วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. piakgear24

    piakgear24 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ธันวาคม 2006
    โพสต์:
    2,696
    ค่าพลัง:
    +44,505
    อิทธิฤทธิ์นั้นจะมีได้ก็ต้องตัดกิเลสให้หมดไปก่อน เมื่อนั้น เมื่อกิเลสหมดแล้วท่านจะมีอิทธิฤทธิ์ สาธุ
     
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    อวิชชาที่เป็นไปเพื่อ "กิเลส ตัณหา ความยึดมั่นถือมั่น เพื่อมานะทิษฐิ" นั้น เป็นไปในทางเสื่อม ทางฉิบหายทั้งต่อตนเอง และต่อผู้อื่น

    วิชชาที่เป็นไปเพื่อ "ความเสียสละ การละวาง ปล่อยวาง ความเห็นและทิษฐิอันชอบในธรรม " เป็นไปเพื่อความคลายกำหนัดยินดี เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นจากวัฏฏสงสาร


    การกระทำที่สร้างความแตกแยกในหมู่ชาวธรรม เป็น กรรมในสายอนันตริยกรรม เป็นวิบากอันหนัก มีทุยติภูมิเป็นที่ไป กลับตน กลับใจได้ยังพอทัน

    ผลของกรรมชั่วเป็นสิ่งที่น่ากลัวสุดที่จะประมาณ การละอายที่เราจะกระทำชั่วแม้เพียงสักเล็กน้อยนั้น เป็น หิริ โอตะปะ เป็นธรรมอันนำไปสู่สุคติภูมิ
     
  3. Toutou

    Toutou เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 เมษายน 2005
    โพสต์:
    1,455
    ค่าพลัง:
    +8,107
    อ่า...หนอยแน่ ใครบังอาจมาแอบอ้างชื่อหัวหน้าคณะคชย. เค้าต่างหากเจ้าของเว็บพลังจิต(พิชิตภัยพิบัติ)ตัวจริง ยึดมาได้นานแล้วเคอะ [​IMG]
     
  4. HONGTAY

    HONGTAY ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    36,548
    กระทู้เรื่องเด่น:
    151
    ค่าพลัง:
    +147,877

    หุหุหุ หัวหน้าคณะคชย. อารมณ์บ่จอยแล้วนะครับ อย่าไปกวนเธอนะครับ เพราะถ้าโกรธ เธอจะ.............กินลูกเดียว เคี้ยวกรุบ ๆๆๆ อิอิิิอิ

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 27 สิงหาคม 2007
  5. Falkman

    Falkman พลังจิตนานาชาติ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    19,726
    ค่าพลัง:
    +77,791

    เค้าเรียกว่า ปฏิวัติซ้อนปฏิวัติ จ้าหัวหน้าคณะคชย.
    [b-nurse]
     
  6. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775


    ต้องขอโทษที่ตอบช้าไปนิดหนึ่งครับ

    ขออนุญาตตอบคุณเด็กอนุบาล ตามที่ได้ตั้งคำถามมาทีละข้อครับ


    1.แนวการฝึกอรูปฌาน ควบพุทธานุสติ และวิปัสสนาญาณ โดยไม่ต้องถอดจิต (ด้วยกำลังของฌานสี่ละเอียดก็ดี หรือโดยกำลังของมโนมยิทธิก็ดี) สามารถทำได้ดังนี้ครับ

    ทรงภาพพุทธนิมิตรเอาไว้ ภายในกายของเรา ในอกก็ได้ ทรงภาพพุทธนิมิตรให้ใสเป็นแก้วประกายพรึก สว่างเต็มที่ (เป็นกำลังของานสี่)

    จากนั้นกำหนด ให้เห็นกายของเราแหลกสลายหายไปจนหมด กลายเป็นสภาวะที่เว้งว้างว่างเปล่า ขาวสว่าง ไร้ขอบเขต ไม่มีพื้นไม่มีเพดาน ไม่มีฝาผนังใดๆขวางกั้น (เป็นอารมณ์ในอรูปฌาน)

    จากนั้นถอยจิตมาพิจารณาว่า " ร่างกายก็ดี วัตถุธาตุทั้งปวงก็ดี ล้วนแล้วแต่ต้องสูญสลายตัวไปตามกาลเวลา ร่างกายของเราเองก็เช่นกัน ไม่ช้าก็ต้องแตกดับไปตามกาลเวลา ด้วย สวรรค์ก็ดี พรหมก็ดี อรูปพรหมก็ดี ยังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ยังกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก จุดเดียวที่เราต้องการคือพระนิพพานเท่านั้น" (เป็นวิปัสนาญาณจนถึงอารมณ์นิพพาน)

    อันที่จริงหลวงพ่อท่านได้สอนเอาไว้ว่า การจับพุทธนิมิตร ภาพพระ ในอกก็ดี ในหัวในศีรษะเราเองก็ดี เป็นการเพิกกายหยาบออก เป็นมิติซ้อนภายใน ก็นับว่าเป็นการทรงอารมณ์ใจในอรูปฌาน ควบพุทธานุสติแล้ว ครับ

    2. การฝึกอรูปฌานขณะถอดกายออกไปกราบพระบนพระนิพพานนั้น ก็สามารถทำได้ไม่ยากหากได้มโนมยิทธิ

    ทำได้โดยยกอาทิสมานกายขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพานก่อนจากนั้นจึงค่อยอธิฐานขอ บารมีพระท่านให้เมตตามาโปรด สอนให้เรา เจริญอรูปฌานบนพระนิพพานตรงจุดนั้นเลย

    และเพื่อไม่ให้เสียโอกาส ก็จงพึงขอศึกษา ความแตกต่างและอารมณ์ใจของอรูปฌาน กับอารมณ์พระนิพพานเอาไว้

    ศึกษาสภาวะความเป็นอยู่ของอรูปพรหม
    ศึกษาอวิชชา ความเข้าใจผิดของผู้สำคัญว่าความว่าง สภาวะของอรูปเป็นสภาวะของพระนิพพานกันไปด้วยครับ

    ลองไปทำดูเป็นการบ้าน

    3.เป็นอรูปฌานครับ ถูกต้อง อย่างที่หลวงพ่อท่านสอน เอาไว้ อรูปฌาน เป็นอารมณ์ที่เข้าใกล้พระนิพพานเต็มที ยกจิตขึ้นอีกนิดเดียว คือมาพิจารณาว่า อรูปพรหมก็ยังไม่เป็นที่สุดแห่งทุกข์ เราใช้กำลังอรูปฌานเพื่อการพิจารณาธรรมและละอรูปพรหม เพื่อพระนิพพานเพียงจุดเดียว


    จะสังเกตุได้ว่า การใช้กำลังของอรูปฌาน ภาพพระนิพพานจะยิ่งสว่างไสวชัดเจน กิเลสหยาบๆลดตัวลงไปจนแทบจะหายไป ด้วยอำนาจของอรูปฌาน เพราะเพียงตัดสังโยชน์เบื้องสูงอีกไม่กี่ข้อ (ละรูปพรหมราคะ และอรูปพรหมราคะ ละอวิชชาเรื่องการเกิดทั้งปวงสิ้น) ก็เข้าสู่ความเป็นพระอริยะเจ้าเบื้องสูง ผู้ทรงปฏิสัมภิทาญาณ นับแต่อนาคามีผลขึ้นไป

    พระท่านเคยบอกว่า หากเจริญอรูปฌานได้ การบรรลุธรรมกลับทำได้ง่ายและเร็วกว่าการบรรลุธรรมแบบอื่นๆ แต่การสั่งสมบารมีจนได้อรูปย่อมต้องบำเพ็ญเพียรมายาวนานกว่ามากๆๆ


    4 ถูกต้องแล้วครับ การติดที่กล่าวถึงคือการติดในกามคุณห้าประการ อันได้แก่ รูป(ที่พึงใจ) รส(ที่อร่อย) กลิ่น(ที่หอมที่พอใจ) เสียง(ที่ไพเราะ) สัมผัส(ที่พึงใจ พึงปรารถนา)

    เบญจกามคุณห้านี้ เป็นสุขที่เจือด้วยอามิสเครื่องล่อให้สรรพสัตว์ทั้งหลายหลงติดเป็นบ่วงเอาไว้ในวัฏฏสงสาร หากเราติดและหลงด้วยอำนาจของกิเลสจนขาดคุณธรรม เครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจก็จะนำพาไปสู่การละเมิดศีล จนที่สุดก็จะเป็นทางสู่อบายภูมิ ทุคติภูมิในที่สุด เช่น อยากได้ มือถือจนต้องไปดิ้นรนเป็นหนี้เป็นสินเขา อยากมีบ้านมีรถยนต์มากจนต้องไปโกง ไปคอรัปชั่น เพราะปล่อยจิตให้ไหลไปกับความอยากที่ไม่มีที่สิ้นสุด อยากได้ อยากมี อยากเป็นจนไม่มีที่สิ้นสุด

    ส่วนสุขที่ไม่เจือไปด้วยอามิส ก็เป็นสุขที่ละเอียดกว่า เป็นสุขที่ไม่มีวัตถุมาเป็นเครื่องล่อ เช่นความสุขจากสมาธิ สุขจากการให้ การเสียสละ สุขจากการเจริญเมตตา พรหมวิหารสี่ สุขจากการไม่เบียดเบียน

    สุขเช่นนี้ นับว่าเป็นการ"ติดดี" หากยังไม่ถึงพระนิพพาน เราก็ยังจุติยังสุขคติภูมิอันมีสวรรค์ พรหม เป็นที่ตั้ง แต่หากตั้งจิตเอาไว้ที่พระนิพพาน ก็ต้องเพิก ต้องละ

    ความรู้สึกว่าเราดี(มานะ)
    การเจริญพรหมวิหารสี่เป็นที่สุดแห่งการปฏิบัติแล้ว (รูปราคะ)
    การทรง อรูปฌานเป็น ความว่าง คือนิพพาน(อรูปราคะ)
    การเกิดทั้งปวงเป้นสิ่งที่ดี ยังสนุกในการเวียนว่ายตายเกิด(อวิชชา)

    ให้หมดสิ้นออกไปจากจิตใจของเรา การติดดีก็คือการเตรียมเสบียงเอาไว้เลี้ยงตัว ไม่ติดก็ไม่ได้ แต่ถึงเวลาก็ต้องละ และต้องละเมื่อถึงเวลาถึงวาระ

    หากไปทิ้งบุญ ทิ้งกุศลอ้างว่าเราไม่ติด อกุศลก็เปิดช่องให้เข้ามาส่งผลเสียอีก

    ดังนั้นสร้างบุญ สร้างบารมีเพื่อความดี เอาไว้ โดยอย่าได้ไปยึดมั่นถือมั่นเป็นมานะว่าเราดีกว่าเขา อันเป็นตัวมานะ แต่หมั่นอธิฐานรวมบุญรวมบารมีเอาไว้ให้ผลของกุศลมาส่งผลหนุนนำ หนุนเนื่อง ให้เราเจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป จนถึงที่สุดแห่งการพ้นทุกข์ทั้งปวง



    ส่วนความหมายของกุศล กุศลจิต ก็หมายความว่า "จิตที่ตั้งมั่น จิตที่ระลึกถึงสิ่งที่เป็นกุศล หรือความดีทั้งปวง" มีสภาวะจิต ที่แจ่มใส เบิกบาน สว่าง อิ่มเอมจิต มีสุคติภูมิเป็นที่ไป


    ส่วนอกุศล อกุศลจิต ก็หมายถึง "จิตที่ระลึกถึงบาปอกุศล คิดถึงแต่สิ่งชั่ว" มีสภาวะจิตที่เศร้าหมอง หดหู่ ระทมทุกข์ เคียดแค้น ชิงชัง มีทุคติภูมิเป็นที่ไป

    หากจิตเราในช่วงก่อนตายมีสภาวะเป็นเช่นไร ก็เป็นโอกาสที่จะไปเสวยผลยังภพนั้นๆ ดังนั้นขอให้ระลึกถึงความตายไว้เนืองๆและระลึกว่าขณะจิตที่เราระลึกอยู่ ณ ปัจจุบันนี้ หากตายลง ณ วินาทีนี้ เราจะไปเกิดยังที่แห่งใด เมื่อเป็นดังนี้เราก้จะระลึกถึง กุศลจิตอันมีพระนิพพานเป็นที่สุดอยู่เสมอ ตลอดเวลา ด้วยสติสัมปชัญญะที่อยู่กับปัจจุบัน ทรงอานาปานสติ พรหมวิหารสี่ และมรณานุสติเอาไว้เสมอ หากได้มโนมยิทธิ ก็ทรงพุทธานุสติควบไปอีก


    หวังว่าพอจะไม่ยากเกินกำลังใจในการปฏิบัติครับ


    ขอความเจริญในธรรมจงมีต่อทุกท่านด้วยเทอญ
     
  7. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    โจรยังมีอาชีพโจรได้ เพราะดู "ไม่เหมือนโจร"
    โจรที่ดูเหมือนโจรโจ่งแจ้ง "ย่อมไม่อาจยังอาชีพโจร" ได้


    ฉันใดก็ฉันนั้น คนทำเลวในที่แจ้ง ไม่อาจทำเลวได้จริง
    คนทำเลวในที่ลับต่างหาก "คือ คนเลวที่แท้จริง"
     
  8. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    พระจี้กง เห็น พระหลายรูป "แอบดื่มเหล้าใต้โต๊ะ"
    ทว่าพระเหล่านั้นได้รับการนับถือมาก เพราะเปลือกนอกดูดี


    สุดท้าย พระจี้กง จึงดื่มเหล้าโจ่งแจ้งเสียเลย

    แหม เลวไหมละ? (ชาวบ้านก็ด่าว่าเป็นพระบ้าไป)
     
  9. คนขายธูป

    คนขายธูป เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    252
    ค่าพลัง:
    +2,964
    มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ ไม่อาจเห็นความดีคนถึงแก่น
    มองคนดีเพียงเปลือกนอก ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ
    ตายแล้วเกิดใหม่กี่ทีก็โดน "ผู้ดีจอมปลอม" หลอกเอา


    โง่ซ้ำโง่ซ้อน ไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ ไม่ขาดไม่หายความโง่


    ตราบที่ไม่บรรลุอรหันต์ ย่อมไม่เห็น "ความดีที่แท้จริง"
     
  10. somsannannom

    somsannannom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +1,626
    แล้วอย่างผมนี่เรียกว่าอะไรครับ
    ผมนับถือพุทธศาสนา บวชเรียนมาบ้างแล้ว โตมากับวัด อยู่เป็นเด็กวัดเพราะว่าบ้านติดวัด ชอบศึกษาเรื่องธรรมเป็นบางครั้งบางคราว พอจะรู้บ้าง ถูกผิดดีชั่ว
    อาชีพต้องอยู่กับผู้คนหลากหลาย แต่ละวันต้องพบผู้คนมากมายทำให้รู้จัก มนุยษ์พอสมควรหน้าที่หลักของผมคือต้องรู้ความจริงและทำให้ถูกต้อง
    ผมเชื่อในกรรม เชื่อในการกระทำชอบแผ่เมตตา แต่ แต่ แต่ ..........

    ทำไมผมไม่เชื่อในคาถา

    ทำไมผมไม่อยากไปสวรรค์(ผมชอบป่าไม้ ไม่ได้อยากได้วัง เท่าที่อ่านๆมาบนวิมาน มีแต่ปราสาท สวยงาม ผมชอบป่า ตายไปก็ขอเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้)

    ทำไมผมไม่เห็นสักทีว่าการเกิดแก่เจ็บตายมันทุกข์จนไม่อยากเกิดอีก ทั้งที่ชีวิตก็ไม่เคยได้สบายสักเท่าไร กระเสือกกระสนดิ้นรนสู้ชีวิตมาตั้งแต่เล็กเพราะกำพร้า คนที่รักที่พึ่งได้ก็ตายจากไปจนชิน แต่พอนานวันความทุกข์ทั้งหลายเมื่อมันผ่านมาได้ กลับกลายเป็นความสุขที่เคยได้ผ่านพ้นมา และเป็นบทเรียนให้ผ่านวันข้างหน้าได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

    ทำไมผมคิดว่าถ้าผมมีกรรมของผม ผมก็ควรต้องชดใช้ตามกรรม ไม่เคยอยากจะหลีกเลี่ยง

    ทำไมผมไม่เห็นด้วยกับเรื่องอภินิหารทั้งหลายแหล่ รวมทั้งนิมิตรต่างๆเวลาเข้าสมาธิ ทำไมผมพอใจแค่ความนิ่ง ขอให้นิ่ง แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับชีวิตสมมุติ มากกว่านั้นคือมารที่จะล่อลวงคุณไปจากตัวตนที่แท้จริงของคุณ ทำผมคิดอย่างนั้น

    ทำไมผมคิดว่าชีวิตทุกชีวิตมีรูปแบบของมันเอง ความสุขความเศร้า แบ่งแยกจากอะไร คนไม่กินเผ็ดหาได้เคยลิ้มรสความอร่อยของรสเผ็ดไม่ ผมต้องทำงานกับ บุคคลที่รวยที่สุด มีอำนาจที่สุด มีคนรักนับถือมากที่สุด แม้กระทั่งคนที่จนที่สุด ไร้ค่าในสายตาที่สุด (บางคนไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีพวกเค้าอยู่)
    กับคนที่ดูฉลาดมาก หรือกับคนที่เค้าว่ากันว่าโง่สุดๆ แต่....... เมื่อผมมองลึกๆ พวกเขาก็มีทุกข์
    และมีสุขได้ตามสิ่งที่พวกเค้าได้เจอมาในชีวิต บางคนเมื่อได้ยินว่าหนังเรื่องนี้ไม่ดีก็ไม่ดู แต่มีโอกาศผมจะดูเพื่อที่จะได้รู้ว่าไม่ดีอย่างไร

    ทำไมผมไม่เห็นด้วยกับการอวดอ้าง อภินิหารต่างๆ แล้วทำไมโลกเราต้องมีสิ่งเหล่านั้น เราจะคงไวเพื่ออะไรหรือ ทุกสิ่งมีเกิดมีดับ ดูแล้วก็คล้ายแค่แสงพลุดอกไม้ไฟไฟวูปวาปแล้วดับสลาย ชีวิตมันจึงมีคุณค่า ถ้าถ่ายรูปดอกไม่ไฟนั้นไว้ได้ให้ทำให้มันเหมือนอย่างไรมันก็มิใช่ดอกไม้ไฟมิใช่หรือ

    ผมเชื่อนะเรื่อง นรก สวรรค์ เชื่อพระพุทธองค์ และศึกษามาบ้างแต่ถ้าให้ผมเลือกเดียวนี้ได้ว่าจะเกิดอีกในชาติหน้าหรือไม่ คำตอบคือขออีกเรื่อยๆ คนอ่านหนังสือคงไม่คิดจะอ่านเล่มเดียวเลิกจริงใหม ผมชอบอ่านชีวิต ถ้าเลือกได้ชาติหน้าขอแบบเข้มข้นหน่อย (ใจจริงอยากเกิดเป็นนักรบช่วงเสียกรุง และกู้กรุงแหมฝันซะ)

    ผู้รู้อ่านแล้วอย่างผมนี่จัดอยู่ ในกลุ่มบัวเหล่าสุดท้ายเลยหรือเปล่าครับ แล้วความคิดอย่างผมนี่มันเป็นปาบมั้ย ผิดหรือเปล่า

    ป.ล.
    ผมได้ป่วนนะ ผมคิดของผมงี้จริงๆ และจริงใจผมชอบเวปนี้มากดูประจำ สมัคอยู่นานกว่าจะได้
    ทีแรกนึกว่าเป็นระบบตรวจสอบคนบุญไม่ถึงเลยสมัคไม่ได้ซะที ชอบที่เวปนี้มีคนคิดด้านบวกเยอะมากกว่าคนคิดด้านลบ มีสมาชิกที่มีเมตาต่อผู้อื่นมากมาย ขอให้สนุกกับชีวิตนะครับ และ อย่าประมาท
     
  11. somsannannom

    somsannannom เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    183
    ค่าพลัง:
    +1,626
    ป.ล.
    ผมไม่ได้ป่วนนะ ผมคิดของผมงี้จริงๆ และจริงใจผมชอบเวปนี้มากดูประจำ สมัคอยู่นานกว่าจะได้
    ทีแรกนึกว่าเป็นระบบตรวจสอบคนบุญไม่ถึงเลยสมัคไม่ได้ซะที ชอบที่เวปนี้มีคนคิดด้านบวกเยอะมากกว่าคนคิดด้านลบ มีสมาชิกที่มีเมตาต่อผู้อื่นมากมาย ขอให้สนุกกับชีวิตนะครับ และ อย่าประมาท
     
  12. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    ขอแชร์ความรู้สึกกับคำถามคุณ somsannannom

    เด็กอนุบาลอ่านข้อความของคุณแล้ว รู้สึกว่าคุณเป็นคนที่จริงใจกับความรู้สึกตัวเองดีครับ เด็กอนุบาลขอแชร์ความรู้สึกและความเห็นบางอย่างครับ

    เด็กอนุบาลก็เคยมีความรู้สึกเหมือนคุณที่ว่า การมีชีวิตอยู่ในโลกนี้มันก็ไม่ได้ทุกข์เท่าไหร่ ประมาณว่ามีทุกข์สุขคละเคล้ากันไป เป็นรสชาติของชีวิตดีเสียอีก แซบเหมือนอมฮอลล์รสนำผึ้งผสมมะนาว :)

    ความจริงก็คือว่า ภพมนุษย์ยังพอทนทานได้สำหรับหลายคน แต่ชีวิตมันไม่แน่นอนนี่ครับ ถ้าเรายังไม่หลุดพ้นจากวัฏสงสาร กฏแห่งกรรม วันนี้เราได้เกิดเป็นมนุษย์เพราะบุญหนุนนำ แต่ถ้าถึงคราวที่บาปกรรมเก่าตามทวงหนี้บ้าง เราก็อาจต้องตายลงไปเสวย
    -การเป็นสัตว์เดรัจฉาน เด็กอนุบาลได้เห็นชีวิตสุนัข อดอยาก ไม่มีข้าวกิน ขี้เรื้อน ไม่มีปัญญาพาตัวเองไปหาหมอ โดนรถชนตาย ซากเกลื่อนกลางถนน เพราะไม่ฉลาดดูแลตัวเองได้เหมือนคน การไม่เบื่อการเวียนว่ายตายเกิด ก็ต้องรับความเสี่ยงที่จะเกิดมาทุกข์แบบนี้นะครับ
    -การเป็นสัตว์ในนรก เด็กอนุบาลยังไม่กล้าใช้มโนมยิทธิไปเห็นภาพความทรมานของสัตว์นรกซักกะที แต่ที่หลวงพ่อฤาษีฯท่านเล่าให้ฟัง แฮะๆ รู้สึกจะดูไม่จืด ทรมานเพราะต้องโดนไฟนรกเผา ความร้อนเป็นล้านเท่าของไฟที่เราใช้หุงต้ม Y_Y จำไม่ได้แล้วว่าขุมไหน แต่เท่าที่ท่านเล่า ทรมานแสนสาหัสทุกขุม

    ที่น่าสนใจก็คือว่า สัตว์นรกมากต่อมากที่ทนทุกข์ทรมานแสนสาหัสอยู่นี้ ได้เคยเกิดเป็นมนุษย์ เทวดา หรือเป็นพรหมมาก่อน แต่ตอนนั้นท่านเหล่านั้นประมาทในชีวิต ไม่คิดว่าจะมีวันที่หมดบุญ ไปใช้หนี้บาปในนรก ทำให้ตอนที่ชีวิตเอื้ออำนวยในการปฏิบัติธรรมเพื่อหลุดพ้นนั้น ไม่ยอมปฏิบัติให้จบกิจในพระศาสนา คือนิพพานโดยไม่กลับมาเวียนว่ายตายเกิดไปซะเลย

    จึงไม่แปลกครับที่หลายคน แล้วทั้งเด็กอนุบาลด้วยก่อนหน้านี้ ที่ไม่เบื่อการเกิด เพราะอวิชชามันลวงตาว่า การเวียนว่ายตายเกิดไม่ทุกข์ ไม่เสี่ยงเท่าไหร่หรอก เราเองก็มีดีอยู่บ้าง ตายแล้วคงไม่ตกนรกหรอก ไม่มั๊ง ไม่น่าจะเป็นเรา?

    ผู้ที่ฝึกมโนมยิทธิ จนได้ญาณในการระลึกชาติได้จริง จึงไปนิพพานได้ไวเพราะท่าน ระลึกชาติกลับไปเห็น ว่าตัวเองเคยเกิดมาทุกข์แสนสาหัสในนรกหลายต่อหลายชาติ ภาพที่เห็นมันติดตาติดใจ จนซึ้งจนเบื่อและกลัวความเสี่ยงจากการเวียนว่ายตายเกิด ความรู้จากญาณนี้ซึ้งมากเพราะเห็นภาพคาตา(คาใจ) ไม่ได้รู้จากการไปอ่าน หรือคนอื่นเล่าให้ฟังมา

    ปล. เด็กอนุบาลเคยระลึกเห็นภาพตัวเอง เคยเกิดเป็นหมาดำมาด้วย แต่ลืมดูว่าแก่ตายหรือโดนรถชนตาย :) เด็กอนุบาลไม่ได้ญาณวิเศษอะไรหรอกครับ แค่เคารพพระพุทธเจ้าและขอพระพุทธองค์สงเคราะห์ให้ดูภาพนิมิตรว่าเคยเกิดเป็นหมา? .....ปรากฏว่าเห็นภาพตัวดำเมี่ยมมาเชียว:)

    เด็กอนุบาลหวังดีและเป็นห่วงทุกท่านที่รักการเวียนว่ายตายเกิดจริงๆนะครับ เปลี่ยนใจเถอะครับ เว้นไว้แต่ท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดเพื่อบำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต อันนี้เด็กอนุบาลไม่เป็นห่วงมีแต่โมทนาในความดีของท่านคร้าบ _/|\_
     
  13. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาตตอบคุณsomsannannom<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_677933", true); </SCRIPT> ด้วยครับ

    หลายท่านในนี้มีความเข้าใจดีครับว่า คุณไม่ได้ป่วนแน่นอนครับ

    ต้องยอมรับก่อนว่า ผมเองก่อนหน้านี้ก็มีช่วงชีวิตที่ปฏิเสธเรื่องราวเหล่านี้อย่างสิ้นเชิงเช่นกัน แต่เมื่อเวลาวาระมาถึง ก็เป็นวาระที่เป็นเช่นนั้นไปเอง

    สิ่งที่ต้องได้ ต้องรู้ ในหลายสิ่งผมก็ไม่ได้ไปเสาะแสวงหา ถึงเวลามันมา มันได้ของมันเอง พอได้แล้วก็ทำให้เราเองกลับรู้ว่า เรามองโลกแคบไป ยังมีสิ่งที่เรารู้ว่าเราไม่รู้อยู่อีกมากมาย

    พุทธวิสัย ก็ดี เรื่องอจินไตยอีกมากมายก็ดี มีที่ลึกซึ้งอยู่อีกมากเกินที่จะใช้ปัญญาแบบปุถุชน จะคิดถึงหรือเข้าใจได้

    เอาเป็นในระดับวิสัยแห่งการบรรลุธรรม ก็แบ่งเป็น 4 วิสัยแล้วคือ

    1.สุกขะวิปัสสโก การบรรลุธรรมโดยไม่รู้ ไม่เห็นไม่มีญาณความเป็นทิพย์ใดนอกจาก อาสวะขญะญาณ ญาณเครื่องรู้ในความหมดแห่งกิเลส

    2.เตวิชโช การบรรลุธรรม โดยมีญาณเครื่องรู้เป็นคุณธรรมวิเศษสามประการ

    3.ฉฬภิญโญ การบรรลุธรรม โดยมีอภิญญาหกประการ

    4.ปฏิสัมภิทัปปัตโต การบรรลุธรรมโดยมีคุณธรรมวิเศษครอบคลุม การทรงพระไตรปิฏก อภิญญา อิทธิวิธี รู้ภาษาสัตว์และภาษาทุกภาษา

    เรามั่นใจว่าเราเป็นวิสัยใด?

    หากเราอยู่ในวิสัยฉฬภิญโญ แต่มัวไปปฏิบัติแบบสุขวิปัสโก ก็กลับไม่มีผลในการปฏิบัติ ครั้น มาปฏิบัติตามวิสัยแล้วกลับก้าวหน้าในธรรมก็ปรากฏให้เห็น

    มีหลายท่านที่ขาดความเข้าใจตรงจุดนี้ แล้วไปบอกให้คนเขาเลิกจากการปฏิบัติตามวิสัย ก็ทำให้ท่านเหล่านั้นพลาดจากความดีที่พึงมีพึงได้
    เป็นโทษที่ทำโดยไม่ตั้งใจ ส่งผลย้อนกลับให้ตนเองล่าช้าในการปฏิบัติ โดยไม่รู้ตัว

    ในข้อที่ว่าเป็นการหลงฤทธิ์ หลงนิมิตรนั้น ความเป็นจริง พระพุทธเจ้า ท่าน ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ท่านไม่เคยสอนให้หลงในเรื่องเหล่านี้กันแม้แต่ท่านเดียว ท่านให้ได้ ให้รู้ แล้วละเสีย เพื่อก้าวสู่ธรรมที่วิมุติกว่า ส่วนใหญ่ที่หลงเป็นตัวบุคคลเอง แต่ละท่าน และในวิสัยแห่งสุกขวิปัสสโกนั้นก็มีผู้หลง ด้วยเช่นกัน เช่นหลงในปริยัติเป็นเถรใบลานเปล่า บ้าง หลงตีความธรรมมะตามความคิดของตนจนหลงไปก็มาก

    ดังนั้นจึงไม่ยุติธรรมที่กล่าวว่าเป็นการหลง การติด เพราะสิ่งเหล่านี้ เป็นวาระกรรม เป็นข้อสอบของแต่ละท่านและบุคคลต้องประสบพบเจอด้วยตนเอง โดยเฉพาะท่านที่เคยทำกรรมที่ส่งผลด้านนี้มาก่อนในอดีตกาล หากสาวกลับไปด้วย อดีตตังสญาณ จะทำให้เข้าใจในกรรม ผลของกรรมที่เรากำลังประสบอยู่อย่างชัดแจ้งกระจ่างใจ เมื่อเข้าใจว่ามีเหตุจึงเกิดผลเท่านี้ อย่างนี้ ก็ทำให้จิตคลายตัวลงปล่อยวางได้ง่ายขึ้น ญาณเครื่องรู้จึงเป็นเครื่องช่วยในการปฏิบัติธรรมได้เป็นอย่างดี

    บางอย่างบางเรื่องกว่าจะมาเข้าใจจนถึงจุดต่างๆเหล่านี้ได้ ก็ใช้เวลามากมาย หลายชาติ

    การฝึกจิตฝึกสมาธินั้นก็เพื่อเป็นการฝึกจิตให้ถอดถอนจากกองกิเลสหนึ่ง
    เพื่อนำอภิญญาที่ได้ ไปใช้เมตตา ไปใช้โปรดผู้มีทุกข์เช่นกันเป็นประการที่สอง


    การที่คิดอย่างนี้ ตัวคุณเองก็ได้บอกด้วยตัวเองอยู่แล้ว ว่า"ยังไม่เบื่อเกิด" ยังอยากเกิดอีก ก็เป็นธรรมดา ไม่ใช่บาป หรือผิดอะไร เป้นเรื่องของเวลาและวาระของแต่ละบุคคลเท่านั้น

    แต่การก้าวเข้าสู่เส้นทางแห่งธรรมก็นับเป็นศุภนิมิตรอันดีกับคุณอยู่แล้ว การสัมผัส ความคิดด้านบวกที่ปรากฏอยู่ในเวบไซท์แห่งนี้ก็นับว่า คุณก็เป็นผู้มีจิตอันเป็นกุศลท่านหนึ่งเช่นกัน

    ขอความเจริญงอกงามในธรรมจงมีในดวงจิตของคุณตลอดไป
     
  14. ๑กุหว่าใจ๋๑

    ๑กุหว่าใจ๋๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2006
    โพสต์:
    371
    ค่าพลัง:
    +2,730
    พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า สิ่งที่เห็นได้ยากในบุคคลทั่วไปนั้นมี4อย่างได้แก่ ศีล๑ ความบริสุทธิ์๑ กำลังใจ๑ ปัญญา๑ จะเห็นสิ่งเหล่านี้ได้นั้นต้องอาศัยเวลาในการคลุกคลีบ้าง เห็นได้โดยใส่ใจ หากไม่ใส่ใจก็ไม่เห็น เห็นได้ด้วยอาศัยปัญญา หากไม่ใช้ปัญญาก็ไม่เห็น

    จะรู้ได้ว่าใครเป็นกัลยาณมิตร ใครเป็นเพียงมิตรเทียมหรือคนดีจอมปลอม ก็ย่อมต้องอาศัยเวลาในการคลุกคลีบ้าง อาศัยความใส่ใจ และอาศัยปัญญาจึงจะรู้ได้ หากปรารถนาจะได้มิตรแท้หรือกัลยาณมิตร ก็พึงดูกันไปนานๆ ดูกันไปจนตลอดชีวิตนั่นล่ะ

    คนเห็นแก่ตัวคือคนหน้าด้าน ทำอะไรโดยไม่คำนึงถึงผู้อื่น เพื่อตอบสนองราคะตน มักพรากชีวิตผู้อื่นบ้าง ถือเอาของที่ผู้อื่นไม่ได้ให้มาเป็นของตนบ้าง พรากพรหมจรรย์ผู้อื่นที่ไม่ใช่ภริยาหรือสามีตนบ้าง หรือกลาวคำเท็จคำหลอกลวงเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ตนเอง กระทำทั้งในที่ลับและที่แจ้ง กระทำโดยมิได้วางแผนหรือกระทำโดยวางแผนไว้ล่วงหน้า กระทำเพียงลำพังหรือมีพวกพ้องร่วมกระทำ อาศัยเจตนาเป็นหลักในการกระทำ จะผิดน้อยผิดมาก ผิดก็คือผิด เลวก็ย่อมเรียกว่าเลว

    ก็หากว่าคนหรือกลุ่มคน มีเจตนาหลอกลวงผู้อื่น เพื่อหวังเอาทรัพย์หรือสิ่งมีค่าของผู้อื่น มาเพื่อตอบสนองราคะของตนหรือกลุ่มตน เราย่อมเห็นว่าคนนั้นคนพวกนั้นเป็นคนไม่ดี การหลอกศรัทธาผู้อื่นก็ทำนองเดียวกัน ในหลายกรณีที่พบเห็นล้วนหลอกศรัทธาเพื่อเอาทรัพย์ มาบำรุงความอยากของตนเป็นหลัก หากเราเชื่อในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ก็ย่อมรู้ได้ว่า คนเหล่านั้นจะมีสุขติภูมิหรืออบายภูมิเป็นที่ไป แล้วคนที่ประกอบกรรมโดยตั้งอยู่ในศรัทธาหล่ะ เสียทรัพย์ไปให้พวกมิจฉาชีพแล้วได้อะไร ข้อนี้พึงพิจารณาว่า หากเราเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าทำดีก็ย่อมได้รับผลดีเป็นสิ่งตอบแทนแน่นอน ก็ให้สบายใจได้ว่าสิ่งที่เราได้ทำไปแล้ว หากตั้งอยู่ในกุศล เราก็ย่อมได้รับอานิสงส์แห่งการประกอบกุศลนั้นอย่างแน่นอน

    มองต่อไปอีกว่า ในโลกมนุษย์นี้วุ่นวายนัก ยากจะหาความสงบ ความสุขอย่างแท้จริงได้ แม้ในโลกแห่งพุทธศาสนาอันมีค่าบริสุทธิ์ ก็ยังไม่วายมีพวกมิจฉาชีพ พวกอลัชชีมาหาผลประโยชน์ เห็นทุกข์เห็นโทษจากอำนาจอวิชชาที่ห่อหุ้มใจสัตว์ทั้งหลาย เห็นทุกข์เห็นโทษจากการเวียนว่ายตายเกิด เห็นสภาวะที่หมุนเวียนอยู่ในภพภูมิทั้งหลายว่าตั้งอยู่ในกฏ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เราพึงตั้งมั่นในองค์มรรค คือแนวทางสู่ความดับทุกข์ ตั้งปรารถนามีพระนิพพานเป็นที่ไปอันเป็นที่สุดแห่งทุกข์ เสวยความสุขสงบอยู่ ณ.พระนิพพานเทอญ...

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า ความสุขใดเสมอด้วยความสงบไม่มี ความสงบใดเสมอด้วยพระนิพพานไม่มี นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง...
     
  15. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    "โทษของผู้อื่นใหญ่หลวง หนักปานขุนเขา
    โทษของเราบางเบาดุจขนนก"

    "หมั่นโจทย์โทษตนเองในสิ่งที่ขัดขวางการปฏิบัติธรรมของตัวเราเอง เอาไว้เสมอ เราดีเมื่อไหร่ เราก็เลวเมื่อนั้น"

    "จงให้อภัยกับทุกคน ทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกสถานการณ์"

    "ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก ผู้ให้ความดี ให้ธรรมทานย่อมเป็นที่รักยิ่งของผู้รับ ผู้เจริญเมตตาพรหมวิหารสี่ย่อมเป็นที่รักของมนุษย์ อมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย"



    "จิตเดิมนั้นเป็น จิตที่ประภัสสร ดังนั้นจิตใจที่ดีงามจะคงอยู่ตลอดไป "
     
  16. เด็กอนุบาล

    เด็กอนุบาล เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    689
    ค่าพลัง:
    +4,156
    เด็กอนุบาลขอโมทนาในธรรมทานพี่คณานันท์เรื่องอรูปฌาน

    หุหุ :) วันหลังไม่กล้าถามพี่คณานันท์แล้ว กลัวได้การบ้าน(โหดๆ)อีก :) ม่ายรู้เป็นไงช่วงนี้พยายามค้นคว้าเรื่องการฝึกอรูปฌานจากหลายแหล่ง แต่ก็ยังไม่ได้คำตอบที่น่าพอใจ-หมายถึงอ่านแล้วตีความน้อยและให้แนวทางปฏิบัติได้ชัดเจนเหมือนที่อ่านจากของพี่คณานันท์, ไม่ได้ยอนะครับพูดจากใจจริง ผมเดาว่าพี่น่าจะเป็นอาจารย์มหาลัยแน่เรย สไตล์การสอนคุ้นๆ

    ขอน้อมรับการบ้านพี่คณานันท์ด้วยดวงใจ และขอตอบแทนความดีของพี่และเพื่อนๆใน web นี้ด้วยการปฏิบัติการบ้านนี้ เพื่อถวายกุศลนี้ เป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา และขออุทิศกุศลนี้ให้พุทธภูมิทุกท่านที่เป็นหน่อพุทธวงศ์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายด้วยครับ_/|\_

    มีท่านผู้รู้ท่านหนึ่งได้บอกให้เด็กอนุบาลรู้กำพืดตัวเองว่าเป็นพุทธภูมิมาเหมือนกัน แต่มาทางสายวิริยาธิกะ แต่วันก่อนนี้พยายามอธิษฐานจิตขอลาพุทธภูมิต่อหน้าพระท่านแล้ว ส่วนตัวแล้วเบื่อการเวียนว่ายตายเกิดเหลือเกิน จึงอยากจะจบกิจพระศาสนาในชาตินี้

    พี่คณานันท์ถามพระท่านให้หน่อยได้ไหมครับว่าท่านอนุญาติไหม จริงๆเด็กอนุบาลเคยถามท่านแล้ว ได้รับคำตอบว่าให้ลาได้ แต่เกรงว่าจะเจออุปปาทานแทรกคำตอบเพราะตัวเองมีใจอยากลาอยู่เป็นทุนเดิม :)

    แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าพระท่านไม่อนุญาติ เพราะเห็นจากสัพพัญญูตญาณว่าในอนาคตแล้วการเป็นพุทธภูมิของเด็กอนุบาลจะสร้างประโยชน์กับส่วนรวมได้มากกว่าการเป็นสาวกภูมิ เด็กอนุบาลก็จะน้อมใจยอมรับ ทำงานให้ท่านเพื่อตอนแทนพระคุณของพระท่านครับ แต่เท่าที่สังเกตุตัวเอง เห็นว่าตัวเองเป็นคนที่มีพรรคพวกติดตามกันมาน้อย ลักษณะนี้น่าจะเป็นสาวกภูมิดีกว่า:)
     
  17. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ขออนุญาตตอบคุณ เด็กอนุบาลครับ

    ธรรมมะที่นำมาลงในกระทู้นี้ เป็นธรรมที่พระพุทธองค์ท่านทรงเมตตาต่อพวกเราทุกคนครับ ผมเองเป็นเพียงผู้ฝากมาให้แต่ละท่านตามที่พระท่านจะโปรดครับ ไม่ใช่ความสามารถของผมเองแต่อย่างไร ผมเองมีความเลวอยู่มากครับ เพียงแต่เราทำหน้าที่ที่พระท่านมอบหมายลงมาเท่านั้นเอง

    การบ้านที่ให้นั้นขอเพิ่มเติมให้นิดหนึ่งครับ เอาตามบุคคลที่เห็นๆและโมทนาตามอ่านอยู่ มีหลายท่านที่อยู่ในวิสัยที่ทำได้ครับ ขอให้ลองทำดู

    หากเอาเรื่องของการเจริญอรูปฌานหรือสมาบัติแปดนั้น ให้เริ่มไล่ฌานจาก พุทธานุสติกรรมฐานเอาไว้ดังนี้

    " จับลมสบายในอานาปานสติกรรมฐานก่อน จากนั้น
    จับภาพพระพุทธรูปปกติ(ฌานที่หนึ่ง)เห็นรูปองค์พระแนบในจิต
    จับภาพพระพุทธรูปค่อยๆขาวขึ้นใสขึ้น(ฌานที่สอง)
    จับภาพพระพุทธรูปใสขาวสว่าง อารมณ์จิตตั้งมั่น(ฌานที่สาม)
    จับภาพพระพุทธรูปใสสว่างแพรวพราวเป็นแก้วประกายพรึกเปร่งรัศมี(เป็นฌานที่สี่) จิตเราอิ่มเอมสว่างไสว ตั้งมั่น

    ย้อนกลับมาดูลมหายใจ จะพบว่าลมหายใจหายไป ไม่ต้องตกใจ ให้ดูเพื่อพิสูจน์ว่า เข้าถึงฌานสี่แล้วไม่หายใจจริงๆตามที่พระท่านสอนเอาไว้

    จากนั้นเริ่มเข้าสู่อรูปฌานที่หนึ่ง

    กำหนดให้เห็นทุกสิ่งโดยรอบของเราสลายกลายเป็นอากาศสีขาวเวิ้งว้างว่างเปล่าไม่มีขอบเขต ไม่มีประมาณไม่มีที่สิ้นสุด


    กำหนดเห็นร่างกายเรา และวัตถุธาตุทั้งปวงแตกสลายลง บ้านเมืองภูเขาทุกสิ่งแตกสลายกลายเป็นผงธุลีหายสูญไปหมดสิ้นเหลือเป็นความว่างสีขาวสว่างเว้งว้างไม่มีที่สุดไม่มีขอบเขต ไม่มีเพดานไม่มีพื้นไม่มีผนัง มีเพียงความเวิ้งว้างว่างเปล่า เป็นอรูปฌานที่สอง

    จากนั้นกำหนดให้เห็นทุกสิ่งรอบตัวเป็นอากาศเวิ้งว้างว่างเปล่าไปหมด เป็นสีขาวสุดสายตา เพิกสัมผัสทางตาหูจมูกลิ้น กายใจให้หมด เพิกถอนการรับรู้ทางอายตนะทั้งปวง พิจารณาว่าการปรุงแต่งทางอายตนะเป็นเหตุแห่งทุกข์ทำให้หลงติด ทำให้ปรุงแต่งอยู่ในกามคุณห้า อันเป็นบ่วงแห่งการเวียนว่ายตายเกิด(เป็นอรูปฌานที่สาม)

    *หมายเหตุ* ให้สังเกตุว่าเป็นการพิจารณาที่ใกล้กับวิปัสสาญาณมาก และทำให้เข้าใจผิดว่า ความว่างนี้คือนิพพานเอาได้ สภาวะนี้เองที่หากไปจุติเป็นอรูปพรหมแล้วพระพุทธเจ้าก็โปรดไม่ได้เนื่องจากมีการปิดอายตนะทั้งปวงโดยเฉพาะ"ใจ"

    จากนั้นพิจารณาต่อไป ว่าสัญญาความทรงจำความจำได้หมายรู้ทั้งปวงนั้น ก็ล้วนแต่เป็นเครื่องผูกในชาติภพ ความปรุงแต่งทั้งปวง ในความคิดความทรงจำเป็นทุกข์เราพึงละ พึงสลาย สัญญาความทรงจำทั้งหลายออกไปจากจิตของเราให้หมดสิ้นไปด้วยเถิด (เป็นอรูปฌานที่สี่)

    * เรื่องอจินไตย* เหตุแห่งการเกิดปฏิสัมภิทาญาณนั้นปรากฏด้วยเหตุที่ เมื่อเราล้างจิตให้ไร้สัญญาความทรงจำ ด้วยเนวะสัญญายตนะฌานแล้ว มีผลทำให้ความ"ทรงจำขยะ" ถูกลบหายไปด้วย เมื่อตัดสังโยชน์สิบจนสิ้น จิตสะอาดปราศจากกิเลสเมื่อเข้าสู่ความเป็นเสขะบุคคล ปัญญาก็ปรากฏชัดทำให้ศาสตร์ ความรู้ เครื่องรู้ ในองค์แห่งปฏิสัมภิทาญาณปรากฏขึ้นเอง เป็นความรู้ที่พระท่านเมตตาบอกเอาไว้

    เมื่อจิตทรงในอารมณ์ของสมาบัติแปดเต็มกำลัง จิตจะมีกำลังในการตัดกิเลสมาก ให้ยกอารมณ์ใจน้อมเข้าสู่วิปัสนาญาณเพื่อตัดกิเลส โดยการพิจารณาสังโยชน์สิบประการ

    ให้พิจารณาว่า

    "เราไม่มีในกาย กายไม่มีในเรา เราเป็นเพียงจิตมาอาศัยกายนี้อยู่ชั่วคราวเท่านั้น เรามีความตายไปในที่สุด ตายเมื่อไรเราต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน

    เรามีความมั่นคงในพระรัตนไตรเป็นที่พึ่งที่อาศัยตลอดกาลตลอดสมัย ตราบถึงซึ่งพระนิพพาน

    ศีลของเราขณะที่ปฏิบัตินี้มีความ ศีลที่บริสุทธิ์มีพรหมวิหารสี่ที่ตั้งมั่น เราเป็นผู้มีจิตเมตตาไร้การเบียดเบียนผู้หนึ่งผู้ใด เพราะเราต้องการสุคติภูมิคือพระนิพพาน

    เราละโกรธ ละเกลียด ละความอาฆาตจองเวรต่อผู้ใด เราให้อภัยทานต่อทุกดวงจิต

    อันกามคุณทั้งห้าประการมีอามิสเป็นเครื่องล่อให้สรรพสัตว์ติดหลงอยู่ในวังวนแห่งการเกิด การแก่ ความเจ็บ ความตายไม่รู้จักจบสิ้น เราละจากกามคุณห้า เพราะเราปรารถนาพระนิพพานเป็นที่สุด

    จิตเราตั้งมั่นในสมาธิ ในสมาบัติ จิตเราปราศจากนิวรณ์ห้าประการอันเป็นเครื่องกั้นความดี

    อันรูปพรหมสมบัติเราไม่ต้องการ อรูปพรหมสมบัติเราก็ไม่ต้องการเราต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน

    การเวียนว่ายตายเกิด ไม่ว่าจะเป็นภพเป็นภูมิใดเราก็ไม่ต้องการ เราต้องการจุดเดียวคือพระนิพพาน"

    จากนั้นก็ใช้กำลังของอรูปฌานพิจารณาธรรมให้จิตคลายตัวจากกิเลสทั้งปวง จะพบว่าจิตจะคลายจากความติดในรูปในกิเลสด้านหยาบลงไปได้มาก หากเป็นสาวกภูมิวิสัย ใช้กำลังของสมาบัติแปด ทรงการปฏิบัติพิจารณาในมหาสติปัฐฐานสี่ ก็พึงบรรลุธรรมไม่เกินเจ็ดวันตามพุทธพจน์

    * เรื่องอจินไตย * สมัยพุทธกาลฟังธรรมครั้งเดียวปรากฏว่าบรรลุธรรมเป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ได้นั้น พระท่านบอกว่า ไม่เพียงบารมีท่านเต็ม เพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะท่านท้งหลายเหล่านั้นท่านทรงอรูปฌาน สมาบัติแปดในการฟังธรรม ครั้นพอพระพุทธเจ้าท่านสะกิดนิดเดียว ท่านก็ยกจิตขึ้นสู่อรหันต์ผลพร้อมปฏิสัมภิทาญาณ ในบัดนั้นนั่นเอง
     
  18. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    อันที่จริงภูมิจิต ภูมิธรรม ความฉลาดในธรรมของคุณเด็กอนุบาลก็นับว่าไม่ธรรมดา สมกับที่เป็นพุทธภูมิครับ ขอโมทนาบุญด้วย

    เรื่องลาหรือไม่ลา พุทธภูมิเราให้พระท่านเมตตาจัดสรรให้เป็นดีที่สุดครับ

    ตอนนี้เราจะได้ใช้กำลังของพุทธภูมิในการทำประโยชน์สูงที่สุดให้กับส่วนรวมยังไงครับ ดีไหม

    ขอแถม เรื่องอรูปฌานจากที่เคยลงเอาไว้ครับ


    การทรงอารมณ์นิพพานด้วยกำลังของอรูปฌานหรือสมาบัติแปด

    ก่อนอื่นขอให้จับลมสบายให้ใจเราชุ่มเย็นสดชื่นก่อน
    จากนั้นระลึกถึง บารมีของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    ระลึกถึงศีลห้า พรหมวิหารสี่
    จับวิปัสนาญาณพิจารณาความไม่เที่ยง มีความตายเป็นอารมณ์ เห็นความเป็นจริงในสังขารร่างกาย ว่าเป็นทุกข์

    ทรงพุทธนิมิตร เป็นองค์แห่งพุทธานุสติเต็มกำลังสมาธิ จนทรงพุทธนิมิตรสว่างไสว แพรวพราว เปล่งฉัพพรรณรังสี สวยงามระยิบระยับ จนใจเราสบาย

    กราบขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านทรงสงเคราะห์ให้เราเข้าถึงอารมณ์แห่งสมาบัติแปด

    จากนั้นพิจารณา ให้ทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆพุทธนิมิตรในจิตเรา สลายไปกลายเป็นอากาศ ขาว เว้งว้างว่างเปล่า ไม่มีขอบเขต ไม่มีผนังไม่มีพื้น ไม่มีเพดาน เว้งว้างไปหมด พิจารณาว่าทุกสิ่งไม่ใช่แก่นสาร ไม่ช้าก็สลายตัวหมด ไม่เที่ยง ไม่จีรัง

    จากนั้นทรงอารมณ์ พิจารณาให้เห็น บ้านเมือง อาคาร วัตถุ โลก จักรวาล หรือแม้แต่ตัวเรา ร่างกายเรา แตกสลายผุพังไปกลายเป็นความเว้งว้างว่างเปล่าอีก ทรงอยู่แต่พุทธนิมิตรในจิตของเรา
    พิจารณาว่า ร่างกายเราก็ดี ร่างกายบุคคลอื่นก็ดี วัตถุสิ่งของใดก็ดีล้วนแต่ ผุ พัง ไปตามกาลเวลาไร้แก่นสารใดๆทั้งสิ้น ให้ยึดมั่นถือมั่น
    <!-- / message --><!-- sig -->

    ทรงพุทธนิมิตรไว้ในจิตให้ทรงตัว ต่อไป พิจารณา เพิก สัมผัสและการปรุงแต่ง ความยินดี ยินร้าย ทางอายตนะ ทั้งปวงออกไปจากจิต

    เห็นก็สักแต่ว่าเห็น ใจเฉย ๆ ไม่รับรู้
    ได้ยินก็เหมือนไม่ได้ยิน ใครชมก็เฉย ใครด่าก็เฉย
    ได้กลิ่น ก็ไม่ไปปรุงแต่ง ไปยึดถือ ว่าหอม ว่าเหม็น
    ได้รับรส ก็เฉย ไม่สนใจว่าอร่อย ไม่อร่อย
    รับสัมผัสทางกาย ก็ไม่ไปปรุงแต่ง ว่านิ่ม ว่าแข็ง
    มีอารมณ์ภายนอกมากระทบ ก็เฉย ไม่รับ ไม่รู้ ไม่สนใจ

    ใจเราพิจารณาว่า สัมผัสทั้งปวงไม่เที่ยง การปรุงแต่งในสัมผัสแห่งอายตนะทั้งปวงเป็นทุกข์ ไม่ช้าแค่วูบเดียวสัมผัสนั้นก็หายไป ไยต้องไปยึดถือ ใจเราตั้งมั่นแต่พุทธนิมิตรที่สว่างไสว อย่างเดียว
    <!-- / message --><!-- sig -->

    ทรงพุทธนิมิตร ที่ส่องสว่างเปล่งฉัพพรรณรังสีไว้ ให้ใจเราสบาย จากนั้นพิจารณา ว่า อันสัญญา ความจำ ได้หมายรู้นั้น ไม่เที่ยง

    เพิกความทรงจำ ความคิดในอดีตกาลก็ดี อดีตชาติก็ดี ความยึดมั่นถือมั่น ทิษฐิต่างๆก็ดี ทั้งหมด ออกจากจิตใจ เห็น สัญญาความทรงจำในทุกสิ่งมีความไม่เที่ยงเมื่อยึดถือก็ย่อมเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ความทรงจำ ความยึดมั่นก่อให้เกิดชาติ เกิดภพ เกิดการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบ ในสังสารวัฏ เราเห็นโทษภัยในสัญญา พึงลบ พึงสลายสัญญาทั้งหลายออกไปจากดวงจิตของเรา เหลือเพียงความเว้งว้างว่างเปล่ามีเพียงพุทธนิมิตรที่สว่างไสวลอยเด่นอยู่ ท่ามกลางความเว้งว้างว่างเปล่านี้
    <!-- / message --><!-- sig -->


    จากนั้นพิจารณาว่า อันอารมณ์แห่งฌานสี่มีองค์แห่งสมาธิอันเป็นสุข ฉะนี้ก็ดี อัน อรูปฌาน มีอารมณ์อันละเอียดปราณีต ดั่งนี้ก็ดี พระพุทธองค์ท่านยังทรง ตรัสว่า ยังไม่ใช่ที่สุดแห่งทุกข์ ยังมีธรรมที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่า รูปพรหม อรูปพรหมก็ดี ยังต้องมีการเวียนว่ายตายเกิดอีกเมื่อหมดกำลังบุญ ดังนั้นพรหมก็ดี อรูปพรหม ก็ดีเราไม่ต้องการ เพราะเราไม่ต้องการเกิดอีก จุดเดียวที่เราต้องการคือ พระนิพพานเพียงจุดเดียวเท่านั้น

    "ตัด"สังโยชน์ทั้งสิบประการ ด้วยกำลังแห่งสมาบัติแปด เห็นทุกสิ่งล้วนเว้งว้างว่างเปล่าไปหมด

    ขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านให้เราทรงอารมณ์พระนิพพานด้วยกำลังแห่งสมาบัติแปดนี้ และขอให้กำลังของสมาบัติแปดนี้จงตัดสรรพกิเลสให้เป็นสมุทเฉทประหาร ลง ณ บัดนี้ด้วยเทอญ

    ทรงอารมณ์ใจพระนิพพาน ไว้ให้เป็นปรกติของจิต

    ขอกราบโมทนาบุญในการปฏิบัติของทุกๆท่านด้วย เทอญ ขอให้ทุกท่านได้ทรงอารมณ์พระนิพพานได้ จนเป็นธรรมดาของจิต พูดถึงพระนิพพานจนติดปาก ติดใจ ไม่ไกลตัว กันอีกต่อไป
    <!-- / message --><!-- sig -->
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  19. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    การบ้านที่ว่าโหดแล้วของคุณเด็กอนุบาล

    การบ้านของน้องมิกซ์ "กุหว่าใจ๋" โหดกว่าเยอะครับ

    การบ้านที่ว่าคือ ให้เจริญกรรมฐานทั้งสี่สิบกอง ไล่ขึ้นไปจนถึงฌานสี่ จากฌานสี่ไล่ขึ้นไปเป็นสมาบัติแปด ไปจนสุดที่อารมณ์พระนิพพาน ทีละกอง ทีละกองจนครบทั้งกรรมฐานสี่สิบกองครับ

    เป็นสิ่งที่ท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิทำได้ไม่เกินกำลังใจครับ อนุญาตเปิดหนังสือดูได้ว่ากรรมฐานสี่สิบกองมีอะไรบ้างครับ

    ทำแล้วจำให้ได้ว่าอารมณ์ใจของกรรมฐานกองนั้นเป็นเช่นไร เราจะทราบขึ้นในจิตครับ เพราะจะถูกนำไปใช้กับบุคคลผู้มีจริตแตกต่างกันออกไปครับ

    ขอกราบโมทนาบุญกับความตั้งใจในการปฏิบัติของทุกๆท่านด้วยครับ
     
  20. ๑กุหว่าใจ๋๑

    ๑กุหว่าใจ๋๑ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2006
    โพสต์:
    371
    ค่าพลัง:
    +2,730
    การบ้านที่พี่ให้ ไม่ได้โหดและเกินกำลังใจครับ แต่ที่ติดปัญหาอยู่ก็คือหาเวลาในการทำการบ้านยังไม่ลงตัวครับ หนังสือที่พี่ให้มาก็อ่านไปได้แค่สองบทเองครับ เวลาที่ว่างจากการงาน ก็มาอ่านติดตามข่าวสารจากหมู่เพื่อนในเว็บบ้าง ศึกษาธรรมมะบ้างเพราะรู้ว่าตัวเองสะสมสุตตะมาน้อย คิดหาหนทางทำมาหากินหากต้องย้ายที่อยู่บ้าง ก็ขอบอกพี่เอาไว้ตรงนี้ก่อนนะครับ ว่าช่วงเวลาในระยะนี้คงจะศึกษาจากหนังสือที่พี่ให้ และทดลองทำไปเรื่อยๆ ตามแต่จะหาโอกาสได้ ปูพื้นฐานไปก่อน เมื่อมีเวลาที่ว่างจากการงานเหมือนตอนไปติวกับพี่แล้ว จะทำแบบเต็มกำลัง เพราะผมต้องการจะได้อารมณ์ละเอียดจริงๆ จึงจะลงใจได้ว่าทำได้จริงๆครับ

    ก็ขอให้เพื่อนๆท่านอื่นๆที่มีเวลา มีโอกาสที่จะได้ปฏิบัติ ได้ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์สูงสุดนะครับ ขอให้ทุกท่านจงมีความเจริญก้าวหน้าทั้งในทางโลกและทางธรรมยิ่งๆขึ้นไป เป็นร้อยเท่าพันทวีครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...