วิชชาที่จะทำให้อยู่รอดจากยุคสมัยแห่งภัยพิบัติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย kananun, 17 กรกฎาคม 2006.

  1. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ---หวังว่าหลายๆคนคงฝึกการ"จับลมสบาย"ได้แล้วนะครับ ซึ่งหมายถึงจุดที่ลมหายใจของเราละเอียดที่สุด จิตใจเราเบาสบายปลอดโปร่งที่สุด ตามกำลังที่ทำได้ของแต่ละคนครับ ต่อไปเวลาผมบอกให้จับลมสบายให้ทุกคนเข้าใจให้ตรงกันนะครับ คนที่เข้ามาอ่านใหม่ให้ย้อนกลับไปอ่านบทเก่าๆแล้วฝึกดูครับ

    ----ส่วนการ"จับภาพพระ "ผมหมายถึงให้เรา เข้าจุดที่ลมสบาย แล้วจับภาพพระพุทธรูปในจิต และนึกภาพให้ ภาพพระพุทธรูปใสสว่างขึ้นจนเปร่งแสงเป็นประกายเป็นเพชรนะครับ กระบวนการจริงจนพระใสสว่างควรใช้เวลาแค่กระพริบตาก็พอครับ ถ้าลืมตาทำได้ จะทรง(คง)อารมณ์ได้แนบแน่นมั่นคงกว่าครับ

    -----ส่วน วิปัสนาญาณ และการพิจารณากาย ขันธ์ ทุกข์ หาหนังสือ เทป อ่านฟังเพิ่มเติมครับ
     
  2. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    วันนี้ผมเอาเรื่องอวิชชาที่ทำให้หลงติดในภพภูมิสังสารวัฏ มาให้ลองพิจารณากันดูครับ

    ----อันเหล่าหนอนแมลงวันนั้น เมื่อได้กำเนิดมาในบ่อเกรอะ อันเต็มไปด้วย อุจจาระ ปัสสาวะอันเน่าเหม็นน่าสะอิดสะเอียนนั้น ก็มีจิตคิดยินดีในลาภที่เกิดขึ้นว่า โอ้เรานี่หนอช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้ ดื่ม กิน อาหารอันประเสริฐ จำนวนมหาศาลหาประมาณมิได้ จึงมีจิตคิดยินดีใคร่เกิดเป็นหนอนแมลงวันเยี่ยงนี้ ร้อยชาติ พันชาติ

    ----เหล่าเปรต อสุรกาย ที่มีปากเท่ารูเข็ม นั้นมีความอดอยากหิวโหยเป็นนิตย์ เมื่อเห็น ซากสุนัขตายขึ้นอืดบวมพองเขียว นำเหลือง นำหนองไหลเยิ้มจากผิวหนังที่บวมปริแตก ก็มีจิตยินดี ว่าวันนี้เรามีลาภแท้ๆ ตรงเข้าไปดูดกิน นำเหลือง นำหนอง อย่างเอร็ดอร่อย จึงติดในภพภูมินี้ด้วยประการฉะนี้

    ------มนุษย์ เองก็ดื่มกิน ซากสัตว์อสุภะทั้งเล็กทั้งใหญ่เป็นอาหาร อันเป็นของสกปรก เมื่อมีมิจฉาทิษฐิว่า การเวียนว่ายตายเกิดไม่มี สวรรค์มีแค่ในอก นรกแค่อยู่ในใจ แท้จริงไม่มี บุญบาปไม่มี จึงไร้ศีลธรรม กอบโกยแต่วัตถุ เบียดเบียนผู้อื่นและธรรมชาติ จึงตกอยู่ในหล่มแห่งอบายภูมิอันมีทุคติเป็นที่ไปในที่สุด

    ------เทวตาผู้ประมาทเสวยทิพยสมบัติ อันเกิดจากบุญที่เคยบำเพ็ญมาอย่างเพลิดเพลิน ไม่สนใจต่อบุญสร้างกุศลและบารมีเพิ่มเติม ครั้นใช้บุญจนหมดสิ้นก็ได้เวลาที่ต้องรับผลของกรรมชั่ว จึงต้องจุติลงยังอบายอันมีนรกภูมิเป็นต้น

    ------พรหมก็เช่นกัน เเม้นเวลาเสวยสุขจะนานแสนนาน แต่หากประมาทไม่ทำบุญสร้างบารมีเพิ่ม เมื่อหมดบุญก็ย่อมตกสู่อบายเช่นกัน

    ------บุคคลผู้ประเสริฐ มีปัญญามองเห็นทุกข์ภัยในสงสารวัฏ ประกอบไปศีล สมาธิ และสัมมาทิษฐิ อันอบรมมาดีแล้ว ย่อมหาหนทางแห่งการพ้นทุกข์ด้วยโมกขธรรมอันวิเศษแห่งองค์สมเด็จพระบรมครูด้วยประการฉะนี้
     
  3. soonyata

    soonyata เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    326
    ค่าพลัง:
    +3,675
    ขอบคุณมากค่ะสำหรับคำตอบ ไว้จะลองทำตามดูค่ะ
     
  4. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    มีผู้รู้และปฎิบัติจริงมาตอบแบบนี้..ได้แง่มุมอะไรดีๆมากทีเดียวครับ..ขอบคุณมากครับ..
     
  5. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    บทที่ 3.การชำระล้างจิต และการพลิกจิตสู่จิตระดับสูง


    จากบทก่อนๆ ที่ทุกคนได้ศึกษามา ตอนนี้คุณมี่กำลังของสมาธิ มีปัญญาจากวิปัสนาญาณ มีบารมีของพระพุทธเจ้าคอยคุ้มครองจากการอาราธนาจับภาพพระเป็นพุทธานุสติ คุณรู้จักการจับลมหายใจ รู้จักการใช้พลังจิต ดึงปราณ และธาตุทิพย์จากพระนิพพาน รู้จักการอธิฐานกำกับ การอธิฐานขอบารมี รู้จักวสีความชำนาญในการเข้าออกฌาน กันแล้ว นับว่ามีพื้นฐานในการทรงฌาน และวิปัสณาญาณ ดีพอ

    ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการชำระล้างจิตให้บริสุทธ์ขึ้น โดยการลด สลายบรรเทากรรมด้านอกุศลให้ลดลงด้วยกำลังของสมาธิและการอธิฐาน
    จากนั้นจะเป็นเทคนิคการอธิฐานมหาโมทนา เพื่อเป็นการรวมบุญใหญ่เข้าสู่จิตของเรา

    ต่อไปเป็นการอธิฐานเรียกบารมีเก่าให้มารวมตัว
    และขั้นตอนสุดท้ายคือ วิชาเมตตาอัปปัณนาณฌาณ ซึ่งคุณจะเข้าใจถึงการแผ่เมตตาอย่างแท้จริง

    ส่วนท่านที่ปรารถนาพุทธภูมิ จะเพิ่มเติมการอธิฐานสัมมาทิษฐิ เพื่อการพลิกจิตเข้าสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์ ครับ

    เมื่อทบทวนและอธิบายเนื้อหาไปแล้วก็จะเริ่มฝึกแล้วนะครับ

    --ขอให้ทุกคน จับลมสบาย จับภาพพระให้ใสเป็นเพชร แล้วตั้งจิตระลึกถึงศีล ว่าขณะที่ฝึกนี้ ศีลของเราบริสุทธ์ จากนั้นคิดว่า มีตัวเราอีกคนกำลังกราบที่ตักของพระพุทธรูป แล้วอธิฐานขอให้พระบารมีของพระพุทธองค์ท่านมาสถิตเป็นหนึ่งเดียวกับพระพุทธรูปในจิตของเรา ด้วยความศรัทธามั่นคงไม่ลังเล จากนั้น ขอขมาพระรัตนไตยว่า

    "กรรมใดที่ข้าพเจ้าได้ล่วงละเมิดต่อพระรัตนไตยและสิ่งศักดิ์สิทธ์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นทางกาย วาจา ใจ จะเจตนา และไม่เจตนา จะระลึกได้ หรือระลึกไม่ได้ ก็ดี ได้ทำในอดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี ข้าพเจ้าขอให้พระรัตนไตยได้โปรดงดโทษที่จะพึงเกิดแก่ข้าพเจ้าตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ"

    จากนั้นให้กายในจิตกราบพระพุทธเจ้าท่าน สำหรับท่านที่ได้มโนฯให้ใช้กำลังใจ แยกอาทิสมานกายตามกำลังสูงสุด คือ พระวิสุทธิเทพ ขึ้นไปกราบพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ บนพระนิพพานแล้วอธิฐานขอขมาได้เลยครับ

    จากนั้นให้ทุกท่านอธิฐานต่อไปว่าขอให้พระพุทธเจ้าท่านเมตตาเป็นประธานและพยานให้แก่ข้าพเจ้าในการอธิฐานดังต่อไปนี้

    "ข้าพเจ้าขอขมาต่อเจ้ากรรมนายเวรและบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ในสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกิน ละเมิด ต่อท่านทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นทางกาย ทางวาจา ทางใจ ก็ดี ในอดีตก็ดี ในปัจจุบันก็ดี จะระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี และมีเจตนาก็ดี ไม่มีเจตนาก็ดี ขอให้ท่านเจ้ากรรมนายเวรและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้โปรดอโหสิงดโทษที่พึงเกิดแก่ข้าพเจ้าตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน บุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมานับแต่ อดีตชาติ ปัจจุบันชาติ และที่จะบำเพ็ญต่อไปในอนาคตข้าพเจ้าขออุทิศให้ท่านทั้งหลายได้โมทนา และมีส่วนร่วมในบุญกุศลเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าจะพึงได้รับทุกประการเทอญ"

    การขอขมากรรมนี้จะช่วยให้การจองเวรกันลดลง หรืออาจจะสลายตัว เป็นโมฆะกรรมได้ และส่งผลให้ ชีวิตเราราบรื่น ปลอดโปร่ง สะดวกขึ้น เป็นการช่วยลดสภาวะกรรมรวมของโลก ที่จะส่งผลให้เกิดภัยพิบัติลดลง และในส่วนตัว บางท่านที่มีเจ้ากรรมนายเวรที่กะว่าจะเช็คบิลท่านใน ภัยพิบัติรอบนี้ อาจจะอโหสิและให้อภัยต่อท่านได้ครับ

    ยังประคองจิตอยู่ต่อหน้าพระด้วยใจที่สบายนะครับ แล้วอธิฐานต่อว่า

    "ข้าพเจ้านับแต่นี้จะมีแต่จิตใจที่ใสสะอาดบริสุทธ์ เต็มไปด้วยจิตใจที่ดีงาม เปี่ยมไปด้วยความเมตตาต่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมให้แก่สรรพสัตว์ทั้งหลายไม่ขอเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผู้ใดข้าพเจ้าขออโหสิกรรมให้กับเขาเหล่านั้นไม่ว่าเขาจะทำกรรมล่วงเกินข้าพเจ้าไม่ว่าจะเป็นทาง กาย วาจา ใจ ในอดีตก็ดี ปัจจุบันก็ดี จะระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมให้กับเขาเหล่านั้นขอให้เขาประสพแต่ความสุข พ้นจากความทุกข์ พ้นภัยจากวัฏฏสงสาร สัมผัสพระนิพพานอันเป็นบรมสุขด้วยเทอญ"

    คำอธิฐานนี้มีผล สองประการคือเป็นการให้อภัยทานอันเป็นทานสูงสุด ใช้กำลังใจสูงสุดในการให้ครับ

    แต่ คุณก็ทำได้ จิตก็จะยิ่งเบาขึ้นครับ อีกประการก็คือ คุณทุกคนบนโลกใบนี้นี่แหละครับ ที่เป็นคนทำให้เกิดกรรมแห่งการอาฆาตล้างแค้นกันและกันสะสม จนเกิดภัยพิบัติครั้งนี้ แปลกนะครับที่คนเรากลัวเจ้ากรรมนายเวรกัน เวลาทำบุญกรวดนำอุทิศส่วนกุศลให้ แต่กลับไม่เคยรู้ตัวเลยว่าเรานี่ละตัวดี เป็นเจ้ากรรมนายเวรของชาวบ้านชาวช่องเขา เวลาไปโกรธ อิจฉา ริษยา อาฆาตแค้นคนอื่นเขา
    การสลายกรรมตรงนี้ส่งผลให้สภาวะกรรมรวมของโลกเบาบางลงครับ และการที่ตัวเจ้ากรรมนายเวรตัดสินใจลบบัญชีกรรมอโหสิให้เป็นโมฆะกรรมนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าการที่จะไปออนวอนขอให้ เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ครับ เพราะบางคนก็ไม่ยอมง่ายๆครับ ต้องใช้เวลาและทำให้บ่อยๆครับ
    ต่อไปเป็นการทำมหาโมทนาครับ

    ประคองจิตให้อยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้าตั้งจิตให้เบาสบายและมั่นคงอธิฐานว่า"ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิฐานระลึกถึง บุญกุศล บารมีคุณงามความดี และจิตใจที่ดีงาม ของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสงฆ์ทุกๆพระองค์ พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เทพพรหมเทวาทั้งหลาย สิ่งสักดิ์สิทธ์ทั้งหลาย ตลอดจนความดีของสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วมหาอนันตจักรวาลที่ได้บำเพ็ญมานับตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน

    และที่จะบำเพ็ญประโยชน์ต่อไปในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นทาน ศีล ภาวนา สัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา ข้าพเจ้าขอกราบมหาโมทนาในบุญกุศลทั้งหลายเหล่านี้ด้วยความจริงใจ ขอให้อำนาจแห่งการมหาโมทนามัยนี้จงส่งผลเป็นกระแสบุญอันบริสุทธ์หลั่งไหลสู่ดวงจิตของข้าพเจ้านับแต่นี้ด้วยเทอญ" ขอให้ทุกท่านฉลาดในการทำบุญ ฉลาดในการโมทนา ฉลาดในการการอธิฐาน ฉลาดในการสร้างบารมีครับ พระท่านให้พรมาครับ

    ยังประคองจิตอยู่ต่อหน้าพระนะครับ
     
  6. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    อธิฐานต่อไปว่า

    " ข้าพเจ้าขอตั้งจิตระลึกถึง บุญบารมี คุณความดี สรรพวิชา และสายสมบัติ ที่ข้าพเจ้าได้สร้าง ได้ศึกษา ได้ปฏิบัติและได้บำเพ็ญมา(เพื่อปรารถนาสัมมาสัมโพธิญาณมีพระนิพพานเป็นที่สุด) นับตั้งเเต่ อดีต ปัจจุบัน และจะบำเพ็ญต่อไปในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา สัมมาทิษฐิ ให้มารวมตัวกัน ณ บัดนี้เพื่อให้ข้าพเจ้าได้ใช้สร้างบุญ สร้าง บารมี เพื่อความรุ่งเรืองในทั้งทางโลกและทางธรรม มีกำลังใจ กำลังบารมีทั้ง 30 ทัศน์ ได้ช่วยตนเองและสรรพสัตว์ให้พ้นจากทุกข์ ประสพแต่ความสุข พ้นภัยจากวัฏฏสงสาร สัมผัสพระนิพพานอันเป็นบรมสุขด้วยเทอญ"

    ขั้นตอนนี้เป็นการเรียกบารมีเก่าที่เราอาจหลงลืมหรือตกหล่นไปในอดีตชาติให้กลับมาครับ จะช่วยให้ฝึกวิชาและสมาธิได้ง่ายขึ้น รวมทั้งบุญเก่าด้วยครับให้มาส่งผลเร็วขึ้น

    ต่อไปเป็นวิชาสำคัญในการพลิกจิตให้มี สภาวะจิตที่บริสุทธ์ยิ่งขึ้นครับ คือเมตตาอัปปัณนาณฌาณครับ


    ----- จับลมสบาย จิตจับภาพพระพุทธเจ้าให้ใสเป็นเพชรครับ จากนั้นนึกกราบขอให้ท่านมาลอยอยู่ เหนือหัวของเรา แล้วกำหนดจิตของเราให้"รู้สึก"ถึง บุญกุศล ความดีงาม ความงดงาม ความชุ่มใจ ความอิ่มเอิบใจ ความปลื้มปิติ ความรักที่บริสุทธ์ ความตื้นตันใจรักที่ ความรักที่เรามีต่อพ่อแม่ ที่มีต่อพระเจ้าอยู่หัวในวันมหาปิติ 60 ปี ให้ความรู้สึกเป็นสุขปิติอิ่มเอิบใจนี้เติมให้เต็มหัวใจของเรา นึกถึงภาพดอกไม้ที่ค่อยๆแย้มกลีบด้วยความงดงาม เมื่อจิตใจแย้มยิ้มชื่นบานเต็มหัวใจ กายเราก็ยิ้มเบิกบานมีความสุขอย่างที่สุด เรากำหนดจิตว่า บุญคือความสุข ที่ข้าพเจ้าปรากฏ ณ บัดนี้

    ข้าพเจ้าขออุทิศความสุขและส่วนกุศลนี้ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วอนันตจักรวาลขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้ประสพแต่ความสุขพ้นจากความทุกข์ พ้นภัยจากวัฏฏสงสาร สัมผัสพระนิพพานอันเป็นบรมสุขด้วยเทอญ แล้วค่อยๆทำความรู้สึกว่าตัวเราสว่างมีแสงรัศมีสีทอง อันเป็นรัศมีแห่งความรัก ความสุข ความเมตตา ที่เรามีให้แก่สรรพสัตว์ไม่มีวันจบสิ้น ให้แสงแห่งความเมตตานี้แผ่ส่องสว่างปกคลุมห้องที่เราอยู่นี้สว่างเรืองรอง จิตของสรรพสัตว์ดวงใดได้สัมผัสกับรัศมีนี้ก็ให้มีความสุข สงบ ชุ่มเย็นไปด้วย จิตเรายิ่งเปร่งรัศมีเท่าไหร่ จิตเราก็ยิ่งมีความสุขชุ่มเย็นยิ่งขึ้น

    แผ่รัศมีสีทองระยิบระยับค่อยๆปกคลุมบ้านหรืออาคารที่เราอยู่ทั้งหลังครับ ค่อยๆทำใจเย็นๆ จากนั้นแผ่ปกคลุมอำเภอ จังหวัดที่คุณอยู่ ประคองใจให้ชุ่มเย็นอิ่มเอิบตลอดเวลานะครับ แล้วค่อยๆแผ่ให้กว้าง จนคลุมประเทศไทยจนมองเห็นเป็นขวานสีทองแล้วอธิฐานให้ประเทศไทยจงสงบสุขร่มเย็น ผู้คนจิตใจดีงาม จากนั้น แผ่รัศมีแห่งความสุขนี้ปกคลุมโลกจนเป็นสีทองสว่างไสว อธิฐานว่าขอให้โลกนี้จงสงบสุขร่มเย็น แล้วจึงแผ่รัศมีสีทั้งออกไปทั่วสุริยจักรวาล ไม่มีที่สิ้นสุดจนออกไป ยังอนันตจักรวาลไ ม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ จิตเรายิ่งแผ่รัศมีเท่าไหร่จิตเรายิ่งแย้มยิ้มอิ่มเอิบใจ ยิ่งให้มากมายเท่าไหร่ จิตเราก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น ประคองอารมณ์ใจที่แสนปิติสุขนี้ไว้ตามที่ต้องการครับ ส่วนพุทธภูมิและผู้ที่ได้มโนฯให้ประคองจิตไว้ แล้วแผ่รัศมีแห่งความเมตตานี้จากขอบอนันตจักรวาลเข้ามาสู่ตัวครับ

    แล้วแผ่ย้อนกลับออกไปใหม่ครับ พุทธภูมินี้จะนำวิชานี้ไปใช้เมื่อสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ในการใช้ข่ายพระญาณในการตรวจหาบารมีผู้บรรลุธรรมครับ ห้ามทุกคนใช้หรือลองเล่นเด็ดขาดนะครับ เพราะเป็นวิสัยของพระพุทธเจ้าเท่านั้น บอกให้ทราบเป็นความรู้ อนุญาตให้ใช้แผ่เมตตาอัปปัณนาณฌาณเท่านั้น จากนั้นขอบารมี พระพุทธเจ้าท่านทรงสงเคราะห์ ขอให้ท่านเปิดอนันตจักรวาลให้เห็นบรรดาสรรพสัตว์ว่ามีจำนวนเท่าไหร่

    และมีผู้ผิดผู้หลงต้องเสวยกรรมให้วัฏฏสงสารเท่าไหร่ ใช้ปัญญาพิจารณาต่อไปว่า

    "มวลหมู่สัตว์ผู้แหวกว่ายในทะเลทุกข์นั้นมากมายมหาศาล ขณะนี้จิตของข้าพเจ้าเปี่ยมไปด้วยมหาเมตตาไม่มีประมาณต่อมวลหมู่สัตว์ ข้าพเจ้าขอตั้งกำลังใจใหม่ละมานะ ทิษฐิที่สำคัญตนว่าดี สำคัญตนว่าเลิศ บำเพ็ญพระโพธิญาณเพื่อตนเอง มาเป็นสัมมาทิษฐิว่า จะขอสละร่างกาย ชีวิต สร้างบารมีด้วยเมตตา หวังเพื่อช่วยสรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากสังสารวัฏเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ "

    สำหรับพุทธภูมิที่อธิฐานพลิกจิตนี้สำเร็จ นี้ จะมีอาการ ปิติ นำตาไหล ร้องไห้ด้วยความอิ่มใจ บางคนก็เหมือนได้ยินเหมือนฟ้าผ่าเสียงดัง บางคน ได้กลิ่นธูป หรือดอกไม้หอม สำหรับท่านที่สำเร็จผมขอน้อมเศียรกราบโมทนาในความเป็นพระโพธิสัตว์ของทุกๆท่านด้วยครับ

    ตอนนี้ให้ทุกคนคิดเอาตัวเราในจิตไปกราบพระพุทธเจ้าครับ แล้วถอนจิตออกจากสมาธิช้าๆโดยการหายใจเข้าลึกๆช้าๆครับ
     
  7. ปีศาจร้าย

    ปีศาจร้าย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    670
    ค่าพลัง:
    +1,240
    ตอนนี้เราได้ฝึกวิชากบจำศิลเพื่อรับมือกับสถานณการณ์นี้เตรียมไว้แล้ว และจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อถึงเวลา
     
  8. สายชน

    สายชน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    251
    ค่าพลัง:
    +1,232
    นิพพานังปรมังสุขัง นิพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
     
  9. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    เมื่อวานนี้หายไป ขอโทษทีครับ ไปงานซ้อมรับปริญญาน้องครับ ตื่นตั้งแต่ตีสี่ กลับมาบ้านก็ สี่ทุ่มแล้วครับ แถมมีพี่ที่เคยไปผจญภัยด้วยกันมาและเป็นคนทำเรื่องช่วยคนจากภัยพิบัติด้วย โทรมาคุยเรื่องการปฏิบัติจนถึงเที่ยงคืนครับ ผมจึงขออนุญาตเล่าเรื่องราวความก้าวหน้าในการปฏิบัติของพี่ท่านนี้ให้ฟังครับ เพื่อเพื่อนนักปฏิบัติผู้อื่นจะได้ทราบไว้เป็นกำลังใจในการฝึก และโมทนาผลในการปฏิบัติของพี่ท่านนี้ครับ


    ------ผมรู้จักกับพี่ท่านนี้ เมื่อประมาณ 5 ปีก่อนจากการสนทนากันเรื่องภัยพิบัติครับ สมัยนั้น พี่ท่านนี้มีความสนใจเรื่อง ภัยพิบัติ และอยากช่วยคนมาก เป็นคนประสานงานกับแทบทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้อง เช่น หลวงพี่วานิช กลุ่มเขากะลา อ.ดร.เทพพนม ธ.กรุงไทย ตอนนั้น พี่ท่านนี้ยังไม่มีญาณทัศนะใดๆทั้งสิ้นทำได้แต่สมาธิทั่วไป จิตไม่นิ่งวิ่งไปวิ่งมา และมีความกลัวมาก โดยเฉพาะกลัวผีครับ แต่พี่ท่านนี้สามารถติดต่อกับต่างดาวได้ การเห็น จานบินเป็นเรื่องปกติ และแกบังเอิญตั้งกำลังใจไว้ถูกครับคือคิดอยากช่วยคนอย่างเดียว ตัวเองไม่คิดว่าตัวเองเก่ง ช่วยได้เท่าไร ก็ช่วยเท่านั้น และจนบัดนี้พี่ท่านนี้ก็ยังตั้งกำลังใจไว้อย่างนี้ครับ แต่มาในขณะนี้ ท่านได้มีครูบาอาจารย์มาสอน วิชา สมาธิ และการต่อญาณ จนการปฏิบัติก้าวหน้าอย่างน่าอัศจรรย์ใจครับ คุยกันอีกทีพี่ท่าน จิตท่านนิ่ง สงบ สุขุม ไม่ทุรนทุรายอย่างเมื่อก่อนครับ แถมตอนนี้ การเห็นการพูดคุยกับเทวดา เป็นเรื่องปกติของท่าน หายกลัวผีเด็ดขาด แถมยังเป็นเพื่อนกับผีและสัมภเวสีอีกต่างหาก

    อยู่ในป่าท่านก็ฟังภาษาของสัตว์ที่คุยกันรู้เรื่อง ตอนนี้ท่านอยู่ในป่าในเขามา 3 - 4 ปีแล้วครับ แล้วก็มาช่วยสงเคราะห์ผู้คนเป็นระยะๆ มีหลายคนที่ท่านช่วยเป็นชาวต่างชาติ มีทั้งอเมริกัน ฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น ซึ่งตอนนี้เวลาพี่ท่านคุยกับเขาก็คุยเป็นภาษาตปท. นั้นๆได้เอง โดย ท่านไม่เคยได้เรียนมาก่อน
    ซึ่งการรู้ภาษาทุกภาษานั้นเป็นคุณสมบัติวิสัยของ ปฏิสัมภิทาญาณ ครับ แต่ท่านยังไม่บรรลุนะครับเพียงแต่ ดึงวิชามาใช้ก่อนครับเพื่อช่วยคน สำหรับพี่ท่านนี้ ปรารถนาไปนิพพานชาตินี้ครับ คุณMead รู้จักพี่ท่านนี้ดีครับ

    และพี่ท่านก็เมตตาเล่าให้ฟังอีกว่า เพื่อนๆอีกหลายคนที่สำคัญตนเองว่าเก่ง ๆตอนนี้ เดี้ยงกันไปหมดแล้วครับ ญาณหาย สมาธิหด เหตุเพราะ วางกำลังใจไม่ถูกครับ ต้องตั้งใจตั้งจิตให้เป็นสัมมาทิษฐิตั้งแต่ต้นครับ

    ถ้าท่านที่ญาณหาย มโนฯหายไม่ต้องตกใจครับ ตั้งจิตอธิฐานแก้ไขจิตให้เป็นสัมมาทิษฐิใหม่ แล้วตั้งจิตขอขมาพระรัตนไตย ตามด้วยอธิฐานขอใช้ คุณธรรมวิเศษเหล่านี้เพื่อ การบรรลุธรรมและการสงเคราะห์คนเพื่อสร้างบารมีครับ วิชาจะกลับมาครับ
     
  10. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ส่วนการฝึก นั้น หวังว่าทุกคนจะสามารถประคอง และรักษาอารณ์ใจได้ดังนี้
    "
    "มีศีลเป็นปกติ มีสัมมาทิษฐิอย่างไม่มีอะไรจะต้องลังเลสงสัย รักษาอารมณ์ใจสบาย และจับลมสบายได้เป็นปกติ นึกภาพพระพุทธรูปที่ใสสว่างแพรวพราวเป็นเพชรระยิบระยับ ติดตาตรึงใจได้ตลอดเวลา ทุกครั้งที่ต้องการ รวมถึง มีความรักความเมตตาล้นปรี่อยู่เต็มหัวใจ จิตมีความชุ่มชื่นเกษมสำราญ และพร้อมที่จะให้ รวมถึงการให้อภัยในทุกคนในทุกสิ่งครับ "
    เมื่อเตรียมสภาพความพร้อมของจิตไว้ดีแล้ว ต่อไปผมขอให้การบ้านโดยการออกไปค้นคว้าหาความรู้นอกสถานที่ครับโดยการ ให้ทุกคนที่สนใจจะฝึกจิต และการใช้สมาธิในระดับสูง ให้ระดับต่อไป อันได้แก่ ฌานสี่ สมาบัติแปดอารมณ์พระนิพพาน และการประยุกต์ใช้พลังจิตเพื่อการช่วยเหลือคนและการบำเพ็ญบารมี ไปฝึกวิชามโนมยิทธิ ที่วัดท่าซุง หรือ ที่บ้านสายลม ถ.พหลโยธิน กรุงเทพ ในช่วงต้นเดือนสค.นี้ครับโดยจะมีการฝึกในวันเสาร์ -อาทิตย์ ต้นเดือน ควรไปถึงก่อนสิบโมงครับจะได้ถวายสังฆทานด้วย เหตุผลที่ผมให้ไปฝึกที่นั่นเพราะ
    --เพื่อให้ท่านได้ไหว้ครูอย่างถูกต้อง
    --เพื่อที่ผมจะได้ให้เกียรติและบูชาพระคุณครูบาอาจารย์ที่ท่านได้เมตตาสงเคราะห์ผม อันเป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณท่าน
    --เพื่อที่ท่านจะได้แสดงความตั้งใจจริงในการเรียนรู้และรับวิชาจากเบื้องบน
    --เพื่อความเจริญในธรรมและสัมมาทิษฐิของท่านเอง
    ถ้าท่านที่ปฏิบัติและรักษาอารมณ์ใจดังที่กล่าวมาได้ทั้งหมดนั้น โอกาสที่ท่านจะฝึกมโนมยิทธิได้ นั้นมีถึง 90 เปอร์เซนต์ ครับ รวมทั้งท่านที่ฝึกได้แล้วผมขอให้ท่านไปทวนครับ ส่วนท่านที่มโนฯหายผมแนะนำให้ อธิฐานแก้กำลังใจใหม่ ขอขมาพระรัตนไตยแล้วไปฝึกใหม่เพื่อเรียกวิชาคืนครับ
     
  11. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    และในช่วงนี้ผมจะขอย้อนกลับมาแนะนำวิชาการใช้พลังจิตเบื้องต้น ง่ายๆ สำหรับผู้ที่ไม่มีวิสัยที่จะได้ทิพพจักขุญาณครับ เพื่อไปใช้ป้องกันตัวเองและครอบครัว รวมทั้งช่วยคนได้ตามสมควรครับ ตอนนี้ขออธิบายจำแนกแยกประเภทไว้ให้เข้าใจครับว่า แต่ละคนมีวาสนาบารมีมาต่างกัน จึงมีการสำเร็จในวิชาได้แตกต่างกัน ไปตามบุพเพกตบุญญตา และกรรมของแต่ละคนครับ

    ขอให้ทุกท่านตั้งกำลังใจว่า "ไม่ว่าเราจะปฏิบัติธรรมและฝึกสมาธิได้ในระดับใดก็ตาม เราจะใช้วิชานั้นเพื่อความหลุดพ้นและช่วเหลือคนให้เต็มกำลังความสามารถ ระดับวิชานั้น ไม่ใช่สิ่งสำคัญ สิ่งสำคัญคือ เจตนาและการนำวิชาไปใช้เพื่อส่วนรวม ด้วยเจตนาที่ถูกต้องมั่นคงนี้ ข้าพเจ้าให้มีความเจริญรุ่งเรืองในวิชชาทั้งปวงด้วยเทอญ"

    ต่อไปเป็นการแยกนิสัยและวิสัยของหมู่สัตว์พอให้ได้รู้และเข้าใจว่า ทำไม ต่างคนมีความรู้ความสามารถในวิชชา แตกต่างกันครับ
    บรรดานิสัยของสรรพสัตว์ทั้งหลาย จำแนกตาม จริตใหญ่ๆได้ 6 ประการครับ และมีระดับนิสัย แบ่งเป็น เล็กน้อย ปานกลาง เข้มข้นครับ แต่ที่สำคัญ แต่ละคนมีนิสัยเป็นจริตต่างๆผสมผเสกันทั้ง หก จริต ครับ ดังนั้น จะมีนิสัยจริงๆ แยกแยะหลากหลายออกเป็น อย่างน้อย หก ยกกำลัง หก แล้วยกกำลัง สามอีกครั้งหนึ่งครับ ดังนั้น ผู้ที่ทราบอุปนิสัยและการบรรลุธรรมที่แท้จริงของเต่ละคนคือ พระพุทธเจ้าเท่านั้นครับ
    ส่วนการตั้งความปรารถนานั้นแบ่งออกเป็น ผู้ปรารถนาพุทธภูมิ คือผู้ตั้งจิตอธิฐานเป็นพระพุทธเจ้า และ ปรารถนาเป็น พระปัจเจกพุทธเจ้าครับ กับอีกกลุ่มคือ ผู้ปรารถนาเป็นสาวกภูมิ คือเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งครับ

    ในพุทธภูมิวิสัย แบ่งวิสัยออกเป็นสาม คือ ปัญญาธิกะ ศรัทธาธิกะ และวิริยาธิกะ ซึ่งจะใช้ระยะเวลาบำเพ็ญสั้นยาวต่างกันครับ ไม่นับรวมท่านผู้ที่อธิฐานบารมีพิเศษเป็นอาทิครับ เช่นท่านผู้ปราถนาเป็นพระพุทธเจ้าองค์สุดท้ายครับ ที่ผมทราบก็มีอยู่หลายพระองค์ครับ หรือ พระศรีอาริยเมตตรัยท่านอธิฐานให้ศาสนาของท่าน ไม่มีคนจน หนึ่ง ทุกคนมีรูปร่างหน้าตางดงามทั้งหมด มีอายุยืนยาวเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นอานิสงค์จากการรักษาศีลของท่านและ บริวารครับ

    ส่วนการจำแนกตามการบำเพ็ญบารมี ก็แบ่งเป็นการสร้างบารมีขั้นต้น บารมีขั้นกลาง บารมีขั้นสูงครับ
    ข้อมูลในการค้นคว้าเพิ่มของท่านที่สนใจ ลองดูใน หนังสือชื่อ ศาสตร์ว่าด้วยการเป็นพระพุทธเจ้า มุนีนาถทีปนี คัมภีร์อนาคตวงศ์และ หนังสือของหลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านที่กล่าวถึง เรื่องพุทธภูมิครับ

    อีกประการ คือการจำแนกตามข้อแตกต่างของพุทธภูมิและพระโพธิสัตว์ครับ

    พุทธภูมิคือผู้ที่ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตไม่ว่าจะเพื่อ ความเป็นเอกอุในสามโลกหรือ ปรารถนาช่วยมวลสรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ก็ตามครับ ถือนับรวมเป็นผู้ปรารถนาพุทธภูมิทั้งสิ้นครับ

    ส่วนพระโพธิสัตว์ นั้นคือพุทธภูมิผู้มีจิตประกอบไปด้วยสัมมาทิษฐิ มีจิตคิดปรารถนาช่วยมวลหมู่สรรพสัตว์ให้พ้นทุกข์ด้วยจิตที่บริสุทธ์แต่เพียงอย่างเดียวครับ

    ส่วนพระอริยะโพธิสัตว์ นั้นคือพระโพธิสัตว์ที่มีจิตทรงไว้ในศีลเข้มข้น มีวิปัสนาญาณชัดแจ้ง ทรงจิตไว้ในอารมณ์นิพพานเสมอ มีอารมณ์ใจคล้ายพระอริยะเจ้าครับ แต่ยังเมตตาโปรดสัตว์สงเคราะห์สรรพสัตว์ทุกโอกาส

    สำหรับพุทธภูมิท่านยังต้องระวังตัวครับ ยังมีโอกาสพลาดสูง และลงนรกเยอะครับ เหตุจากมานะทิษฐิที่ตั้งไว้ผิดของตนและการไปล่วงเกินพระรัตนไตรและพระโพธิสัตว์พระองค์อื่นครับ หลวงพ่อและพระโพธิสัตว์ท่านอื่นต้องลงไปช่วยเอาขึ้นมาจากข้างล่างกันเป็นประจำครับ
    ต่อไปเป็น จะเป็นวิสัยของ สาวกภูมิครับ

    แบ่งออกเป็น อธิฐานพิเศษอันได้แก่ การปรารถนาเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่งเป็นการเฉพาะ เช่นขอไปเกิดในพระศาสนาของพระศรีอริยเมตไตยเป็นต้น การปรารถนาขอเป็นพระอัครสาวกของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง การปรารถนาขอเป็นพระอสิติมหาสาวกผู้เลิศทางด้านใดด้านหนึ่ง การปรารถนาขอเป็นผู้อุปฐากหรือถวายทานพิเศษต่อองค์พระพุทธเจ้าเป็นพิเศษเป็นต้น

    จำแนกตามการบรรลุธรรม อันได้แก่ สุขวิปัสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ และปฏิสัมภิทัพปัตโต ซึ่งจะมีความรู้ความสามารถ แตกต่างกัน และการฝึกต่างกันครับ ขอให้ไปค้นคว้าจากหนังสือ กรรมฐานสี่สิบกอง และในเวปนี้ครับ ใครเมตตาทำลิงค์ให้เพื่อนๆ จะขอบคุณมากครับ
    จำแนกตามอารมณ์ใจแห่งการปฏิบัติ อันได้แก่ ผู้มากไปด้วยเมตตา ผู้มากไปด้วยปัญญา ผู้มากไปด้วยความเพียร ผู้มากไปด้วยศรัทธา
    จำแนกตามกำลังใจแห่งการปฏิบัติ คือ

    บางท่านมีกำลังใจทำได้ในให้ทาน แต่รักษาศีลไม่ได้

    บางท่านได้ทั้งให้ทาน และรักษาศีล แต่ทำสมาธิไม่ได้

    บางท่านได้ทั้งให้ทาน รักษาศีล ทำสมาธิแต่ ไม่มีวิปัสสนา

    บางท่านได้ทั้งให้ทาน รักษาศีล ทำสมาธิ มีวิปัสนา คือปัญญาเห็นทุกข์ แต่ใช้อำนาจจิตไม่ได้

    บางท่านได้ทั้งหมดรวมทั้งการใช้อำนาจจิต แต่ไม่ได้ทิพจักขุญาณ

    บางท่านได้ถึงทิพจักขุญานแต่ไม่ได้ ญาณแปด

    บางท่านได้ญาณแปด แต่ไม่ได้ อภิญญา

    บางท่านได้อภิญญา แต่ยังไม่บรรลุธรรม อันได้แก่ พระโสดา พระสกิคา พระอนาคา และพระอรหันตผลเป็นที่สุด

    ซึ่งที่จริงแล้วมีการจำแนกได้อย่างหลากหลายและสลับซับซ้อนกว่านี้ แต่ที่จะชี้ให้เห็นก็คือ

    คนเรานั้นมีนิสัย วิสัย บุญวาสนา และการอธิฐานแตกต่างกัน เราจึงไม่ควรไปเปรียบเทียบตัวเรากับบุคลอื่นว่า เก่งอย่างนี้ ไม่เก่งอย่างนี้ ทำไมทำได้ ทำไมทำไม่ได้ คนนี้เราเก่งกว่าเขา ตรงนั้นเขาไม่เห็นเก่งจรงเลย โม้ไปมั้ง ซึ่งตรงนี้เป็นการเข้าใจผิดจากอวิชชาให้เพ่งโทษ กล่าวโทษผู้อื่นครับ ควรวางกำลังใจว่า "ขึ้นชื่อว่าความดีแม้เพียงเล็กน้อย ได้เกิดขึ้นก็ล้วนเป็นเรื่องน่ายินดีและอนุโมทนาทั้งสิ้น เมื่อเห็นผู้ใดกระทำความดีแม้เล็กน้อยเราจะมีความรู้สึก ยินดี อนุโมทนา พูดจาให้กำลังใจกับเขาและจะใช้เป็นแบบอย่างในการทำความดีของเราในครั้งต่อๆไป ให้เจริญยิ่งๆขึ้นไป รวมไปถึงการทำสมาธิและปฏิบัติธรรมด้วยครับ"
     
  12. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    คราวนี้เรามาเริ่มฝึกในเนื้อหาของวิชาพลังจิตง่ายๆ ฝึกได้ทั้งผู้ไม่เคยมีพื้นฐานเลยและผู้ที่เคยฝึกมาแล้วครับ
    ขอเริ่มในภาคทฤษฎีก่อนเลยครับ

    พื้นฐานความรู้เรื่องพลัง การใช้พลังและการประยุกต์ใช้

    พลัง (Force)นั้น คือพลังงานที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติครับ แต่เดิมมนุษย์สามารถใช้พลัง และพลังจิตเหล่านี้ได้อย่างเป็นปกติครับ แต่ผลแห่งการพัฒนายุควิทยาศาสตร์ทางวัตถุเฟื่องฟูความรู้เหล่านี้จึงหายไปจากมนุษย์เราครับ ตามกฏของธรรมชาติสามัญ คือ อะไรที่เราไม่ใช้จะฝ่อ ไม่พัฒนา ถูกธรรมชาติเรียกกลับคืนครับ เช่นท่าเราไม่ใช้สมองนานๆสมองก็จะฝ่อ ถ้าเราไม่ใช้กล้ามเนื้อส่วนไหนกล้ามเนื้อส่วนนั้นจะลีบครับ (ผมจึงเน้นการฝึกร่างกายอย่างหนักด้วย ตรงนี้ลองหาหนังสือ BodyForLife มาอ่านดูครับมีแปลเป็นภาษาไทยด้วย )

    การแผ่เมตตาและการโมทนาก็เช่นกัน ยิ่งให้ยิ่งยินดี เราก็ยิ่งได้รับครับ พลังจิตถ้ายิ่งมีการฝึกฝนก็จะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นครับ และวิธีการฝึกนั้นควรเริ่มจากขั้นง่ายๆขึ้นไปเรื่อยๆครับ อย่าเพิ่งไปคิดว่าเราจะฝึกอภิญญาวันเดียวแล้วจะ เหาะเหินเดินอากาศได้เลยครับ แม้จะมีผู้ที่มีวิสัยจะทำได้ แต่ผู้ที่ทำได้เขาไม่ได้คิดหรือทำกำลังใจแบบนั้นครับ

    พลังนั้น มีคุณสมบัติของพลังงานและคลื่น รวมกันก่อรูปได้หลากหลายแต่มีการนำไปใช้แตกต่างกัน

    พลังที่จะแนะนำให้ใช้ในการฝึกพลังจิตเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์นั้นผมจะสรุปรวมตามลำดับจากเบื้องต้นไปถึงระดับสูงดังนี้

    1. พลังปราณ หรือ พลังชีวิต หรือพลังจากแม่พระธรณี พลังงานนี้มีรูปแบบเฉพาะที่มีอยู่บนดาวดวงใดดวงหนึ่งเฉพาะตัว ที่เอื้อต่อการมีมีชีวิต ความเจริญงอกงามและเติบโต ของสิ่งมีชีวิตบนดาวดวงนั้นๆครับ ดาวบางดวงก็ไม่มีพลังชีวิตเลย และมนุษย์เราก็ไม่ควรใช้ปราณของดาวดวงอื่นครับ เพราะคลื่นและลักษณะเฉพาะบางประการไม่เหมาะสมกับร่างกายคนเราครับ จุดที่เป็นที่น่าสังเกตุคือ พลังปราณนั้นมีส่วนสัมพันธ์ใกล้ชิดกันกับลมหายใจครับ แต่การหายใจปกติจะดึงเอาปราณไปใช้ได้ไม่มาก ส่วนการฝึกรวบรวมลมปราณ การโคจรลมปราณ การฝึกดึงลมปราณไปใช้ จะทำให้เรามีการใช้ลมปราณได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นครับ ซึ่งจะแนะนำการฝึกต่อไป

    2. พลังธรรมชาติ พลังจักรวาล พลังไฟฟ้าจักรวาล พลังคอสมิค พลังจากอาตมัน พลังแห่งพรหม พลังเหล่านี้จัดอยู่ในกลุ่มเดียวกันหรือชนิดเดียวกันครับ แต่เรียกตามสำนัก ตามการสื่อ การติดต่อ แต่ลักษณะเฉพาะ คือ เป็นพลังที่ขับเคลื่อนและมีผลในการดำรงอยู่ของจักรวาลครับ เพราะโลกเรามนุย์เราก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของอนันตจักรวาลเช่นกันครับ ตอนนี้โลกเรามีปัญหาหลายอย่าง จึงไม่แปลกที่จักรวาลจะส่งทั้งพลังและคนมาช่วยครับ ลักษณะอีกอย่างของพลังจักรวาลคือเป็นศูนย์รวมแห่งการเรียนรู้และสรรพวิชาทั้งมวลในจักรวาล มีจุดศูนย์กลางที่ท่านท้าวสหัมบดีพรหมครับ คนไทยชาวพุทธโบราณรู้จักดี ในชื่อพรหมศาสตร์ครับ

    ความรู้หลายอย่างที่ผมนำมาแนะนำก็ได้มาจากที่นี่ครับ ไม่ใช่ว่าผมเก่งอะไร อุปมาเหมือน การเชื่อมต่อ U.W.W.ครับ แต่มวลความรู้มหาศาลกว่าเยอะจนบอกไม่ถูก ถ้าเชื่อมต่อได้ จะรู้เลยว่าเรากระจอกและเล็กกว่าเม็ดทรายเยอะครับ ก็รู้สึกเลยว่าตัวเองนี่โคตรโง่เลยจริงๆ เพราะยังมีอะไรที่เราไม่รู้อีกมากมาย เหมือนที่พระพุทธองค์อุปมาถึงใบไม้ในป่าและใบไม้ในกำมือครับ เลือกแต่ความรู้ที่ใช้ประโยชน์ได้และสร้างสรรค์ครับ

    พลังบริสุทธ์จากพระนิพพาน เป็นพลังบุญจากอีกมิติหนึ่งที่มีความละเอียดของพลังบริสุทธ์ที่สุดครับ แต่ผู้ที่จะใช้ได้ก็ต้องมีความบริสุทธ์ของจิตในวิปัสนาญาณสะอาดในระดับเดียวกันด้วยครับ พลังนี้จะช่วยเกื้อหนุนในการสร้างบารมีทั้งด้านการบรรลุธรรมและการโปรดสัตว์ครับ หลายคนรู้จักและทำได้นานแล้ว ส่วนผมจะขอแนะนำเพิ่มเติมในการใช้แบบพิศดารเพื่อเป็นการต่อยอดความรู้เดิมของท่าน โดยจะแนะนำหลังจากที่ให้เวลาท่านไปฝึกวิชามโนมยิทธิสำเร็จแล้วครับ
     
  13. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,116
    ค่าพลัง:
    +62,425
    นักปราชญ์จีน ค้นพบว่าการทำงานในร่างกายคนเรานั้นเป็นดั่งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าสถิตแบบธรรมชาติที่ยอดเยี่ยม มีพลังหมุนเวียนในร่างกายในลักษณะ หยิน-หยาง (พลังจักรวาล)

    เมื่อเราหายใจลึกๆยาวๆ พลังงานจะผ่านเข้าสู่ร่างกายโดยจะเริ่มต้นที่หน้าผาก ลงมาสู่จมูก สู่ปลายคาง ลงสู่ลำคอ ผ่านกลางหน้าอกสู่หน้าท้อง สะดือลงสู่อวัยวะเพศ จากนั้น พลังหยินเริ่มไหลย้อนกลับ ขึ้นสู่ด้านหลัง ผ่านก้นกบ สู่กระดูกสันหลังขึ้นสู่ท้ายทอย ผ่านหลังไปสุดที่กระหม่อม พลังหยิน-หยาง ไหลวนเป็นวงกลมครบวงจรเพื่อสร้างกระแสไฟฟ้าสถิตให้กับร่างกายมนุษย์ทุกคน

    ในอดีตเหล่านักพรต ที่มุ่งมั่นบำเพ็ญเพียรเพื่อบรรลุความเป็นเซียน ต้องฝึกวิชากำลังภายในที่ล้วนต้องเริ่มต้นด้วยการ ฝึกการหายใจเข้า-ออก เพื่อเหนี่ยวนำให้เกิดการหมุนเวียนลมปราณเหมือนสายพานวิ่งจากด้านหน้ากลับขึ้นสู่ด้านหลัง

    เราอาจคิดว่า โลกทิพย์วิมานอยู่ห่างจากตัวเรา แท้จริงแล้วอยู่ใกล้ตัวเรานิดเดียวดั่งอากาศรอบตัว เมื่อใดที่ร่างกายจิตใจสมดุลที่สุด จิตวิญญาณที่ละเอียดก็สามารถเหนี่ยวนำพลังงานต่างๆไหลผ่านตัวหรือสื่อสารกันได้ทันที โดยมี"สนามแม่เหล็กโลก" อยู่ตรงกลาง เพื่อชี้ทิศทางของพลังงานต่างๆ จากดวงอาทิตย์ ดวงดาวบนท้องฟ้า จากทุกๆจุดทุกๆดวงสัมพันธ์กัน และยังมีดาวหางทำหน้าที่เป็นสื่อนำพลังประจุ หยิน-หยาง บวก-ลบ มาถ่ายเทให้ตามวงโคจรอีกด้วย...(ปลายปีโลกจะโคจรผ่านวงโคจรของฝนดาวตก..เตรียมรับพลังใหม่ๆกันด้วยครับ..)

    เอามาเสริมกันเป็นเกร็ดความรู้ครับ...
     
  14. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ยอดเยี่ยมที่สุดเลยครับ ข้อมูลของคุณMead เมื่อคืยผมนั่งสมาธิ พระท่านบอกว่าเรื่องนี้คือ ลมปราณ และพลังจักรวาลไม่ต้องสอนไม่ใช่หน้าที่ ให้ไปแนะนำวิชาการใช้พลังพุทธคุณเลย ตอนแรกผมก็ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร แต่พอมาเห็นโพสของคุณMead แล้วขนลุกเลยครับ นี่ละครับที่พระท่านเคยบอกว่า ท่านที่มีหน้าที่ เมื่อถึงวาระก็จะรู้และทำหน้าที่นั้นเองครับ เรื่องลมปราณผมขอเชิญ คุณMead เป็นผู้บรรยายเลยครับ
    ผมขออนุโมทนาด้วยครับ
     
  15. spiderwolf

    spiderwolf Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    22
    ค่าพลัง:
    +88
    อนุโมทนาด้วยคราบ มีแต่สิ่งดีๆๆทั้งนั้น
     
  16. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    ส่วนผมขออนุญาตแนะนำวิชาการใช้พลังจิตตามที่พระท่านมอบหมายมาครับ
    เท่าที่จับความรู้สึกได้ พระท่านให้เร่งการปฏิบัติครับ


    พลังพุทธคุณ หรือการขอบารมี การอาราธนาบารมีจากพระพุทธเจ้านั้นเป็นวิชาโบราณ ที่บรรพบุรุษไทยของเราใช้มายาวนานสืบทอดกันมา เพื่อรักษา ชาติไทย พระพุทธศาสนา และสถาบันพระมหากษัตริย์ มาทุกสมัย โดยมีการสอนโดยตรง และใช้ปัญญาอุบายแฝงเร้น เพื่อหวังให้ผู้เรียนผู้ปฏิบัติได้เข้าถึงซึ่งความดี แม้จะน้อยนิดก็ตาม
    ก่อนอื่นขอให้เข้าใจก่อนว่าปัจจัยของวิชา อภิญญาจิตทั้งมวลนั้นมีองค์ประกอบให้ถึงซึ่งความสำเร็จคือ


    --กำลังและพลังของจิต ซึ่งก่อเกิดจากสมาธิ


    --ความบริสุทธิ์ของจิต อันเกิดจากวิปัสนาญาณ และจิตใจที่ดีงาม


    --สื่อ อันอาจเป็นวัตถุ หรือ รูปในจิต ใช้เพื่อเป็นจุดเล็ง จุดรวม จุดกำหนดการส่งพลัง


    --คำอธิฐาน เปรียบดังโปรแกรมให้อภิญญากำหนดดังใจปรารถนา


    --ศรัทธา ความเชื่อ เป็นตัวกำหนดความสำเร็จของอภิญญาครับ ถ้าไม่เชื่อหรือมีความลังเลสงสัยนิดเดียว ไม่สำเร็จครับ


    ต่อไปผมจะอธิบายแต่ละหัวข้อแล้วจึงเริ่มการฝึกจริงครับ



    กำลังจิตและพลังจิต แบ่งออกได้เป็นสองแหล่งคือ พลังจิตที่เพาะบ่มจากการฝึกจิตของผู้ใช้คือ กำลังสมาธินั้น ยิ่งสมาธิสูงเท่าไร กำลังจิตยิ่งมีพลังมากขึ้น เช่นจิตของท่าน ผู้ได้ฌาน 1 2 3 4 สมาบัติ แปด นั้น ย่อมมีพลังกว่าคนสามัญทั่วไป สำหรับพวกเรา ผมได้แนะนำจนถึง ฌาน สี่ ใช้งานและบางท่านก็ได้ฌานสี่ละเอียด ซึ่งใช้ในอภิญญาเบื้องต้นได้อย่างสบายๆแล้ว ส่วนสมาบัติแปดขอไว้ทีหลังครับ เราจะใช้พลังสมาธิตรงนี้เป็นบาทหรือ พื้นฐานครับ


    ส่วนแหล่งพลังที่สองซึ่งมีความสำคัญสูงที่สุดและเป็นแก่นในวิชานี้ คือการใช้พุทธคุณ หรือคุณพระ หรือการขออาราธนาบารมีพระ ซึ่งเหล่าพระอริยะสงฆ์และครูบาอาจารย์ท่านต่างๆท่านได้สืบทอดมาในหลักการที่เหมือนกัน เพียงอาจมีความแตกต่างกันเล็กน้อยในรายละเอียดและฝอยของวิชา(ฝอย เป็นภาษาโบราณหมายถึง การพิศดารวิชาพลิกแพลงการนำไปใช้ เช่นคำว่าฝอยท่วมหลังช้างคือ สามารถพลิกแพลงวิชาได้มากมากจนบรรยายไม่หมด)

    เหตุผลในการใช้วิชาพลังพุทธคุณนั้น ครูบาอาจารย์ท่านมีความฉลาดกว่าคนในสมัยวิทยาศา
    สตร์มากมายนัก คนในยุคปัจจุบันไม่มีปัญญามองเห็นนัยยะแห่งวิชาที่ท่านทั้งหลายได้แฝงไว้เป็นอุบายให้ผู้ใช้ได้เข้าถึงซึ่งความดี ยิ่งขึ้นไป เหตุผลคือ



    1. พุทโธอัปมาโร คุณพระพุทธเจ้าสูงและประเสริฐกว่าพระคุณทั้งปวง


    2.พุทธบารมีของพระพุทธเจ้าแผ่ไพศาลไร้ขอบเขตของเวลาและสถานที่ ของมิติ


    3.พุทธบริสุทธิคุณของพระพุทธเจ้าท่านทรงความบริสุทธิ์ยิ่งกว่าจิตดวงใด


    4.พระพุทธเมตตาของพระพุทธเจ้าท่านทรงความเมตตาเป็นเลิศกว่าผู้ใด


    5.ผู้มีจิตระลึกถึงพระพุทธเจ้าย่อมนับเป็นการปฏิบัติอยู่ใน พุทธานุสติกรรมฐาน ในอนุสติ กรรมฐาน สี่สิบกอง


    6.ผู้มีจิตระลึกถึงพระพุทธเจ้าย่อมเข้าถึงธรรม และบรรลุธรรมได้ง่าย


    7.ผู้มีจิตระลึกถึงพระพุทธเจ้าย่อมมีความปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวง


    8.ผู้มีจิตระลึกถึงพระพุทธเจ้าเมื่อตายย่อมไปเกิดยังสุคติภูมิอันมีสวรรค์เป็นต้น


    ดังนั้นท่านทั้งหลายผู้ฉลาดจึงไม่ใช้กำลังของตนเองในการใช้อภิญญา แต่ขอพลังอำนาจแห่งพุทธคุณอันมีมีความบริสุทธิ์มาใช้เพื่อให้เกิดสัมฤทธิผล คำอธิบายเพิ่มเติมขอให้ ลองค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมในหนังสือ ประวัติหลวงพ่อปานในตอนที่หลวงพ่อเล็กปลุกเสกพระในช่วงพรรษาครับ


    ความบริสุทธิ์ของจิต ขออธิบายว่า
    คนธรรมดาใช้พลังจิตได้น้อยกว่าผู้มีศีล

    ผู้มีศีลใช้พลังจิตได้น้อยกว่าผู้มีศีลและทรงเมตตาพรหมวิหารสี่
    ผู้ทรงพรหมวิหารสี่ใช้พลังจิตได้น้อยกว่าพระอริยเจ้า ตามลำดับขึ้นไป
    และพระอริยเจ้าจะไม่มีความเสื่อมในอภิญญาเพราะเป็นโลกุตรอภิญญา


    พระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ มีอภิญญาจิตสูงสุดกว่าพระอรหันต์ทั่วไป แต่น้อยกว่าพระพุทธเจ้าครับ
    ดังนั้นถ้าเราทำความบริสุทธิ์ของจิตในขณะนั้นให้ มีความบริสุทธิ์เทียบเท่าจิตของพระอริยเจ้า เราก็จะใช้พลังจิตได้สูงขึ้นครับ
    สื่อ เป็นเครื่องผูกจิตเราไว้กับเป้าหมาย ที่เรารู้จักกันดีก็คือพระที่เราห้อยคอไว้ครับ หรือเครื่องรางต่างๆ บางครั้งสื่อก็อาจเป็นสิ่งอื่นก็ได้เช่นในการใช้พลังรักษาโรค เราก็ใช้ร่างกายผู้ที่เราจะรักษาเป็นเป้าในการส่งพลังจิตไปรักษาครับ หรือบางครั้งสื่ออาจเป็นภาพความคิด หรือนิมิตรในจิตก็ได้ครับขึ้นอยู่กับการนำไปใช้แต่ละอย่างครับ


    คำอธิฐาน เป็นเสมือนโปรแกรมคำสั่งให้ทุกสิ่งเป็นไปตามที่ใจเราปรารถนาครับ ในวิชาที่ถ่ายทอดนี้อนุญาตให้ใช้เฉพาะผู้ที่มีสัมมาทิษฐิเท่านั้นครับและให้ใช้เพื่อการสงเคราะห์ตนเองและผู้อื่น ผู้คิดนำวิชานี้ไปใช้เพื่อตนเองและทำร้ายผู้อื่น พระท่านเรียกวิชากลับเองครับ


    ความสำคัญของการอธิฐาน
    ถ้าท่านสังเกตดูให้ดี จะพบว่า คำแนะนำ วิชาต่างๆ ของผมนั้น มีแต่คำอธิฐานเต็มไปหมด เหตุผลก็คือในโลกของจิต ในมิติของรูปธรรมนั้น ทุกสิ่งสำเร็จได้ด้วยใจครับ ใจเป็นใหญ่ และการจะสื่อสารกับจิตได้ก็คือคำอธิฐานครับ คำอธิฐานทุกสิ่งทุกอย่างไม่ว่าดีว่าเลวจะถูก จารึก (โปรแกรม)ลงไปในดวงจิตของเราและติดตัวเราไปทุกชาติภพ ไม่สิ้นสุดจนถึงพระนิพพานครับ ผมจะยกตัวอย่างการอธิฐานที่สำคัญและส่งผลยาวนานไม่สิ้นสุดให้ลองพิจารณาดูเป็นตัวอย่างนะครับ

    การอธิฐานตั้งความปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็จะส่งผลไปจนท่านผู้นั้น บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณในที่สุด (ถ้าไม่อธิฐานขอลาพุทธภูมิเสียก่อน)


    การอธิฐานขอลงมาเกิดเพื่อสร้างบารมีด้วยการช่วยคนในช่วงภัยพิบัตินี้ ก็เป็นโปรแกรมถูกกำหนดมาให้เราได้ รู้จักกันพบกันครับ
    การอธิฐานที่เป็นมิจฉาทิษฐิ เช่นเมื่อพระเทวทัตอธิฐานขอจองเวรพระพุทธเจ้าในพระชาติที่เป็นพ่อค้า ก็ส่งผลร้ายไม่สิ้นสุดแก่พระเทวทัตจนลงอเวจีครับ ซึ่งเป็นผลแห่งการจองเวรพระโพธิสัตว์ครับ ซึ่งผมช่วยแนะให้ท่านได้แก้ไขแล้วโดยอธิฐาน ขอไม่เป็นเจ้ากรรมนายเวรผู้ใดครับ
    การอธิฐานนั้นสามารถใช้กำหนดทิศทางของการเดินทางในสังสารวัฏได้ครับ เช่น เทวดาหรือพรหม ที่บุญใกล้หมดก็สามารถอธิฐานลงไปเกิดใหม่เพื่อสร้างบารมีเพิ่มได้ครับแทนที่จะ ใช้บุญจนหมดเกลี้ยงแล้วต้องไปใช้กรรมชั่วครับ

    คำอธิฐานเป็นบารมีในบารมีสามสิบทัศน์ครับ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับกำลังใจของผู้อธิฐาน ถ้ากำลังใจเข้มแข็งมากคำอธิฐานก็จะสำเร็จแน่นอนครับ


    ในการใช้อภิญญานั้น พระท่านว่า เมื่ออภิญญาใหญ่ลงมา(เบื้องบนท่านอนุญาตให้ใช้อภิญญาและฤทธ์เพื่อช่วยคนได้) คนที่จะได้ไม่ต้องตั้งท่ามากครับ แค่อธิฐานฤทธิ์ก็ใช้ได้เลยครับ ตอนนี้ผมช่วยเตรียมความพร้อมให้พวกท่านก่อนครับ ใครได้มากได้น้อยเท่าไรเป็นวาสนาบารมีของแต่ละบุคคลที่ พระท่านได้กำหนดไว้ ขึ้นอยู่กับว่าใครมีใจที่บริสุทธ์สมควรได้รับครับ


    ความศรัทธาและความเชื่อ
    เป็นความมั่นคงในจิตใจของผู้ใช้พลังจิตครับ ตรงนี้ก็เป็นจุดสำคัญอีกจุดหนึ่งครับที่ทำให้การใช้พลังจิตมีความสำเร็จ ขอยกตัวอย่างการฝึกวิชาสั่งจิตใต้สำนึกครับ ทุกคนมีข้อจำกัดจากความคิดของตัวเอง ว่า กระดาษไม่สามารถตัดตะเกียบไม้ไผ่ได้ เพราะขัดแย้งกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ว่าไม้แข็งกว่ากระดาษ แต่เมื่อมีคนทำได้มาทำให้ดู คนอื่นก็ทำตามจนสำเร็จเช่นกัน แต่เมื่อให้เพิ่มจำนวนตะเกียบไม้ไผ่จาก 1คู่ เป็น 2 คู่ 3คู่ เราก็จะถูกความรู้สึกไม่เชื่อมั่นในตนเองมาเป็นข้อจำกัดให้ทำไม่ได้อีก แต่สำหรับ ผู้ที่มีความศรัทธาความเชื่อมั่นคง และมีความมั่นใจไร้ขีดจำกัด ก็สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างสบายๆ การใช้พลังจิตและอภิญญาก็เช่นกัน ผู้มีขนาดของความเชื่อใหญ่กว่าย่อมประสพความสำเร็จสูงกว่าผู้ที่ไม่ศรัทธาในสิ่งใดหรือแม้แต่ตนเองครับ
     
  17. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    จะเข้าภาคปฏิบัติเลยนะครับ


    วิชาแรกที่จะแนะนำคือ "วิชายกพระเสี่ยงทาย " ครับ วิชานี้หลายคนรู้จักและเคยใช้เป็นอย่างดีก็ขอให้คิดว่าได้ทบทวนใหม่นะครับ ข้อดีของวิชานี้คือ

    1.เป็นการพิสูจน์ ว่าพุทธานุภาพของพระพุทธเจ้ามีจริง เป็นการสร้างศรัทธาความเชื่อมั่นในคุณพระรัตนไตยได้ตั้งแต่ต้น
    2.ทำได้ง่ายแม้จะเป็นผู้มีสมาธิไม่สูง ไม่มีทิพจักษุญาณก็ สามารถทำได้ ขอมีความศรัทธาจริง
    3.ทำได้ทุกที่ จะเป็นที่วัดหรือที่บ้านก็ได้
    4.เป็นวิชาที่สืบทอดกันมานับแต่โบราณกาล และเคยใช้ในการเสี่ยง บุญ วาสนา บุญญาธิการเพื่อความอยู่รอดของบ้านเมืองมาแล้ว
    สถานที่ที่มีการยกพระเสี่ยงทายนั้น เท่าที่ผมจำได้มี ที่ศาลหลักเมืองกรุงเทพ พระธาตุเชิงชุม

    --วิธีการฝึกมีดังนี้ครับ

    --ก่อนอื่นหา พระพุทธรูป มาองค์หนึ่งหน้าตักกว้างประมาณ หกถึง สิบสองนิ้ว ดอกไม้หรือพวงมาลัย ธูปเทียน และผ้าที่สะอาดผืนหนึ่ง
    ปูผ้าเบื้องหน้าเรา นิมนต์วางพระพุทธรูปท่านไว้เบื้องหน้าเรา จากนั้นนำดอกไม้ ธูปเทียนบูชาพระ ว่านะโม สามจบ ตามด้วยคำขอขมาพระรัตนไตย จากนั้นเข้าอารมณ์สูงสุดที่ฝึกมาคือจับลมสบาย ทำจิตให้อิ่มเอิบจับภาพพระให้ใสเป็นเพชรในใจแล้ว อธิฐานว่า "ข้าพเจ้าขออาราธนาพระพุทธบารมีของพระพุทธเจ้าท่าน ให้มาสถิตอยู่ ณ องค์พระพุทธปฏิมาเบื้องหน้าของข้าพเจ้านี้ และได้โปรดชี้ทางสว่างให้แก่ข้าพเจ้าประดุจได้อยู่เบื้องพระพักตร์ขององค์พระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยเถิด" จากนั้นใช้จิตสัมผัสให้เห็นองค์พระเบื้องหน้าเราใสเป็นเพชร แล้วว่าคาถา

    "พุทธธัง อาราธนานัง ธรรมมัง อาราธนานัง สังฆังอาราธนานัง "

    แล้วใช้มือของเราประคองจับที่ตักขององค์พระท่าน แล้วอธิฐานว่า

    "หากแม้นพุทธานุภาพแห่งพระพุทธองค์ท่านเสด็จมาเมตตาข้าพเจ้าแล้ว ขอให้องค์พระปฏิมานี้จงหนักปานภูผาจนข้าพเจ้ามิอาจยกขึ้นด้วยเทอญ"
    จากนั้นจึงยกองค์พระขึ้น ลองดูว่ายกไหวหรือไม่ ?
    ถ้าไม่ไหวให้กราบท่านแล้วอธิฐานใหม่ว่า

    "ขอพระองค์ทรงเมตตาแสดงพุทธานุภานุภาพ ให้ข้าพเจ้าได้ยังศรัทธามั่นคง ข้าพเจ้าขอให้องค์พระปฏิมานี้เบาประดุจเทพยดามาช่วยยกด้วยเทอญ"
    จากนั้นยกองค์พระขึ้นใหม่ ดูว่าพระท่านเบาลอยต่างกันกับเมื่อสักครู่หรือไม่ ถ้าเบาหวิว
    ก็ขอให้สิ้นความสงสัยได้ และให้ระลึกว่า
    อำนาจพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณมีอยู่ จริงแท้แน่นอน

    --จากนั้นผมขอให้ท่านตั้งคำอธิฐานเสี่ยงทาย สามข้อครับ

    1. อธิฐานว่า"หากแม้ ธรรมมะและคุณธรรมของข้าพเจ้าจะรุ่งเรืองก้าวหน้า ขอให้องค์พระท่านหนักจนยกไม่ขึ้นด้วยเทอญ" จากนั้นอธิฐานซำแต่ขอให้พระท่านเบา ข้าพเจ้านี้คือตัวคุณเองนะครับ

    2. อธิฐานว่า"หากแม้ข้าพเจ้าได้อธิฐานก่อนลงมาจุติในชาตินี้มีหน้าที่ เพื่อช่วยเหลือส่วนรวม ขอให้องค์พระ ท่านหนักจนยกไม่ขึ้นด้วยเทอญ" จากนั้นอธิฐานอีกครั้งแต่ขอให้พระท่านเบา
    3.ผมให้ท่านอธิฐานในสิ่งตัวท่านเองต้องการเสี่ยงทายครับ

    ทำได้แล้ว ผมขอให้กราบพระท่านที่ตักแล้ว อธิฐานว่า "ข้าพเจ้าสิ้นสงสัยในคุณพระรัตนไตยแล้วและขอยึดไตรสรณคมภ์เป็นที่พึ่งอาศัยตลอดชีวิตจนถึงซึ่งพระนิพพาน ขอให้พุทธบารมีของพระองค์ท่านมาสถิตให้พระพุทธปฏิมาองค์นี้เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธ์คุ้มครองข้าพเจ้าและครอบครัวจากภัยอันตรายทั้งปวง และให้เหล่าข้าพเจ้าได้น้อมบูชาแทนองค์พระศาสดาด้วยเทอญ"
     
  18. kananun

    kananun เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    10,282
    ค่าพลัง:
    +114,775
    วิชานี้เป็นการสร้างศรัทธาในผู้ที่ยังไม่เกิดศรัทธา และเพิ่มศรัทธาที่ มีอยู่แล้วให้ยิ่งๆขึ้นไปครับ สำหรับคุณSindea คุณสามารถยกพระเสี่ยงทายเพื่อช่วยเพื่อนชาวตปท. ของคุณได้โดย อธิฐานว่า"หากแม้นบุคคลคนนี้มีวิสัยที่จะน้อมศรัทธาเข้ามาสู่พระพุทธศาสนาได้ ไม่เป็นโทษต่อตนและพระศาสนา ขอให้พระท่านหนักดั่งหินผาด้วยเถิด" ถ้าเสี่ยงทายสำเร็จ ก็ลองสอนให้เขาอธิฐานและลองเสี่ยงทายด้วยตัวเองครับ แต่ถ้าเสี่ยงทายไม่สำเร็จ ก็อย่าแนะนำ เพราะจะเป็นโทษกับตัวเขาเองถ้าปรามาศพระรัตนไตยครับ แต่เราสามารถช่วยเขา เบื้องหลังโดยไม่ให้เขารู้ตัวได้ครับ
    -จะเห็นว่าวิชานี้ประยุกต์ใช้ได้หลากหลาย และเหมาะกับผู้ที่ยังไม่ได้ทิพจักษุญาณ
    -ไม่ควรใช้พร่ำเพรื่อ โดยไม่จำเป็นหรือถามคำถามที่ไร้สาระครับ
    -ก่อนใช้วิชา อย่าลืมขอขมาพระรัตนไตยครับ
    ว่าแต่ทำไมไม่มีใครทำการบ้านส่งครูเลยครับ ไปค้นคว้าข้อมูลเพิ่มแล้วมาPresentด้วยครับ กฏของธรรมชาติมีอยู่ข้อนึงคือ "ยิ่งให้ยิ่งได้ ยิ่งใช้ยิ่งเพิ่ม ยิ่งฝึกยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งสอนยิ่งแตกฉานในวิชาครับ"
     
  19. sindea

    sindea เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +754
    กำลังฝึกค่ะ คุณครู
     
  20. sindea

    sindea เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    100
    ค่าพลัง:
    +754
    กำลังฝึกค่ะ คุณครู แต่ไม่มีพระพุทธรูปขนาดเท่าคุณ kananun บอก มีแต่ขนาดประมาณ 2-3 cm
     

แชร์หน้านี้

Loading...