ร่วมแสดงความศรัทธารับ..อัฐิ ผงอังคาร เกศา พ่อแม่ครูบาอาจารย์((ประกาศผลแล้วครับ))หน้า6

ในห้อง 'แจกฟรี' ตั้งกระทู้โดย jaetechno, 3 มกราคม 2012.

  1. suratept

    suratept เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    867
    ค่าพลัง:
    +1,924
    เรียนคณะกรรมการฯ ขอโพสอีกรอบครับเนื่องจากตัวอักษรเล็กไปหน่อย
    คำสอนของหลวงปู่แหวน สุจิณโณ ที่ข้าพเจ้าประทับใจ และวิธินำไปปฏิบัติ <O:p</O:p

    เมื่อเอ่ยถึงนามพระคุณเจ้า หลวงปู่แหวน สุจิณโณ (ต่อไปขออนุญาตกล่าวถึงว่า “หลวงปู่”) วัดดอยแม่ปั๋ง จังหวัดเชียงใหม่ แม้ผมจะเกิดทันหลวงปู่ แต่ก็ไม่มีวาสนาได้กราบหลวงปู่ขฌะดำรงขันธ์ด้วยหลวงปู่ได้ละสังขารเข้าสู่อนุปาทิเสสนิพานเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2528 ซึ่งในขณะนั้นผมศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่6

    แม้จะไม่เคยได้กราบหลวงปู่ขณะดำรงขันธ์แต่ผมก็ประทับใจในคำสอนของหลวงปู่ทีว่า อดีตก็เป็นทำเมา อนาคตก็เป็นทำเมา จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้อยู่ในปัจจุบัน ละอยู่ในปัจจุบันนี้จึงเป็นพุทโธ เป็นธัมโม ปัจจุบันก็พอแล้ว อดีต และอนาคตไม่ต้องคำนึงถึง เกิด แก่ เจ็บ ตาย วัน คืน เดือน ปี สิ้นไป หมดไป อายุเราก็หมดไป สิ้นไป หมั่นบำเพ็ญจิต บำเพ็ญทาน รักษาศีล ภาวนาต่อไป”

    โดยผมได้พยายามยึดคำสอนของหลวงปู่ดังกล่าวและนำคำสอนดังกล่าวของหลวงปู่มาปฏิบัติกล่าวคือพยายามมีสติอยู่กับปัจจุบัน ให้มีสติอยู่ในทุกอริยาบท ไม่มัวจมปลักอยู่กับอดีต และไม่ฟุ้งซ่านคิดถึงอนาคต เพราะอดีตเป็นสิ่งที่ล่วงมาแล้ว อนาคตเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ผมจึงพยายามที่จะมีสติอยู่กับปัจจุบันขณะ และหมั่นทำทาน รักษาศีล และบำเพ็ญภาวนา ตามคำสอนของหลวงปู่ด้วยมุ่งหวังว่าผมจะสามารถทำพระนิพพานให้แจ้งได้ในสักวันหนึ่ง


    กราบนมัสการพระคุณเจ้า หลวงปู่แหวน สุจิณโณ ด้วยเศียรเกล้า
    นายสุรเทพ ธนะทรัพย์ชูศักดิ์
    (Username :suratept)<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 มกราคม 2012
  2. jaetechno

    jaetechno เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,888
    ค่าพลัง:
    +6,182
    อนุมัติครับ...ใส่ใจแบบนี้มีสิทธิลุ้นมากกว่าคนอื่นนะจะบอกให้ อิอิ
     
  3. peerakan

    peerakan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 เมษายน 2011
    โพสต์:
    336
    ค่าพลัง:
    +94
    คำสอนของครูบาเจ้าบุญปั๋นที่ข้าพเจ้าประทับใจ
    หลวงปู่ครูบาเจ้าบุญปั๋น ก็ได้เมตตาสอนธรรมจากของจริงด้วยองค์ของท่านเองไว้ครั้งหนึ่งกับบรรดาพระภิกษุสามเณรทั้งหลายก่อนมรณภาพไม่กี่เดือนว่า

    สังขารของตุ๊ลุง ณ.บัดนี้ ก็ทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา เราทั้งหลายเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ขอจงอย่าประมาท หมั่นไหว้พระสวดมนต์ พิจารณาตนเองให้ดำรงมั่นอยู่ในศีลธรรม พึงมีสติระลึกนึกรู้อยู่ตลอดเวลา อย่าให้อำนาจของอุปกิเลสฝ่ายต่ำเข้าครอบงำได้ จงควบคุมความโลภ ความโกรธ ความหลงให้จงดี มีใจอันหนักแน่นประดุจดังแผ่นดินที่มั่นคง มีเมตตาอารีต่อเพื่อนมนุษย์ มีจิตใจที่เยือกเย็นประดุจแม่น้ำ และที่สำคัญ จงอย่าประมาทต่อสิกขาบทวินัยของพระพุทธองค์.......”
    สำหรับการนำไปปฏิบัติ
    ก็คือการหมั่นรักษาศีลภาวนา พิจารณาตนเองให้มั่นในอยู่ในศีลธรรมดำเนินชีวิตด้วยความไม่ประมาท ครับ
     
  4. Tamsc14

    Tamsc14 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    223
    ค่าพลัง:
    +204
    ถ้าพี่ขอรับ สักองค์จะได้ไหมน๊า จะอนุมัติหรือป่าวจิตกร อิอิอิ
     
  5. jaetechno

    jaetechno เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,888
    ค่าพลัง:
    +6,182
    แหมมมมมมมมมม.........ผมไมอาจหาญไปสู้บุญบารมีพี่ตั้มได้หรอกครับเสด็จทีนึง..ยังไงก็ขอความเมตตาบ้างนะครับ
     
  6. ช้างป่า

    ช้างป่า เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    511
    ค่าพลัง:
    +16,480
    หัวข้อเรื่อง “คำสอนหลวงปู่..หลวงปู่อว้าน เขมโก..ที่ข้าพเจ้าประทับใจและวิธีนำไปปฏิบัติ”

    คติธรรม "ใครจะใหญ่เกินกรรม" "ผู้ใดก่อกรรม ผู้นั้นย่อมรับผลของกรรมอย่างแน่นอน" (หลวงปู่อว้าน เขมโก วัดป่านาคนิมิตต์ จ.สกลนคร)

    จากคติธรรมสั้นๆง่ายๆ ที่เราได้เคยอ่านเคยพบ เคยเจอเคยเห็น แต่ไม่ค่อยมีใครสนใจใสใจในการปฎิบัติสักเท่าไร บางคนอาจเห็นเป็นเพียงบทความสั้นๆที่อ่านดูแล้วมันเทห์ดี แต่จะมีสักกี่คนที่เข้าใจถึงความหมายของคำข้างต้นได้ละเอียดอย่างแท้จริง

    กรรม คืออะไร ? กรรม คือการกระทำ ไม่ว่าจะ เป็นการแสดงออกทางกายก็เป็นกายกรรม แสดงออกทางวาจาก็เป็นวจีกรรม แสดงออกทางใจก็เป็นมโนกรรม เมื่อแสดงออกไปแล้วไม่ว่าทางใดก็เกิดเป็นกรรม ถ้าแสดงออกไปในทางที่ส่งผลให้ไม่มีความเดือดร้อนเกิดขึ้นเรียกว่ากรรมดี ถ้าแสดงผลไปในทางที่ส่งผลที่ทำให้เราได้รับผลไปในทางที่เดือดร้อนก็เรียกว่า กรรมชั่ว เหตุที่เกิดจากการกระทำไม่ว่าดีหรือชั่วเราผู้กระทำต้องได้รับผลทั้งสิ้น

    ดังนั้นจากคติธรรมที่ว่า "ใครจะใหญ่เกินกรรม" "ผู้ใดก่อกรรม ผู้นั้นย่อมรับผลของกรรมอย่างแน่นอน" ย่อมเป็นอรรถธรรมที่ถูกต้องและแน่นอนอย่างแน่แท้ แม้กระทั้งอรหันต์สาวกยังต้องยอมพ่ายต่อกรรม(เช่น พระโมคลานะ ที่สามารถเหาะเหินเดินอากาศได้ แต่ก็ยอมให้โจรทำร้ายร่างกายจนกระดูกแหลกแหลว จนเป็นที่พอใจแก่โจรที่คิดว่าท่านสิ้นไปแล้ว จึงค่อยประสารกระดูกด้วยสมาบัติ ไปทูลลาพระพุทธเจ้า เป็นต้น)


    ด้วยความเคารพ
     
  7. suratept

    suratept เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    867
    ค่าพลัง:
    +1,924
    ขอบพระคุณท่าน คณะกรรมการทุกๆท่านครับ
     
  8. Yanky1890

    Yanky1890 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 เมษายน 2010
    โพสต์:
    146
    ค่าพลัง:
    +234
    ขอรับ ..พระธาตุชานหมากหลวงปู่ฤาษีลิงดำ 1 รายการ

    กรรมฐานแบบง่ายๆ ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    เริ่มทำสมาธิใช้วิธีง่าย ๆ ไม่ต้องมีพิธีรีตองมาก ใช้ธูปเทียนเท่าที่มีบูชาพระ
    ใช้เครื่องแต่งกายตามที่ท่านแต่งอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องแต่งตัวสีขาว ฯลฯ เป็นต้น เพราะไม่สำคัญที่เครื่องแต่งตัว ความสำคัญจริง ๆ อยู่ที่ใจ ให้คุมอารมณ์ใจให้อยู่ตามที่เรา ต้องการก็ใช้ได้
    อาการนั่ง
    อาการนั่ง ถ้าอยู่ที่บ้านของท่านตามลำพัง ท่านจะนั่งอย่างไรก็ได้ตามสบาย จะนั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบ นั่งห้อยเท้าบนเก้าอี้ หรือ นอน ยืน เดิน ตามแต่ท่านจะสบาย ทั้งนี้หมายถึงหลังจากที่ท่าน บูชาพระแล้ว เสร็จแล้วก็เริ่มกำหนดรู้ลมหายใจเข้า และหายใจออก คำว่า กำหนดรู้ คือหายใจเข้าก็รู้
    หายใจออกก็รู้ ถ้าต้องการให้ดีมาก ก็ให้สังเกตด้วยว่าหายใจเข้ายาวหรือสั้น หายใจออกยาวหรือสั้น ขณะที่รู้ลมหายใจนี้ และเวลานั้นจิตใจไม่คิดถึงเรื่องอื่นๆ เข้าแทรกแซง ก็ถือว่าท่านมีสมาธิแล้ว
    การทรงอารมณ์รู้เฉพาะลมหายใจเข้าออก โดยที่อารมณ์อื่นไม่แทรกแซง คือไม่คิดเรื่องอื่นในเวลา นั้น จะมีเวลามากหรือน้อยก็ตาม ชื่อว่าท่านมีสมาธิแล้ว คือตั้งใจรู้ลมหายใจโดยเฉพาะ ภาวนา
    ตัวเองก็พยายามปฏิบัตินั่งสมาธิอยู่ตลอดเวลา แต่ก็เชื่อว่าบ่อยครั้งก็จะรู้สึกขี้เกียจเหมือนกัน ซึ่งคิดว่าทุกท่านก็คงจะรู้สึกเช่นกันเพราะโดยปกติจะใช้ท่านั่งขัดสมาธิ เพราะว่าการภาวนาในท่านั่งถือเป็นท่ามาตรฐาน ก็เหมือนนักกอล์ฟ นักมวย นักฟุตบอล ฯลฯ เขาก็ต้องมีท่าฝึกมาตรฐาน ที่จะทำให้ได้ผลสำเร็จ แต่หากติดขัดด้วยสรีระไม่เอื้อ ก็ต้องฝึกในรูปแบบอื่น เคยเห็นไหม คนพิการที่เล่นดนตรีด้วยเท้าได้ ถ้าฝึกจนชำนาญมีข้อระวังเพียงว่าท่านอนนั้น นิวรณ์ตัวง่วงเหงาหาวนอน มันจะครอบงำได้ง่าย ซึ่งผู้ที่จะฝึกภาวนาในท่านอน ก็จำต้องหาทางแก้ เช่น ผ่อนอาหาร นอนตะแคง ทำสติให้แข็งแก่งเสมอ ๆ พอรู้ตัวว่าง่วงก็ให้ลืมตา ลูบหน้าลูบตา ขยับเนื้อขยับตัว ฯลฯ แล้วค่อยเริ่มเจริญสติต่อ เป็นต้น
     
  9. sam99

    sam99 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +26
    คำสอนหลวงปู่ทูลขิปปัญโญ

    เหตุให้เกิดทุกข์
    วัฏจักร เป็นสถานที่ท่องเที่ยวพักแรมของจิตวิญญาณไม่มีกาลสมัย เมื่อใด ใจยังมีตัณหาคือ ความอยาก เมื่อนั้นจิตวิญญาณยังต้องการอยู่ในสามภพนี้ตลอด ไป มีทั้งสมหวังและผิดหวังมีทั้งสุขและทุกข์ ทั้งหัวเราะและร้องไห้ปนกันไป ในสามภพนี้เป็นสถานที่พักชั่วคราวเท่านั้น จิตวิญญาณจะไปอยู่แบบถาวรตายตัว ตลอดไปไม่ได้ จะมีการหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามเหตุปัจจัยที่สร้างเอาไว้ จะอยู่ใน ภพนั้นบ้างอยู่ในภพนี้บ้าง แล้วก็ผ่านไปไม่คงที่ จะมีความพอใจยินดีอยากจะอยู่ เป็นหลักฐานตลอดกาลไม่ได้ หรือจะไปที่ไหนอยู่ที่ไหนเอาตามใจชอบก็ไม่ได้ เช่นกัน เหมือนกับบุคคลอยู่ในแพกลางมหาสมุทร จะกำหนดทิศทางให้แก่ตัว เองไม่ได้เลย จะไปตกค้างอยู่ที่ไหนอย่างไรก็จะเป็นไปตามกระแสของลม ฉันใด ผู้จะไปเกิดในภพชาติใดจะมีกรรมเป็นตัวกำหนดให้ไปเกิดในที่นั้น ๆ ผู้ทำกรรมดี เอาไว้ก็จะได้ไปเกิดในภพชาติที่ดี ผู้ทำกรรมที่ไม่ดีเอาไว้ก็จะได้ไปเกิดในภพชาติ ที่ไม่ดี กรรมจะให้ความเป็นธรรมแก่ทุก ๆ คน
    แต่บุคคลไม่ยอมรับผลของกรรมชั่วที่ตัวเองทำเอาไว้ แต่ก็หนีไม่พ้นจะต้องได้รับผลของกรรมชั่วแน่นอน คำว่า กรรมดีและกรรมชั่วนั้นมันเป็นกฎของธรรมชาติ เป็นผลตอบแทนให้แก่เหตุอย่าง ตรงไปตรงมา จะเรียกว่าศาลโลกที่ตัดสินคดีให้แก่มนุษย์ทั้งหลายก็ว่าได้ ผู้ที่ เวียนว่ายเกิดตายอยู่ในภพทั้งสาม จะต้องถูกศาลวัฏจักรตัดสินชี้ขาดให้ทั้งหมด ฉะนั้นจิตวิญญาณที่ชอบเที่ยวเร่ร่อนไปตามวัฏฏะ จะต้องอยู่ในขอบเขตของกฎ แห่งกรรมด้วยกันทั้งนั้น ผู้ที่นับถือในศาสนาอะไร หรือผู้ที่ไม่นับถือศาสนาอะไร จะต้องอยู่ในอำนาจกฎแห่งกรรมด้วยกัน ไม่มีจิตวิญญาณใดอยู่เหนือกรรมนี้ไปได้เลย
    ข้าพเจ้าประเจ้าประทับใจและวิธีนำไปปฎิบัติคือเรื่องการปฎิบัติธรรมในพระพุทธ
    ศาสนาท่านเป็นผู้ที่เน้นย้ำเสมอว่าการปฎิบัติที่ถูกต้องเริ่มจากการมีสัมมาทิฎฐิซึ่งเกิดจากฝึกปัญญาให้ใจเห็นจริงตามกฎไตรลักษณ์การฝึกปัญญานั้นให้ฝึกความเห็นชอบเป็นหลักสำคัญให้ฝึกตัวเองให้เป็นนักสักเกตุฝึกคิดอะไรๆให้เป็นเหตุเป็นผลให้เป็นไปตามหลักความเป็นจริงให้ตรึกตรองบ่อยๆจนหมดความสงสัย
    ผมขอรับอังคารธาตุหลวงปู่ทูลขิปปัญโญ
    ขออนุโมทนากับท่านผู้แจกด้วยครับ
    กัมพล วรสิทธิ์ ZOMPON​
     
  10. Kiattisak01

    Kiattisak01 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    59
    ค่าพลัง:
    +66
    <!--[if gte mso 9]><xml> <w:WordDocument> <w:View>Normal</w:View> <w:Zoom>0</w:Zoom> <w:punctuationKerning/> <w:ValidateAgainstSchemas/> <w:SaveIfXMLInvalid>false</w:SaveIfXMLInvalid> <w:IgnoreMixedContent>false</w:IgnoreMixedContent> <w:AlwaysShowPlaceholderText>false</w:AlwaysShowPlaceholderText> <w:Compatibility> <w:BreakWrappedTables/> <w:SnapToGridInCell/> <w:ApplyBreakingRules/> <w:WrapTextWithPunct/> <w:UseAsianBreakRules/> <w:DontGrowAutofit/> </w:Compatibility> <w:BrowserLevel>MicrosoftInternetExplorer4</w:BrowserLevel> </w:WordDocument> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 9]><xml> <w:LatentStyles DefLockedState="false" LatentStyleCount="156"> </w:LatentStyles> </xml><![endif]--><!--[if gte mso 10]> <style> /* Style Definitions */ table.MsoNormalTable {mso-style-name:"Table Normal"; mso-tstyle-rowband-size:0; mso-tstyle-colband-size:0; mso-style-noshow:yes; mso-style-parent:""; mso-padding-alt:0cm 5.4pt 0cm 5.4pt; mso-para-margin:0cm; mso-para-margin-bottom:.0001pt; mso-pagination:widow-orphan; font-size:10.0pt; font-family:"Times New Roman"; mso-bidi-font-family:"Times New Roman"; mso-ansi-language:#0400; mso-fareast-language:#0400; mso-bidi-language:#0400;} </style> <![endif]--> * เรียนคณะกรรมการฯ ขออนุญาตโพสต์ใหม่อีกครั้งครับ เพื่อปรับปรุงเนื้อหาจากครั้งที่แล้วในบางส่วน ขอบคุณครับ
    ------------------------------------------------------------------------------------------

    คำสอนหลวงพ่อพุธ ฐานิโยที่ข้าพเจ้าประทับใจและวิธีนำไปปฏิบัติ

    พระราชสังวรญาณ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย ท่านเป็นพระสาวกของพระพุทธองค์รูปหนึ่ง ที่ผมศรัทธาท่านเป็นที่สุด ด้วยเพราะท่านดำรงชีวิตแบบพระผู้ประเสริฐ หากผู้ใดได้ศึกษาประวัติท่านจะทราบว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา หลวงพ่อมิเคยหยุดบำเพ็ญประโยชน์ต่อพระศาสนา และสังคม ท่านเป็นองค์บรรยายธรรม และอบรมสมาธิภาวนาให้แก่ศาสนิกชนอย่างสม่ำเสมอ ท่านเป็นผู้ปฏิบัติสำรวมตนในพระธรรมวินัย ซึ่งเป็นแบบอย่างที่ดี แก่ศิษยานุศิษย์มาโดยตลอด ควรแก่การเคารพเทิดทูนกราบไหว้ได้อย่างสนิทใจ สมดังชื่อฉายาของท่าน ฐานิโย ซึ่งมีความหมายว่า ผู้ตั้งมั่นในธรรม

    สำหรับตัวผมนั้นแม้ไม่เคยได้มีโอกาสไปกราบไหว้ท่านถึงที่วัดป่าสาลวัน จ.นครราชสีมา แต่ผมก็เหมือนได้สนทนาธรรมกับท่านโดยตลอด นับแต่มีโอกาสได้ศึกษาธรรมของท่านไม่เข้าใจสิ่งใด ก็หาคำตอบในสิ่งที่ท่านได้เคยให้โอวาทธรรมไว้แล้ว ทั้งหนังสือ ในสื่อธรรมะในรูปแบบต่างๆ ที่ท่านได้สอนไว้ดีแล้ว สมบูรณ์แล้ว ซึ่งเปรียบเสมือนดั่งคำสอนของพระพุทธองค์ที่ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต

    ชื่อเสียงในทางพระอริยสงฆ์ของท่านนั้น ผมรู้จักมานานมากแล้วนับตั้งแต่ผมยังเด็ก แต่ต้องยอมรับว่าผมเองเพิ่งจะรู้จักธรรมโอวาทของท่านเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ผมอาจจะเป็นดังเช่นมนุษย์ในสังคมเมืองทั่วไป เมื่อพอเรามีทุกข์หนัก ประสบปัญหาที่หาทางออกไม่ได้จึงเข้าหาวัดหาธรรมะ และหนังสือธรรมะ ที่ผมเห็นและหยิบมาอ่านในขณะนั้นก็คือหนังสือของท่าน หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

    สิ่งใดที่เรารู้เท่าทัน สิ่งนั้นไม่สามารถที่จะดึงใจของเราไปทรมานให้เกิดทุกข์ขึ้นได้ในความหมายคือ ถ้าจิตสามารถรู้ทันอารมณ์ต่างๆ ที่เราเคยนึกคิดว่ามันวุ่นวาย เมื่อเรายังไม่มีสมาธิ ไม่มีสติปัญญารู้เท่าทันอารมณ์ เราดูอะไร เราได้ยินได้ฟังอะไร ได้สัมผัสอะไรในทางตา หู จมูก กาย ใจ สิ่งที่เกิดขึ้น คือพอใจ ไม่พอใจ นอกจากนี้ จิตยังจะต้องปรุงแต่งต่อไปอีก แล้วก็หาเรื่องไปเรื่อยๆ จนตัวเองต้องเกิดทุกข์วุ่นวายขึ้นมา แต่ถ้าเรามีสมาธิ มีสติปัญญารู้เท่าทัน เราสัมผัสอะไรในทางตา หู จมูก กาย ใจ เรามีสติคอยจ้องดูอยู่ ความรู้ทั้งหลายเหล่านั้นมันจะกลายเป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ เพราะอาศัยความรู้เท่าทันอารมณ์ที่ผ่านเข้ามา สิ่งนั้นไม่สามารถที่จะดึงใจของเราไปทรมาน ให้เกิดทุกข์ขึ้นได้

    นี่คือคำสอนของท่านที่ทำให้ผมประทับใจ คำสอนนี้ได้เปิดประตู ใจ ทำให้ผมได้ สติ กลับมา ผมได้นำมาคำสอนนี้มาพิจารณาไปพร้อมกับใช้สติหา เหตุ แห่งความทุกข์ของผม ด้วยสมาธิค่อยๆคิดค่อยๆแก้ปัญหาไป ปัญหาที่ว่าใหญ่แค่ไหน ถ้า จิตเรารู้เท่าทัน มันก็จะผ่อนคลายลงได้

    โดยวิธีนำไปปฏิบัติ ที่ผมได้นำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวัน คือ ผมพยายามฝึกตนเองให้มีสมาธิมากขึ้น ให้มีสติปัญญารู้เท่าทัน พิจารณาทุกสิ่งทุกอย่างที่มากระทบ ด้วยความตั้งใจ ด้วยความมีสติ ทำสติให้มีกำลังขึ้น ให้สามารถรู้ทันความคิดของเราเอง คิดอะไร คิดด้วยความรู้เท่าทัน ทำให้สิ่งที่เราคิดนั้น ไม่สามารถดึงเอาจิตใจของเราให้ไปเกิดทุกข์ได้ ยกตัวอย่างเหตุการณ์ต่างๆจากประสบการณ์ เช่น เมื่อมีใครมานินทาด่าเรา เรากำหนดรู้ด้วยสติว่า คำด่านั้นเป็นสิ่งเร้า ที่มากระทบใจเราผลคือ ความไม่พอใจ ความโกรธ อยากตอบโต้ แต่สติคอยจ้องดูอยู่ ทำให้เรารู้เท่าทันอารมณ์ที่ผ่านเข้ามา เห็นโทษของมันที่ทำให้เกิดเป็นทุกข์ ทำจิตให้ขุ่นมัว เราก็หยุดมันเสียไม่ให้เกิดขึ้น

    เมื่อกลับเข้ามาบ้านหลังจากโดนน้ำท่วม เราต้องกำหนดรู้ด้วยสติก่อนว่าความหลง ไปยึดติดกับวัตถุ กับทรัพย์สมบัติที่หามาได้ เมื่อเสียไปพังไปย่อมเสียดาย พิจารณาเห็นโทษของมันที่ก่อให้เกิดทุกข์ เตือนสติให้เห็นเหตุผลที่ว่าสิ่งทั้งหลายย่อมไม่เที่ยงเป็นไปตามเหตุและปัจจัย ไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ แต่ถ้าเรามุ่งมั่น เอาเวลามาประกอบสัมมาอาชีวะ ไม่มัวแต่ท้อแท้สิ้นหวัง เพราะเสียดายกับวัตถุที่เสียหายไป เราย่อมหามาทดแทนได้ เมื่อรู้เท่าทันอารมณ์ความทุกข์เศร้าก็จะไม่เกิด หรือทุเลาเบาบางลง

    ในเหตุการณ์เมื่อผมต้องสูญเสียญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรักมากไป ผมพยายามตั้งสติ กำหนดสติเรา ให้รู้ทันอารมณ์ ว่าความรัก การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ก็ทำให้เกิดทุกข์ รักมากย่อมทุกข์มาก เตือนสติไม่ให้เก็บอดีตในการสูญเสียมาเป็นความทุกข์ มองเห็นเหตุผลว่าเพราะสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยง เกิดมา ตั้งอยู่ ดับไป สักวันกายสังขารของเราก็ต้องเป็นดั่งเช่นท่านเหมือนกัน

    หรือในที่ทำงาน เมื่อเห็นเพื่อนร่วมงาน มีโทรศัพท์รุ่นใหม่ เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด เรากำหนดรู้ด้วยสติเท่าทันว่า ความหลงใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่เข้ามากระทบอายตนะภายใน นี่ก็เป็นเหตุแห่งทุกข์ ให้เห็นเหตุผลว่า ถ้าเราได้มาเราจะมีความสุขจริงแท้หรือ ไม่นานเราก็อยากได้ใหม่อีก เป็นอย่างนี้เรื่อยไป หาใช่ความสุขที่แท้จริง ให้มีสติรู้ทันความโลภ อยากได้อยากมี เห็นเหตุผลว่า เมื่อเราพอใจกับสิ่งที่มีไม่อยากได้อยากมีเกินตัวแล้ว เราก็จะไม่เกิดทุกข์ขึ้นในใจ

    วิธีนำไปปฏิบัติดังกล่าวมานี้ ถือเป็นแนวทางในการนำคำสอนของท่านมาปรับใช้ในชีวิตในแบบของผม ตามที่ได้อ่านได้ฟังธรรมโอวาทของท่าน และในปัจจุบันผมมุ่งหวังที่จะพัฒนาในการปฏิบัติธรรมให้เพิ่มมากขึ้น ตามแนวทางที่หลวงพ่อท่านปรารถนาให้ธรรมะของพระพุทธองค์ ได้นำพาพวกเราให้พ้นจากความทุกข์ของชีวิต ได้พบหนทางหลุดพ้นจากวัฏสงสาร เข้าสู่พระนิพพานอันเป็นความสุขแห่งชีวิตที่แท้จริง

    ขออนุโมทนาต่อความศรัทธาและเจตนาในการเผยแพร่ธรรมในพระพุทธศาสนา ผ่านพระอริยสงฆ์ผู้ปฎิบัติดี ปฎิบัติชอบ ของท่านเจ้าของกระทู้และทุกๆท่าน

    พุธะธาตุ ใช้ในความตรัสรู้
    ฐานิยะ เถระอยู่คู่ศาสนา
    พระราชสังวรญาณ ธ ทรงน้อมวันทา
    ญาณหยั่งรู้ว่า สิ้นโลกมา ยังเหลือธรรม
    <input id="gwProxy" type="hidden"><!--Session data--><input onclick="if(typeof(jsCall)=='function'){jsCall();}else{setTimeout('jsCall()',500);}" id="jsProxy" type="hidden">
     
  11. คุณชัชช์

    คุณชัชช์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤษภาคม 2011
    โพสต์:
    833
    ค่าพลัง:
    +725
    ขอรับพระธาตุชานหมากของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน รายการที่ 5
    หัวข้อ “คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤาษี) ที่ข้าพเจ้าประทับใจและวิธีนำไปปฏิบัติ”

    เรื่อง:พิจารณาตน
    ถ้าบุคคลใดไม่สนใจจริยาของบุคคลอื่น ไม่เพ่งเล็งบุคคลอื่น ไม่ยกตนข่มท่าน ไม่มีความประมาท มีจริยาดี มีความสงบ ใคร่ครวญเฉพาะความประพฤติของตัว อย่างนี้ชื่อว่าเข้าถึงสะเก็ดความดีที่ตถาคตสอน แล้วคนใดไม่ทำลายศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงให้คนอื่นทำลายศีล ไม่ยินดีเมื่อบุคคลอื่นทำลายศีล แล้วสามารถระงับนิวรณ์ ๕ ได้ตามต้องการ จิตทรงฌาน มีอารมณ์ทรงพรหมวิหาร ๔ เป็นปกติชื่อว่า เป็นผู้ทรงฌานโลกีย์ อย่างนี้ถือว่าเข้าถึงเปลือกความดีที่พระองค์ทรงสอน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 6 มกราคม 2012
  12. jessica24b

    jessica24b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 สิงหาคม 2008
    โพสต์:
    493
    ค่าพลัง:
    +492
    ขอรับผงอังคารหลวงปู่แหวน สุจิณโน 1 รายการ

    "คนเรามันรักสุข เกลียดทุกข์นี่ หนักก็หนักอยู่ตรงนี้แหละ ไม่รับความจริง"
    เราเกิดมา นินทา สรรเสริญก็ดี อย่าไปรับเอามาหมักไว้ในใจ ปล่อยผ่านไปเสีย
    ความรัก ความชัง ความโลภ ความหลง เกิดขึ้นก็เพราะกิเลสมันเสวนากันอยู่
    จาโค ปฏินิสฺสคฺโค สละคืนถอนออกจากใจนี้เสีย

    หลวงปู่แหวน สุจิณโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อ.พร้าว จ.เชียงใหม่


    ว่าที่ร้อยตรี สาโรจน์ วรรณมโนมัย
    611/123หมู่4 ซ.สุขสวัสดิ์25/2
    ต.บางปะกอก อ.ราษฎร์บูรณะ
    จ.กทม 10140
    <!--IBF.ATTACHMENT_2469-->
     
  13. jaetechno

    jaetechno เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,888
    ค่าพลัง:
    +6,182
    พนักงานบัญชีห์กะทู้นี้หายช่วยทำยอดด้วยครับ ใครลงขออะไรๆเท่าไหร่ สงสัยจะอดค่าจ้าง-*-
     
  14. jaetechno

    jaetechno เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,888
    ค่าพลัง:
    +6,182
    [​IMG]

    สาธุ๊ๆๆๆ ........ท่านมาให้กำลังในการแจกครั้งนี้ 555+
     
  15. jaetechno

    jaetechno เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ตุลาคม 2009
    โพสต์:
    1,888
    ค่าพลัง:
    +6,182
    แจ้ง.......นะครับเราจะเริ่มคัดแยกแล้วเหลือเวลาอีก 1 วันครับ ............หมดเขต วันที่ 7 มค 55 (24 .00) ประกาศผลวันที่ 8 เวลา ........24.00 น
     
  16. apichen

    apichen เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    70
    ค่าพลัง:
    +162
    คำสอนหลวงพ่อพุธ

    “คำสอนหลวงพ่อพุธ ฐานิโย ที่ข้าพเจ้าประทับใจและวิธีนำไปปฏิบัติ”
    ....คำสอนหนึ่งที่ข้าพเจ้าเมื่อได้อ่านแล้ว จากหนังสือธรรมะของหลวงพ่อ คือ เรื่องของความเป็นสากลของการทำสมาธิ สมาธิมีหนึ่งเดียว ทุกศาสนา ทุกสายปฏิบัติ ล้วนไปสู่จุดเดียวกัน ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
    "...ยุบหนอ-พองหนอ สัมมาอรหัง พุทโธ ที่พระท่านเถียงกันอยู่นั่น อย่าไปเชื่อพระ ถ้าตราบใดที่พระยังเถียงกันอยู่ แสดงว่าพระภา่วนาไม่เป็น เพราะสมาธิมีหนึ่งเดียว..."
    ...หลวงพ่อท่านได้พิสูจน์เรื่องความเป็นสากลของสมาธิด้วยการให้เด็กศาสนาต่างๆ มาทำสมาธิด้วยการใช้คำบริกรรมในทางศาสนาของตนเอง เช่น พุทโธ เยซู อัลเลาะห์ แต่ก็เข้าถึงความสงบ นิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน มีปีติ มีความสุขอย่างเดียวกัน
    ...การนำคำสอนของหลวงพ่อพุธในเรื่องนี้ไปปฏิบัตินั้น ข้าพเจ้าสามารถนำไปบอกต่อให้เพื่อนๆ ในที่ทำงานได้ เพราะไม่ว่าเขาจะศาสนาใดก็ตาม เพราะต่างคนต่างก็มีกายกับใจเหมือนกัน ต่างกันที่ศรัทธาเท่านั้น การทำสมาธิไม่ได้จำกัดเฉพาะที่พระพุทธศาสนาเพียงศาสนาเดียว ถ้าทุกคน ทุกศาสนา ต่างทำสมาธิแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือสันติภาพ เริ่มต้นที่สันติภาพในใจของแต่ละคน และในที่สุดก็ขยายไปในสังคม และนานานชาติ ด้วยการทำสมาธินี้เองที่จะทำให้โลกของเรามีสันติภาพและสันติสุขได้
    ...เริ่มต้นที่ตัวข้าพเจ้าเอง คือ การสร้างสันติภาพในใจตนด้วยการทำสมาธิโดยการบริกรรม "พุทโธ" นี้เอง
     
  17. ichosun

    ichosun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 ธันวาคม 2011
    โพสต์:
    90
    ค่าพลัง:
    +31
    คำสอนหลวงปู่คำตา ทีปังกโร ที่ข้าพเจ้าประทับใจและวิธีนำไปปฏิบัติ (8)

    เพิ่งผ่านวัยเรียนมาได้ไม่ถึง 1 ปี ก่อนเคยคิดว่าชีวิตยืนยาว ไขว่คว้าหาความสุขให้เต็มที่แล้วจึงค่อยทำงานทีหลัง แต่พอเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ปัญญาที่ซุกซ่อนอยู่เริ่มเบิกทางสว่างไสว ชีวิตต่อไปข้างหน้าจะยาวแค่ไหนหรือจบลงเมื่อไร ไม่มีใครหยั่งรู้ จึงเริ่มหันหน้าเข้าวัด ศรัทธาในทางธรรมชนิดพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ

    แต่หลวงปู่คำตา ทีปังกโร วัดภูคันจ้อง สอนไว้ว่า “เราต้องสร้างเราให้เป็นพระ เมื่อฝึกใจของเราให้เป็นพระโดยสมบูรณ์แล้ว เราก็ไม่ต้องไปเข้าวัดหาพระภายนอกอีกต่อไป ” จึงเกิดศรัทธาว่า ไฉนเลยจึงไม่คิดบวชภิกษุครองผ้ากาสาวพัสตร์ทันทีที่มีโอกาส ชีวิตของผมเคยผ่านการบวชสามเณรภาคฤดูร้อนด้วยวัย 13 ปี ที่วัดบ่อล้อ อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรีธรรมราช วันนั้นผมบวชด้วยวัยยังละอ่อน นับจนถึงวันนี้เกือบ 10 ปีผ่านมา แผนที่เคยคิดจะแต่งงานมีครอบครัวก็ชะงักไว้ก่อน เพราะหลวงปู่คำตากล่าวไว้ว่า “ถ้าเราแต่งงานใหม่ ต้องทำบาปเพราะหาเลี้ยงชีวิต เพราะความยึดมั่นในตัวภรรยาว่าเป็นของเรา แล้วเกิดความหึงหวง ในจิตมีแต่ทุกข์ มีแต่ความอาลัยอาวรณ์ เวลาไม่สบายก็เป็นทุกข์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย พอมีลูกยิ่งต้องทำบาปกรรมหนักขึ้นไปอีก”

    ทุกวันนี้ผมทำงานอยู่ตัวคนเดียว ไม่มีคู่ครอง ยังไม่บ่วงพันธนาการ รู้สึกได้ว่าลดความยึดมั่นในกายเนื้อลงไปได้เยอะ ลดอารมณ์โลภ-โกรธ-หลง เข้าวัดทำบุญได้อย่างเต็มที่ สวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน

    ลด-ละ-เลิก อบายมุขและบาปกรรมต่างๆได้เต็มเปี่ยม เพราะมีจิตที่มุ่งบำเพ็ญกุศล จิตที่ไม่ประมาทในเวลา รวมถึงจิตที่ไม่ยึดมั่นมากจนลืมเนื้อลืมตัว หลวงปู่คำตาบอกว่า หลงทำกรรมชั่วลามกนำมาซึ่งความตกต่ำ ควรเร่งทำความเพียรเพื่อออกจากทุกข์ ละความยึดมั่นในสิ่งทั้งหลายดีกว่า

    ไม่ว่าขณะนี้กำลังทำกิจทางโลกอันใด แต่ลมหายใจแห่งทางธรรมยังคงมุ่งถวายแด่พระรัตนตรัยเป็นสรณะสูงสุด

    พุทธัง ชีวิตังเม ปูเชมิ ธัมมัง ชีวิตังเม ปูเชมิ สังฆัง ชีวิตังเม ปูเชมิ
     
  18. fon-dekwat

    fon-dekwat เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    823
    ค่าพลัง:
    +1,285
    อยากได้ๆๆๆๆๆๆ555+
     
  19. remember_me

    remember_me Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 มีนาคม 2011
    โพสต์:
    320
    ค่าพลัง:
    +53
    “คำสอน หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ ที่ข้าพเจ้าประทับใจ ขยายความ แล้วน้อมนำไปปฏิบัติ

    อดีตก็เป็นทำเมา อนาคตก็เป็นทำเมา จิตดิ่งอยู่ในปัจจุบัน รู้อยู่ในปัจจุบัน ละอยู่ในปัจจุบันนี้จึงเป็นพุทโธ เป็นธัมโม ปัจจุบันก็พอแล้ว อดีต และอนาคตไม่ต้องคำนึงถึง เกิด แก่ เจ็บ ตาย วัน คืน เดือน ปี สิ้นไป หมดไป อายุเราก็หมดไป สิ้นไป หมั่นบำเพ็ญจิต บำเพ็ญทาน รักษาศีล ภาวนาต่อไป
    จากคำสอนของหลวงปู่นั้น กล่าวได้ว่ามิใช้แต่สุรายาเมาเท่านั้นที่จะทำให้ชีวิตของเราั้นั้นอยู่ในสภาวะมึนเมาได้ ทุกอย่างที่อยู่รอบตัวเราทั้งที่เราว่าดีนั้น หรือทั้งที่เราว่าไม่ดีนั้น ทุกสิ่งอย่างสามารถทำให้เรามึนเมาได้อย่างกับที่เราดื่มสุรายาเมาทีเดียว อดีตก้อดีอนาคตก้อดี ทั้งที่อยากจำ อยากลืม อยากได้ อยากให้เป็น ความอยากที่ไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนน้ำที่เติมลงแก้วอยู่ตลอด แม้จะเป็นน้ำเปล่าเมื่อเราดื่มก็ทำให้เมาได้ แต่เมื่อเราอยู่กับปัจจุบัน สติ ปัจจุบัน สติ ถึงแม้ น้ำจะเติมแก้วอยู่ตลอด หรือจะมีหลายแก้ว หรือจะเป็นน้ำเมา ปัจจุบัน สติ ใจที่เป็นพุธ จะช่วยเรามิให้เราหยิบมันขึ้นมาดื่ม ถึงจะมีร้อยแก้วพันแก้วที่วางอยู่ หากเราไม่หยิบขึ้นมาดื่มก็ไม่มีผลกับตัวเรา แต่อย่างไรถึงแม้เราจะหยิบขึ้นมาดื่มบ้าง หลงดื่มบ้างแต่ปัจจุบัน สติ ก้อจะทำให้เรารู้ว่าควรหยุด และวางแก้ว ก่อนที่เราจะเมา และไม่สามารถหยุดหรือห้ามผลร้ายที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นจงเลิกเมาเลิกหลง ไม่ว่าอดีต อนาคต ดีร้ายอย่างไร ร้ายๆก้อลืมมันไปผ่านมาได้ก็ดีแล้ว ดีก็จำมันไว้เป็นกำลังใจ แต่อย่าไปหลงกับมันมาก ดึงจิตของเราอย่าไปดื่มมัน มิสำคัญเท่าปัจจุบันที่เราเป็นและทำอยู่ ดึงจิตมาอยู่กับปัจจุบัน เรียนรู้ตัวเอง ดูแลจิตใจของตัวเอง เช็ดบ้าง ขัดบ้าง อะไรที่ไม่ดีก้อดึง ถอนมันทิ้งเอาให้เหมือนทำความสะอาดหน้าบ้านตัวเอง ดูแลจิตให้สวยงาม สร้างบุญ สร้างทาน มีเมตตาจิต ถือศีล ภาวนา ไม่มีอะไรดีเท่านี้แล้ว
     
  20. vi21

    vi21 สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    13
    ค่าพลัง:
    +1
    ขอรับพระธาตุชานหมากของหลวงพ่อพระราชพรหมยาน รายการที่ 5
    หัวข้อ “คำสอนหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (ฤาษี) ที่ข้าพเจ้าประทับใจและวิธีนำไปปฏิบัติ”
    คำสอนการปกิบัติเกี่ยวกับแนวทางการทำมโนมยิทธิ ขอออกตัวก่อนนะครับว่ายังไม่มีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ แต่ก็ได้นำไปปฏิบัติพอสมควรบ้างแล้วตามหลักคำสอนของพ่อแม่ครูบาอาจารย์ หลวงพ่อได้แนะแนวทางสำหรับผู้มาใหม่โดยเริ่มว่าการปฏิบัติทุกอย่างอยู่ที่ตัวของเราเอง เริ่มจากตัวเราก่อนดูที่ตัวเราก่อนไม่ต้องสนใจกับสิ่งรอบข้าง ดูที่ตัวของเราจนเห็นได้หมดทุกอย่างรู้ตัวรู้ใจของเราได้หมดทุกอย่างอย่างที่เป็นกลาง เป็นการฝึกจิตใตของตัวเราให้มีกำลังพอที่จะใช้งาน หรือการฝึกสมาธิจนให้จิตให้ใจให้แน่วแน่นั้นเอง ฝึกบ่อยๆฝึกจนชำนาญ(สามารถรู้ได้ด้วยตัวเราเอง)อันนี้เพียงขั้นเริ่มต้นหลังจากนั้นก็ฝึกกสินสิบจนชำนาญ(ขั้นตอนนี้ต้องมีพ่อแม่ครูอาจารย์ให้คำแนะนำ)แล้วถึงเริ่มการฝึกมโนมยิทธิขั้นเริ่มต้น(หลักคือการใช้อารมณ์เกี่ยวใจขึ้นมา)ภายใต้การดูแลของครูบาอาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถจริงๆ สรุปทั้งหมดที่ฟังมาแล้วเขียนบรรยายย่อๆครับ การปฏิบัติจริงๆเยอะมากครับ ส่วนตัวผมเองยังได้แค่ฝึกรู้จิตรู้ใจให้แน่วแน่ยังไม่ไปถึงไหนเลยครับ ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...