รู้ทันวิบากกรรม (มีหลายตอน)

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย pimmarka, 22 พฤศจิกายน 2011.

  1. pimmarka

    pimmarka สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +12
    รู้ทันวิบากกรรม ตอน โรคเกี่ยวกับตาและการเห็น โรคภัยไข้เจ็บ

    โรคเกี่ยวกับตาและการเห็น ประกอบด้วย ตาบอด ต้อหิน ต้อกระจก ต้อลม ตาเข ตาเอียง สายตาสั้น ยาว สายตาเอียง ตาบอดสี จอประสาทตาเสื่อม ไอจนเส้นเลือดฝอยในตาแตก ท่อน้ำตาอุดตัน หยอดยาตลอดชีวิต ตากุ้งยิงบ่อยๆ คันลูกนัยน์ตาบ่อยๆ ลูกตาโตไม่เท่ากัน ไฝดำที่ดวงตา เป็นฝีใต้ดวงตา มีปานใต้ตา หนังตาตก มีตาชั้นเดียวคล้ายคนง่วง และตาค้างกลับ


    ตาบอด
    ๑. อดีตชาติ ชกคนจนตาบอด
    ๒. อดีตชาติ ขังทหารเชลยในคุกมืด
    ๓. อดีตชาติ เอาปลายร่มแทงตาเมียน้อยจนบอด
    ๔. อดีตชาติ เอายาพิษหยอดตาคนอื่น
    ๕. อดีตชาติ ขังสัตว์ไว้ในที่มืด
    ๖. อดีตชาติ เอาไม้ทิ่มถูกตาสุนัข
    ๗. อดีตชาติ หยิบยาผิดไปหยอดตาแม่เฒ่า
    ๘. อดีตชาติ เอาสูตรยาผิดมารักษาตาพ่อโดยไม่เจตนา
    ๙. อดีตชาติ หยิบยาผิดมาหยอดตาให้ป้า

    ต้อหิน ต้อกระจก ต้อลม
    ๑. อดีตชาติ เอาทรายปาใส่หน้าเพื่อนจนเข้าตา
    ๒. อดีตชาติขังนักโทษไว้ในคุกมืด
    ๓. อดีตชาติ มองดูคนอื่นด้วยความปรารถนาไม่ดี ทำตาดุ
    ๔. อดีตชาติ มองสัตว์ด้วยจิตคิดร้าย
    ๕. อดีตชาติ ซ่อนไพ่หลอกพวกนักพนัน

    ตาเข ตาเอียง
    ๑. อดีตชาติ ดูถูก ดูแคลน มองคนด้วยหางตา
    ๒. อดีตชาติ ชอบค้อนใส่พ่อแม่เวลาที่ท่านสอน
    สายตาสั้น ยาว สายตาเอียง
    ๑. อดีตชาติ ล้อเลียน เพื่อนที่ใส่แว่นตาหนา
    ๒. อดีตชาติ น้อยใจทำตาค้อน มองเอียงจ้องด้วยความขัดเคือง

    ตาบอดสี
    ๑. อดีตชาติ โกหกย้อมแมวขาย

    จอประสาทตาเสื่อม
    ๑. อดีตชาติผลักเด็กตกบันไดจนจอประสาทตาเสื่อม
    ๒. อดีตชาติ ขังนักโทษ
    ๓. อดีตชาติ จับปลามาขังในตุ่มที่ปิดฝา

    ไอจนเส้นเลือดฝอยในตาแตก
    ๑ .อดีตชาติ ใช้คำหยาบพูดกับข้าศึก

    ท่อน้ำตาอุดตัน
    ๑.อดีตชาติ พูดให้คนที่มาขอความช่วยเหลือเสียใจ

    หยอดยาตลอดชีวิต
    ๑. อดีตชาติ อดีตชาติขังปลาไว้ในที่มืด

    ตากุ้งยิงบ่อยๆ
    ๑. อดีตชาติ แอบดูสาวๆอาบน้ำ
    ๒. อดีตชาติ ชอบมองจับผิดคนอื่น
    ๓. อดีตชาติ เล็งธนูล่าสัตว์

    คันลูกนัยน์ตาบ่อยๆ
    ๑. อดีตชาติจ้องตาผู้ใหญ่เวลาสั่งสอนด้วยความขัดเคือง

    ลูกตาโตไม่เท่ากัน
    ๑.อดีตชาติ ทำตาค้อนมองคนด้วนความหมั่นไส้


    ไฝดำที่ดวงตา
    ๑.อดีตชาติ มองดูจับผิดผู้อื่น

    เป็นฝีใต้ดวงตา
    ๑ . อดีตชาติ มองคนอื่นด้วยจิตริษยา


    มีปานใต้ตา
    ๑. อดีตชาติ เอาโคลนปาประตูบ้านคนอื่นอย่างต่อเนื่อง


    มีตาชั้นเดียวคล้ายคนง่วง
    ๑.อดีตชาติ ล้อเลียนเพื่อนที่มีตาชั้นเดียว

    เกี่ยวตาค้างกลับ
    ๑.อดีตชาติ บังคับให้แฟนทำแท้ง


    สรุปกรรมที่ทำให้เป็นโรคเกี่ยวกับตาและการเห็น
    ๑. ทำร้ายสัตว์ที่ตา
    ๒. ทรมารขังคนสัตว์ในที่มืดนาน รังแก ทำร้าย ทุบตีคน สัตว์ที่หัว
    ๓. ใช้ตาทำบาปอกุศล แอบดูสาวอาบน้ำ
    ๔. พูดล้อเลียน พูดคนหยาบ พูดเท็จ พูดให้เสียใจ


    เหตุที่รูปงาม ประกอบด้วย หล่อ สวย หน้าตาดี ผิวพรรณดี สมบูรณ์ด้วยรูปสมบัติ เป็นนางงามระดับชาติ มีผมสลวย เสียงไพเราะ


    หล่อ สวย หน้าตาดี ผิวพรรณดี
    ๑.อดีตชาติ ทำทาน และอธิษฐานขอให้สวย
    ๒.อดีตชาติ ถวายผ้าไตรจีวร บริจาคเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่มให้คนยากจน
    ๓.อดีตชาติ ทำความสะอาด ปัดกวาดลานพระเจดีย์
    ๔.อดีตชาติ รักษาศีล
    ๕.อดีตชาติ ทำจิตให้ผ่องใส คิดแต่เรื่องดี ๆ

    สมบูรณ์ด้วยรูปสมบัติ
    ๑.อดีตชาติ สร้างวัดวาอารามทั่วราชอาณาจักร

    ๓.เป็นนางงามระดับชาติ,รองนางสาวไทย
    ๑.อดีตชาติ ทำบุญใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า
    ๒.อดีตชาติ ทำบุญด้วยของสวยงาม เช่น ดอกไม้บูชาพระรัตนตรัย อธิษฐานขอให้สวย


    มีผมสลวย นุ่มหอม
    ๑.อดีตชาติ ทำความสะอาดพระพุทธรูปที่เปื้อนโคลน
    เสียงไพเราะ

    ๑.อดีตชาติ บุญแสดงธรรมสอนญาติโยม
    ๒.อดีตชาติ ใช้เสียงชวนคนทำความดี
    ๓.อดีตชาติ เคยเกิดเป็นนักร้อง และคนธรรพ์


    ตาสวย
    ๑.อดีตชาติถวายเทียน และโคมประทีป
    ๒.มองพระภิกษุสงฆ์และพระพระพุทธรูปด้วยความเลื่อมใส
    ๓.มองคนทำบุญด้วยความเลื่อมใสและอนุโมทนาในบุญ
    ๔.มองทุกสิ่ง คน สัตว์ สิ่งของด้วยความเข้าใจและเมตตา

    รูปงาม ประกอบด้วย หล่อ สวย หน้าตาดี ผิวพรรณดี สมบูรณ์ด้วยรูปสมบัติ เป็นนางงามระดับชาติ มีผมสลวย เสียงไพเราะ

    สรุปกรรมที่ทำให้รูปงาม
    ๑. รักษาศีล
    ๒. ทำทานด้วยผ้าไตรจีวร เครื่องนุ่งห่ม
    ๓. บูชาพระรัตนตรัยด้วยดอกไม้ของหอม
    ๔. ทำความสะอาดพระพุทธรูปและเสนาสนะในเขตสงฆ์
    ๕. เสียงไพเราะ เพราะบุญแสดงธรรมและชักชวนคนทำความดี
    ๖. ตาสวย ถวายเทียน และโคมประทีป มองพระพุทธรูปและภิกษุสงฆ์ด้วยความเลื่อมใส


    สรุปคนที่มีวิบากกรรม โรคเกี่ยวกับตาและการเห็น ประกอบด้วย ตาบอด ต้อหิน ต้อกระจก ต้อลม ตาเข ตาเอียง สายตาสั้น ยาว สายตาเอียง ตาบอดสี จอประสาทตาเสื่อม ไอจนเส้นเลือดฝอยในตาแตก ท่อน้ำตาอุดตัน หยอดยาตลอดชีวิต ตากุ้งยิงบ่อยๆ คันลูกนัยน์ตาบ่อยๆ ลูกตาโตไม่เท่ากัน ไฝดำที่ดวงตา เป็นฝีใต้ดวงตา มีปานใต้ตา หนังตาตก มีตาชั้นเดียวคล้ายคนง่วง และตาค้างกลับ

    ต้องทำบุญดังนี้

    ๑ รักษาศีล ไม่ฆ่าสัตว์ ทำร้ายสัตว์ที่ตา
    ๒. ทำบุญถวายโคมประทีป เวียนเทียนในวันสำคัญ
    ๓. ถวายยารักษาโรคพระภิกษุและจุดประทีปบูชาพระรัตนตรัย
    ๔. ทำบุญแว่นตาให้กับคนมีปัญหาโรคตา
    ๕. มองคนอื่นด้วยความเมตตา ยินดี ไม่อิจฉา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2011
  2. pimmarka

    pimmarka สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +12
    สงครามชีวิต ศึกชิงภพ

    สงครามชีวิต ศึกชิงภพ
    สงครามชีวิต คือ สงครามภายใน เป็นสงครามที่ต้องสู้กันตลอดชีวิตเป็นสงครามที่สู้รบกันระหว่างธรรมกับอธรรม คือกิเลสภายในจิตใจของคนเป็นสงครามที่ผลัดกันแพ้ ผลัดกันชนะ หลายภพ หลายชาติ จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งธรรม คือ บรรลุนิพพาน ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก แต่กว่าที่ไปถึงจุดนั้นต้องผ่านศึกชิงภพ มากมาย

    ดังเช่น การที่ดวงจิตดับจากภพหนึ่งลงและจุติเกิดอีกภพหนึ่ง ยอมเป็นไปตามอำนาจกรรม เช่นกัน
    กรรมจะเป็นตัวกำหนด ว่าต่อไปจิตจะรองรับด้วยรูป ด้วยร่าง อย่างไหน ทรัพย์ ยศ โคตร ตระกูล ช่วยอะไรไม่ได้เลย ถ้าจิตดวงนั้นทำกรรมดี ย่อมได้ผลดี ไปตามสมควรแก่กรรมที่ทำไว้ ไม่มีใครบันดาลไม่มีใครกำหนด เหนืออำนาจกรรมไปได้ กรรมเป็นสิ่งที่มีพลังสูงสุด ที่จะทำหน้าที่ของมันอย่างยุติธรรม เที่ยงตรง ไม่โองเอียง ไม่กินสินจ้างรางวัลใครให้ผลไปตามกาล ตามหน้าที่ เหมือนพระอาทิตย์ที่ทำหน้าที่ของมัน

    หากท่านกำลังเสวยวิบากกรรมอยู่ด้วยความทุกข์ ขอจงอดทน อย่าท้อแท้ เสียกำลังใจ เมื่อวิบากกรรมเก่าหมดไป วิบากกรรมใหม่ไม่ได้สร้าง ความทุกข์ก็สิ้นไป ก็จะได้เสวยกรรมดีที่เราได้สร้างไว้ การเดินทางในสังสารวัฏ คือ การเวียนว่ายตายเกิดนั้นยาวนานเหลือเกิน เกินคาดเดา
    ทุกคนจึงควรไม่ประมาท ควรสะสมบุญทุกบุญ ไว้เป็นเสบียง คนที่จะเริ่มสะสมบุญได้ ก็ต้องมีศรัทธา เชื่อกรรมผลของกรรม เชื่อพระปัญญาการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธพุทธเจ้า ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า ศรัทธาย่อมรวบรวมไว้ซึ่งเสบียงคือบุญกุศล ในการเดินทางธรรมดานั้น คนมีเสบียงย่อมมีความมั่นใจและสะดวกสบายกว่าคนไม่เสบียงฉันใด การเดินทางในสังสารวัฏก็เช่นเดียวกับคนที่ มีบุญกุศลคอยอุ้มชูอยู่เสมอ ย่อมมีความสุขกว่าคนไม่มีบุญ
    เมื่อเรารู้ว่าการเดินทางในสังสารวัฎการเวียนว่ายตายเกินนั้นเป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเกินคาดเดา ถ้ารู้ว่าถ้าเราทำดีก็จะไปสู่ภพภูมิที่ดี มีความสุข เทวภูมิ มนุษย์ภูมิ ถ้าเราทำชั่วก็จะสู้ภพภูมิที่ไม่ดี มีความทุกข์ อบายภูมิไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากเราจะเป็นผู้ออกแบบชีวิตเราเอง ว่าจะไปสู่ภพ ภูมิอย่างไร และนี้ก็คือศึกชิงภพนั้นเอง

    <O:p</O:p
    ขอบคุณที่แวะมาอ่าน อนุโมทนา สาธุ
    ขอให้ท่านมีชัยชนะในศึกชิงภพทุกเมื่อเถิด:cool:<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2011
  3. pimmarka

    pimmarka สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +12
    การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง

    "จะมีภาระกิจใดเล่าประเสริญกว่าการเผยแผ่ธรรม<O:p</O:p
    เพราะเป็นการให้ดวงปัญญาจักษุแก่มนุษย์<O:p</O:p
    ผู้ที่ได้ปัญญาแล้ว ชื่อว่าได้ทุกสิ่งทุกอย่าง<O:p</O:p
    ทั้งมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และนิพพานสมบัติ <O:p</O:p
    อันเป็นธรรมเครื่องระงับทุกข์ทั้งปวง<O:p</O:p
    ที่ติดตามมนุษย์มาตลอดสังสารวัฏอันยาวนาน"


    สัพพทาทัง ธัมมทานัง ชินาติ<O:p</O:p
    การให้ธรรมเป็นทาน ชนะการให้ทั้งปวง


    พระธรรมแม้จะอยู่ในโลกเป็นเวลานาน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศธรรมมาเป็นเวลาเกือบ ๒๖๐๐ ปีแล้ว ก็ยังเป็นของใหม่สำหรับชาวโลกอยู่เสมอ เพราะชาวโลกส่วนใหญ่มิคุ้นเคยกับธรรม มิได้สนใจธรรมเหมือนดินแดนที่อยู่ทางขั้วโลกเหนือ แม้จะมีมาพร้อม ๆ กับดินแดนส่วนอื่น ๆ ของโลก แต่ก็เป็นของแปลกสำหรับคนส่วนใหญ่ เพราะคนไม่ค่อยได้ไป เฉกเช่นเดียวกัน ธรรมที่ชาววัดเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพราะได้ยินได้ฟังจนคุ้นหู้แล้วนั้น กับเป็นของใหม่ของคนทั่วไป เขาไม่ค่อยมีเวลาสำหรับพระธรรม

    <O:p</O:p</O:p
    การยุ่งด้วยการประกอบอาชีพการงาน หรือ ก็ความไม่รู้ เป็นกำแพงขว้างกั้นคนทั้งหลายให้ขังตัวเองอยู่ในโลกของอวิชชา ในป่าแห่งความเขลา อันเต็มไปด้วยขวากหนาม อันแหลมคม คอยทิ่มแทงอยู่ทุกวันแล้ววันเล่า เหมือนกับคนตาบอดที่มองไม่เห็นทั้ง ๆ ที่มีแสงสว่างอยู่ แต่ความมืดมิดก็มีแต่สำหรับเขาฉันใด ฉันนั้น คนใจบอดก็เหมือนกันกับมองไม่เห็น บาป บุญ คุณ โทษ ประโยชน์มิใช่ประโยชน์ แม้จะมีธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอันเป็นแสงสว่างอยู่ แต่คนใจบอดก็หามองเห็นไม่ ยังคงอยู่ในความมืดนั้นเอง ธรรมะคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะช่วยให้หายใจบอด พบความสว่างทางใจและวิถีชีวิต แต่บุคคลนั้นต้องร่วมมือด้วย เปิดใจ ศึกษา รับฟัง ทดลอง ค้นหา แล้วบุคคลนั้นจงค้นพบด้วยตัวของตัวเอง ว่าธรรมเป็นเช่นใด

    <O:p</O:p
    การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง เพราะสามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้<O:p</O:p
    ผู้เป็นใหญ่ในโลกทั้งปวงก็คือธรรม บุคคลจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่อยู่ได้ก็เพราะธรรม บุคคลผู้เป็นใหญ่ จะยิ่งใหญ่อยู่ได้ก็ดำรงตนอยู่ในธรรม อยู่ในร่มเงาของธรรม ทำหน้าที่เป็นตัวแทน หรือ เครื่องมือแห่งธรรม ให้งานทุกอย่างเดินในทางธรรม บุคคลที่ยอมมอบตนให้แก่ธรรม ให้ธรรมเป็นผู้นำทางแล้ว ชีวิตเขาย่อมไม่เสื่อม มีแต่ความเจริญ
    <O:p</O:p</O:p


    ขอบคุณที่แวะมาอ่าน ขอให้ท่านจงเจริญในธรรมก้าวหน้าอยู่เสมอ สาธุ :cool:<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2011
  4. แจ๊กซ์69

    แจ๊กซ์69 ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    3,142
    ค่าพลัง:
    +1,960
    พี่น่าจะรวมทุกบทความไว้ในกระทู้เดียว:cool:
     
  5. ็HEAVEN CEMETERY

    ็HEAVEN CEMETERY Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    123
    ค่าพลัง:
    +26
  6. pimmarka

    pimmarka สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +12
    จ้า ต่อไปจะร่วมกันไว้ ขอบคุณค่ะ มือใหม่หัดเขียน :cool:
     
  7. loguttara

    loguttara Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 สิงหาคม 2011
    โพสต์:
    121
    ค่าพลัง:
    +39
    จุติ = ตาย
    ปฏิสนธิ = เกิด
     
  8. pimmarka

    pimmarka สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +12
    จุติ ปฏิสนธิ

    พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน

    จุติ ความหมาย ก. เคลื่อน,เปลี่ยนสภาพจากกำเนิดหนึ่งไปเป็นอีกกำเนิดหนึ่ง, มักใช้แก่เทวดา
    (ป.; ส. จฺยุติ).

    ปฏิสนธิ ความหมาย ก. เกิดในท้อง, ถือกําเนิด.
    (ป. ปฏิสนฺธิ).

    พจนานุกรม ไทย-ไทย อ.เปลื้อง ณ นคร

    จุติ ความหมาย ก. เคลื่อน, ตาย
    โดยมากใช้สำหรับเทวดาและเป็นอาการของจิตดับเมื่อคราวตาย
    (มค. จุต; สก. จฺยุติ)

    ปฏิสนธิ ความหมาย ก. สืบต่อชาติ, เกิดขึ้นในภพใหม่, ต่อเนื่อง
    (มค. ปฏิสนฺธิ)

    ขอบคุณที่บอกมาจ้า บางทีก็เข้าใจความหมายผิด
    ภาษาไทยมีมากหลาย ดิ้นได้จริง ๆ ค้นมาฝาก ผิดเป็นครู เรียนรู้แก้ใหม่ :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2011
  9. ลุงไชย

    ลุงไชย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    5 มิถุนายน 2011
    โพสต์:
    645
    ค่าพลัง:
    +2,436
    ยกข้อธรรมของพระพุทธองค์มาอ้างได้ชอบแล้ว สาธุชนพึงสดับ เพื่อจะได้ทราบเรื่องของบาปกรรมได้อย่างถูกต้อง...อนุโมทนาครับ
     
  10. pimmarka

    pimmarka สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +12
    เหตุเกิดรู้ทันกรรม

    วันหนึ่งเล่นเว็บบอร์ดอ่านธรรมะไปเรื่อย ๆ ก็บังเอิญไปพบกระทู้ท่านหนึ่งเขียนบอกว่าเป็นโรคแพ้ยุง ใจหนึ่งอยากจะตอบไปว่าให้ทำอย่างไร เผื่อจะเป็นโรคกรรมเพราะยุงรักษาไม่หาย อันนี้ไม่ทราบได้ แต่กลัวว่าจะก้าวล่วงไปในกรรมของท่าน และอาจทำให้เจ้ากรรมของท่านโกรธและมาเล่นงานเรา จะมีหรือไม่มีจริงเราไม่รู้ แต่ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ จึงเขียนเรื่องรู้ทันกรรม ตอน ภูมแพ้ แพ้ยุง แพ้ละอองเกสร เรื่องที่เขียนมาจากเค้าโครงในหนังสือเรื่องรู้ทันกรรม และนำมาศึกษา คิด วิเคระห์ และคิดในใจไปเองว่า ถ้าท่านที่แพ้ยุง มีบุญ หมดกรรม อาจจะได้อ่านกระทู้ของเราบ้าง คิดเท่านั้นเองและก็โชคดี ท่านที่แพ้ยุงได้เขามาดูกระทู้และบอกจะลองทำดู เราไม่แน่นใจหรอกว่า มันจะหายหรือไม่หาย แต่ก็ไม่ไร เพราะแนะนำไปทำดี สร้างบุญ ยังไงท่านก็ได้บุญติดตัวไปอยู่ดี ต่อจากนั้น ใจมันก็ใหญ่บอกว่า ถ้าเราบอกทุกคนให้รู้ทันกรรมหมดก็ดี จะได้ไม่ต้องมีทุกข์ รู้วิธีแก้ และก็ได้อ่านหนังสือเรื่องรู้ทันกรรม จากนั้นก็นำความรู้มาศึกษา วิเคราะห์ เหตุผล จึงได้เกิดเป็นเรื่องรู้ทันกรรมเป็นตอน ๆ เพราะหนังสือมีขนาดใหญ่และหนา บางคนไม่ชอบอ่านหนังสือหนา ๆ และต้องคิดอีก ก็เกิดความคิดขึ้นมาว่า ถ้าเราเลือกเรื่องที่คนสนใจ เกณฑ์เลือกก็มาจากที่เราสนใจอยากรู้นั้นแหละก่อน เพราะอยากรู้ ทำให้อยากค้นหา ศึกษา ทดลอง พิสูจน์ และจากนั้นทำให้เข้าใจ เรื่องกรรมเป็นการยากที่จะอธิบายให้ใครเข้าใจ จนต้องเกิดแก่ตัวเองถึงจะได้เข้าใจอย่างแท้จริง ส่วนเราเอง เชื่อว่ากรรมมีจริง เพราะเฝ้าสังเกตุสิ่งที่ผ่านมาในชีวิต การพยายามทำดีเรื่อยไป ไม่ยอมแพ้ แม้จะมีทุกข์บ้าง สุขบ้าง ก็เป็นคนธรรมดานี้แหละ เหมือนท่านทุกคน เพราะเข้าใจแล้ว เพราะยังมีกรรมอยู่แน่นอน ถ้าไม่มีกรรมแล้ว คงไม่ต้องมาเกิดอีก ก็ว่ากันไป ใครที่จะเชื่อหรือไม่ก็ตามประสบการณ์ของตนเอง ของท่านเอง ไม่มีถูกไม่มีผิด การเขียนเรื่องรู้ทันกรรม เกิดจาก ฟัง คิด ดู อ่าน เขียน วิเคราะห์เหตุผล เขียน เพื่ออ่านง่าย ๆ เข้าใจง่าย ๆ เป็นธรรมอย่างง่าย ๆ ก็เลยทดลองเขียน และมีคนสนใจอ่านมากก็ขอบคุณมาก และด้วยความเป็นมือใหม่ในเว็บบอร์ดแห่งนี้ การใช้เครื่องมือยังไม่คุ้นเคย อาจจะทำให้รบกวนรุ่นพี่ไปบ้างต้องขอโทษด้วย แต่ด้วยที่แห่งนี้เป็นที่แห่งนี้มี ผู้มีภูมิธรรมในหัวใจ จึงได้รับคำแนะนำ สั่งสอนอย่างดีและอบอุ่น ต้องขอบคุณท่านผู้ดูแลเว็บบอร์ด และที่ให้พื้นที่ในการเขียนธรรมทาน และได้รับธรรมจากที่นี้เช่นเดียวกัน การเขียนช่วยตอกย้ำธรรมเข้าในหัวใจของเราเองด้วยเหมือน ทำให้จดจำง่าย ผ่านทั้งตา มือ สมอง ความคิด ตลอดจนส่งต่อสู่จิตใจ ก่อเกิดความสุขในรสแห่งธรรม สมดังคำตรัสของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า การให้ธรรมทาน ชนะการให้ทั้งปวง ได้ทั้งคนให้และคนรับ หากบุญที่จะเกิดขึ้นจากการเขียนเรื่องรู้ทันกรรมนี้ขอให้มีแก่ท่านที่แพ้ยุง ที่เป็นผู้จุดประกายความคิดเขียนเรื่องรู้ทันกรรมและขอให้กับท่านเป็นเจ้าของเว็บและทีมงานตลอดจนสมาชิกทุกคนที่เล่นเว็บแห่งนี้ด้วยเถิด หากข้อเขียนจะมีผิดบ้าง ถูกบ้างไม่ถูกใจใครบ้างก็ต้องขอภัยด้วย เพราะด้วยเหตุยังเป็นผู้รู้น้อยอยู่ ต้องให้ผู้ใหญ่ผู้มีปัญญา ช่วยชี้แนะนำคำสั่งสอน เพื่อที่จะได้รู้เพิ่มขึ้น ได้เรียนรู้ดังที่ว่าผิดเป็นครู นั้นแล ทั้งหมดที่เขียนไปท่านอย่าเพิ่งเชื่อ จงใช้ปัญญาไตร่ตรอง วิเคราะห์ตามหลัก กาลามสูตรก่อน เพื่อที่จะได้เข้าใจและเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง ถ้าท่านเห็นว่าไม่ดี ไม่จริง ก็จงลื่มให้หมดเสีย ถ้าท่านเห็นว่ามีประโยชน์ ดี เป็นจริง การลองดู ศึกษากัน เพื่อเป็นกำลังใจในการสร้างบุญ

    กาลามสูตร คือ พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล
    กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ ๑๐ ประการ ได้แก่

    ๑.อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
    ๒.อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
    ๓.อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
    ๔.อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
    ๕.อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
    ๖.อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
    ๗.อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
    ๘.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
    ๙.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
    ๑๐.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน


    ขอบคุณที่แวะมาอ่าน อนุโมทนา สาธุ ขอให้ท่านได้ธรรมติดตัวไปทั่วทุกคน :cool:<O:p></O:p>

    หนังสือรู้ทันกรรม http://palungjit.org/threads/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1.181104/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2011
  11. pimmarka

    pimmarka สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +12
    คู่บุญ แรงบันดาลใจจากพระไตรปิกฎ

    “พรหมลิขิตบันดาลชักพา ดลให้มาพบกันทันใด ก่อนนี้อยู่กันแสนไกล พรหมลิขิตดลจิตใจ ฉันจึงได้มาพบกับเธอ เออ ชะรอยเธอเป็นเนื้อคู่...”

    เสียงเพลงดังมา พาให้นึกถึงธรรมะ ว่าด้วยเหตุแห่งการเป็นเนื้อคู่ สำหรับผู้ที่ยังมีความรัก ความปราถนาการครองเรือนร่วมภพ ร่วมชาติทั้งที่อยู่ในชาตินี้และชาติต่อ ๆ ไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีคำแนะนำและให้หลักปฏิบัติ เพื่อบรรลุความปราถนานั้น ดังนั้นว่า

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่เภสกฬามฤคทายวัน เขตกรุงสุงสุมารศีระ แคว้นภัคคะ ในเวลาเช้าเข้าไปยังนิเวศน์ของนกุลปิตาคหบดี ประทับนั่งบนพุทธอาสน์ที่ปูลาดไว้แล้ว ลำดับนั้น นกุลปิตาคหบดีและนกุลมาตาคหปตานีพากันเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า

    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นับแต่เวลาที่ข้าพระองค์นำ นกุลมารดามา ข้าพระองค์มิเคยคิดนอกใจ นกุลมารดา ไหนเลยจะประพฤตินอกใจด้วยกายเล่า พวกข้าพระองค์ปราถนาที่จะพบกันในชาตินี้และชาติหน้า”

    ส่วนนกุลมารดาก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าดังนี้ว่า
    “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นับแต่นกุลบิดาเมื่อยังหนุ่ม นำหม่อมฉันผู้เป็นสาวมา หม่อมฉันไม่เคยคิดที่จะประพฤตินอกใจนกุลบิดา ไหนเลยจะประพฤตินอกจากใจด้วยกายเล่า พวกข้าพระองค์ปราถนาที่จะพบกันในชาตินี้และชาติหน้า”

    พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า “คหบดีและคหปตานี ถ้าสามีและภรรยาทั้งสองฝ่ายหวังจะพบกันในชาตินี้และชาติหน้า ทั้งสองฝ่ายพึงมีศรัทธาเสมอกัน มีศีลเสมอกัน มีจาคะ การเสียสละเสมอกัน มีปัญญาเสมอกัน สามีและภรรยาทั้งสองฝ่าย ยอมพบกันในชาตินี้และชาติหน้า”

    สามีและภรรยาทั้งสองฝ่าย เป็นผู้มีศรัทธา รู้ความประสงค์ของผู้ขอ สำรวมระวัง ดำเนินชีวิตโดยธรรม เจรจาคำไพเราะอ่อนหวานต่อกัน มีความเจริญ ความผาสุข มีความประพฤติด้วยกันทั้งสองฝ่ายรักใคร่ ไม่คิดร้ายต่อกัน ทั้งสองฝ่ายประพฤติธรรมในโลกนี้มีศีลและวัตรเสมอกัน เสวยอารมณ์ที่น่าใคร่ ย่อมเพลิดเพลินในเทวโลก

    ดังนั้น แท้จริง เหตุแห่งการเป็นเนื้อคู่ มิใช่ พรหมลิขิต แต่เป็นกรรมลิขิต คือ มีการประพฤตกรรมที่เสมอกัน ด้วยศรัทธา ด้วยศีล ด้วยจาคะ เสียสละ และด้วยปัญญา จึงนำพาให้เราทั้งสองมาพบกัน หากคนทั้งสองเป็นคนพร่องศรัทธา พร่องศีล พร่องจาคะ พร่องปัญญา เสมอกัน มาพบเจอกันก็จะทำให้กลายเป็น คู่เวรคู่กรรม แต่หากทั้งคู่สมบูรณ์ด้วยศรัทธา สมบูรณ์ศีล สมบูรณ์จาคะการเสียสละ สมบูรณ์ปัญญา นำพากันสร้างบุญกุศล เมื่อได้มาพบเจอกันในชาติไหน ๆก็จะได้เป็น “คู่บุญ” ที่จะสร้างบุญบารมีกันไปตลอดชีวิต

    บุญจะเป็นตัวบอกว่าเป็นคู่บุญหรือไม่ ถ้าทำบุญด้วยกันแล้วเป็นสุขด้วยกันทั้งคู่ แสดงว่าเป็นคู่บุญ ไปกันได้ แต่ถ้าทำบุญแล้วอีกฝ่ายเป็นทุกข์ หรือเป็นทุกข์ทั้งสองฝ่าย ก็อาจจะเข้าข่ายเป็นคู่กรรม คู่เวร ทางใคร ทางมัน ดังนั้น การทำบุญร่วมกันนี้อาจจะใช้เป็นเครื่องมือเลือกคู่ ให้ไปทำบุญด้วยกันบ่อย ๆ ทั้งทาน ศีล ภาวนา ทั้งสงเคราะห์สัตว์ ปล่อยนก ปล่อยปลา อนุเคราะห์คนยากไร้ให้ทาน ร่วมทั้งถวายทานกับพระสงฆ์ สังฆทาน อย่างสม่ำเสมอ ทำไม่นานก็จะสังเกตด้วยตัวเองได้ หากเป็นคู่บุญ บุญก็จะช่วยส่งผล มีความรัก มีความสุข มีความเข้าใจ หากเคยเป็นคู่บุญกันมา บุญเก่าก็จะพยายามช่วยให้อยู่ด้วยกัน โดยสนับสนุนให้รู้สึกดีต่อกัน ลดอุปสรรคต่อกัน แต่หากเป็นคู่เวร คู่กรรมกันมา บาปก็จะตัดหน้า มาเป็นมารขวางไม่ให้ทำบุญอย่างราบรื่น โดยอาจแทรกแซงด้วยสารพัดวิธี อาจจะอยู่ดี ๆ ก็ดลใจให้หงุดหงิดใส่กัน ร้อนด้วยกันไปหมด อาจจะสังเกตได้ไม่กี่ครั้งก็จะไม่อยากทำบุญร่วมกันไปอีก

    ความรักที่สูงเหนือกว่ากามรมณ์ความใคร่ เรียกว่าความรักแบบ พรหมวิหาร๔
    จิตใจของพวกท่านใช้ พรหมวิหาร ๔ เป็นเครื่องรักษาชีวิต รักโดยไม่ต้องอาศัยกามรมณ์ความใคร่ เป็นความรักโดยไม่จำกัดไม่เลือกหน้า ไม่เลือกชั้น วรรณะ ไม่แบ่งแยก ความรักแบบพรหมวิหาร ๔ เป็นสิ่งที่เริ่มต้นที่ตัวเราเองได้ ไม่ต้องรอจากใคร พรหมวิหาร ๔ มีเมตตา มีความกรุณา มีมุทิตา และมีอุเบกขา

    มีเมตตา คือ ความรู้สึกรักนั้นเอง รักแบบเมตตา ไม่มีความเห็นแก่ตัว มีความปราถนาให้ใคร ต่อใครเป็นสุข ตรงข้ามกับความเกลียดชังและพยาบาท
    ความรักเริ่มแรกอาจมาจากต้องการทางกามรมณ์แต่เมื่อทำบุญด้วยกันบ่อย ๆ ทั้งทาน ศีล ภาวนา ความรู้สึกก็จะพัฒนาขึ้น ก็เกิดเป็นความสบายใจ มีความสุขจากข้างใน ไม่ติดกามรมณ์ ต่อให้แยกจากกัน อยู่ห่างกัน ก็ทำให้อีกฝ่ายมีความสุขอยู่เสมอ ห่วงใยอยุ่เสมอ แม้จะมีความโกรธแค้นมาก่อน ก็ละได้ ลืมหมด ไม่เก็บเป็นอารมณ์ ความเมตตาเป็นเรื่องของใจ มีความรู้สึกเย็นเมื่ออยู่ใกล้ ทั้งเย็นกายและเย็นใจ มีความรู้สึกอ่อนโยนแผ่มาจากตัวข้างใน ความเมตตาที่ไปไม่เลือกนี้ เป็น อัปปมัญญา จิตที่แผ่ไปด้วยความรู้สึกรัก ความเมตตา ไม่ต้องมีคน ไม่ต้องมีสัตว์มาเป็นเป้าหมายรักใส่ จิตแผ่ไปครอบโลก ปิติสุข กว้างไกล ไม่มีประมาณ ใครก็ได้ ทั้งมนุษย์ คน สัตว์ เทวดา สัตว์โลกทั้งหลายก็ได้

    อย่าลืมว่า กรรมอยู่เหนือทุกสิ่ง เป็นเหตุเป็นผลกัน ดังนั้น เมื่อให้ความรัก ความเมตตา ก็จะได้ความรัก ความเมตตากลับมาเช่นกัน

    มีความกรุณา มีความคิดที่จะช่วยคนใครต่อใครก็ได้ ไม่เลือกหน้า ให้พ้นทุกข์ หรือ ช่วยคนที่มีสุขอยู่แล้วให้มีความสุขขึ้นไปอีก ตรงข้ามกับความเห็นแก่ตัวและตระหนี่ถี่เหนียว ความกรุณาในคนรักกันอาจมาในรูปการอยากทำอะไรให้คนรัก ให้สิ่งของ ให้ความรัก แล้วรอให้อีกฝ่ายตอบแทน แต่เมื่อทำบุญด้วยกันบ่อย ๆ ทั้งทาน ศีล ภาวนา ใจจะเริ่มเปลี่ยน จะเริ่มคิดอยากช่วยเหลือโดยไม่ต้องรอให้อีกฝ่ายทำก่อน และไม่ต้องรอให้คนรักมาตอบแทน จะช่วยมาจากข้างในเอง โดยไม่หวังอะไร และเมื่อมีความกรุณามาก ๆ ก็จะก่อเป็นความเยือกเย็นทำให้คนใกล้ชิดได้สัมผัสได้

    มีมุทิตา การพลอยยินดีกับเรื่องที่ดีของคนอื่น เห็นใครอยู่ดี มีสุข มีความเจริญรุ่งเรือง ประสบความสำเร็จทางโลกและทางธรรม ก็เกิดความแช่มชื่นยินดีมีความสุขตามกับเขาไปด้วย ตรงกันข้ามกับความริษยา อันก่อความร้าวฉานให้กับใคร รักแบบคู่รัก เริ่มต้นจากพลอยยินดีกับคนรักคู่รัก ในความเจริญก้าวหน้าของคนรัก เหมือนเป็นเรื่องของเราเองด้วย ความมุทิตาแบบพรหมวิหารความยินดีไม่เลือกหน้า ไม่ว่ากับคนรักเราหรือคนที่ชังเรา ขอให้เป็นสิ่งมีชีวิตคนและสัตว์ เมื่อเขาได้ดีเราก็พลอยยินดีไปด้วยทั้งหมด

    การยินดีกับทุกคนเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าเราฝึกบ่อย ๆ ก็จะทำได้เอง
    แต่สิ่งที่ยินดีด้วย ต้องเป็นเรื่องดีเท่านั้น มุทิตาเท่ากับอนุโมทนา

    มีอุเบกขา มีใจเป็นกลางกับกรรมของคนอื่น กรรมอยู่เหนือทุกสิ่ง สัตว์โลกต้องเป็นไปตามกรรม ใครทำสิ่งใดไว้ย่อมได้รับผลอย่างนั้น

    ความรักแบบคู่รัก มีอุเบกขายาก เพราะเมื่อเราเห็นคนรักมีทุกข์ ก็ย่อมอยากที่จะเข้าไปช่วยเหลือ ตลอดจนทำทุกอย่างให้คนรักพ้นทุกข์ พ้นผิด แม้จะต้องเป็นคนทำผิดเสียเอง อย่าลืมว่าวิบากกรรมมีจริง ดังนั้น จึงควรฝึกให้มีอุเบกขา ฝึกให้เป็นคนมีใจเป็นกลาง มีใจหนักแน่น ผิดก็ว่าไปตามผิด ถูกก็ว่าไปตามถูก ไม่ปล่อยให้ความรัก ความเกลียดมาครอบนำ จิตเป็นอิสระ ชีวิตคู่ คนเราไม่เห็นตัวเองผิด เห็นแต่ตัวเองมีความถูก แต่เห็นความผิดของคู่ครอง บางทีรู้ทั้งรู้ว่าตัวเองเป็นคนผิด ก็ยังไปข้าง ๆ คู ๆบีบให้คนรักยอมรับว่าตัวเองเป็นคนถูกให้ได้

    ฝึกให้เป็นคนเห็นอะไรตามจริง ผิดก็ไปตามผิด ถูกว่าไปตามถูก เลิกคิดคำแก้ตัวต่าง ๆ นา ๆ นานไปจะเห็นอะไรตามจริง ไม่ต้องฝึกอีก

    และนี้คือรักแบบพรหมวิหาร ถ้ามีได้ ก็จะได้มีรัก ความสุข เย็นกาย เย็นใจ

    ระหว่างบุญกับคนรักจะเลือกอย่างไหนก่อน ถ้าเลือกคนรักก่อน อาจจะสูญเสียทั้งคนรักและบุญ แต่ถ้าเลือกบุญก่อน ก็จะได้ทั้งคนรักและบุญกลับมา

    (พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าเชื่อตามหลัก กาลามสูตร อย่างนั้นต้องพิสูจน์ดูแล้วจะรู้เองกลับมาไหม )

    คนรักจะนำความสุขและความทุกข์มาให้เรา แต่ว่าบุญจะนำความสุขมาให้เราอย่างเดียว ดังนั้นเราควรทำให้คู่รักของเราเป็น “คู่บุญ” ด้วยการชักชวนทำทาน ศีล ภาวนา คู่รักที่ชักชวนกันเจริญสติ เป็นความโชคดีที่มาพบกัน คุณทั้งคู่จะเป็นแสงส่องสว่างในยามมืดให้แก่กันและกัน ตลอดเวลา การมีกันและกัน บนเส้นทางสติ จนกว่าจะถึงความสิ้นสุดคือที่สุดแห่งธรรม มีแต่ได้กับได้ เพราะแม้ถึงจะไม่ไปถึงสุดทางนั้น อย่างน้อยที่สุดก็จะได้รักอย่างเป็นสุข ไม่ทุกข์




    ท้ายสุดขอให้ทุกคนสมหวังในความรักนะค่ะ ขอบคุณที่แวะมาอ่าน อนุโมทนาสาธุ กับทุกท่านค่ะ :cool:<HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2011
  12. pimmarka

    pimmarka สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +12
    รู้ทันกรรม ตอน มีเสน่หาเป็นที่รัก

    เสน่หา คือ
    เป็นที่หลงใหล
    เป็นที่รักใคร่
    เป็นที่คิดถึง
    เป็นที่อยากพบอยากเจอเข้าใกล้

    <O:p</O:p
    เสน่หาทางกาย เห็นแล้วชวนมอง ยากถอนสายตา
    <O:p</O:p
    เสน่หาทางวาจา ฟังแล้วจับจิต ติดหูไม่รู้ลืม
    <O:p</O:p
    เสน่หาทางจิต สัมผัสเย็นจิต คิดถึงไม่รู้วาย

    <O:p</O:p
    ๑ เสน่หาทางกาย เห็นแล้วชวนมอง ยากถอนสายตา

    เหตุ
    ทำทานด้วยความเลื่อมใส ด้วยความยินดีเปรมปรี
    เป็นคนมีศีลบริสุทธิ์ สะอาด กายสะอาด จิตสะอาด คิดดี

    ผล
    คนที่มีกายและจิตสะอาดจะบังเกิด สง่าราศรีงดงามเป็นเสน่หาทางกาย กระทบตาชวนให้ผู้คนหลงใหล มีเสน่ห์ ดึงดูด

    <O:p</O:p
    ๒ เสน่หาทางวาจา ฟังแล้วจับจิต ติดหูไม่รู้ลืม

    เสน่หาทางวาจา ประกอบด้วย แก้วเสียงไพเราะ มีลูกเล่นในการพูด ฉลาดพูด

    <O:p</O:p
    ๑ แก้วเสียงไพเราะ

    เหตุ
    วาจาสุจริต
    พูดจริง
    พูดเพราะไม่หยาบคาย
    มีสติในการพูด
    พูดธรรมะ

    <O:p</O:p
    ผล
    ฟังดี ฟังเย็น สะกด คนฟัง
    สดใสไพเราะเพราะพริ้ง
    กลมกล่อมไม่บาดหู สำเนียงน้ำเสียง
    มีเสน่ห์ ดึงดูด

    <O:p</O:p<O:p</O:p
    ๒ มีลูกเล่นในการพูด

    เหตุ
    พูดธรรมะบันเทิง
    มองโลกแง่ดีใช้เสียงเป็นธรรมทาน

    ผล
    น้ำเสียงน่ารัก น่าเอ็นดู น่าฟัง น่าติดตาม
    ชัดถ้อย ชัดคำ ดึงดูด น่าสนใจ
    ลีลาธรรมชาติชวนฟัง
    มีเสน่ห์ ดึงดูด

    <O:p</O:p
    ๓ ฉลาดพูด

    เหตุ
    คิดก่อนพูด
    มีสติในการพูด
    พูดธรรมะเสมอ

    ผล
    มีปัญญาในการพูด
    พูดได้น่าฟังมีสาระ
    มีความน่าเชื่อถือ
    มีเสน่ห์ ดึงดูด

    <O:p</O:p
    ๓ เสน่หาทางจิต สัมผัสเย็นจิต คิดถึงไม่รู้วาย

    เข้าใกล้รู้สึกเยือกเย็น
    มีอิทธิพลพลังดึงดูด
    ประทับจิตยิ่งกว่าเสน่หาทางกายและวาจา
    อยู่ใกล้แล้วอบอุ่น
    มีเสน่ห์ ดึงดูด

    <O:p</O:p
    เสน่หาทางจิต
    มองไม่เห็นด้วยตา
    จับต้องด้วยมือไม่ได้
    สัมผัสได้ด้วยใจ

    <O:p</O:p
    เสน่หาทางจิต ประกอบด้วย ไม่วุ่นวาย เบาใจ มองโลกแง่ดี ความเสียสละ

    ๑ ไม่วุ่นวาย

    เหตุ คิดเป็นระเบียบ

    ผล อยู่ใกล้ไม่ฟุ่งซ่าน อบอุ่น
    มีเสน่ห์ ดึงดูด

    ๒ เบาใจ

    เหตุ คิดเท่าที่จำเป็น

    ผล อยู่ใกล้ผ่อนคลายไม่อึดอัด
    มีเสน่ห์ ดึงดูด

    ๓ มองโลกแง่ดี

    เหตุ ความคิดพลังบวก

    ผล อยู่ใกล้ สว่างไสว ไม่มืดมน มีความหวัง
    มีเสน่ห์ ดึงดูด

    ๔ เสียสละ

    เหตุ อยากให้ ไม่อยากเอา

    ผล อยู่ใกล้ อบอุ่น เป็นที่พึ่ง ใจดี มีความน่าเกรงขาม
    มีเสน่ห์ ดึงดูด

    ๕ เอ็นดู เมตตา

    เหตุ เมตตา ให้อภัยเสมอ

    ผล อยู่ใกล้ อบอุ่น เป็นที่พึ่ง ไว้เนื้อเชื้อใจ
    มีเสน่ห์ ดึงดูด

    ๖ มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว

    เหตุ อดทนไม่ยอมแพ้

    ผล อยู่ใกล้ อบอุ่น เป็นที่พึ่ง เข้มแข็ง ไม่อ่อนแอ
    มีเสน่ห์ ดึงดูด

    ๗ ยับยั้งชั่งใจ

    เหตุ อุเบกขา เยือกเย็น

    ผล อยู่ใกล้ อบอุ่น เป็นที่พึ่ง เย็นกาย เย็นใจ
    มีเสน่ห์ ดึงดูด

    ๘ ไม่เข้าข้างตัวเอง

    เหตุ ไม่หลงตัวเอง

    ผล อยู่ใกล้ อบอุ่น เป็นที่พึ่ง รับผิดชอบ ดีงาม
    มีเสน่ห์ ดึงดูด

    ๙ เบาสมองรื่นรมณ์

    เหตุ ตลก เบาสมอง คิดดี

    ผล อยู่ใกล้ อบอุ่น รื่นเริง บันเทิง อารมณ์ขัน ไม่เครียด
    มีเสน่ห์ ดึงดูด

    ๑๐ เมตตาปราณีมีน้ำใจนักกีฬา

    เหตุ ชนะใจตนเอง รู้แพ้รู้ชนะ

    ผล โดดเด่น มีสง่าราศรี จับตาจับใจ
    มีเสน่ห์ ดึงดูด

    <O:p</O:p
    สรุป เหตุที่ทำให้มีเสน่หาเป็นที่รักก็มี ๓ อย่าง กรรมทาง กาย กรรม ทางวาจา กรรม ทางจิต ดังที่กล่าวมานี้ ถ้าทำได้ ก็จะได้มี มีเสน่หา เป็นที่ หลงใหล รักใคร่ คิดถึง อยากพบ อยากเจอ อยากเข้าใกล้ เพราะรู้สึกถึงความเย็นจิต เย็นกายและเย็นใจ นั้นเอง

    <O:p</O:p
    ขอบคุณที่แวะมาอ่าน ขอให้ท่านมีเสน่หาเป็นที่รักอยู่เสมอเถิด :cool:<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤศจิกายน 2011
  13. pimmarka

    pimmarka สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +12
    ทุกข์เพราะกาม แรงบันดาลใจจากพระไตรปิฎก

    ทุกข์เพราะกาม มนุษย์ทุกวันนี้ที่มีทุกข์ไม่รู้จบสิ้นก็เพราะ “ความอยากในกาม”
    “กาม” เป็นต้นเหตุสำคัญที่ก่อให้เกิดความหิวกระหายในใจของเรา ความอยากในกามได้คอยครอบงำ และบงการชีวิตเรา ให้เรารู้สึกไม่พอใจในสิ่งที่เรามี เราจึงต้องแสวงหาที่จะเห็นรูปที่สวยกว่าเดิม อยากได้ยินเสียงที่ไพเราะกว่าเดิมอยากกินอาหารที่มีรสอร่อยกว่าเดิม ฯลฯ ความคิดเหล่านี้ได้วนเวียนอยู่ในใจของเรา คอยผลักดันให้เราต้องดิ้นรนแสวงหาสิ่งต่างๆ มาสนองความอยาก เพราะเราเชื่อว่า ถ้าเราได้ทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว เราจะมีความสุข แต่ยิ่งเราแสวงหามากเท่าใด ดูเหมือนว่าความอยากนั้นมันจะไม่รู้จักอิ่มจักพอ เพราะความอยากมันมีมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดแทนที่จะมีความสุขกลับถูกความทุกข์เข้ารุมเร้า
    พระบรมศาสดา ทรงสอนให้เราหลีกออกจากกามซึ่งเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ แล้วหันมาแสวงหาความสุขภายในด้วยการปฏิบัติธรรม แต่การหลีกออกจากกามที่ทรงสอนไม่เพียงหลีกออกแค่ร่างกายเท่านั้น แต่ใจจะต้องออกจากกามด้วย มิฉะนั้นการปฏิบัติธรรมก็จะไม่ได้ผล ดังเรื่องที่พระพุทธองค์ทรงยกตัวอย่างไว้ใน มหาสัจจกสูตร มีใจความว่า

    “สมณพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ที่กายยังไม่ได้หลีกออกจากกาม และใจก็ยังข้องอยู่ในกาม สมณพราหมณ์นั้นแม้จะทำความเพียรหนักสักเพียงไร หรือไม่ได้ทำความเพียรเลย สมณพราหมณ์นั้นไม่อาจจะตรัสรู้ธรรมได้ เปรียบเหมือนไม้สดที่ยังชุ่มอยู่ด้วยยาง และแช่น้ำไว้ด้วย ใครก็ตามที่ต้องการจะได้ไฟ เมื่อเอาไม้นั้นมาสีกันเข้า สีเท่าไรก็ไม่อาจจะเกิดไฟขึ้นได้ เพราะไม้นั้นชุ่มด้วยยาง และยังแช่อยู่ในน้ำ”

    “ส่วนสมณพราหมณ์บางพวก แม้กายหลีกออกจากกามแล้ว แต่ใจยังรักใคร่อยู่ในกาม ยังข้องอยู่ในกาม สมณะพราหมณ์เหล่านั้นแม้จะทำความเพียร หรือไม่ทำความเพียร สมณพราหมณ์เหล่านั้นก็ไม่อาจตรัสรู้ได้ เพราะใจยังชุ่มอยู่ด้วยยางคือ กิเลส เปรียบเหมือนไม้ที่ชุ่มด้วยยางวางไว้บนบก แม้จะวางไว้บนบกแล้วก็ตาม แต่มันยังสดอยู่ ยังชุ่มไปด้วยยางก็ไม่อาจจะสีให้เกิดไฟขึ้นได้”

    “ส่วนสมณพราหมณ์ ที่กายหลีกออกจากกามแล้วใจก็สละกามได้ มีใจสงบระงับดีแล้ว สมณพราหมณ์เหล่านั้นแม้จะทำความเพียรหรือไม่ทำความเพียรก็ตาม เขาก็จะสามารถตรัสรู้ธรรมได้ เปรียบเหมือนไม้แห้งที่วางไว้บนบก ผู้ที่ต้องการไฟ เมื่อเอาไม้นั้นมาสีเข้าด้วยกัน ไฟย่อมเกิดขึ้น เพราะไม้นั้นเป็นไม้แห้งและวางไว้บนบก”

    จะเห็นได้ว่า การที่จะปฏิบัติธรรมได้ดีนั้น จะต้องหลีกออกจากกามให้ได้ทั้งกายและใจ ถ้าปล่อยวางความอยากในกามลงได้ ใจก็จะเริ่มสงบนิ่ง จิตก็จะดิ่งเข้าสู่ภายใน ได้พบกับความสุขที่แท้จริง ที่ไม่มีความสุขอื่นยิ่งกว่า เป็นบรมสุขซึ่งพระบรมศาสดาได้ตรัสยืนยันไว้ว่า

    นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบไม่มี

    ขอบคุณที่แวะมาอ่าน อนุโมทนาสาธุ ขอให้ท่านมีใจสงบอยู่เสมอ :cool:

    จาก หนังสือ แรงบันดาลใจจากพระไตรปิฎก
     
  14. pimmarka

    pimmarka สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +12
    ยิ่งสูงส่ง ยิ่งอ่อนน้อม จากแรงบันดาลใจจากพระไตรปิฎก

    บุคคลผู้ยิ่งใหญ่ที่ประสบความสำเร็จทั้งทางโลกและทางธรรม จะมีคุณธรรมอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นก็คือ “ความอ่อนน้อมถ่อมตน” ถ้าขาดคุณธรรมข้อนี้แล้ว แม้จะได้รับยศตำแหน่งสูงส่งมากเพียงใดก็จะอยู่ได้ไม่นาน ในทางตรงกัน ข้ามหากมีความอ่อนน้อมถ่อมตน ทำตนเหมือนภาชนะเปล่า ที่พร้อมจะรองรับความดีอื่นๆ แม้จะมืคุณธรรมเป็นเลิศอยู่แล้ว ก็พร้อมจะรองรับความรู้จากผู้อื่นตลอดเวลา เหมือนมหาสมุทร ที่สามารถรองรับน้ำจากแม่น้ำทุกสาย ถ้าทำได้อย่างนี้ย่อมเป็น ทางมาแห่งความเจริญรุ่งเรืองและความสำเร็จในชีวิตดังเรื่องราวของ พระสารีบุตรเถระ อัครสาวกเบื้องขวา มืใจความโดยสรุปดังนี

    พระสารีบุตรเถระผู้เป็นอัครสาวกเบื้องขวา เป็นพระธรรมเสนาบดี สนองงานพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้บริหารหมู่สงฆ์และเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้กว้างไกล แม้ท่านจะมีตำแหน่งสูงส่งถึงเพียงนั้น ท่านก็ยังมีความอ่อนน้อมถ่อมตนไม่ถือตัว มีความเสมอต้นเสมอปลาย ให้ความเป็นกันเองกับภิกษุ สามเณรทุกรูป ทำให้ท่านเป็นที่เคารพรักของภิกษุสงฆ์ อีกทั้งญาติโยมก็เลื่อมใสศรัทธาในตัวท่านมาก ครั้งหนึ่งท่านถูกพระภิกษุรูปหนึ่งใส่ความว่า “ท่านเป็นถึงอัครสาวก แต่แกล้งมาเดินกระทบตน” พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงตรัสถามพระสารีบุตรในที่ประชุมสงฆ์ว่า

    “เป็นอย่างนั้นจริงหรือ?”
    พระสารีบุตรกราบทูลว่า “ข้าพระพุทธเจ้ามี สติสัมปชัญญะอยู่เสมอ คอยระมัดระวังตนประคองสติอันเป็นไปในกาย เสมือนบุรุษประคองถาดซึ่งบรรจุน้ำมันอยู่เต็มเปี่ยม และมีคนเงื้อดาบอยู่เบื้องหลัง พร้อมขู่ว่า “ถ้าทำน้ำมันหกจะประหารเสีย” ข้าพระองค์ประพฤติตนเสมือนผ้าเก่าสำหรับเช็ดเท้า เสมือนโคที่มีเขาขาด เสมือนเด็กจัณฑาลที่พลัดหลงถิ่น ย่อมไม่มีอำนาจที่จะแกล้วกล้าอาจหาญประการใด”

    เมื่อพระสารีบุตร กล่าวเช่นนั้นในท่ามกลางสงฆ์ แผ่นดินที่แม้ไม่มีจิตยังเกิดอาการหวั่นไหว
    เป็นการอนุโมทนาในคุณธรรมอันสูงส่งของท่าน ภิกษุรูปนั้น เมื่อได้ฟังก็เกิดอาการเร่าร้อนในสรีระ เหมือนมีไฟมาเผาไหม้ตัว อดรนทนอยู่ไม่ได้ต้องลุกขึ้น
    ขอขมาโทษพระสารีบุตรและยอมรับสารภาพต่อหน้าหมู่สงฆ์ว่า ได้กล่าวตู่โส่ความพระสารีบุตร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงตรัสสรรเสริญว่า

    “สารีบุตรมีจิตมั่นคงดั่งขุนเขา หนักแน่นเหมือนแผ่นดิน เป็นผู้ไม่แสดงอาการยินดียินร้าย เป็นผู้คงที่และมีวัตรดี เป็นผู้มีใจสะอาด เหมือนน้ำที่ไม่มีฝุ่นหรือโคลนตม สังสารวัฏย่อมไม่มีแก่พระสารีบุตร” จากนั้นพระพุทธองค์ทรงรับสั่งให้พระสารีบุตร อดโทษแก่ภิกษุผู้กล่าวตู่ มิเช่นนั้นแล้วศีรษะของภิกษุรูปนั้นจะแตกเป็น ๗ เสี่ยง พระสารีบุตรยอมอดโทษให้ทุกอย่าง เพราะท่านไม่เคยมีความคิดประทุษร้ายใคร อีกทั้งมีความถ่อมตน และยังได้ปวารณาตัวอีกว่า

    “หากตัวท่านเองได้ประพฤติผิดพลาดล่วงเกิน ทั้งที่มีเจตนา หรือไม่มีเจตนาก็ดี ขอให้เพื่อนสหธรรมิกได้โปรดให้อภัยงดโทษนั้นด้วย”

    จากเรื่องนี้จะเห็นได้ว่า ผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงนั้น จะต้องใหญ่ด้วยคุณธรรมภายในเป็นพื้นฐาน ยิ่งสูงส่งยิ่งต้องอ่อนน้อมถ่อมตน จึงจะเป็นที่ยอมรับนับถือจากทุกคนอย่างจริงใจ นอกจากนี้ ความอ่อนน้อมถ่อมตนจะทำให้ทิฏฐิมานะภายในลดลง เมื่อถึงคราวปฏิบัติธรรมจะสามารถปล่อยทุกอย่างวาง ทุกสิ่งแล้วดิ่งเข้าสู่ธรรมะภายในโดยง่ายโดยเร็วพลัน

    ขอบคุณที่แวะมาอ่าน อนุโมทนาสาธุ ขอให้ท่านมีใจอ่อนน้อมถ่อมตนอยู่เสมอ :cool:

    จาก หนังสือ แรงบันดาลใจจากพระไตรปิฎก
     
  15. pimmarka

    pimmarka สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +12
    รู้ทันกรรม ตอน ความหยิ่งยโส

    กรรมเป็นเรื่องของเหตุและผล ถ้ารู้ผลก็สามารถวิเคระห์ถึงเหตุได้
    เราสามารถรู้กรรมของตนเองได้ โดยดูตัวเราเอง

    ผลของปัจจุปัน มาจากเหตุที่ทำในอดีต
    ผลของอนาคต มาจากเหตุของปัจจุบัน

    ดังนั้น ทำเหตุดี ผลต้องดี
    ทำเหตุไม่ดี ผลต้องไม่ดี

    วิเคราะห์ ความหยิ่งยโส

    ความหยิ่งยโส ประกอบด้วย

    (เหตุ)

    ๑. มีความหยิ่งยโส เพราะถือตัวว่ามียศชาติตระกูลสูงเป็นที่นับถือ
    ๒. มีความหยิ่งยโส เพราะถือตัวร่ำรวยทรัพย์สินเงินทองมากมาย
    ๓. มีความหยิ่งยโส เพราะถือตัวเป็นร่างกายแข็งแรงรูปร่างหน้าตาสวยหล่อคมเข้มอ่อนหวาน
    ๔. มีความหยิ่งยโส เพราะถือตัวว่ามีปัญญาการศึกษาสูง

    ถ้ามีความหยิ่งยโส + ทำตัวไม่ดีก่อบาปอกุศล

    (ผล)

    ๑. ไม่เป็นที่เคารพบุคคลที่ควรเคารพ เกิดในตระกูลชั้นล่าง
    ๒. ตระหนี่ ขี้เหนียว ยากจนขัดสนเงินทอง
    ๓. เป็นคนมักโกรธ โมโหง่าย ไม่สวย ไม่หล่อ ขี้เหร่ อัปลักษณ์
    ๔. หวงวิชา หวงความรู้ เรียนรู้ได้ช้า ปัญญาทึบไม่ฉลาด

    ความหยิ่งยโส ตรงข้ามกับ ความอ่อนน้อมถ่อมตน

    ความอ่อนน้อมถ่อนตน ประกอบด้วย

    ๑. ความอ่อนน้อมทางกาย สรุปเป็นคนอยู่ในกรอบศีล ว่าโดยย่อ
    ๒. ความอ่อนน้อมทางวาจา สรุปเป็นคนอยู่ในกรอบศีล ว่าโดยย่อ
    ๓. ความอ่อนน้อมทางจิตใจ สรุปเป็นคนอยู่ในกรอบศีล ว่าโดยย่อ

    ถ้ามีความอ่อนน้อม + ทำตัวดีก่อกุศลกรรม

    (เหตุ)

    ๑. มีความอ่อนน้อม กาย วาจา ใจ บูชาบุคคลที่ควรบูชา พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์
    พระราชา พ่อ แม่ ครู อาจารย์ คนที่มีอาวุโสมากกว่าเรา คนที่มีศีลมากว่าเรา
    ทำให้เป็นที่เคารพ ทำให้เกิดในตระกูลสูง เมื่อทำบ่อย ๆ ก็จะติดตามเราไป
    ทำมาก ๆ กลายเป็นบารมีติดตามข้ามชาติ ข้ามภพ เป็น ศีล บารมี เป็นผู้ที่มีคนเคารพอยู่เสมอ

    ๒. มีความอ่อนน้อม กาย วาจา ใจ ในการทำบุญถวายทาน กับ พระพุทธเจ้า พระสงฆ์ พระราชา พ่อ แม่ ครู อาจารย์ คนที่มีอาวุโสมากกว่าเรา คนที่มีศีลมากว่าเรา ทำให้ ร่ำรวย ทรัพย์สินเงินทอง เมื่อทำบ่อย ๆ ก็จะติดตามเราไป ทำมาก ๆ กลายเป็นบารมี ติดตามข้ามชาติ ข้ามภพ เป็น ทาน บารมี
    ทำให้เป็นผู้ร่ำรวย ทรัพย์สินเงินทองอยู่เสมอ

    ๓. มีความอ่อนน้อม กาย วาจา ใจ ใจกว้าง ใจเย็น มีพรหมวิหาร เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้อภัยทานอยู่เสมอ ไม่โกรธง่าย กับทุกคนทุกสิ่ง มีศีล ทำให้ เป็นคนสวย คนหล่อ ทั้งกายและใจเป็นที่มีเสน่หาเป็นดึงดูดสนใจของทุกคนอยู่เสมอ เมื่อมีอภัยทาน เมื่อทำบ่อย ๆ ก็จะติดตามเราไป ทำมาก ๆ กลายเป็นบารมี ติดตามข้ามชาติ ข้ามภพ เป็นเมตตาบารมี ทำให้เป็นที่รักอยู่เสมอ

    ๔. มีความอ่อนน้อม กาย วาจา ใจ ใจกว้าง ให้ความรู้ ปัญญาทานอยู่เสมอ ไม่หวงวิชา กลัวคนอื่นจะเก่งกว่ายิ่งให้ก็จะยิ่งได้ปัญญา ถ่ายทอดปัญญาไปผ่านทั้ง กาย และใจ คือ ตาดู หูฟัง มือเขียน สมองคิด จิตจดจำเมื่อทำบ่อย ๆ ก็จะติดตามเราไป ทำมาก ๆ กลายเป็นบารมี ติดตามข้ามชาติข้ามภพ ปัญญาทานบารมี ทำให้มีปัญญาแก้ไขปัญหาได้เสมอ

    ถ้ามีความอ่อนน้อม + ทำตัวดีก่อกุศลกรรม

    (ผล)

    ๑. ทำให้เกิดในตระกูลสูง เป็นผู้ที่มีคนเคารพอยู่เสมอ
    ๒. ทำให้ ร่ำรวย ทรัพย์สินเงินทองอยู่เสมอ
    ๓. ทำให้ เป็นคนสวย คนหล่อ ทั้งกายและใจ มีเสน่หาดึงดูดเสมอ
    ๔. ทำให้เป็นมีปัญญา เรียนรู้เข้าใจง่าย แก้ไขปัญหาได้เสมอ

    ถ้ารู้เหตุและผล มีอิทธิพล กับชีวิตเราดังนี้แล้ว ต่อไปก็นำเหตุและผล มาใช้ในการดำเนินชีวิต เมื่อนั้นชีวิตเราจะมีสติอยู่เสมอ และรู้ว่าเราจะพบเจอกรรมอะไรในเบื้องหน้า
    เมื่อรู้เหตุที่เราทำแล้ว ก็รู้ผลที่ตามมาได้แน่นอน ฝึกหยุดคิดวิเคราะห์วันละนิด แล้วต่อไปจะได้เร็วเอง

    ขอบคุณที่แวะมาอ่าน อนุโมทนา สาธุ ขอให้ท่านรู้เห็นเข้าใจหลักกรรมกันทุกท่านเถิด :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2011
  16. pimmarka

    pimmarka สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +12
    รู้ทันกรรม ตอน พบเจอแต่คนไม่จริงใจ
    <O:p</O:p
    กรรม เมื่อให้สิ่งใด ย่อมได้สิ่งนั้นคืนเสมอ
    ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พบเจอแต่คนไม่จริงใจ
    <O:p</O:p
    (เหตุ)
    <O:p</O:p
    ๑. ไม่จริงใจ เผื่อเลือก<O:p</O:p
    ๒. ไม่ซื่อสัตย์ หลายใจ<O:p</O:p
    ๓. ชอบหลอก โกหก ไม่ทำจริง<O:p</O:p
    ๔. เอาแต่เข้าตัว รัก จริงใจแบบหวังผลตอบแทน <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    (ผล)<O:p</O:p
    ๑. ต้องช้ำใจ เสียใจ<O:p</O:p
    ๒. ถูกหลอกง่าย ๆ บ่อย ๆ<O:p</O:p
    ๓. ตอนแรกนึกว่าจริงใจ ตอนหลังหลอก<O:p</O:p
    ๔.เจอแต่คนชอบหวังผลตอบแทน<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    พบเจอแต่คนจริงใจ
    <O:p</O:p
    (เหตุ)
    <O:p</O:p
    ๑. จริงใจเสมอ มั่นคง สม่ำเสมอ<O:p</O:p
    ๒.ซื้อสัตย์ รักเดียวใจเดียว<O:p</O:p
    ๓.ไม่หลอก พูดจริง ทำจริง<O:p</O:p
    ๔. เสียสละ ความรัก ความจริงใจ ไม่หวังผลตอบแทน
    <O:p</O:p
    (ผล)<O:p</O:p
    ๑. เจอแต่คนจริงใจ มีความสุข<O:p</O:p
    ๒. มีมิตรดี คนสัตย์ซื่อ มือสะอาด<O:p</O:p
    ๓. ได้รับความรัก ความจริงใจ ความสุขให้มาโดยไม่หวังผลตอบแทน<O:p</O:p
    ๔. มีความสุข จากการให้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    สรุป อยากได้รับผลแบบใด จงสร้างเหตุแบบนั้นไว้เพราะว่าเมื่อให้สิ่งใด ย่อมได้รับสิ่งนั้นคืนเสมอถ้าอยากพบคนจริงใจ ก็พยายามมีความจริงใจให้คนอื่นอยู่เสมอแม้ว่าจะยังไม่ได้รับความจริงใจ แต่วันหนึ่งเมื่อบุญกุศลกรรมมีความเข้มข้นเหนือกว่าวิบากกรรม หรืออกุศลกรรม และเมื่อนั้นก็ได้พบกับคนจริงใจเข้าสักวัน

    ขอบคุณที่แวะมาอ่าน อนุโมทนา สาธุ ขอให้ท่านมีคนจริงใจ ข้างกาย อยู่เสมอ :cool:<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2011
  17. pimmarka

    pimmarka สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +12
    รู้ทันกรรม ตอน กฏแห่งกรรม

    กฏแห่งกรรม คือ การทำดีได้ ทำชั่วได้ชั่ว

    กรรมจะไม่แสดงผลในทันที กรรมจะมีเวลาในการทำงาน

    กรรมที่ทำไว้ในอดีต จะส่งผลในปัจจุบัน
    กรรมที่ทำไว้ในปัจจุบัน จะส่งผลในอนาคต

    บุญ คือ การทำความดี การทำดีตามหลัก บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ

    บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ คือ สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ หรือกล่าวอย่างง่ายๆว่า การกระทำที่เกิดเป็นบุญ เป็นกุศล แก่ผู้กระทำดังต่อไปนี้

    ๑.บุญสำเร็จได้ด้วยการบริจาคทาน (ทานมัย) คือการเสียสละนับแต่ทรัพย์ สิ่งของ เงินทอง ตลอดจนกำลังกาย สติปัญญา ความรู้ความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยส่วนรวม รวมถึงการละกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ออกจากจิตใจ จนถึงการสละชีวิตอันเป็นสิ่งมีค่าที่สุดเพื่อการปฏิบัติธรรม

    ๒.บุญสำเร็จได้ด้วยการรักษาศีล (สีลมัย) คือการตั้งใจรักษาศีล และการปฏิบัติตนไม่ให้ละเมิดศีล ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ หรือศีล ๘ ของอุบาสกอุบาสิกา ศีล ๑๐ ของสามเณร หรือ ๒๒๗ ข้อของพระภิกษุ เพื่อรักษากาย วาจา และใจ ให้บริสุทธิ์สะอาด พ้นจากกายทุจริต ๔ ประการ คือ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ละเว้นจากการลักทรัพย์ ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม และเสพสิ่งเสพติดมึนเมา อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท วจีทุจริต ๔ ประการ คือไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดปด ไม่พูดเพ้อเจ้อ และไม่พูดคำหยาบ มโนทุจริต ๓ ประการ คือ ไม่หลงงมงาย ไม่พยาบาท ไม่หลงผิดจากทำนองคลองธรรม

    ๓.บุญสำเร็จได้ด้วยการภาวนา (ภาวนามัย ) คือการอบรมจิตใจในการละกิเลส ตั้งแต่ขั้นหยาบไป จนถึงกิเลสอย่างละเอียด ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นโดยใช้สมาธิปัญญา รู้ทางเจริญและทางเสื่อม จนเข้าใจอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค เป็นทางไปสู่ความพ้นทุกข์ บรรลุมรรค ผล นิพพานได้ในที่สุด

    ๔.บุญสำเร็จได้ด้วยการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ (อปจายนมัย) คือการให้ความเคารพ ผู้ใหญ่และผู้มีพระคุณ ๓ ประเภท คือ ผู้มี วัยวุฒิ ได้แก่พ่อแม่ ญาติพี่น้องและผู้สูงอายุ ผู้มี คุณวุฒิ หรือคุณสมบัติ ได้แก่ ครูบาอาจารย์ พระภิกษุสงฆ์ และผู้มี ชาติวุฒิ ได้แก่พระมหากษัตริย์ และเชื้อพระวงศ์

    ๕.บุญสำเร็จได้ด้วยการขวนขวายในกิจการที่ชอบ (เวยยาวัจจมัย) คือ การกระทำสิ่งที่เป็นคุณงามความดี ที่เกิดประโยชน์ต่อคนส่วนรวม โดยเฉพาะทางพระพุทธศาสนา เช่น การชักนำบุคคลให้มาประพฤติปฏิบัติธรรม มีทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น ในฝ่ายสัมมาทิฎฐิ

    ๖.บุญสำเร็จได้ด้วยการให้ส่วนบุญ (ปัตติทานมัย) คือ การอุทิศส่วนบุญกุศลที่ได้กระทำไว้ ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง การบอกให้ผู้อื่นได้ร่วมอนุโมทนาด้วย ทั้งมนุษย์และอมนุษย์ ได้ทราบข่าวการบุญการกุศลที่เราได้กระทำไป

    ๗.บุญสำเร็จได้ด้วยการอนุโมทนา (ปัตตานุโมทนามัย) คือ การได้ร่วมอนุโมทนา เช่น กล่าวว่า “สาธุ” เพื่อเป็นการยินดี ยอมรับความดี และขอมีส่วนร่วมในความดีของบุคคลอื่น ถึงแม้ว่าเราไม่มีโอกาสได้กระทำ ก็ขอให้ได้มีโอกาสได้แสดงการรับรู้ด้วยใจปีติยินดีในบุญกุศลนั้น ผลบุญก็จะเกิดแก่บุคคลที่ได้อนุโมทนาบุญนั้นเองด้วย

    ๘.บุญสำเร็จได้ด้วยการฟังธรรม (ธัมมัสสวนมัย) คือ การตั้งใจฟังธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน หรือที่เคยฟังแล้วก็รับฟังเพื่อได้รับความกระจ่างมากขึ้น บรรเทาความสงสัยและทำความเห็นให้ถูกต้องยิ่งขึ้น จนเกิดปัญญาหรือความรู้ก็พยายามนำเอาความรู้และธรรมะนั้นนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ สู่หนทางเจริญต่อไป

    ๙.บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม (ธัมมเทสนามัย) คือ การแสดงธรรมไม่ว่าจะเป็นรูปของการกระทำ หรือการประพฤติปฏิบัติด้วยกาย วาจา ใจ ในทางที่ชอบ ตามรอยบาทองค์พระศาสดา ให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่บุคคลอื่น หรือการนำธรรมไปขัดเกลากิเลสอุปนิสัยเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น ให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา มาประพฤติปฏิบัติธรรมต่อไป

    ๑๐. บุญสำเร็จได้ด้วยการทำความเห็นให้ตรง (ทิฏฐชุกัมม์) คือ ความเข้าใจในเรื่อง บาป บุญ คุณ โทษ สิ่งที่เป็นแก่นสารสาระหรือที่ไม่ใช่แก่นสารสาระ ทางเจริญทางเสื่อม สิ่งอันควรประพฤติสิ่งอันควรละเว้น ตลอดจนการกระทำความคิดความเห็นให้เป็นสัมมาทิฏฐิอยู่เสมอ

    บุญกิริยาวัตถุทั้ง ๑๐ ประการนี้ ผู้ใดได้ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งหรือยิ่งมากจนครบ ๑๐ ประการแล้ว ผลบุญย่อมเกิดแก่ผู้ได้กระทำมากตามบุญที่ได้กระทำ


    การทำบุญตามหลัก บุญกิริยาวัตถุทั้ง ๑๐ ประการนี้ จะส่งผลในด้านดี มีความสุข
    ทำให้พร้อมทั้งรูปสมบัติ คุณสมบัติ ทรัพย์สมบัติ

    ผู้ที่ทำบุญต้องมี กายสุจริต (กาย) วาจาสุจริต (พูด) มโนสุจริต (ใจ)
    มีกายสุจริต คือ เว้นจากฆ่าสัตว์ เว้นจากลักทรัพย์ เว้นจากประพฤติผิดในกาม
    มีวาจาสุจริต คือ เว้นจากพูดเท็จ เว้นจากพูดส่อเสียดเว้นจากพูดคำหยาบ เว้นจากพูดเพ้อเจ้อ มีมโนสุจริต คือ ไม่โลภอยากได้ของเขา ไม่พยาบาทปองร้ายเขา เห็นชอบตามคลองธรรม และมีศีล นั้นเอง เพื่อผลบุญจะได้เกิดเต็มเม็ดเต็มหน่วยสมความตั้งใจ

    การทำอกุศลกรรม คือ การทำชั่ว ด้าน กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ตรงกันข้าม กับกายสุจริต วาจาสุจริต มโนสุจริต

    กายทุจริต คือ การทำความชั่วทางกาย
    ๑.ฆ่าสัตว์ คือการทำให้สัตว์สิ้นชีวิต รวมถึงการทรมาน จองจำ กักขังสัตว์ให้เดือดร้อน
    ๒.ลักทรัพย์ คือการขโมยหยิบฉวย รวมถึงการเบียดบัง ฉ้อ โกงทรัพย์ของผู้อื่นมาเป็นของตน เป็นต้น
    ๓.ประพฤติผิดในกาม คือการล่วงละเมิดคู่ครองของผู้อื่น การมีเพศสัมพันธ์กับคนต้องห้าม

    วจีทุจริต เป็นการทำความชั่วความผิดทางวาจา
    ๑.พูดเท็จ คือพูดไม่จริง พูดตรงกันข้ามกับความจริง เพื่อให้เข้าใจผิด
    ๒.พูดคำหยาบ คือพูดคำระคายหู คำหยาบโลน ไม่น่าฟัง ไม่เป็นคำผู้ดี
    ๓.พูดส่อเสียด คือพูดยุยงให้คนอื่นแตกกัน ทะเลาะกัน พูดให้เขาเจ็บใจ
    ๔.พูดเพ้อเจ้อ คือพูดพล่าม พูดเหลวไหล ไม่มีสาระ วกวนไม่รู้จบ ทำให้เสียเวลาและประโยชน์

    มโนทุจริต เป็นการกระทำความชั่ว ทำความผิดทางใจ คือ ด้วยการคิด
    ๑.โลภอยากได้ของเขา เพ่งเล็งอยากได้ จ้องที่จะเอาสิ่งของของผู้อื่น
    ๒.พยาบาท ขัดเคืองคิดปองร้ายผู้อื่น
    ๓.เห็นผิดจากคลองธรรม เห็นไม่ตรงตามจริง

    การทำอกุศลกรรม การทำความชั่วจะส่งผลในด้านวิบากรรม ทำให้เกิดทุกข์

    วิบากกรรม ความทุกข์ ประกอบด้วย

    ๑.ทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บ
    ๒.ทุกข์จากเศรษฐกิจ
    ๓.ทุกจากครอบครัว
    ๔.ทุกข์จากสิ่งแวดล้อมสังคม

    ต่อไปมาดู การส่งผลของกรรมมีอย่างน้อย ๕ ประเภท

    ๑. กรรมในอดีตชาติใดชาติหนึ่งมาส่งผล
    ๒. กรรมในอดีตชาติใดชาติหนึ่ง + ชาติปัจจุบันมาส่งผล
    ๓. กรรมในอดีตชาติตั้งแต่ ๒ ชาติขึ้นไปมาส่งผล
    ๔. กรรมในอดีตชาติตั้งแต่ ๒ ชาติขึ้นไป+ชาติปัจจุบันมาส่งผล
    ๕. กรรมในปัจจุบันส่งผล






    บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ http://www.dhammakaya.org/dhamma/boon01.php
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2011
  18. pimmarka

    pimmarka สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +12
    คำว่า แก้กรรม มาจาก แก้ +กรรม

    แก้ ความหมาย

    ก.ทําให้คลายจากลักษณะที่แน่นที่ติดขัดหรือที่เป็นเงื่อนเป็นปมอยู่ เช่นแก้ปม แก้เงื่อน;
    ทําให้หลุดให้พ้นไป เช่น แก้คดี; ทําให้ดีขึ้น, ทําให้ใช้การได้,
    ทำส่วนที่เสียให้คืนดีอย่างเดิม, ดัดแปลงให้ดีขึ้น, เช่น แก้นาฬิกาแก้เครื่องจักร,
    แก้ไข ก็ว่า; ทําให้หาย เช่น แก้เก้อแก้ขวย แก้จน แก้โรค;
    เฉลย, อธิบายให้เข้าใจ, เช่นแก้ปัญหา แก้กระทู้;
    ร้องเพลงหรือลำตัดเป็นต้นโต้ตอบกัน;
    เอากลับคืนมาให้ได้ เช่นไปตีแก้เอาเมืองคืน.

    สรุป แก้ หมายถึง ทำให้ดีขึ้น

    กรรม ความหมาย

    น. (๑)การ, การกระทำ, การงาน, กิจ, เช่น พลีกรรม ต่างกรรมต่างวาระ,
    เป็นการดีก็ได้ ชั่วก็ได้ เช่น กุศลกรรม อกุศลกรรม.

    (๒) การกระทำที่ส่งผลร้ายมายังปัจจุบัน หรือซึ่งจะส่งผลร้ายต่อไปในอนาคตเช่น บัดนี้กรรมตามทันแล้ว ระวังกรรมจะตามทันนะ.

    (๓)บาป, เคราะห์, เช่น คนมีกรรม กรรมของฉันแท้ ๆ. (๔) ความตาย ในคำว่าถึงแก่กรรม.


    สรุป กรรม หมายถึงการกระทำ


    แก้กรรม = แก้ +กรรม

    ดังนั้น แก้กรรม = ทำให้ดีขึ้น + การกระทำหมายถึง ทำการกระทำให้ดีขึ้น

    การกระทำ มีทั้ง ทางกาย +ทางวาจา+ทางจิตใจ ความคิด
    ดังนั้น แก้กรรม อาจหมายถึงแก้ทางกาย ทางวาจา และทางจิตใจให้ดีขึ้น


    อีกคำหนึ่งคือ ที่ได้ยินกัน

    <O:p</O:pแก้วิบากกรรม= แก้ +วิบาก +กรรม<O:p></O:p>
    <O:p</O:p

    แก้ หมายถึง ทำให้ดีขึ้น<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    วิบาก หมายถึง น. ผล, ผลแห่งกรรมดีกรรมชั่วอันทําไว้แต่อดีต, เช่น กุศลวิบากกรรมวิบาก. ว. ลำบาก เช่น ทางวิบาก วิ่งวิบาก. (ป., ส. วิปาก).<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    ดังนั้น วิบาก หมายถึง ผลกรรม<O:p</O:p
    <O:p</O:p

    กรรม หมายถึง การกระทำ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ดังนั้น แก้วิบากกรรม อาจหมายถึง แก้การกระทำกรรมให้มีผลดีขึ้น (ผลดี ที่นี้หมายถึง ชีวิตดีขึ้น)

    การแก้กรรม หรือ การแก้วิบากกรรม ในที่นี้หมายถึงเป็นการกระทำให้ดีขึ้น โดย การใช้ความดีละลายความชั่วให้จืดจางถ้าผู้นั้นเร่งทำความดีจนมากกว่าความชั่วผลของความชั่วก็จะจางทำให้ไม่มีอันตรายให้เกิดความทุกข์ก็คือกรรมอาจจะส่งผลแต่ ผู้ที่รับกรรมอาจจะไม่ทุกข์มาก ช่วยผ่อนหนักเป็นเบาดังที่ท่านผู้รู้เปรียบไว้ว่า

    บุญเปรียบเทียบได้เหมือนน้ำ ส่วนบาปเปรียบเทียบได้เหมือนเกลือชีวิตเปรียบเหมือนคน ถ้ามีบุญน้อยเหมือนน้ำ ๑ แก้ว มีบาปอกุศลเหมือนเกลือ ๑ ช้อนเมื่อใส่เกลือลงในแก้วน้ำนั้น น้ำนั้นเค็ม คนดื่มกินไม่ได้ เหมือนชีวิตมีบุญน้อยบาปอกุศลมาก ดื่มน้ำก็มีรสเค็ม ด้วยความทุกข์แต่ถ้าเติมบุญเข้าไป ก็คือการเติมน้ำจนน้ำ ๑ แก้ว เต็มล้นแก้ว และต้องใส่แท็ง เมื่อนำน้ำในแท็งนั้นมาดื่มกินน้ำนั้น คนดื่มกินได้ เกลือยังคงอยู่ บาปอกุศลยังคงอยู่แต่ความเค็มเจือจาง หรือหมดรสเค็ม มีเกลืออยู่ก็เหมือนไม่มี คือ ตามส่งผลไม่ทันจนกลายเป็นอโหสิกรรม

    บุญเปรียบเสมือนน้ำในคลองบาปเสมือนตอที่อยู่ใต้น้ำ ชีวิตเปรียบเสมือนเรือที่แล่นไปบนน้ำถ้ามีบุญมากก็เสมือนน้ำในคลองมาก บาปกุศลที่เปรียบดังตอที่อยู่ใต้น้ำก็ทำอะไรไม่ได้ตอยังคงอยู่แต่ทำอะไรไม่ได้ เรือก็แล่นไปได้อย่างสะดวกไม่ชนตอเหมือนชีวิตที่ราบรื่นก้าวหน้า ถ้าบุญน้อยก็เสมือนน้ำน้อย ตอก็ผุดเรือก็ติดตอยังคงอยู่ น้ำน้อยตอผุดได้ เรือชนตอได้ จะประกอบธุรกิจการงานใดๆ ก็ติดขัดไปหมด

    หลักการแก้กรรม หรือ แก้วิบากกรรม โดยการสะสมความดีและทำบุญทุกบุญ
    <O:p</O:p
    ๑. หักดิบเลิกทำสิ่งไม่ดีทั้งหลาย<O:p</O:p
    ๒. ลืมอดีตที่ผิดพลาดให้หมด<O:p</O:p
    ๓. รักษาศีล ในบริสุทธ์ ศีล ๕ ศีล ๘ ในวันพระใหญ่ หรือ ทุกวัน<O:p</O:p
    ๔. สะสมบุญอย่างเต็มที่ เต็มกำลัง ต่อเนื่อง ทำทาน รักษาศีล ทำสมาธิ ภาวนา วิปัสสนา กรรมฐาน ตามจริตของแต่ละคน<O:p</O:p
    ๕. ให้มีความยินดี ปลื้มใจในการทำบุญ ๓ ระยะ ทั้งก่อนทำ ขณะทำ และหลังทำ ให้นึกถึงบุญที่ทำแล้วที่สะสมมาบ่อย ๆ ทั้งหมด<O:p</O:p
    ๖.อธิฐานจิตในบุญไปตัดรอนวิบากกรรมที่เคยทำไว้<O:p</O:p
    ๗. อุทิศบุญให้สรรพสัตว์ทั้งหลายเจ้ากรรมนายเวรที่เคยเบียดเบียนไว้<O:p</O:p
    ๘.ถ้ามีโรคมากเกิดจากวิบากกรรมฆ่าสัตว์ ทรมารสัตว์ หรือใช้แรงงานสัตว์มากเกินไป ให้ปล่อยสัตว์เล็ก สัตว์ใหญ่ให้ชีวิตสัตว์เป็นทาน ร่วมทั้งถวาย ยาสำหรับพระภิกษุสงฆ์ พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ และ บุคคลทั่วไป<O:p</O:p
    ๙. ถ้าเป็นโรคผิวหนัง ให้ปัดกวาดเช็ดถู ทำความสะอาดเสนาสนะในเขตสงฆ์ เช่น หอฉัน วิหาร อุโบสถ เจดีย์ พระพุทธรูป อาคารปฏิบัติธรรม สิ่งก่อสร้างที่อยู่ในวัด เป็นต้น และถวายผ้าไตรจีวรแก่ภิกษุสงฆ์ ชุดขาวแก่แม่ชี<O:p</O:p
    ๑๐.ถ้าเป็นโรคเกี่ยวกับตา ทำบุญโคมประทีบ จุดประทีบบูชาพระรัตนตรัย มองคนด้วยจิตเมตตา ถวายแว่นตาแต่พระภิกษุ ทำบุญยารักษากับบุคคลที่เป็นโรคตา<O:p</O:p
    ๑๑. ถ้าไม่ได้รับการศึกษา หรือ การศึกษาไม่สูง ให้ทำบุญ สนับสนุนการศึกษากับพระภิกษุ สามเณร นักเรียน ฝึกนิสัย รักการเรียนรู้ ค้นหาความรู้<O:p</O:p
    ๑๒. ถ้ากล่าวล่วงเกินพระรัตนตรัย บุพการี ผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้มีศีล ให้ไปกราบขอขมา ขออโหสิกรรม<O:p</O:p
    ๑๓. ถ้าเป็นภรรยา หรือ สามี เบื่อชีวิต การครองเรือน ให้ดูแล ปฏิบัติต่อกันประดุจเทวดา และหาโอกาสรักษาศีล ๘ ทำบุญทุกบุญแล้ว อธิฐานให้เกิดเป็นชายสำหรับผู้หญิง<O:p</O:p
    ๑๔. ถ้าจะแก้ไขวิบากกรรม เจ้าชู้ ให้รักษาศีล ๘ อย่างน้อยทุกวันพระตลอดชีวิต<O:p</O:p
    ๑๕. ถ้าญาติมีใกล้ชิด ยังไม่มีศรัทธา ยังไม้เข้าใจในเรื่องบุญ ให้ทำบุญใส่ชื่อญาติมิตรแล้วอธิฐานติดตามความปราถนาไปก่อน<O:p</O:p
    ๑๖. ถ้าทำบุญให้ผู้ตาย ควรใส่ชื่อผู้ตาย จะได้บุญเต็มที่กว่าใส่ชื่อเราแล้วอุทิศให้ผู้ตาย<O:p</O:p
    ๑๗. ในวันพระใหญ่ ให้ทำบุญอุทิศ เจาะจงให้ไปให้หมู่ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว หากหมู่ญาติอยู่ในยมโลกจะได้รับบุญเต็มที่<O:p</O:p
    ๑๘. ให้สำรวจดูปัจจุบันชาติ เรามีความบกพร่องเรื่องใดบ้าง ในด้าน รูปสมบัติ<O:p</O:p
    ทรัพย์สมบัติ คุณสมบัติ เพื่อจะได้ทำบุญ สะสมบุญแล้วอธิฐานจิตแก้ไข ความบกพร่องนั้น<O:p</O:p
    ๑๙. หมั่นปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรมะ เพื่อไปตัดรอนวิบากกรรมเก่าเร็วขึ้น
    <O:p</O:p<O:p</O:p
    สรุปหลักการแก้วิบากกรรม หรือ แก้กรรม<O:p</O:p
    ๑. อดีตผิดพลาดลืมให้หมด<O:p</O:p
    ๒.บาปอกุศลทุกชนิดไม่คิดทำเพิ่มอีกเด็ดขาด<O:p</O:p
    ๓.หมั่นนึกถึงบุญที่ได้สะสมทำมาทั้งหมด<O:p</O:p
    ๔.บุญทุกชนิดให้ทำเพิ่มขึ้น เข็มข้น ทับทวี<O:p</O:p
    ๕. หมั่นปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงธรรมะ ไปตัดรอนวิบากกรรม

    จบตอน กฏแห่งกรรม

    ขอบคุณที่แวะมาอ่าน อนุโมทนา สาธุ ขอความสุขมีแก่ทุกท่าน :cool:<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤศจิกายน 2011
  19. pimmarka

    pimmarka สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +12
    รู้ทันวิบากกรรม ตอน โรคเกี่ยวกับระบบขับถ่ายโรคภัยไข้เจ็บ

    รู้ทันวิบากกรรม ตอน โรคเกี่ยวกับระบบขับถ่าย
    <O:p</O:p
    โรคภัยไข้เจ็บ โรคระบบขับถ่าย ประกอบด้วยโรคท้องเสียถ่ายไม่หยุด<O:p</O:p
    ไม่มีรูทวารหนัก ทวารหนักมีฝีขึ้น ผ่าตัดริดสีดวงทวาร ถ่ายไม่ออก ถ่ายยาก<O:p</O:p
    ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะอักแสบขัด นิ่วกระเพาะปัสสาวะ ปัสสาวะแตก ปัสสาวะอักเสบ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ท้องเสียถ่ายไม่หยุด<O:p</O:p
    ๑.อดีตชาติเอายาถ่ายใส่อาหารให้เชลยกิน<O:p</O:p
    ๒.อดีตชาติแกล้งคนให้กินสลอด<O:p</O:p
    ๓.อดีตชาติเอาเงินที่ยืมมาใช้สุรุ่ยสุร่าย<O:p</O:p
    ๔.อดีตชาติ ยืมเงินมาแล้วมีเงินไม่ใช้คืน<O:p</O:p
    ๕.ปัจจุบันอาหารเป็นพิษ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ไม่มีรูทวารหนัก<O:p</O:p
    ๑.อดีตชาติจับหนูมาเย็บก้นจนถ่ายไม่ออก<O:p</O:p
    ๒.อดีตชาติแกล้งสัตว์โดยเอาท่อนไม้เสียบก้นสัตว์บ่อย ๆ<O:p</O:p
    ๓.อดีตชาติ ถ่ายที่ข้าง ๆ บันไดหน้ากุฏิ แล้วไม่ยอมรับโดนแช่งไม่ให้มีรูทวาร
    <O:p</O:p<O:p</O:p
    เย็บปิดทวารหนัก<O:p</O:p
    ๑.อดีตชาติ เอาประทัดเสียบก้นสุนัขแล้วจุดให้ระเบิด<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ทวารมีฝีขึ้น<O:p</O:p
    ๑. อดีตชาติ นินทาวิจารณ์ลับหลัง<O:p</O:p
    <O:p</O:p<O:p</O:p<O:p</O:p
    ผ่าตัดริดสีดวงทวาร<O:p</O:p
    ๑. อดีตชาติเหนียวหนี้<O:p</O:p
    ๒.อดีตชาติ ฆ่าสัตว์เล็ก สัตว์น้อย<O:p</O:p
    ๓.อดีตชาติ เอาประทับเสียบก้น สุนัขแล้วจุด<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ถ่ายไม่ออก ถ่ายยาก
    <O:p</O:p๑.อดีตชาติ เหนียวหนี้ อดีตชาติ เป็นคนดื้อว่ายาก<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ถ่ายเป็นเลือด<O:p</O:p
    ๑.ปัจจุบัน ธาตุวิปริต เพราะกินงูเห่าเป็นประจำ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ปัสสาวะแสบขัด<O:p</O:p
    ๑. อดีตชาติชอบสบถคำหยาบถึงอวัยวะเพศ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    นิ่วกระเพาะปัสสาวะ <O:p</O:p
    ๑.อดีตชาติ ปัสสาวะไม่เป็นที่เป็นทาง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    กระเพาะปัสสาวะแตก ปัสสาวะอักเสบ <O:p</O:p
    ๑. อดีตชาติ ทำร้ายคนจนกระเพาะปัสสาวะแตก<O:p</O:p
    ๒.อดีตชาติ ปัสสาวะไม่เป็นที่เป็นทาง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    มีก้อนหินเล็ก ๆ ปนมากับปัสสาวะ<O:p</O:p
    ๑.อดีตชาติ ปัสสาวะไม่เป็นที่เป็นทางรดกำแพงวัด<O:p</O:p
    <O:p</O:p<O:p</O:p<O:p</O:p
    โรคระบบขับถ่าย ประกอบด้วยโรคท้องเสียถ่ายไม่หยุด ไม่มีรูทวารหนัก ทวารหนักมีฝีขึ้น ผ่าตัดริดสีดวงทวาร ถ่ายไม่ออก ถ่ายยาก ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะอักแสบขัด นิ่วกระเพาะปัสสาวะ ปัสสาวะแตก ปัสสาวะอักเสบ <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    สรุป กรรมที่ทำให้เป็นโรคเกี่ยวกับระบบขับถ่าย<O:p</O:p
    ๑.เหนียวหนี้ เบี้ยวหนี<O:p</O:p
    ๒.แกล้งสัตว์ที่อวัยวะขับถ่าย<O:p</O:p
    ๓.ขับถ่าย ปัสสาวะไม่เป็นที่<O:p</O:p
    ๔. แกล้งใส่ยาถ่าย สลอดในอาหาร<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    สรุปคนที่มีวิบากกรรมเป็นโรคในระบบขับถ่าย ทำผิดศีล ข้อ ๑ และ ข้อ ๒

    เหตุที่ทำให้อายุยืน สุขภาพดี

    อายุยืน สุขภาพดี ประกอบด้วย สุขภาพดี แข็งแรง คลอดง่าย หมดอายุขัยแล้วแต่ยังต่อชีวิตได้อีกระยะหนึ่ง

    อายุยืน
    ๑. อดีตชาติ ไม่ฆ่า
    ๒. อดีตชาติ สงเคราะห์หมู่ญาติ
    ๓. อดีตชาติ + ปัจจุบัน เป็นหมอรักษาคนไข้
    ๔. อดีตชาติ บริจาคข้าวน้ำแก่คนยากจนสม่ำเสมอ
    ๕. อดีตชาติ + ปัจจุบัน ทำบุญตักบาตรและถวายภัตตาหารพระ
    ๖. อดีตชาติ + ปัจจุบัน ทำบุญถวายยารักษาโรคพระภิกษุ สามเณรและคนยากจน

    หมดอายุขัยแล้วแต่ยังต่อชีวิตได้อีกระยะหนึ่ง
    ๑. ปัจจุบัน สร้างพระพุทธรูป บวชพระในพระพุทธศาสนา
    ๒. ปัจจุบัน นั่งสมาธิ
    ๓. ปัจจุบัน ปล่อยสัตว์ปล่อยปลา ให้ชีวิตเป็นทาน
    ๔. ปัจจุบัน ทำบุญในช่วงสุดท้ายของชีวิต

    สุขภาพดี แข็งแรง
    ๑. อดีตชาติ + ปัจจุบัน สงเคราะห์หมู่ญาติ
    ๒. อดีตชาติ + ปัจจุบัน รักษาศีล ไม่ฆ่า
    ๓. อดีตชาติ ถวายภัตตาหารพระ
    ๔. อดีตชาติ ทำบุญตามประเพณี
    ๕. อดีตชาติ เลี้ยงดูพ่อแม่
    ๖. อดีตชาติ ทำบุญยารักษาโรค ชอบช่วยเหลือคนป่วย
    ๗. อดีตชาติ สร้างวัดและเสนาสนะในพระพุทธศษสนา
    ๘. อดีตชาติ ทำบุญแล้วอธิษฐานจิตให้แข็งแรง อายุยืน ไม่มีโรค

    คลอดง่าย
    ๑. อดีตชาติ ไม่กักขัง หน่วงเหนี่ยวคน สัตว์
    ๒. ปัจจุบันได้ฟังพระธุดงค์สวดพระปริตร พุทธมนต์
    ๓. อดีตชาติ รักษาผู้ป่วยเอาไว้มาก
    ๔. อดีตชาติ ปล่อยสัตว์ ปล่อยปลา ให้ชีวิตเป็นทาน

    อายุยืน สุขภาพดี ประกอบด้วย หมดอายุขัยแล้วแต่ยังต่อชีวิตได้อีกระยะหนึ่ง
    สุขภาพดี แข็งแรง คลอดง่าย

    สรุปกรรมที่ทำให้อายุยืน สุขภาพดี
    ๑. รักษาศีล ไม่ฆ่าสัตว์
    ๓. ถวายภัตตาหาร ตักบาตรพระภิกษุ
    ๔. ถวายยารักษาโรค ช่วยชีวิตคน
    ๕. ปล่อยสัตว์ ปล่อยปลา ให้ชีวิตสัตว์เป็นทาน
    ๖. สร้างพระพุทธรูป บวชพระไว้ในพระพุทธศาสนา
    ๗. นั่งสมาธิ


    สรุปคนที่มีวิบากกรรม โรคระบบขับถ่าย ประกอบด้วยโรคท้องเสียถ่ายไม่หยุด<O:p</O:p
    ไม่มีรูทวารหนัก ทวารหนักมีฝีขึ้น ผ่าตัดริดสีดวงทวาร ถ่ายไม่ออก ถ่ายยาก<O:p</O:p
    ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะอักแสบขัด นิ่วกระเพาะปัสสาวะ ปัสสาวะแตก ปัสสาวะอักเสบ ทำบุญดังนี้

    ๑. รักษาศีล ๕ โดย เฉพาะ ข้อ ๑ ข้อ ๒ ห้ามขาด
    ๒. ตักบาตรพระ ถวายภัตตาหาร บริจาคข้าวน้ำ
    ๓. ถวายยารักษาโรค ทำบุญโรงพยาบาลสงฆ์
    ๔.ให้ชีวิตสัตว์เป็นทาน ปล่อยสัตว์ ปล่อยปลา สัตว์ใหญ่ สัตว์เล็ก
    ๕. สร้างพระพุทธรูป บวชพระไว้ในพระพุทธศาสนา
    ๖. สวดมนต์ นั่งสมาธิ แผ่เมตตา อยู่เสมอ
    ๗. สะสมบุญทุกบุญ ทำอย่างง่าย ๆ ทำเต็มที่ เต็มกำลังใจ ให้รู้สึกมีความสุข
    ทั้ง ก่อนทำ ขณะทำ หลังทำ <DIV">

    ขอบคุณที่แวะมาอ่าน
    อนุโมทนา สาธุ
    ความไม่มีโรค เป็นลาภยิ่ง<O:p</O:p
    ความสันโดด เป็นทรัพย์ยิ่ง<O:p</O:p
    ความคุ้นเคยเป็นญาติยิ่ง<O:p</O:p
    นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง
    ขอให้ทุกท่านมีสุขภาพดีอยู่เสมอ :cool:
    <O:p</O:p

    ................................................................................
    เอาการรักษาเบื้องต้นมาฝาก

    วิธีการรักษาโรคเกี่ยวกับระบบขับถ่าย ท้องผูก ริดสีดวงทวารหนัก
    <O:p</O:p
    โรคท้องผูก ได้แก่<O:p</O:p
    ๑.ร่างกายขาดน้ำ ดื่มน้ำน้อย หรือ ร่างกายเก็บน้ำไว้ไม่ได้ เพราะไม่ออกกำลัง<O:p</O:p
    ๒.ไม่ชอบรับประทานผัก กินแต่เนื้อสัตว์ ไม่มีกาก ทำให้ถ่ายยาก<O:p</O:p
    ๓.อั้นอุจจาระนาน ๆ น้ำถูกดูดกลับ ทำให้แข็ง ถ่ายยาก<O:p</O:p
    ๔. ไม่ชอบออกกำลังกาย นอน นั่ง นาน ๆ ลำไส้ไม่ทำงาน อุจจาระค้างและเน่า ทำให้ท้องเสียตามมา<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    คนท้องผูกหนักแก้ไข มี ๓ วิธี
    <O:p</O:p
    ๑. วิธีโบราณ ดื่มน้ำชาอุ่น ๆ ตอนเช้าทุกวัน ดื่มจนกว่าจะปวด หากวันแรกไม่ถ่าย ก็อย่าเพิ่งท้อ ทำติดต่อไป ๓ วัน ก็ถ่ายจนได้ และจะกลายเป็นนิสัย ถ่ายตอนเช้าโดยอัตโนมัติ<O:p</O:p
    ๒.กินยาระบาย คือ เช่น มะขามเปรียก ยาระบายในรูปของอาหารจะดีกว่ายาถ่ายร้านขายยา เพราะกินยาตามร้านขายยา กินไปนาน จะติด<O:p</O:p
    ๓.ออกกำลังกายกล้ามเนื้อหูรูด ทวารหนัก ถ้าทองผุก และแข็ง ถ่ายไม่ออก ให้เบ่งไม่แรงแล้วขมิบ เบ่งนิดเดียวแล้ว ขมิบ ถ้ายังไม่ออกให้ใช้หัวฉีดน้ำล้างก้น เพื่อใช้น้ำหล่อลื่น สลับกับการเบ่ง แล้วขมิบจนกว่าถ่ายออก หลักการได้มาจากการถอนต้นเสา ใส่น้ำลงโคนเสาให้มากพอ แล้วโยกต้นเสาไปมา จึงถอนดึงขึ้น ทำสลับต่อไปนี้จนกว่าจะถอนเสาขึ้นได้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ริดสีดวงทวารหนัก<O:p</O:p
    ท้องผูกเรื้อรังทำให้เป็นโรคริดสีดวงทวารหนักได้ง่าย<O:p</O:p
    วิธีดูแลตนเองเบื้องต้นถ้าเป็นโรคริดสีดวงทวารหนัก<O:p</O:p
    ๑. มีการอักเสบที่ทวารหนัก ปากทวารหนักบวมเป่งบ่อย ๆจนบวดและเจ็บก้าวขาไม่ออก วิธีเบื้องต้นช่วยให้ทุเลาได้ดังนี้<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ๑.๑ เอามะกรูดแก่ ๆ หนึ่งผลมาอังไฟ ให้อุ่น ๆ ใช้มือแตะดูรู้สึกอุ่นพอทนได้ ใช้มะกรูดอุ่น ๆ นาบแตะที่บริเวณทวารหนัก พอมะกรูดเย็นมาอังไฟใหม่ ทำเช่นนี้สลับกันไป ประมาณ ๑๐ นาที ส่วนที่บวมลดลง ๒๐ ถึง ๓๐ หรืออาจ ๖๐ เปอร์เซนต์<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ๑.๒ บริเวณที่นาบแตะอาจจะรู้สึกแสบ หลังจากทำตามข้อ ๑ ให้ใช้ครีมทาหน้า หรือทาตัวทาบริเวณนั้น ช่วยลดอาการแสบระคายเคือง พักผ่อนสักตื่น พบว่าอาการบวมยุบหายไป ๖๐ ถึง ๗๐ เปอร์เซนต์<O:p></O:p>
    <O:p</O:p
    สำหรับผู้เป็นใหม่เป็นแรก ๆ อาการอักเสบอาจจะเหี่ยวหายไปเลย แต่สำหรับเป็นเรื้อรัง จะไม่หายขาด แต่ทุเลาลง ถ้ามีเลือดใหลไม่หยุดในปรึกษาหมอที่มีความเชี่ยวชาญโดยตรง<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ๒. ออกกำลังกายทวารหนัก ทำง่ายได้ผล คือ ทุกครั้งที่เข้าห้องน้ำ หลังจากทำธุระเสร็จ นั่งที่โถส้วม ขมิบทวารหนัก ๓๐๐ ถึง ๕๐๐ ทำอย่างนี้ ๑ ถึง ๒ อาทิตย์ อาการท้องผูกและริดสีดวงทวารหนักจะหายไป<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ๓. อีกวิธีหนึ่งที่แพทย์บอกมา ทุกเช้าให้นำน้ำอุ่นมา แล้วนั่งแช่ทวารหนักลงไปในน้ำ เพื่อช่วยคลายเส้นเลือด ที่บวมอักเสบ ประมาณ ๓๐ วัน แล้วสังเกตุดู อาการบวมจะลดลง

    ที่มา วิธีการรักษาเบื้องต้น
    สรุป ย่อจากหนังสือ เรื่อง สุขภาพนักสร้างบารมี ตอน ท้องผูก ริดสีดวงทวาร<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
    <O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2011
  20. pimmarka

    pimmarka สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    202
    ค่าพลัง:
    +12
    หลวงพ่อจรัญ

    ชีวประวัติของหลวงพ่อจรัญ วิบากกรรมของหลวงพ่อ


    http://www.youtube.com/playlist?list=PLBEC469F059538C6B

    ขอบคุณที่แวะมาดู สาธุ อนุโมทนามิ ขอท่านจงเจริญในธรรม :cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...