพิ่งอ่าน ก็เรียกความกระตือรือร้นกลับมาได้บ้างเหมือนกัน และอาจต้องเพิ่มการนั่งสมาธิให้มากขึ้นครับ

    สู้ๆ ครับ
     
  13. เซลล์

    เซลล์ ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 เมษายน 2008
    โพสต์:
    661
    ค่าพลัง:
    +310
    คุณ veggie วันนี้ผ่านมา พร้อมกับคำคมเลย อิอิ

    ผมว่า หากเรารู้ว่าเราไม่ได้อยู่ในกระแส ก็เท่ากับว่าเราได้เดินเข้ากระแสแล้วหละครับ

    ขออนุโมทนาด้วยครับ
     
  14. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    จะรอชมครับคุณเบิ้ม
    อย่าหักโหมนะครับ เพิ่งหายเคล็ดใหม่ๆ อิอิ
    ระหว่างนี้ผลงานขาดช่วงไปหน่อย ขอหยิบผลงานคุณเดรดมาลงบ้างครับ

    [​IMG]
    Concept :

    Nothing...
    แปลว่า วาดอย่างไม่ได้คิดอะไร วาดไปเรื่อยเปื่อย เพราะไม่มีไร....
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 กุมภาพันธ์ 2009
  15. sarissa

    sarissa เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2008
    โพสต์:
    173
    ค่าพลัง:
    +631
    อยากตอบคุณชยุตแต่ไม่บังอาจ ไม่กล้าพอที่จะตอบ ส่งเป็น PMไปนะคะ
     
  16. กุญแจไขปริศนา

    กุญแจไขปริศนา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 มกราคม 2009
    โพสต์:
    903
    ค่าพลัง:
    +979
    เรียนคุณชยุตนะครับ
    อาจารย์โนวาอนาลัยท่านก็บอกแล้วน่ะครับว่าประสบการณ์อยู่เหนือความเชื่อ บางขณะที่ผมกำลังทำเรื่องที่ผมอยากจะให้มันเกิดมากๆผมก็ยังไม่สามารถเอาชนะความรู้สึกตรงนั้นได้เลย แต่ช่วงไหนที่ผมเข้าไปหาประสบการณ์มากๆมันก็ทำให้ผมสดชื่นและเวลากลับมาอ่านของอาจารย์โนวาอนาลัยแล้วรู้สึกว่าได้อารมณ์มากๆ และถ้าช่วงไหนมีแต่ประสบการณ์พื้นๆก็จะอ่านแล้วน่าเบื่อๆน่ะครับ ผมก็เลยคิดว่าจะหาประสบการณ์ให้มากกว่านี้นั่นแหละครับ ช่วงนี้ผมจับอารมณ์ตลอดและพยายามบังคับอารมณ์ให้อยู่ในแง่ดีตลอดเวลา แต่พอมีเรื่องน่าสิ่วน่าขวานก็ทำให้ผมหดหู่ไม่สามารถบังคับอารมณ์ได้ในบางครั้งน่ะครับ ผมก็เลยคิดว่ายังไงจะเข้าไปหาประสบการณ์ให้มากๆ
     
  17. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขอขอบคุณทุกๆความคิดเห็นและทุกๆกำลังใจจากเพื่อนๆจิตวิญญาณต่างร่างแต่ร่วมวัตถุประสงค์ทุกๆคนนะครับ

    ผมรู้สึกอบอุ่นจริงๆ

    และข้อความอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ผมได้ส่งไปให้ทาง PM แล้วนะครับ

    ชยุต
     
  18. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    ช่วยกันตอบ PM คุณชยุตกันยกใหญ่เลยนะครับ
    ขอบคุณที่คุณชยุตส่งมาให้อ่านด้วย

    ช่วงนี้ก็เจอประสบการณ์คล้ายๆเรื่องเดิมบ่อยเลย
    จะวนมาให้คิดและเรียนรู้ซ้ำๆ แต่มุมมองเราจะเปลื่ยนไปเรื่อยๆนะครับ
    บางทีต้องขอบคุณเงื่อนไขเดิมๆที่ทำให้ความคิดเราก้าวข้ามขึ้นไป
    ปัญหามีรอบตัวไปหมด บางทีต้องนิ่งคิดและออกมาสังเกตการณ์ดูใหม่

    แล้วพอไปอ่านหนังสือบางเล่มก็จะมีคำตอบให้เราทุกที (ไม่รู้รอยหยักในสมองคงเพิ่มขึ้นรึเปล่า?)
    ยังไงประสบการณ์ที่เกิดขึ้นย่อมมีค่าที่สุดกับทุกๆคนครับ

    ชีวิตคือสนามหญ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล
    จงอย่ากลัวที่จะลงไปเล่นในทุกๆวัน

    แต่บางวันสนามก็แฉะ ลงไปเล่นไม่ได้ ต้องนั่งดูเฉยๆ (*-*)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 กุมภาพันธ์ 2009
  19. khajornwan

    khajornwan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    901
    ค่าพลัง:
    +4,468
    แฮ่กแฮ่กแฮ่ก.. มาให้กะลังคุณชยุตย์เพื่อนรักค่ะ.. ^_^
    ขจรวรรณก็เคยมีความรู้สึกแบบนี้เหมือนกันค่ะคุณชยุตย์ มีอยู่ช่วงนึงศึกษาสมาธิอย่างเอาจริงเอาจังจนเกิดความตึงเครียด จนวันนึงแม่ชีท่านนึงกล่าวว่าไม่ต้องตึงจนเกินไป ผ่อนคลายลงบางค่อยๆ ศึกษาไป ทีนี้เราก็หย่อนซะเลยไม่ปฏิบัติไม่ทำอารัยทั้งนั้นใช้ชีวิตในสังคมตามปกติ แต่เมื่อถึงจุดนึงกลับพบว่าถ้าเราไม่ทำสมาธิเลยก็ทำให้รู้สึกว่าเราควบคุมความคิดความรู้สึกที่ผุดขึ้นมาไม่ได้ เมื่อเผชิญกับปัญหาหลายๆ ปัญหาที่รุมเร้าเข้ามาก็ไม่มีสติตั้งมั่นพอที่จะมองเห็นต้นเหตุของปัญหาที่แท้จริงได้ เมื่อหันกลับมาทำสมาธิแต่ไม่ให้ตึงจนเกินไปหรือหย่อนจนเกินไป ( ทางพุทธน่าจะหมายถึงเดินทางสายกลางรึเป่าก็ม่ายรู้ค่ะ ) ก็รู้สึกว่าเรามีสมาธิ มีสติ มีปัญญาที่จะพิจารณาความรู้สึกนึกคิดของตัวเองว่าเป็นไปในทิศทางใดมากขึ้น เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นกับตัวเราก็พบว่าเราจะมีความคิดหรือวิธีการผุดขึ้นมาเหมือนปิ๊งแว๊ปอะไรประมาณนี้เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้านั้นๆ ได้ค่ะ

    ขออนุญาตินำความรู้ที่พี่นักเขียนอธิบายไว้หลังห้องบางส่วนมาให้อ่านค่ะเผื่อจะช่วยอะไรคุณชยุตย์ได้บ้าง.. ( ท้อได้แต่อย่าถอยนะคะ อิอิ )
    ..........................
    ไม่ว่าเราจะศึกษาหาความรู้จากแหล่งใด เราไม่มีวันรู้น้อยลง (You'll never learn less.)
    การเรียนรู้เป็นสิ่งที่ดีเสมอ แต่ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า เมื่อเรียนรู้แล้ว เราได้นำความรู้นั้นไปใช้ในทิศทางใด
    เราได้นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น หรือก่อให้เกิดโทษ

    แหล่งความรู้ทั้งหลาย แม้แหล่งที่ดูเสมือนจะไม่แน่ว่าดี-หรือไม่ดี
    จึงไม่ใช่สิ่งที่เราจำเป็นต้องตัดสิน
    แต่เราตัดสินได้จากทิศทางที่เรานำความรู้นั้นไปใช้ ด้วยตนเอง

    พี่นักเขียนขอให้คุณน้องขจรวรรณตระหนักเสมอๆว่า
    อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่คล้อยตามความเชื่อของเรา คือกลไกที่บ่งบอกให้รู้ถึงภาวะของจิตวิญญาณของเราเสมอ

    หากเรามีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่ดี รู้สึกดี
    ร่างกายของเราจะตอบสนองในทิศทางนั้นๆเสมอ กล่าวคือ
    เมื่อเรามีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่ดี
    ร่างกายของเราก็ปกติสุข

    หากเรามีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่ไม่ดี รู้สึกไม่ดี
    ร่างกายของเราจะตอบสนองในทิศทางนั้นๆเสมอ กล่าวคือ
    เมื่อเรามีอารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิดที่ไม่ดี
    ร่างกายของเราก็จะออกอาการต่างๆนานา เช่น เจ็บ ปวด ร้อน หนาว คลื่นไส้ ฯลฯ

    อารมณ์-จินตนาการและความรู้สึกนึกคิด จึงเป็นมาตรวัดความเชื่อที่แม่นยำที่สุด
    หากมันวัดความเชื่อในแง่ลบได้ มันจะทำให้เรารู้สึกไม่ดี
    หากมันวัดความเชื่อในแง่บวกได้ มันจะทำให้เรารู้สึกดี บางทีอาจจะดีเกินความเป็นจริงด้วยซ้ำไป
    .................................
    มีพระองค์นึงท่านได้กล่าวกับขจรวรรณไว้ว่า
    ปัญญาต้องมีสมาธิควบคุม ถ้าไม่มีสมาธิกำกับเค้าเรียกว่าสัญญา
    เราควรจะใช้ปัญญาค่อยๆ สอนให้จิตเกิดความเข้าใจจึงจะทำให้จิตเราสงบลงได้
    การอบรมจิตมีอยู่ 2 ประเภท คือ
    1. การใช้สมาธิอบรมให้เกิดปัญญา
    2. การใช้ปัญญาอบรมให้เกิดสมาธิ
    คนที่ฉลาดควรจะฝึกใช้ปัญญาอบรมให้เกิดสมาธิ
    จึงอยากจะขอให้พี่นักเขียนช่วยขยายความให้เข้าใจให้มากกว่านี้ได้มั้ยคะ เพราะถึงแม้ว่าตัวเองจะเข้าใจแต่ก็ยังรู้สึกว่าไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้น่ะค่ะ หวังว่าคงจะไม่ถามนอกประเด็นไปนะคะพี่นักเขียน
    ;aa13
     
  20. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขอบคุณอีกคนครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...