ว่ากันเรื่อง วัดธรรมกาย

ในห้อง 'Black Hole' ตั้งกระทู้โดย วิถีคนจร, 14 มกราคม 2011.

  1. วิถีคนจร

    วิถีคนจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +226
    ๑๔. ทำกุศลอย่างไรจึงจะไม่อดอยาก
    ถาม ทำกุศลอย่างไร จึงจะทำให้มีโภคทรัพย์ ไม่อดอยาก

    ตอบ ปัญหานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่สุภมาณพ บุตรของโตเทยยพราหมณ์ในจูฬกัมมวิภังคสูตร ม.อุปริ. ว่า
    บุคคลบางคนในโลกนี้จะเป็นหญิงก็ตาม เป็นชายก็ตาม เป็นผู้ให้ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อาศัย เครื่องตามประทีปแก่สมณะพราหมณ์ เขาตายไปจะเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพรากรรมคือการให้ข้าวน้ำเป็นต้นนั้น หากตายไปไม่เข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ มาเกิดเป็นมนุษย์ ณ ที่ใดๆ ในภายหลัง จะเป็นผู้มีโภคะมาก นี้เป็นผลของทานคือการให้ข้าวให้น้ำเป็นต้นนั้น
    สรุปได้จากพระพุทธดำรัสนี้ว่า ทานคือการให้ปันสิ่งของที่เป็นประโยชน์แก่ผู้รับ มีข้าวน้ำเป็นต้นนั่นเอง ทำให้เขาเป็นคนมีโภคะมากในชาติต่อไป ความจริงในชาตินี้ ถ้าเราเป็นผู้มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แก่มิตรสหาย หรือคนบ้านใกล้เรือนเคียง มีอะไรแบ่งปันให้กัน มิตรสหายหรือคนบ้านใกล้เรือนเคียงนั้น เขาก็แบ่งปันของของเขาให้แก่เราเหมือนกัน ทั้งๆ ที่เวลาให้เราก็ไม่เคยหวังผลตอบแทนเลย คือให้ด้วยน้ำใจ ให้ด้วยความนับถือ มิได้คิดที่จะได้สิ่งตอบแทน แต่เพราะความมีน้ำใจของเรา เราก็ได้รับความมีน้ำใจจากผู้อื่นเช่นกัน ทั้งนี้เพราะการให้เป็นการผูกไมตรีต่อกัน ทั้งผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของผู้รับเสมอ
    ในทางตรงข้าม ถ้าเรามีแต่ความตระหนี่ ให้อะไรใครก็ไม่ได้ เสียดายหวงแหนไปหมด ผลที่ได้รับก็คือความอดอยากยากจน ไม่มีใครต้องการคบหาสมาคมด้วย เราไม่เคยมีของไปให้ใครเลยแล้วจะมีใครเขาเอาของมาให้เราเล่า ในเมื่อเราไม่เคยผูกมิตรไมตรีกับใครเลย เพราะฉะนั้นผู้ที่ตระหนี่หวงแหน ตายไปแล้วจะมักเกิดเป็นเปรตได้รับความลำบาก อดอยาก หิวโหยอยู่เสมอ ต้องรอเวลาที่มีผู้ทำบุญอุทิศไปให้จากโลกมนุษย์นี้เท่านั้น จึงจะบรรเทาความหิวโหย ได้อิ่มหนำกันทีหนึ่ง เพราะฉะนั้น ถ้าไม่ต้องการอดอยาก ก็ไม่ควรตระหนี่หวงแหน
    อีกประการหนึ่ง นอกจากทานจะให้ผลทำให้เป็นผู้มีโภคะมากแล้ว แม้ศีลคือการรักษาศีลก็สามารถให้โภคสมบัติเช่นเดียวกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ผู้มีศีลย่อมได้รับโภคทรัพย์ใหญ่ เพราะความไม่ประมาทเป็นเหตุ การรักษาศีลด้วยความสำรวมระวังไม่ล่วงละเมิด ชื่อว่ารักษาศีลด้วยความไม่ประมาท การรักษาศีลด้วยความไม่ประมาท นี่แหละเป็นเหตุให้ได้รับโภคทรัพย์ใหญ่ ทั้งนี้เพราะผู้มีศีลตายแล้วย่อมเกิดในสุคติโลกสวรรค์ ก็สมบัติในสวรรค์นั้นเมื่อเทียบกับสมบัติในเมืองมนุษย์แล้ว ย่อมเทียบกันไม่ได้เลย
    เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ผู้มีศีลย่อมได้รับโภคทรัพย์ใหญ่ ซึ่งหมายถึงสมบัติอันมโหฬารในสวรรค์นั่นเอง นั่นเป็นเรื่องของการได้รับผลในชาติหน้า ส่วนผลในชาตินี้ของผู้มีศีลในข้อนี้ก็มีอยู่ แต่ไม่อาจเทียบกับผลที่ได้รับในชาติหน้าได้เท่านั้นเอง
    ไม่ต้องดูอื่นไกล ลองสังเกตุดูพระภิกษุทั้งหลายที่ท่านมีลาภสักการะมาก แล้วจะเห็นว่า ท่านเป็นผู้มีศีลทั้งสิ้น ไม่มีใครที่ต้องการทำบุญกับพระทุศีล
    สรุปว่า ทั้งทานและศีลเป็นเหตุให้ร่ำรวยไม่อดอยาก

    สาธุครับ
     
  2. วงบุญพิเศษ

    วงบุญพิเศษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +649
     
  3. วิถีคนจร

    วิถีคนจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +226
    พระไตรปิฎก เล่มที่ ๗ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗
    จุลวรรค ภาค ๒



    ตรัสเรื่องศาสดา ๕ จำพวก
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศาสดา ๕ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก ๕ จำพวกเป็นไฉน คือ ศาสดาบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์ ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ และว่า ศีลของเราบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง สาวกทั้งหลายย่อมรู้ซึ่งศาสดานั้นนั่นอย่างนี้ว่า ศาสดาผู้เจริญนี้แล เป็นผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์ย่อมปฏิญาณว่า เราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ และว่า ศีลของเราบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง ก็พวกเรานี่แหละพึงบอกแก่พวกคฤหัสถ์ ศาสดานั้นไม่พึงมีความพอใจก็ความไม่พอใจใดแลจะพึงมี พวกเราจะพึงกล่าวกะศาสดานั้นด้วยความไม่พอใจนั้นอย่างไร ก็ศาสดานั้นย่อมนับถือบูชาเราด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ท่านจักทำกรรมใดไว้ ท่านก็จักปรากฏด้วยกรรมนั้นเอง ดูกรภิกษุทั้งหลาย สาวกทั้งหลาย ย่อมรักษาศาสดาเห็นปานนี้โดยศีลก็แลศาสดาเห็นปานนั้น ย่อมหวังการรักษาโดยศีลจากสาวกทั้งหลาย ฯ
    [๓๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ศาสดาบางคนในโลกนี้เป็นผู้มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์ ปฏิญาณว่า เราเป็นผู้มีอาชีวะบริสุทธิ์ ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย สาวกทั้งหลายย่อมรักษาศาสดาเห็นปานนั้นโดยอาชีวะ ก็แลศาสดาเห็นปานนั้น ย่อมหวังการรักษาโดยอาชีวะจากสาวกทั้งหลาย ฯ
    [๓๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ศาสดาบางคนในโลกนี้เป็นผู้มีธรรมเทศนาไม่บริสุทธิ์ ปฏิญาณว่า เราเป็นผู้มีธรรมเทศนาบริสุทธิ์ ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย สาวกทั้งหลายย่อมรักษาศาสดาเห็นปานนั้น โดยธรรมเทศนา ก็แลศาสดาเห็นปานนั้น ย่อมหวังการรักษา โดยธรรมเทศนา จากสาวกทั้งหลาย ฯ
    [๓๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ศาสดาบางคนในโลกนี้เป็นผู้มีไวยากรณ์ไม่บริสุทธิ์ ปฏิญาณว่า เราเป็นผู้มีไวยากรณ์บริสุทธิ์ ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย สาวกทั้งหลายย่อมรักษาศาสดาเห็นปานนั้นโดยไวยากรณ์ ก็แล ศาสดาเห็นปานนั้น ย่อมหวังการรักษา โดยไวยากรณ์ จากสาวกทั้งหลาย ฯ
    [๓๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ศาสดาบางคนในโลกนี้เป็นผู้มีญาณทัสสนะไม่บริสุทธิ์ ปฏิญาณว่า เราเป็นผู้มีญาณทัสสนะบริสุทธิ์ และว่า ญาณทัสสนะของเราบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง สาวกทั้งหลายย่อมรู้ซึ่งศาสดานั้นนั่นอย่างนี้ว่า ศาสดาผู้เจริญนี้แล เป็นผู้มีญาณทัสสนะไม่บริสุทธิ์ ปฏิญาณว่าเราเป็นผู้มีญาณทัสสนะบริสุทธิ์ และว่า ญาณทัสสนะของเราบริสุทธิ์ ผุดผ่องไม่เศร้าหมอง ก็พวกเรานี้แหละพึงบอกแก่พวกคฤหัสถ์ ศาสดานั้นไม่พึงมีความพอใจ ก็ความไม่พอใจใดแลจะพึงมี พวกเราจะพึงกล่าวกะศาสดานั้นด้วยความไม่พอใจนั้นอย่างไร ก็ศาสดานั้นย่อมนับถือบูชาเรา ด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ท่านจักทำกรรมใดไว้ ท่านก็จักปรากฏด้วยกรรมนั้นเอง ดูกรภิกษุทั้งหลาย สาวกทั้งหลายย่อมรักษาศาสดาเห็นปานนั้นโดยญาณทัสสนะ ก็แล ศาสดาเห็นปานนั้น ย่อมหวังการรักษา โดยญาณทัสสนะ จากสาวกทั้งหลาย
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ศาสดา ๕ จำพวกนี้แลมีปรากฏอยู่ในโลก
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ ปฏิญาณว่า เราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ และว่า ศีลของเราบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง และสาวกทั้งหลายย่อมไม่รักษาเราโดยศีล และเราก็ย่อมไม่หวังการรักษาโดยศีล จากสาวกทั้งหลาย
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เราเป็นผู้มีอาชีวะบริสุทธิ์ ...
    ... เป็นผู้มีธรรมเทศนาบริสุทธิ์ ...
    ... เป็นผู้มีไวยากรณ์บริสุทธิ์ ...
    ... เป็นผู้มีญาณทัสสนะบริสุทธิ์ ปฏิญาณว่า เราเป็นผู้มีญาณทัสสนะบริสุทธิ์ และว่า ญาณทัสสนะของเราบริสุทธิ์ ผุดผ่อง ไม่เศร้าหมอง และสาวกทั้งหลายย่อมไม่รักษาเราโดยญาณทัสสนะ และเราก็ย่อมไม่หวังการรักษาโดยญาณทัสสนะ จากสาวกทั้งหลาย
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่บุคคลจะปลงชีวิตตถาคต ด้วยความพยายามของผู้อื่นนั้นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส เพราะพระตถาคตทั้งหลาย ย่อมไม่ปรินิพพานด้วยความพยายามของผู้อื่น
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงไปที่อยู่ตามเดิม พระตถาคตทั้งหลายอันพวกเธอไม่ต้องรักษา ฯ
     
  4. วิถีคนจร

    วิถีคนจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +226
    ขอ ประกาศที่ 3

    ญาติธรรมกัลณามิตรทั้ง หลายที่ได้แสดงความเห็นต่างๆ ข้าพเจ้าไม่มีอะไรติดค้างขัดข้อง
    หรือเป็นไปด้วยอารมย์อันเศร้าหมองใดๆและไม่ถือว่าเป็นศรัตรูกัน เพียงแต่เป็นกันนำเสนอและการโต้ตอบทางข้อมูลเท่านั้น เพราะญาติธรรมเหล่านี้หากไม่ได้ศึกษาธรรมมะมาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย เราก็คงนำเสนอสนทนากันเรื่องนี้ไม่ได้

    ก็อณุโมทนาทุกท่านที่มีใจปฏิบัติธรรม กระทู้นี้เป็นเจตนารมย์ของข้าพเจ้าเอง
    หากข้อความใดเป็น อกุศลกรรม เพราะความประมาท ไม่รอบคอบของข้าพเจ้าเอง
    ข้าะเจ้าขอรับไว้เอง สา่ธุ....................................
     
  5. วิถีคนจร

    วิถีคนจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    696
    ค่าพลัง:
    +226
    ขอพิจรณาอีกรอบครับ
     
  6. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    <TABLE class=tborder border=0 cellSpacing=1 cellPadding=6 width="100%"><TBODY><TR><TD class=thead>ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 5 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) </TD><TD class=thead width="14%"><CENTER">[ แนะนำเรื่องเด่น ] </TD></TR><TR><TD class=alt1 width="100%" colSpan=2>หลงเข้ามา, วงบุญพิเศษ </TD></TR></TBODY></TABLE>

    เอาล่ะนะ วงบุญ

    เราทักไว้เฉยๆ ในอาราม พระกระผิดเล็กน้อย ปลงอาบัติ

    แต่ถ้าผิดขนาดลหุ ต้องสัฆทิเสท ต้องอยู่ปริวาสกรรม

    ปวารณาความผิดตามจำนวนวันที่ต้อง

    เราไม่รู้ว่าวัดธรรมกาย มีวิทยากรอบรมข้อนี้รึเปล่า

    ทีนี้เมื่อสิขาออกมา มันก็ติดออกมาด้วย นั่นแล ที่ทักกัน


    ส่วนเรื่องอื่นๆ เราก็รับฟัง

    แต่วงบุญมาตามแก้คำเราหรือท่านอื่น มันเกาไม่ถูกที่คันนะ

    เพราะวัดธรรมกายอาจมีเจตนาดี แต่ผลออกมาโดนด่าทุกที

    นั่นแปลว่าอะไร สื่อสารไม่ดีหรือ
     
  7. banpong

    banpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,437
    ค่าพลัง:
    +1,770


    ถ้าวิเคราะห์วัดพระธรรมกาย คนที่ไปทำบุญเขามีศรัทธามาก ถ้าไม่ศรัทธาแรงกล้า ขนาดวัดและกิจการของวัดคงไม่ ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ เต็มไปด้วยญาติธรรมกัลญานมิตร ที่มีความศรัทธาในศาสนาพุทธ แต่ญาติธรรมกัลญาณมิตรเหล่านั้น
    เมื่อมีศรัทธาบางท่านก็เห็นถึงการทำบุญที่เกินตัว บางท่านก็เห็นว่าการปฏิบัติผิดแนวทาง บางท่านก็เห็นว่าคำสอนช่างแปลกๆยังไงๆ แต่บางท่านก็ศรัทธาจนไม่สังเกตุเห็น เพราะถ้าเราสังเกตุดีมันก็ยังไงๆอยู่นะครับ ญาติธรรมเหล่านี้จะทำหน้าที่ป้องกันวัดธรรมกาย โดยอัตโนมัติ ยิ่งถ้าเด็กที่เข้าวัดธรรมกายตั้งแต่เด็ก
    ก็จะเข้าใจผิดๆไป จนคิดว่าวัดธรรมกายนั้นถูกแล้ว

    ผมไม่เคยพบการอธิบายเรื่อง มรรคมีองค์แปดของวัดพระธรรมกายเลย


    แต่ก็ยังโชคดีที่ยังมีพระไตรปิฏกอยู่นะครับเอาไว้สามารถเทียบได้


    แต่ผมก็ได้ข่าวว่ามีการ ค้นพบวิชาธรรมกายในจารึก ซึ่งต่างกับวิชาธรรมกาย ของวัปากน้ำ และวัดพระธรรมกายนะครับ ถ้าได้พบจะเอามาให้ดูกันนะครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 กุมภาพันธ์ 2011
  8. banpong

    banpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,437
    ค่าพลัง:
    +1,770
    มรรค 8 ( อัฏฐังคิกมรรค )


    ..(มรรค = อริยมรรค = มัชฌิมาปฏิปทา = มรรคแปด = ทางดำเนินชีวิตอันประเสริฐ = ทางสายกลาง)
    ..........แนวทางดำเนินอันประเสริฐของชีวิตหรือกาย วาจา ใจ เพื่อความหลุดพ้นจากทุกข์
    .....เรียกว่า อริยมรรค แปลว่าทางอันประเสริฐ เป็นข้อปฏิบัติที่มีหลักไม่อ่อนแอ จนถึงกับ
    .....ตกอยู่ใต้อำนาจ ความอยากแห่งใจ แต่ก็ไม่แข็งตึงจนถึงกับเป็นการทรมานกายให้เหือด
    .....แห้งจากความสุขทางกาย เพราะฉะนั้นจึงได้เรียกว่ามัชฌิมาปฏิปทา คือทางดำเนินสาย
    .....กลาง ไม่หย่อนไม่ตึง แต่พอเหมาะเช่นสายดนตรีที่เทียบเสียงได้ที่แล้ว

    ..........คำว่ามรรค แปลว่าทาง ในที่นี้หมายถึงทางเดินของใจ เป็นการเดินจากความทุกข์
    .....ไปสู่ความเป็นอิสระหลุดพ้นจากทุกข์ซึ่งมนุษย์หลงยึดถือและประกอบขึ้นใส่ตนด้วย
    .....อำนาจของอวิชชา ....มรรคมีองค์แปด คือต้องพร้อมเป็นอันเดียวกันทั้งแปดอย่างดุจเชือก
    .....ฟั่นแปดเกลียว องค์แปดคือ :-
    ..........1. สัมมาทิฏฐิ ิคือความเข้าใจถูกต้อง
    ..........2. สัมมาสังกัปปะ คือความใฝ่ใจถูกต้อง
    ..........3. สัมมาวาจา คือการพูดจาถูกต้อง
    ..........4. สัมมากัมมันตะ คือการกระทำถูกต้อง
    ..........5. สัมมาอาชีวะ คือการดำรงชีพถูกต้อง
    ..........6. สัมมาวายามะ คือความพากเพียรถูกต้อง
    ..........7. สัมมาสติ คือการระลึกประจำใจถูกต้อง
    ..........8. สัมมาสมาธิ คือการตั้งใจมั่นถูกต้อง
    .....การปฏิบัติธรรมทุกขั้นตอน รวมลงในมรรคอันประกอบด้วยองค์แปดนี้ เมื่อย่นรวมกัน
    .....แล้วเหลือเพียง 3 คือ ศีล - สมาธิ - ปัญญา สรุปสั้น ๆ ก็คือ
    ...............การปฏิบัติธรรม(ศีล-สมาธิ-ปัญญา)ก็คือการเดินตามมรรค
    ....

    .สัมมาทิฏฐิ(ปัญญา) (หัวข้อ)
    .....คือความเข้าใจถูกต้อง ย่อมต้องการใช้ในกิจการทั่วไปทุกประเภททั้งทางโลกและ
    .....ทางธรรม แต่สำหรับฝ่ายธรรมชั้นสูงอันเกี่ยวกับการเห็นทุกข์หรืออาสวะซึ่งจัดเป็น
    .....การเห็นอริยสัจจ์นั้นย่อมต้องการฝึกฝนอย่างจริงจังเป็นพิเศษ ความเข้าใจถูกต้อง
    .....คือต้องเข้าใจอย่างทั่วถึงว่าทุกข์นั้นเป็นอย่างไร อย่างหยาบๆ ที่ปรากฎชัดๆ เป็นอย่างไร
    .... อย่างละเอียดที่แอบแฝงเป็นอย่างไร เหตุให้เกิดทุกข์เป็นอย่างไร ความดับสนิท
    .....ของทุกข์มีภาวะอย่างไร มีลำดับอย่างไร ทางให้ถึงความดับทุกข์คืออะไร เดินให้ถึงได้
    .....อย่างไร สัมมาทิฏฐิมีทั้งที่เป็นโลกิยะคือของบุคคลที่ต้องขวนขวายปฏิบัติก้าวหน้าอยู่
    .....และสัมมาทิฎฐิที่เป็นโลกกุตตระ คือของพระอริยบุคคลต้นๆ ส่วนของพระอรหันต์นั้น
    .....เรียกเป็นวิชชาไปและไม่เรียกว่าองค์แห่งมรรค เพราะท่านถึงที่สุดแล้ว
    สัมมาสังกัปปะ(ปัญญา) (หัวข้อ)
    .....คือความใฝ่ใจถูกต้อง คือคิดหาทางออกไปจากทุกข์ตามกฎแห่งเหตุผล ที่เห็นขอบมาแล้ว
    .....ข้อสัมมาทิฏฐินั่นเอง เริ่มตั้งแต่การใฝ่ใจที่น้อมไปในการออกบวช การไม่เพ่งร้าย การ
    .....ไม่ทำทุกข์ให้แก่ผู้อื่นแม้เพราะเผลอ รวมทั้งความใฝ่ใจถูกต้องทุกๆอย่างที่เป็นไปเพื่อ
    .....ความหลุดพ้นจากสิ่งที่มนุษย์ไม่ประสงค์
    .สัมมาวาจา (ศีล) (หัวข้อ)
    .....คือการพูดจาถูกต้อง ไม่เป็นโทษต่อตนเอง และผู้อื่น
    .สัมมากัมมันตะ (ศีล) (หัวข้อ)
    .....คือการกระทำถูกต้อง ไม่เป็นโทษต่อตนเอง และผู้อื่น
    .สัมมาอาชีวะ (ศีล) (หัวข้อ)
    .....คือการดำรงชีพถูกต้อง ไม่เป็นโทษต่อตนเอง และผู้อื่น
    .สัมมาวายามะ (สมาธิ) (หัวข้อ)
    .....คือความพากเพียรถูกต้อง เป็นส่วนของใจที่บากบั่นในอันที่จะก้าวหน้า ไม่ถอยหลังจากทาง
    .....ดำเนินตามมรรค ถึงกับมีการอธิษฐานอย่างแรงกล้า
    .สัมมาสติ (สมาธิ) (หัวข้อ)
    .....คือการระลึกประจำใจถูกต้อง ระลึกแต่ในสิ่งที่เกื้อหนุนแก่ปัญญาที่จะแทงตลอด
    .....อวิชชาที่ครอบงำตนอยู่ โดยเฉพาะได้แก่กายนี้ และธรรมอันเนื่องเกี่ยวกับกายนี้ เมื่อ
    .....พบความจริงของกายนี้ อวิชชาหรือหัวหน้าแห่งมูลทุกข์ก็สิ้นไป
    .สัมมาสมาธิ (สมาธิ) (หัวข้อ)
    .....คือการตั้งใจมั่นถูกต้อง ได้แก่สมาธิ เป็นของจำเป็นในกิจการทุกอย่าง สำหรับในที่นี้เป็น
    .....อาการของใจที่รวมกำลังเป็นจุดเดียว กล้าแข็งพอทีจะให้เกิดปัญญา
    .....ทำการแทงตลอดอวิชชาได้ และยังเป็นการพักผ่อนของใจ ซึ่งเป็นเหมือนการลับให้ อ
    .....แหลมคมอยู่เสมอด้วย ฯลฯ
    ....cอองค์มรรคบางองค์ เป็นส่วนหยาบและสะสมขึ้นในตัวเราได้โดยง่ายคือ สัมมาวาจา
    .....สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สามองค์นี้ถูกอบรมให้สำเร็จเป็นวิรัติเจตสิกจำพวกกุศล
    .....เจตสิกเป็นเชื้อนอนนิ่งอยู่ในสันดาน เตรียมพร้อมที่จะมาผสมจิตคราวเดียวกันกับ
    .....มรรคองค์อื่นๆ เมื่อได้โอกาสอันเหมาะ แม้องค์มรรคที่ยากๆ เช่นสัมมาทิฏฐิ-สติ-สมาธิ
    ..... ก็เหมือนกัน ได้ฝึกอบรมมาเท่าใดก็เข้าไปนอนเนื่องติดอยู่ในสันดานเป็นกุศลเจตสิก
    .....อยู่อย่างเดียวกัน รอคอยกันจนกว่าจะครบทุกองค์และมีสัดส่วนพอดีกัน ก็ประชุมกัน
    .....เป็นอริยมรรคขึ้น ตัดกิเลสหรือสัญโญชน์ให้หมดไปได้คราวหนึ่งตามกำลังหรือชั้นของ
    .....ตน อาการสะสมกำลังแห่งองค์มรรคนี้ตรัสเรียกว่า "การอบรมทำให้มาก"
    .....สัมมาทิฏฐิเป็นตัวนำ เกิดขึ้นอ่อนๆก่อน เกิดขึ้นเท่าใดก็จูงองค์อื่นๆ ให้เกิดขึ้นตามส่วน
    .....องค์ที่เกิดขึ้นนั้นกลับช่วยสัมมาทิฏฐิให้คมกล้าขึ้นไปอีก สัมมาทิฏฐินั้นก็่จูงองค์นั้นๆให้
    .....กล้าขึ้นอีก และส่งเสริมชักจูงกันไปอีกทำนองนี้ จนกว่าจะถึงขีดที่เพียงพอและสามัคคี
    .....พร้อมกันได้ครบองค์ การอบรมทำให้มากอยู่เสมอนี้เองคือระยะแห่งการปฏิบัติธรรม
    .....ยิ่งมากก็ยิ่งเร็ว ยิ่งอธิษฐานใจกล้าก็ยิ่งแรง ยิ่งที่วิเวกก็ยิ่งสุขุมลึกซึ้ง ยิ่งชำนาญก็ยิ่งคมกล้า
     
  9. banpong

    banpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,437
    ค่าพลัง:
    +1,770
    อริยสัจ 4


    มีความจริงอยู่ 4 ประการคือ การมีอยู่ของทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ ความดับทุกข์ และ หนทางไปสู่ความดับทุกข์ ความจริงเหล่านี้เรียกว่า อริยสัจ 4

    1. ทุกข์
    คือ การมีอยู่ของทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ และตายล้วนเป็นทุกข์ ความเศร้าโศก ความโกรธ ความอิจฉาริษยา ความวิตกกังวล ความกลัวและความผิดหวังล้วนเป็น ทุกข์ การพลัดพรากจากของที่รักก็เป็นทุกข์ ความเกลียดก็เป็นทุกข์ ความอยาก ความยึดมั่นถือมั่น ความยึดติดในขันธ์ทั้ง 5 ล้วนเป็นทุกข์

    2. สมุทัย
    คือ เหตุแห่งทุกข์ เพราะอวิชา ผู้คนจึงไม่สามารถเห็นความจริงของชีวิต พวกเขาตกอยู่ในเปลวเพลิงแห่งตัณหา ความโกรธ ความอิจฉาริษยา ความเศร้าโศก ความวิตกกังวล ความกลัว และความผิดหวัง

    3. นิโรธ
    คือ ความดับทุกข์ การเข้าใจความจริงของชีวิตนำไปสู่การดับความเศร้า โศกทั้งมวล อันยังให้เกิดความสงบและความเบิกบาน

    4. มรรค
    คือ หนทางนำไปสู่ความดับทุกข์ อันได้แก่ อริยมรรค 8 ซึ่งได้รับการหล่อ เลี้ยงด้วยการดำรงชีวิตอย่างมีสติความมีสตินำไปสู่สมาธิและปัญญาซึ่งจะปลดปล่อย ให้พ้นจากความทุกข์และความโศกเศร้าทั้งมวลอันจะนำไปสู่ความศานติและ ความเบิกบาน พระพุทธองค์ได้ทรงเมตตานำทางพวกเราไปตามหนทางแห่งความรู้แจ้งนี้
     
  10. banpong

    banpong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2005
    โพสต์:
    1,437
    ค่าพลัง:
    +1,770
    ก็ขอ แจมสักนิดหนึ่ง ด้วยเหตุด้วยด้วยผล สักนิดหนึ่งนะครับ ผิดพลาดอะไร ขอขมา ณ ตรงนี้ครับผม
     
  11. ฐาณัฏฐ์

    ฐาณัฏฐ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มกราคม 2008
    โพสต์:
    6,197
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +4,075
    อนุโมทนาด้วยครับ

    คุณได้บทความนี้แต่ใดมา


    ขอเสริมสัมมาสังกัปปะ หน่อย

    เห็นถูกต้อง ไม่ต้องคิดอะไรเชิงตรรกะ

    เห็นสภาพ อนิจัง ทุกขัง เห็นความแปรปวน ไม่เที่ยงบังคบไม่ได้ ว่า เป็นอนัตตา
     
  12. yavoiii

    yavoiii Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    158
    ค่าพลัง:
    +65
    --นับถือความพยายามของคุณวงบุญจริงๆ--

    มีบอร์ดอื่นที่ต้องไปทำหน้าที่แบบนี้อีกรึป่าวครับ เป็นคนอื่นคงถอดใจไปแล้ว
    ก็โอเคนะครับ ยังไงก็พุทธด้วยกัน
     
  13. วงบุญพิเศษ

    วงบุญพิเศษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +649


    อนุโมทนาครับ

    เมื่อจิตสดใส ไม่เศร้าหมอง สุคติเป็นที่ไป
     
  14. วงบุญพิเศษ

    วงบุญพิเศษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +649


    แต่ผลออกมาโดนด่าทุกที

    เพราะคนที่เคยด่าก็ยังด่าวันยังค่ำ คนที่เคยศรัทธาก็ศรัทธาวันยังค่ำ


    ช่วง2541-2543 โดนสื่อโจมตีซะขนาดนั้น สังคมไทยถูกใส่ข้อมูล

    ซะขนาดนั้น ทั้งๆที่วัดนี้ทำอะไรก็เข้าท่าน่ะ ผมว่า ทำอะไรก็ตรงใจ ตรงจริตผมดีอ่ะ
     
  15. วงบุญพิเศษ

    วงบุญพิเศษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +649


    ไม่ทราบจะว่ายังไงเหมือนกันน่ะ แล้วแต่ฐานบารมีจะไปถึง ส่วนมรรคมีองค์แปดนั้น มีพุดแน่นอนครับ แต่ไม่ได้พูดทุกวันก็เท่านั้นเอง
     
  16. ยอดผธู

    ยอดผธู เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    302
    ค่าพลัง:
    +272
    เออนะตรงจริตวัดนี้ก็คงเหมาะกับคนอย่างคุณแหล่ะ
    ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่วคุ้นๆนะว่ามั้ย
     
  17. วงบุญพิเศษ

    วงบุญพิเศษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +649



    โดยส่วนตัวผมชอบเว็บนี้น่ะ เป็นคนมีปัญญา มีเหตุผล ไม่เหมือนเว็บ "พันนั้น"

    ในเว็บนี้มีการจุดประกายเรื่องวัดพระธรรมกายเป็นระยะน่ะ ผมบางทีก็เข้าไปยุ่ง บางทีก็ไม่ยุ่งน่ะ แล้วแต่อารมณ์ครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กุมภาพันธ์ 2011
  18. วงบุญพิเศษ

    วงบุญพิเศษ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    486
    ค่าพลัง:
    +649
    ส่วนตัวผมนั้น เป็นคน "รักในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า" ตั้งแต่เด็ก พยายามทุกวิถีทางเพื่อพระพุทธศาสนาอยู่แล้ว ผมอายุ6ขวบ สะสมเงินได้100บาทแรกก็เอาไปทำบุญ อายุ7ขวบสะสมเงินได้250บาทแรกก็เอาไปทำบุญน่ะ ตอนนั้นยังไม่รู้จักวัดพระธรรมกายน่ะ ผมชอบเข้าทุกวัดตั้งแต่เด็กๆอยู่แล้ว และก็อ่านหนังสือธรรมะทุกสาย ทุกสำนักมากๆ โตขึ้นมาก็เอาเงินค่าขนมซื้อหนังสือธรรมะมาอ่าน ที่บ้านมีเป็นหลายร้อยเล่ม อ่านแล้วจะต้องแตกฉานในหนังสือนั้นๆ ผมตั้งใจแบบนี้ทุกครั้ง ผมอ่านธรรมะได้ทั้งคืนน่ะ ตั้งแต่เด็กแล้ว ชอบทำบุญและนั่งสมาธิมาก อายุ8ขวบก็รวบรวมเงินกับเพื่อนที่โรงเรียน รวบรวมได้400บาทเศษ ก็เอาไปถ่ายเอกสารหนังสือสวดมนต์แล้วก็เดินแจกแถวๆบ้าน พ่อแม่ผมเป็นคนไม่เขาวัดน่ะครับ แต่ชอบงานมูลนิธิ เป็นคณะกรรมการกู้ภัย พ่อแม่ผมชอบงานสังคมสงเคราะห์ ตั้งแต่อายุ15ปีผมตื่นนอนเองตั้งแต่ตี5 มาใส่บาตรทุกเช้าเลยครับ วันแรก1รูป วันต่อๆมาก็เพิ่มจำนวนโดยใช้เงินค่าขนมตัวเอง เหตุที่ผมรู้จักวัดพระธรรมกายเพราะผมเป็นคนชอบการเมืองการปกครองมาก ตั้งแต่มีการขับไล่รัฐบาลทักษิณปี2548 ตอนนั้นผมอายุ14ปี พ่อกับแม่ผมหาว่าผมบ้า แต่ผมก็ไม่สนใจ เข้าร้านหนังสืออ่านการเมืองทุกเล่ม อาจเรียกได้ว่าแตกฉานในการเมืองและประวัติศาสตร์ ประมาณเดือนกันยายน2552 ผมอายุ17ปี ขณะที่ผมกำลังดูASTV ช่วงโฆษณษผมก็เปิดไปเจอช่อง DMCครับ ตั้งแต่นั้นผมก็ดูทุกวันเพราะชอบฟังพระเทศน์ ไม่ว่าพระที่ไหน เทศน์ยังไง เทศน์จนคนอื่นหลับผมก็ยังตื่นตัวและคิดตาม+จำ

    เมื่อรู้ว่าเป็นของวัดพระธรรมกายก็เปิดในGoogle ศึกษาทั้งรูปแบบ วิธีการ ดูวิดีโองานของวัดย้อนหลังทุกงานเท่าที่มีในอินเตอร์เน็ท ผมดูทั้งคืนน่ะ อ่านในพันทิปซึ่งมีแต่ข้อมูลด้านลบ ผมอ่านไปกว่า100กระทู้ ผมอ่านอย่างตั้งใจทุกความคิดเห็นจนสามารถจับจุดของคนที่ไม่ชอบวัดได้ ผมอ่านแล้วก็วิเคราะห์ดู และก็เข้าไปคุยในเว็บบอร์ดของทางวัดพระธรรมกาย คุยกับพวกเขา

    จนในที่สุดผมสอบได้เภสัช ตอนนี้ผมเรียนอยู่ปี1 มาเรียนในกรุงเทพ (ผมเป็นคนจังหวัดสุราษฎร์ธานีน่ะครับ) ผมก็หาทางไปวัดพระธรรมกายทันทีครับ ทั้งๆที่พ่อแม่ผมก็เฉยๆน่ะ ท่านยังไม่เคยมาวัดพระธรรมกายเลยด้วยซ้ำ (ในขณะที่พิมพ์อยู่นี่ผมก็ดูASTV เรื่องปราวาทพระวิหารอยู่น่ะ) อิอิ

    ทุกวันนี้ผมก็เข้าทุกวัด ไปทุกที่ๆจะไปได้ ส่วนตัวผมเป็นพุทธภูมิน่ะครับ คิดได้ตั้งแต่อายุ5ขวบแล้วว่า "ทุกอย่างทางธรรมที่พูดๆกันอยู่นั้น จะไม่บังเกิดขึ้นได้เลยหากสังสารวัฎนี้ขาดพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"

    ที่เขียนขึ้นมานี้เพื่อทุกคนจะได้เข้าใจผมมากขึ้น

    บางคนจับผมได้ว่าผมชอบการเมือง แต่ผมแยกแยะได้น่ะครับ ก็วัดนี้อยู่ภาคกลางเยื่องไปทางเหนือ-อีสาน คนเข้าวัดจากทางเหนือ-อีสานก็มาวัดง่ายกว่าคนใต้ซึ่งเดินทางมาลำบากกว่า เมื่อเป็นแบบนี้ ในวัดย่อมเต็มไปด้วยคนที่มีทัศนะคติทางการเมืองฝั่งตรงข้ามผม ส่วนเรื่องทักษิณช่วยวัดนั้น ผมเข้าใจอะไรมากกว่านั้นน่ะ ผมเข้าใจการทำงานเพื่อพระศาสนาให้ยืนยงจริงๆ ผมอ่านสามก๊กจบไปไม่ต่ำกว่า3ครั้งน่ะครับ




    เอาเป็นว่าถ้าใครเบื่อเรื่องนี้แล้ว ก็คุยการเมืองได้น่ะ

    ยังไงก็ขอฝากพระศาสนาไว้ด้วยน่ะ ทุกท่านก็คงรักพระศาสนาเหมือนผม ส่วนที่คุยๆกันไปนั้น ไม่ถูกใจใครก็ขออโหสิกรรมไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 กุมภาพันธ์ 2011
  19. กัปปะ

    กัปปะ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    271
    ค่าพลัง:
    +118
    เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง...คนเราเมื่อหมกมุ่นกับสิ่งใด ย่อมมีความรู้สึกผูกพันจนคำว่าผูกพันอยู่เหนือเหตุและผล ย่อมที่จะไม่รับฟังความเห็นผู้อื่น ยิ่งที่เขาบอกว่ากำลังเรียนอยู่สายไหนแล้ว ยิ่งรู้สึกกลัวแทนคนอื่นๆ ถ้าไปเจอเขาประกอบวิชาชีพนั้นๆ ถ้าเขายังมีความคิดแบบนี้ คือเชื่อมั่นในตัวเองจนไม่รับฟังผู้อื่น อาจทำให้มีคนเจ็บหรือตายได้นะ...
     
  20. kamoochi

    kamoochi เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    404
    ค่าพลัง:
    +326


    สุดยอดครับ ขออนุโมทนา ทุกๆความเห็นเป็นไปเพื่อปัญญาไม่ใช่เพื่อการถกเถียงเข้าความเห็นตน ที่สนธนากันก็เพื่อความเห็น หากมีข้อความไหนไม่ถูกใจผมก็ต้องขออโหสิกรรมไว้เช่นกันครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...