สำหรับ คนที่สนใจเรื่องการเปิดจักระและโทษของมัน

ขอถามครับ ฝึกตามแนวสมเด็จโตฯ ได้มั้ยครับ

ขึ้นชื่อว่าพลัง ก็มีทั้งคุณและโทษ
ก็เพียงอยากสัมผัส รับรู้ แต่ยังรอครูผู้คอยชื่แนะอยู่ เน้นว่าครูนะครับ

สิ่งที่คุณขันธ์บอกขอรับมาใส่ไว้ในตราชั่งด้านหนึ่งก่อนนะครับ
เพราะอีกด้านนึงก็มีวางไว้่อยู่เหมือนกัน

 

ผมต้องขอบคุณ คุณ chaiyaboon ที่ให้เกียรติ ชมเชยครับ แต่ที่จริงแล้ว
ผมชอบคำตำหนิมากกว่า ถ้าตำหนิได้จะดีกว่าชมครับ เพราะแสดงว่า เรายังมีมุมอื่นที่ต้องมองอีก

เรื่อง สิ่งที่ผมบอกทางแก้ไปทั้งหมด มาจากพระสูตรเรื่องอานาปานสติ คือ

ข้อที่ว่า หายใจเข้าให้เราสำเหนียกว่า กายระงับ หมายความว่า เมื่อรู้ตัวว่า เริ่มธาตแปรปรวน ก็ให้ทำการระงับด้วยการ สำเหนียก ซึ่งคำว่า สำเหนียกนี้ ถ้าจะแปลกันแบบง่ายๆ คือ หมายความว่าระลึกด้วยอารมณ์ ที่จ่อลงไปว่า กายระังับจากเหตุร้อนนั้น โดยอย่าตามร้อน แต่ให้ตามลมหายใจ ทุกขณะแล้ว ระลึกว่า ธาตุนั้นระงับ
ทีนี้พอหมั่นทำบ่อยๆ เราจะพบว่า การสำเหนียกนี้ คล้ายๆ กับ การเรียกอารมณ์นั้นมา การจะทำตรงนี้จนชิน มันก็ต้อง รู้อารมณ์ต่างๆ ว่าตอนระงับเป็นอย่างไร ก็จะทำให้ชิน


ทีนี้ เราต้องระลึกเสมอว่า จิตเราเป็นผู้สร้าง ความแปรปรวนมาเอง เราก็สามารถระงับมันได้เอง อยู่ที่กำลังจิต กับ วิถีของจิตที่เราควบคุมได้

เมื่อทำจนชำนาญเราก็ สามารถ ควบคุม การส่ายของจิต ไปในทิศทางต่างๆ ได้ ตามที่เราต้องการ ทั้งหลายทั้งปวงนี้ ก็มาจาก การที่เรา เข้าใจว่า ขันธ์ ทั้ง 5 ไม่ใช่เรา เป็นเพียงการแปรไปของจิต พอมันแปรไป เราก็ดึงกลับมา ก็จบ เรื่องง่ายๆ

เวทนาเกิด จิตแปรไป ก็ดึงกลับมา
สัญญาเกิด จิตแปรไป ก็ดึงกลับมา

เรียกว่า สลัดคืน ไม่ไปตามมัน ซึ่งมันตรงกันข้าม กับเดิมที ที่บุคคลทั่วไป คิดว่า พอเกิด เวทนาขึ้น มันเป็นเรา เราก็ ตามมันไป จึงเรียกว่า มิจฉาทิฎฐิ

แต่ทีนี้พอเรารู้ว่า มันไม่ใช่เรานะ เราสามารถ ไม่ไปสนใจกับมันได้ ตรงนี้แหละ สัมมาทิฎฐิ คือ มองเห็นว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่เราและเราไม่ใช่ขันธ์ 5

ก็พยายาม ค่อยๆ มอง ขันธ์ 5 แล้วค่อยๆ วาง ค่อยๆ ปล่อย คืนไป เราจะพบกับ ญาณทัสนะวิสุทธิ์เอง

เอวัง (ขอยืมคำพระสีอานมาใช้หน่อย)

 

บุคคลผู้ มักมองเอาแต่ผลดี ด้วยความโลภเป็นมูลเหตุ มักจะละเลยที่จะมองผลลบของสิ่งนั้น จึงมิอาจตั่งอยู่บน มัชฌิมาปฏิปทา

 

คุณขันธ์ชอบคำตำหนิหรอครับ ได้เลย ผมเห็นว่า เวลาคุณตอบบางกระทู้ น่าจะใช้คำสุภาพหน่อยนะครับ อย่ารุ่นแรงนักเลย โดยส่วนตัว ผมไม่มีปัญหาอะไร เพราะเป็นเพียงสมมติบัญญัติ ฮาดีสะด้วยซ้ำ แต่ผู้ดีบางท่านอาจจะรับไม่ค่อยได้นะครับ ยังไงก็เพลาๆ ลงบ้างก็ดีครับ

ส่วนคำสอนของคุณ ลึกซึ้งสูงส่ง อันนี้นับถือด้วยใจ

เรื่องของจักระ ผมก็เคยมีประสบการณ์ธาตุไฟแตกอยู่บ้าง การตอบของคุณขันธ์ดูเหมือนจะเน้นแต่แนวสติปัฏฐานสี่เป็นหลัก ซึ่งคนที่จะทำได้ถึงขนาดปล่อยวางขันธ์ห้าได้นี่คงไม่ใช่ปุถุชนแล้วมั๊ง แล้วแบบนี้ คนที่เป็นปรมาจารย์ทางด้านนี้ก็ต้องรู้หลักการเจริญสติด้วยสิ แล้วคนทั่วๆ ไปที่ไหนจะฝึกพลังนี้ได้หล่ะเนี่ย เรื่องจักระดูเหมือนจะเป็นเรื่องของพลังลมปราณหรือชี่กง คุณก็ช่วยตอบแนวกำลังภายในหน่อยได้ไหม จะได้เข้าใจได้ง่ายขึ้น ตอบแนวพุทธแบบนี้ อาจเข้าใจยากสำหรับบางคน

 

ได้สิ เวลาฝึกจักระแล้ว หรือ ฝึก ชี่กงแล้ว ง่ายที่สุดคือ

เวลาร้อนก็ไปรำชี่กง เวลาพบเจอสิ่งไม่ดี ก็ ไปคุยกับเพื่อน หรือ โทรศัพท์เม๊าท์เรื่องคนนั้นคนนี้

ทีนี้ ถ้าใครเข้าใจมหาสติ ก็จะเข้าใจทั้งหมด แต่ถ้าไม่เข้าใจก็ เวลาร้อนก็ไป วิ่งเล่น ไปดูหนัง ไปทำอย่างอื่นซะให้ใจมันหายคิดถึงเรื่องนั้น

ทำแบบนี้ก็หายได้ แตก็จะ่ไม่รู้กันว่า ทำไมถึงหาย และไม่สามารถเอาประยุกต์ใช้กับ เรื่องอื่น ก็จึงสอนรายละเอียดให้สำหรับคนที่ต้องการพิจารณา

สุดท้ายก็คือ การดับ การไม่วิตกแต่ในเรื่อง ที่มันประหลาด
จิตก็หันไปสู่วิถีอื่น ซึ่งลดกำลังทางเดิมให้น้อยลง

 

^ ^

ดัน........................

 

*** หนทางหลุดพ้น ****

หากเราปรารถนา...ที่จะหลุดพ้น
หลุดพ้นจาก....วงเวียนกรรม
หลุดพ้นจาก...การเกิดใหม่
หลุดพ้นจาก....โลก
หลุดพ้นสู่...นิพพาน

หนทาง มีหนึ่งเดียว
คือ การลดกิเลสนิสัย ให้หมดสิ้นไป
ด้วย ..."สัจจะ" ....ปฏิบัติตนทุกวันเป็นประจำ

- " หนุมาน ผู้นำสาร "

 

สวัสดีคะ คุณขันธ์

พอดีอ่านเจอที่คุณพูดเกี่ยวกับรับกรรมแทนคนที่ช่วย เช่น หมอ มักจะซวยแทนคนป่วย (ประมาณนี้)
เคยได้ยินหมอแผนโบราณ เช่น หมอจีน และพระอาจารย์เกษม ท่านสอนไว้ว่า ต้องทำบุญใส่บาตรทุกวัน และแผ่ส่วนบุญไปคะ

เรื่องทำบุญนี้ ใส่บาตร นี้ ตอนเด็ก ๆ ได้ยิน พวกซินแสหลายคนที่เก่ง ๆ บอกไว้ว่า นห้าที่อย่างแรกของเค้าทีเดียว เมื่อตื่นมา ต้องใส่บาตรไหว้พระ เพื่อแผ่ส่วนบุญไปยังเจ้ากรรมนายเวรของคนไข้

โตขึ้น ไปรู้จักหมอจีนคนอื่น ๆ ปรากฏว่า ตำราเดียวกันนะคะ เลยนำมาเล่าให้ฟัง

 

ขอดันกลับมาหน้าแรกนะครับ

กระทู้นี้มีประโยชน์มาก จขกท.มีประสบการณ์ตรง

ให้ผู้ที่จะฝึกอ่านแล้วตัดสินใจเอาครับ

แต่ผมบอกไว้อย่างหนึ่งว่า วิชานี้เป็นวิชานอกศาสนา(พุทธ)

พระพุทธเจ้าไม่ทรงยกย่อง พระองค์สอนแต่สติปัฏฐาน 4

ส่วนเรื่องกสิน เป็นเรื่องอรรถคถาจารย์ รวบรวมไว้ภายหลัง

 

อารายกัน.....นั่งสมาธิก็ดีนะแต่ไม่เห็นต้องจิงจังขนาดนั้นเลยนี่
พวกผู้ใหญ่เป็นงี้ทุกคนเลยหยอ แต่เราก็เคยนั้งสมาธินะ รวมทั้งเคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับสมาธิและจักระด้วยแต่ก็งั้นๆแหละไม่นึกว่าการเปิดจักระจะมีทั้งข้อดีและข้อเสียด้วย

 

นิยาย ก็ คือ นิยาย

 

เท่าที่อ่านดูนะครับ ส่วนมากแล้วพวกที่ไปเปิดจักระนี่จะเป็นพวกติดฤทธิ์ ติดเดชกันใช่รึเปล่านะ หาจุดเด่นเพื่อลบจุดด้อยคือความอยากของมนุษย์ ถ้าจะฝึกกันจริงๆ ทำไมไม่ฝึกสมาธิล่ะครับ ถ้าฝึกฝนจนชำนาญแล้ว หรือถึงระดับอภิญญาแล้วละก็ มีฤทธิ์มากกว่าการเปิดจักระเสียอีก แต่พระองค์ท่านไม่แนะนำครับ เพราะว่ากลัวคนจะติด และหลงในฤทธิ์เดช ซึ่งจะไม่ทำให้หลุดพ้นและจะทำให้
เสื่อมจากฌาน จากบารมีที่สั่งสมมา

 

หุหุ สงสัยนอนไม่หลับ

 

ขอขอบคุณทุกๆท่านที่เข้ามาในกระทู้นี้ ได้ให้ความรู้แก่เรา ซึ่งเป็นคนที่ห่างไกลจากเรื่องเล้นลับและศาสตร์เหล่านี้ ขอชมว่าทุกๆท่านที่เข้ามาเก่งมากๆเลย ขอชื่นชม

 

โมทน้าโมทนาครับ....
เกือบหลงผิดสมถะวิปัสนาอย่างเดิมดีกว่า...^^

 

ใครบอกค่ะ ส่วนตัว นานะจัง เคยถามพี่ที่เขาทำได้ เขาบอกมันเป็นพลังที่วิเศษมากถ้าเรารู้จักใช้ เวลาที่ พี่ท้องผูกในท้องมีแต่แก็ส พี่เขาจะดันพลังให้ ลมแก็ส ออกมาทางทวารหนักเพื่อปล่อยออกไปสู่โลกภายนอก บังคับพลัง ให้บรรเทาความเจ็บปวดก็ได้ ดับร้อนภายในกายก็ได้

แต่บางคนที่ นานะจัง ฟังมา เขาไม่ได้เปิดจักระ อะไรสักอย่างเดียว แต่พอเจอผี เขาบอกเหมือนมีลมอะไรบางอย่างดันที่ หัว ทำให้หัวฟู เลยค่ะ แบบนี้เรียกว่าพลังอะไรค่ะ อยากรู้ ช่วยตอบทีนะค่ะ

ส่วนใครที่ถึงขั้น ขี่แตก นานะว่า คุณคิดไปเองมากกว่าค่ะ คงเช่าโปเยโปโรเย มาดูประจำ เลยคิดไปเอง (อันนี้ความคิดส่วนตัวนะค่ะ)

 

นานะจัง แอ๊บแบ๊ว เป็นเด็กก็ไปศึกษาให้มากก่อน อย่าเพิ่งด่วนสรุปอะไรง่ายๆ เพียงแค่ไปเห็นตรงนั้นนิดตรงนี้หน่อย

 

อ่ะนะ คุณขันธ์ ครับ ผมฝึกมาตั้งแต่ปี 2000
มาถึงวันนี้ ก็ 8 ปีแล้วครับ ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลยครับ

ว่าด้วยเรื่องจักระ ตรงนี้ว่ากันตามทฤษฎีของสำนักผมนะครับ
จักระคนเรามีมาตั้งแต่เกิด และมันก็หมุนมาตั้งแต่เกิดแล้วครับ
ดังนั้นการกระตุ้นจักระ หรือ เปิดจักกระ มันหมายความว่า
ไปเร่งให้มันหมุนได้ดีขึ้น ดูดพลังได้ดีขึ้น นะครับ ทีนี้ในภาวะปรกติ
เราไม่ต้องไปสนใจมันก็ได้ ปล่อยให้มันหมุนไปตามธรรมชาติ
เวลาจะใช้วิชารักษาให้คนอื่น หรือ ตัวเอง เราค่อไปนั่งสมาธิคุมมัน
ให้มันดูดพลังเข้ามาเยอะๆ เพื่อเอาไปรักษาอีกทีครับ


ปล.จักระจะหมุนอยู่ตลอดเวลา ถ้าจักระไม่หมุน แปลว่าตายแล้ว

 

อยากรู้ว่านอกเหนือจากชีกงจักวาลมีอะไรดีกว่านี้อีกป่ะแบบว่าอันที่กล่าวมาไม่ดีเลย

เอาเป็นว่าเปิดกายรับ ไม่ดีใช่ป่ะครับ แล้วมีวิธีอะไรดีๆ ฝึกมั่งอ่ะครับ พวกชี่กง ก็ไม่ดีจักรวาล ก็ไม่ดี ปราณก็ไม่ดี แล้วอันไหนดีหรอแล้ว มีอย่างอื่นให้ฝึกอีกป่ะ

 

ดาบที่ดีและคมกล้าหากใช้ไม่เป็น ก็แพ้จอมยุทธที่ไร้กระบี่
ดาบแกร่งและคมกริบหากใช้ไม่เป็น ก็แพ้กิ่งไม้บางๆของจอมยุทธผู้ชำนาญศึก
คนฉลาดแม้นมีสิ่งดูไร้ค่าก็สามารถใช้ประโยชน์ได้ คนโง่ต่อให้มีสุดยอดวิชาและของเลิศ
ก็ไม่รู้จักและใช้ไม่เป็น....
คนเก่งและฉลาดมีปัญญาไม่ได้เก่งตั้งแต่เกิด พรสวรรค์เป็นสิ่งดี แต่พรแสวงดียิ่งกว่า
การฝึกฝนตนให้พร้อมในทุกเรื่องนั้นแหละเป็นสิ่งที่ควรทำ...เพราะจะได้ขึ้นชื่อว่าผู้ไม่ประมาท ในชีวิต