เจตสิก ๕๒ เกิดพร้อมกับจิต ดับพร้อมกับจิต รู้อารมณ์เดียวกับจิต อาศัยวัตถุเดียวกับจิต

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Samarnl, 14 กรกฎาคม 2012.

  1. ลูกบัวผัน

    ลูกบัวผัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +295
    เดี่ยวกลับบ้านแล้ว จะเอาข้าวสารไปวางให้หนูหลังบ้าน เอาอาหารเม็ดให้แมวหน้าบ้าน

    จะสังเกตุว่าแมวไม่ รบกวนหนู หนูก็ไม่เข้าบ้านเลย

    มันอิ่มอาหาร ที่เอาไปให้มัน แมวก็พอใจอาหารเม็ด

    จึงอยู่ร่วมกับอย่างสันติ แม้จะคนละธาตุ และเผ่าพันธ์

    เพราะความพอ ตัวเดียว

    เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ของบ้านลูกสาวบัวผัน ทุกวัน เพราะความพอตัวเดียว แท้ๆ

    ไม่ต้องไปอธิฐานกับดวงดาว ขอให้โลกสงบโศก
     
  2. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    จะมาบอกว่าที่บ้านหนูเยอะหรอ

    จะดีกว่าไหม ถ้ารู้จักรักษาความสะอาด

    เมื่อไม่มีหนู ก็ไม่มีแมว

    ไม่มีแมว ไม่มีหนู ความเลือกชอบ ความเลือกชัง ห่วงทรัพย์ ห่วงกลัวหาอาหารเองไม่ได้ ก็ไม่มี

    เมื่อไม่มี ก็ไม่ต้องถามหาความพอดีให้เกินพอดี ^^
     
  3. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ขี้โม้อ่ะ บอกหนูไม่เข้าบ้าน แล้วรู้ได้ไงว่าอยู่หลังบ้าน

    รู้อีกว่าต้องวางข้าวสารหลังบ้าน รู้อีกว่าหนูจะมากิน
     
  4. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    วิปัสสนา รู้อยู่ที่ ขันธ์ ธาตุ อายตนะ อินทรีย์ อริยะสัจ ปฏิจสุมปบาท

    คุณเหมียว ลองยกอายตนะมาอธิบายหน่อยสิว่าเป็นวิปัสสนอย่างไร
     
  5. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    หลงก็ทำไมจะไม่รู้ก็หนูมันตาย เพราะกินยาเบื่อหลังบ้าน
    ก็แสดงว่าหนูอยู่หลังบ้าน และหลังบ้านสกปรกหนูชอบอยู่
     
  6. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    เฮ้อ!!!

    เพิ่งรู้จริงๆว่าธรรมะจากตำราต้องมีการไว้เชิง

    กลัวเสียหน้า โดยไม่นำพาสัจจะความจริง

    ตกลงใครที่ปทปรมะกันแน่

    พวกที่เชื่ออะไรตามๆกันมาโดยไม่พิจารณา

    พวกนี้ เขลายิ่งกว่าพวกปทปรมะเสียอีก

    ถ้าตอบไม่ได้ ก็ไม่ต้องมาไว้เชิงให้เสียอาการหลอก

    พวกตำรานิยมมักมาอีหรอบเดียวกัน

    เมื่อตอบไม่ได้กล่าวร้ายไว้ก่อนเป็นธรรมดา55+

    ทั้งๆที่ในพระสูตรพระพุทธองค์แทบไม่มีตรัสถึงเรื่องเจตสิกไว้โดยเฉพาะเลย

    มีแต่พวกเก่งเกินบรมครู เอาตำรามาข่มพระพุทธองค์

    ถ้าแน่จริงมาว่ากันโดยไม่ต้องเอาตำรามาตัดแปะ

    เอาจากการพิสูจน์ทราบโดยการปฏิบัติสิ

    อย่าหลงไปว่าที่ทำอยู่นี้เป็นการสร้างบารมี

    แต่เป็นการขยายความเชื่อแบบผิดๆให้กว้างขวางยิ่งขึ้น

    เวรกรรมๆๆ มีจริง สำหรับพวกเชื่อโดยขาดการพิสูจน์

    ถ้าคิดงว่าตำราอธิบายให้เข้าใจได้

    ต้องบอกได้สิว่าเจตสิกมาจากไหน?

    ทำไมจิตชั้นพระอรหันต์ต้องมีเจตสิกธรรมด้วย?

    ก็ดีแต่โม้ตามตำราไปวันๆเท่านั้น

    เจริญในธรรมทุกท่าน
     
  7. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    คุณพี่ธรรมทูต ช่างเจรจานะคะ
    แล้วแต่คุณพี่จะเจรจาพาทีค่ะ

    เอาเป็นว่า รับฟังความเข้าใจของคุณพี่ล่ะกันนะคะ
    แต่การปฏิบัติของคุณน้อง คุณน้องก็ตั้งใจไว้แล้วที่จะเดินไป
    บารมี ถ้าเหตุปัจจัยใช่ ก็คือใช่ค่ะ
     
  8. JitJailove

    JitJailove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    736
    ค่าพลัง:
    +741
    ที่เวปพระอาจารย์มานพ อุปสโม
    หาฟัง หาอ่านที่พระอาจารย์อธิบายกันนะคะ
    ชัดเจนดีค่ะ

    ไปก่อนนะคะ วันนี้ไม่ว่าง
     
  9. ลูกบัวผัน

    ลูกบัวผัน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    187
    ค่าพลัง:
    +295
    บ้านใครหนอ? ถ้าบ้านเจ้ไม่สกปรกหรอก เมื่อคืนนอนคุยกับลูกสาว พรุ่งนี้จะไปเที่ยวทะเล

    กันลูกสาวถามว่า แม่จะไปทะเลหน้าฝนเหรอ เด็ก 6 ขวบเอง เจ้ก็บอกว่า

    ไปเถอะทะเลหน้าฝนอ่ะ ดีแล้ว นานๆ จะได้ออกทะเลสักที พ่อมันก็เลยบอกไป

    พวกเธอไปกันเถอะสองคนแม่ลูก ส่วนพี่จะนอนดูทะเลในทีวีดีกว่า
     
  10. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    ก็บอกแล้วไงว่าไม่อยากสนทาด้วย
    เพราะพวกโมฆะบุรุษสนทนาด้วยก็ไม่ได้ประโยชน์
    ดังมีคำบาลีที่ว่า อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา
    คำถามที่ถามน่ะมีแต่มานะที่คอยที่ข่มวาทะ มันผิดตั้งแต่คิดจะถามแล้ว
    รู้จริงเก่งจริงก็เอาตัวเองให้รอดให้บรรลุธรรมก่อนเถอะ
    คนไม่ได้ศึกษาพระอภิธรรมก็คงไม่รู้อภิธรรม เมื่อไม่รู้ก็ยังกล้าปฏิเสธ
    พวกที่จะตัดทอนพระไตรปิฎก ให้เหลือแต่พระสูตร กับพระวินัย เวรกรรมแท้
    ไปนั่งดูจิตแบบธรรมภูตนั่นแหละดีแล้ว
    จงเจริญในธรรมของท่าน
     
  11. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ^
    ^
    ก็บอกแล้วว่า ถามเพื่อให้ตอบกลับ

    เมื่อตอบไม่ได้ก็ แบ๊ะ แบ๊ะ หาแพะรับบาป

    เมื่อไปไม่ได้ก็กล่้าวหาว่าร้ายไว้ก่อนเป็นธรรมดามาก

    นี่หรือนักธรรมะ วาทะข่มกันไม่ได้หรอกถ้าวาทะนั้นขาดเหตุผล

    เมื่อไม่มีเหตุผล ก็ออกอาการแบบนี้ทั้งนั้น

    ทุกอย่างต้องอาศัยหลักฐานมาสอบสวนเทียบเคียงทั้งสิ้น

    ไม่ใช่ดีแต่ปากกล้า ขาสั่น เวรกรรมมีจริงๆ

    มีไว้สำหรับพวกชอบบิดเบือนพระพุทธพจน์จนเสียหาย

    เจริญในธรรมทุกท่าน
     
  12. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ก็ปิฏก ๓ที่ยกขึ้นสู่สังคีติ ๓ ชื่อว่าสุตตะ ในปกิณณกะมีสุตตะเป็นต้น.
    ข้อที่เข้ากันได้กับกัปปิยะ ชื่อว่าสุตตานุโลม. อรรถกถา ชื่อว่าอาจริยวาท.
    ปฏิภาณของตน ตามความคาดหมายตามความรู้ ชื่อว่าอัตตโนมัติ.


    ในปกิณณกะเหล่านั้น สุตตะ ใครๆ คัดค้านไม่ได้ เมื่อคัดค้านสุตตะนั้น ก็เท่ากับคัดค้านพระพุทธเจ้าด้วย.
    ส่วนข้อที่เข้ากับได้กับกัปปิยะ ควรถือเอาเฉพาะข้อที่สมกับสุตตะเท่านั้น นอกนั้นไม่ควรถือเอา.

    แม้อาจริยวาทเล่า ก็ควรถือเอาแต่ที่สมกับสุตตะเท่านั้น นอกนั้นไม่ควรถือเอา.
    ส่วนอัตตโนมัติเพลากว่าเขาทั้งหมด. แม้อัตตโนมัตินั้นก็ควรถือเอาแต่ที่สมกับสุตตะเท่านั้น นอกนั้นไม่ควรถือเอา.


    ก็สังคีติมี ๓ เหล่านี้คือ ปัญจสติกสังคีติ (สังคายนาครั้งที่ ๑) สัตตสติกสังคีติ (ครั้งที่ ๒) สหัสสิกสังคีติ (ครั้งที่ ๓).
    แม้สุตตะเฉพาะที่มาในสังคีติ ๓ นั้น ควรถือเอาเป็นประมาณ. นอกนั้นเป็นที่ท่านตำหนิ ไม่ควรถือเอา.

    จริงอยู่ บทพยัญชนะแม้ที่ลงกันได้ในสุตตะนั้น
    พึงทราบว่าลงกันไม่ได้ในพระสูตรและเทียบกันไม่ได้ในพระวินัย.

    ^
    ^
    แม้แต่อรรถกถาจารย์เองท่านก็ชัดเจน ไม่ให้เชื่อแบบงมงาย
    ให้ยืนอยู่บนหลักเหตุผล ที่ตริตรองตามความเป็นจริงได้
    ท่านก็ยืนยันให้สอบสวน ตรวจสอบ เทียงเคียงว่า
    ลงกันได้กับสุตตะ๓หรือเปล่า
    แม้สุตตะ๓ ท่านเองยังให้ควรถือเอาเป็นประมาณ.
    นอกนั้นเป็นที่ท่านตำหนิ ไม่ควรถือเอา.

    เมื่อมีการรจนาข้อธรรมขึ้นมาในภายหลังก็ควรต้องสอบสวนก่อน
    ไม่ใช่หลับหูหลับตาเชื่อเพราะคำขู่ว่าไม่เชื่อต้องตกนรก
    ยังไม่รู้เลยว่าใครกันแน่ที่ต้องตกนรก

    เพราะศาสนาพุทธนั้นเป็นเรื่องของวิทยาศาสตร์ทางจิตโดยเฉพาะ
    เป็นสิ่งที่ต้องเข้ามาพิสูจน์ทราบโดยการลงมือปฏิบัติสมาธิกรรมฐานภาวนา
    เพื่อให้รู้ยิ่งเห็นจริงจากการปฏิบัติเพื่อเข้าถึงธรรมนั้นๆ
    ไม่ใช่เกิดจากการอ่าน จำ คิดนึกได้มากๆแล้วคิดเองเออเองว่าตนเองรู้แล้ว

    เจริญในธรรมทุกท่าน
     
  13. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ๑๓. สัทธรรมปฏิรูปกสูตร

    หน้าที่ ๒๔๗.

    โลกนี้ต่างหาก เกิดขึ้นมาก็ทำให้พระสัทธรรมเลือนหายไป เปรียบเหมือนเรือจะ
    อัปปาง ก็เพราะต้นหนเท่านั้น พระสัทธรรมยังไม่เลือนหายไปด้วยประการฉะนี้ ฯ
    [๕๓๔] ดูกรกัสสป เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการเหล่านี้ ย่อมเป็นไปพร้อม
    เพื่อความฟั่นเฟือน เพื่อความเลือนหายแห่งพระสัทธรรม เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการ
    เป็นไฉน คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ ไม่เคารพ
    ยำเกรงในพระศาสดา ๑ ในพระธรรม ๑ ในพระสงฆ์ ๑ ในสิกขา ๑ ในสมาธิ
    เหตุฝ่ายต่ำ ๕ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความฟั่นเฟือน เพื่อ
    ความเลือนหายแห่งพระสัทธรรม ฯ
    [๕๓๕] ดูกรกัสสป เหตุ ๕ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อ
    ความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน ไม่เลือนหายแห่งพระสัทธรรม เหตุ ๕ ประการเป็น
    ไฉน คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ในธรรมวินัยนี้ มีความเคารพ
    ยำเกรงในพระศาสดา ๑ ในพระธรรม ๑ ในพระสงฆ์ ๑ ในสิกขา ๑ ในสมาธิ
    ๑ เหตุ ๕ ประการเหล่านี้แล ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อความตั้งมั่น ไม่ฟั่นเฟือน
    ไม่เลือนหายแห่งพระสัทธรรม ฯ

    จบสูตรที่ ๑๓
    จบกัสสปสังยุตต์ที่ ๔

    **********

    การจะเชื่ออะไรนั้น ควรต้องอาศัยความจริงที่พิสูจน์ทราบได้
    ไม่ใช่เชื่อแบบตามๆกันมาด้วยความหลงงมงายในตำราว่าไว้
    ตำรามีไว้ให้ศึกษา ส่วนสัจจะรนั้นมีไว้ให้ค้นหาและพิสูจน์ทราบเท่านั้น
    เจริญในธรรมทุกท่าน
     
  14. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    พระอภิธรรม ก็คือ ธรรม
    แม้พระพุทธองค์ก็ทรงกราบธรรม

    แล้วนี่จะมาตำหนิธรรมมันถูกมันควรแล้วหรือ
    เอาธรรมที่ตนศึกษามา จำมาเอามาอวดกัน
    เหยียบหัวกันขึ้นไปว่าตนนี่เจ๋งกว่าแน่กว่า
    สุดท้ายคือเหยียบธรรม ว่าธรรมนี่ไม่น่าเชื่อถือ

    ยกเอาตัวเอาตนใหญ่กว่าธรรม
    ตนรู้หมด ใครถามอะไรตอบได้หมดรู้หมด
    เพราะตนเองเป็นผู้ชี้เองว่าธรรมใดน่าเชื่อถือ ธรรมใดไม่น่าเชื่อถือ
    วิธีปฏิบัติอย่างไรตนรู้หมด ต้องอย่างนั้นอย่างนี้
    ตนถูกต้องที่สุด สำคัญความคิดของตน
    หากตนคิดอะไร สรุปความคิดได้ยังไง สิ่งนั้นคือสิ่งที่ถูกต้องที่สุด

    ความคิดตนหลอกตนยังไม่รู้ตน
    กิเลสสวมรอย เพลินเป็นบ้า
     
  15. เตชพโล

    เตชพโล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2010
    โพสต์:
    267
    ค่าพลัง:
    +1,431
    ผู้เกิดมาเพื่อฆ่าตนเอง


    พระพุทธภาษิต

    โย สาสนํ อรหตํ อริยานํ ธมฺมชีวินํ
    ปฏิกฺโกสติ ทุมฺเมโธ ทิฏฐิง นิสฺสาย ปาปิกํ
    ผลานิ กณฏกสฺเสว อตฺตฆญฺญาย ผลฺลติ ฯ

    คำแปล
    ผู้ใดมีปัญญาทราม อาศัยทิฏฐิชั่ว ย่อมคัดค้านคำสอนของพระอริยเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ผู้มีชีวิตอยู่โดยธรรม ,ผู้นั้นเกิดมาเพื่อฆ่าตัวเองเหมือนขุยไผ่เกิดมาฆ่าต้นไผ่ฉะนั้น

    เรื่องนี้พระศาสดาทรงแสดงขณะที่ประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหารทรงปรารภพระกาลเถระ มีเรื่องย่อดังนี้


    เรื่องประกอบ
    พระกาลเถระ


    ความว่า หญิงคนหนึ่งในเมืองสาวัตถีเป็นโยมอุปฐากของพระเถระนั้น ทำนุบำรุงพระกาลเถระประดุจมารดาพึงกระทำต่อบุตร
    เพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงของหญิงนั้นไปฟังธรรมในสำนักพระศาสดา แล้วกลับมาสรรเสริญพระศาสดาและพระธรรมเทศนาของพระองค์ว่า
    “แหม พระพุทธเจ้านี่อัศจรรย์จริง พระธรรมของพระองค์ก็ไพเราะ ฯลฯ”
    หญิงนั้นฟังคำของเพื่อนบ้านแล้วอยากไปฟังธรรมของพระศาสดาบ้าง เมื่อพระเถระมารับอาหารในเวลาเช้าจึงบอกแก่พระกาละว่า “ท่านเจ้าข้า ดิฉันอยากฟังธรรมของพระศาสดาบ้าง”
    “อย่าเลย อุบาสิกา อย่าไปที่นั่นเลย ไม่จำเป็นหรอก” พระกาละห้าม
    วันรุ่งขึ้นนางขออีก แต่พระเถระนั้นก็ห้ามอีกถึง ๓ ครั้ง แต่นางก็ยังอยากฟังธรรมฟังธรรมในสำนักพระศาสดาอยู่นั่นเอง
    ที่พระกาลเถระไม่ประสงค์ให้อุบาสิกาไปฟังธรรมก็ด้วยความคิดเขลาว่า “เมื่อนางฟังธรรมของพระศาสดาแล้วจะแตกจากเรา ไปเลื่อมใสพระศาสดาเสีย”
    วันหนึ่งหญิงนั้นตื่นแต่เช้าบริโภคอาหารเสร็จแล้ว สมาทานอุโบสถแล้วสั่งบุตรีไว้ว่า “เจ้าจงปฏิบัติบำรุงพระผู้เป็นเจ้ากาละให้เรียบร้อยอย่างที่แม่เคยทำมา” ดังนี้แล้วรีบไปยังเชตวนารามเฝ้าพระศาสดาเพื่อฟังธรรม
    เมื่อพระกาลเถระมาถึงบ้าน บุตรีของนางก็อังคาสเถระอย่างเรียบร้อยอย่างที่แม่สั่ง พระเถระถามหาอุบาสิกา ทราบว่านางไปวิหารเชตะวันเพื่อฟังธรรมของพระศาสดา
    พอได้ยินเท่านั้น ความเร่าร้อนกระวนกระวายก็เกิดขึ้นแก่พระกาลเถระ นึกหวั่นเกรงไปว่า “เมื่อนางเลื่อมใสพระศาสดาแล้วจักแตกจากเรา”
    เขารีบกลับไปวัดเชตวัน เห็นหญิงนั้นนั่งฟังธรรมอยู่ในสำนักพระศาสดา จึงทูลว่า
    “พระเจ้าข้า หญิงคนนี้เขลานัก ไม่อาจเข้าใจธรรมกถาอันละเอียดได้ โปรดอย่าทรงแสดงธรรมกถาอันละเอียดปฏิสังยุตด้วยสภาวะมีขันธ์เป็นต้น ขอจงตรัสแต่เพียงกถาอันว่าด้วยทานและศีลเป็นต้นก็พอ”
    พระศาสดาทรงทราบอัชฌาสัยของเธอว่า ที่พูดเช่นนั้นเพราะเหตุใด จึงตรัสเตือนว่า
    “ดูก่อนภิกษุ เธอเป็นคนปัญญาโฉด อาศัยทิฏฐิอันชั่วช้าห้ามปรามคัดค้านคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นการพยายามเพื่อฆ่าตนเอง”
    พระศาสดาตรัสต่อไปว่า
    “ผู้ใดมีปัญญาทรามอาศัยทิฏฐิชั่ว ย่อมคัดค้านคำสอนของพระอริยเจ้า ผู้เป็นพระอรหันต์ มีชีวิตอยู่โดยธรรม ผู้นั้นเกิดมาเพื่อฆ่าตัวเอง เหมือนขุยไผ่เกิดมาเพื่อฆ่าต้นไผ่ ฉะนั้น”
    จบเทศนา อุบาสิกาดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล
     
  16. Samarnl

    Samarnl เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มิถุนายน 2010
    โพสต์:
    2,287
    ค่าพลัง:
    +4,704
    <TABLE border=0 cellSpacing=1 cellPadding=2 width=702><TBODY><TR><TD>มหาภูตรูป ๔ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD>
    [​IMG]








    </TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD></TD></TR><TR><TD><TABLE border=2 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=680 align=center><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=680 bgColor=#ffece3><TBODY><TR><TD bgColor=#ffece3 vAlign=top width=119>๑. ปฐวีธาตุ</TD><TD width=561>คือ ธาตุดิน เป็นธรรมชาติที่มีลักษณะ แข็ง หรือ อ่อน ถ้ามีธาตุดินอยู่มากก็จะแข็งมาก เช่น เหล็ก หิน ถ้ามีธาตุดินอยู่น้อยก็จะอ่อน เช่น ยาง ฟองน้ำ เป็นต้น ธาตุดินมี ๔ อย่าง</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD><TABLE border=1 cellSpacing=2 cellPadding=2 width=670 bgColor=#ffffff><TBODY><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=649><TBODY><TR bgColor=#ffffff><TD colSpan=3>๑. ดินแท(ปรมัตถปฐวี หรือ ลักขณปฐวี)</TD></TR><TR><TD width=87></TD><TD vAlign=top width=105>หมายถึง </TD><TD width=457>ลักษณะที่ แข็ง หรือ อ่อน ของวัตถุต่าง ๆ ที่เราสามารถสัมผัส ถูกต้องได้ด้วยกาย เช่น เหล็ก หรือ ยาง ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=650 bgColor=#f6f6f6><TBODY><TR><TD colSpan=3>๒. ดินสมมุติ (สมมุติปฐวี หรือ ปกติปฐวี)</TD></TR><TR><TD width=86></TD><TD vAlign=top width=107>หมายถึง </TD><TD width=457>ดินที่เรียกกันทั่วไป เช่น ที่ดิน แผ่นดิน พื้นดิน ดินเหนียว ดินที่ใช้ในการทำไร่ไถนา เป็นต้น</TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=650><TBODY><TR bgColor=#ffffff><TD colSpan=3>๓. ดินที่มีอยู่ในร่างกาย (ตามนัยแห่งพระสูตร) เรียกว่า สสัมภารปฐวี</TD></TR><TR><TD width=84></TD><TD vAlign=top width=108>หมายถึง </TD><TD width=458>ส่วนที่แข็งที่มีอยู่ภายในร่างกายของคน และสัตว์ทั้งหลาย เช่น ผม ขน เล็บ ฟัน เป็นต้น รวมทั้งของแข็งที่อยู่ภายนอกด้วย เช่น เหล็กทองแดง ศิลา ดิน เป็นต้น</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD><TABLE border=0 cellSpacing=0 cellPadding=0 width=650 bgColor=#f6f6f6><TBODY><TR><TD colSpan=3>๔. ดินที่ใช้เพ่งทำให้เกิดสมาธิ (กสินปฐวี)</TD></TR><TR><TD width=86></TD><TD vAlign=top width=108>หมายถึง </TD><TD width=456>ดินที่นำมาทำเป็นแผ่นวงกลมเท่าฝาบาตร เพื่อนำมาเพ่งให้เกิดสมาธ ิใช้เป็นอารมณ์ในการ เจริญสมถกรรมฐาน </TD></TR></TBODY></TABLE>


    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    ดิน น้ำไฟ ลม ก็เป็นธรรมเรียกว่ารูปธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นเห็นตถาถต ก็เพราะเห็นกันได้เพียงสมมุติจึงเข้าไม่ถึงธรรม มีแต่คนอวดรู้อวดเก่ง แต่ไม่มีใครเคยอวดของจริง แม้ธรรมทั้งหลายก็รู้ไม่ทั่วถึง เจตสิก ก็ไม่รู้จัก
    ไม่รู้ โลภะเจตสิก โทสะเจตสิก โมหะเจตสิก แล้วจะเอาปัญญาเจตสิกที่ไหนไปสำรอกกิเลส อะไร รูป อะไรนาม ก็ไม่รู้จัก เฮ้อ ! กลุ้มแท้ ชอบคุยข่มว่ารู้จริง

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  17. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846

    นี่ๆ ฝากบทนี้ ใช้ได้กับ ระบบปฏิบัติการ LINUx ใช้ทุกวันนะ

    วัฏฏกปริตร

    อัตถิ โลเก สีละคุโณ สัจจัง โสเจยยะนุททะยา
    เตนะ สัจเจนะ กาหามิ สัจจะกิริยะมะนุตตะรัง
    อาวัชชิตวา ธัมมะพะลัง สะริตวา ปุพพะเก ชิเน
    สัจจะพะละมะวัสสายะ สัจจะกิริยะมะกาสะหัง
    สันติ ปักขา อะปัตตะนา สันติปาทา อะวัญจะนา
    มาตา ปิตา จะ นิกขันตา ชาตะเวทะ ปะฏิกกะมะ
    สะหะ สัจเจ กะเต มัยหัง มะหาปัชชะลิโต สิขี
    วัชเชสิ โสฬะสะกะรีสานิ อุทะกัง ปัตวา ยะถา สิขี
    สัจเจนะ เม สะโม นัตถิ เอสา เม สัจจะปาระมีติฯ
     
  18. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
                               ฝนเอยทำไมจึงตกเพราะกบมันร้อง
                               กบเอยทำไมจึงร้องเพราะท้องมันปวด
                               ท้องเอยทำไมจึงปวดเพราะข้าวมันดิบ
                               ข้าวเอยทำไมจึงดิบเพราะไฟมันดับ
                               ไฟเอยทำไมจึงดับเพราะฟืนมันเปียก
                               ฟืนเอยทำไมจึงเปียกเพราะฝนมันตก
                               ฝนเอยทำไมจึงตกเพราะกบมันร้อง......
     
  19. วิษณุ12

    วิษณุ12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    5,337
    ค่าพลัง:
    +6,846
    กบร้องไง อ่ะ อ๊บๆป่ะ ช่วงนี้แถวบ้านร้องเต็มเลยอ่ะ
     
  20. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    ร้อง am กะ fm ^^
     

แชร์หน้านี้

Loading...