เพื่อการกุศล วัตถุมงคลหลวงปู่บุดดา ถาวโร ร่วมบุญสร้างสมเด็จองค์ปฐม 9 วา

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย siriphan2009, 18 กันยายน 2015.

  1. siriphan2009

    siriphan2009 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,237
    ค่าพลัง:
    +17,735
    111111111111
     
  2. siriphan2009

    siriphan2009 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,237
    ค่าพลัง:
    +17,735
    22222222222222
     
  3. siriphan2009

    siriphan2009 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,237
    ค่าพลัง:
    +17,735
    33333333333
     
  4. wanakonth

    wanakonth เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 กันยายน 2009
    โพสต์:
    2,153
    ค่าพลัง:
    +5,775
    ขอร่วมทำบุญ 300 บาท พรุ่งนี้โอนแล้วจะแจ้ง pm นะครับ
     
  5. warodomsathan

    warodomsathan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    1,123
    ค่าพลัง:
    +1,032
    ขออนุโมทนา

    เป็นสะพานบุญ 40 ซองครับ

    คุณสมภพ วโรดมสถาน
    68 หมู่ที่ 2 ตำบลน้ำเต้า อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 13250
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 ตุลาคม 2015
  6. vrk6223

    vrk6223 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    644
    ค่าพลัง:
    +1,991
    สวัสดีครับคุณสิริพันธ์ ผมต้องขอโทษที่ได้โอนเงินร่วมบุญเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคี สมทบทุนสร้างพระพุทธรูปสมเด็จองค์ปฐม หน้าตัก 9 วา ณ วัดวังกะชอน อ.วังทอง จ.พิษณุโลก
    ผมโอนผิดบัญชีไปครับไม่ทันได้พิจารณา โดยโอนเข้าบัญชีคุณสิริพันธุ์ที่ #๔๐๒-๔๓๙๕๔๑-๕จำนวน ๓๐๐.๑๙ บาท เมื่อวันที่ ๑๙ ก.ย. ๕๘ รบกวนตรวจสอบด้วย ขอบคุณครับ
     
  7. siriphan2009

    siriphan2009 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,237
    ค่าพลัง:
    +17,735


    ขออนุโมทนาบุญกับทั้งสองท่านด้วยครับ สาธุ..........
     
  8. siriphan2009

    siriphan2009 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,237
    ค่าพลัง:
    +17,735

    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ ที่เป็นสะพานบุญต่อให้ครับ สาธุ.......
     
  9. zeroedges

    zeroedges สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ตุลาคม 2012
    โพสต์:
    23
    ค่าพลัง:
    +13



    ขอร่วมทำบุญรายการที่10.1,10.2 ครับ ที่อยุ่ข้อความครับ
     
  10. siriphan2009

    siriphan2009 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,237
    ค่าพลัง:
    +17,735

    รับทราบการจองร่วมบุญแล้วครับ
    360 บาท รวมค่าจัดส่งแล้วครับ
     
  11. siriphan2009

    siriphan2009 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,237
    ค่าพลัง:
    +17,735
    ซองกฐินพิมพ์เสร็จแล้วนะครับ ท่านให้จะช่วยเป็นสะพานบุญให้ แจ้งได้เลยนะครับ

    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ......
     
  12. siriphan2009

    siriphan2009 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,237
    ค่าพลัง:
    +17,735
    [​IMG]


    พระเครื่อง "หลวงปู่บุดดา"
    พระดี ที่หลายคนมองข้าม


    เอ่ยถึง พระหลวงปู่บุดดา คนเล่นพระอาจมองข้ามไปอย่างรวดเร็ว เนื่องด้วยเหตุผล พระท่านไม่ดัง พระท่านไม่แพง หรือห้อยแล้วไม่เท่ โชว์ไม่ได้ หรือไม่มีข่าวคราวปาฏิหาริย์อะไร อย่างฟันไม่เข้าหรือยิงไม่เข้าตามหน้าหนังสือพิมพ์ อันนี้ ขอท่านได้พิจารณาให้รอบคอบและถ้วนถี่ในมายาโลก ที่แม้แต่แวดวงพระเครื่องก็ยังมี หากใครจำได้ถึงอมตะของ ท่านเจ้าคุณนรฯ ที่ว่า

    "ของจริงนิ่งเป็นใบ้ ของพูดได้นั้นไม่จริง"

    ผมยินดีที่จะเสนอ ของจริง ให้พี่ๆในเว็บนี้ครับ

    อันศักดิ์ศรีของหลวงปู่บุดดานั้น แม้จะดูธรรมดาในสายตาชาวโลก แต่สายของเหล่ากองทัพธรรมนั้นสูงสุดจะบรรยาย


    ครั้งหนึ่งท่านได้เดินทางไปสนทนาธรรมกับ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก หลวงปู่บุดดา ได้เทแป้งเสกลงในมือหลวงปู่ดู่ และ ทันทีทันใดเหมือนกัน หลวงปู่ดู่รีบเทแป้งเหล่านั้นลงบนศรีษะท่านจนขาวโพลนไปหมด ท่ามกลางความ ตกตะลึง ของเหล่าลูกศิษย์ท่านมากๆ เพราะปกติหลวงปู่ดู่ท่านมีกิริยาที่เรียบร้อยเอามากๆ จนเมื่อหลวงปู่บุดดากลับไป ลูกศิษย์ท่านหนึ่ง ถามหลวงปู่ทันที

    "หลวงปู่ทำไมเทแป้งอย่างนั้นล่ะครับ" ท่านตอบทันที

    "ก็ผง พระอรหันต์ ท่านให้ จะให้เอาไว้ตรงไหนนอกจากบนศรีษะของเรา ไม่งั้นจะเป็นการไม่เคารพ"

    และที่สำคัญในพิธีเปิดโลกที่แสนสะโด่งดังนั้น หลวงปู่ดู่ท่านยังเชิญบารมีขององค์หลวงปุ่บุดดามาร่วมเสกด้วย (ทางญาณนะครับ)


    แม้แต่องค์ หลวงปู่ชา วัดหนองป่าพง พระเถระที่ปกติไม่สรรเสริฐพระองค์ไหนง่ายๆ ในวันหนึ่ง เมื่อท่านทราบว่าหลวงปุ่บุดดา นั่งอยุ่บนรถบัส ท่านถึงพูดกับลูกศิษย์ว่า

    "ไม่ให้ท่านลงมานะ เราจะขึ้นไปกราบหลวงปุ่บุดดาบนรถเอง"

    แล้วท่านก็ขึ้นไปทั้ง กราบ ทั้ง ไหว้ อย่างเคารพและเรียบร้อยที่สุด


    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง ท่านเคยบอกให้ลูกศิษย์ไปกราบ หลวงปู่บุดดา ตั้งแต่ที่ท่านยังอยุ่ที่วัดอาวุธ ฝั่งธน กทม. โดยให้เหตุผลว่า

    "รีบไปกราบท่านนะ หลวงปู่องค์นี้ ท่านเป็นพระทองคำ ท่านจะไม่มาเกิดอีกแล้วนะ"

    และยกย่องหลวงปุ่บุดดาอีกหลายครั้ง และหากท่านสงสัยในกัปกริยาที่ค่อนข้างจะแหวกแนว และ ล่อแหลมขององค์หลวงปู่ ที่มักทำอะไรที่คนทั่วไปมองว่าผิดปกติ ขอให้คิดเอาเสียใหม่ นี่คือ เนื้อนาบุญของแท้


    ซึ่งแม้แต่ หลวงปู่สิม แห่งสำนักสงฆ์วัดถ้ำผาปล่อง ยังขอถวายสังฆทานและจีวร เป็นการเฉพาะ และบอกว่า

    "หลวงปู่บุดดา ยอดเยี่ยมที่หนึ่ง แก่ทั้งอายุ แก่ทั้งพรรษา และแก่ทั้งมรรคผลนิพพาน"


    หากท่านสงสัยในพุทธคุณที่หลวงปู่บรรจุไว้ในองค์พระแล้ว โปรดอ่าน...

    ครั้งหนึ่งมีคนนำพระไปให้ท่านเสก ส่งไปแล้วท่านก้อส่งกลับ ทำอย่างนี้ถึง 3 ครั้ง โดยไม่แสดงอาการ เสก แต่อย่างใด ท่ามกลางความงุนงงของผุ้นั้นมาก จนหลวงพ่อองค์หนึ่งที่นั่งอยุ่ที่นั้นบอก

    "พระองค์นี้ออกรบได้แล้วล่ะโยม"

    เต็ม ตั้งแต่ที่ส่งมาให้แล้ว ........ตกใจไหม......

    และเมื่อมีคนนำพระไปให้ ครูบาสร้อย วัดมงคงคีรีเขต จ.ตาก พระอาคมขลัง ที่ผู้อ่านศักดิ์สิทธิ์คงรุ้จักกันดี ช่วยเสกซ้ำอีกที ท่านได้ปฏิเสธและให้เหตุผลว่า

    "เต็มแล้ว เสกไม่ได้แล้ว"

    แม้แต่องค์ หลวงพ่อพุธ ยังปฏิเสธเหมือนกัน และบอก

    "จะให้เสกทับไปได้อย่างไร
    หลวงปู่บุดดาก็เป็นครูบาอาจารย์องค์หนึ่งของเราเหมือนกัน" สุดยอดจริงๆ

    ทุกวันนี้เราหาพระที่จะมาห้อยคอนั้น ง่ายเหลือเกิน แต่จะหาพระแท้ มาห้อยนั้น ยากครับ หากท่านบูชาพระที่พุทธคุณ ไม่ใช่ค่านิยม อันเป็นเรื่องของทางโลกแล้ว
    พระเครื่องหลวงปู่บุดดา เป็นอีกองค์หนึ่งซึ่งผม ขอฝากไว้ในใจท่านทั้งหลายครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ข.jpg
      ข.jpg
      ขนาดไฟล์:
      128.3 KB
      เปิดดู:
      1,074
  13. siriphan2009

    siriphan2009 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,237
    ค่าพลัง:
    +17,735
    ที่มาเล่าเรื่องพระทองคำ

    [​IMG]


    เรื่องที่จะนำมาถ่ายทอดต่อไปนี้ คัดลอกมาจากหนังสือ "เสียงจากถ้ำ (นารายณ์) ฉบับพิเศษ : บนเส้นทางพระโยคาวจร" เขียนโดย "สายฟ้า" [หลวงตาวัชรชัย เจ้าอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์)] ผู้ถ่ายทอดกราบขออนุญาตต่อหลวงตาวัชรชัย ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ และจะขอตัดตอนนำเฉพาะบางตอนที่กล่าวถึง หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ กับ หลวงปู่บุดดา ถาวโร โดยตรงมาถ่ายทอด ดังนี้

    "ถ้าจะมีพระสงฆ์สักองค์หนึ่งที่สามารถนั่งสนทนาโต้ตอบกับพ่อ (หลวงพ่อของพวกเรา) ได้แบบทันปากพ่อ ทันใจพวกเราแล้ว ผู้เขียนนึกออกมาได้เพียงองค์เดียวจริงๆ นั่นคือ พระคุณหลวงปู่บุดดา ถาวโร หนึ่งในจำนวนพระสุปฏิปันโนที่พ่อนิมนต์มาในงานฉลองวัดเมื่อเกือบ 24 ปี มาแล้ว"


    พระคุณหลวงปู่บุดดา ท่านพรมน้ำมนต์ที่ศาลา 4 พระองค์ วันนั้นดูเหมือนไม่เหนื่อย แต่พอกลับมาพักที่กุฏิก็จับไข้ตามเดิม ผู้เขียนจำได้ไม่มีลืม กลับมาท่านก็ยังไม่ยอมนอนพัก นั่งอยู่ชั้น 2 กุฏิเบอร์ 2 กับผู้เขียนตัวต่อตัว ท่านมองฟ้า มองหลังคาพระอุโบสถวัดท่าซุง ผ่านหน้าต่างกุฏิ ตายังงี้ใสแจ๋วเหมือนแก้ว ไร้อารมณ์ไร้เดียงสา บริสุทธิ์เหมือนดวงตาเด็ก (เด็กดีๆ นะ) ปากก็พูดลอยๆ แต่ชัดเจนว่า

    "เออ..งานนี้ (หมายถึงงานวัดเราที่มีพระสุปฏิปันโนมารวมกันถึง 10 องค์) จัดยากนักหนา ใครๆ จะไปนิมนต์พระดีหลายๆ องค์มารวมกันยังงี้ทำไม่ได้หร็อก พระเจ้าแผ่นดินทั่วโลก พระสังฆราช พระสันตะปาปารวมกัน ไปนิมนต์ท่าน ท่านไม่มาให้หร็อก..! แต่พระมหาวีระ (ตอนนั้นพ่อยังไม่ได้สมณศักดิ์) องค์เดียวทำได้ ท่านทำให้ลูกหลานได้ดีกัน แต่หลวงปู่ยังสงสัยว่า ลูกหลานทั้งหลายจะเข้าใจเจตนาครูบาอาจารย์ และฉวยความดีนั้นเอาไว้ได้ไหม ?.."

    ท่านพูดแค่นั้นแหละ...นิ่งเงียบไปเลย ผู้เขียนธรรมดาโง่อยู่แล้ว หลังจากนั้นอีก 3 ปี จึงได้เข้าใจจุดหมายอันลึกซึ้งยิ่งใหญ่ไพศาลที่หลวงปู่บุดดาพูดถึง จะเล่าให้ฟังในตอนสรุปท้ายเรื่อง "พระผู้เป็นเนื้อนาบุญ" ตามลำดับระยะเส้นทางพระโยคาวจร


    หลวงปู่บุดดา มีจริยาวาจาตรงๆ ง่ายๆ ใครก็ทราบกันอยู่แล้ว ที่สำคัญก็คือ เป็นพระสงฆ์ที่รักผ้าครอง 3 ผืน ยิ่งนัก จะเห็นว่า ท่านจะพาดสังฆาฏิติดตัวอยู่เสมอไม่เคยขาด อีกอย่างก็คือไม่จับเงินทอง ไม่ให้ผู้หญิงเข้าใกล้ตัวเลย เรื่องสนุกมากๆ ก็เกิดตรงจุดนี้ คือ เมื่อเสร็จจากงานวัดแล้ว พ่อก็จัดรถนำลูกหลานไปกราบเยี่ยมหลวงปู่ที่ อ.สรรคบุรี ไปกันหลายคันรถ ศาลารับแขกของหลวงปู่ที่สำนักนั้นแน่นไปหมด พ่อก็บอกว่า

    "ลูกหลานเอ๊ย...ช่วยหลวงปู่สร้างศาลาใหม่นะลูก ช่วยกันคนละเล็กละน้อย"

    โธ่เอ๋ย...ถ้าหลวงพ่อออกปากอย่างนี้ ซ้ำยังบอกว่า

    "หลวงปู่บุดดา เป็นพระทองคำทั้งองค์นะลูกนะ ทำบุญกับท่าน ก็คือ ทำบุญกับพระอรหันต์ นะ"


    จากคนละเล็กละน้อยก็รวมเป็นก้อนใหญ่มากๆ จำไม่ได้ว่าเท่าไร หลวงพ่อสั่งให้นับจำนวนเงินมัดรวมเข้าเป็นปึกสวยเชียว

    "ถวายหลวงปู่เข้าไป เอ๊า...โมทนาพร้อมๆ กันลูกเอ๊ย..."

    คนถือเงินน้อมถวายปุ๊บ หลวงปู่ก็คว้าย่ามมาแหวกปั๊บ แหวกกว้างเลยกะให้เงินหล่นใส่ย่ามไม่ถูกมือท่าน เท่านั้นแหละท่านผู้อ่าน พ่อเราก็คว้าเงินทั้งปึกมาถือไว้... แย่งเอาเสียเองเลย

    "หลวงปู๊....." พ่อทำเสียงยาวเลย

    "นี่...ถ้าจับเงินไม่ได้ก็ไม่ต้องเอานะ... นี่ถ้าพระใจเป็นแก้วทั้งใจอย่างหลวงปู่ยังคิดว่าไอ้แบงก์กับธาตุดินมันยังมีค่าต่างกัน...ถ้าธาตุดินนี้มันทำให้ใจหลวงปู่เสียหายได้ ก็ไม่ต้องเอาน๊ะ...."

    เท่านั้นแหละหลวงปู่ผู้ไม่จับเงินมาตลอดชีวิต
    ก็มีอันเปลี่ยนไป ท่านคว้าเงินมาจากมือ พ่อ

    "เอาของเขาคืนมานะ..." จับ 2 มือแน่นชูขึ้นตรงหน้าเลย

    "นี่..นี่..นี่ บุดดาจับเงินแล้วนะ จับเงินแล้วนะ"

    จับยัดใส่ย่ามวางบนตัก ชนิดใครก็มาแย่งไปอีกไม่ได้ พวกเราหัวเราะกันลั่นเลย หัวเราะไปใจเป็นสุขที่สุด ไม่รู้ว่าเป็นสุขเพราะอะไร... พ่อบอกอยู่เสมอว่า


    "ใจพระทองคำแท้ (พระอรหันต์) ท่านไม่ติดอะไรทั้งโลก แม้ร่างกายตัวท่านเอง แต่ท่านอยู่กับร่างกายและโลก เกี่ยวพันบริหารงานโลกโดยใจไม่มีทุกข์โทษเวรภัยใดๆ มาทำให้มัวหมองแปดเปื้อนได้ เมื่อใจไม่ติดแน่นอนแล้ว จริยาทางกาย วาจา ก็ลดลงมาหากระแสโลกเพียงเพื่อสงเคราะห์ จะได้พูดกันแนะนำกันรู้เรื่องแบบธรรมดาโลกเขา แต่จริยาท่านอยู่ในสมณมารยาท ในวินัยประเพณี ไม่มีบกพร่องด่างพร้อย เมื่อพ่อกล้าทำอย่างนั้น พ่อก็กล้าชักชวนให้หลวงปู่องค์อื่นออกมาทำงานแทนคุณพระพุทธเจ้าก่อนที่ร่างกายจะสลายหายประโยชน์ไป พระคุณหลวงปู่บุดดาท่านเข้าใจ เต็มใจทำอยู่แล้ว เมื่อมีเพื่อนผู้รู้ใจมารับรองประคองเชิญ ท่านก็ก้าวออกมา..."

    นับแต่นั้น ! หลวงปู่บุดดา ก็จับเงินทองได้ ให้ญาติโยมผู้หญิงผู้เลื่อมใสศรัทธาเข้าใกล้ตัวท่านได้ ด้วยประการะฉะนี้ (เอาเข้าให้..)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ก.jpg
      ก.jpg
      ขนาดไฟล์:
      100.9 KB
      เปิดดู:
      889
  14. siriphan2009

    siriphan2009 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,237
    ค่าพลัง:
    +17,735
    [​IMG]


    หลวงปู่บุดดา ถาวโร วัดกลางชูศรีเจริญสุข อ.บางระจัน จ.สิงห์บุรี

    ชาติกำเนิด – ภูมิลำเนา

    เกิดเมื่อวันเสาร์ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือนยี่ ปีมะเมีย ตรงกับวันที่ ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๓๗ ที่ตำบลพุคา อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี ท่านเคยชี้ตำบลเกิดของท่านขณะขึ้นรถไฟผ่าน อยู่เหนือสถานีโคกกระเทียมเล็กน้อย เป็นหมู่บ้านเล็กห่างจากทางรถไฟไปทางทิศตะวันตกราว ๒ กม. ท่านบอกว่า หมู่บ้านหนองเต่า คงเป็นชื่อหมู่บ้านเดิม บิดาของท่านชื่อ น้อย มงคลทอง มารดาของท่านชื่อ อึ่ง มงคลทอง มีพี่น้องทั้งหมด ๗ คน ยังเหลือน้องชายคนเล็กชื่อ เหลือ มงคลทอง นอกนั้นถึง แก่กรรมไปหมดแล้ว

    อุปสมบท

    วันเสาร์ที่ ๑๕ เมษายน ๒๔๖๕ ที่วัดเนินยาว ต.โพนทอง อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี มี พระครูธรรมขันธสุนทร (ม.ร.ว. เอี่ยม บ้านเดิมท่านอยู่ กทม.) เป็นอุปัชฌาย์ และมีคณะสงฆ์ ๒๕ รูป เป็นพระอันดับ ซึ่ง หลวงปู่บุดดา ถาวโร นับถือว่าเป็นอาจารย์ท่าน

    ประวัติทั่ว ๆ ไป

    ชีวิตตอนเยาว์ ชีวิตตอนต้นของหลวงปู่ก็เหมือนกับชีวิตเด็กลูกชาวนาบ้านนอกทั่วไป ในสมัยนั้นที่ไม่มีโรงเรียนใกล้เคียง จึงไม่มีโอกาสได้เล่าเรียนหนังสือ มีแต่ทุนเดิมที่ได้ฝึกฝนอบรมมาดีในอดีตชาติ จึงเป็นผู้ระลึกชาติได้แต่เด็ก ท่าได้ไปพบเห็นสิ่งที่ปรากฏตามภาพนิมิต ของอดีตได้ถูกต้อง และได้มีบุคคลที่เกี่ยวข้อง จนท่านต้องขุดกระดูกของท่านที่ถูกฝังไว้ในอดีต

    การเห็นภาพในอดีตนั้นท่านเห็นได้หลายภพ ในกรณี หลวงปู่บุดดา อดีตชาติท่านเกิดเป็นชายทางฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ตัวหนังสือที่ใช้เป็นตัวหนังสือแบบเดียวกับสมัยพ่อขุนรามคำแหง มิใช่ตัวหนังสือเดียวกับเมื่อหลวงปู่เป็นเด็ก ท่านจึงอ่านหนังสือไม่ออก แต่พอเป็นทหารท่านได้เรียนหนังสือ ท่านก็สามารถเรียนได้เป็นอย่างดี ทั้งที่หน้าที่ที่ต้องปฏิบัติในการรับราชการเป็นทหารเกณฑ์นั้นหนักมาก ทั้งนี้น่าจะเนื่องมากจากสาเหตุสองประการ ที่ทำให้สามารถรู้หนังสือได้ดีเพราะท่านรู้หลักของหนังสือเดิมดีอยู่แล้ว พอเทียบตัวถูกท่านก็อ่านได้ และสมาธิจิตของท่านเข้าอันดับญาณจึงสามารถทำอะไรได้ง่าย


    อดีตสัญญา

    ถ้าสอบถามถึงอดีตชาติแล้ว ท่านมักปรารภเสมอว่ามันเป็นเรื่องที่ทำให้ท่านรู้สึกเบื่อหน่าย เช่น เล่าว่านับถอยหลังปัจจุบันไป ๗ ชาติ ท่านได้เกิดเป็นบุรุษทุกชาติ และเสียชีวิตตั้งแต่อายุไม่มากรวมทั้งไม่มีครอบครัวเลย ตลอด ๗ ชาติ ที่ผ่านมาส่วนมากท่านเกิดฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงมากกว่าฝั่งขวา มีชาตินี้เท่านั้นที่ท่านมีอายุยืน พี่ชายของท่านในอดีตชาติทั้งรักและตามใจทุกอย่าง ตั้งแต่เด็กจะไปไหน ก็พาท่านไปด้วย ได้สัญญากับท่านไว้ว่าจะไม่ทิ้งเป็นอันขาด ท่านจึงเกิดเป็นบุตรในชาติปัจจุบัน

    ฉะนั้นเมื่อบิดาของท่านตีท่านในสมัยเด็ก ท่านเล่าว่า ท่านวิ่งออกไปนอกบ้านแล้วตะโกนว่า “พ่อโกหก ๆ ๆๆ” ไม่ยอมหยุดจนมารดาของหลวงปู่เห็นผิดสังเกต จึงไปปลอบถามว่า “พ่อโกหกเรื่องอะไร” ท่านจึงได้เล่าเรื่องอดีตสัญญาให้มารดาของท่านฟังว่า “พ่อไม่รักษาคำพูด” ผู้ใดสามารถเฉลยอดีตสัญญาแบบนี้ให้เป็นธรรมและยอมรับกันได้ทั่วไปบ้าง ?


    เรื่องอายหมา

    หลวงปู่เล่าว่า ตั้งแต่เด็กท่านมักจะบอกกับมารดาของท่านเสมอว่า โตขึ้นท่านจะไม่มีครอบครัว เพราะท่านละอายใจดังเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้

    อดีตชาติหนึ่งในหนหลังเมื่อท่านเป็นหนุ่มเกิดพอใจหญิงสาวชาวบ้านใกล้เคียงกันผู้หนึ่งจึงไปอู้สาวผู้นั้น แทนที่ฝ่ายหญิงจะพูดดีกับลำเลิกอดีตชาติว่า

    “หลวงปู่ที่เป็นชายหนุ่มในชาตินั้นเป็นผู้ทำให้เขาถูกทุบตี และถูกจับผูกทรมานอดอาหารจนท้องกิ่วตาย พอมาชาตินี้มารักเขาทำไม”

    หลวงปู่ในชาตินั้นก็มองเห็นอดีตตนเองได้ว่าตอนนั้นท่านเป็นสมภารเจ้าวัดอยู่ประเทศลาว ขณะนอนป่วยอยู่มีหมาตัวเมียขึ้นมาลักลอบอาหารที่เด็กเก็บไว้ ท่านจึงร้องบอกเด็ก พวกเด็กจึงไล่ตีหมา และพวกเด็กไม่เพียงแต่ไล่ตี คงได้ไล่จับหมาตัวนั้นไปผูกกับรั้ว และกว่าจะถูกจับได้คงต้องไกลกว่าที่สมภารนอนเจ็บประการหนึ่ง และทุกคนก็คงสนใจแต่ความป่วย และการตายของสมภาร ในเวลาต่อมาจึงลืมนึกถึงการจับหมาตัวนั้นไปผูกไว้จนต้องอดถึงตายไป

    เมื่อชายหนุ่มระลึกอดีตชาติได้ก็เกิดความสลดและละอายใจว่า

    “นี่เรากำลังจะเอาหมามาเป็นเมียแล้วหรือ ? ”

    และเป็นการประทับฝังอยู่ในจิตใจต่อมาทุกชาติ การป่วยและการตายในคราวนั้น หมาตายภายหลัง จึงจองเวรและติดตามถูก

    ส่วนการที่เด็กไปตีหมาที่ถูกจับไว้จนหมาตาย ต้องมิใช่คำสั่งของสมภาร หมาจึงจองเวรได้เพียงหมาถูกตีเพราะเสียงร้องบอกของสมภารเป็นเหตุ หมาจึงทำให้สมภารในอดีตชาติเดือดร้อนเพราะลำเลิกของหญิงนั้นตามอดีตเหตุที่สมภารได้ทำไว้เท่านั้น เรื่องความผูกพันหรือการจองเวรในอดีตชาติทำนองนี้หลวงปู่ปรารภเสมอว่าเมื่อนึกถึงเรื่องราวในอดีตแล้ว ท่านมีความรู้สึกเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิดมาตั้งแต่เด็ก


    รับราชการทหาร ๒๔๕๘ ท.บ.๓ ล.๑๐

    หลวงปู่รับราชการทหาร ๒ ปี โดยมีหลักฐานการเป็นทหารปรากฏบนท้องแขนขวาดังนี้ ๒๔๕๘ ท.บ.๓ ล.๑๐ การเกณฑ์ทหารสมัยนั้น เมื่อผู้มีอายุครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ถึงแม้ถูกเกณฑ์แล้วจับ ใบดำได้ไม่ต้องรับราชการทหารในปีนั้นแล้วก็ต้องถูกเกณฑ์ไปทุกปีจนกว่าจะอายุ ๓๐ ปี หลวงปู่เป็นทหารในกองทัพ ๓ ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดลพบุรี

    ในสมัยนั้น เรื่องการเป็นทหารเกณฑ์ของหลวงปู่นั้น ท่านถูกเกณฑ์ทุกปีและในปีที่มีการคัดเลือกทหารอาสา ไปราชการสงคราม ณ ทวีปยุโรปในสงครามครั้งที่ ๑ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๐ หลวงปู่ก็เคยเล่าว่า ท่านได้อาสาสมัครกับเขาเหมือนกันแต่ท่านกินเหล้าไม่เป็น เขาจึงไม่รับท่าน เนื่องจากผู้บังคับบัญชาบอกท่านว่า ในทวีปยุโรปอากาศหนาวจัดต้องดื่มเหล้า เพื่อช่วยให้คลายหนาวท่านจึงไม่ได้ไปราชการสงคราม ณ ทวีปยุโรป


    Credit : http://www.dharma-gateway.com/monk/m...da_hist-01.htm
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ค.jpg
      ค.jpg
      ขนาดไฟล์:
      120.4 KB
      เปิดดู:
      998
  15. siriphan2009

    siriphan2009 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,237
    ค่าพลัง:
    +17,735
    [​IMG]


    พรรษาแรก ความมุ่งมั่นอดทนของพระใหม่

    เมื่อหลวงปู่อุปสมบทแล้ว ท่านจำพรรษาอยู่ ณ วัดเนินขาว จังหวัดลพบุรี ปฏิบัติอุปัชฌาย์ตามแบบแผนของภิกษุสมัยนั้น ไม่มีการศึกษาเล่าเรียนทั้งทางปริยัติหรือปฏิบัติ คงทำวัตรท่องหนังสือสวดมนต์และปาฏิโมกข์ แต่ท่านอ้างเสมอว่าอุปัชฌาย์ทุกองค์ท่านสอน ปัญจกรรมฐานให้แล้วในวันอุปสมบท (นั่นก็คือ อุปัชฌาย์ท่านสอนให้ว่า เกศา – ผม โลมา – ขน นักขา – เล็บ ทันตา – ฟัน และ ตโจ – หนัง และทวนกลับ) ว่าให้พิจารณาสิ่งเหล่านี้ในร่างกายของตนและคนอื่น ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอนเป็นบ่อเกิดของทุกข์ทั้งกายและจิตใจ เป็นของหาที่ยึดถือเป็นตัวตนไม่ได้มานานแล้วทุกคน

    และในพรรษาที่หลวงปู่บวชนั้น ได้มีการสร้างศาลามุงสังกะสีขึ้น ซึ่งในการมุงหลังคาคราวนั้นมีเรื่องเล่าความมหัศจรรย์ทางอำนาจจิตของหลวงปู่ตั้งแต่สมัยบวชเดือนแรกทีเดียว เพราะในการมุงหลังคาและตามปกติในฤดูร้อน แดดก็ร้อนจัดในตอนบ่ายอยู่แล้วและเมื่อเครื่องมุงเป็นสังกะสีด้วยก็ยิ่งทวีความร้อนมากยิ่งขึ้น พอตกตอนบ่ายทั้งพระและชาวบ้านต่างทนความร้อนไม่ไหวต้องลงมาพักกันหมด คงเหลือแต่หลวงปู่ ซึ่งเป็นพระบวชใหม่ยังไม่ครบเดือน มุงหลังคาอยู่ข้างบนองค์เดียวจนสำเร็จ

    เมื่อรับกฐินแล้วแต่พรรษาแรก หลวงปู่ท่านออกจาริกแสวงหาสถานที่วิเวกเจริญสมรธรรมตามอัธยาศัยองค์เดียวโดยไม่มีกลดมีมุ้งแบบอุทิศชีวิต และเลือดเนื้อเป็นทานอยู่นานจนเลือดแดงฉานติดจีวรและบินไปไม่ไหว


    พรรษาที่ ๒ ธุดงค์เดี่ยว

    เมื่อกลับจากธุดงค์พอใกล้เข้าพรรษาท่านเข้ามาจำพรรษาที่วัดผดุงธรรม จังหวัดลพบุรี พอออกพรรษาท่านก็ธุดงค์ไปองค์เดียวอีกเหตุอัศจรรย์ผจญวัวป่า

    หลวงปู่ท่านเดินธุดงค์ไปหนองคายโดยออกจากจังหวัดลพบุรีไปทางจังหวัดเพชรบูรณ์ ผจญเข้ากับวัวป่าฝูงหนึ่ง มันคงแปลกใจว่า เอ๊ะ ? อะไรนะ เป็นอันตรายกับพวกเขาหรือเปล่า หัวหน้าฝูงนั้นเข้ามาดม ๆ ดู แล้วก็ร้องมอ ๆ คล้ายกับจะบอกพรรคพวกว่า ไม่เป็นไรหรอก ไม่มีอันตราย เข้ามาได้แล้ว ตัวอื่นก็เข้ามาดมจนครบทุกตัวแล้วก็เลยไป

    คุณธรรมของท่านนั้นแม้แต่เดรัจฉานก็ส่งภาษาใจให้ผู้รู้เรื่องกันได้ หลวงปู่พูดเสมอว่าภาษาธรรมนั้น ก็คือภาษาใจ อยู่ที่ไหนก็รู้กันได้ มนุษยธรรม เทวธรรม พรหมธรรม โลกุตรธรรม


    พบซากศพตนเองในอดีต

    คราวนี้ท่านได้สอบดูนิมิตสมัยเด็ก ๆ ของท่านว่ามีถิ่นกำเนิดอยู่นอกนครเวียงจันทร์ไม่ไกลนัก ซึ่งเมื่อถึงแก่กรรมแล้ว เขาก็นำเอาศพในอดีตชาติของท่านไปฝังไว้ และไม่ได้เผา ในนิมิตนั้นท่านเห็นกะโหลกศีรษะขาวโพลน โผล่ดินขึ้นมาตรงตอพุดซา ท่านจึงไปสอบดูตามนิมิต และได้พบกะโหลกศีรษะมนุษย์ ในภูมิประเทศคล้ายคลึงกัน แต่กะโหลกที่พบจริงไม่ขาวเท่าในนิมิต และตอพุดซาไม่มีแล้วท่านจึงได้เผากระดูกนั้นด้วยตนเอง

    พรรษาที่ 3 จาระพระไตรปิฎก

    ขณะที่ไปสอบดูตามนิมิตก็ใกล้เข้าพรรษาแล้ว ท่านได้จำพรรษา ณ วัดบ้านทุ่ง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย และในขณะที่ข้ามไปเวียงจันทร์ได้เข้าชมพิพิธภัณฑ์และวัดพระแก้วที่เวียงจันทร์ ท่านระลึกถึงอดีตชาติเมื่อเห็นตู้พระไตรปิฎกและจารด้วยตนเอง แต่สมัยเป็นสามเณรต่อมาเป็นภิกษุและเป็นสมภารเจ้าวัดในที่สุด ได้จารพระไตรปิฎก บรรจุไว้จนเต็ม 3 ตู้ ท่านว่าได้เป็นสมภารเจ้าวัดในฝั่งลาว 3 สมัย ตายตั้งแต่ยังไม่พ้นวัยกลางคน ที่ท่านไปพบตู้ที่สร้างไว้นั้นไม่มีพระไตรปิฎกแล้ว

    ขณะที่ท่านพักอยู่ ณ วัดบ้านทุ่ง อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย คราวหนึ่งท่านต้องไปกิจนิมนต์ร่วมกับภิกษุหลายรูปด้วยกัน ไปทางเรือตามลำน้ำโขงปรากฏว่าเรือเกิดจมลง พระรูปอื่นต่างว่ายน้ำหนีจากเรือหมด เหลือแต่ท่านองค์เดียวในเรือ และน้ำท่วมเกือบถึงคอแล้วพอดีชาวบ้านเอาเรือไปรับนิมนต์ท่านขึ้นเรือแล้วเรือก็จมหายไป


    พบบิดาในอดีตชาติ

    พอออกพรรษารับกฐินเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ออกเดินทาง และในระหว่างทางนั้น ท่านได้พบกับ หลวงพ่อสงฆ์ พรหมสโร ซึ่งออกจาริกไปตามป่าเขาทำนองเดียวกับท่าน

    หลวงพ่อสงฆ์ ผ่านพรรษา ๔ แก่กว่าหลวงปู่บุดดาหนึ่งพรรษา แต่อายุหลวงพ่อสงฆ์แก่กว่าท่านหลายปี เพราะท่านบวชภายหลังมีครอบครัวแล้ว และเมื่อท่านพบหลวงพ่อสงฆ์ ท่านก็ระลึกได้ว่า เคยเป็นบิดาของท่านในอดีตชาติ ท่านก็เรียกคุณพ่อสงฆ์ตั้งแต่แรกพบจนถึงที่สุดแห่งวาระของท่านเอง


    ถ้ำนี้มีคุณ

    ท่านทั้งสองได้ร่วมจาริกแสวงหาที่วิเวกอันเหมาะแก่การเจริญภาวนาเรื่อยมา จนมาพบ ถ้ำภูคา ตำบลหัวหวาย อำเภอตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่งเป็นถ้ำกว้างมีปล่องทะลุกลางเขาลูกย่อม ๆ อยู่ในดงยาง เป็นชัยภูมิร่มรื่น มีหนองน้ำใหญ่อยู่ห่างจากหน้าถ้ำไปทิศตะวันออกของทางรถไฟสายเหนือห่างประมาณ ๑ กิโลเมตร อยู่ระหว่างสถานีดงมะกุและสถานีหัวหวายห่างจากหมู่บ้านทั้ง 2 ตำบล ข้างละประมาณ ๒ กม. เศษ ปากถ้ำอยู่ทางตีนเขา ภายในถ้ำลมถ่ายเทได้ดี

    ท่านได้อาศัยภายในถ้ำนี้และแยกกันอยู่คนละฟาก ได้อาหารบิณฑบาตจากหมู่บ้านดังกล่าว ถ้ำภายในเขาภูคานี้เป็นที่สงบและวิเวกปากถ้ำเรียบเป็นดิน เชิงเขาลาดขึ้นพอบรรจบถึงเขาก็เป็นปากถ้ำพอดี กว้างราว ๖-๗ เมตร สูง 3 เมตรเศษ เป็นดินราบขึ้นไปจนถึงยอดมีแท่นราบตรงกลางปล่องตรงกับยอดเขาพอดี ปล่องถ้ำเหมือนรูปงอบใบใหญ่สูงกว่าปากถ้ำเล็กน้อย ขอบล่างลาดลงโดยรอบเป็นช่องและชอกมากบ้าง น้อยบ้าง

    สถานที่ท่านใช้พักผ่อนและจำวัด ปรากฏว่าตรงที่ท่านใช้ภาวนานั้น มีปล่องลมหมุนเวียนอยู่ตลอดเวลา ส่วนที่จำวัดก็หลบเข้าไปในช่องไม่ถูกลมเลย ก่อนที่ท่านจะมาอยู่ในถ้ำนี้ มีแคร่ร้างแสดงว่ามีบุคคลอื่นมาใช้สถานที่นี้ก่อนแล้ว

    สถานที่ท่านใช้เป็นที่เดินจงกรมในตอนบ่ายและพักผ่อนสนทนาธรรมกันตอนเย็นนั้นเป็นบริเวณสันเขาตอนใต้ เป็นทางลาดขึ้นปากถ้ำได้สะดวก ใช้ด้านตะวันออกเป็นที่ลาดเดินจงกรม มีต้นไม้และสันเขาช่วยกำบังแดดในตอนบ่าย


    ตะขาบเจ้ากรรม

    ตอนอยู่ถ้ำภูคานี้แม้จะสนทนาก็ต่างองค์ต่างอยู่ในที่ของตน คราวหนึ่งเสียงของหลวงปู่บุดดาเงียบหายไป หลวงพ่อสงฆ์ผิดสังเกตจึงเดินไปดูก็เห็นหลวงปู่บุดดานั่งหลับตา มีตะขาบตัวใหญ่มากขึ้นไปขดอยู่กลางศีรษะของท่าน หลวงพ่อสงฆ์ต้องเอาผ้าอาบของท่านหย่อนลงให้ตะขาบไต่ขึ้นผ้าแล้วจึงเอาไปปล่อยนอกถ้ำ

    หลวงปู่บุดดาท่านเล่าว่า มันไต่ขึ้นภายในสบงผ่านเอวแล้วผ่านหลังท่านขึ้นไป ท่านจึงต้องกลั้นลมหายใจ ปิดหู ปิดตา จมูก ปากหมด เจ้าตะขาบจึงเข้าไม่ได้ เมื่อหลวงพ่อสงฆ์เอาไปปล่อยปรากฏว่ามันกัดตัวเองจนขาดเป็นท่อน ๆ กองอยู่ที่ปล่อยนั่นเอง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ง.jpg
      ง.jpg
      ขนาดไฟล์:
      95.4 KB
      เปิดดู:
      886
  16. siriphan2009

    siriphan2009 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,237
    ค่าพลัง:
    +17,735
    [​IMG]


    พรรษาที่ ๔ ตัดกิเลสบรรลุธรรม

    เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๘ พอใกล้เข้าพรรษา ท่านทั้งสองได้ไปจำพรรษา ณ วัดป่าหนองคู จ.นครสวรรค์ และพอออกพรรษาก็กลับมาร่วมปฏิบัติธรรม ณ ถ้ำภูคา จ.นครสวรรค์ โดยต่างเร่งความเพียรเจริญสมณธรรม อย่างเต็มที่เกือบจะไม่ได้พักผ่อน และในคืนวันหนึ่งเวลาประมาณระหว่าง ๒๐.๐๐ น. ถึง ๒๓.๐๐ น. ซึ่งเป็นเวลาสนทนาธรรมของทั้งสองท่าน หลวงพ่อสงฆ์ได้ถามหลวงปู่บุดดาว่า

    “...ยังถือวินัยอยู่หรือ”

    หลวงปู่ตอบว่า
    “...ไม่ถือวินัยได้ไง ถ้าเราจะเดินผ่านต้นไม้-ของเขียวก็ต้องระวัง...มันจึงเป็นอุปาทานทำความเนิ่นนานต้องช้ามาถึง ๔ พรรษา”


    หลวงพ่อสงฆ์ว่า “วินัยมันมีสัตว์-มีคนรึ”

    หลวงปู่บุดดาว่า “มีตัวซี ถ้าไม่มีตัวจะถือวินัยได้ยังไง...วินัยก็ผู้ถือนั่นเอง ...เสขิยวัตร ๗๕ เป็นตัวไม่ได้หรอก ...เนื้อหนัง กระดูก ตับไต ไสพุง มันไม่ใช่ตัวถือวินัย...ตัวถือวินัยเป็นธรรมนี่”

    ....เถียงกันไป เถียงกันมาชั่วระยะหนึ่ง... พอปัญญา-บารมีเกิดขึ้นตกลงกันได้ว่า

    “เอ๊ะ ! ไม่มีจริง ๆ เน้อ ...ผู้ถือไม่มี มีแต่ระเบียบของธรรมเท่านั้น ไปถือมั่น-ยึดมั่นไม่ได้นี่”

    พอหยุดความลง ทันใดนั้นเองหลวงพ่อสงฆ์เพ่งมองดูเห็นหลวงปู่บุดดา จู่ ๆ ก็นิ่งเงียบนัยน์ตาลืมค้างอยู่ ไม่กระพริบตา – เบิกตาโพลงอยู่อย่างนั้น – เนิ่นนานอยู่ประมาณสองชั่วโมงกว่าถึง กลับมาพูดได้-ทั้งนี้ก็เพราะว่าหลวงปู่บุดดาได้ใช้ปัญญาตัดกิเลสได้แล้วในขณะที่นั่งลืมตา ซึ่งหลวงปู่บอกว่าถ้าเกิดปัญญาขึ้นในอิริยาบถทั้ง ๔ ซึ่งขณะนั้นถ้าลืมตาตัดก็ต้องลืมตาตัด ถ้านั่งตัดก็ต้องนั่งตัด ถ้ายืนตัด – เดินตัดหรือนอนตัดก็ต้องยืนตัด-เดินตัด หรือนอนตัด ขึ้นอยู่ว่าใครจะตัดกิเลสได้ขณะไหน... อย่างพระอานนท์ตัดได้ตอนเอนกายขณะกำลังจะนอนนั่นเอง...

    สำหรับหลวงปู่บุดดา ขณะมีอายุได้ ๓๒ ปี-พรรษาที่ ๔ ซึ่งถ้ายังใช้กรรมไม่หมดก็ไม่ถึง โลกกุตระ แต่พอใช้หนี้กรรมหมดแล้วก็เป็นอโหสิกรรม ขณะนั่งลืมตาอยู่ก็บรรลุธรรมได้


    หลวงปู่บุดดาบอกว่า

    “ขณะนั้นอวิชาดับหมด รู้สึกสว่างแจ้งขึ้นมาเอง ความไม่มีตัวตนเห็นได้ชัดเจนทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบ ๆ ตัว เป็นปรมัตถธรรม ธรรมทุกอย่างเป็นธรรมชาติส่วนกลาง คงอยู่ในจิตของตนเอง กิเลสหลุดไปเอง แต่ชีวิตยังคงอยู่มีความเป็นปรกติทุกอย่าง ทั้งกายสังขาร-จิตสังขารก็หยุด รูปก็หยุดหมด ไม่มีสัตว์เกิดสัตว์ตาย กิเลสไม่มีในตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ขันธ์ของกิเลสก็ไม่มีในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ...สุดชาติของอาสวะของสังโยชน์ ๑๐ อนุสัย ๗ ออกวันเดียวกันและเวลาเดียวกันนั่นแหละ...”


    หลวงพ่อสงฆ์ท่านนั่งเฝ้าหลวงปู่บุดดาอยู่นานกว่าสามชั่วโมงแล้วจึงออก

    “นิมนต์เถอะครับ...แน่นอนแล้ว”

    พอรุ่งเช้าถึงเวลาออกบิณฑบาต หลวงพ่อสงฆ์บอกว่า

    “โลกกุตระธรรมแล้วขอนิมนต์ให้หลวงปู่บุดดาเดินหน้า”


    แต่หลวงปู่บุดดาว่า

    “หน้าก็หน้าคุณธรรม แต่พรรษาอ่อนกว่าต้องเดินหลังซี !”


    ตกลงหลวงปู่บุดดาคงเดินตามหลังหลวงพ่อสงฆ์เหมือนเดิม

    ต่อมาอีกไม่กี่วันหลวงพ่อสงฆ์ ซึ่งเร่งปรารภความเพียรมาอย่างหนักก็ได้ดวงตาเห็นธรรม ณ ถ้ำภูคาเช่นเดียวกัน ท่านไม่ถือทั้งนามและรูป เพราะการหลงนาม หลงรูป มันก็หลงเกิด หลงตาย ไม่มีสิ้นสุด (ในช่วงบั้นปลายของชีวิตท่านได้มาพักจำพรรษาที่วัดอาวุธวิกสิตาธรรม เขตบางพลัด กทม. ตลอดมา จนถึงแก่มรณภาพ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๙)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • จ.JPG
      จ.JPG
      ขนาดไฟล์:
      95.5 KB
      เปิดดู:
      880
  17. siriphan2009

    siriphan2009 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,237
    ค่าพลัง:
    +17,735

    วันนี้ได้จัดส่งซองกฐินให้แล้วนะครับ ขอบคุณที่ร่วมเป็นสะพานบุญด้วยกันครับ

    ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ สาธุ............
     
  18. siriphan2009

    siriphan2009 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,237
    ค่าพลัง:
    +17,735
    เรามาทำความรู้จักหลวงปู่บุดดากันครับ

    [​IMG]


    เราจะมาทำความรู้จักหลวงปู่กันให้มากกว่านี้ ไปพร้อมๆกัน

    ข้อมูลต่อไปนี้ มาจากหนังสือ ๑ ศตวรรษ หลวงปู่บุดดา ถาวโร ซึ่งได้จัดทำเมื่อครั้งหลวงปู่ยังดำรงค์ธาตุขันต์อยู่ครับ ฉลองอายุ 100 ปี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • a.jpg
      a.jpg
      ขนาดไฟล์:
      326.5 KB
      เปิดดู:
      1,168
  19. siriphan2009

    siriphan2009 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,237
    ค่าพลัง:
    +17,735
    หนังสือเล่มนี้ จัดสร้างเป็นอนุสรณ์ ในวาระเจริญอายุ 100 ปี หลวงปู่บุดดา ถาวโร ในวันที่ 5 มกราคม 2536

    คำนำในการจัดทำหนังสือ

    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • b.jpg
      b.jpg
      ขนาดไฟล์:
      83.3 KB
      เปิดดู:
      70
    • c.jpg
      c.jpg
      ขนาดไฟล์:
      193.5 KB
      เปิดดู:
      1,054
  20. siriphan2009

    siriphan2009 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,237
    ค่าพลัง:
    +17,735
    วัตถุประสงค์ ในการจัดพิมพ์หนังสือ

    [​IMG]


    ซึ่งหนังสือเล่มนี้ ได้แบ่งออกเป็น 8 หมวดหมู่
    ภาคพิเศษ สังฆมุทิตาจิต
    ภาค 1 อาจาริยบูชา
    ภาค 2 ชีวประวัติและปฏิปทา
    ภาค 3 หมวดหลวงปู่สอนศิษย์
    ภาค 4 หมวดธรรมะจากหลวงปู่
    ภาค 5 หมวดสนทนาธรรม
    ภาค 6 หมวดปกิณกธรรม
    ภาค 7 หมวดพระธรรมเทศนา

    พวกเราจะมาค่อยๆทำความรู้จักหลวงปู่ให้มากขึ้น ที่ละหมวดหมู่กันนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • c.1.jpg
      c.1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      194.8 KB
      เปิดดู:
      883
    • d.jpg
      d.jpg
      ขนาดไฟล์:
      119.7 KB
      เปิดดู:
      69

แชร์หน้านี้

Loading...