รู้จากตำราความรู้เอาไปละกิเลสไม่ได้

ในห้อง 'ทุกข์และปัญหาชีวิต' ตั้งกระทู้โดย Muang99, 9 กรกฎาคม 2014.

  1. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,406
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    แอบส่อง อ.ป่าติ้ว จังหวัดยโสธร ด้วยเทคโนโลยี่ดาวเทียม

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    อยู่อำเภอไม่ค่อยเจริญ ร้าน 7-11 เพิ่งมี ซื้อกับข้าวทำกินเองง่ายสุด หรือหาแฟน ให้แฟนทำอาหารให้กิน จบ.

    ร้าน 7-11 จะไปเปิด เขาจะต้องดูจำนวนผู้คนแถวนั้น โรงงานแถวบ้านผม คือ ที่โรงงานเซฟสกิน มีร้าน 7-11 ตั้ง 2 ร้าน มีร้านขายยา ร้านขายมือถือหลายร้าน มีตลาดนัด และอื่นๆ เพราะมีโรงงานติดๆ กันหลายแห่ง มีพนักงานรวมๆ หลายโรงงานคงน่าจะมากกว่า 3,000 คน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2016
  2. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,406
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    แอบส่อง โรงงานแถบบ้าน ด้วยเทคโนโลยี่ดาวเทียม

    [​IMG]

    [​IMG]

    โรงงานเซฟสะกิน บริษัทใหญ่แห่งหนึ่ง​

    [​IMG]

    [​IMG]

    แถวโรงงานมีร้าน 7-11 จำนวน 2 ร้าน อยู่ฝั่งละ 1 ร้าน และมี Lotus Express อีก 1 ร้าน​
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กันยายน 2016
  3. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,406
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    สำหรับท่านที่ติดขัดด้านการเงิน มีหนทางมากมายหลายทางเช่น

    1.ให้ระลึกถึงความดีที่ตนเองได้เคยทำมา โดยเฉพาะบุญที่เคยทำมาแล้วมีปิติมาก แล้วอธิษฐานกับบุญเหล่านั้นที่ตนเองได้เคยทำมา ขอให้มีคนมาช่วยเรื่องการเงินโดยด่วน

    2.การขอกับครูบาอาจารย์

    3.การอธิษฐานเสริมดวงด้านโชคลาภ

    "ข้าพเจ้าขอน้อมความดีทั้งหมดบูชาพระรัตนตรัย อีกทั้งพรหมเทพเทวดาทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับข้าพเจ้า และพรหมเทพทุกพระองค์ท่านทั่วสากลจักรวาล ขอบุญที่ข้าพเจ้ากระทำมาแล้วทั้งหมด มาช่วยให้มีความคล่องตัวในปัจจุบัน โดยเฉพาะในกาลนี้ขอให้มีความคล่องตัวในเรื่องการเงิน การงานและโชคลาภด้วยเถิด"

    หมายเหตุ : ต้องรู้จักดัดแปลงเอาบ้าง เช่น "โดยเฉพาะในกาลนี้ขอให้มีเพื่อนหรือญาติ เข้ามาช่วยเหลือข้าพเจ้าในด้านการเงิน ขอให้ได้เงิน 1 แสนบาทโดยด่วน"

    4.สำหรับท่านที่ติดขัดด้านการเงิน ลองขอโชค ขอลาภ กับหลวงพ่อทันใจดูนะครับ จุดธูปสามดอกบนบานที่บ้าน ถ้าสำเร็จจะถวายพวงมาลัยกี่พวง ก็ไปคิดกันเอาเอง เมื่อสำเร็จแล้วต้องเดินทางไปถวายพวงมาลัยกับหลวงพ่อทันใจ ที่วัดพระธาตุดอยคำนะครับ คนอื่นบนให้ขายที่ 40 ล้านได้ และถวายพวงมาลัย 99,999 พวง ถ้าบนให้ถูกล๊ํอตเตอร์รี่หรือถูกหวย ได้เงิน 2-3 แสนบาท ควรต้องถวายพวงมาลัยกี่พวง?
    http://palungjit.org/threads/คำบูชาหลวงปู่สรวง-และคำอธิษฐานขอพร.534272/page-6#post9819956 (หลวงพ่อทันใจ มีลงอยู่ที่หน้า 6 ขงกระทู้นี้)


    [​IMG]
    5.ขอพรกับหลวงปู่สรวง เทวดาเล่นดิน

    6.เบิกบุญ ส่งบุญ
    http://palungjit.org/threads/คำบูชาหลวงปู่สรวง-และคำอธิษฐานขอพร.534272/page-4#post9772694 (บทเบิกบุญ ส่งบุญ มีลงอยู่ที่หน้า 4 ของกระทู้นี้)

    7.สวดคาถาชินบัญชร วันละ 7 จบ เป็นเวลา 7 วัน แล้วอธิษฐานขอในสิ่งที่ต้องการ...

    8.คนไม่เสียสัจจะ ทำอะไรก็มักสำเร็จ อธิษฐานจิตจะขึ้น จะสมปรารถนา
    http://palungjit.org/threads/คำบูชาหลวงปู่สรวง-และคำอธิษฐานขอพร.534272/page-3#post9552729 (อยู่ที่หน้า 3 ของกระทู้นี้)

    9.ขอพรกับหลวงพ่อเงินไหลมาเทมา (แม่ชีทศพร ชี้ทางรวย) : http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=1020
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 กันยายน 2016
  4. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,406
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    1.บทสวดมนต์แบบแม่ชีทศพร จะเน้นในเรื่องของการอาราธนาศีล 5 และการสมาทานศีล 5

    2.บทสวดมนต์แบบแม่ชีทศพร หรือคำอธิษฐานแบบแม่ชีทศพรในช่วงหลังๆ ท่านแนะนำให้นำคำว่า "นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ" ออก เพราะเมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ มีลูกศิษย์มาถามแม่ว่า เขาสวดมนต์ และอธิษฐานตามแม่แล้วทำไมชีวิตมีแต่ปัญหา มีแต่ความสับสน มีเรื่องให้ต้องตัดสินใจ ระหว่างเรื่องถูกกับเรื่องผิดในเวลาเดียวกัน แล้วส่วนมากจะเลือกผิด แม่ก็นั่งกรรมฐาน แล้วคำว่า “นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ” ปรากฏขึ้นมา ตอนนั้นแม่เข้าใจในทันที แม่จึงขอขมาว่า “กรรมใดก็ดี ที่ข้าพเจ้าน้อมนำด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ในคำว่า นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ ขอให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และแม่พระธรณี จงเป็นพยานว่า ข้าพเจ้าขออโหสิกรรม”

    คำว่า นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ คือการขอถึงซึ่งพระนิพพาน ซึ่งเรื่องนิพพานนั้น ละเอียดมาก ที่ผ่านมาแม่พาให้คนปฏิบัติตาม โดยเขียนหนังสือในทุกขั้นตอนจะมีคำว่า “นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ” จนวันนี้ได้รู้ว่า คำว่า “นิพพาน” จะใช้ได้กับอริยบุคคล แต่ถ้าเราจะกล่าว เราก็สามารถกล่าวตามที่พระท่านนำอย่างนี้ได้ แต่ถ้าเราจะกล่าวคำนี้เอง เราต้องเป็นคนที่ไม่ข้องแวะกับกิเลสตัณหาแล้ว หรือถ้าจะอธิษฐานถึงชาติหน้าว่า “ถ้าชาติหน้าข้าพเจ้ามีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนา ขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน” อย่างนี้อธิษฐานได้ การหวังนิพพานก็เป็นสติอย่างหนึ่ง ว่าเวลาเราทำอะไรจะได้เกิดความละอายต่อคำว่า “นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ”
     
  5. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,406
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    บทสวดมนต์ (แบบแม่ชีทศพร)

    คำบูชาพระ
    อิมินา สักกาเรนะ พุทธัง อะภิปูชะยามิ
    อิมินา สักกาเรนะ ธัมมัง อะภิปูชะยามิ
    อิมินา สักกาเรนะ สังฆัง อะภิปูชะยามิ

    คำนมัสการพระรัตนตรัย
    อะระหัง สัมมา สัมพุทโธ ภะคะวา พุทธังภะคะวันตัง อภิวาเทมิ (กราบ)
    สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมังนะมัสสามิ (กราบ)
    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบ)

    คำอาราธนาศีล ๕
    มะยังภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะสะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ
    ทุติยัมปิ มะยังภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะสะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ
    ตะติยัมปิ มะยังภันเต วิสุง วิสุง รักขะนัตถายะ ติสะระเณนะสะหะ ปัญจะ สีลานิยาจามะ

    คำนมัสการพระพุทธเจ้า
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)

    ไตรสรณคมณ์
    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    ตะตะยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    ศีล ๕
    ปาณาติปาตา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
    อะทินนาทานา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
    กาเมสุมิจฉาจารา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
    มุสาวาทา เวระมะณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ
    สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี สิขาปะทัง สะมาทิยามิ

    คำขอขมาพระรัตนตรัย
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ทวารัตตะเยนะ กะตัง
    สัพพัง อะปะราธัง ขะมะถะ เม ภันเต อุกาสะ ขะมามิ ภันเตฯ

    หากข้าพระพุทธเจ้า ได้เคยประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อพระรัตนตรัยอันมีพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรมและพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ในชาติก่อนก็ดี ชาตินี้ก็ดี ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
    ขอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระธรรม พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย และผู้มีพระคุณทุกท่าน ได้โปรดงดเว้นโทษให้แก่ข้าพระพุทธเจ้าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ

    คำแผ่เมตตาให้แก่ตนเอง
    อะหัง สุขิโต โหมิ
    ขอให้ข้าพเจ้าจงมีความสุข
    อะหัง นิททุกโข โหมิ
    ขอให้ข้าพเจ้าจงปราศจากทุกข์
    อะหัง อเวโร โหมิ
    ขอให้ข้าพเจ้าจงปราศจากเวร
    อะหัง อัพยาปัชโฌ โหมิ
    ขอให้ข้าพเจ้าปราศจากความลำบาก
    อะหัง อะนีโฆ โหมิ
    ขอให้ข้าพเจ้าจงปราศจากอุปสรรค
    สุขี อัตตานัง ปะริหะรามิ
    จงรักษาตนให้มีความสุขตลอดกาลนาน เทอญ

    คำแผ่เมตตาให้แก่ผู้อื่น
    สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตายด้วยกัน ทั้งหมดทั้งสิ้น
    อะเวรา โหนตุ จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
    อัพยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียน ซึ่งกันและกันเลย
    อะนีฆา โหนตุ จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กายทุกข์ใจเลย
    สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด

    บทกรวดน้ำแม่ชีใหญ่ “ทศพร เทวาพิทักษ์ธรรม”

    “พระจัตตุโลก พระยมกทั้งสี่ ขอส่งน้ำอุทิศนี้ เข้าไปในลังกาทวีป ในห้องพระสมาธิ เป็นที่ประชุมการใหญ่ ของแม่พระธรณี ขอให้แม่พระธรณี จงมาเป็นทิพย์ญาณ เป็นผู้ว่าการในโลกอุดร ขอให้แม่พระธรณี จงนำเอากุศลผลบุญของข้าพเจ้า ที่ได้กระทำในวันนี้ นำส่งให้แก่ข้าพเจ้า ในกาลบัดเดี๋ยวนี้เถิด

    พุทธังอนันตัง ธัมมังจักรวาลัง สังฆังนิพพานัง ข้าพเจ้าขอแผ่เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ให้แก่สรรพสัตว์ที่มีดิน น้ำ ลม ไฟ และขอถวายเป็นปฏิบัติบูชา แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมเจ้า พระอริยเจ้า พระอริยสงฆ์และพระปัจเจกโพธิเจ้า พระอรหันตเจ้า

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ บิดา มารดา ตระกูลพ่อ ตระกูลแม่ ตระกูลพี่ กระกูลน้อง ตระกูลปู่ ตระกูลย่า ตระกูลตา ตระกูลยาย ญาติพี่น้องทั้งหลาย เพื่อนสนิทมิตรสหายทั้งหลาย จงนำและได้รับส่วนบุญส่วนกุศลที่ข้าพเจ้าได้พึงกระทำในครั้งนี้ ขอให้บุคคลที่ข้าพเจ้าเคยล่วงเกินด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ใจก็ดี ที่ตั้งใจก็ดี ไม่ตั้งใจก็ดี ทั้งในภพนี้และในภพที่เคยผ่านมา จงได้รับส่วนบุญส่วนกุศลที่ข้าพเจ้าได้พึงกระทำ เมื่อได้รับอานิสงส์แล้ว จงปลดปล่อยกรรม ปลดปล่อยกรรม ปลดปล่อยกรรม ด้วยกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ให้แก่ข้าพเจ้าพร้อมทั้งครอบครัวข้าพเจ้า ทั้งตระกูลปู่ ตระกูลย่า ตระกูลตา ตระกูลยาย ตระกูลพี่ ตระกูลน้อง

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้พระราชาพระมหากษัตริย์ เศรษฐี มหาเศรษฐี ที่สืบสานพระศาสนาตั้งแต่พุทธกาลจนถึงปัจจุบัน มีพระเจ้าพิมพิสาร พระเจ้าอโศกมหาราช พระราชามหากษัตริย์ไทย มีสมเด็จพระนเรศวรมหาราช สมเด็จพระเอกาทศรถ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และวีรกษัตริย์ทุกๆ พระองค์ อันได้แก่ สมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยา ฯลฯ

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ จตุสดมภ์ทั้ง 4 ขุนเวียง ขุนวัง ขุนคลัง ขุนนา ท่านแม่ทัพนายกอง หัวหมู่ ขุนพล ทหารหาญทั้งหลาย ข้าทาสบริวาร ครูหมัด ครูมวย ครูหอก ครูดาบ ครูศาสตราวุธ ทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ ทุกกรมกอง

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ พระแม่ธรณี แม่พระคงคามหาสมุทร แม่พระโพสพ แม่พระเพลิง แม่พระพาย เจ้าทะเล เจ้าบาดาล เจ้าพิภพ

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ สุริยจักรวาล มีพระอาทิตย์ พระจันทร์

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ สัตตะโลหะ นวโลหะ รัตนชาติ แร่ธาตุทั้งหลาย ช้างศึก ม้าศึก ช้างเสบียง ม้าเสบียงทั้งหลาย วัว ควายทั้งหลาย หมูเห็ด เป็ดไก่ กุ้ง หอย ปู ปลา ทั้งสัตว์น้ำจืด น้ำเค็ม และสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำทั้งหลาย สัตว์ปีกทั้งหลาย สัตว์ปีนป่ายทั้งหลาย สัตว์เลื้อยคลานทั้งหลาย สัตว์ในไข่ทั้งหลาย สัตว์ในครรภ์ทั้งหลาย ที่ข้าพเจ้าเข่นฆ่าก็ดี บริโภคก็ดี อยู่ในเนื้อ อยู่ในหนัง อยู่ในกระดูก อยู่ในตับ ไต ไส้พุง อยู่ในทั้งหมดอาการ 32 ของตัวข้าพเจ้า

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ สัมมาอาชีพและปัจจัยสี่ของข้าพเจ้าที่ได้มีกินมีใช้ ขอให้สัมมาอาชีพจจงได้รับอานิสงส์ผลบุญนี้

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้พยัญชนะ ตัวอักษรทุกภาษาในโลกนี้ เครื่องมือสื่อสารทุกชนิด จงมีส่วนในบุญของข้าพเจ้า

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ ทรัพย์ของแผ่นดิน ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ดวงจิตดวงวิญญาณ ทั้งหลายที่เคยจะเกิดมาเป็นลูกเป็นหลานแล้วไม่เกิด จงได้รับในบุญกุศล และจงเว้นจากการจองเวร

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ ดวงจิตของข้าพเจ้าที่เคยตกหล่นเป็นกรรมอยู่ในนรกภูมิที่อยู่ทุก ๆ ขุมนรกจงหลุดพ้นจากอุปกรรม วิบากกรรม เคราะห์กรรม ด้วยกุศลในครั้งนี้

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ เชื้อโรคเชื้อรา เชื้อร้าย เชื้อมะเร็งทั้งหลาย เชื้อไวรัสทั้งหลาย เชื้อโรคทั้งหลาย จงมีส่วนได้รับในบุญกุศลนี้ และโรคร้ายทั้งหลายขออย่าพึงมี อย่าได้เกิดกับลูกหลานข้าพเจ้า

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ ตั้งแต่นรกภูมิ อบายภูมิ สัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย เปรตทั้งหลาย อสูรกายทั้งหลาย ทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดิน นรกทุกชั้น นรกทุกขุม ทุกภูมิ สัมภเวสีทั้งหลาย ทั้งที่เป็นญาติ และไม่ใช่ญาติ ที่อยู่ใกล้และอยู่ไกล ที่รู้จักก็ดี ที่ไม่รู้จักก็ดี ที่เอ่ยถึงก็ดี ไม่เอ่ยถึงก็ดี ที่ล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว ทั้งที่มีกาย และไม่มีกายทั้งที่มีธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ และไม่มีธาตุ จงรับเอาส่วนกุสลที่ได้กระทำในครั้งนี้

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ พระอินทร์ พระพรหม พระยายม พระยายักษ์ พระสยามเทวาธิราช พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระกาฬชัยศรี เจ้าพ่อเจตคุป เจ้าพ่อหอกลอง ท้าวกุเวรมหาราช ท้าวทศรถ ท้าววิรุฬหก ท้าววิรุฬปักษ์

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ พญาครุฑ พญานาค พญาอนันตนาคราช พญางู พญาเงือก พญาหนุมาน พญาเสือ พญาสิงห์ พญาเต่า พญาจระเข้ พญาปลาไหล พญาตะขาบ พญาแมงป่อง ปู่ฤาษีทั้ง 108 พระองค์ ปู่อินตา ครูยา หมอยา เจ้าป่า เจ้าเขา เจ้าทุ่ง เจ้าท่า เจ้าที่ที่บ้าน เจ้าที่ที่ทำงาน รุกขเทวดา นางไม้ทั้งหลาย

    ข้าพเจ้าขอนำส่งให้ ธนบัตร ทุกสกุลเงินตรา ของโลกนี้ที่เป็นทรัพย์ภายนอก จงได้รับในกุศลผลบุญของข้าพเจ้ากรรมใดก็ดีที่ข้าพเจ้าเคยมีกรรมต่อทรัพย์ของแผ่นดิน คนของแผ่นดิน ทำผิดเป็นถูก ทำถูกเป็นผิด และกรรมใดที่ข้าพเจ้าเคยสร้างกรรมกับผู้ใดไว้ ไม่ว่าอดีตชาติหรือปัจจุบันชาติไม่ว่ามนุษย์และสัตว์ ข้าพเจ้าขอให้ท่านทั้งหลายที่ข้าพเจ้าเคยสร้างเวรสร้างกรรมต่อท่าน จงได้รับอานิสงส์ผลบุญของข้าพเจ้า เมื่อได้รับผลบุญของข้าพเจ้าแล้ว จงปลดปล่อยกรรม ปลดเปลื้องกรรม งดเว้นการจองเวรและขอดวงจิตที่เกิดในภพนี้ ชาตินี้ได้หลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง ด้วยกุศลในคราวครั้งนี้ด้วยเทอญ

    หมายเหตุ :

    1.บทสวดมนต์แบบแม่ชีทศพร จะเน้นในเรื่องของการอาราธนาศีล 5 และการสมาทานศีล 5

    2.บทสวดมนต์แบบแม่ชีทศพร หรือคำอธิษฐานแบบแม่ชีทศพรในช่วงหลังๆ ท่านแนะนำให้นำคำว่า "นิพพานะ ปัจจะโยโหตุ" ออก เพราะเมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๕๖ มีลูกศิษย์มาถามแม่ว่า เขาสวดมนต์ และอธิษฐานตามแม่แล้วทำไมชีวิตมีแต่ปัญหา มีแต่ความสับสน มีเรื่องให้ต้องตัดสินใจ ระหว่างเรื่องถูกกับเรื่องผิดในเวลาเดียวกัน แล้วส่วนมากจะเลือกผิด แม่ก็นั่งกรรมฐาน แล้วคำว่า “นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ” ปรากฏขึ้นมา ตอนนั้นแม่เข้าใจในทันที แม่จึงขอขมาว่า “กรรมใดก็ดี ที่ข้าพเจ้าน้อมนำด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ในคำว่า นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ ขอให้องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และแม่พระธรณี จงเป็นพยานว่า ข้าพเจ้าขออโหสิกรรม”

    คำว่า นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ คือการขอถึงซึ่งพระนิพพาน ซึ่งเรื่องนิพพานนั้น ละเอียดมาก ที่ผ่านมาแม่พาให้คนปฏิบัติตาม โดยเขียนหนังสือในทุกขั้นตอนจะมีคำว่า “นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ” จนวันนี้ได้รู้ว่า คำว่า “นิพพาน” จะใช้ได้กับอริยบุคคล แต่ถ้าเราจะกล่าว เราก็สามารถกล่าวตามที่พระท่านนำอย่างนี้ได้ แต่ถ้าเราจะกล่าวคำนี้เอง เราต้องเป็นคนที่ไม่ข้องแวะกับกิเลสตัณหาแล้ว หรือถ้าจะอธิษฐานถึงชาติหน้าว่า “ถ้าชาติหน้าข้าพเจ้ามีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนา ขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน” อย่างนี้อธิษฐานได้ การหวังนิพพานก็เป็นสติอย่างหนึ่ง ว่าเวลาเราทำอะไรจะได้เกิดความละอายต่อคำว่า “นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ”

    ถ้าไม่มีโยมมาหาแม่ แม่ก็ไม่รู้ได้ คือถ้ายังต้องอยู่กับครอบครัว ก็ทำให้คนในครอบครัวสงสัยหมดว่า เงินทองมันหายไปไหน จากที่เคยค้าขายคล่อง ๆ อยู่ ๆ ก็เกิดความขัดสน แล้วคนที่ปฏิบัติจะมีโทสะเยอะ ความอยากได้ก็มาก พอไปหวังนิพพานปุ๊ป เหมือนมีสิ่งมาทดสอบเราว่า “ก็ไหนว่าจะไปนิพพาน แล้วทำไมยังต้องอยากได้อยู่หล่ะ”

    ที่มา : http://metharung.blogspot.com/2015/03/blog-post_27.html
     
  6. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,406
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    บทสวดมนต์ (แบบหลวงพ่อจรัญ)

    กราบพระรัตนตรัย
    อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ภะคะวา พุทธัง ภะคะวันตัง อะภิวาเทมิ (กราบ)
    สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม ธัมมัง นะมัสสามิ (กราบ)
    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สังฆัง นะมามิ (กราบ)

    นมัสการพระพุทธเจ้า
    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (3 จบ)

    ไตรสรณคมน์
    พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    ทุติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    ทุติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    ตะติยัมปิ พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิ ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    ตะติยัมปิ สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ

    พระพุทธคุณ
    อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชา จะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ

    พระธรรมคุณ
    สะวากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติฯ (อ่านว่า วิญญูฮีติ)

    พระสังฆคุณ
    สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ อาหุเนยโย* ปาหุเนยโย* ทักขิเณยโย* อัญชะลี กะระณีโย อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติฯ (อ่านออกเสียง อาหุไนยโย ปาหุไนยโย ทักขิไณยโย โดยสระเอ กึ่งสระไอ)


    พุทธชัยมงคลคาถา (พาหุงฯ)
    พาหุง สะหัสสะมะภินิมมิตะสาวุธันตัง
    ครีเมขะลัง อุทิตะโฆระสะเสนะมารัง
    ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ

    มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตติง
    โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง
    ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ

    นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง
    ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง
    เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ

    อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง
    ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง
    อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ

    กัตตะวานะ กัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา
    จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ
    สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ

    สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง
    วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง
    ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ

    นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง
    ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะยันโต
    อิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ

    ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง
    พรัหมัง* วิสุทธิชุติมิทธิพะกาภิธานัง
    ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท
    ตันเตชะสา ภะวะตุ เต ชะยะมังคะลานิฯ

    เอตาปิ พุทธะชะยะมังคะละอัฏฐะคาถา โย
    วาจะโน ทินะทิเน สะระเต มะตันที
    หิตวานะเนกะวิวิธานิ จุปัททะวานิ
    โมกขัง สุขัง อะธิคะเมยยะ นะโร สะปัญโญฯ

    มหาการุณิโก
    มะหาการุณิโก นาโถ หิตายะ สัพพะปาณินัง
    ปูเรตวา ปาระมี สัพพา ปัตโต สัมโพธิมุตตะมัง
    เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เต ชะยะมังคะลังฯ

    ชะยันโต โพธิยา มูเล สักยานัง นันทิวัฑฒะโน เอวัง
    ตะวัง วิชะโย โหหิ ชะยัสสุ ชะยะมังคะเล อะปะรา
    ชิตะปัลลังเก สีเส ปะฐะวิโปกขะเร อะภิเสเก
    สัพพะพุทธานัง อัคคัปปัตโต ปะโมทะติฯ สุนัก
    ขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง สุขะโณ
    สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พรัหมะ** จาริสุ ปะทักขิณัง
    กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง ปะทักขิณัง
    มะโนกัมมัง ปะณิธี เต ปะทักขิณา ปะทักขิณานิ
    กัตตะวานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณฯ

    ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
    สัพพะพุทธานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ
    ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
    สัพพะธัมมานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ
    ภะวะตุ สัพพะมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
    สัพพะสังฆานุภาเวนะ สะทา โสตถี ภะวันตุ เตฯ

    หมายเหตุ : ถ้าสวดให้ตัวเองให้เปลี่ยนจากคำว่า เต เป็น เม ทุกแห่ง

    หลังจากสวดมนต์ตั้งแต่ต้นจนจบบทพาหุงมาหากาฯ แล้ว
    ก็ให้สวดเฉพาะบทพระพุทธคุณ หรืออิติปิโส ให้ได้จำนวนจบเท่ากับอายุของตนเอง แล้วสวดเพิ่มไปอีกหนึ่งจบ ตัวอย่างเช่นถ้าอายุ ๓๕ ปี ต้องสวด ๓๖ จบ จากนั้นจึงค่อยแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศล


    พุทธคุณเท่าอายุเกิน ๑ (อิติปิโสเท่าอายุ+๑)
    อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติฯ

    บทแผ่เมตตา
    สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิดแก่เจ็บตาย ด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น

    อะเวรา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กัน และกันเลย

    อัพยาปัชฌา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้พยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย

    อะนีฆา โหนตุ จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย

    สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเทอญ

    บทอุทิศส่วนกุศล (บทกรวดน้ำ)
    อิทัง เม มาตาปิตูนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ มาตา ปิตะโร
    ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่มารดาบิดาของข้าพเจ้า ขอให้มารดาบิดาของข้าพเจ้า จงมีความสุข

    อิทัง เม ญาตีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย
    ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า ขอให้ญาติทั้งหลายของข้าพเจ้า จงมีความสุข

    อิทัง เม คุรูปัชฌายาจะริยานังโหตุ สุขิตา โหนตุ คุรูปัชฌายาจะริยา
    ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้า ขอให้ครูอุปัชฌาย์อาจารย์ของข้าพเจ้าจงมีความสุข

    อิทัง สัพพะ เทวะตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เทวา
    ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จแก่เทวดาทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เทวดาทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข

    อิทัง สัพพะ เปตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา
    ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่เปรตทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เปรตทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข

    อิทัง สัพพะ เวรีนัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เวรี
    ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข

    อิทัง สัพพะ สัตตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ สัตตา
    ขอส่วนบุญนี้จงสำเร็จ แก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ขอให้สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงมีความสุข


    การวางจิต
    เมื่อสวดมนต์ได้ถูกวรรคตอน เป็นสมาธิดีแล้ว ก็วางจิตให้ถูกต้อง
    สวดมนต์เป็นนิจ อธิษฐานจิตเป็นประจำ (ลิ้นปี่)
    อโหสิกรรมเสียก่อนและเราก็แผ่เมตตา... (ลิ้นปี่)
    มีเมตตาดีแล้ว ได้กุศลแล้วเราก็อุทิศเลย (อุณาโลม)

    ที่มา : สวดมนต์ ทำกรรมฐานตามแบบหลวงพ่อจรัญ


    หมายเหตุ :
    1.บทสวดมนต์แบบหลวงพ่อจรัญนั้นไม่ได้เน้นในเรื่องการอาราธนาศีล 5 และการสมาทานศีล 5
    2.แนวทางปฏิบัติสายหลวงพ่อจรัญเน้นเรื่องการเจริญสมาธิวิปัสสนากรรมฐาน และท่านกล่าวสอนว่า "สวดมนต์คือยาทา วิปัสสนาคือยากิน"

    ที่มา : http://metharung.blogspot.com/2015/03/blog-post.html
     
  7. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,406
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    พระคาถาสักกัตวา (โอสถปริตร)

    สักกัตตะวา พุทธะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง
    เพราะทำความเคารพพระพุทธรัตนะ อันเป็นดั่งโอสถอันอุดมประเสริฐ
    หิตัง เทวะมะนุสสานัง พุทธะเตเชนะ โสตถินา
    เป็นประโยชน์แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยเดชแห่งพระพุทธเจ้า
    นัสสันตุปัททะวา สัพเพ ทุกขา วูปะสะเมนตุ เม
    ขอสรรพอุปัทวะทั้งหลายจงพินาศไป ขอทุกข์ทั้งหลายของท่านจงสงบไปโดยสวัสดี

    สักกัตตะวา ธัมมะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง
    เพราะทำความเคารพพระธรรมรัตนะ อันเป็นดั่งโอสถอันอุดมประเสริฐ
    ปะริฬาหูปะสะมะนัง ธัมมะเตเชนะ โสตถินา
    เป็นเครื่องระงับความกระวนกระวาย ด้วยเดชแห่งพระธรรมรัตนะ
    นัสสันตุปัททะวา สัพเพ ภะยา วูปะสะเมนตุ เม
    ขอสรรพอุปัทวะทั้งหลายจงพินาศไป ขอภัยทั้งหลายของท่านจงสงบไปโดยสวัสดี

    สักกัตตะวา สังฆะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง
    เพราะทำความเคารพพระสงฆรัตนะ อันเป็นดั่งโอสถอันอุดมประเสริฐ
    อาหุเนยยัง ปาหุเนยยัง สังฆะเตเชนะ โสตถินา
    เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ
    ด้วยเดชแห่งพระสงฆ์
    นัสสันตุปัททะวา สัพเพ โรคา วูปะสะเมนตุ เม
    ขอสรรพอุปัทวะทั้งหลายจงพินาศไป ขอโรคทั้งหลายของท่านจงสงบไปโดยสวัสดี


    (ไม่ต้องสวดคำแปลนะครับ เพียงแต่พิมพ์ให้ทราบว่าอาศัยอำนาจพระบารมีพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณ)

    ผู้ใดหมั่นสวดพระคาถานี้จะระงับโรคภัยไข้เจ็บ จะอายุยืนยาว ใช้เสกยากินแก้โรคได้ และถ้าผู้ใดสวดเจริญอยู่เป็นนิจ นอกจากปราศจากโรคภัยแล้ว ยังแคล้วคลาดจากภัยต่างๆ เช่น โจรภัย, ฯลฯ เป็นต้น

    หมายเหตุ : สวดให้ตนเองลงท้ายด้วย เม สวดให้คนอื่ีนลงท้ายด้วย เต
     
  8. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,406
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    การทำความดี ต้องทำให้สม่ำเสมอ

    ความดีหลักๆ ที่สามารถทำได้ ก็คือ การทำทาน, การรักษาศีล และการหมั่นเจริญภาวนา

    อยากรวย ให้หมั่นทำทาน อยากมีหน้าตาดี หล่อ-สวย ให้หมั่นรักษาศีล และถ้าอยากดีมีปัญญาให้หมั่นเจริญภาวนา

    คนที่ไม่ประมาทในชีวิต ในยามที่ร่ำรวย หรือมีกินมีใช้ ก็ควรต้องรู้จักหมั่นทำทานให้สม่ำเสมอ หากวันใดในชาตินี้ชีวิตลำบาก จะได้มีบุญจากทานบารมีมาช่วย หรือเกิดชาติหน้า ทานบารมีที่เคยทำไว้ ก็จะคอยติดตามช่วยเหลือ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 28 กันยายน 2016
  9. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,406
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    วิธีสร้างบุญบารมี
    สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

    ผู้พิมพ์ขอย่นย่อเรื่องในบางส่วนของวิธีสร้างบุญบารมี จากหนังสือวิธีสร้างบุญบารมี
    โดยสมเด็จพระญาณสังวร มาพอสังเขปเพื่อให้เนื้อหาใจความกระชับกะทัดรัด
    เหมาะแก่การพิมพ์เป็นบทความสั้นพอที่เผยแผ่ทางอินเตอร์เน็ต

    บุญ ความหมายตามพจนานุกรมพุทธศาสน์ของพระราชวรมุนี(ประยุทธ์ ปยุตฺโต)
    กล่าวว่า บุญ คือ เครื่องชำระ สันดาน ความดี กุศล ความสุข ความประพฤติชอบ
    ทาง กาย วาจา ใจ กุศลธรรม
    บารมี คือ คุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยิ่งยวด เพื่อบรรลุจุดหมายอันสูงสุด

    วิธีสร้างบุญบารมี ในพระพุทธศาสนามีอยู่ ๓ ขั้นตอน คือ
    การให้ทาน การถือศีล และการเจริญภาวนา ที่นิยมเรียกกันว่า “ทาน ศีล ภาวนา”

    ท่านกล่าวไว้ว่า
    ถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะมากถึง๑๐๐ครั้ง ก็ยังเป็นบุญน้อยกว่า
    การถวายสังฆทานที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะได้ถวายสังฆทาน
    ดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม

    การถวายสังฆทานที่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะมีมากถึง ๑๐๐ ครั้ง
    ก็ยังเป็นบุญน้อยกว่าการถวายวิหารทาน ได้แก่การสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลา
    และสิ่งอันเป็นประโยชน์แก่สาธารณะเช่น โรงเรียน โรงพยาบาล เป็นต้น

    การถวายวิหารทาน ๑๐๐ ครั้ง(๑๐๐ หลัง) ก็ยังเป็นบุญน้อยกว่าการให้ธรรมทาน
    แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม การให้ธรรมทานก็คือการเทศน์ การสอนธรรมะแก่
    ผู้ไม่รู้ให้ได้รู้ ที่รู้อยู่แล้วก็ให้รู้ยิ่งๆขึ้นไป ให้ได้เข้าใจในมรรคผล นิพพาน ให้ผู้ที่เป็น
    มิจฉาทิฐิได้กลับใจเป็นสัมมาทิฐิ ชักจูงผู้อื่นให้เข้าปฏิบัติธรรม รวมตลอดถึงการพิมพ์
    การแจกหนังสือธรรมะ

    การให้ธรรมทานแม้จะมากถึง ๑๐๐ครั้ง ก็ยังเป็นบุญน้อยกว่า การให้ “อภัยทาน”
    แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม การให้อภัยทานคือการไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร
    ไม่พยาบาทคิดร้ายผู้อื่นแม้แต่ศัตรู ซึ่งได้บุญกุศลแรงและสูงมากในฝ่ายทาน
    เพราะเป็นการบำเพ็ญเพียรเพื่อละ “โทสะกิเลส” และเป็นการเจริญ “เมตตาพรหมวิหารธรรม”
    อันเป็นพรหมวิหารข้อหนึ่งในพรหมวิหารสี่ให้เกิดขึ้น เพราะการให้อภัยทานเป็นเรื่องที่
    ละเอียดอ่อนและยากเย็น จึงจัดว่าเป็นทานที่สูงกว่าการให้ทานทั้งปวง
    (ทานอย่างอื่นอาจต้องเสียสละทรัพย์สินเงินทอง แต่อภัยทานนี้
    ไม่ต้องเสียทรัพย์สินเงินทอง เพียงเสียสละทางใจให้อภัยแม้ศัตรู)

    อย่างไรก็ดีการให้อภัยทานแม้จะมากเพียงไร ผลบุญนั้นก็ยังอยู่ในระดับต่ำกว่า “ฝ่ายศีล”
    เพราะเป็นการบำเพ็ญบารมีคนละขั้นต่างกัน แม้จะได้ถือศีลแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม

    “ศีล” นั้นแปลว่า “ปกติ” ศีลนั้นมีหลายระดับ คือศีล๕ ศีล๘ ศีล๑๐ ศีล๒๒๗
    ในบรรดาศีลประเภทเดียวกันยังแบ่งแยกออกเป็น ระดับธรรมดา
    มัชฌิมศีล (ศีลระดับกลาง) และอธิศีล (ศีลอย่างสูง ศีลอย่างอุกฤษฏ์)

    การรักษาศีลเป็นการเพียรพยายามเพื่อระงับโทษ ทางกาย วาจา อันเป็นเพียงกิเลส
    อย่างหยาบมิให้กำเริบขึ้น และเป็นการบำเพ็ญบุญบารมีที่สูงกว่าทาน ทั้งในการถือศีลเอง
    ยังเป็นบุญมากน้อยต่างกันตามลำดับ

    การถือศีล๕ แม้จะมาก๑๐๐ครั้ง ก็ยังเป็นบุญน้อยกว่าการถือศีล๘ แม้เพียงครั้งเดียว
    การถือศีล๘แม้จะมาก๑๐๐ครั้งก็ เป็นบุญน้อยกว่าการถือศีล๑๐ แม้เพียงครั้งเดียว
    (แม้บวชเณรวันเดียว)
    การได้บวชเป็นสามเณร รักษาศีล๑๐ แม้รักษาไม่ให้ขาดหรือด่างพร้อย นาน๑๐๐ปี
    (เปรียบเทียบ) ก็ยังเป็นบุญน้อยกว่าการถือศีล๒๒๗ แม้บวชได้เพียง๑วัน

    ฉะนั้นการได้บวชอุปสมบทเป็นพระในพระพุทธศาสนาได้บุญบารมีมาก
    เพราะเป็นเนกขัมมบารมีในบารมี๑๐ ซึ่งเป็นการออกจากกามเพื่อนำไปสู่การ
    ปฏิบัติธรรมขั้นสูง คือการภาวนาเพื่อ มรรค ผล นิพพานต่อไป

    อานิสงส์แห่งศีลย่อมมีตามลำดับประเภทของศีลที่รักษา แต่ศีลนั้นแม้จะมีอานิสงส์
    มากเพียงไรก็ยังเป็นแต่เพียงการบำเพ็ญบุญบารมีในชั้นกลางๆ ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น
    เพราะเป็นแต่เพียงระเบียบหรือกติกาที่จะรักษา กาย วาจา ให้สงบเท่านั้น
    ไม่ให้ก่อเกิดทุกข์โทษขึ้นทาง กาย วาจาเท่านั้น

    ส่วนทางจิตใจนั้น ศีลยังไม่สามารถควบคุมหรือทำให้สะอาดบริสุทธิ์ได้
    ฉะนั้นการรักษาศีลจึงยังเป็นบุญน้อยกว่าการภาวนา เพราะการภาวนานั้น
    เป็นการรักษาใจ รักษาจิต และซักฟอกจิตให้เบาบางหรือจนหมดกิเลส คือความโลภ
    ความโกรธ ความหลง อันเป็นเครื่องร้อยรัดให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายต้องเวียนว่าย
    ตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏ การภาวนาจึงเป็นการบำเพ็ญบารมีที่สูงที่สุด ประเสริฐที่สุด
    เป็นบุญมากที่สุด เป็นกรรมอันยิ่งใหญ่เรียกว่า “มหัคคตกรรม” อันเป็นมหัคคตกุศล

    การเจริญภาวนา นั้นเป็นการสร้างบุญบารมีที่สูงที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนา
    จัดว่าเป็นแก่นแท้และสูงสุด ยิ่งใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนา การเจริญภาวนานั้น
    มี๒อย่าง คือ

    ๑.สมถภาวนา (การทำสมาธิ)
    ๒.วิปัสสนาภาวนา ( การเจริญปัญญา)

    สมถภาวนา (การทำสมาธิ)
    สมถภาวนา ได้แก่การทำจิตให้เป็นสมาธิ หรือเป็นฌาณ ซึ่งก็คือทำจิตให้ตั้งมั่นอยู่ใน
    อารมณ์เดียว ไม่ฟุ้งซ่านแส่ส่ายไปยังอารมณ์อื่นๆ วิธีภาวนามีมากหลายร้อยชนิด
    ซึ่งพระพุทธองค์ทรงบัญญัติแบบอย่างเอาไว้๔๐ ประการ เรียกกันว่า “กรรมฐาน๔๐”
    ซึ่งผู้ใดจะใช้วิธีใดก็ได้ตามความสมัครใจ ทั้งนี้ย่อมสุดแล้วแต่อุปนิสัยและวาสนาบารมี
    ที่ได้เคยสร้างสม อบรมมาแต่ในอดีตชาติ

    เมื่อสร้างสมอบรมมาในกรรมฐานกองใด จิตก็มักจะน้อมชอบกรรมฐานกองนั้นมากกว่า
    กองอื่นๆ และการเจริญภาวนาก็ก้าวหน้าเร็วและง่าย แต่ไม่ว่าจะเลือกปฏิบัติวิธีใดก็ตาม
    จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรักษาศีลให้ครบถ้วนบริบูรณ์ตามเพศของตน หากเป็นฆารวาส
    ก็จะต้องรักษาศีล๕เป็นอย่างน้อย หากเป็นสามเณรจะต้องรักษาศีล๑๐
    เป็นพระรักษาศีลปาฏิโมกข์๒๒๗ ข้อให้บริบูรณ์ ไม่ให้ขาดและด่างพร้อย

    หากศีลยังไม่มั่นคงย่อมเจริญในฌานให้เกิดขึ้นได้โดยยาก เพราะศีลย่อมเป็นบาทฐาน
    (เป็นกำลัง)ให้เกิดสมาธิขึ้น อานิสงส์สมาธินั้นมีมากกว่าศีลอย่างเทียบกันไม่ได้
    ซึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสว่า “แม้จะได้อุปสมบทเป็นภิกษุรักษาศีล๒๒๗ ข้อไม่เคยขาด
    ไม่ด่างพร้อยมาเป็นเวลา๑๐๐ปี ก็ยังได้กุศลน้อยกว่าผู้ที่ทำสมาธิเพียงให้จิตสงบ
    นานเพียงชั่ว ไก่กระพือปีก ช้างกระดิกหู”

    คำว่าจิตสงบ ในที่นี้หมายถึงจิตที่เป็นอารมณ์เดียวเพียงชั่ววูบ ที่พระท่านเรียกว่า
    “ขณิกสมาธิ” คือสมาธิเล็กๆน้อยๆ สมาธิแบบเด็กๆที่เพิ่งหัดตั้งไข่ คือหัดยืนแล้วก็ล้มลง
    แล้วก็ลุกขึ้นยืนใหม่ ซึ่งเป็นอารมณ์ที่จิตยังไม่ตั้งมั่น สงบลงวูบเล็กน้อยแล้วก็รักษา
    ไว้ไม่ได้ ซึ่งยังห่างไกลต่อจิตขั้นอุปจารสมาธิและฌาน แม้กระนั้นยังมีอานิสงส์
    มากมายถึงเพียงนี้ โดยหากผู้ใดจิตทรงอารมณ์อยู่ในขั้นขณิกสมาธิแล้วบังเอิญ
    ตายลงขณะนั้น อานิสงส์จะส่งผลให้ได้ไปบังเกิดในเทวโลกชั้นที่๑(จาตุมหาราชิกา)
    หากจิตยึด ไตรสรณคมน์
    (มีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งอันสูงสุดด้วย ก็เป็นเทวดาชั้นที่๒ คือดาวดึงส์)

    สมาธิ นั้นมีหลายขั้นตอน ระยะก่อนเป็นฌาน(อัปปนาสมาธิ) ก็คือขณิกสมาธิและ
    อุปจารสมาธิ ซึ่งอานิสงส์ส่งให้ไปบังเกิดในเทวโลก ๖ ชั้น แต่ไม่ถึงชั้นพรหมโลก
    สมาธิในระดับอัปปมาสมาธิหรือฌานนั้น มีรูปฌาน๔และอรูปฌาน๔ ซึ่งล้วนแล้วแต่
    ส่งผลให้ไปบังเกิดในพรหมโลกรวม๒๐ชั้น แต่จะเป็นชั้นใดสุดแล้วแต่ความละเอียด
    ประณีตของกำลังฌานที่ได้ (เว้นแต่พรหมโลกชั้นสุทธาวาส คือชั้นที่๑๒ถึงชั้นที่๑๖
    ซึ่งเป็นที่เกิดของพระอนาคามีบุคคลโดยเฉพาะ)

    ส่วนอรูปฌานที่เรียกว่า “เนวสัญญา นาสัญญายตนะ”นั้น ส่งผลให้บังเกิดในพรหมโลก
    ชั้นสูงสุด คือชั้นที่๒๐ ซึ่งมีอายุยืนยาวถึง๘๔,๐๐๐มหากัป เรียกกันว่านิพพานพรหม
    คือนานเสียจนเกือบหาเวลาเริ่มต้นและสิ้นสุดมิได้ จนเป็นที่เข้าใจกันว่าเป็นนิพพาน
    (แต่ไม่ใช่นิพพาน)

    การทำสมาธิเป็นการบุญกุศลที่ยิ่งใหญ่ ลงทุนน้อยที่สุด เพราะไม่ต้องเสียเงินทอง
    ไม่เหนื่อยยากต้องแบกหามแต่อย่างใด เพียงแต่ระวังรักษาสติ คุ้มครองจิต
    ไม่ให้แส่ส่ายไปสู่อารมณ์อื่นๆ โดยให้ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวเท่านั้น

    อย่างไรก็ตาม การเจริญสมถภาวนาหรือสมาธินั้น แม้ได้บุญอานิสงส์มากมาย
    มหาศาลอย่างไร ก็ยังไม่ใช่บุญกุศลที่สูงสุดยอดในพระพุทธศาสนา หากจะเปรียบ
    กับต้นไม้นั้นก็เป็นเนื้อไม้เท่านั้น การเจริญวิปัสสนา (การเจริญปัญญา) จึงเป็นบุญกุศล
    ที่สูงสุดยอดในพระพุทธศาสนา หากจะเปรียบกับต้นไม้ก็เป็นแก่นไม้โดยแท้

    อารมณ์ของวิปัสสนานั้นแตกต่างไปจากอารมณ์ของสมาธิ เพราะสมาธินั้นมุ่งให้จิต
    ตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งแต่อารมณ์เดียว โดยแน่นิ่งอยู่เช่นนั้นไม่นึกคิดอะไรๆ
    แต่วิปัสสนาไม่ใช่ให้จิตตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียวนิ่งอยู่เช่นนั้น แต่เป็นจิตที่คิดและ
    ใคร่ครวญหาเหตุและผลในสภาวธรรมทั้งหลาย

    และสิ่งที่เป็นอารมณ์ของวิปัสสนานั้นมีแต่เพียงอย่างเดียว คือ “ขันธ์ ๕”
    ซึ่งนิยมเรียกกันว่า “รูป- นาม” โดยรูปมี๑ ส่วน นามมี๔ ส่วน คือ เวทนา ,
    สัญญา ,สังขาร และวิญญาณ
    ขันธ์ ๕ ดังกล่าวเป็นเพียงอุปาทานขันธ์ เพราะแท้จริงแล้วเป็นแต่เพียงสังขารธรรม
    ที่เกิดขึ้นเนื่องจากการปรุงแต่ง แต่เพราะอวิชชาคือความไม่รู้เท่าสภาวธรรม
    จึงทำให้เกิดความยึดมั่น ด้วยอำนาจอุปาทานว่าเป็นตัวตนของตน

    การเจริญวิปัสสนาก็โดยมีจิตพิจารณาจนรู้แจ้งเห็นจริงว่า อันสภาวธรรมทั้งหลาย
    อันได้แก่ ขันธ์๕ นั้นล้วนแต่มีอาการเป็นพระไตรลักษณ์ คือ
    - อนิจจัง (ความไม่เที่ยง สรรพสิ่งทั้งหลายล้วนไม่เที่ยงแท้แน่นอน เมื่อเกิดขึ้นแล้ว
    ต้องเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น ไม่อาจตั้งมั่นทรงตัว
    อยู่ในสภาพเดิม)
    - ทุกขัง (สภาวะที่ทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ คือสรรพสิ่งทั้งหลายอันเป็นสังขารธรรม
    เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ก็ไม่อาจจะทนตั้งมั่นอยู่ในสภาพนั้นๆได้ตลอดไป ไม่อาจทรงตัว
    และต้องเปลี่ยนแปลงไป)
    - อนัตตา (ความไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล สิ่งของ โดยสรรพสัตว์ทั้งหลาย
    อันเนื่องมาจากการปรุงแต่ง ไม่ว่าจะเป็น รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ
    ล้วนแต่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย)

    ปัญญาที่จะเห็นสภาพดังกล่าวไม่ใช่ปัญญาที่จะนึกคิดและคาดหมายเอาเท่านั้น
    แต่ย่อมมีตาวิเศษหรือตาในที่พระท่านเรียกว่า “ ญาณทัศนะ”

    “สมาธิอบรมปัญญา” คือสมาธิทำให้วิปัสสนาญาณเกิดขึ้น และเมื่อวิปัสสนา
    ได้เกิดขึ้นแล้ว ย่อมถ่ายถอนกิเลสให้เบาบางลง จิตก็ย่อมจะเบาและใสสะอาดบาง
    จากกิเลสทั้งหลายไปตามลำดับ สมาธิจิตก็ยิ่งก้าวหน้าและตั้งมั่นมากยิ่งๆขึ้นไปอีก
    เรียกว่า “ปัญญาอบรมสมาธิ”

    ฉะนั้นทั้งสมาธิและปัญญาจึงเป็นเหตุและผลของกันและกัน และอุปการะซึ่งกันและกัน
    จะมีวิปัสสนาปัญญาเกิดขึ้นโดยขาดกำลังสมาธิสนับสนุนมิได้เลย อย่างน้อยที่สุด
    จะต้องใช้กำลังของขณิกสมาธิเป็นบาทฐานในระยะเริ่มแรก สมาธิจึงเปรียบเหมือนกับ
    หินลับมีด ส่วนวิปัสสนานั้นเหมือนกับมีดที่ได้ลับกับหิน คมดีแล้ว ย่อมมีอำนาจ
    ถากถางตัดฟันบรรดากิเลสทั้งหลายให้ขาดพังลงได้

    ฉะนั้นการเจริญวิปัสสนาภาวนาได้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพยายาม
    ทำสมาธิให้ได้เสียก่อน หากทำสมาธิยังไม่ได้ ก็ไม่มีทางที่จะเกิดวิปัสสนาปัญญาขึ้น
    สมาธิจึงเป็นเพียงบันไดขั้นต้นที่จะก้าวไปสู่การเจริญวิปัสสนาปัญญาเท่านั้น
    ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า

    “ผู้ใดแม้จะทำสมาธิจนจิตเป็นฌานได้นาน ๑๐๐ ปี และไม่เสื่อม ก็ยังเป็นบุญน้อยกว่า
    ผู้ที่มองเห็นความจริงว่า สรรพสิ่งทั้งหลายอันเนื่องมาจากการปรุงแต่ง ล้วนแล้วแต่
    เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แม้จะเห็นเพียงชั่วขณะจิตเดียวก็ตาม”

    จะเห็นได้ว่าวิปัสสนาภาวนานั้นเป็นสุดยอดของการสร้างบุญบารมีโดยแท้จริง
    ไม่ต้องเหนื่อยยากไม่ต้องแบกหาม ไม่ต้องลงทุนเสียทรัพย์แต่อย่างใด
    เมื่อเปรียบการให้ทานเหมือนกับกรวดทราย ก็เปรียบวิปัสสนาเหมือนเพชรน้ำเอก
    ซึ่งทานไม่มีทางที่จะเทียบศีล ศีลไม่มีทางที่จะเทียบสมาธิ และสมาธิไม่มีทาง
    ที่จะเทียบกับวิปัสสนา

    แต่ตราบใดที่ท่านทั้งหลายยังไม่ถึงฝั่งพระนิพพาน ก็ต้องเก็บเล็กผสมน้อย
    โดยทำทุกๆทางเพื่อความไม่ประมาท โดยทั้งทำทาน รักษาศีล เจริญภาวนา
    สุดแต่โอกาสจะอำนวยให้
    จะถือแต่ว่าวิปัสสนาลงทุนน้อยที่สุดและได้กำไรมากที่สุด
    ก็เลยทำแต่วิปัสสนาอย่างเดียว โดยไม่ยอมลงทุนให้ทานใดๆไว้เลย เมื่อเกิดชาติหน้า
    เพราะเหตุที่ยังไม่ถึงฝั่งพระนิพพาน ก็เลยมีแต่ปัญญาอย่างเดียวไม่มีจะกินจะใช้
    ก็เห็นจะเจริญวิปัสสนาให้ถึงฝั่งไปไม่ได้เหมือนกัน

    ที่มา : วิธีสร้างบุญบารมี เทศน์สอนโดยสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก และ http://www.cdthamma.com/forums/index.php?topic=4786.0;wap2
     
  10. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,406
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    [​IMG]

    บังเอิญสุด ๆ เมื่อเลขเด็ดอดีตรัฐมนตรี ปรีดา พัฒนถาบุตร งวดนี้ เน้น 9 หลักสิบ แถมดันไปตรงกับป้ายบอกทางใบ้หวยแม่น 3 งวดติด

    วันที่ 27 กันยายน 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศการหาซื้อสลากกินแบ่งรัฐบาลที่ จ.เชียงใหม่ เป็นไปอย่างคึกคัก หลังนักเสี่ยงโชครู้ว่า งวดวันที่ 1 ตุลาคม 2559 อดีตรัฐมนตรีปรีดา พัฒนถาบุตร ได้คำนวณโหรดวงดาวแล้ว ได้เลข 9 ออกมาอย่างเด่นชัด พร้อมระบุให้เน้นเลข 90 ซึ่งเลขท้าย 2 ตัวที่ว่า ดันบังเอิญไปตรงกับเลขป้ายบอกทางสุดดังที่ให้โชคมาแล้ว 3 งวดติด ทำเอาคนแห่ซื้อเลข 90 กันเกลี้ยงแผง

    ขณะที่บรรดาพ่อค้าแม่ค้า เปิดเผยว่า เลขเด็ดขายดีที่ จ.เชียงใหม่ นั้น นอกจากเลข 90 แล้ว ก็ยังมีเลข 998, 899, 897, 099 และ 990

    [​IMG]

    ที่มา : เลขเด็ดอดีตรัฐมนตรี ปรีดา พัฒนถาบุตร งวด 1 ต.ค. 59 ตรงกับเลขป้ายบอกทาง
     
  11. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,406
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    พิพิธภัณฑ์หลวงปู่เทพโลกอุดร

    [​IMG]

    [​IMG]

    <iframe width="545" height="392" src="https://www.youtube.com/embed/eIrAqf6gur0" frameborder="0" allowfullscreen></iframe>

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ประวัติปู่ใหญ่ (หลวงปู่เทพโลกอุดร)

    ในวันที่ 30 ธันวาคม 2555 ได้มีพิธีฉลองพระเจ้าใหญ่ ที่วัดอัมพวัน อ.ท่าลี่ จ.เลย ในวันนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณแม่มณีจันทร์ เลิศหิรัญปัญญา และได้ ขอนุญาตนำประวัติของหลวงเทพโลกอุดร (ปู่ใหญ่ ) เพื่อนำลงเผยแพร่ผ่านเว็ปนี้ จึงขอขอบคุณคุณแม่มณีจันทร์ มา ณ โอกาสนี้

    หลวงปู่ใหญ่ท่านเมตตาเล่าประวัติของท่านให้กับแม่มณีจันทร์ เลิศหิรัญปัญญา และคุณแม่มณีจันทร์ได้บันทึกไว้ มีดังนี้…

    บิดาของหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร มีนามว่า โกเมน มารดามีนามว่า พิราศ ท่านมีบุตร 2 คน คือ ท่านพระครูธรรมเทพโลกอุดร และน้องสาว ชื่อ ทิพย์ยะติ หลวงปู่ใหญ่ท่านเล่าว่า ก่อนที่ท่านจะถือกำเนิด มี ท่านพระเทพศันกัลป์ยะ ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของบิดา ได้เดินทางธุดงค์มาจากทางเขาพันสน ปัจจุบันอยู่ในประเทศศรีลังกา ท่านมาพักอยู่ที่บ้านของบิดา บิดามารดาของหลวงปู่ใหญ่ ท่านเป็นคนมีศีลมีธรรม ท่านได้จัดทำพิธีไหว้ครู(ก็คือ ท่านพระเทพศันกัลป์ยะ) ในวันนั้น ก็บังเอิญที่หน้าบ้านของบิดาหลวงปู่ใหญ่ ก็ได้มีดอกบัวผุดขึ้นมาจากสระน้ำ เป็นดอกบัวสีแดง พระอาจารย์พูดขึ้นว่า “ดอกบัวนั้นน่ะ แสดงให้รู้ว่า จะมีผู้มีบุญญาธิการมาเกิด เมื่อบวชจะได้เป็นพระอรหันต์”

    พระอาจารย์ได้บอกให้บิดาของหลวงปู่ใหญ่ จัดทำพิธีเตชะวา(คือ การทำพิธีบวงสรวงเทพยดา) พระอาจารย์จะเป็นผู้ทำพิธีให้ เครื่องบวงสรวงก็มี ขันน้ำ 1 ขัน มะพร้าวผ่าซีก 1 ลูก จุดธูป 16 ดอก และท่านได้ทำพิธีรวมธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อธาตุทั้ง 4 รวมกัน ก็เป็นอากาศธาตุ วันที่ท่านทำพิธีนั้น ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 5 ปีมะโรง ซึ่งถือเป็นวันดี และเป็นวันที่หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร ได้ถือกำเนิดขึ้น ในวันนั้น ก็ยังมีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก นั่นก็คือ ดอกบัวที่อยู่ในสระนั้น ได้บานขึ้นมา บิดาของหลวงปู่ ได้อุ้มหลวงปู่ ที่เพิ่งถือกำเนิดออกมา ไปวางไว้ในดอกบัว ทันใดนั้น ดอกบัวก็ได้พลันหุบลง ห่อตัวหลวงปู่เอาไว้ บิดาของหลวงปู่ เห็นดังนั้นก็ตกใจ กลัวว่าดอกบัวจะไม่ยอมบานออก เพื่อให้หลวงปู่ได้ออกมา พระเทพศันกัลป์ยะ จึงได้พูดกับบิดาของหลวงปู่ว่า ให้ทำพิธีเวทุตา(คือ การทำพิธีขอขมาดอกบัว) บิดาของหลวงปู่ได้ยินดังนั้น ก็จัดแจงทำพิธีกรรมขอขมาขึ้น โดยได้นำเอา ดอกดาวเรือง ดอกกุหลาบ ดอกทะลิ และของไหว้ตามประเพณี พร้อมธูป 16 ดอก มาก้มกราบขอขมาดอกบัว และได้กล่าวคำขอขมาว่า “ข้าพเจ้าได้ทำผิดพลาด หรือกล่าวล่วงเกินสิ่งใดๆต่อท่านดอกบัว ข้าพเจ้านั้น ไม่มีเจตนา ข้าพเจ้าขอขมาท่านด้วยเทอญ ข้าพเจ้า ขอตั้งสัจจะว่า เมื่อบุตรชายของข้าพเจ้าเติบโต ข้าพเจ้าจะให้บวชเรียน เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนาต่อไป และข้าพเจ้าจะไม่ทำผิดต่อท่านอีก โปรดอภัยให้แก่ข้าพเจ้าด้วยเทอญ” การขอขมาของบิดาเป็นผลสำเร็จ ดอกบัวได้บานออกมา บิดาก็อุ้มหลวงปู่ออกมาจากดอกบัว…..

    หลวงปู่ใหญ่ท่านเล่าว่า พออายุได้ 18 ปี ดอกบัวที่อยู่ในสระน้ำหน้าบ้านนั้น ก็บานขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ไม่เหมือนกับทุกครั้ง เพราะครั้งนี้ มีลำแสงไฟสว่างพวยพุ่งออกมาจากเกสรดอกบัว ลำแสงนั้น ฟุ้งขึ้นมาหลายๆดวงพร้อมกัน …. (เหมือนกับเราจุดพลุในปัจจุบันนี้) ความหมายที่ท่านดอกบัวบอก ก็คือ ถึงเวลาแล้วที่บิดาจะต้องให้หลวงปู่บวชเรียน บิดาก็ได้จัดเตรียมของบูชาดอกบัว เพื่อทำพิธีบอกกล่าว ว่าจะนำบุตรชายเข้าทำพิธีบวชเรียนแล้ว ตามที่ได้กล่าวให้สัจจะเอาไว้เมื่อครั้งก่อน ตอนนั้น บิดามารดาของหลวงปู่ ได้จัดเตรียมของบวชให้ ก็มีผ้าขาว 1 ผืน ผ้าจีวรที่พระมารดาเป็นผู้ทอผ้าเอง 1 ผืน มีดอกดาวเรือง ดอกมะลิ ดอกกุหลาบ ผลไม้ นมแพะ 1 แก้ว น้ำ 1 ขัน น้ำผึ้ง 1 ขวด ตั้งไว้อยู่ที่โต๊ะบูชา การบวชในครั้งนี้ มีพระเทพศันกัลป์ยะ เป็นครูอุปัชฌาย์ของหลวงปู่ หลวงปู่ท่านเล่าว่า ตอนที่ท่านบวชนั้น ได้บอกกล่าวกับดอกบัวว่า “ขอได้โปรด ท่านดอกบัวเอ๋ย ข้าพเจ้าจะขอลาท่าน เพื่อบวชเรียน เพื่อที่จะสร้างบารมี และบำรุงพระพุทธศาสนา ขอให้ท่านดอกบัวโปรดเมตตาในตัวข้าพเจ้าด้วยเทอญ ถ้าบุญวาสนาของข้าพเจ้ามี ที่จะได้บวชรับใช้พระพุทธศาสนาต่อไปข้างหน้า ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้บวชอย่างไม่มีอุปสรรคอันใดเลย ข้าพเจ้าขอตั้งสัจจะวาจา และสัญญาว่า ข้าพเจ้าจะทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา จะไม่ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมเสียเป็นอันขาด ข้าพเจ้าจะเผยแผ่พระพุทธศาสนา ให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าต่อไป ขอจงได้โปรดอนุญาตให้ข้าพเจ้าได้บวชด้วยเทอญ ข้าพเจ้าจะทำตามคำสัตย์จริงทุกประการ สาธุ สาธุ สาธุ “

    หลวงปู่ จึงตัดสินใจบวชตามเจตนา ส่วนอัญมณีสีแดงนั้น หลวงปู่ก็ได้นำติดตัวไว้เสมอ (หลวงปู่ใหญ่ท่านได้เล่าว่า พลอยสีแดงนั้น ท่านจะมอบให้กับคนที่ต้องสืบทอดพุทธศาสนาต่อไป และท่านก็กำหนดไว้แล้วว่า “ให้เก็บไว้ให้ดีนะ จะทำเป็นแหวนใส่ก็ได้ ปู่ให้เจ้าแล้ว” แต่แม่ก็ขอยืนยันอีกครั้งว่า แม่ไม่แน่ใจว่า ใช่พลอยที่หลวงปู่ครองอยู่หรือเปล่า? แม่ไม่ทราบได้ และก็ไม่กล้าที่จะถามด้วย คิดอยู่อย่างเดียวว่า ไม่ว่าอะไรที่หลวงปู่ท่านให้ จะเป็นก้อนหิน ก้อนกรวด ก็เป็นของดีทั้งนั้น….

    ตอน หลวงปู่บวชเรียนใหม่ๆ ท่านได้เล่าว่า ก็ตื่นเต้นอยู่ ครูอุปัชฌาย์ของท่าน สอนวิชาต่างๆให้ พาธุดงค์ สอนธรรมะ สอนวิธีการเดินธุดงค์ ถ่ายทอดวิชาให้จนหมดแล้ว ก็ดูว่า เราสามารถเอาตัวรอดได้แล้ว ท่านก็ ให้หลวงปู่ไปศึกษาธรรมต่อที่ประเทศทิเบตอีก เพราะที่ทิเบตนั้น เป็นแหล่งศึกษาธรรมชั้นยอด เป็นนิกายมหายาน ซึ่งผู้ที่มาปฏิบัติ จะต้องเคร่งครัดต่อระเบียบวินัยเป็นอย่างมาก ตอนนั้นหลวงปู่อายุได้ 23 ปี มีพระสหายที่สนิทสนมกันมาก คือ ท่านพระนามาตะ และหลวงปู่ก็ได้มาพบกับ พระเทพยะโสนะ ซึ่งเป็นพระสหายเก่าของท่าน พระเทพยะโสนะ ท่านก็ได้มาศึกษาธรรมที่ประเทศทิเบต และจะต้องไปเผยแผ่ธรรมต่อไปเหมือนกัน หลวงปู่อยู่ศึกษาธรรมที่ทิเบตหลายปี เรียนจนธรรมนั้น ได้เข้าไปถึงจิตวิญญาณ จิตสามารถรับรู้ได้เอง ในเรื่องของพลังและอิทธิฤทธิ์(จนเป็นที่เลื่องลือกัน ในหมู่พระที่เรียนธรรมด้วยกัน ทุกรูปจึงเรียกหลวงปู่ว่า”พระเทพมุนียะ” ซึ่งหมายถึง นามแห่งรูปธรรม

    1.พระเทพมุนียะ(หลวงปู่ใหญ่ หรือหลวงปู่ใหญ่พระครูเทพโลกอุดร นามเดิมของท่าน คือ พระครูธรรมโลกอุดร เพราะตอนบวชท่านได้ฉายานามนี้)

    2.พระเทพยะโสนะ

    3.พระเทพศรีอุตตระ

    4.พระเทพภิริยะญาณี

    5.พระเทพธรรมภูริ…..

    คณะของหลวงปู่ เลือกที่จะเดินทางมาประเทศสยาม(หมายถึงประเทศไทย) การเดินทางต้องรอนแรมมาตามป่าเขา เพราะเป็นป่าทึบมาก สัตว์ป่าก็มีเยอะ เป็นป่าที่มีแต่ความอุดมสมบูรณ์ การเดินทางมาเผยแผ่ธรรมนั้น ระหว่างการเดินทาง มีอุปสรรคมากมาย โดนผีหลอกบ้าง โดนพรางตาบ้าง มี อยู่ครั้งหนึ่ง หาแหล่งน้ำไม่เจอ ตอนแรกคณะของหลวงปู่ทุกรูป ก็ไม่ได้คิดอะไร เดินหาจนเหนื่อย ได้ยินเสียงน้ำไหลใกล้ แต่ก็หาลำน้ำไม่พบสักที เล่นเอาเหนื่อยไม่อยากเดินหาแล้ว จึงหยุดนั่งหลับตาดู ว่าเสียงน้ำมาจากทางไหน? พอนั่งหลับตาสักพักก็เห็น ลำน้ำไม่ได้อยู่ไกลจากตัวเราเลย ที่มองไม่เห็นก็เพราะไม่ได้ทำพิธีบอกกล่าว ขอเจ้าป่าเจ้าเขา จึงได้จัดแจงกันทำพิธีขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขา นึกถึงครูบาอาจารย์ให้ท่านช่วยเหลือ ปรากฏว่าน้ำก็ผุดมาให้เห็นในทันที!!! น้ำใสสะอาดมาก ได้ดื่ม ชำระร่างกายกันจนเรียบร้อย ก็พากันปักกรดเพื่อปฏิบัติธรรมแผ่เมตตา ช่วยเหลือพวกเขาที่อยู่บริเวณนั้น 1 คืน รุ่งเช้าพากันเดินทางต่อ จนในที่สุด คณะของหลวงปู่ก็เดินทางมาถึงประเทศสยาม

    ถึงเขตประเทศสยามแล้ว จึงทำพิธีขอขมาเจ้าป่าเจ้าเขา ให้ท่านได้คุ้มครองคณะของหลวงปู่ให้ปลอดภัยจากภัยอันตรายทั้งหลายทั้งปวง ไม่ว่าจะเป็นตามถ้ำ ตามต้นไม้ หรือพื้นดิน เมื่อทำพิธีขอขมาเรียบร้อยแล้ว ทุกอย่างก็สะดวกขึ้นมาก ไม่ทุลักทุเลเหมือนทางที่ผ่านๆมา คณะของหลวงปู่เดินทางมาเรื่อยๆ จนเห็นต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ต้นหนึ่งอยู่กลางป่า หลวงปู่และคณะ ตกลงกันว่า จะพักที่ใต้ต้นโพธิ์นี้ ทุกคนพักกันหายเหนื่อยแล้ว พระเทพยะโสนะ ท่านได้พูดขึ้นเป็นเชิงปรึกษาว่า “เราควรที่แยกย้ายกันไปแต่ละแห่งตามทิศที่พวกท่านปรารถนา เพื่อจะได้เผยแผ่ธรรมะได้หลายๆแห่ง” ทุกรูปต่างเห็นดีด้วย จึงเตรียมตัวแยกย้ายกันไปตามภาคต่างๆ ส่วนหลวงปู่เอง ขอเลือกมาทางภาคอีสาน เมื่อเลือกที่จะมาทางภาคอีสานแล้ว ก็ได้เดินทางรอนแรมมาเรื่อยๆ จนถึงเมืองลพบุรี……

    เมื่อ มาถึงเมืองลพบุรี ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดพรหมรังสี สมัยนั้น เมืองลพบุรียังเป็นป่าอยู่ และวัดพรหมรังสียังเป็นป่ารกร้าง มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่ง หลวงปู่ก็ได้พักที่นั่น อยู่เมืองลพบุรีไม่นาน ก็เดินทางต่อไปเรื่อยๆ จนมาถึงเมืองชัยภูมิ(แต่ก่อนเมืองชัยภูมิ ยังอยู่ในเขตเมืองเลยในอดีต) ตรงที่เป็นถ้ำวัวแดงอยู่ทุกวันนี้ แต่ก่อนเขาแถบนี้ยาวมาก มีอาณาเขตติดต่อกันหลายจังหวัด ในคราวแรกหลวงปู่เดินผ่านเขาลูกนี้ไปแล้ว แต่ไปๆมาๆ ก็เดินกลับมาที่เขาลูกนี้อีก จนได้พบกับคณะของหลวงปู่ครบทั้ง 5 รูปที่เขาวัวแดงนี้ ซึ่งจะว่าเป็นการบังเอิญก็ใช่เหตุ ทุกคนต่างแปลกใจเหมือนกันหมด จึงพากันสำรวจเขาวัวแดงลูกนี้ พบว่ามีถ้ำเยอะมาก จึงตกลงกันว่า จะเอาเขาวัวแดงนี้ล่ะ เป็นจุดเผยแพร่ธรรมะ หลวงปู่ท่านเล่าว่า ท่านเดินทางมาถึงประเทศสยาม จนได้มาอยู่ที่เขาวัวแดง(ถ้ำวัวแดงในปัจจุบันนี้) ในปีพ.ศ.1865 ท่านได้พูดขึ้นกับคณะของท่านว่า “ในเมื่อเราได้มารวมตัวกัน ณ ที่นี้แล้ว และที่นี่ก็มีถ้ำมากมายเหลือเกิน พวกเราจงเอาที่นี่แหละ เป็นที่เผยแผ่ธรรมะจะดีที่สุด”

    สิ้น เสียงหลวงปู่ ก็ได้มีเสียงบรรดาผู้คนและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ตลอดจนรุกขเทวดา เมืองบังบด ไปจนถึงนางไม้เจ้าป่าเจ้าเขา มาคอยต้อนรับเป็นอย่างดี เทวดาทำการอัญเชิญนิมนต์”พระเทพยะโสนะ” ขึ้นบำเพ็ญอยู่ที่”ถ้ำแสงจันทร์” ส่วน”หลวงปู่ใหญ่”ท่านเทวดาได้นิมนต์เชิญขึ้นบำเพ็ญอยู่ที่”ถ้ำสะอาด””พระ เทพศรีอุตตระ” ท่านนิมนต์เชิญขึ้นบำเพ็ญอยู่ที่”ถ้ำประทุนและถ้ำน้ำ” แต่ส่วนมาก มักชอบอยู่ที่”ถ้ำน้ำ” “พระเทพภิริยะญาณี”ท่านนิมนต์เชิญขึ้นบำเพ็ญที่”ถ้ำเจ็ดห้อง” ส่วน”พระเทพธรรมภูริ” ท่านนิมนต์เชิญขึ้นบำเพ็ญที่”ถ้ำสะดือ” เป็นอันว่า คณะของหลวงปู่ใหญ่ ก็ได้ไปบำเพ็ญตามถ้ำต่างๆ ตามที่เทวดาได้นิมนต์เชิญ…..

    ทีนี้ทุกคนคงจะเข้าใจแล้วนะว่า หลวงปู่พระครูเทพโลกอุดรนั้น มีนามว่า”พระเทพมุนียะ” นามเดิมของหลวงปู่ใหญ่นั้น ในหมู่เพื่อนของท่าน มักชอบเรียกกันว่า”พระครูธรรมเทพโลกอุดร” คำว่า”โลกอุดร” นี้มีความหมาย คือ “โลกแห่งการหลุดพ้น” หรือบางคนจะเรียกว่า”ความเหนือโลก”นั่นเอง

    หลวง ปู่ท่านยังเล่าต่ออีกว่า ประมาณหลังเที่ยงคืนทุกวัน คณะของหลวงปู่ จะนัดพบกันที่”ถ้ำสะอาด” เพื่อแลกเปลี่ยนสนทนาธรรมกัน เวลาสนทนาธรรม หลวงปู่ใหญ่จะเคี้ยวหมากไปด้วย มือก็จะถือ”ลูกแก้ว”เล่นไปด้วย ลูกแก้วของหลวงปู่ใหญ่นั้น สามารถเปลี่ยนสีได้(พูดถึงลูกแก้วแล้ว แม่จะเล่าให้ฟังนะ ลูกศิษย์เก่าๆ ที่ได้ลูกแก้วจากหลวงปู่ ที่มีคนนำมาถวายท่าน หลวงปู่ท่านได้ส่งญาณมาที่สังขารของแม่ และลงคาถาปลุกเสกลูกแก้ว ทุกคนที่ได้ลูกแก้วไป ก็จะเปลี่ยนสี บางคนเป็นสีขาวใสสะอาด บางคนเป็นสีฟ้า สีเขียวมรกตบ้าง สวยงามมาก ทั้งๆที่ตอนรับกับหลวงปู่นั้น ลูกแก้วก็ยังเป็นสีขาวธรรมดา ส่วนของแม่นั้น ได้มา 2 ลูก ลูกหนึ่งเป็นสีรุ้ง อีกลูกหนึ่งเป็นสีเขียว) หลวงปู่ใหญ่และคณะ มักจะสนทนาธรรมกันจนถึงตี 3 หลวงปู่ใหญ่ท่านได้พูดถึง”พระเทพธรรมภูริ”ว่า ท่านชอบนั่งหลับตาเวลาสนทนาธรรมกัน ท่านจะเป็นคนเยือกเย็น ทำตัวสบายๆ เวลาท่าน”พระเทพยะโสนะ”ถามอะไร ก็จะหลับตาตอบไปยิ้มไป พระเทพธรรมภูริเก่งหลายเรื่อง มีอิทธิฤทธิ์มาก ชอบเอากล้วยน้ำว้าติดไม้ติดมือมาฝากเป็นประจำ สำหรับ”พระเทพศรีอุตตระ” ท่านมีอภิญญา มีใจเป็นธรรม มีคุณธรรมประจำใจ “พระเทพศรีภิริยะญาณี” ท่านมีของศักดิ์สิทธิ์ มีอิทธิฤทธิ์หลายอย่าง พระเทพแต่ละองค์ ต่างก็มีของดี และมีอิทธิฤทธิ์ทุกรูป…

    “เอาละลูกเอ๋ย ทีนี้เจ้าก็ได้รู้แล้วว่า ที่มาที่ไปเป็นอย่างไร ลูกจงเขียนไป หลวงปู่อนุญาตเจ้าแล้ว”

    หลวง ปู่ท่านเมตตาเล่าประวัติย่อๆ ที่มาที่ไปให้แม่ได้ฟัง และดลใจให้แม่เขียน เพราะปกติแม่จะเขียนหนังสือไม่ค่อยถูกต้อง จะต้องให้ณีคอยบอกคอยเรียบเรียงแก้ไขให้ มีอยู่ตอนหนึ่ง หลวงปู่ใหญ่ท่านเล่าว่า ท่านจะเดินทางไปพบท่านพระเทพยะโสนะ ที่ถ้ำแสงจันทร์ ระหว่างทางได้พบกับช้างพลายป่า กำลังตกมันบ้าคลั่งอยู่ เดินเข้ามาทำร้ายหลวงปู่ หลวงปู่ก็เลยแผ่เมตตา และได้คุยกับเจ้าช้างพลายเชือกนั้น จนเจ้าช้างพลายสงบลง และเดินจากไป นอกจากนั้น หลวงปู่ ก็ยังเจองูอีก งูนี้เห็นหลวงปู่ก็เลื้อยหลีกหนีไป บางตัวก็หดตัวเลย หลวงปู่ท่านเล่าไปก็ยิ้มไป

    หลวงปู่มีเมตตาต่อลูกศิษย์มาก ท่านได้เผยความในใจของท่านว่า “อยาก ให้ลูกศิษย์ทุกๆคนเป็นคนดี อยู่ในศีลในธรรม อยากให้ลูกศิษย์ตั้งใจปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง และสำเร็จทุกๆคน อยากให้ลูกศิษย์ รู้ถึงกฎแห่งกรรม จะได้ตั้งใจบำเพ็ญศีลภาวนา เพื่อให้ชีวิตรุ่งเรืองทั้งปัจจุบันและอนาคตข้างหน้า อยากให้ลูกศิษย์ทุกๆคน ช่วยเผยแผ่ธรรมะออกไป ให้กว้างไกล เพื่อพระพุทธศาสนาจะได้เจริญรุ่งเรืองยิ่งๆขึ้นไปอีก”

    ท่านพูดเสมอว่า “เพื่อ พุทธศาสนิกชนชาวสยาม และเพื่อพุทธศาสนาแล้ว ท่านยอมที่จะเหนื่อย ยอมที่จะทำการทุกอย่างที่จะเผยแผ่พระธรรมให้มากที่สุด เพราะท่านอยากให้สรรพสัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ มีชีวิตอันมีความสุขกายสุขใจ ดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมีความสุข”…

    ที่มา : https://barmepuyai.wordpress.com/%e0%b8%ab%e0%b8%a5%e0%b8%a7%e0%b8%87%e0%b8%9b%e0%b8%b9%e0%b9%80%e0%b8%97%e0%b8%9e%e0%b9%82%e0%b8%a5%e0%b8%81%e0%b8%ad%e0%b8%b8%e0%b8%94%e0%b8%a3/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2016
  12. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,406
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    [​IMG]

    [​IMG]

    สถานธรรมแห่งนี้ ตั้งอยู่ริมถนนมิตรภาพ ก่อนเข้าเมืองพลเพียง 6 กิโลเมตร..ด้านซ้ายมือหากวิ่งมาจากขอนแก่น
    ที่แห่งนี้ ได้ตั้งเป็นมูลนิธิและบริหารงานโดยแม่มณีจันทร์ เลิศหิรัญปัญญา..

    [​IMG]

    ที่สถานธรรมจะมีการจัดวันสำหรับผู้ที่สนใจจะมาปฏิบัติธรรม ณ สถานปฏิบัติธรรมหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร เป็นประจำทุกเดือน..โดยจะเน้นให้ผู้ปฏิบัติเรียนรู้การปฏิบัติอย่างมีสติ..ง่ายๆ และไม่ต้องกังวลในการทำอาหาร เพราะจะมีแม่ครัวประจำสถานธรรมคอยจัดอาหารให้ทุกมื้อในระหว่างปฏิบัติ เพียงแต่วันสุดท้ายที่ลาศีล เราเพียงแต่ชำระหนี้สงฆ์ ตามแต่ฐานะ

    ที่มา : http://www.oknation.net/blog/chulaluck/2008/08/10/entry-2
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2016
  13. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,406
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    สำหรับท่านที่มีความทุกข์ในเรื่องการงาน, การเงิน หรืออื่นๆ ก็ลองไปขอความเมตตากับคุณแม่มณีจันทร์ดูนะครับ เพราะท่านผ่านญาณโดยหลวงปู่เทพโลกอุดร มีหลายท่านที่ไปขอความเมตตาและประสบความสำเร็จมาแล้วมากมายหลายท่าน

    ประสบการณ์การไปขอความเมตตากับคุณแม่มณีจันทร์ (ญาณหลวงปู่เทพโลกอุดร)

    เมื่อนานหลายปีมาแล้ว สมัยที่ผมเคยตกงาน ได้เคยอ่านเจอในหนังสือที่เขียนโดยนักเขียนใหญ่ นามภันธกานต์ กิ้ม... ก็เลยเดินทางไปขอความเมตตากับหลวงปู๋ใหญ่ โดยการเดินทางโดยรถไฟ เมื่อไปถึงที่อ.เมืองพล จ.ขอนแก่น ก็ต่อรถจักรยานสามล้อรับจ้าง ไปลงที่สถานปฏิบัติธรรมหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร ได้พบคุณแม่มณีจันทร์ และขอความเมตตากับคุณแม่มณีจันทร์(ญาณหลวงปู่เทพโลกอุดร) โดยแจ้งว่าตกงานอยู่ ปู่ใหญ่บอกว่าจะช่วย และท่านทักขึ้นว่า "อย่าเลือกงานมากนัก"

    ในสถานปฏิบัติธรรมหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดร มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาก มีรูปหลวงปู่สรวง เทวดาเล่นดินด้วย ก่อนเดินทางกลับได้กราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสถานปฏิบัติธรรม เมื่อจะเดินทางกลับนนทบุรี ก็ไปต่อรถทัวร์จากเมืองพลไปลงกรุงเทพฯ ขณะอยู่บนรถทัวร์รู้สึกมีปิติมาก เป็นอาการที่นานๆ อาจเป็น 10-20 ปีถึงจะเกิดสักครั้ง เพราะสถานปฏิบัติธรรมหลวงปู่พระครูเทพโลกอุดรมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาก และอาจเพราะผมมีสัมผัสพิเศษที่คนทั่วไปไม่มี

    หลังจากการไปขอความเมตตากับหลวงปู่ใหญ่(ผ่านร่างคุณแม่มณีจันทร์) ผ่านไปราว 1 เดือนก็ได้งานทำ เป็นงานในบริษัทใหญ่พอสมควรแห่งหนึ่ง มีชื่อเสียงติดอันดับ 1-8 ของประเทศที่เกี่ยวกับบริษัทสร้างบ้านจัดสรร แต่ทำได้ประมาณ 25 วันก็ลาออก เพราะไม่ค่อยน่าทำ มีแรงกดดันมาก ปัญหาจุกจิกเยอะ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 กันยายน 2016
  14. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,406
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    เคล็ดลับ เงินล้าน

    ท่านที่สนใจเคล็ดลับ เงินล้าน สอบถามขอข้อมูลได้ทาง PM ครับ (บอกให้แค่บางท่านนะครับ แจ้งมาทาง PM ด้วยว่าต้องการทราบไปเพื่ออะไร เพราะอะไร เคยมีบุญสัมพันธ์อะไรกับผมบ้าง เช่น เคยช่วยเช่าบูชาพระเครื่องวัตถุมงคลบ้างไหม?, เคยกด Like หรืออนุโมทนาในกระทู้นี้บ้างไหม? ฯลฯ)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2016
  15. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,406
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    คำอธิษฐานขอให้บุคคลที่เคยเป็นญาติ เคยช่วยเหลือค้ำชูกัน ขอให้มาช่วยเหลือในชาติปัจจุบัน

    "บัดนี้ชาตินี้ ข้าพเจ้า...(ชื่อ-นามสกุล)....ได้ประกอบอาชีพ.......... ขอให้ท่านที่เคยเป็นญาติกัน เคยช่วยเหลือค้ำชูกัน เคยมีบุญคุณเกื้อหนุนกันในหลายๆ ภพ หลายๆ ชาติที่ผ่านมา ขอให้ได้มาช่วยกันอุดหนุนค้ำชูกันอีกในชาตินี้ด้วยเถิด"


    ที่มา: หลวงพ่อทำให้ข้าพเจ้าพบชีวิตที่รุ่งเรือง : หนังสือกฎแห่งกรรม ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ 12 วัดอัมพวัน จ.สิงห์บุรี
     
  16. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,406
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    การอธิษฐานเบิกบุญมาช่วย ตามแบบวิธีแม่ชีทศพร

    การอธิษฐานแบบที่ 1

    "ข้าพเจ้า นาย/นาง.... เกิดวันที่ เดือน ปีพ.ศ..... ขอทวยเทพเทวดา โปรดจดจำชื่อของข้าพเจ้าไว้ว่า ข้าพเจ้านั้นเป็นผู้ที่มีศรัทธาต่อพระรัตนตรัย เมื่อกระทำการใด ๆ แล้วขอให้ทุกสิ่งประสบความสำเร็จสมดังปรารถนา

    ข้าพเจ้าขออานิสงค์ผลบุญในการ (ถวายผ้าพระกฐิน ถวายผ้าป่า ต่อน้ำเข้าวัด ฯลฯ....) ครั้งนี้ สำเร็จผลให้บิดามารดา ครูอาจารย์ของข้าพเจ้า มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนนานร้อยปี

    ข้าพเจ้าขออานิสงค์ผลบุญนี้ สำเร็จผลแก่สัมมาอาชีพและปัจจัยสี่ สำเร็จแก่พระภูมิเจ้าที่ เทพเทวดารักษาตัวของข้าพเจ้า

    หากข้าพเจ้าได้เคยกลบฝังทรัพย์สมบัติใด ๆ ไว้ในอดีตชาติไม่ว่าชาติไหนก็ตาม ขออานิสงค์ผลบุญในครั้งนี้ ยังผลให้ขุมทรัพย์นั้นเปิดออก ให้ข้าพเจ้าได้ใช้ทรัพย์นั้นวันนี้ เวลานี้

    ข้าพเจ้าขออานิสงค์ผลบุญในครั้งนี้ ส่งผลให้ข้าพเจ้ามีดวงตาเห็นธรรมทุกภพทุกชาติจนกว่าจะถึงพระนิพพาน"


    การอธิษฐานแบบที่ 2

    "บุญใดที่ข้าพเจ้าได้ทำสำเร็จแล้ว จากการสร้างโบสถ์ วิหาร ลานเจดีย์ ศาลาการเปรียญ กุฎิ และอื่น ๆ ที่สำเร็จผลแล้ว ข้าพเจ้าขอใช้บุญนั้น วันนี้ เดี๋ยวนี้ เพื่อให้... (มีคนมาอุปถัมป์ค้ำจุน, มีโชคลาภทางการเงิน, ค้าขายดี, ฯลฯ)...ด้วยเถิด สาธุ"
     
  17. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,406
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    ลงขายใน Kaidee.com ช่วยได้ในระดับหนึ่ง

    ได้นำพระเครื่องวัตถุมงคล ไปลงไว้ที่เวบ Kaidee.com จากประสบการณ์ประมาณ 1 เดือนกว่า พบว่า การนำไปลงที่ Kaidee.com ช่วยได้ประมาณ 5-10% ข้อดีของเวบนี้ก็คือเป็นเวบที่แข็งแกร่งเวบหนึ่ง โอกาสการค้นหาผ่าน Google มีสูง

    มีลูกค้าค้นพบจากเวบขายดีดอทคอม และติดต่อมาก็มี

    สมัยนี้คนฉลาดๆ ขายของออนไลน์ ใช้ Social Network อย่าง Facebook หรือ Line ค่อนข้างแพร่หลาย และบางท่านก็ขายของได้ดี เกือบเท่น้ำเท่ท่า

    การโฆษณาผ่าน Facebook หรือ Line จัดเป็นข้อได้เปรียบอย่างหนึ่ง และหากมีเวบเป็นของตนเองก็จะยิ่งช่วยเพิ่มมากขึ้น โอกาสการขายมีมาก รายได้ก็อาจมากตาม สังเกตได้จากพวกขายสมุนไพรหรืออาหารเสริม ลงโปรโมทใน Facebook เป็นประจำ รายที่พอมีเงินทุนก็ลงโฆษณาพิเศษแบบที่จ่ายเงิน ผลตอบรับก็ค่อนข้างดี เพราะโฆษณาแบบจ่ายเงินจะไปโพล่ที่บัญชีเกือบทุกบัญชีที่ได้ระบุไว้ เช่น ทุกบัญชี ที่เป็นคนไทย เป็นต้น
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2016
  18. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,406
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    ถ้ามีบูชาพระพุทธรูปไว้ที่บ้าน/สำนักงาน/ร้านค้า หากหันหน้าพระพุทธรูปไปทางทิศใต้หรือทิศตะวันตก ระวังเก็บเงินไม่อยู่

    ถาม-ตอบ เรื่องอานิสงส์ ในการสร้างพระพุทธรูป โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ การสร้างพระพุทธรูป กับการถวายปัจจัย อย่างไหนมีอานิสงส์ดีกว่าคะ…?
    หลวงพ่อ : การสร้างพระพุทธรูปจัดว่าเป็น พุทธบูชา ถ้าในเรื่องกรรมฐานจัดเป็น พุทธานุสสติกรรมฐาน ถ้าตายจากคนไปเกิดเป็นเทวดา มีรัศมีกายสว่างไสวมาก ถ้าถวายปัจจัยถวายเป็นของสงฆ์ จัดว่าเป็น พุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา จัดเป็น จาคานุสสติกรรมฐาน เกิดมาชาติหน้าก็รวย การสร้างพระถวาย ด้วยอำนาจพุทธบูชาทำให้มีรัศมีกายมาก เป็นคนสวย ตามที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    "พุทธบูชา มหาเตชะ วันโต"
    "การบูชาพระพุทธเจ้ามีเดชอำนาจมาก"
    แต่ถ้ามีอำนาจแต่ขาดสตางค์ก็อดตายนะ ใช่ไหม…แต่งตัวเป็นจอมพลแต่ไม่มีสตางค์ในกระเป๋า แย่นะ…
    อีกแบบหนึ่ง มีสตางค์มากๆ แต่ขาดอำนาจราชศักดิ์ก็โดนโจรปล้นอีก ฉะนั้นทำมันเสีย 2 อย่างเลย ดีไหม…?

    ผู้ถาม : หลวงพ่อคะ ถ้าเรามีพระบูชาเราควรจะหันหน้าไปทางทิศไหนคะ…?
    หลวงพ่อ : พระบูชาที่นิยมกัน เขาหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ถ้าหันไปทาง ทิศใต้ กับทิศตะวันตก สตางค์ไม่เหลือใช้ ลองดูก็ได้

    ผู้ถาม : เป็นเพราะเหตุใดคะ…?
    หลวงพ่อ : อันนี้ฉันไม่รู้ละ รู้แต่ว่าสมัยหลวงพ่อปาน ถ้าลูกศิษย์ท่านหันหน้าพระพุทธไปทาง ทิศตะวันตกหรือทิศใต้ ท่านบอกว่าควรหันไปทาง ทิศตะวันออกหรือทิศเหนือ

    ผู้ถาม : หลวงพ่อขอรับ ได้ทราบข่าวว่าหลวงพ่อจะ สร้างแท่นพระสำหรับพระพุทธรูปข้างพระอุโบสถวัดท่าซุงนั้น อยากจะทราบว่าการสร้างแท่นพระมีอานิสงส์อย่างไรขอรับ..?
    หลวงพ่อ : สร้างแท่นก็เหมือนกับสร้างพระพุทธรูป คือแท่นพระพุทธรูปเขาบกพร่องอยู่ เราทำให้เต็มอย่างนางวิสาขา หรือพระสิวลี อานิสงส์ไม่ใช่เล็กน้อยนะ อานิสงส์ใหญ่มาก คนจะรวยแล้วนะ วาสนาบารมีจะสูง สร้างแท่นพระ หนุนพระให้สูงน่ะ แล้วพระพุทธเจ้าด้วยนะ เราฐานะก็จะดีขึ้น


    ขอบคุณข้อมูลจาก : ถาม-ตอบ เรื่องอานิสงส์ ในการสร้างพระพุทธรูป โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 ตุลาคม 2016
  19. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,406
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    การตั้งองค์พระให้ถูกหลัก เพื่อความเจริญร่ำรวย

    [​IMG]

    การตั้งองค์พระตามหลักฮวงจุ้ย

    เมื่อสามารถกำหนดตำแหน่งของห้องพระที่เหมาะสมได้แล้ว การเลือกตำแหน่งตั้งพระพุทธรูปตามหลักฮวงจุ้ย ก็ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กัน โดยทิศที่เหมาะสมในการตั้งพระพุทธรูป ได้แก่ ทิศเหนือ และทิศตะวันออก ซึ่งจะช่วยเสริมดวงชะตา และนำโชคลาภ มาสู่ผู้อยู่อาศัย โดยสามารถพิจารณาได้จากหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้

    ตั้งพระหันหน้าไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ : ทิศนี้เป็นทิศเศรษฐี หากประกอบการงาน ทำมา ค้าขาย ใดๆ ก็จะเจริญร่ำรวย ยิ่งๆ ขึ้น

    ตั้งพระหันหน้าไปยังทิศตะวันออก : ทิศนี้เป็นทิศราชา จะประกอบการงานใดๆ ก็จะเจริญ ใหญ่โต สมความตั้งใจทุกประการ

    ตั้งพระหันหน้าไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ : ทิศนี้เป็นทิศปฐม นับว่าเป็นทิศที่ไม่เหมาะสมกับการตั้งพระ เนื่องจากทำอะไรจะไม่ค่อยเจริญ ลาภผลตกต่ำ และแค่พอมีพอใช้

    ตั้งพระหันหน้าไปยังทิศใต้ : ทิศนี้เป็นทิศจัณฑาล โดยทำงานอะไรก็จะติดขัด ยากลำบาก หากมีการลงทุน ก็มักได้ผลประโยชน์ไม่ค่อยคุ้มค่า

    ตั้งพระให้หันไปสู่ทิศตะวันตกเฉียงใต้ : ทิศนี้เป็นทิศวิปะฏิสาร งานการที่ทำจะมีแต่ความเดือดร้อนยุ่งยาก ซ้ำยังมีผลกระทบมาสู่ครอบครัว รวมทั้งเพื่อนบ้าน

    ตั้งพระหันหน้าไปยังทิศตะวันตก : ทิศนี้เป็นทิศกาลกิณี ไม่ว่าจะทำสิ่งใด ก็จะมีแต่ความเกิดลังเลใจ ไม่เป็นมงคล อาจเกิดภัยอันตรายร้ายแรงกับคนภายในบ้าน ซึ่งควรหลีกเลี่ยงทิศนี้อย่างเด็ดขาด

    ตั้งพระหันหน้าไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ : ทิศนี้เป็นทิศอุทธัจจะ จะทำงานสิ่งใด ผลงานก็ไม่แน่นอน จับจด รวนเร ไม่ได้ผล

    ตั้งพระหันหน้าไปยังทิศเหนือ : ทิศนี้เป็นทิศมัชฌิมาปฏิปทา จะทำงานใดๆ ผลงานจะอยู่ในเกณฑ์พอปานกลาง ไม่ดีไม่ร้าย


    ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก : เสริมบารมี โชคลาภ ด้วยฮวงจุ้ยห้องพระที่ถูกหลัก
     
  20. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,406
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    นอกจากการมีเบอร์ดี บูชาวัตถุมงคลดีๆ ชื่อ-นามสกุล ดี, ตั้งพระบูชาถูกทิศ และอื่นๆ แล้ว สิ่งสำคัญ ต้องทำตัวให้เป็นคนดีด้วย
     

แชร์หน้านี้

Loading...