*เครื่องรางของขลัง/วัตถุมงคล...รายการละ 100 บ./พร้อมส่ง บูชา 3 รายการ แถม 1 รายการ...

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Pitiphat, 4 มิถุนายน 2018.

  1. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่616 พระผงเทวดาเทพพนม ฝังตะกรุด หลังพระปิดตา ไม่ทราบที่
    ***เทวดาพนมมือด้วยท่าทีที่มีความสง่างาม แต่งองค์ทรงเครื่อง เชื่อกันว่าการตั้งบูชาเทพพนมจะเหมือนมีทวยเทพเทวดาปกปักรักษา สถานที่นั้นๆ จะเห็นได้จาก นิยมใช้เทพพนม โดยมักเขียนไว้ในสถานที่สำคัญต่างๆ ได้แก่ ท้องพระโรงในพระบรมมหาราชวัง วัดวาอาราม มีจุดกำเนิดจากความคิดที่ว่า การที่คนเราคิดดีทำดีพูดดี พวกเทวดาจะแสดงอาการสาธุ ดังนั้นในที่ประชุมชนจึงนิยมเขียนลายเทพพนมขึ้นมา เพื่อให้เป็นการมาอยู่รวมกันของคนที่ดี
    IMG_20181202_171907.jpg IMG_20181202_171857.jpg
     
  2. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่617 หลวงปู่ทวด วัดพะโคะ สงขลา เนื้อว่านหลังยันต์ห้า ปี 2536 (อาจารย์นอง วัดทรายขาว อธิฐานจิตปลุกเสก)
    หลวงปู่ทวดเนื้อผงผสมว่าน หลังยันต์ห้า วัดพะโค๊ะ จ.สงขลา เนื้อสวยสมบูรณ์ พระดี พุทธคุณดี พิธีใหญ่ ครอบจักรวาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางด้านนิรันตรายเป็นเลิศครับ
    คุณMK2508 ปิดครับ
    IMG_20181202_173138.jpg IMG_20181202_173130.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2018
  3. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่618 พระเนื้อตะกั่วเก่า ไม่ทราบที่
    IMG_20181202_171949.jpg IMG_20181202_171941.jpg
     
  4. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่619 พระสมเด็จข้าวสารหิน ไม่ทราบที่
    ข้าวสารหิน ความเชื่อเป็นของวิเศษ กายสิทธิ์ มีอานุภาพในเรื่องโชคลาภ เสน่ห์เมตตามหานิยม แคล้วคลาด ปลอดภัยจากภัยนานาประการ ไม่มีสิ่งใดๆมาทำร้ายคุณวิเศษต่างๆได้ เรียกได้ว่าของ ทนศักดิ์ มีเทพารักษ์คอยรักษาอยู่ บางคนมีความเชื่อและนับถือด้วยว่าเป็นพระธาตุ เรียกว่า พระธาตุข้าวสารหิน เป็นของอาถรรพ์ของขลังหายากที่เกิดจากธรรมชาติมีดีในตัวเอง

    ข้าวสารหินหรือข้าวสารคนธรรพ์เป็นของดีวิเศษ, กายสิทธิ์ มีอานุภาพในเรื่องของโชคลาภ โภคทรัพย์ เป็นเสน่ห์เมตตามหานิยม แคล้วคลาด ปลอดภัยจากอันตรายต่างๆ เรียกได้ว่าของทนสิทธิ์ ซึ่งมีเทพเทวา, คนธรรพ์ คอยรักษาอยู่ บางคนมีความเชื่อและนับถือว่าเป็นพระธาตุ เรียกว่าพระธาตุข้าวสารหิน

    ตามตำนานเชื่อกันว่า เป็นข้าวสารที่พระพุทธองค์ฉันเสร็จแล้วทำการอธิษฐานเพื่อให้เป็นของมงคลในแผ่นดิน พระคณาจารย์ในสมัยโบราณกล่าวไว้ว่า เกิดจากฤทธิ์อำนาจของพระแม่ธรณี บางเกจิอาจารย์กล่าวไว้ในคัมภีร์ต่างๆ ว่าเป็นข้าวอธิษฐานของฤาษี สามารถนำมาอาราธนาแช่ทำน้ำพุทธมนต์ได้ อธิษฐานขอสิ่งใดก็สมความปรารถนาทุกประการ

    บางตำนานเก่าแก่ยังกล่าวไว้อีกว่า ข้าวสารหินเป็นของวิเศษสุด มีฤทธิ์ตามธรรมชาติ ผู้วิเศษผู้มีฤทธิ์กำหนดเสกขึ้นมาทั้งสิ้น และยังมีความเชื่อกันอีกว่า พระแม่ธรณีท่านอธิษฐานไว้ให้ข้าวสารหินเป็นของดี ไม่เน่าเปื่อย คงทนถาวร

    ข้าวสารหินเป็นสิ่งที่มีพลังอำนาจจากจักรวาลซึมแทรกอยู่ เป็นที่รวมพลังของ ดิน น้ำ ลม ไฟ จึงเกิดเป็นพลังเร้นลับ มีอำนาจบันดาลให้ผู้ที่มีไว้ครอบครองจะอยู่ดีกินดี รวมทั้งปกป้องผองภัยอันตรายต่างๆ ด้วย

    ผู้ใดมีข้าวสารหินศักดิ์สิทธิ์ จะมีเงินไม่ขาด ผู้ใดค้าขายให้ตักน้ำฝนมา 1 แก้ว แล้วเอาข้าวสารหินศักดิ์สิทธิ์แช่ลงไปแล้วอธิษฐาน เมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วก็นำไปประพรมสินค้า จะขายดี เป็นเมตตามหานิยมแก่ชาย หญิง และเทวดาทั้งหลาย แม้แต่สัตว์ต่างๆ ก็ไม่กล้ารบกวน หรือจะอธิษฐานรักษาโรค แช่น้ำแล้วนำน้ำมาดื่ม สุดแท้แต่จะอธิษฐานจิต


    คาถาบูชาข้าวสารหิน
    (ตั้งนะโม 3 จบ)

    พละวะโภชะนัง อุตตะมะลาภัง มัยหังสัพพสิทธิตัง โหตุ

    ด้วยบารมีของพระแม่โพสพ ที่เลี้ยงดูมนุษย์มาตั้งแต่เล็กจนโต มนุษย์คนไหนกินข้าว ขอให้มาช่วยกันทั้งหมด โอม.. มนุษย์ฉุดกันมา มามิ มามา มาด้วย นะโมพุทธายะ

    คุณMK2508 ปิดครับ
    IMG_20181202_173019.jpg IMG_20181202_173009.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2018
  5. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่620 พระสังกัจจายน์ หลังยันต์ เนื้อผงพุทธคุณ ไม่ทราบที่
    พระสังกัจจายน์ พระแห่งโชคลาภ "โชคลาภ" เป็นสิ่งปรารถนาของคนทุกชาติทุกศาสนา และที่เหมือนกัน คือ ทุกศาสนาและทุกชนชาติต่างก็มีองค์เทพเป็นที่พึ่ง
    เช่น ชาวจีนจะนับถือ เทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ยหรือ
    เทพเจ้าแห่งโชคลาภ นับเป็นเทพเจ้าองค์แรกที่ชาวจีนต้องเซ่นไหว้ก่อนเทพองค์อื่นๆ เป็นเทพเจ้าที่มีพลานุภาพให้โชคลาภ ความมั่งคั่งร่ำรวยแก่ผู้เซ่นไหว้ ไฉ่ซิงเอี๊ยเป็นเทพชั้นสูง ให้คุณทางด้านอำนวยโชคลาภ ความมั่งคั่งทรัพย์สินเงินทอง ชาวจีนจึงยกย่องให้ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ หรือเทพเจ้าแห่งเงินตรานิยมไหว้ช่วงวันตรุษจีน

    นอกจากนี้แล้วชาวจีนยังเชื่อว่า การขอพรให้ท่านช่วยคุ้มครองลูกหลานผู้ไปอยู่ต่างถิ่นแดนไกลให้มีความสำเร็จในเรื่องของการศึกษา ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ไฉ่ซิงเอี๊ย เป็นเทพเจ้าที่รวมความศักดิ์สิทธิ์และอานุภาพหลายประการไว้ในองค์ท่านเอง

    แต่ถ้าเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภของชาวญี่ปุ่นแล้วมีมากถึง ๗ องค์รวมเรียก "ชิจิฟุกุยิน" ในจำนวนนี้มีเทพองค์หนึ่งที่เด่นกว่าองค์อื่นๆ คือ "องค์ไดโกกุ"เป็นเทพแห่งความมั่งคั่งการเพาะปลูก และเทพคุ้มครองข้าวของเครื่องใช้ในบ้าน โดยเฉพาะในห้องครัว มักเห็นท่านถือช้อนเงินและถือถุงข้าวสารพร้อมใบหน้าอันยิ้มแย้มแจ่มใส ในบางครั้งจะพบหนูตัวเล็กๆ อยู่ข้างๆ ท่านด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ ตามร้านขายของมักนำท่านมาประดับเพื่อเป็นสิริมงคล

    สำหรับองค์เทพแห่งยุคที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดีคือ "จตุคามรามเทพ" โดยมีคำพูดตามมาที่ว่า"มึงมีกูไว้ไม่จน" และ"ขอได้ไหว้รับ" แม้ว่าจะเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาอยู่บ้างบางส่วน ซึ่งไม่ชัดเจน แต่ที่มีประวัติเกี่ยวข้องกับพุทธศาสนาอย่างชัดเจนและขึ้นชื่อว่าเป็นเทพเจ้าแห่งโชคลาภ คือ พระสังกัจจายน์ ซึ่งเป็นพระอรหันต์สาวกองค์หนึ่งของพระพุทธเจ้านั่นเอง

    พระสังกัจจายน์ มีพุทธลักษณะอ้วน พุงพลุ้ย มีความหมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ โชคลาภ เป็นหนึ่งในพระสาวกผู้ใหญ่ จัดอยู่ในเอตทัคคะ ลักษณะของ พระสังกัจจายน์ โดดเด่นมองเห็นก็รู้ว่า เป็นพุทธสาวกองค์ไหน เมื่อสรุปแล้วจะเห็นว่า พุทธสาวกจำนวน ๘๐ องค์ พระเอตทัคคะ ๔๑ องค์นั้น มีเพียง พระสังกัจจายน์ เท่านั้นที่สร้างอย่างโดดเด่น คติการสร้างพระสังกัจจายน์นิยมการสร้างมาก พระสังกัจจายน์จีน แบบมหายาน หินยาน โดยเฉพาะแบบจีน พระสังกัจจายน์จีนนิยมสร้างมากกว่าในเมืองไทย มีวัดจีนหลายวัดที่สร้างพระสังกัจจายน์ใหญ่ เป็นเนื้อโลหะ เครื่องเคลือบ สมัยเช็งเตาปังโคย กังไส ก็เคยพบพระสังกัจจายน์ในจำนวนมาก พระอรหันต์ทั้ง ๑๘ องค์ รวมพระสังกัจจายน์ไว้ด้วยอีกหนึ่งองค์ โดยมีคติความเชื่อที่ว่า "ผู้ใดบูชาพระสังกัจจายน์ ย่อมเป็นมหามงคลอุดมด้วย ลาภ ยศ ความเจริญรุ่งเรืองดีนักแล"

    มี 2 องค์ บูชาองค์ละ 150 บาท
    องค์ที่1 IMG_20181202_171734.jpg IMG_20181202_171723.jpg
    องค์ที่2 IMG_20181202_171713.jpg IMG_20181202_171704.jpg
     
  6. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่621 พระผงไพรีพินาศ ญสส.88 วัดบวรนิเวศวิหาร ปี44 (โดยคณาจารย์ทั่วประเทศ) กล่องเดิม
    ประวัติความเป็นมาของพระไพรีพินาศ ในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงผนวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งในขณะนั้นพระองค์ทรงมีศัตรูคิดปองร้ายมาก ได้มีผู้นำพระพุทธรูปองค์หนึ่งมาถวายให้ท่าน หลังจากนั้นก็เกิดอภินิหารย์ขึ้น โดยศัตรูที่คิดปองร้ายพระองค์ต่างมีอันเป็นไปทุกคน พระองค์จึงได้ให้พระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า "พระไพรีพินาศ" โดยพระองค์ทรงเขียนกระดาษใส่ไว้ใต้ฐานพระพุทธรูปโดยหลักฐานดังกล่าวค้นพบเมื่อวันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2507 ระหว่างซ่อมแซมพระเจดีย์ 96 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร ปัจจุบันพระพุทธรูปองค์นี้ประดิษฐานอยู่ ณ เก๋งบนชั้นสองของพระเจดีย์ใหญ่วัดบวรนิเวศวิหาร กทม.
    มี 2 องค์ บูชาองค์ละ 150 บาท
    1..............2
    IMG_20181203_215731.jpg IMG_20181203_215718.jpg IMG_20181203_220206.jpg
     
  7. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่622 พระผงไพรีพินาศ ญสส.90 วัดบวรนิเวศวิหาร กล่องเดิม
    ประวัติความเป็นมาของพระไพรีพินาศ ในสมัยที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงผนวชอยู่ที่วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งในขณะนั้นพระองค์ทรงมีศัตรูคิดปองร้ายมาก ได้มีผู้นำพระพุทธรูปองค์หนึ่งมาถวายให้ท่าน หลังจากนั้นก็เกิดอภินิหารย์ขึ้น โดยศัตรูที่คิดปองร้ายพระองค์ต่างมีอันเป็นไปทุกคน พระองค์จึงได้ให้พระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า "พระไพรีพินาศ" โดยพระองค์ทรงเขียนกระดาษใส่ไว้ใต้ฐานพระพุทธรูปโดยหลักฐานดังกล่าวค้นพบเมื่อวันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2507 ระหว่างซ่อมแซมพระเจดีย์ 96 ปี วัดบวรนิเวศวิหาร ปัจจุบันพระพุทธรูปองค์นี้ประดิษฐานอยู่ ณ เก๋งบนชั้นสองของพระเจดีย์ใหญ่วัดบวรนิเวศวิหาร กทม.

    พระไพรีพินาศ ญสส.90 สร้างปี พ.ศ.2546 วัดบวรนิเวศวิหาร กทม. เนื่องในวโรกาสครบรอบ 90 พรรษา สมเด็จพระญานสังวรสมเด็จพระสังฆราชฯ พระดีมีคุณค่าราคาเบา ๆ น่าบูชาสะสมเพื่อความเป็นศิริมงคลเป็นอย่างยิ่งครับ
    IMG_20181203_215755.jpg IMG_20181203_215745.jpg IMG_20181203_220152.jpg
     
  8. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่623 ล็อคเก็ตจิ๋ว หลวงปู่แหวน หลังเทียนชัย ตะกรุด + เหรียญหลวงปู่แหวน เนื้อทองแดง
    แหวน สุจิณโณ
    หลวง ปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง หรือที่รู้จักกันในนาม "พระอริยสงฆ์ผู้เปี่ยมล้นด้วยเมตตาธรรม" มีนามเดิมว่า "ญาณ" โยมบิดาชื่อ นายใส โยมมารดาชื่อ นางแก้ว อาชีพทำนาและตีเหล็ก เกิดเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2430 ตรงกับวันจันทร์ ขึ้น 3 ค่ำ เดือนยี่ ปีกุน ณ บ้านหนองบอน หมู่ 2 ตำบลนาโป่ง อำเภอเมือง จังหวัดเลย มีพี่น้อง 2 คน ท่านเป็นคนที่ 2
    ท่านออก บรรพชาเป็นสามเณรตั้งแต่อายุได้ 13 ปี โดยมีจิตมุ่งมั่นจะอยู่ในสมณเพศ ตามแนวความคิดของมารดาเมื่อครั้งยังมีชีวิต เมื่อออกบรรพชาเป็นสามเณรนั้นได้บวชในฝ่ายมหานิกาย โดยมีพระอาจารย์คำมา เป็นพระอุปัชฌาย์ และได้เปลี่ยนชื่อเป็น "แหวน" สามเณรแหวนสนใจปฏิบัติธรรมและเรียนรู้ในตำราต่างๆ เป็นอย่างยิ่ง แม้ด้วยวัยเพียง 13 ปี ท่านก็สามารถอ่านตำราในใบลานได้ทั้งภาษาขอม และภาษาล้านนาจนแตกฉาน ในด้านความประพฤติตนของสามเณรแหวนนี้เป็นที่น่าเลื่อมใสและก่อศรัทธาแก่ผู้ พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง เพราะท่านขยันเจริญสมาธิ ฉันอาหารเพียงมื้อเดียว และไม่เสพเนื้อสัตว์ บุคลิกลักษณะสุขุม พูดน้อย ดูเคร่งขรึมสมกับการครองเพศสมณะ

    อาจารย์อ้วน ผู้มีศักดิ์เป็นอาของสามเณรแหวน ได้พิจารณาส่งเสริมความตั้งใจศึกษาของหลานเป็นอย่างดี ได้นำไปฝากเรียนธรรมและวิชาการอื่นๆ ที่สำนักสงฆ์วัดนาสัก อำเภอวังสะพุง จังหวัดเลย และได้ไปเรียนต่อ ณ สำนักสงฆ์วัดสร้างถ่อ อำเภอหัวสะพาน จังหวัดอุบลราชธานี ณ วัดนี้ ได้มีพระอาจารย์สิงห์ ขันตยาคโม เป็นผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ทางภาษาบาลี ภาษาไทย ทำให้ได้เข้าใจและรู้แจ้งในธรรมะขึ้นอีก ความใฝ่รู้ของท่านทำให้รู้และเริ่มเชี่ยวชาญในทางไสยศาสตร์ประกอบไปด้วย

    เมื่อ อายุครบบวช ได้อุปสมบทที่วัดสร้างถ่อนอก (ห่างจากวัดสร้างถ่อเล็กน้อย) บวชในฝ่ายมหานิกายเช่นเดิม ได้ศึกษาธรรมวินัย ธรรมปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นผู้รอบรู้ทั้งปริยัติธรรมตลอดจนถึงวิชาอาคมอย่างกว้างขวาง จากความที่ท่านเป็นผู้ชอบแสวงและใฝ่หาความรู้นั้นเอง จึงเกิดความคิดที่จะออกเสาะหาอาจารย์ผู้ที่จะประสิทธิ์ความรู้ให้แก่ท่านต่อ ไปอีก จึงได้ออกเดินทางธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ ขณะที่หลวงปู่แหวน สุจิณโณ เริ่มออกธุดงค์เพื่อแสวงหาโมขธรรมนั้นอายุได้ประมาณ 30 ปี บ่อยครั้งจากการธุดงค์ได้พบสหายธรรมจากที่ต่างๆ บ้างก็เป็นพระสงฆ์ในแนวมหานิกายด้วยกัน บ้างก็เป็นสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย แต่ก็มีความผูกพันช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตลอดกระทั่งมีการแลกเปลี่ยนความรู้และข้อคิดต่างๆ แก่กันเสมอ ผู้ที่หลวงปู่แหวน สุจิณโณ สนิทสนมด้วยเป็นพิเศษ และได้คบหากันต่อมาก็คือ หลวงปู่ตื้อ อาจลธรรมโม ซึ่งเป็นผู้ชักนำให้ไปพบพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ซึ่งกำลังเป็นผู้ที่ถูกกล่าวถึงว่าปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ และกำลังออกสั่งสอนธรรมปฏิบัติอยู่ทางภาคอีสานขณะนั้น หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ได้พบและฟังธรรมจากพระอาจารย์มั่น บังเกิดความซาบซึ้ง และทราบว่าเป็นทางแห่งการแสวงหาธรรมตามที่ประสงค์

    หลังจากหลวงปู่ แหวนได้พบพระอาจารย์มั่น และได้เดินทางธุดงค์ไปกับหลวงปู่ตื้อ โดยเดินทางไปจากภาคอีสานไปสู่ประเทศลาว เขมร เวียดนาม พม่า จนกระทั่งทะลุผ่านกลับสู่ประเทศไทย ทางจังหวัดแม่ฮ่องสอน แล้วกลับมาสู่อีสานแล้ว ต่อมาอีกไม่นาน (ประมาณอายุ 33 ปี) หลวงปู่แหวนได้ติดตามท่านเจ้าคุณพระอุมาลีคุณปมาจารย์ (จันทร์ สิริจันโท) เจ้าอาวาสวัดบรมนิวาส ไปจำพรรษา ณ วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ครั้งนี้หลวงปู่แหวนได้พบพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต อีกครั้ง พร้อมทั้งได้ขอรับเป็นพระสงฆ์ในฝ่ายธรรมยุติกนิกาย โดยมีท่านเจ้าคุณพระอุมาลีคุณปมาจารย์เป็นพระอุปัชฌาย์

    นับแต่นั้น หลวงปู่แหวนก็ได้ออกธุดงคกรรมฐานหาความวิเวกตามป่าเขาลำเนาไพรแถบภาคเหนือ ตลอดมา จวบจนได้พบวัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่ และได้ทำการพัฒนาจนเจริญรุ่งเรือง จนเป็นที่รู้จักแก่คนทั่วไปถึงทุกวันนี้

    ปี พ.ศ.2489 หลวงปู่แหวนจำพรรษาที่วัดป่าบ้านปง อ.แม่แตง ในพรรษานั้นท่านอาพาธเป็นแผลที่ขาอักเสบต้องผ่าตัด โดยมีพระอาจารย์หนู สุจิตโต ซึ่งเดินทางมาจากดอยแม่ปั๋งพยาบาลอยู่ใกล้ๆ เมื่อครบ 7 วัน ต้องกลับไปดอยแม่ปั๋ง เพราะอยู่ระหว่างพรรษา จนกระทั่งเดือนเมษายนในปีต่อมา อาการอาพาธจึงดีขึ้น แต่ก็ยังไม่หายสนิทยังเดินไปไหนไกลๆ ไม่ได้

    นับ แต่นั้นมาอาจารย์หนูได้พยาบาลอยู่ใกล้ๆ เพื่อดูแลหลวงปู่แหวน ต่อมาท่านอาจารย์หนูได้ดำริว่า ปัจจุบันหลวงปู่มีอายุมากแล้ว ไม่มีพระภิกษุสามเณรอยู่ด้วยเพื่อเป็นอุปัฏฐาก ถ้านิมนต์มาอยู่ที่ดอยแม่ปั๋งก็จะได้ถวายการดูแลได้โดยง่ายไม่ต้องไปๆ มาๆ อยู่อย่างนี้ แต่ก็ต้องเป็นเพียงความคิดของพระอาจารย์หนูเท่านั้น เพราะในเวลาดังกล่าว ดอยแม่ปั๋งยังไม่มีอะไรพร้อมแม้แต่กุฏิก็ยังไม่มี

    ปี พ.ศ.2505 ขณะที่หลวงปู่แหวนมีอายุ 75 ปี คืนวันหนึ่งท่านอาจารย์หนูนั่งภาวนาอยู่เกิดเป็นเสียงหลวงปู่แหวนดังขึ้นมา ที่หูว่า จะมาอยู่ด้วยคนนะ หลังจากวันที่ได้ยินเสียงหลวงปู่แหวนอีกสามวัน พระอาจารย์หนูได้ถูกนิมนต์ไปที่วัดบ้านปงสถานที่ที่หลวงปู่อยู่ และถือโอกาสนิมนต์หลวงปู่แหวนมาที่วัดดอยแม่ปั๋งด้วย

    เมื่อหลวงปู่ แหวนได้มาอยู่ที่วัดดอยแม่ปั๋งแล้ว ครั้งแรกท่านพักอยู่ที่กุฏิหลังเล็กๆ หลังหนึ่ง การมาอยู่ที่วัดดอยแม่ปั๋งนี้ ท่านได้มีข้อตกลงกับพระอาจารย์หนูว่า หน้าที่ต่างๆ และกิจทุกอย่างที่มีขึ้นในวัด ให้ตกเป็นภาระของพระอาจารย์หนูแต่เพียงผู้เดียว

    ส่วนท่านจะอยู่ใน ฐานะพระผู้เฒ่าผู้ปฏิบัติธรรมจะไม่มีภาระใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากนั้น หลวงปู่แหวน จะไม่รับนิมนต์โดยเด็ดขาด แม้ที่สุดถึงจะเกิดอาพาธหนักเพียงใดก็ตาม ท่านไม่ยอมนอนรักษาที่โรงพยาบาล ถึงธาตุขันธ์จะทรงอยู่ต่อไปไม่ได้ก็จะให้สิ้นไปในป่าอันเป็นที่อยู่ ตามอริยโคตรอริยวงศ์ ซึ่งบูรพาจารย์ท่านเคยปฏิบัติมาแล้วในกาลก่อน

    นับตั้งแต่หลวงปู่แหวนได้ขึ้นไปทางเหนือ ท่านไม่เคยไปจำพรรษาที่ภาคอื่นเลย เพราะอากาศทางภาคเหนือสัปปายะ สำหรับท่าน

    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋งได้มรณภาพลงที่วัดดอยแม่ปั๋งแห่งนี้ เมื่อวันที่ 2 ก.ค. 2528 สิริอายุ 98 ปี

    IMG_20180121_212932.jpg IMG_20180121_212914.jpg IMG_20180121_212840.jpg IMG_20180121_212822.jpg
     
  9. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่624 พระปิดตา เนื้อผง ไม่ทราบที่
    IMG_20180122_215535.jpg IMG_20180122_215524.jpg
     
  10. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่625 เหรียญรูปไข่เล็ก หลวงปู่แหวน ปี21
    คุณMK2508 ปิดครับ
    IMG_20180128_222348.jpg IMG_20180128_222327.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2018
  11. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่626 สีผึ้ง + พระปางลีลา เนื้อดิน ไม่ทราบที่
    IMG_20180201_205533.jpg IMG_20180201_205633.jpg
     
  12. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่627 รูปภาพพระครูวรกิจจาภิรัต(หลวงพ่อส่วน) วัดป่าไก่ ขนาด 1 นิ้ว หลังติดจีวร +ตะกรุดไม้ไผ่+จีวร
    IMG_20180129_213557.jpg IMG_20180129_213545.jpg IMG_20180129_213608.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2018
  13. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่628 เหรียญเสมาพระครูโพธิเกษตรโสภณ (หลวงพ่อโหมด) วัดโพธิ์เกษตร จ.ลพบุรี เนื้อฝาบาตรรุ่นแรก
    IMG_20180131_202850.jpg IMG_20180131_202830.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2018
  14. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่629 พระผงหลวงพ่อสัมฤทธิ์ วัดไผ่เงินโชตนาราม ฉลอง กรุงเทพ ๒๐๐ ปี ปี ๒๕๒๕ กล่องเดิม
    หลวงพ่อสัมฤทธิ์ เป็น พระพุทธรูปปางมารวิชัย วัสดุสำริด ลง รักปิดทอง หน้าตักกว้าง 2.2 เมตร ศิลปะสมัยสุโขทัย เดิมประดิษฐานอยู่ที่วัดพระยาไกร เช่นเดียวกับพระสุโขทัยไตรมิตร
    หลวงพ่อสัมฤทธิ์ประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถ ส่วนพระสุโขทัยไตรมิตร ประดิษฐานอยู่ในพระวิหาร เชื่อกันว่าเป็นพระพุทธรูปที่อัญเชิญมาจากสุโขทัยทั้งสององค์
    หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์ หัวหน้ากองพิพิธภัณฑ์และโบราณวัตถุ กระทรวงธรรมการในขณะนั้น ได้ทำการสืบประวัติหลวงพ่อสัมฤทธิ์ ทราบแต่เพียงว่าเป็นพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยตอนปลายต่ออยุธยา

    ในสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 พระยาโชฏิกราช (เจ้าสัวบุญมา) ข้าหลวงเดิมของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นผู้ปฏิสังขรณ์วัดพระยาไกร เสร็จแล้วจึงน้อมฯ ถวายเป็นพระอารามหลวง สถาปนาขึ้นเป็นพระอารามหลวงนามว่า "วัดโชตนาราม" ได้อัญเชิญหลวงพ่อสัมฤทธิ์ มาประดิษฐานไว้ในอุโบสถ

    ต่อมาเมื่อพุทธศักราช 2482 บ้านเมืองในตอนนั้นได้มีการเวนคืนที่ดินบริเวณคลองเตย เพื่อสร้างท่าเรือคลองเตย ในการนั้น มีวัดที่จะต้องถูกรื้อถอนยุบไปหลายวัด หนึ่งในนั้นคือวัดเงินที่ต้องถูกรื้อถอน โดยทางการได้ให้วัดเงินกับวัดไผ่ล้อมเดิม มารวมกันเป็นวัดไผ่เงินโชตนาราม ท่านพระมงคลสุธีได้รับแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอา วาสในพุทธศักราช 2483 ประจวบกับมีเหตุการณ์ที่กรมการศาสนามีนโยบายแจกจ่ายพระพุทธรูปที่ตกค้างอยู่ ที่วัดพระยาไกร ซึ่งเป็นวัดร้างอยู่เป็นพุทธบรรณาการ

    เมื่อสมเด็จพระวันรัตน์ (เฮง เขมจารี) อดีตเจ้าคณะแขวงล่างและสมเด็จพระวันรัตน์ องค์สังฆนายก มีเถระบัญชาให้คณะกรรมการวัดสามจีนไปอัญเชิญพระพุทธปฏิมาปูนปั้นที่วัดไผ่ เงินโชตนาราม (พระยาไกร) ซึ่งขณะนั้นเป็นวัดร้าง มีพระพุทธปฏิมาปูนปั้นสององค์ ซึ่งประดิษฐานอยู่ในพระอุโบสถองค์หนึ่งและอยู่ในพระวิหารอีกองค์หนึ่ง เชื่อกันว่าเป็นพระพุทธปฏิมาที่อัญเชิญมาจากอยุธยาทั้งสององค์

    พระมงคลสุธี (สี ยโสธโร) เจ้าอาวาสวัดไผ่เงินโชตนาราม กรุงเทพฯ ได้อัญเชิญพระพุทธปฏิมาในพระอุโบสถมาประดิษฐานที่วัดไผ่เงินโชตนาราม


    พระมงคลสุธี ได้เลือกองค์ "หลวงพ่อสัมฤทธิ์"ด้วยเหตุผลที่ว่า ไม่ชำรุด ขณะที่องค์พระพุทธปฏิมาหลวงพ่อสุโขทัยไตรมิตรที่ถูกปูนหุ้มอยู่มีรอยร้าวจาก ไหล่ถึงเอวไปถึงรากฐานเป็นร่องเล็กๆ มองเห็นเนื้อสัมฤทธิ์สีเขียวๆ ที่ยังประดิษฐานอยู่

    เมื่อพระพุทธปฏิมาหลวงพ่อสัมฤทธิ์ได้มา ประดิษฐานที่วัดไผ่เงินโชตนารามแล้ว กองพิพิธภัณฑ์และโบราณวัตถุ กระทรวงธรรมการได้สืบประวัติของพระพุทธรูปองค์นี้ ทราบเพียงแต่ว่าเป็นพระพุทธรูปศิลปะสมัยสุโขทัยตอนปลายต่อสมัยอยุธยาและได้ ขนานนามให้ว่า "หลวงพ่อสัมฤทธิ์" ด้วยเป็นพระพุทธปฏิมาที่หล่อด้วยสำริดและเป็นสำริดแก่เงินจัด ปางมารวิชัย มีขนาดหน้าตักกว้าง 4 ศอกเศษ

    มีการปิดทองหลวงพ่อสัมฤทธิ์ทั้งองค์ อีกครั้งในช่วงฉลองกรุงรัตนโกสินทร์สองร้อยปี พ.ศ.2525 หลวงพ่อสัมฤทธิ์เป็นที่เคารพกราบไหว้ของประชาชนในย่านนั้น เจ้าอาวาสกล่าวว่า ท่านสามารถสร้างวัดไผ่เงินฯ ขึ้นมาได้ก็ด้วยบารมีของหลวงพ่อสัมฤทธิ์

    ด้วยเหตุนี้จึงประดิษฐาน หลวงพ่อสัมฤทธิ์ วัดไผ่เงินโชตนาราม ไว้ในพระวิหารแทนที่จะเป็นพระอุโบสถ เพื่อสะดวกแก่ประชาชนที่ต้องการเข้ามากราบไหว้บูชา

    คุณMK2508 ปิดครับ
    IMG_20181205_075502.jpg IMG_20181205_075447.jpg IMG_20181205_075619.jpg watphaingoen-about.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2018
  15. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่630 พระผงพระสิวลี วัดดอนชะเอม ต.ดอนชะเอม อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ฝังนิล
    ***พระสีวลี"เนื้อนิล"พระอรหันต์เรียกลาภ วัดดอนชะเอม
    วัดดอนชะเอม ตั้งอยู่หมู่ ๒ ต.ดอนชะเอม อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี สังกัดมหานิกาย ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๖ ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา พ.ศ.๒๔๗๒ เขตวิสุงคามสีมากว้าง ๑๖ เมตร ยาว ๒๘ เมตร ปูชนีวัตถุมีพระประธานประจำอุโบสถ การศึกษามีโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรมเปิดสอน ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๗๐ปัจจุบันมี พระครูสังฆรักษ์สมศักดิ์ สิริมงฺคโล เป็นเจ้าอาวาส

    สำหรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของวัดดอนชะเอมอันโดดเด่น คือ พระสิวลีติดนิลองค์ใหญ่ สูง ๙.๐๐ เมตร ซึ่งน่าจะเป็นองค์ใหญ่ที่สุดในโลก พระสีวลีนี้เป็นพระอรหันต์ผู้มีลาภมากพุทธศาสนิกชนมีความเชื่อว่า ผู้ใดบูชาพระสีวลีแล้วจะทำให้เกิดโชคลาภและความร่ำรวย

    พระครูสังฆรักษ์สมศักดิ์ บอกว่า พระสีวลีเถระ เป็นพระมหาเถระที่มีประวัติค่อนข้างแปลกไปกว่าพระมหาเถระองค์อื่นๆ ท่านต้องอยู่ในครรภ์พระมารดาอยู่ถึง ๗ ปี กับอีก ๗ วัน ด้วยอำนาจบุรพกรรมตามมาส่งผล และพระพุทธองค์ทรงยกย่องให้เป็นตำแหน่งเอตทัคคะในบรรดาภิกษุผู้เลิศด้วยลาภ และเลิศด้วยยศทั้งหลาย ในศาสนาของพระองค์ แม้พระมารดาคือ พระนางสุปฺปวาสา ผู้เป็นราชบุตรีของเจ้าโกลิยะ ก็ทรงเป็นเอตทัคคะผู้กว่าพระสาวิกาทั้งหลายผู้ถวายสิ่งของอันประณีต การที่พระพุทธองค์ได้ทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะดังกล่าว ก็เป็นไปตามควาปรารถนาของท่านมาแต่ในอดีต

    เมื่อท่านอุปสมบทแล้วปรากฏว่าท่านเป็นพุทธสาวกที่มีลาภสักการะมากมาย ด้วยอำนาจ บุญบารมีของท่านที่สั่งสมมา ลาภสักการะเหล่านี้ได้เผื่อแผ่ไปยังพระสงฆ์สาวกท่านอื่นๆ ด้วย แม้พระบรมศาสดาเมื่อทรงพาหมู่ภิกษุสงฆ์เสด็จทางไกลกันดาร ถ้ามี พระสีวลี ร่วมเดินทางไป ด้วย ความขาดแคลนอาหารและที่พักอาศัยในระหว่างทางก็จะไม่เกิดขึ้นแก่หมู่ภิกษุสงฆ์เลย เช่น....พระพุทธองค์และหมู่ภิกษุอาศัยบุญพระสีวลี

    สมัยหนึ่ง พระบรมศาสดาเสด็จพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ จำนวน ๕๐๐ รูป ไปเยี่ยมพระเรวตะ ผู้เป็นน้องชายของพระสารีบุตรเถระ ซึ่งจำพรรษาอยู่ ณ ป่าไม้ตะเคียน เมื่อเสด็จมาถึงทาง ๒ แพร่ง พระอานนท์เถระได้กราบทูลสภาพหนทางว่า

    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าเสด็จไปทางอ้อม ระยะทางไกล ๖๐ โยชน์ มีประชาชนอยู่ อาศัยมาก พระภิกษุไม่ลำบากด้วยภิกขาจาร แต่ถ้าเสด็จไปทางลัดระยะทางประมาณ ๓๐ โยชน์ ไม่มีประชาชนอยู่อาศัย มีสภาพเป็นป่าใหญ่ มีแต่อมนุษย์อยู่อาศัย พระภิกษุสงฆ์จะลำบากด้วยภิกขาจาร”

    พระพุทธองค์ ตรัสถามว่า “ดูก่อนอานนท์ พระสีวลีมากับเราด้วยหรือไม่?”

    พระอานนท์เถระ ตอบว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระสีวลีมากับเราด้วย พระเจ้าข้า”

    พระพุทธองค์ ตรัสว่า “ดูก่อนอานนท์ ถ้าอย่างนั้นก็จงไปทางลัด ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องกังวลด้วยอาหาร บิณฑบาต เพราะเทวดาทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ในป่าระหว่างทาง จะจัดสถานที่พักและอาหารบิณฑบาตไว้ถวายพระสีวลีผู้เป็นที่เคารพนับถือของพวกตน เราทั้งหลายก็จะได้อาศัยบุญของ พระสีวลี นั้นด้วย”

    พระสีวลีได้รับยกย่องในทางผู้มีลาภมาก ด้วยอำนาจบุญที่ท่านพระสีวลี ได้บำเพ็ญสั่งสมอบรมมาตั้งแต่อดีตชาติ เป็นปัจจัยส่งผล ให้ท่านเจริญด้วยลาภสักการะ โดยมีเทพยดา นาค ครุฑ และมนุษย์ทั้งหลาย นำมาถวายโดยมิขาดตกบกพร่อง ไม่ว่าท่านจะอยู่ในที่ใด ๆ

    ด้วยเหตุนี้พระพุทธองค์ จึงทรงประกาศให้ปรากฏในหมู่พุทธบริษัทตรัสยกย่องท่านใน ตำแหน่ง เอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายในทาง ผู้มีลาภมาก นับว่าท่านพระสีวลีเถระเป็นพระมหาสาวกอีกรูปหนึ่งที่ได้ช่วยกิจการ พระศาสนา แบ่งเบาภาระของพระบรมศาสดาเป็นอย่างมาก ท่านดำรงอายุสังขารโดยสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ ดับขันธปรินิพพาน

    สำหรับงานบุญของวัดนั้น ระหว่างวันที่ ๒๑ -๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๔ จะเป็นงานปริวาสกรรม ซึ่งทางวัดจัดขึ้นทุกๆ ปี ทั้งนี้ จะมีพระมามาร่วมงานประมาณ ๑,๐๐๐ รูป และในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๔ ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่า ทางวัดจัดให้มีพิธีเททองหล่อหลวงพ่อโต ขนาดหน้าตัก ๕ เมตร ๙๐ เซ็นติเมตร หรือ ๒๑๒ นิ้ว เพื่อเป็นพระประธานในอุโบสถหลังใหม่ ผู้จะเดินทางไปกราบไหว้ขอพรพระสีวลีติดสอบถามโทร.๐-๓๔๖๙-๕๗๐๑ และ ๐๘-๗๑๕๕-๘๑๔๑

    พุทธคุณแห่งคาถาพระสิววลี

    มีคติความเชื่อการสวดพระคาถาสีวลี เสกน้ำก่อนล้างหน้า หรือสวดก่อนนอนทุกคืน จะเป็นเมตตามหานิยมทางทำราชการ ดีนัก ค้าขายก็ดี ให้อาราธนานำน้ำมนต์ประพรมของจะขายง่าย ทางลาภต่างๆ ช่วยให้ราศีที่เศร้าหมองผ่องใสได้ นอกจากนั้น ยังปัดเป่าเคราะห์โศกโรคภัย คุ้มครองภยันตรายต่างๆ ป้องกันศัตรูทั้งปวง รวมทั้งเวลาไปติดต่อธุรกิจหรือกำลังค้าขายอยู่ให้ภาวนาหัวใจไว้ในใจตลอดเวลาว่า


    “นะ ชาลีติ ปะสิทธิลาภา”

    นอกจากนี้แล้ว คำอธิษฐานขอลาภจากพระสีวลี แต่งโดยหลวงพ่อเกษม เขมโก แห่งสุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง มีดังนี้ ตั้ง นะโม ๓ จบ แล้วว่า "สิวะ ลีมะหา เถรัง วันทามิหัง (ว่า ๓ จบ) ตามด้วย "มะหาสิวะลี เถโร มะหาลาโภ โหติ มะหาสวะลี เถโร ลาภัง เม เท ถะ"

    ส่วนคำอาราธนาพระสีวลี ให้ใช้ว่า "สีวลี จะมหาเถโร เทวะตานะระปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทัมหิ สีวลี จะมหาเถโร ยักขาเทวาภิปูชิโต โสระโห ปัจจะยาทัมหิ อะหัง วันทามิตัง สะทา สีวลี เถรัสสะ เอตัง คุณัง สวัสติลาภัง ภะวันตุเม ฯ"

    IMG_20181205_075751.jpg IMG_20181205_075739.jpg 8d5j6k98bi7dafgjhid9j.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2018
  16. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่631 พระผงรูปเหมือนหลวงปู่บุดดา วัดกลางชูศรีเจริญสุข จังหวัดสิงห์บุรี ปี 36
    ***หลวงปู่บุดดา ถาวโร บรรลุพระสัจธรรม
    หลวงปู่บุดดาได้เมตตาเล่าถึงเหตุการณ์ที่ท่านบรรลุธรรมว่า “คืนวันหนึ่ง ขณะที่ท่านนั่งสนทนาธรรมกับ หลวงปู่สงฆ์ พรหมสโร สองต่อสองตามปกติ อย่างออกรสออกชาติ จู่ๆ ท่านก็เงียบเสียงไปเฉยๆ และนั่งลืมตาค้างอยู่ หลวงปู่สงฆ์ก็แปลกใจที่ทำไม ? ท่านจึงเงียบไปเฉย ๆ เช่นนั้น ก็ถามหลวงปู่ว่า

    “เอ๊ะ ! เป็นอะไรไป ?” หลวงปู่บุดดาท่านก็นิ่งเฉยไม่ตอบ นัยน์ตาเบิกโพลงอยู่อย่างนั้น

    หลวงปู่บุดดาเล่าให้ฟังในภายหลังว่า ท่านรู้สึกสว่างแจ้งขึ้นมาเอง รู้สึกว่าไม่มีตัวตน เห็นชัดทุกอย่างรอบตัวว่า เป็นสิ่งสมมุติขึ้นมา เห็นปรมัตถธรรม ทุกอย่างมันเป็นธรรมหมด ไม่ใช่ของใคร พระพุทธเจ้าก็ไม่ถือเอาเป็นเจ้าของ พระอรหันต์ก็ไม่ได้เป็นเจ้าของ

    สัพพัญญพุทธะ ปัจเจกพุทธะ สาวกพุทธะ ไม่มีตัวมีตน ธรรมต่างหากที่ทรงไว้ คงอยู่ในจิตของตนเอง ที่พูดกันแต่เรื่องปริยัติ ปฏิบัติ ไม่มีใครชนะใครหรอก มันติดในสมมุติบัญญัติกันต่างหากล่ะ

    โพธิปักขิยธรรม ๓๗ ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายแห่งการตรัสรู้ คือ เกื้อกูลแก่การตรัสรู้ธรรม ที่เกื้อหนุน อริยมรรค ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕ พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ และมรรคมีองค์ ๘

    ทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่ทำให้หลุดรอดได้ พ้นจากสมมุติบัญญัติหลวงปู่บุดดาบอกว่า “ท่านมีความรู้ความเข้าใจในธรรมทั้งหมดนี้ขึ้นมาเอง” ในขณะนั้น

    หลวงปู่บุดดาได้อธิบายให้หลวงปู่สงฆ์ฟังต่ออย่างคล่องแคล่วว่า “อายตนะภายนอกกับภายในมันรวมกันได้ มันมีจิต เจตสิก รูป นิพพาน เท่านั้นเอง มีเพียงสมมุติบัญญัติเท่านั้นเอง ไม่มีเจ้าของ ผมขน เล็บ ฟัน หนัง ก็สมมุติบัญญัติขึ้นมา พูดกันไม่รู้เรื่อง แต่พิจารณาดูได้ อ่านได้ เข้าใจได้ จนรู้ความเป็นจริง ความเป็นไปของสังขาร รู้ความเป็นจริงของโลก ก็หมดกัน ไม่มีปัจจัยอะไรส่งให้สัตว์ต้องมาเกิดอีก”
    หลวงปู่สงฆ์ฟังตามไม่ค่อยทัน เพราะต้องทำความเข้าใจตามไปด้วย และท่านก็ไม่เข้าใจว่าหลวงปู่บุดดาบรรลุธรรมอะไร ? เพราะเป็นโลกุตตรธรรมที่หลั่งไหลออกมาจากใจของหลวงปู่บุดดาในขณะนั้น หลวงปู่สงฆ์ก็ได้แต่เก็บเอาไปคิดพิจารณาตามเท่านั้น

    หลังจากนั้น ๓ วัน หลวงปู่สงฆ์ได้มาบอกหลวงปู่บุดดาว่า “ไม่มีคนไปนรก ไม่มีคนไปสวรรค์เน้อ ! “

    หลวงปู่บุดดาจึงเสริมว่า “โอ้ย ! มันจะมีนรก มีสวรรค์อย่างไร นั่นมันกิเลสต่างหากเล่า กิเลสหมด มันก็หมดนรก หมดสวรรค์ซิ”

    หลวงปู่สงฆ์บอกความรู้สึกของท่านกับหลวงปู่บุดดาในขณะนั้นว่า “เอ๊ะ ! ทำไม ? ไม่มีคนไปนรก ไม่มีคนไปสวรรค์ล่ะ ทำไม ? ไม่มีคนล่ะ !”

    หลวงปู่บุดดาก็อุทานตอบไปว่า “โอ๊ย ! มันไม่มีมาตั้งแต่ไหน แต่ไรแล้ว ตั้งแต่ดึกดำบรรพ์แล้ว ตั้งแต่พระพุทธเจ้าแสดงปฐมเทศนามาแล้ว นรก...สัตว์สร้างเอาเอง สวรรค์...สัตว์ก็สร้างเอาเอง ถ้าไม่มีสัตว์สร้าง สวรรค์นรกจะเกิดได้อย่างไร”

    หลวงปู่สงฆ์ท่านบอกว่า “ท่านไม่ถือรูปถือนาม ไม่ถือธาตุถือขันธ์อะไรแล้ว ถ้าหลงรูป หลงนามอยู่ มันก็หลงเกิด หลงตายอีกซิ”

    หลวงปู่สงฆ์จึงบรรลุพระสัจธรรม ณ ถ้ำภูคา อ.ตาคลี จ.นครสวรรค์ ในพรรษาที่ ๕ อายุ ๔๒ ปี ณ สถานที่แห่งเดียวกับหลวงปู่บุดดา ถาวโร บรรลุพระสัจธรม ในพรรษาที่ ๔ อายุ ๓๒ ปี

    ปิดครับ
    IMG_20181205_075719.jpg IMG_20181205_075709.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 พฤษภาคม 2019
  17. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่632 หลวงพ่อคล้ายข้างอาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง วัดโบสถ์ ต.บ้านแพน อยุธยา
    ***อ.ฟ้อน ดีสว่าง ถือกำเนิดที่เมืองอยุธยา อำเภอนครหลวง แล้วบิดามารดาได้อพยพครอบครัวไปอยู่เมืองลพบุรี ที่หมู่บ้านโพธิเก้าต้น ตัวท่านนั้นเป็นเด็กที่เกิดมาหน้าตาผิดปกติบนใบหน้า เมื่อย่างเข้าวัยศึกษาบิดามารดาจึงได้พาไปฝากกะ ผู้ที่เป็นน้องชายที่เป็นเจ้าอาวาสวัด กลาง อำเภอนครหลวง ที่มีชื่อเสียง โด่งดังในพระเวทย์คุณไสย คาถาอาคมโดยเฉพาะเรื่องสักยันต์ที่ไม่เหมือนใคร คือใช้เลือดของอาจารย์สักยันต์ให้กับผู้ที่มาฝากตัวเป็นศิษย์ ต่อไปนี้ผมจะเรียกว่า หลวงน้านะครับ ท่านชื่อ พระอาจารย์ ปลอด ซึ่งวัยเด็กที่คบหาอาจารย์ ฟ้อน นั้นมีพึงพาได้ไม่กี่คน 1 ในนั้นคือคนที่ชื่อ ตาบ เพราะด้วยความผิดปกติที่ใบหน้านี่เองท่านจึงไม่ยอมเข้าเรียน กะเพื่อน ๆ ทำให้อ่านไม่ออก เขียนก็ไม่ได้ หลวงน้าชายเห็นกลัวว่าหลานตัวเองจะเอาตัวไม่รอด จึงได้เฝ้าเพียรถ่ายทอดวิชาอาคมไว้ให้ทั้งหมด ซึ่งอ. ฟ้อนท่านผิดปกติแต่หน้าตาเท่านั้น ส่วนความจดจำนั้นเป็นเลิศได้อย่าง อัศจรรย์ สอนเพียงครั้งเดียวจดจำไว้ได้ทั้งหมดเด็กวัดต่อมาได้อุปสมบทเป็น เณรตาบ ครับ หลวงน้าท่านได้สอนวิชาพวกสาขาเวชกรรม ถอดถอนพิษร้ายจากคาถาอาคม ส่วนในหมวดมนต์ดำ วิชาอาถรรพณ์นั้นหลวงน้าได้ซุกซ่อนไว้ จนกระทั่งมรณะภาพลง อ.ฟ้อนจึงได้พบตำราสำคัญเล่มนั้นพอได้ตำรามา ก็ให้สามเณรตาบ อ่านให้ฟังและฝึกปรือจนชำนาญ พอร้อนวิชามากเข้าท่านได้หายเงียบไปจากอยุธยานานหลายปี ข่าวว่าได้กลับไปอยู่กะบิดามารดาที่หมู่บ้านโพธิเก้าต้น เปิดสำนักรักษาโรคด้วยสมุนไพร และวิชาพระเวทย์คุณไสยอาคมทางคงกะพัน เสน่ห์ มหานิยมจนเป็นที่โจษขานที่เมืองลพบุรีได้มีลูกศิษย์มาฝากตัวมากมายเมื่อท่าน ร้อนวิชาอีกก็ได้หายเงียบไปจากลพบุรีไปปรากฏตัวยัง วัดกลาง ที่อยุธยาที่เป็นวัดที่พระอาจารย์(หลวงน้าท่าน) ตัว อ.ฟ้อนได้บวชที่วัดกลางเป็น พระอาจารย์ฟ้อน ท่านได้ช่วยญาติโยมรักษาโรค สักยันต์จนในที่สุดได้หายเงียบไปอีก ไปปรากฏตัวที่ อ.บางประหัน อยุธยา

    ที่วัดไก่ฟ้านี่เองที่ท่านได้ปล่อยวิชาทางคุณไสยมนต์อาถรรพณ์ออกมาอย่างไม่ ออมฝีมือนอกจากรักษาผู้คนที่เจ็บป่วยได้หายดุจหมอเทวดา ในทางอาคมก็ได้ครอบให้กับวัยรุ่นในละแวะนั้นที่มาฝากตัวเป็นศิษย์ การสักยันต์(ปะสะเลือด)หรือการถ่ายเลือดนั้นเอง คือถ่ายเลือดจากตัว อาจารย์ฟ้อน พิธีครอบครูมี มีดซึ่งต่อไปจะเป็น มีดหมอประจำตัวผู้เป็นศิษย์ไปตลอดชีวิต ดอกไม้สีขาว 9 ดอก ธูป 9 ดอก เทียนขาว 9 เล่ม ผ้าขาวม้าขาว 3 เมตร 1ผืน ผ้าเช็ดหน้าสีขาว 1 ผืน(ซึ่งต่อมาคนจะเรียกกันว่าผ้ายันต์นั่นเอง) หัวหมู 1 คู่พิธีเริ่มผู้เป็นศิษย์อาบน้ำชำระร่างกาย นุ่งขาวห่มขาว เช่นเดียวกัยตัว อาจารย์ฟ้อน ภายในที่กำหนดแท่นตั้งเครื่องบูชาครู สิ่งที่ใช้สักยันต์ อ.ฟ้อนมิได้ใช้เข็มดังเช่น อาจารย์ท่านอื่น ๆ หรือสำนักอื่น ๆ แต่ท่านใช้มีดที่ศิษย์เตรียมมานั่นแหละกรีดบนศีรษะ และตามตัวของศิษย์ท่านก็ใช้มีด เล่มเดียวกันเชือดลิ้นตัวเองให้เลือดไหลลงแก้วที่รองไว้

    ขั้นตอนต่อไปท่านจะมีมีดดาบปลายปืนขนาดยาวเฟื้อย อีก 2 เล่มตอกสุดแรงเข้าไปในเพดานปากของท่าน เพื่อให้เลือดไหลลงมาตามด้ามมีดลงไปในแก้ว จำนวนเลือดทั้งหมดอยู่ในแก้วจะถูก อาจารย์ฟ้อน ท่านเทกรอกใส่กลับในปากอีกครั้ง แล้วอมนั่งบริกรรมคาถา พ่นเลือดลงในผ้าเช็ดหน้าสีขาวนั้น นำไปทาลงตามรอยปลายมีดที่กรีดยันต์ไว้ทั่วทุกจุดบนร่างกายของผู้ครอบพิธี บาดแผลทั้งหมดที่ท่านได้เชือดปลายลิ้นและใช้มีดดาบตอกเพดาน ท่านอมน้ำบริกรรมคาถาครู่ใหญ่ ในปากกลืนหายไปในลำคอ แผลทั้งหมดก็สนิทและต่อไปท่านทำพิธีครอบครูครู่ใหญ่ และจะได้สอนวิชาที่ไว้ใช้ฉุกเฉินให้แก่ศิษย์ เช่น คาดพิษงู ประสานบาดแผล เมตตามหานิยม

    ที่สถานีรถไฟปากช่อง ยามใดที่ อาจารย์ฟ้อนจะเดินทางจากโคราชไปเมืองนครนายก บรรดาลูกศิษย์ลูกหาจะพากันมายืนคอยรับส่งอยู่ที่สถานีเป็นจำนวนมาก บั้นปลายท่าได้ย้ายมาอยู่ที่ วัดบึง(ต่อมาเรียกว่า วัดบึงพระอาจารย์ และต่อมาเปลี่ยนเป็นวัดสุนทรพิชิตาราม) วาระสุดท้ายท่านก็เสียที่วัดบึงพระอาจารย์งานศพของท่านได้มีลูกศิษย์มากัน มากมาย มีทั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ พ่อค้า ประชาชนจากกรุงเทพ อยุธยา ลพบุรี โคราช เดินทางไปร่วมงานกันมากมาย ลิเกคณะ ส. สำราณศิลป์ได้ แสดงในงานศพ ซึ่งโต้โผ(หัวหน้าคณะ) เป็นศิษย์ อ.ฟ้อน

    ต่อไปจะขอนำอภินิหารในบางส่วนมาเล่าให้กันฟังนะครับเริ่มจาก คณะลิเกกันก่อน โต้โผลิเกแทบทุกคณะของเมืองลพบุรี โคกสำโรง สระบุรี อยุธยาล้วนได้ฝากตัวเป็นศิษย์อาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง อย่างศิโรราบ เพราะปรากกว่า ลิกเกทุกคณะ นางเอกวัยรุ่นระดับดาวประจำโรง ได้ถูกอาจารย์ฟ้อนท่านเอาไปเป็นเมียจนหานางเอกมาทดแทนไม่หวาดไม่ไหว อาจารย์ฟ้อน ดีสว่างเมื่อใดที่ท่านอัปลักษณ์จมูกโหว่ได้ไปถูกอีสาวคราวลูกวัยเอ๊าะ ๆ กล่าวคำปรามาสใส่หน้าแล้วละก้อ ตอนนั้นแหละ อาจารย์ฟ้อน ท่านจึงจะได้ลั่นวาจาออกไป ***จะเอา***ไปเป็นเมียอยู่กินกับ***ที่ บ้าน ค่ำคืนนั้นตัว อาจารย์ฟ้อนท่านนอนรออยู่ที่บ้านเฉย ๆ ไม่ได้ดิ้นรนอาทรร้อนใจอะไร อีสาวคราวลูก วัยเอ๊าะ ๆ มันแจ้นไปสู่อ้อมกอด อาจารย์ฟ้อน ด้วยตัวของมันเองและท่านก็หาได้เสียสัตย์ ที่ตรงไหนแม้แต่คนเดียว เมียของท่านล้วนเป็นแต่นางเอกลิเก แม่ค้าตาหวาน ท่านรับเลี้ยงดูเป็น เมีย หมดทุกคนทั้งได้อยู่กินกับท่าน รวบได้ 10 กว่าคน
    สมัยที่ท่านอยู่วัดไก่ฟ้า ก้อนหินที่อาจารย์ใช้ให้พากันแบกขนมาเพื่อใช้ในงานก่อสร้างวัด บูรณะวัดนั้น ท่านได้เป่าคาถาไปพรวดเดียว หินก้อนนั้นได้กลายเป็นเต่า คลานเดิน สี่ขาทุกคนเห็นกันตาจนตะลึง หรือแม้แต่ ผีนางตะเคียนแถววัดไก่ฟ้า ท่านเรียก ผีนางตะเคียนมาให้คนทุกได้ชมกัน หรือแม้แต่คราวที่ท่านได้ทำนายว่าต่อไปบรรดาชายฉกรรจ์จะได้เป็นกำลังสำคัญ ของชาติก็เป็นจริงเมื่อครั้งญี่ปุ่นบุกประเทศไทย ท่านได้ทำการสักยันต์ อาบว่านให้บรรดาชายชาตรีที่อาสาเป็นเสรีไทยออกไปต่อสู้กะทหารญี่ปุ่น จึงขอจบอัตชีวประวัติของ อาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง คร่าว ๆ เพียงแค่นี้ นะครับ ( ขอขอบคุณข้อมูลดีๆด้วยครับคุณสาลีโข )

    ปิดครับ
    IMG_20181205_075657.jpg IMG_20181205_075648.jpg 417886_574201865935509_476715567_n.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2019
  18. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่633 พระผงว่านหลวงปู่ทวด หลวงพ่อโฉม วัดตำหนัก จ.ปทุมธานี
    ***"นะ"ตำรับหลวงพ่อโฉมวัดตำหนัก อ.สามโคก จ.ปทุมธานี
    ปทุมธานี หรือ เมืองสามโคก ในอดีตเป็นอีกจังหวัดหนึ่งซึ่งมีประวัติศาสตร์และมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค้า ควบคู่กับกรุงศรีอยุธยา มีชาวมอญที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารแห่งองค์พระพุทธเจ้าหลวงเมื่อครั้งในอดีต ดังนั้นศิลปะหลายแขนงยังมีการสืบทอดจนถึงปัจจุบัน และอีกแขนงที่กล่าวถึงนั้นก็คือสายวิชาพระเวชวิทยาคม การลงอักขระ ปลุกเสกเครื่องรางของขลัง ซึ่งยังมีการสืบทอดพระเวทย์สายรามัญ จนถึงปัจจุบันจากรุ่นสู่รุ่นมิได้น้อยไปกว่าที่อื่นเลย เช่น เจ้าคุณรามัญมุณี วัดบางหลวง หลวงพ่อช้าง วัดเขียนเขต หลวงพ่อญัติ วัดสายไหม หลวงปู่ด๊วด วัดคลองสี่ หลวงพ่อเทียน วัดโบสถ์ และอีกมากมายหลายท่าน

    นอกจากนี้ยังมีหลวงพ่อจ่าง เกศโร วัดไผ่ล้อม อำเภอสามโคก ท่านเป็นเกจิคณาจารย์ยุคเก่า ผู้เรืองเวทย์วิทยาคมอย่างมากในสมัยนั้น ท่านมีความเชี่ยวชาญ ในเรื่องกรรมฐานและลงอักขระบนตะกรุด ที่มีอานุภาพทางคงกระพันชาตรี ยิ่งนักเลงในย่านนั้นนิยมเคียนตะกรุดของหลวงปู่จ่างทั้งหมด ซึ่งในปัจจุบันผู้สืบสานพุทธานุคมสายหลวงปู่จ่าง ที่ยังเหลืออยู่ในปัจจุบัน ก็คือ หลวงพ่อโฉม เจ้าอาวาส วัดตำหนัก ต.สามโคก อ.สามโคก จ.ปทุมธานี นั้นเอง

    หลวงพ่อโฉม เตชวโร หรือ พระครูปทุมอรรถสุนทร ท่านมีนามเดิม ว่า นายบุญถม นามสกุล ภู่ห้อย เกิดวัดเสาร์ เดือน ๓ ปีกุล พ.ศ.๒๔๖๖ เป็นบุตรคนโตในบรรดาพี่น้อง ๓ คนของคุณพ่อฉิน(หลวงพ่อฉิน) คุณแม่แจ๋ว ภู่ห้อย จบการศึกษาระดับ ป.๔ จากโรงเรียนสามมัคคิยาราม จากนั้นเมื่ออายุได้ ๒๐ ปี ท่านได้สมัครเป็นทหารรับใช้ชาติอยู่ ๒ ปี จากนั้นอายุ ๒๒ จึงได้อุปสมบท ณ วัดป่างิ้ว โดยมีพระครูถาวรกิจโกศล (ฟ้อน โชติปาโล) เป็นพระอุปฌาย์ จากนั้นเพียง๑ พรรษา ท่านก็ลาสิกขาออกมาช่วยโยมพ่อ โยมแม่ทำนาเลี้ยงน้องในฐานะพี่ชายคนโต และท่านได้สมรสและมีบุตรธิดา ทำอาชีพสุจริต

    ยามว่างท่านมักจะไปขอเรียนวิชากับหลวงพ่อฉิน (บิดาของท่าน เสมอ) และมักไปต่อวิชากับหลวงพ่อหอม วับางเตยกลาง สองศิษย์เอกแห่งหลวงพ่อจ่างวัดไผ่ล้อม อยู่เป็นประจำจนชำนาญ และหลวงพ่อท่านได้นำวิชาที่ร่ำเรียนมาสงเคราะห์ชาวบ้านในละแวกนั้นตั้งแต่ยังเป็นฆราวาส จนกระทั่งเมื่อครั้งที่ท่านอายุ ๔๐ ปี ท่านเกิดเจ็บหนักจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด ท่านจึงอธิษฐานว่า หากท่านรอดไปได้ ท่านจะใช้ชีวิตที่เหลือ ขอถวายพระศาสนา เมื่อท่านหายป่วย จึงได้อุปสมบทอีกครั้งที่วัดดอกไม้ โดยมีพระครูธีรานุวัตร (หลวงพ่อหอม) วัดบางเตยกลาง เป็นพระอุปฌาย์

    หลังจากอุปสมบท แล้วท่านก็ยังไปศึกษาเพิ่มเติมในบางวิชาและฝึกกรรมฐานขั้นสูง จากทั้ง หลวงพ่อฉิน และหลวงพ่อจ่าง วัดไผ่ล้อม โดยอาศัยการลงตัว นะ เพียงตัวเดียวเท่านั้น และหลวงพ่อโฉม ท่านได้ลงตะกรุด แบบนี้แล้วแจกให้ลูกศิษย์ ไว้ใช้จนเป็นที่ประจักษ์ ด้านแคล้วคลาด คงกระพันในพื้นที่แถบสามโคก

    หลวงพ่อโฉม อธิบายว่า “นะ” ของท่านว่า ตัว นะ นี้เป็นต้นแบบเป็นประธานแห่งมนต์ทั้งหมด มนต์สำคัญๆ ก็ต้องขึ้นต้นด้วยนะทั้งนั้น เวลาพระเจริญพุทธมนต์ท่านต้องตั้งนะ ก่อนคือนะโมทุกครั้งและที่สำคัญไม่ว่าจะเป็น นะใดๆ ทั้ง๑๐๘ นะ ที่ท่านได้ศึกษามาก็ล้วนปลุกเสกด้วยคาถาแม่บทซึ่งกล่าวถึงตัว นะไว้หมดสิ้นคือ "นะรานะระหิตังเทวัง นะระเทเวหิปูชิตัง นะรานังภามะยังเภหิ นะมามิสุคะตังชินัง"

    เมื่อเรานำตัวนะตัวแม่ของ นะ มาเป็นต้นเป็นประธานแล้ว อาราธนา นะตัวลูกทั้ง ๑๐๘ ประการ ดีกว่าใช้ นะเฉพาะ ซึ่งจะมีฤทธิ์ เพียงด้านเดียวไปครอบคลุมในทุกๆ ด้าน เมื่อนำ นะ มาลงในโลหะม้วนเป็นตะกรุดแล้วตะกรุดนั้น ก็จะมีพุทธคุณมากมายดุจฝอยท้วมหลังช้างเรียก ว่า ๑๐๘ นะ ทั้งเมตา มหาเสน่ห์ มหานิยม แคล้วคลาด คงกระพัน กันอาวุธ

    ในเรื่องการปลุกเสก หลวงพ่อโฉม บอกว่า อักขระเลขยันต์นั้นจะมากน้อยไม่สำคัญ สำคัญอยู่ที่จิตผู้เสกจิตดีปกติแจ่มใส สุขภาพดี เป็นสมาธิ แน่แน่ว เรื่องเวลานั้นไม่สำคัญสัก ๑๐ ถึง ๒๐ นาที ก็ใช้ได้ แต่ถ้าจิตไม่ดี ไม่มีสมาธิ นั่งเสกกันทั้งวันก็ไม่เกิดประโยชน์ และอีกอย่างคือ ปฏิภาคนิมิต คือนิมิตที่เราขึ้นตามจิตแห่งตน ลงอักขระเลขยันต์เยอะแยะมากมาย แต่นิมิตปฏิภาคไม่เกิดก็เท่านั้น สู้ลงนะตัวเดียว ปฏิภาคนิมิตเกิดเห็น นะ นั้นชัดเจน ปรากฏขึ้นไม่ได้เป็นว่า มันอยู่ที่จิต สมาธิเป็นสำคัญ

    ส่วนเรื่องการทำเครื่องรางของขลัง ของหลวงพ่อโฉม โดยเฉพาะตะกรุด หลวงพ่อท่านนิยมแบบโบราณคือเขียนทีละแผ่นเรียกสูตรกันทีละตัวซึ่งท่านจะให้ความสำคัญมากมีลูกศิษย์แนะนำให้ท่านใช้วิธีการปั๊มตะกรุดแต่ ท่านบอกปฏิเสธไม่เอาเป็นอันขาด ท่านว่า มันไม่ได้เรียกได้เสมอไป ทำหลอกเขา ข้าไม่เอา ถึงแม้ว่าปัจจุบัน หลวงพ่อท่าน ชราภาพมากแล้วก็ตาม แต่ตะกรุดของท่านยังใช้การจาร ยันต์ด้วยมือ ถึงท่าน มิได้จารด้วยตัวท่านเอง ทั้งหมด ทุกดอก แต่ท่านมอบหมายให้ลูกศิษย์ที่ท่านครอบครูแล้ว เป็นคนช่วยจารแล้ว ท่านจะลง ครอบและเสกกำกับ ด้วยตัวท่านเองทุกครั้ง เพราะหลวงพ่อท่านบอกว่ายังไงก็ดีกว่าปั๊มเอา เพราะมันทำและจารด้วยใจ จึงไมน่าแปลกว่า ตะกรุดของท่านมีประสบการณ์กันมากมาย

    หลวงพ่อโฉมท่านเป็นพระที่สมถะเรียบง่ายไม่สะสมทรัพย์สินใดๆ ใครให้ท่านทำอะไร ถ้าไม่เหนือบ่ากว่าแรงท่านสงเคาระห์ให้หมด ท่านเป็นพระโบราณ ที่พูดจริงทำจริง เวลาทำวัตถุมงคลต้องดูฤกษ์ มงคล ต้องทำพิธีกรรมตามแบบโบราณ ไม่สุกเอาเผากิน ดังนั้นวัตถุมงคลของหลวงพ่อ จึงออกมาไม่กี่รุ่น และบางอย่างก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการ

    IMG_20181205_075637.jpg IMG_20181205_075628.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2018
  19. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่634 ผ้ายันต์หลวงปู่ทวด วัดนิมมานรดี ปั๊มตราวัด พร้อมจารหมึก ขนาด 9.5*12.5 นิ้ว
    IMG_20181205_080301.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2018
  20. Pitiphat

    Pitiphat 51 สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    5,412
    ค่าพลัง:
    +88
    รายการที่635 พระสมเด็จ วัดขุนอินประมูล อ่างทอง
    IMG_20181202_172938.jpg IMG_20181202_172929.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ธันวาคม 2018

แชร์หน้านี้

Loading...