เคล็ดวิชาดูจิต

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย TupLuang, 8 กันยายน 2008.

  1. เสขะ บุคคล

    เสขะ บุคคล เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,240
    กระทู้เรื่องเด่น:
    54
    ค่าพลัง:
    +4,023
    โมทนาด้วยคร้าบ ขอบคุณท่านนิวรณ์และท่านขันธ์ที่ช่วยชี้แนะ
    นำไปพิจารณาครับ
    :)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 5 มกราคม 2010
  2. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    อ้าว นี่สมุทัย ทั้งดุ้นนี่ ส่งจิตออกมองชาวบ้านแล้วสรุปไม่ตรงเสียด้วย
    สรุปเองทั้งสิ้น จากความรู้สึกนึกคิดของตน นี่สิ่งนี้ คุณไม่มองหละว่า ที่คุณรู้คุณนึกมานั้นมัน ไม่จริง ไม่ตรง มันเออออ ตามสังขารปรุงของตนเอง

    มองที่ธรรมสิ ที่ผมเขียนไป แล้วหยิบจับตรงนั้นมาโต้แย้ง ไม่ใช่ เอาเรื่องเดาสุ่มมาโต้แย้ง
     
  3. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ไม่ได้มีเจตนาคุยกับคุณครับ โดยเฉพาะพวกยึดมั่นบริกรรมพุทโธข้าใครอย่าแต่

    * * * *

    จะอธิบายให้ฟัง อีกสักหน่อย

    ใครๆ ก็รู้ว่า พระท่านหนึ่ง ปฏิเสธการสรุป นิพพานคือเมือง โดยแข็งขัน
    ( ปฏิเสธการสรุป นะ ไม่ใช่ปฏเสธแบบหักลำหักโค่น ) ซึ่งก็ทราบกัน
    ดีว่าพระท่านนั้นกล่าวอยู่โดยแข็งขัน มานานตาปี กลุ่มที่สรุปว่านิพพาน
    คือเมือง ย่อมรู้ดีว่า นานมาแค่ไหน

    แต่รู้อะไรไหม....พระท่านนี้กลับถูกกล่าวหาว่า สอนนิพพานคือเมือง ด่า
    เสียยกใหญ่ให้อนุสัมปัน ฆราวาสตาดำๆฟังชัดสองแก้วหู ว่าสอนผิด แล้ว
    ยกกล่าวว่าผิดศีลข้อมุสาวาทาให้ บอกความผิดศีลของพระให้อนุสัมปันฟัง
    แบบชัดๆ ไม่ต้องแคะออก

    โถ่ ไปเอามาจากไหน ไปฟังใครเขามา คนโกหกหนะอยู่ตรงหน้า คนโกหก
    ไม่ได้อยู่ข้ามฟ้าข้ามทะเลอะไรที่ไหนหรอก คนโกหกอยู่ตรงหน้านั่นแหละ

    ภาวนาพุทโธอย่างไรมองไม่เห็น สอนพุทโธให้ตาย คนโกหกอยู่ตรงหน้า
    มองไม่เห็น

    แบบนี้ ก็เสียไปทั้งบริษัทนั่นแหละ แล้วจะประกาศ บริกรรมพุทโธ ใครอย่าแตะ
    ไปทำไม ตรงหน้ายังจรรโลงให้ดีไม่ได้ แล้วจะไปจรรโลงศรัธทาที่ไหนให้เกิดขึ้นได้

    ตกลงคำจริงจากแหล่งจริง เคยฟังหรือยัง หรือ ฟังจากแหล่งโกหกมาแต่ต้น จน
    นักปฏิบัติพากันอิน มีอารมณ์ร่วม แบ่งแยกกันไม่เลิก

    ที่กล่าว ไม่ใช่เพื่อตัวเอง และก็ไม่ใช่เพื่อพระท่านไหน แต่เพื่ออะไร
    คนรักภาวนาพุทโธควรรู้ได้เอง
     
  4. ขันธ์

    ขันธ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    7,917
    ค่าพลัง:
    +9,182
    ไม่มีใคร พูดถึง รักพุทโธ เลยคุณนิวรณ์
    พูดกันถึง ธรรมที่ไม่ถูกไม่ตรง

    ส่วนคุณจะมีเจตนาคุยกับใคร อันนั้นก็เรื่องของคุณ แต่ ธรรมที่ไม่ถูกไม่ต้อง ผมก็พูดไปตามความจริง

    ไม่ได้เกี่ยวกับ รักพุทโธ ใครแตะไม่ได้เลย
     
  5. kengkenny

    kengkenny เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    2,878
    ค่าพลัง:
    +2,500
    อวิชชา คือ ความไม่รู้ แปลตรงตัวเลย เมื่อยังไม่รู้ในสิ่งใดก็เรียกว่ามีอวิชชา สิ่งใดที่ว่านี้คือเหตุแห่งความทุกข์ทั้งหลาย
    สมาธิ คือ จิตตั้งมั่น การที่จิตตั้งมั่นได้ก็ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีอวิชชา หรือ มีอวิชชา
    สติ-สัมปะชัญญะ คือ การที่จิตที่ตั้งมั่นระลึกรู้อยู่เรานั้นรู้สิ่งใดและไม่รู้สิ่งใดกันแน่ พิจารณาเป็นเรื่องๆ อันๆไป ไม่ใช่ทีเีดียวหลายเรื่อง
    ปัญญา คือ ผลอันเกิดจาก สติ-สัมปะชัญญะ สมาธิ (รู้แล้วว่าไม่รู้ในสิ่งใด)
    ดังนั้น สิ่งใดก็ตามที่ไม่ใช่ของๆเรา ก็อย่าเอามายึดถือไว้ให้กลุ้มใจ เพราะสาระที่แท้จริงคือพิจารณาให้เห็นชัดให้ได้ว่ามันให้ผลดีหรือผลเสีย หรือรวมลงแล้วให้ผลทุกข์กับจิตใจเรากันแน่ ดูจิตอะไรนั่นไม่สำคัญหรอก ถ้าไม่รู้ว่าสิ่งใดที่พาให้จิตทุกข์ หรือหลงอยู่ในความสุข ก็ไม่ได้มีประโยชน์อันใดเลย อย่าไปยึดติดกับอาการของมันมากนัก ยิ่งดูก็เหมือนคนเราที่ดูหนังแต่ไม่เข้าใจว่าผู้แต่งต้องการให้เห็นอะไร ให้รู้อะไรเพราะไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่เห็นนั้น เช่นเดียวกับการ เห็นจิตแต่ไม่รู้ความหมายว่าที่เห็นนั้นมันคืออะไร เกิดเพราะอะไร อะไรทำให้มันเป็นอย่างนั้น ผลที่เป็นแบบนั้นจะเป็นอย่างไร ไม่ได้เข้าใจในสิ่งนี้เลยก็เท่ากับว่าไม่ได้อะไรเลย ก็ว่ากันไปแต่อย่างน้อยก็ถือว่ามีความเพียร มีศรัทธา อยู่ไม่มากก็น้อยแหละนะถึงได้เป็นแบบนี้
    อนุโมทนากับทุกๆท่านครับ
     
  6. 1000lert

    1000lert เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +143
    นิวรณ์คุณนี่ไม่รู้เรื่องจริง ๆ นะ
    แล้วมาทำอวดรู้อวดฉลาด
    คุณนี่มันหนอนแทะกระดาษตัวจริงเลย

    ที่ท่านว่าท่านไม่ใช้พุทโธคือ
    ท่านละ วิตก วิจารณ์ ได้แล้ว
    กำหนดเข้าที่ตัวผู้รู้ได้เลย
    ด้วยความเป็นวสี ชำนาญในการเข้าฌาณ

    คุณนี่มันไม่รู้เรื่องจริง ๆ

    ที่ว่า "ปึ๊ก" นี่ก็ไม่ใช่
    ท่านพูดว่า "ปึ๊บ" คือกำหนด ปึ๊บ เข้าฌาณไปเลย

    ทำไมไม่เอ่ยออกมาเลยล่ะ
    ว่าพระที่ไม่สอนภาวนาแบบไม่ใช้พุทโธ
    คือ หลวงพ่อปราโมทย์ ไปกลัวอะไร

    ครูบาอาจารย์เก่าก่อนท่่านสอนอย่างมีหลักมีเกณฑ์
    สอนให้เริ่มด้วย กรรมฐาน 40 มีบทภาวนาพุทโธ เป็นต้น
    แม้พระพุทธองค์ตรัสรู้ได้ เริ่มต้นก็ด้วยอานาปานสติ
    หนึ่งในกรรมฐาน 40

    แต่หลวงพ่อปราโมทย์สอนคน
    สอนแปลกแหวกแนวกว่า พระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ ที่ผ่านมา

    แล้วอย่างนี้จะให้เรียกอะไร

    เอ้าดูเอานะทุกท่านศาสนาเสื่อมก็เพราะจิตใจคนเสื่อม
    จากอรรถจากธรรมของพระพุทธองค์อย่างนี้ล่ะ
    แล้วจะแพร่หลายไปเรื่อยนะ ของปลอมพวกนี้
    ดูเอานะ

    มันสะท้อนให้เห็นเลยนะนิวรณ์
    คุณไม่รู้เรื่องสมาธิ เรื่องฌาณ อะไรเลย
    แต่คุณเที่ยวโม้เที่ยวสอนคนอื่นเค้าไปทั่ว
    น่าอายจริง ๆ นะตัวคุณ นี่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2010
  7. 1000lert

    1000lert เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    75
    ค่าพลัง:
    +143
    คุณนิวรณ์ไม่เห็นคุณมาโต้แย้งคัดค้านอะไร
    ถ้างั้นตกลงก็คือตามที่ผมว่าล่ะนะที่ถูกต้อง

    การที่กล่าวถึงครูบาอาจารย์พระเจ้าพระสงฆ์คุณต้องระวัง
    ถ้าไม่แน่ใจอย่าพูดอย่าแสดงออกมา
    ผมจะบอกให้นะ
    ก็ด้วยความเมตตานี่ล่ะ

    ถึงแม้คุณจะโต้แย้ง
    ผมก็ไม่มีเวลามาโต้แย้งกับคุณแล้วล่ะนะ
    โพสต์นี้คงเป็นโพสต์สุดท้ายของผม

    วันเสาร์นี้ผมก็เข้านาคแล้ว
    ช่วงเวลาที่เหลือคงไม่มีเวลามาโพสต์อีกแล้ว

    ไปแล้ว.......
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 มกราคม 2010
  8. โป

    โป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +256
    ผมไม่ได้ค้านการทำสมาธิในรูปแบบนะครับ

    แต่ค้านว่า...สมาธิในรูปแบบแล้วไม่พิจารณาร่างกาย เอาแต่ทำสมาธิอย่างเดียว

    เพื่อให้จิตเด่นดวงนั้นยากมาก แล้วหากเห็นจิตเด่นดวงแล้วทำอย่างไรต่อครับ....

    บางคนในที่นี้ตอบว่า....เมื่อถึงจิตเด่นดวงและตั้งมั่นแล้ว จะเห็นทางพ้นทุกข์

    ยังหรอกครับ....มีแต่ยึดมั่นถือมั่นในตัวจิตกันไปใหญ่

    ท่านไม่พูดถึงเรื่องถอยจิตลงมาพิจารณาร่างกายเลย

    บางคนทำได้ก็ดีครับ แต่อย่าชักจูงให้คนทำไม่ได้ ทำตามท่าน

    ทำสมาธิได้นิดหน่อยก็ลงมาพิจารณาร่างกายเสีย ให้รู้สึกว่าเป็นของเน่าเหม็น ไม่จีรังยั่งยืน


    ทำทางไหน สายไหน หากถูกต้องก็เข้าไปในจิตทั้งนั้น

    ทำกรรมฐานเพื่อจุดประสงค์สิ่งเดียวคือ

    เห็นความจริงและเห็นแล้วไม่ถือมั่นตัวจิต...ครับ

    เห็นเมื่อใด เมื่อนั่นแหละครับ เห็นทางพ้นทุกข์


    ท่านอาจารย์( ไม่ขอเอ่ยนาม ) ที่สาธุชน( บางคนเขาว่าในเมือง )

    เคารพนับถือในขณะนี้ ท่านพูดตรงทุกอย่างครับ

    ลองทานคำสอนของท่าน ด้วยการปฏิบัติ(ในแนวของท่านเอง ) หรือยัง

    ว่าของตนเอง อาการตรงหรือไม่

    หากยังไม่ได้ทำ ขออย่าพึ่งลงความเห็นว่า ไม่จริง...ครับ







    การพ้นทุกข์เป็นเรื่องง่ายๆ ทำให้เป็นเรื่องเข้าใจยากๆ ไม่ควรกระทำเ้ลย
     
  9. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    ดูจิตโดยไม่ผ่านสติสมาธิ ย่อมไม่ก่อให้เกิดปัญญารู้เห็นตามความเป็นจริงได้

    ดูจิต แบบไม่ทำสมาธิ จะเกิดปัญญาหลุดพ้นได้มั้ย? ไม่ได้ครับ
    เพราะไม่รู้เห็นตามความเป็นจริงถึงขบวนการที่เป็นไปอย่างแท้จริงในอริยสัจจ์ ๔ อย่างแน่นอนครับ

    ดังมีพุทธวจนะกล่าวไว้ว่า

    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอทั้งหลายจงยังสมาธิให้เกิดขึ้นเถิด
    ผู้ที่มีจิตตั้งมั่นแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง ดังนี้"

    นั่นคือ เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
    และสามารถปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ออกไปได้

    การดูจิตในสมัยนี้นั้น เช่นนักดูจิตในทุกวันนี้ ที่ถือว่าเป็นคนดีในสายตาของสังคมนั้น
    ล้วนแล้วแต่มีการดูจิตดูใจตัวเองอยู่เป็นประจำ เพื่อระมัดระวังการแสดงออก
    หรือที่เรียกว่าระมัดระวังอาการของจิตที่อาจจะแสดงออกทางกายวาจาต่อสังคม

    ซึ่งบางท่านถึงกับทำได้เนียนมากๆ โดยเฉพาะต่อหน้าธารกำนัน
    จนเป็นที่เข้าใจว่าเป็นผู้มีภูมิธรรมสูงยิ่ง

    แต่แท้จริงแล้วหาใช่ไม่
    เป็นเพียงความคุ้นชินหรือกระด้างต่ออารมณ์เหล่านั้นเท่านั้นเอง
    เพราะจดจำอารมณ์เหล่านั้นได้

    โดยความเป็นจริงแล้ว ทุกครั้งที่กระทบอารมณ์เหล่านั้น
    ล้วนทำให้จิตใจหวั่นไหวไปตามอารมณ์เหล่านั้น
    แต่ด้วยความคุ้นชินหรือกระด้างต่ออารมณ์เหล่านั้น
    เพราะจดจำได้จึงเก็บงำได้อย่างรวดเร็ว

    โดยเปลี่ยนไปคิดถึงอารมณ์อื่นแทนที่
    เพื่อยับยั้งการแสดงออกตามอารมณ์เหล่านั้น

    เป็นสิ่งที่ดีในระดับหนึ่งในทางปฏิบัติและทางสังคม
    แต่เป็นการสะสมอารมณ์เหล่านั้นไว้ โดยที่ตัวเองก็ไม่รู้ตัวเลย

    เมื่อถึงคราวอันควรประจวบเหมาะ
    จะมีการแสดงออกต่ออารมณ์นั้นอย่างรุนแรงกว่าปรกติ สืบเนื่องจากมีการสะสมไว้นาน

    เมื่อได้พิจารณาอย่างถ่องแท้แล้ว
    ไม่ใช่เป็นปัญญาเกิดจากการปล่อยวางอารมณ์ได้
    แต่เป็นเพียงการเปลี่ยนอารมณ์หนึ่งไปสู่อารมณ์หนึ่งเท่านั้น

    เป็นการฝึกฝนจดจำอารมณ์ที่ไม่พึงปรารถนา
    เมื่อกระทบเข้าบ่อยๆ ย่อมจดจำๆได้อย่างแม่นยำ
    และมีการระมัดระวังในกายวาจาใจที่จะแสดงออก
    เพื่อให้ดูดีในสายตาประชุมชนหรือคนใกล้ชิดทั้งหลาย
    ไม่ใช่เป็นปัญญาจากการปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นออกไปได้

    ในส่วนนี้นั้น เรากล่าวได้ว่าเป็นเพียงปัญญาในทางโลก
    หรือที่เราท่านเรียกว่าเป็นมารยาทที่ดีน่าจดจำในสังคม
    ไม่ใช่เป็นการสร้างปัญญาในพระพุทธศาสนาเลย

    เพราะการสร้างปัญญาในทางพุทธศาสนานั้น
    เป็นปัญญาที่สามารถจะปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานขันธ์๕(อารมณ์)เท่านั้น


    ;aa24
     
  10. ธรรมภูต

    ธรรมภูต เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    3,621
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +2,192
    เราๆท่านๆต้องยอมรับว่าในวันหนึ่งๆนั้น
    มีเรื่องต้องใช้ความนึกคิดพิจารณาเกือบทางวัน
    บางครั้งบางอารมณ์ที่ไม่ชอบเอามากๆนั้น
    เราท่านพยายามที่จะสลัดออกสุดความสามารถ
    จนกระทั่งเหนื่อยหน่ายและปล่อยวางไปเอง
    แต่ไม่นานอารมณ์ที่ว่าก็ย้อนกลับมาให้คิดอีก จนกว่าจะเหนื่อยหน่ายอีก
    เป็นวัฏฏะจนอารมณ์จืดจางไปเอง แล้วย้อนกลับมาใหม่

    เมื่อเรามารู้จักพุทธศาสนาที่แท้จริง
    พระบรมศาสดาได้สอนให้รู้จักวิธีปล่อยวางอารมณ์
    โดยการเพ่งฌานในสัมมาสมาธิ

    มีกล่าวไว้ในพระสูตรมากมายหลายพระสูตร
    เช่น ในอาเนญชสัปปายสูตร

    ดูกรอานนท์ นั่นโคนไม้ นั่นเรือนว่าง เธอทั้งหลายจงเพ่งฌาน อย่าประมาท
    อย่าได้เป็นผู้เดือดร้อนในภายหลัง นี้เป็นคำพร่ำสอนของเราแก่พวกเธอ ฯ

    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ท่านพระอานนท์
    ชื่นชมยินดีพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล ฯ

    อีกพระสูตรชื่อว่า มหาจัตตารีสกสูตร กล่าวไว้อย่างชัดเจนเลยว่า

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงสัมมาสมาธิของพระอริยะ
    อันมีเหตุ มีองค์ประกอบแก่เธอทั้งหลาย

    พวกเธอจงฟังสัมมาสมาธินั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป
    ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่าชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า ฯ

    พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สัมมาสมาธิของพระอริยะ
    อันมีเหตุ มีองค์ประกอบ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ (ปัญญา)
    สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ (ศีล)
    สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ (เป็นสมาธิ) เป็นไฉน

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบแล้วด้วยองค์ ๗ เหล่านี้แล
    เรียกว่า สัมมาสมาธิของพระอริยะ อันมีเหตุบ้าง มีองค์ประกอบบ้าง ฯ


    เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง(อริยสัจจ์ ๔)
    ดังมีกล่าวในพุทธวจนะไว้ข้างต้น ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น

    เมื่อจิตเราท่านยังไม่สงบตั้งมั่นมีความฟุ้งกระจายเป็นปรกติ
    เมื่อกระทบอารมณ์เข้าไม่ยึดเป็นไม่มี
    เมื่อได้ฝึกฝนอบรมจิตให้ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวด้วยสัมมาสมาธิ จนกระทั่งเข้าสู่เจโตวิมุตติ
    ย่อมเข้าใจได้ดีว่า จิตที่ออกไปยึดอารมณ์ภายนอกไม่ทุกข์เป็นไม่มี
    จิตที่ส่งออกนอกนั้นเป็นเหตุแห่งทุกข์นั่นเอง

    เมื่อรู้เห็นเช่นนี้ย่อมน้อมจิตให้อยู่เฉพาะที่ฐานที่ตั้งของสติได้นั้นคือมรรค
    จิตย่อมไม่หวั่นไหวไปตามอารมณ์เหล่านั้นคือนิโรธ
    เมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมรู้เห็นตามความเป็นจริง(ปัญญาวิมุตติ)
    คือรู้จักอริยสัจจ์ ๔ ตามที่มีพุทธวจนะกล่าวรับรองไว้

    พอสรุปได้ว่า ปัญญาย่อมเกิดเพราะการประกอบเท่านั้น
    เมื่อไม่ประกอบย่อมไม่เกิดปัญญา
    การประกอบที่ว่านั้น คือการฝึกฝนอบรมสัมมาสมาธิ
    ที่ประกอบควบคู่ไปด้วยสัมมาสติ และสัมมาวายามะ จนชำนิชำนาญ
    เพียงแค่นึกน้อมจิตก็ตั้งมั่นไม่หวั่นไหวต่ออารมณ์ในทันที

    สติ สมาธิ ปัญญา เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นพร้อมเพรียงกัน
    เพราะเป็นอัญญะมัญญะปัจจัยซึ่งกันและกัน

    การมีปัญญาโดยที่ไม่ผ่านสติ สมาธิมานั้นย่อมเป็นไปไม่ได้ครับ


    ธรรมภูต
     

แชร์หน้านี้

Loading...