วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. yokine

    yokine เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กันยายน 2007
    โพสต์:
    494
    ค่าพลัง:
    +602
    อ่านแล้ว ขนพองสยองเกล้าอ่ะคับ ขนลุกยังไงไม่รู้ จะว่ากลัวก็ด้าย ขอภาวานาให้ตายก่อน จะทันมั๊ยไม่รู้แฮะ
     
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    หลวงพ่อสอนเรื่องเรื่อง..ปฏิปทาพระโพธิสัตว์

    <HR style="COLOR: rgb(255,255,255)" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message --><CENTER>[​IMG]</CENTER><CENTER>เรื่อง..ปฏิปทาพระโพธิสัตว์</CENTER>
    สำหรับท่านที่บำเพ็ญตนซึ่งปรารถนาเป็น พระโพธิสัตว์ปรารถนาพุทธภูมิ คนที่ปรารถนาพุทธภูมินี่ต้องสร้างกำลังใจให้ถูกต้อง มิฉะนั้นการก้าวเข้าสู่ฐานะพุทธภูมิจะไม่มีผล
    สำหรับท่านที่ปรารถนาเป็นพุทธภูมิ เป็นของดี แต่จะต้องทำความรู้สึกไว้เสมอว่า เราปฏิบัตินี้เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก เราต้องการรื้อสัตว์ ขนสัตว์ที่มีความทุกข์ให้มีความสุข
    ฉะนั้นขณะใดที่กำลังใจปรารถนาพุทธภูมิ จิตจะต้องคิดอยู่เสมอว่า ทุกข์ของตนไม่มีความหมาย แต่ว่าทุกข์ของชาวประชาทั้งหลาย เป็นภาระของเรา เขาทำกำลังใจกันแบบนี้ หมายความว่า เราจะทุกข์แค่ไหนนั้นมันเป็นเรื่องของเรา ไม่มีความสำคัญ จิตใจของเรานั้นเราคิดว่า เราจะพ้นทุกข์ได้ เพราะว่าเราช่วยเหลือความสุขแก่บรรดาประชาชนที่มีความทุกข์ ถ้าเราเปลื้องทุกข์ของเขาได้ เราก็เป็นคนหมดทุกข์ เราสร้างให้เขาเป็นคนมีความสุขได้ เราก็เป็นคนมีความสุข จิตใจของพระโพธิสัตว์มีอารมณ์อย่างนี้ แต่ทว่าให้เป็นไปตามบารมี
    เพราะว่าบารมีของพระโพธิสัตว์นั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นการเริ่มต้นแห่งการปรารถนาพุทธภูมิ กำลังใจที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตาปราณี ก็จะมีบริษัทมาก จะมีพวกมาก จะมีบริวารมาก การมีพวกมาก การมีลูกน้องมาก การมีบริวารมาก เป็นการฝึกกำลังใจของนักปฏิบัติเพื่อพุทธภูมิ เพื่อจะได้ซ้อมกำลังใจของเราว่า เรามีความหนักแน่นเพียงใด ถ้าจิตใจของเรามีความท้อถอย นั่นหมายความว่า กำลังใจการจะก้าวเข้าไปหาพุทธภูมิยังมีกำลังอ่อนมาก นักปรารถนาพุทธภูมิจะต้องมีทั้ง ขันติ และ ก็ โสรัจจะ
    ขันติ มีความอดทนต่อความยากลำบากทุกประการ เพื่อความสุขของปวงชน
    โสรัจจะ ถึงแม้จะกระทบกระทั่งที่ทำใจให้ตนไม่สบายเพียงใดก็ตาม ก็ทำหน้าแช่มชื่นไว้เสมอ
    นี่เป็นก้าวแรกสำหรับพุทธภูมิ ท่านผู้ปรารถนาพระโพธิญาณ แต่ทว่ากำลังใจอีกส่วนหนึ่งจะละเว้นไม่ได้นั่นคือ พระนิพพาน จงอย่าคิดว่าถ้าจิตเราเกาะพระนิพพานแล้วความเป็นพุทธภูมิจะหายไป ถ้ามีอารมณ์อย่างนี้ต้องถือว่าเป็นผู้มีกำลังใจต่ำ ก้าวไม่ถึงก้าวสำคัญของพุทธภูมิ
    พุทธภูมิ จะต้องมีความรู้สึกอยู่เสมอว่า เราเป็นผู้ที่ต้องการพระนิพพาน อารมณ์ใดที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารทรงแนะนำในด้านวิปัสสนาญาณ ต้องเกาะให้ติด และมีกำลังใจใช้ปัญญาพิจารณาไว้เสมอ เพื่อความสุขของจิต เพื่อปัญญาเลิศ นอกจากนั้นแล้ว ก็มีจิตตั้งไว้เสมอว่า ถ้าหากจิตของเราบริสุทธิ์ผุดผ่องเมื่อไร เมื่อนั้น บารมีของเรานี้ไซร้จะเข้าเต็มเปี่ยมในขั้นพุทธวิสัย ชื่อว่า การปรารถนาพระโพธิญาณของเรานี้เข้าถึงแน่ แต่ว่าการที่เราจะเข้าพระนิพพานคนเดียวเราไม่เข้า มองใจเข้าไว้ว่า บุคคลใดที่มีความทุกข์ ในโลกที่ยังมีความฉลาดไม่พอ บุคคลนั้นเราเองจะเป็นผู้อุ้มเขาไปสู่แดนเอกันตบรมสุข คือ พระนิพพาน

    <CENTER>อันนี้เป็นกำลังใจของท่านที่ปรารถนาพระโพธิญาณ</CENTER>
     
  3. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    <CENTER>คำสอนสมเด็จองค์ปฐม</CENTER>


    “ดูก่อนท่านทั้งหลาย ท่านที่มาประชุมทั้งหมด จะเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ขอทุกท่านจงอย่าลืม ความตาย นั่นหมายถึงว่าการจุติ ลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าได้เพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง จงดูภาพมนุษย์ว่ามนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด เมืองมนุษย์มีแต่ความทุกข์ ต้องประกอบกิจการงานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวัง ทุกอย่างต้องใช้แรงงาน​
    แต่ว่ามาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า ทุกอย่างหมดสิ้น นั่นหมายความว่าไม่ต้องทำอะไรเลย ร่างกายอิ่มเป็นปกติ ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่นไม่ต้องห่มผ้า และมีความปรารถนาสมหวัง ก็หมายความว่า ถ้าจะไปทางไหนก็สามารถลอยไปถึงที่นั่นได้ทันทีทันใด ความป่วยไม่มี ความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง ความเป็นทิพย์อย่างนี้ ท่านทั้งหลายจงอย่ามัวเมา จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่าเราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาลตลอดสมัย

    ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีอายุจำกัดตามบุญวาสนาบารมี ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องจุติ คือตาย แต่ว่าท่านทั้งหลายจงอย่าลืมว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมดที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด แม้แต่จะเป็นพระอริยเจ้า ที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าก็มาก จงอย่าลืมว่าทุกท่านยังมีบาปติดตัวอยู่ และการสะสมบาปมาเป็นชาติๆยังมีมากมาย”
    (พอพระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ บรรดาท่านทั้งหลาย อาตมาก็ใช้กำลังใจดูร่างกายของเทวดา นางฟ้ากับพรหม เห็นเงาบาปอยู่ภายใน หนามาก เป็นอันว่าทุกองค์ต่างมีบาป แต่ก็มาเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหมได้ แต่ก็ดูตัวเองเวลานั้น ร่างกายของตัวเองก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกัน ต่อไปองค์สมเด็จพระภควันต์ทรงตรัสว่า)

    “ภิกขเว…ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย (เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์) และท่านทั้งหลายที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด จงอย่าลืมว่าทุกท่านมีบาปติดตัวมามากมาย อาศัยบุญเล็กน้อยก่อนจะตายจิตใจนึกถึงบุญก่อน จึงได้มาเกิดบนสวรรค์บ้าง มาเกิดบนพรหมบ้าง ถ้าหากว่าท่านจุติเมื่อไร โน่น…นรก! (ท่านชี้มือลงเห็นนรกไฟสว่างจ้าแดงฉานไปหมด) ท่านทั้งหลายจะต้องพุ่งหลาวลงนรก เพราะใช้กฎของกรรมคือบาป ชำระหนี้บาป กว่าจะมาเกิดเป็นคนก็นานหนักหนา และมาก็เป็นคนแล้วก็ไม่แน่ว่าจะได้กลับมาเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหมใหม่
    ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าเป็นคนอาจจะทำบาปใหม่ อาจลงนรกไปใหม่ก็ได้ ฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ มาอยู่สวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี เป็นทางครึ่งหนึ่งของนิพพานระหว่างมนุษย์กับนิพพาน เป็นอันว่าท่านทั้งหลายได้ครึ่งทาง การมาได้ครึ่งทางของท่านทั้งหลาย จงดูนั่น…นิพพาน!”

    (ท่านก็ยกมือชี้ขึ้นให้ดูพระนิพพาน เวลานั้นเทวดา นางฟ้า กับพรหมทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกัน เห็นพระนิพพานไสวสว่างจ้า มีวิมานสีเดียวกันคือ สีแก้วแพรวพรายเป็นระยับ เป็นแก้วสีขาว พระอรหันต์ทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นมีความสุขขนาดไหน มีความเข้าใจหมด แล้วองค์สมเด็จพระบรมสุคตก็ทรงกลับมาพูดกับเทวดา กับนางฟ้าใหม่ว่า)

    “ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้าการจุติมีคราวนี้ ถ้าบุญวาสนาบารมีของเรานี้สิ้นสุดลง เราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์ เราจะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่ไปเกิดเป็นพรหม เราต้องการไปพระนิพพานจุดเดียว และการไปนิพพานนี่ ท่านทั้งหลายต้องยึด อารมณ์พระนิพพาน เป็นสำคัญ สำหรับพรหมก็ดี เทวดาก็ดี นางฟ้าเก่าๆก็ดี อาตมาไม่หนักใจ ทั้งนี้เพราะมีความเข้าใจแล้ว (ก็แสดงว่าพรหม เทวดา นางฟ้า เป็นพระอริยเจ้ามาก)
    ที่มีความเป็นห่วง ก็เป็นห่วงเทวดา นางฟ้าใหม่ๆ ที่มาเกิดใหม่ๆ จะหลงความเป็นทิพย์ นั่นหมายความว่าจะมีความเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ยังมีความรู้สึกว่าเราจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไป จะไม่มีการจุติ จะไม่มีการเคลื่อน อันนี้เป็นความเห็นที่ผิด จงคิดตามนี้เพื่อพระนิพพาน นั่นคือ จงมีความรู้สึกว่าเราจะต้องจุติวันนี้ไว้เสมอ และอาการของชีวิตนี่เป็นของที่ไม่แน่นอน เราจะตายเมื่อไรก็ได้ ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่เป็นของไม่เที่ยง

    เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว ทุกท่านจงอย่าประมาท จงใช้ปัญญาพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่าท่านทั้งหลายควรจะเคารพไหม ถ้าจิตใจของท่านมีศรัทธา มีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ก็เป็นอาการขั้นที่สองที่ท่านจะไปนิพพานได้

    หลังจากนั้น ขอท่านทั้งหลาย จงทรงศีลให้บริสุทธิ์ จะเป็นศีล ๕ ก็ตาม ศีล ๘ ก็ตาม กรรมบถ ๑๐ ก็ตาม ศีล ๒๒๗ ก็ตาม” (พอท่านพูดถึงศีล ๒๒๗ ก็คิดในใจว่า เทวดาจะไปบวชที่ไหน องค์สมเด็จพระจอมไตรก็หันหน้ามาตรัสว่า)

    “ฤาษี…เทวดาเขาไม่ต้องบวช อย่างเทวดาชั้นยามาก็ดี ชั้นดุสิตก็ดี อย่างนี้เขามีศีลครบถ้วนบริบูรณ์ทั้ง ๒๒๗ เหมือนกับความเป็นพระ พรหมก็ตาม เช่นเดียวกัน ทุกท่านอยู่ด้วยธรรมปีติ ทุกท่านอยู่ด้วยความสุข เขาไม่อาบัติ สิ่งที่จะเป็นอาบัติไม่มี สิ่งที่จะเป็นบาปไม่มี”

    (แล้วท่านก็หันหน้าไปหาเทวดา นางฟ้า กับพรหมว่า)

    “ขอทุกท่านจงอย่าลืมว่า เราจะเป็นผู้มีศีล ให้ตั้งเฉพาะศีล ๕ ก็ดี ศีล ๘ ก็ได้ ศีล ๑๐ ก็ได้ กรรมบถ ๑๐ ก็ได้ ศีล ๒๒๗ ก็ได้ ตั้งใจไว้ว่า เราจะไม่ละเมิดศีล หลังจากนั้นจึงมีจิตใช้ปัญญา คิดว่าการเกิดเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี เป็นพรหมก็ดี มีสภาพไม่เที่ยง จะต้องมีการจุติเป็นวาระสุดท้าย ในเมื่อการจุติจะเกิดขึ้น อารมณ์จะทุกข์ จงคิดไว้เสมอว่า เราจะต้องจุติ ในเมื่อเราจะต้องจุติ เราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เราจะไม่เกิดเป็นมนุษย์

    ท่านทั้งหลาย จงดูภาพของมนุษย์ (แล้วพระองค์ก็ชี้มาที่เมืองมนุษย์ มนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวาย มนุษย์เต็มไปด้วยการงานต่างๆ มนุษย์มีความหิว มีความกระหาย มีความอยาก มีความต้องการไม่มีสิ้นสุด สิ่งทั้งหลายที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้ว จะเป็นทรัพย์สินยังไงก็ตาม ในเมื่อเราตายจากความเป็นมนุษย์ เราก็หมดสิทธิ์ อย่างบางท่านเป็นพระมหากษัตริย์ อยู่ในพระราชฐานดีๆสร้างไว้เป็นที่หวงแหน คนภายนอกเข้าไม่ได้ เข้าได้แต่คนภายใน
    แต่ว่าท่านทั้งหลายเมื่อตายมาแล้วกลับไปเกิดเป็นคน หากว่าท่านไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ตามเดิม ท่านเป็นประชาชนคนภายนอก ท่านจะไม่มีสิทธิ์เข้าเขตนั้นเลย ทั้งๆที่เป็นของที่ท่านสร้างเอาไว้ ท่านทำเอาไว้ทุกอย่าง แล้วท่านจะไม่มีสิทธิ์ นี่คือความไม่แน่นอนของความเป็นมนุษย์ มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นคนก็ต้องหยุด ต้องเดินไปเดินมาทำกิจการงานทั้งวัน เพื่อผลประโยชน์หน่อยเดียว คือเงิน ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ เพราะมีความจำเป็นต้องหางเงิน (ในเมื่อท่านตรัสอย่างนี้แล้วก็บอกว่า)
    จงอย่าคิดเป็นมนุษย์ต่อไป ตัดความเป็นมนุษย์เสีย เลิกความหมายความเป็นมนุษย์ เห็นว่าโลกมนุษย์เป็นทุกข์ มีความเกิดขึ้นและมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย การพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความตายเป็นที่สุด และจงอย่าอยากเป็นเทวดา อยากเป็นนางฟ้า เป็นพรหมต่อไป เพราะเทวดา นางฟ้า กับพรหมก็มีสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน

    เมื่อมีความคิดในเบื้องต้น ก็มีความเปลี่ยนแปลงไปธรรมดา ก็มีความจุติไปในที่สุด ทุกคนหวังนิพพานเป็นที่ไป ตั้งใจไว้เสมอว่าเราจะเป็นผู้มีศีล เราจะนับถือพระไตรสรณคมน์คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ แล้วก็เราจะต้องจุติในวันหน้า ตถาคตมีความรู้สึกว่า ท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดา นางฟ้า พรหมเก่าๆมีความเข้าใจดีแล้ว (คำว่า “เข้าใจ” บรรดาท่านพุทธบริษัทหมายถึงว่า เขาปฏิบัติได้ นี่คืออารมณ์พระโสดาบันกับอารมณ์พระอรหันต์)
    สำหรับเทวดา นางฟ้า และพรหมใหม่ จงตั้งใจไว้เสมอว่า จงลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไป และมันจะทุกข์ทีหลัง ตั้งใจคิดว่าความสุขที่ได้มานี่ เราได้มาจากบุญเล็กน้อยเท่านั้น และบาปใหญ่ที่ขังอยู่ที่ตัวของเรายังมีอยู่ ถ้าเราเผลอไม่สร้างความดี ในเมื่อจุติความเป็นเทวดาหรือพรหมในภพนี้แล้ว ทุกคนจะต้องลงอบายภูมิ

    จงดูภาพนรกว่า มีขุมไหนที่น่าอยู่น่ารัก มันไม่น่าอยู่ไม่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงาน เราจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์ และก็ดูเทวดา นางฟ้า กับพรหม มนุษย์ที่เดินเกลื่อนถนน ทุกคนที่อยู่ในเมืองมนุษย์ เคยเป็นเทวดา เคยเป็นนางฟ้า เคยเป็นพรหมแล้ว ท่านทั้งหลาย จงตั้งใจไว้เฉพาะนิพพาน จงดูภาพพระนิพพานให้ชัดเจนแจ่มใสว่า ดินแดนพระนิพพานไม่มีที่สิ้นสุด…” (เมื่อพระองค์ตรัสเพียงนี้ พระองค์ก็จบ)

    (หลวงพ่อได้สรุปใจความสั้นๆตามที่ท่านเทศน์ไว้ดังนี้)

    “ท่านทั้งหลาย การหลบหลีกไม่ต้องตกอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น เป็นของไม่ยาก
    ๑. ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย จงคิดว่าความตายอาจจะมีกับเราเดี๋ยวนี้ ไว้เสมอๆ
    ๒. เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยศรัทธาแท้ (ด้วยความจริงใจ)
    ๓. มีศีลบริสุทธิ์เป็นปกติ และ
    ๔. เป็นกรณีพิเศษ ปฏิเสธการเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา นางฟ้า และพรหม ในชาติต่อไป ทุกท่านเห็นนิพพานแล้ว ตั้งใจไปพระนิพพานโดยเฉพาะ เท่านี้ทุกท่านจะหนีอบายภูมิพ้น และไปพระนิพพานได้ในที่สุด)”

    หมายเหตุ : เทศน์ที่ “เทวสภา” วันที่ ๘ สิงหาคม ๒๕๓๕ เวลา ๐๘.๐๐ น. พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน เมตตาเล่าให้ลูกหลานฟัง เมื่อวันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๓๕ เวลา ๒๑.๐๐ น.
     
  4. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    มีพี่ๆน้องๆหลายๆท่านได้ขอให้รวบรวมคำอธิฐานต่างๆเอาไว้ในที่เดียว เพื่อความสะดวก ก็เลยขออนุญาตมารวมเอาไว้ให้ใหม่ครับ

    ขอนำเอาคำอธิฐานของท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิเป็นเบื้องต้นก่อนครับ


    ก่อนอื่นการอธิฐานนั้น คำว่าอธิฐาน นั้น พระท่านสอนว่า แปลว่า "การตั้งจิตมั่นในสิ่งอันเป็นกุศล สิ่งอันเป็นมงคล"

    หากการกล่าววาจาที่เป็นการอธิฐานออกไปโดยจิตไม่น้อมไปด้วยก็ดี จิตไม่ตั้งมั่นก็ดี ก็เป็นการกล่าววาจาแต่ลอยๆออกไป

    ดังนั้นก่อนที่เราจะเริ่มอธิฐานเราควรที่จะรู้ วธีในการอธิฐานและฉลาดในการอธิฐานเสียก่อน เพื่อที่การอธิฐานบารมีของเราจะได้เต็มโดยเร็ว กิจการในการบำเพ็ญบารมีข้ออื่นของเราก็จะพลอยเต็มไปด้วย

    1.ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในสิ่งที่เราอธิฐาน หากเราไม่เข้าใจว่าเราอธิฐานเพื่ออะไร วัตถุประสงค์เพื่ออะไร อธิฐานไปทำไม ก้ป่วยการแต่เริ่มต้น อย่างเช่นหากเราอธิฐานเพื่อช่วยค้ำชูพระพุทธศาสนาให้ครบห้าพันปี ตัวเราเองก็ต้องเข้าใจอย่างลึกซึ้งก่อนว่า หากพระพุทธศาสนาทรงความเจริญสะอาดบริสุทธ์ครบถึง ห้าพันปีนั้น จะยังประโยชน์ให้กับสรรพสัตว์ได้มากน้อยสักเพียงใด สร้างความสงบสุขร่มเย็นให้ชาวโลกได้แค่ไหน เมื่อทราบอย่างถ่องแท้ เข้าใจชัดเจนมองเห็น ผลที่สืบเนื่อง และ คุณประโยชน์ต่อส่วนรวมแล้วเราจึงอธิฐาน

    2.การวางกำลังใจ ในการอธิฐานนั้น หากเป็นการกล่าวทั่วไปโดยไม่มีการวางกำลังใจให้เหมาะสม ก็เกิดผลที่น้อยกว่าที่ควรจะเป็น

    การวางกำลังใจในการอธิฐานนั้น หากจะวางกำลังใจแบบที่สุดในการอธิฐานนั้น ก็เริ่มต้นที่จับลมสบายเข้าฌานสี่ พิจารณาวิปัสนาญาณ กำหนดพรหมวิหารสี่ให้เต็มหัวจิตหัวใจ จากนั้นจับอารณ์นิพพาน แล้วจึงตั้งจิตอธิฐานต่อหน้าพระพุทธเจ้า หรือสมเด็จองค์ปฐมท่าน

    แต่หากยังทรงกำลังใจไม่ได้ระดับนี้ก็ไม่เป็นไร ให้ทรงตามกำลังหรือระดับที่เราทำได้ หรืออย่างแย่ที่สุดก็กลั้นลมหายใจนึกภาพพระพุทธรูปแล้วอธิฐาน

    จุดสำคัญของการวางอารมณ์ใจในการอธิฐานก็คือ "จิตที่ตั้งมั่นและกำลังใจที่เข้มแข็งเด็ดเดี่ยว"

    3. เนื้อความในการอธิฐานมีความครอบคลุม ปิดข้อเสีย เสริมข้อดีให้ยิ่งขึ้นไป ก็นับเป้นการใช้ปัญญาบารมีควบในอธิฐานบารมี ซึ่งความปรีชาญาณนี้ขอให้ดูหลวงพ่อท่านเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุด

    4.จิตที่อธิฐานเพื่อส่วนรวม ด้วยใจที่บริสุทธิ์ก็ส่งผลให้คำอธิฐานมีความศักดิ์สิทธิ์ความสำเร็จความอัศจรรย์ได้

    5.ความถี่ในการอธิฐาน บางคำอธิฐานก็พึงอธิฐานบ่อยๆจนติดเป็นหนึ่งเดียวกับดวงจิตของเรา เช่นการอธิฐานสัมมาทิษฐิ การอธิฐานเพื่อพระนิพพาน

    ส่วนบางคำอธิฐานก็อาจไม่สมควรอธิฐานพร่ำเพรื่อหรือกลับไปกลับมา เพราะเป็นความไม่มั่นคงของเราเอง

    สี่ข้อนี้จะทำให้การบำเพ็ญอธิฐานบารมีเต็มเร็วขึ้น

    ขอให้อธิฐานอันเป็นกุศลประโยชน์ต่อส่วนรวมของทุกๆท่านจงสำเร็จสัมฤทธิผลในการอันชอบด้วยทุกทุกท่านทุกคนด้วยเทอญ
     
  5. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** หากเราเชื่อ เรื่องนิพพาน ****

    "สัจจะ" ขจัดนิสัย ... คือ หนทางหลุดพ้น
    หลุดพ้นจากนิสัย
    หลุดพ้นจากกรรม
    หลุดพ้นจากการเกิดใหม่
    หลุดพ้นจากโลก
    สู่นิพพานในที่สุด

    "สัจจะ"... คือ หนทางสู๋ความเที่ยง ความจริง
    ผู้มี "สัจจะ"... คือ ผู้ทำได้จริง
    เป็น...ผู้ทำความจริงให่กับตนเอง

    พระพุทธเจ้าและอรหันต์...ทุกองค์
    สำเร็จได้ด้วย "สัจจะ"...ไม่ใช่ ศีล
    เพราะ...ศีล คือการทำได้เป็นปกติ

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  6. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** อธิษฐาน ****

    อธิษฐาน...จะเป็นจริง สำเร็จจริง
    เมื่อ...ผู้อธิษฐานทำได้จริง
    คือเป็น.... "ผู้มีสัจจะ"

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  7. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** พิสูจน์หลักสัจจะธรรม ****

    ท่านสามารถพิสูจน์ ..."หลักสัจจะธรรม" ได้
    ด้วยการกำหนด "สัจจะ" ในการทำความดีทุกวัน
    เช่น...ไม่โกรธ ไม่โมโห มีกำหนดวันละ ๑ ชั่วโมง ติดต่อกันไป ๑ เดือน

    ผลของการกระทำ...ไม่ตาย ไม่สูญสลาย จะติดตัวท่านไป
    และ จะส่งผลตอบแทนในเวลาที่...กรรมมาถึงตัว
    เกิดเป็น ...แคล้วคลาด ปลอดภัย ปฏิหาริย์ กับตัวของท่านเอง

    ผลของ "สัจจะ" ที่ท่านทำได้
    จะคอยเตือน จะคอยสอนท่านต่อไป

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  8. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    โจรทั้งแปดในโลกมนุษย์

    โจรคือคนที่ทำร้ายร่างกายและจิตใจเราจนสาหัสสากรรจ์หากไม่รีบกระจ่างแจ้งรู้ตื่น กลับยังหลงผิดคิดว่าเป็นการเสวยสุขไม่รู้ว่าเคราะห์ภัยอยู่ตรงปลายคิ้ว ติดตามอยู่ข้างกายตลอดเวลา
    1.) สุรา พอเจอสุราก็เสพหารู้ไม่ว่านั้นคือบาป เลอะเลือนขาดสติ ทำลายอนาคตตน สุราทำสติเลอะเลือนเสียสัจจะ

    2.) รูปงาม ยามเห็นรูปงาม ไม่เคยปฏิเสธว่าไม่ดี เกิดกำหนัดอยู่เสมอ เปรียบเสมือนมีดเชือดเฉือนเนื้อ ค่อย ๆ บ่อนทำลายกายใจไปทีละน้อย หากมักมากในกาม จะเป็นผู้ไร้จริยามารยาท

    3.) ทรัพย์สมบัติ เมื่อเห็นทรัพย์ ไม่มีคำว่าไม่โลภ วางแผนแย่งทรัพย์ทำร้ายชีวิต ยากที่จะรอดพ้นจากการลงอาญาอย่างหนักความโลภในทรัพย์จะทำให้ขาดหิริโอตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อบาป

    4.) อารมณ์ อารมณ์ที่ผันแปร หากไม่ระมัดระวัง ปล่อยให้เกิดอารมณ์โกรธอัดอั้นตันใจ ลมปราณจะแตกซ่าน ธาตุกระจายทำลายจิตญญาณ อารมณ์ไม่ปกติไม่สมดุล ทำลายความปรองดองในสังคม

    5.) ชื่อเสียง หากยึดติดในชือเสียง น้อยนักที่จะไม่แก่งแย่งมีชื่อเสียงโด่งดังโดดเด่น ทำให้หลงลืมตัว ก่อให้เกิดเคราะห์ภัยได้ง่ายโลภในชื่อเสียงลาภยศ จะทำให้สูญเสียความละอาย ขาดหิริโอตัปะ

    6.) ผลประโยชน์ เมื่อได้ยินคำว่าผลประโยชน์ น้อยคนนักที่จะไม่แก่งแย่ง เห็นแก่ผลประโยชน์ จนลืมมโนคุณธรรมสำนึก ผลประโยชน์บดบังดวงปัญญา เมื่อผลประโยชน์เข้ามาก็หลงลืมมโนอีกคุณธรรมจนหมดสิ้น

    7.) บุญคุณบารมี ยึดติดในบุญคุณบารมี ใดที่จะไม่หลงบุญคุณ ความผูกพันยากที่จะตัดขาด ซึ่งเป็นอุปสรรคในการเข้าสู่ห้วงแห่งสัจธรรม การรักบุตรธิดามาก จึงทำให้ตนสูญเสียความกตัญญู


    8.) ความรัก ตกอยู่ในห้วงแห่งรัก ยากหลีกความอาลัยอาวรณ์ พันธนาการเสมือนโซ่ตรวนคล้องคอมัดจิต ดิ้นไม่หลุดจะบรรลุได้อย่างไร รักสามีหลงภรรยาจึงหมดซึ่งความซื่อสัตย์









    ขอบคุณที่มา

    สังคมธรรมะออนไลน์
     
  9. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    มาต่อกันในเรื่องของคำอธิฐานครับ

    การอธิฐานครั้งแรกของพุทธภูมินั้น เป็นอาการคิด ความตั้งมั่นอาจมีสูงต่ำไม่เท่ากันตามกำลังใจของแต่ละท่าน ครั้นได้สะสมบุญบารมีมามากจนบารมีรวมตัวกันก็เริ่ม อธิฐานในจิตด้วยความตั้งมั่นมากขึ้น ทำอย่างนี้มายาวนานเป็นกัปป์เลยทีเดียว

    ตราบจนบารมีเริ่มสูงขึ้นอีกมั่นใจในการสร้างบารมีของตนจึงเริ่มที่จะอธิฐานตั้งความปรารถนาพุทธภูมิออกจากปาก เปล่งเป็นวาจาออกมาได้


    คำอธิฐานรวมบารมีในการตั้งความปรารถนาพุทธภูมิ

    "ข้าพเจ้าขอระลึกถึงบุญบารมีทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมานับแต่อดีตชาติ ปัจจุบันและที่จะบำเพ็ญต่อไปในอนาคตในส่วนทาน ศีล สมาธิ ปัญญา สัมมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ ไปจนถึงบารมีทั้งสามสิบทัศน์อันข้าพเจ้าได้บำเพ็ญไว้ดีแล้วขอให้มารวมกันเป็นพลปัจจัยส่งผลให้ข้าพเจ้าได้สำเร็จถึงซึ่งสัมมาสัมมโพธิญาณได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลอันใกล้นี้ด้วยเทอญ"

    คำอธิฐานขอยกจิตพุทธภูมิขึ้นสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์

    ก่อนอื่นให้เจริญเมตตาอัปปันนาณฌานให้เต็มดวงจิตจนส่องสว่างออกไปไม่มีที่สุดไม่มีประมาณก่อน จากนั้น ใช้กำลังของเมตตาฌานแห่งองค์สมเด็จพระจอมไตรโลกนาถ เล็งดูในจิตว่ามวลหมู่สรรพสัตว์ทั้งหลายมีจำนวนมากน้อยสักเพียงไรที่เวียนว่ายในทะเลทุกข์แห่งสังสารวัฏฏ์ มีความทุกข์ความลำบากจากกิเลส อวิชชาสักเพียงไหน จากนั้นยกจิตของเราทรงในอารมณ์พระนิพพาน และตั้งจิตปรารถนาช่วยสงเคราะห์รื้อขนสรรพสัตว์ทั้งหลายเข้าสู่พระนิพพาน และอธิฐานว่า

    "ด้วยกุศลเจตนามหามโนปณิธานของข้าพเจ้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วมเมตตาจิตคิดเอ็นดูในหมู่สรรพสัตว์ทั้งปวงที่ยังมืดยังหลงวนเวียนอยู่ในสงสารวัฏฏ์นี้มากมายหาประมาณมิได้ ข้าพเจ้าขอตั้งจิตปรารถนาให้ถึงซึ่งสัมมาสัมโพธิญานบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาลอันใกล้นี้เพื่อช่วยสงเคราะห์ให้สรรพสัตว์ทั้งหลายได้ประสพแต่ความสุข พ้นจากความทุกข์ พ้นภัยจากวัฏฏสงสาร ได้ถึงซึ่งพระนิพพานอันเป็นบรมสุขด้วยเทอญ สัมมาสัมโพธิญาณของข้าพเจ้าเป็นไปเพื่อยังประโยชน์ต่อหมู่สรรพสัตว์ทั้งหลายมิใช่เพื่อตนเอง ขอให้ดวงจิตของข้าพเจ้ายกสภาวะจิตขึ้นสู่ดวงจิตแห่งโพธิจิตที่เต็มไปด้วยเมตตาธิคุณต่อสรรพสัตว์ทั้งปวงด้วยความบริสุทธิ์ใจด้วยเทอญ"
     
  10. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    14 ที่สุดในตัวเรา

    1. ศัตรูที่น่าสะพรึงกลัวที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ตัวเรา

    2. ความล้มเหลวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความอวดดี

    3. การกระทำที่โง่เขลาที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การหลอกลวงผู้อื่น

    4. สิ่งที่แสนสาหัสที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความอิจฉาริษยา

    5. ความผิดพลาดมหันต์ที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การยอมแพ้ตัวเอง

    6. สิ่งที่เป็นอกุศลที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การหลอกลวงตัวเอง

    7. สิ่งที่น่าสังเวชที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความถดถอยของตัวเอง

    8. สิ่งที่น่าสรรเสริญที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความอุตสาหะวิริยะ

    9. สิ่งที่ล้มละลายที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ ความสิ้นหวัง

    10. สมบัติที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ สุขภาพที่สมบูรณ์

    11. หนี้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ หนี้บุญคุณ

    12. ของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การให้อภัย และความ เมตตากรุณา

    13. ข้อบกพร่องที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตเราก็คือ การมองโลกในแง่ร้ายและไร้เหตุผล

    14. สิ่งที่ทำให้อิ่มอกอิ่มใจที่สุดในชีวิตเรา ก็คือ การให้ทาน (วัตถุทาน วิทยาทาน อภัยทาน และธรรมทาน)

    หลวงพ่อตันติ์ ชุตินธโร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2007
  11. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    หยุดจิต เพื่อปลดปล่อย

    <table align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td valign="top">ในการทำสมาธิเพื่อกำหนดจิตใจให้สงบระงับจากอารมณ์ทั้งหลาย

    ท่านจงเข้าไปสู่ที่สงัดตามธรรมชาติ ชำระกายให้สะอาด นั่งหลับตาหยุดความคิดทั้งปวง ถ้ามัน
    (กิเลสความฟุ้งซ่าน)ไม่หยุด ท่านก็จงหยุดที่จะเข้าไปคิดร่วมกับมัน มันจะคิดอะไรก็ช่างหัวมัน ท่านมีหน้าที่ดูมันเฉย ๆ อย่าไปยุ่งกับมันให้ปล่อยมันไป เมื่อมันหมดกำลังลงเพราะเราไม่ได้ไปเติมเชื้อไฟให้มันมันก็จะหยุดลงเสื่อมสลายไปไม่มีอะไร โดยที่ท่านไม่ต้องไปเพลิดเพลินยินดียินร้ายไปกับมัน

    ด้วยวิธีการนี้ท่านจะทำจิตให้สงบได้ทุกที

    แม้ตอนที่มันไม่สงบก็ตาม จงฝึกให้มาก ทำให้มากแล้วท่านจะสงบได้ด้วยความสามารถของท่านเอง ต่อจากนั้นเมื่อจิตสงบแล้ว ท่านจงพิจารณาให้เห็นว่า โลกนี้มันน่าเบื่อ แต่ถ้าท่านยังไม่เบื่อก็ลองถามตัวเองอยู่บ่อย ๆ สักวันหนึ่งท่านจะรู้ว่าทั้งความเบื่อกับความไม่เบื่อ มันน่าเบื่อทั้งคู่เลย เพราะมันทำให้คุณวุ่นวายอยู่ไม่รู้แล้ว ถ้ามีใครแย้งว่า ถ้าคนเบื่อโลกกันหมดโลกคงไม่เจริญเพราะไม่มีใครพัฒนาโลก ก็จงปล่อยให้เขาพัฒนาโลกไปคนเดียวซิว่าเขาจะไปถึงไหน ก็มัวแต่ไปพัฒนา

    ความเจริญทางวัตถุตึกรามบ้านช่องใหญ่โต

    แต่ปัญญาที่จะดับทุกข์กลับเล็กเรียวลง มันไปติด รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จิตใจเลยตกต่ำวุ่นวายมีแต่เรื่องไม่รู้จบ แต่ถ้าท่านหันมาพัฒนาจิตใจ ให้มั่นคงสงบไร้ทุกข์ได้ เมื่อนั้นชีวิตท่านจะได้รับความสุขสงบยิ่งกว่ามีบ้านใหญ่โต มีรถเก๋งคันงาม มีเงินมากมาย ฯลฯ มันเป็นแค่เปลือกห่อหุ้มชีวิตเรา ไม่ใช่แก่นแท้สาระสำคัญที่แท้จริง
    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td valign="top"><table align="center" bgcolor="#f5f5f5" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2"><tbody><tr><td></td></tr><tr><td align="center"></td></tr></tbody></table>
    </td></tr></tbody></table></td></tr><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" width="95%"><tbody><tr><td valign="top"></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2007
  12. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    ข้อบกพร่องของใจสิบประการ


    การกระทำที่เป็นผลร้าย จะต้องขจัดที่ใจ
    ไม่ปล่อยให้เป็นอันตรายทำร้ายเราได้อีกต่อไป

    1.) ความสับสนของใจ
    ปากไว การกระทำที่รีบร้อน ใจร้อนอยากรู้ ทำร้ายร่างกายลุกลี้ลุกลน อารมณ์ฉุนเฉียว ความคิดจิตใจว้าวุ่น
    2.) ความเมินเฉยของใจ
    พูดจาเฉื่อย การกระทำอืดอาด ไม่ตื่นตัวกระทำการ ไม่กระตือรือร้นในการรับรู้ สังขารเกียจคร้าน ใจเฉยชา ไม่รู้จักพอมีก็เหมือนไม่มี ลังเลสงสัย จริงก็เหมือนกับเท็จ
    3.) ความโง่เขลาของใจ
    เรื่องราวความเป็นมาไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ ไม่กระจ่างแจ้งในความผิดจริงปลอมไม่รู้จักแยกแยะ ทำตามทุกอย่างเหมือนคนตาบอด
    4.) มิจฉาของใจ
    เจตนาดีแต่กลับกลายเป็นผลร้าย เจตนาร้ายแต่กลับกระทำตามโดยดี พูดโกหกแต่ถือเป็นเรื่องจริงเป็นจัง กลับกลายเป็นอาการที่ลมปราณกลับตาลปัตรจนก่อให้เกิดความเจ็บป่วย
    5.) ความสับสนของใจ
    บำเพ็ญธรรมโดยไม่กระจ่างในหลักการ แปรผันจนเกิดอารมณ์ มิจฉาผิดทำนองคลองธรรมตามสภาพการณ์ ใจสับสนไม่เป็นตัวของตัวเอง
    6.) ความบ้าคลั่งของใจ
    สายตาไม่กว้างไกล หูเบาไม่เห็นค่าของสรรพสิ่ง พิจารณาแต่รูปลักษณ์ภายนอก คุยโวโอ้อวด ทำอะไรไม่มีการเกรงกลัวไม่เข้าใจในจิตใจของตนเอง ไม่รู้จักผ่อนปรน รู้ก้าวรู้ถอย
    7.) การป้องกันของใจ
    ความชอบในวิสัยที่มีอยู่มากเกินไป ความรักผูกพันที่ลึกซึ้ง การกล่าววาจาหนักเกินไป รูปนารีอีกบุรุษที่งดงามเกินไปภาพลักษณ์ที่สวยงามไม่คงทนยาวนาน มีความรัก ความผูกพันลึกซึ้ง จักทำให้คุณธรรมลดน้อยลง กล่าววาจาหนัก ไม่ถูกต้องเหมาะสมย่อมพินาศติดยึดในรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามก็จะทำให้ตนถูกทำร้ายได้ง่าย
    8.) อันตรายของใจ
    แสดงเจตนาเท็จ หลอกลวงโดยความรักความผูกพันเป็นกับดัก ล่อสีหน้าเย็นชา คำพูดร้อนแรงทิ่มแทงใจ เมื่อมีความรักย่อมบังเกิดความยินดี เมื่อมีความแค้นก็ตามจองล้างจองผลาญไม่รู้จักจบสิ้น
    9.) ความงงงวยสบสนของใจ
    เมื่อมีผลประโยชน์ก็คำนึงถึงตนเองเมื่อมีเคราะห์ร้ายก็วอนให้ผู้อื่นช่วย เดี๋ยวราบรื่น เดี๋ยวมีอุปสรรค เริ่มต้นขยันขันแข็งจบลงด้วยความเกียจคร้าน แสดงท่าทางผิดปกติ สีหน้าเปิดเผยเสาะหาความสงบ หลบหนีจากความสับสน
    10.) ความผิดพลาดของหัวใจ
    เห็นผลประโยชน์แล้วเอาแต่โลภห็นสิ่งของวัตถุชอบพออยากได้ เห็นรูปแล้วยึดติดหลงใหล เห็นสภาพชีวิตแล้วได้แต่วอนขอ เห็นสภาพการณ์แล้วแปรเปลี่ยนเห็นแก่ความผูกพันจนทำให้ตนเปลี่ยนแปลง เห็นความแตกต่างแล้วผกผัน เห็นเรื่องราวแล้วปัดภาระความรับผิดชอบ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2007
  13. มาอยู่เฉยๆ

    มาอยู่เฉยๆ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    199
    ค่าพลัง:
    +1,500
    คุณพี่ vanco คะ
    บทความข้างบนนี่ พิมพ์ตัวใหญ่หน่อยก็ดีนะคะ
    คนแก่มองไม่ค่อยเห็นค้า
     
  14. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877
    แก้ไขให้แล้วครับผม ขออภัยด้วยครับผม
     
  15. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    การที่พุทธภูมิยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกเพื่อการบำเพ็ญบารมีให้ครบถ้วนตราบจนบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ การเกิดเป็นทุกข์และการเกิดแต่ละครั้งก็ย่อมมีโอกาสก่อกรรมทั้งที่โดยหน้าที่ ทั้งที่โดยจำเป็น และทั้งที่ได้พลาดพลั้งไปตามวิสัยปุถุชน


    ดังนั้นพุทธภูมินั้นก็ยังต้องลงนรกหากยังประมาท หากยังทะนงในมานะ และหากเป็นพุทธภูมิมิจฉาทิษฐิ


    นรก และการลงนรกเป็นเรื่องน่ากลัว นรกไม่ใช่ที่จะลงไปเที่ยวเล่นโดยไม่จำเป็น และนรกก็ไม่ใช่ที่บำเพ็ญบารมี การพลาดลงนรกของพุทธภูมินั้นในช่วงบารมีต้นเป็นไปเพื่อการเรียนผิด รู้ว่าการกระทำผิดเป็นเช่นไรเสวยผลกรรมอย่างไร ส่วนใหญ่พุทธภูมิผู้ฉลาดในการบำเพ็ญบารมีนั้นครั้นถึงบารมีกลางก็อธิฐานไม่ล่วงอบายภูมิแล้วเนื่องจากเสียเวลาในการบำเพ็ญบารมีอื่นไปมาก



    ท่านที่เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเองก็พอทราบกันแล้วว่ามี "วิธีหนีนรก" นั่นคือการทรงอารมณ์ใจในระดับของพระโสดาบัน

    -มีศีลที่สะอาดบริสุทธิ์
    -มีความมั่นคงในพระรัตนไตร
    -มีวิปัสนาญาณเห็นว่าคนสัตว์และตัวเราย่อมไม่พ้นความตายไปในที่สุด เราพึงไม่ประมาทในการทำความดี ละเว้นความชั่ว ทำจิตให้สงัดจากกิเลสอกุศลทั้งปวง


    และนอกจากนี้ก็อธิฐานเพื่อการเดินทางอันยาวไกลในสังสารวัฏฏ์เพื่อการบำเพ็ญบารมีทั้งสามสิบทัศน์เอาไว้ทุกชาติเสมอว่า


    "ข้าพเจ้าขอตั้งจิตน้อมระลึกถึงคุณแห่งพระพุทธศาสดาที่ปรากฏมาแล้วนับประมาณมิได้ ขอคุณแห่งพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์นับแต่สมเด็จองค์ปฐมบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้เมตตาปกปักรักษาจิตข้าพเจ้าให้ทรงอยู่ในสัมมาทิษฐิ อันถูกต้องมั่นคงในทางธรรม ขอนับแต่นี้ข้าพเจ้าได้สร้างบารมีในเขตพระบวรพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเสมอ และขอได้สร้างบารมีกับพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ด้วยเทอญ ขอข้าพเจ้าจงได้จุติใน สกุลสัมมาทิษฐิอันบริบูรณ์ด้วยศรัทธา ในประเทศอันสัปปายะ มีทรัพย์มีพละทั้งปวงพร้อมพรั่งในการบำเพ็ญบารมี คำว่าไม่มี ไม่ได้ ไม่รู้จงอย่าได้ปรากฏแก่ใจแม้แต่น้อยนิด

    ไม่ขอลงไปในแดนอบายภูมิ หรือจุติในภพภูมิอันไม่อาจสร้างบารมีได้

    และขอให้ทุกชาติที่ได้จุติ ก็ขอจงรู้ตื่นขึ้นจากภายในในพุทธจิตแห่งพระโพธิสัตว์ของตนเองรู้ได้ด้วยตนเอง

    ขอสรรพบารมีจงมารวมตัวกัน ให้ข้าพเจ้าทรงอภิญญาสมาบัติได้ทุกชาติ ระลึกชาติได้ทุกชาติ ทรงเมตตาอัปปันณานฌานได้ทุกชาติ ทรงกรรมฐานทุกกองที่เคยเจริญมาในอดีตชาติได้อย่างคล่องตัว ทิพยจักษุญาณแจ่มใส วิปัสสนาญาณกระจ่างแจ้งในดวงจิต ขอจงเข้าถึงและทรงอรมณ์พระนิพพาน แจ่มแจ้งในสภาวะพระนิพพานได้ทุกชาติไป สามารถแผ่ธรรมทานแห่งองค์พระศาสดาได้ตามที่ทรงมีพุทธประสงค์ ได้ทุกๆชาติยิ่งๆขึ้นไปตราบจนข้าพเจ้าได้บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณด้วยเทอญ"



    "ขอบุญบารมีความดีทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมาดีแล้วนั้น จงมีแด่ทุกท่าน ทุกๆคนด้วยเทอญ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 ตุลาคม 2007
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคมนี้ เวลา 9.00 น. ที่สวนลุมพินี ขอติวเข้มโดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกมโนมยิทธิครับ ขอท่านที่ตั้งใจ ปฏิบัติ มาฝึกกันครับ

    พระท่านเร่งเรื่องการปฏิบัติทางจิตให้ก้าวหน้ากันให้มากที่สุดก่อนวันออกพรรษาครับ ในใจผมมีความรู้สึกยังกับเป็นวันสอบ ที่สำคัญมากๆอย่างไรชอบกล ซึ่งก็ไปตรงกับใจของหลายๆท่านที่ตั้งใจปฏิบัติธรรมกันในช่วงเข้าพรรษากันมาแล้วครับ


    หลายๆท่านอีกเช่นกันที่บอกว่าเกณฑ์อภิญญาใหญ่ใกล้เข้ามามากๆแล้วครับ

    ได้กราบเรียนถามพระท่านว่า ทำไมจึงปรากฏเกณฑ์อภิญญาใหญ่

    ท่านก็บอกว่า "ลำพังกำลังของคนธรรมดา แม้มีกำลังใจสูงแค่ไหน ก็ไม่อาจรับมือกับภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่จะเกิดขึ้นครั้งนี้ได้

    มีเพียงท่านที่ได้อภิญญานั้นจึงจะช่วยเหลือผู้คนได้มาก

    แต่ก่อนที่จะได้อภิญญากันนั้น ผู้ที่จะได้อภิญญาก็ต้องเรียนรู้และปรับสภาวะจิตขึ้นสู่ สัมมาทิษฐิ ความเสียสละเพื่อส่วนรวม ความเมตตาโดยปราศจากเงื่อนไข ต้องเป็นผู้ที่ปรารถนาเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ไม่เช่นนั้นตัวอภิญญาก็จะเป็นดาบที่หันเข้าหาเจ้าของทำลายความดี และซ้ำยังลากลงนรกเสียอีกด้วย หากใช้อภิญญาไปเพื่อแก่งแย่งความเป็นหนึ่ง เพื่อกดขี่ครอบงำคนอื่นด้วยแรงแห่งมิจฉาทิษฐิ ด้วยมานะทิษฐิ ด้วยกิเลสอุปทานและอวิชชา

    ดังนั้นผู้ที่พึงได้อภิญญาจึงจำเป็นต้อง มีจิตใจมั่นคงในสัมมาทิษฐิเป็นประการที่หนึ่ง มีพรหมวิหารสี่เป็นประการที่สอง มีจิตใจเด็ดเดี่ยวเสียสละเพื่อส่วนรวมเป็นประการที่สาม "

    "ขอให้ทุกๆท่านผู้ทรงอยู่ในวิสัยจงเร่งขะวนขะวายยกระดับจิตของท่านขึ้นสู่ความบริสุทธ์ของจิตที่บริสุทธ์ยิ่งกว่าด้วยเถิด ภัยต่างๆใกล้เข้ามาแล้ว"
     
  17. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    อนุโมทนากับคุณเล็กในภาระงานอันหนักนี้ขอให้สัมฤทธิ์ผลทุกประการตามเป้าหมายที่วางไว้ครับ สัมปะจิตฉามิ โสตัตตะภิญญา เทอญ

    ทศพร
     
  18. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** แก่นสาร ****

    แก่นในการปฏิบัติ คือ "สัจจะ"
    ทำอะไร
    เริ่มทำเมื่อไหร่
    สิ้นสุดเมื่อไหร่

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  19. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,192
    วันนี้ผมได้มีโอกาสสนทนาธรรมกับคุณเล็ก(คณานันท์) ช่วงหนึ่งคุณเล็กได้เอ่ยขึ้นมาว่า คนสมัยนี้ฝึกมโนมยิทธิกันได้ไม่ค่อยชัดเจนแจ่มใส ไม่เหมือนกับที่สมัยหลวงพ่อฤาษีฯ ยังมีชีวิตอยู่ ทำให้การเข้าถึงอภิญญาใหญ่ทำได้ยากตามไปด้วย

    ผมก็เลยนึกถึงคำทำนายของหลวงพ่อฤาษีฯ ที่ว่าอภิญญาใหญ่จะเกิดขึ้นจนจะทำกันได้เป็นสาธารณะในปี พ.ศ.2545 และสาเหตุที่จะทำให้คนได้อภิญญากันมาก ก็คือเรื่องของภัยพิบัตินี่เอง เมื่อผู้คนเห็นภัยพิบัติได้เกิดขึ้นอย่างรุนแรง ทั้งภัยสงครามและภัยทางธรรมชาติ เห็นผู้คนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง เห็นญาติพี่น้องของตนเอง และคนที่รู้จักมักคุ้นกัน ต้องมาล้มหายตายจากไปต่อหน้าต่อตา

    เมื่อนั้นผู้ปฎิบัติธรรมทั้งหลายก็จะเกิดการ "เร่งรัดตัวเอง" เพื่อให้เข้าถึงธรรมขั้นสูงโดยเร็ว จะทำภาวนากันทั้งวันทั้งคืน ทั้งนั่ง นอน ยืน เดิน ต่างคนต่างก็พยายามตามรักษาจิตของตน ไม่ให้กามคุณทั้ง 5 อันมี รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส อันน่ายินดีทั้งหลายเข้ามารบกวนจิตใจได้ ผู้ปฎิบัติธรรมเหล่านั้นก็จะสำเร็จอภิญญากันมาก สามารถทำได้กันจนเป็นสาธารณะ คือในช่วงนั้นเราจะเห็นคนเหาะได้กันเป็นว่าเล่น

    สาเหตุที่อภิญญาใหญ่ยังไม่เกิดขึ้นในปี 2545 ตามคำทำนายของหลวงพ่อฤาษีฯ นั้นก็เพราะภัยพิบัติมัน ได้ถูกเลื่อนเวลา ออกไปนั่นเอง ถ้าภัยพิบัติเกิดขึ้นเมื่อไหร่(หมายถึงเจอกับตัวเองเมื่อไหร่) ผู้ที่ปฎิบัติธรรมทั้งหลายก็จะเกิดการ "เร่งรัดตัวเอง" เพราะได้เห็นสัจจะธรรมของชีวิตนั่นคือความตาย เมื่อเขารู้สึกตัวได้ว่าความตาย มันได้คืบคลานมาหาเขาแค่มือเอื้อมเท่านั้นเอง
     
  20. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** ไม่เสนอความจริง ****

    ภาพบาดเจ็บ ความตาย ความลำบาก...มักถูกปกปิด ปิดบัง ซ่อนไว้
    เพราะ...สังคมยังไม่ยอมรับความจริง
    กลัวเสียหาย เสียภาพพจน์ เสียภาพลักษณ์
    แต่ไม่กลัวภัยในอนาคต

    ภาพสงครามคนตายกองเป็นภูเขา...ก็มีน้อย
    ภาพศพลอยเต็มอ่าว ตอนเกิดสึนามิ....ก็เห้นได้ยาก
    ทั้งที่ทุกวันนี้ รอบโลกมีภัยเต็มไปหมดแล้ว

    อย่าปิดบังกันอีกเลย
    หากจะช่วยเหลือกันจริง ต้องช่วยเปิดเผยความจริงให้รู้

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     

แชร์หน้านี้

Loading...