รับตอบข้อสงสัยในการเจริญพระกรรมฐาน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย Xorce, 26 พฤศจิกายน 2008.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    มาเป็นกำลังใจครับ
    หมดเรื่องถาม
     
  2. oze

    oze Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +94
    ภาพนิมิต คือการเห็นในจิต และรู้สึกสัมผัสได้ใช่มั๊ยคับ

    เช่นว่ารู้สึก ร้อน เย็น
     
  3. thipphayawan

    thipphayawan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +31
    ขอคำแนะนำด้วยค่ะ

    เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาขณะที่นอนอยู่แล้วรู้สึกเคลิ้มกำลังจะหลับ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะลุกขึ้น แล้วเห็นร่างของตัวเองนอนอยู่ ควรทำอย่างไรคะหากเกิดขึ้นอีก เกรงว่าจะไม่สามารถกลับเข้าร่างตัวเองได้ พอจะมีคำแนะนำไหมคะ ขอบคุณค่ะ
     
  4. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ

    สวัสดีครับคุัณชัด วันนี้ได้ไปปฏิบัติ กับ อาจารย์เล็ก แล้วปรกติคนเราจะหายใจเข้าออก แต่ที่ผมเป็นลมหายใจค่อยๆแคบลงและ็ก็ยาวขึ้น บางทีจะหยุดหายใจดื้อๆโดยที่อารมณ์เป็นกลาง แต่ ร่างกายมันพยายามจะหายใจก็กำหนดจิตตามดู

    จิตเริ่มสงบเป็นฌาณครับ
    ลมหายใจจะเริ่มช้าลง เบาลง จนกระทั่งหยุดไป
    ช่วงที่ลมหายใจหายไป จิตจะมีอาการหยุดนิ่ง ตั้งมั่น ไม่ซัดส่าย ความคิดปรุงแต่งทั้งหมดจะหายไป จิตจะลอยนิ่งอยู่เบาๆ
    แต่จิตยังไม่ชินกับอารมณ์นี้ ดังนั้นจะมีอาการกระเพื่อมของจิต ลมหายใจจะกลับมาบ้าง หายไปบ้างสลับกัน

    ขณะนั้น ก็กำหนดจิตตาม อาจารย์ไปด้วย ถึงจะเห็นบ้างไม่เห็นบ้างแต่จิตก็คอยตาม อาจารย์ไป ช่วงแรกๆก็ยังมองไม่ชัดเหมือนเคย แต่ ตอนหลังจะมีอยู่ช่วงนึงที่ ลมหายใจมันหายไปและเหมือนกับอะไรมารวมตัวกัน ไอเสียงวิ้งๆนั้นก็เหมือนกับ ลอยขึ้นไปข้างบน ทำให้ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยมีแต่เสียงวิ้งๆนั่น กำลังรวมๆตัวกันเสียงดังขึ้นแต่ไม่ได้ลำคาญแต่รู้ว่าัมันดังขึ้น

    ตรงนี้จะเข้าเป็นฌาณละเอียดครับ ลักษณะที่เพิ่มขึ้นคือ หูจะดับ จึงได้ยินเสียงวิ้งๆ แต่บางครั้งจะไม่ได้ยินเสียงวิ้งๆ ก็มีครับ
    จุดสำคัญคือ ได้ยินเสียง แต่จิตไม่รำคาญในเสียง
    ถ้าจิตรำคาญในเสียงฌาณจะตก เพราะเป็นนิวรณ์
    ถ้าไม่รำคาญจิตก็จะทรงอยู่ในอารมณ์ต่อไป

    สีต่างๆที่เป็นจุดๆตอนแรกเป็นประกายเพรชสีขาวๆระยิบ ลมหายใจไม่มีผมก็แผ่เมตตาตัวก็เบามันโล่งๆค่อยขยายออก พอมันจะรวมกันเป็นก้อนกลมๆ กลับเป็นสีม่วงๆระยิบระยับกำลังเคลื่อนตัว

    ตรงนี้จะมีว่า ภาพที่เราเห็นนี้จะต้องเห็นในจิตของเรา เป็นคล้ายจินตภาพของเรา
    ไม่ใช่ภาพที่เราเห็นด้วยตาเนื้อ ที่ยังเห็นไม่ชัดเพราะ
    เรามีความพยายามที่จะมองภาพด้วยตาเนื้อ แทนที่จะใช้จิต ใช้ใจมอง
    จริงๆ ภาพนั้นปรากฏแล้ว แต่เราลืมใช้ใจมอง ไปใช้ตาเนื้อมองจึงมองๆไม่เห็น
    จะเห็นในลักษณะคล้ายเวลาที่เรานึกถึงภาพคุณพ่อคุณแม่ของเรา
    เรานึกถึงท่านแบบใด เราก็เห็นแบบนั้นครับ

    จะว่าไปคล้ายๆกับจรวจอวกาศที่กำลังปล่อยกระสวยยังไงยังงั้นเลย แล้วก็อารมณ์คืออยากจะลุกขึ้นมา หรืออาจจะเป็นเพราะอารมณ์ของผมหนักไปแต่ผมรู้ถ้ามันหนักมันจะเกร็งเพราะอารมณ์เกร็งผมเคยผ่านมาแล้ว

    ตอนแรกอารมณ์ยังปรกติครับ ต่อมามีอารมณ์เค้นๆ อยากให้มันออกอยู่นิดนึง
    ต้องปล่อยใจสบายๆ มันจะออกไม่ออกเรื่องของมัน เราแผ่เมตตาประคองใจให้มีควมสุขเอาไว้ต่อไป
    พอใจมีความสุขมากเข้าๆ เดี้ยวก็ออกมาเองครับ
    อภิญญาก็ดี มโนมยิทธิก็ดี จะทำได้ต่อเมื่อใจของเรามีความสุข
    ดังนั้นยิ่งใจมีความสุข ชุ่มเย็นจากเมตตามากเท่าไหร่ ความแจ่มใสยิ่งมากครับ
    ความเป็นทิพย์จะเกิดเมื่อใจเป็นสุข ถ้าใจเป็นสุขก็จะเกิดความเป็นทิพย์

    การปฏิบัติธรรมแบบที่พระพุทธองค์ทรงสอนนั้น พระองค์ทรงสอนให้ง่ายด้วย
    ให้ฝึกแล้วใจสบายมีความสุข ความชุ่มเย็นด้วย
    พอใจมีความสุขมากเข้าๆ ญาณ อภิญญาต่างๆมันก็รวมตัวเข้ามาเอง
    ปฏิบัติง่าย ปฏิบัติแล้วสุขสบายใจ ไม่เมื่อยด้วย ได้อภิญญาด้วย ตายแล้วไปพระนิพพานอีก คุ้มมหาคุ้มสุดๆแล้วครับ

    อารมณ์นี้ยังไม่เคยเจอ อารมณ์นี้หนักไปรึเปล่าครับแต่ ผมก็ฝึกตามที่ ครูเล็กบอก อัดลม และ พอถึงจุดๆนึงก็แผ่เมตตา ลมหายใจก่อนหน้านั้นแค่คำบริกรรมหายไปแต่ตอนนี้ลมหายใจมันหายไปครับ ไม่หายใจ เป็นพักๆแล้วลมหายใจก็อยู่ตรงกลาง

    เทคนิคที่จะทำให้ลมหายใจดับได้โดยง่าย ก็คือการอัดลม
    อาจารย์จึงต้องเน้นให้ทุกๆคนทำ
    ผมก็เน้นโดยนำมาลงเอาไว้บ่อยๆ แต่ไม่รู้จะได้ทำตามกันกี่คน
    ที่ให้หายใจเข้า กักลมหายใจเอาไว้ ภาวนาพุทโธ ธัมโม สังโฆๆๆ แล้วก็หายใจออกน่ะครับ
    พออัดลมเสร็จ เราก็จับลมหายใจธรรมดา ลมหายใจจะสงบระงับลงจนกระทั่งหยุดไปอย่างรวดเร็ว
    เป็นวิธีทำฌาณ4หยาบ ที่ง่ายดาย ลัดขั้นตอนสุดๆแล้ว และทำแล้วเห็นผลจริง ได้กันทุกๆคนด้วย

    หลังจากที่รวมตัวกันกำลังดันขึ้นเหมือนตอนที่ผมรู้สึกตอนที่กำลังจะถอดจิตตอนนอนหลับเลย แต่คราวนี้ชัดกว่ารู้สึกตัวกว่ามีสติมากกว่าตอนนอน ตอนนี้เห็นภาพไม่ชัดอภิญญาก็ยังไม่มีแล้วเกิดถอดจิตได้ึขึ้นมาโดยที่ไม่สำเร็จอะไรเลย มันจะเป็นไปได้ไหมครับ

    ตามหลักแล้วต้องได้มโนมยิทธิ ถอดจิตได้ก่อน จึงจะได้อภิญญาครับ
    โบราณท่านก็ต้องสอนถอดจิตก่อน ค่อยขึ้นอภิญญา เพราะมีกำลังหยาบกว่า
    หลวงพ่อฤาษีท่านจึงต้องสอนมโน เพื่อปูทางให้คนได้อภิญญากัน ในยุคนี้ และยุคต่อไป

    เพราะผมรู้สึกอยากจะลุกขึ้นมาเฉยๆ และก็การขอบารมีพระท่าน จะขนลุกทุกทีที่ขอ และ ก็ แผ่เมตตาด้วย และเมื่อขอบารมีและแผ่เมตตาในขณะนั่งสมาธิ จะรู้สึกตัวพองๆและก็ขนลุกทุกที

    ดีแล้วครับ ขอบารมีพระท่าน และประคองใจให้สบายเอาไว้ครับ

    อ่อแล้ววันนี้หลังจากที่ออกจากสมาธิกลับบ้านก็ยังหายใจบ้างบางทีก็หยุดหายใจเหมือนกับทรงอารมณ์ ที่เค้าเรียกกันว่าทรงอารมณ์ให้ได้ทั้งวัน ก็คือแบบนี้รึเปล่าครับ

    แบบนี้แหละครับ ให้เราทรงลมสบาย และเมตตา รวมถึงภาพพระให้เป็นเพชร ให้ได้ตลอดเวลาครับ

    อารมณ์ที่ว่านี้ดีหรือไม่อย่างไร หนักไปรึเปล่า เพราะมันเหมือนกับการลังเลว่าจะไปต่อดีไหมก็เลยรู้สึกเหมือนถูกดึงกลับมาที่เดิม

    อารมณ์มาถูกทางแล้วครับ ใจของเราก็ค่อยๆเบาสบายขึ้นเยอะแล้ว
    แต่ก่อนหนักกว่านี้มาก ตอนนี้อารมณ์เบาขึ้นก็แปลว่าเรามีความก้าวหน้าในการปฏิบัติครับ
    ให้เราเน้นแผ่เมตตาให้มากๆครับ ต้องฝึกจนกระทั่งคนรอบข้าง สัตว์รอบตัวเรา รูสึกเย็นจนสัมผัสได้ เวลาเราแผ่เมตตา
    ต้องให้เย็นแบบนั้นและยิ่งกว่านั้นให้ได้ครับ

    จุดสำคัญ คือตอนที่ให้นึกถึงความสุข ยิ่งเราสามารถนึกถึงความสุข ความอิ่มอกอิ่มใจ
    ความชุ่มชื่นชุ่มเย็น ปีติสุข ให้ขึ้นมาได้มากเท่าไหร่ เราจะยิ่งแผ่เมตตาได้เย็นยิ่งๆขึ้นไปเท่านั้นครับ
    ต้องนึกถึงความสุข จนความสุขนี้เต็ม เอ่อล้นท่วมท้นทั้งหัวใจของเรา
    แล้วเราก็แผ่ออกไป ความชุ่มเย็น จะแผ่กระจาย คล้ายๆระเบิดออกไปยังทั้งจักรวาล
    ความเย็นจะแผ่กระจายไปยังทั้งจักรวาล เราจะเห็นจักรวาลสว่างไสวเป็นสีทองไปหมด
    จะมีความเบาสบาย ยิ้มจนแก้มปริ เป็นสุขชุ่มเย็นอย่างถึงที่สุด

    แต่ความสุขตรงนี้ ก็ยังมีความสุขชุ่มเย็น ไม่เท่ากับอารมณ์พระนิพพาน อารมณ์พระนิพพานนั้นยิ่งสุขชุ่มเย็นยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก
    มีหลายคนที่มาถึงจุดนี้ก็หลงว่าตัวเองบรรลุธรรมไปแล้ว เยอะมากครับ
    จริงๆยังไม่ใช่ครับ อันนี้เป็นแค่สุขจากฌาณในพรหมวิหาร4 เฉยๆ
    ยังเสื่อมได้ ยังมีขึ้นๆลงๆได้ ยังไม่ใช่ที่สุดแห่งทุกข์ เราจะต้องพัฒนาจิตต่อไป จนเข้าถึงซึ่งพระนิพพานอย่างแท้จริง

    นี่เฉลยข้อสอบกันก่อนเลยครับ ถ้าปฏิบัติไปเรื่อยๆ จะเจอแน่นอน
    1.ส่วนมากจะหลงว่าบรรลุธรรมกันตรงนี้จุดหนึ่ง ตอนเย็นจากเมตตาถึงที่สุด
    2.อีกทีก็ตอนเข้าอรูปแล้วมันว่าง เป็นสุข สีขาวไปหมด
    ต้องระวังอย่าคิดว่าตัวเองบรรลุธรรมแล้วเด็ดขาด
    เรารู้แล้วว่ามันยังไม่ใช่พระนิพพาน แล้วก็อย่าไปหลงกับมัน
    ยังมีอารมณ์แห่งพระนิพพานที่ละเอียดประณีตยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีก

    ถ้าผ่านสองจุดนี้ เราต้องทำใจว่า
    เราทรงฌาณเอาไว้เพื่อเป็นเครื่องมือในการตัดกิเลสเพื่อเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน แต่ไม่ได้หลงว่าฌาณนี่คือพระนิพพานแล้ว

    ขอให้มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติยิ่งๆขึ้นไป และเข้าถึงซึ่ง ญาณ มโนมยิทธิ สัมมาอภิญญา และพระนิพพานได้โดยฉับพลัน ได้ในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเทอญ
     
  5. tasichon

    tasichon สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    1
    ค่าพลัง:
    +0
    สมาธิ

    ผมได้ฝึกปฏิบัติสมาธิ้วเกิดอาการปวดเมื่อยตามร่างกายอยากขอคำแนะนำผู้รู้ช่วยแนะนำหน่อยครับ รู้ตัวเองว่าตอนนี้จิตใจฟุ้งว่า ใจลอยบ่อยๆครับ
     
  6. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    ใช่ครับผมพยายามใช้ตาเนื้อแทนภาพนิมิตที่เกิดจากจิต มันก็เลยเป็นอย่างนั้น เพราะวันนั้นผมตั้งใจว่าจะถอดจิตให้ได้ในวันนั้นเลย แต่ เป็นกลับกลายเป็นว่า เร่งเกินไป

    ผมคงต้องฝึกอีกสักหน่อยสำหรับการใช้จิตมอง เพราะ มันใช้ตาเพ่งมองทุกทีไปแต่มันก็ทำให้มีสติและสมาธิไม่วอกแวกครับ มีสมาธิ แต่คงต้องฝึกอีกสักระยะ

    โชคดีเรื่องของการอัดลม บังเอิญมากๆ ผมเป็นคนชอบกลั้นหายใจแล้วก็ผ่อนตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะหลังจากที่กลั้นหายใจมันจะรู้สึกสบาย โชคดีจริงๆ จึงพัฒนาได้พอสมควรถึงจะไม่เร็วมากก็เถอะ
    เรื่องของการอัดลมมีคำถามอยู่ข้อนึงครับ ว่า จำเป็นไหมที่ต้องอัดบ่อยๆ แล้วถ้าอัดลมบ่อยๆจะดีไหม เพราะตอนเด็กๆผมอัดลมบ่อยนะ วันนึง อัด 3-4ที ตอนช่วง4-5ปีที่ผ่านมาไม่ได้อัดเลยจนมาถึงตอนที่จะมาอัดลมจากอาจารย์กับคุณชัดนี่แหละเพราะเพิ่งรู้ว่าการอัดลมมันช่วยในเรื่องของ ฌานด้วย

    ตอนนี้ บางครั้งจะหายใจออก ออก แล้วก็นิ่ง -.- ไม่หายใจ ครับ ที่ทำงานก็จะพยายามอัดลมบ่อยๆ มันทำให้มีสมาธิและก็ผ่อนคลายมากๆครับ

    ตอนนี้ก็ยังมี ทิถิ อยู่ครับ กิเลสก็ยังมีอยู่ แต่ รู้สึกว่าจะควบคุมได้มากขึ้นแล้ว ^^;ครับ ตัวรู้ก็เริ่มผุดขึ้นเรื่อยๆเหมือนกับดอกเห็ด ^^รู้สึกเย็นและก็มีความสุขเยอะ พอดีเจอปัญหาที่เข้ามาพอสมควรแต่ไม่สะทกสะท้านเพราะคิดทางออกแก้ทางได้หมดเลยขอบคุณครับ

    ทุกคำตอบตรงเผ่งครับ ขอบคุณมากๆๆเลยครับ ที่ให้ความกระจ่างช่วยส่องทางให้จิตเริ่มตื่น

    อนุโมทนาบุญกับคุณชัดด้วยครับ สาธุ ขอให้บุญบารมีเพิ่มพูลยิ่งๆขึ้นไปตราบจนถึงพระนิพพานด้วยเทอญ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 29 กรกฎาคม 2009
  7. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ oze ครับ

    ภาพนิมิต คือการเห็นในจิต และรู้สึกสัมผัสได้ใช่มั๊ยคับ

    เช่นว่ารู้สึก ร้อน เย็น<!-- google_ad_section_end -->

    นิมิตที่เกิดจากญาณรู้เห็น เราสามารถสัมผัสได้หลักๆถึงสามแบบครับ
    1.ได้ยินเป็นคำพูด คล้ายเสียง บอกสิ่งทีเราอยากจะทราบ หรือรู้คำตอบ รู้เฉยๆ โดยไม่มีภาพ
    2.เห็นเป็นภาพในจิต ของสิ่งที่เราอยากจะทราบ
    3.เป็นอารมณ์สัมผัส เช่น หนาว ร้อน เย็น กลิ่นหอมเหม็น รสชาติ หรือแม้แต่เป็นคลื่นอารมณ์จิต
    เช่น คลื่นของร้อนจากความโกรธ หรือคลื่นเย็นจากเมตตา

    เราอาจจะสัมผัสได้ เพียง 1แบบ 2แบบ หรือ ได้ทั้งสามแบบ อันนี้ไม่เสมอไปครับ
    บางคนรู้เฉยๆ แต่ไม่เห็นภาพ แบบนี้ก็ถือว่าเป็น นิมิตเหมือนกัน
    ถ้าจิตสะอาดมาก สว่างมาก มีความสุข ชุ่มเย็นมาก เราจะสามารถสัมผัสได้ทั้งสามแบบครับ
     
  8. oze

    oze Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    162
    ค่าพลัง:
    +94
    ขอบคุณมากคับ

    คือส่วนมากเวลาผมทำสมาธิ เมื่อเข้าสู้สภาวะหนึ่ง คือจิตจะวูบ ๆลงเร็วมาก

    และก็แว็บหนึ่งจะเห็นภาพ ซึ่งทุกครั้งจะเป็นภาพต้นไม้

    บางทีเห็นแต่ยอดไม้ บางที่เห็นเป็นป่าไม้ และลมพัดต้นไม้

    รู้สึกได้ถึงลมที่พัดต้นไม้ เสียงลมพัด ความแรงของลมที่พัด
     
  9. nati

    nati สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +1
    ขอสอบถามสักนิดเถิดครับ

    ผมทำกสิณสีอยู่ .....มีวันหนึ่ง ผมก็เล่นกับกสิณเป็นสีเหลือง ภาพคมชัดและสวยถูกใจผมมากๆ ก็นั่งดูไปเพลินๆ ... จนจิตคิดว่า เออ พอแล้ว รู้ความสุขแบบนี้ไปก้เท่านั้น มารู้กายรู้ใจ ดีกว่า .... ดวงกสิณหายไป เหลือแต่ตัวผู้รู้ เรียกว่าการรับรู้ กับอารมณ์สุข+ทุกข์+อุเบกขา เด่นชัดมากเลยครับ ใน1/2นาที รู้อารมณ์ที่ปรุง เป็นสิบๆ รู้แบบอารมณ์กับผู้รู้ มีระยะห่างกันเลยครับ จนจิตมันพอใจมากๆๆๆๆๆ มีความสุขที่สุดในโลก ประมาณว่า ผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบานเป็นอย่างไง ... แต่สักพักความสุขมันไหลเพิ่มเข้ามาอย่างรวดเร็ว จนเข้ามาทุกอณูของร่างกาย ไม่ใช่แค่ว่าความสุขมันรบกวนนะครับ เหมือนความสุขมันไหลเข้ามามาก จนร่างกายแทบแตกรับไม่ไหวจริงๆจนแทบระเบิด ....จนกระทั่งตัวจิตผู้รู้เอง หนีลึกเข้ามาอีกสภาวะหนึ่ง(เรียกว่าแบบหวซุกหัวซุน) เป็นสภาวะที่เงียบสงบไม่เคลื่อนไหว แต่รู้สึกถึงลมหายใจแผ่วๆ
    - อย่างงี้เข้าไปในฌาน4 แล้วรึปล่าวครับ??

    หลังจากนั้นผม จะละสภาวะนั้นออกไป ก้ไปเจอกับสภาวะที่ว่างโล่งไม่มีอะไรให้ยึดเลย ร่างกายไม่มีลมหายใจ .....แล้วผมก็ตกใจ หลุดกับมา ต่ำกว่า อุปจารสมาธิ
    - ภาวะที่ไม่มีลมหายใจเรียกว่าอะไร และทำอย่างไงจึงจะอยู่ในสถาวะนี้ได้นานพอประมาณครับ

    ขออีกสัก1คำถาม
    -ผมฝึกมโนมยิทธิ ฝึกเองที่บ้านจะได้ไหมครับ..หมายถึงไม่มีครูดู จะอันตรายไหม???
     
  10. ตามฟ้า

    ตามฟ้า สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2009
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +0
    เพื่อนฝากให้โพสถามให้ว่า เวลาทำอะไรบางอย่างเหมือนมีเสียงใครก็ไม่รู้คอยกระซิบอยู่ข้างๆหูตลอด แปลว่าอะไรคะ หรือปรุงแต่งไปเอง
     
  11. choosake

    choosake เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    482
    ค่าพลัง:
    +647
    สงสัยเรื่อง จักรวาล
    พอดีว่า ได้รับคำแนะนำเรื่องการแผ่เมตตา ไปจนสุดขอบจักรวาล(ย้อนดูในหน้าแรก ๆ ของกระทู้นีได้ครับ)
    แล้ว ขณะเจริญกรรมฐาน รู้สึกว่าจักรวาล มันหมุนอยู่รอบ ตัวเรา ตัวเราเป็นศูนย์กลางแล้วก็แผ่เมตตาไป ในจักรวาลรอบตัวเราก็ไปจนสุดขอบจักรวาลแล้ว

    อยากได้รับคำแนะนำเพิ่มเติม ขอบคุณครับ
     
  12. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ thippayawan ครับ

    เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมาขณะที่นอนอยู่แล้วรู้สึกเคลิ้มกำลังจะหลับ รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะลุกขึ้น แล้วเห็นร่างของตัวเองนอนอยู่ ควรทำอย่างไรคะหากเกิดขึ้นอีก เกรงว่าจะไม่สามารถกลับเข้าร่างตัวเองได้ พอจะมีคำแนะนำไหมคะ ขอบคุณค่ะ

    ขั้นแรกให้อธิษฐานว่า
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถออกมาจากกายหยาบนี้ ได้ทุกครั้ง ทุกเวลา ทุกสถานที่ ทุกภพชาติ ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าต้องการตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ

    อธิษฐานทุกครั้งที่ทำได้ เพราะการถอดจิตเป็นของที่ถ้าจะฝึกให้คล่อง ต้องใช้เวลา

    <!-- google_ad_section_end -->เสร็จแล้วให้เราขอบารมีพระท่าน แล้วท่านจะพาไปไหนก็ตามไปครับ

    และไม่ต้องกลัวว่าจะกลับเข้าร่างไม่ได้ครับ
    เขาฝึกกัน10ปี ออกจากร่างกันไม่ได้ พอออกมาได้ นึกถึงร่างกายปุ้ป กลับเลย อดเที่ยวเลย

    และไม่ต้องกลัวครับ พอถึงรุ่งเช้า จิตจะกลับมาเอง อย่าลืมว่าเราขอบารมีพระท่าน
    พระท่านรู้ว่าเราต้องทำงานครับ เดี้ยวท่านก็ส่งเรากลับเองครับ
    ถึงเราไม่อยากกลับท่านก็ส่งกลับนะครับ อีกหน่อยจะรู้ว่าไม่อยากกลับ
    หรือพอเราออกมาแล้ว แค่เราคิดถึงคำว่า ร่างกาย มันจะวื้บ กลับเข้าไปทันที

    ดังนั้นทำไปเถอะครับ และไม่ต้องกลัวครับ ให้ออกให้ได้ยากกว่าเยอะ
    ตอนจะกลับนี่ เร็วกว่าคิด 2+2 = 4 อีก

    เราขอบารมีพระท่านตลอด พระท่านก็คุ้มครองเรา ดังนั้นปลอดภัยในทุกกรณีครับ
     
  13. thipphayawan

    thipphayawan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +31
    ขอบคุณมากค่ะ
     
  14. thipphayawan

    thipphayawan Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +31
    เมื่อวานใช้เวลานั่งสมาธินานพอสมควร ขณะที่จิตสงบ จึงแผ่เมตตา แล้วหลังจากนั้น อยู่ๆก็นึกถึงองค์เจ้าแม่กวนอิม และสมเด็จโตฯ ดิฉันรู้สึกว่าจิตตัวเองพุ่งออกไปแล้วก้มลงกราบเจ้าแม่กวนอิม และสมเด็จโตฯ ดิฉันไม่แน่ใจว่าสภาวะที่เกิดขึ้นกับตัวเองเป็นสิ่งที่จินตนาการ เป็นนิมิตร หรือเป็นสภาวะที่เกิดขึ้นกับจิตจริงๆค่ะ?
     
  15. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ tasichon ครับ

    ผมได้ฝึกปฏิบัติสมาธิ้วเกิดอาการปวดเมื่อยตามร่างกายอยากขอคำแนะนำผู้รู้ช่วยแนะนำหน่อยครับ รู้ตัวเองว่าตอนนี้จิตใจฟุ้งว่า ใจลอยบ่อยๆครับ

    ปวดบริเวณไหนบ้างครับ ขอรายละเอียดด้วยครับ
    ปวดแบบ มึน แน่น อึดอัด หรือว่าจี๊ดครับ เผื่อเกิดจากโรคแทรกซ้อนเราจะได้จัดการซะก่อน

    เวลาเราจะทำสมาธิ ให้เราหาอิริยาบถที่เรารู้สึกสบาย
    จะนั่ง นอน ยืน เดิน ได้หมด
    ถ้านั่งเราก็หาเบาะมาพิง นั่งเอนหลังพิงกับเบาะให้สบายก็ได้
    สำคัญว่าต้องให้ร่างกายสบาย
    พอร่างกายสบาย ใจก็จะสบาย พอใจสบาย จิตก็จะสงบได้ง่าย
    ไม่ต้องฝืนนั่งหลังตรง ถ้าไม่ถนัด เกร็งไปก็จะทรมาน พอทรมานจิตก็ไม่เป็นสมาธิครับ

    แล้วใช้วิธีไหนครับ พุทโธ จับลมหายใจหรือว่าอย่างไรครับ<!-- google_ad_section_end -->
     
  16. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ makoto12 ครับ

    ใช่ครับผมพยายามใช้ตาเนื้อแทนภาพนิมิตที่เกิดจากจิต มันก็เลยเป็นอย่างนั้น เพราะวันนั้นผมตั้งใจว่าจะถอดจิตให้ได้ในวันนั้นเลย แต่ เป็นกลับกลายเป็นว่า เร่งเกินไป

    มโนครึ่งกำลัง เราเห็นเรารับรู้ในจิต จิตของเราไปอยู่ที่นั่นจริง สัมผัสอารมณ์ได้จริง
    มโนเต็มกำลัง จิตของเราออกจากกาย ไปยังที่นั่นโดยสมบูรณ์
    เราจะรู้สึกเหมือนเรากำลังยืน เดิน สนทนา ณ สถานที่นั้นจริงๆ

    ควรจะให้ได้มโนครึ่งกำลังจนคล่องก่อน จึงค่อยขยับไปฝึกมโนเต็มกำลัง

    และสำหรับเวลามโนเต็มกำลังนั้น
    เวลาเราทำจริงๆ ต้องไม่ให้มีตัวอยากเลยครับ
    ให้เราทำแค่ขอบารมีพระ จากนั้นทำจิตให้มีความสุขถึงที่สุด พอจิตเป็นสุขถึงที่สุด มันจะออกมาเองครับ
    สำหรับมโนเต็มกำลัง มีคำกล่าวว่า จะต้องทำจิตให้คล้ายพระอรหันต์ชั่วขณะ
    เพราะต้องตัดความยึดติดในร่างกายให้หมด จิตจึงจะออกมาและไปจนถึงพระนิพพานได้
    ดังนั้นคนจึงทำกันได้น้อยกว่ามโนครึ่งกำลัง ซึ่งขึ้นต้นกันแค่อุปจารสมาธิเอง

    ผู้ที่จะรักษามโนมยิทธิเอาไว้ได้ ทั้งแบบครึ่งกำลังและเต็มกำลัง ก็ต้องทำจิตให้มีอารมณ์คล้ายพระอริยเจ้าอยู่เสมอๆนั่นเอง

    ผมคงต้องฝึกอีกสักหน่อยสำหรับการใช้จิตมอง เพราะ มันใช้ตาเพ่งมองทุกทีไปแต่มันก็ทำให้มีสติและสมาธิไม่วอกแวกครับ มีสมาธิ แต่คงต้องฝึกอีกสักระยะ

    อย่าใช้ตาเพ่งมองครับ สติ และสมาธิ ที่เกิดจากตรงนี้ จะเป็นสมาธิหนัก เป็นอารมณ์หนักได้ง่าย
    ไม่เชื่อเราลองเทียบอารมณ์โดยการแผ่เมตตาก่อน จนจิตเริ่มเบาสบาย
    แล้วเอาตาเพ่งมองสิครับ จะเห็นว่าอารมณ์มันจะหนักอย่างรวดเร็ว

    โชคดีเรื่องของการอัดลม บังเอิญมากๆ ผมเป็นคนชอบกลั้นหายใจแล้วก็ผ่อนตั้งแต่เด็กแล้ว เพราะหลังจากที่กลั้นหายใจมันจะรู้สึกสบาย โชคดีจริงๆ จึงพัฒนาได้พอสมควรถึงจะไม่เร็วมากก็เถอะ
    เรื่องของการอัดลมมีคำถามอยู่ข้อนึงครับ ว่า จำเป็นไหมที่ต้องอัดบ่อยๆ แล้วถ้าอัดลมบ่อยๆจะดีไหม เพราะตอนเด็กๆผมอัดลมบ่อยนะ วันนึง อัด 3-4ที ตอนช่วง4-5ปีที่ผ่านมาไม่ได้อัดเลยจนมาถึงตอนที่จะมาอัดลมจากอาจารย์กับคุณชัดนี่แหละเพราะเพิ่งรู้ว่าการอัดลมมันช่วยในเรื่องของ ฌานด้วย

    ถ้าเราเข้าฌาณ อารมณ์จิต ที่นิ่งหยุด ตั้งมั่น ปราศจากความคิด ความปรุงแต่ง นิ่ง เบา ลอยอยู่ ไม่ได้
    หรือรุ้สึกว่าอารมณ์เริ่มหนักแล้วดึงกลับมาเบาไม่ได้
    จึงค่อยอัดลมครับ

    ถ้าเราเข้าถึงตัวหยุด ตัวนิ่งได้ ตลอด ก็ไม่จำเป็นต้องอัดลมครับ
    อัดลมบ่อยๆ ก็มีข้อดี ที่จะทำให้ปอดของเราทำงาน ได้ดีกว่าเดิม

    มีข้อห้ามสำหรับการอัดลมว่า
    ห้ามทำขณะที่เราป่วย เป็นหวัด หรืออยู่ในที่ๆ อากาศไม่บริสุทธิ์
    ไม่งั้นเชื้อโรคจะแพร่กระจายทั้งปอด จะป่วยหนักกว่าเดิม

    คนที่ต้องทำงานในที่ๆ มีฝุ่นควันเยอะ ก็ควรหาเวลายามเช้า ตื่นมา อัดลมซะก่อน
    เพื่อเป็นการล้างปอด จะได้ไม่เป็นโรคระบบทางเดินหายใจ

    และการอัดลมนี่ ก็เป็นการเริ่มต้นฝึกลมปราณด้วยเช่นกัน
    เอาไว้เป็นหน่วยกิจต่อไป ให้ต้องมาฝึกที่สวนลุม

    ตอนนี้ บางครั้งจะหายใจออก ออก แล้วก็นิ่ง -.- ไม่หายใจ ครับ ที่ทำงานก็จะพยายามอัดลมบ่อยๆ มันทำให้มีสมาธิและก็ผ่อนคลายมากๆครับ

    จิตเริ่มแนบกับการทรงฌาณแล้ว อนุโมทนาด้วยครับ

    ตอนนี้ก็ยังมี ทิถิ อยู่ครับ กิเลสก็ยังมีอยู่ แต่ รู้สึกว่าจะควบคุมได้มากขึ้นแล้ว ^^;ครับ ตัวรู้ก็เริ่มผุดขึ้นเรื่อยๆเหมือนกับดอกเห็ด ^^รู้สึกเย็นและก็มีความสุขเยอะ พอดีเจอปัญหาที่เข้ามาพอสมควรแต่ไม่สะทกสะท้านเพราะคิดทางออกแก้ทางได้หมดเลยขอบคุณครับ

    ทุกคำตอบตรงเผ่งครับ ขอบคุณมากๆๆเลยครับ ที่ให้ความกระจ่างช่วยส่องทางให้จิตเริ่มตื่น

    อนุโมทนาบุญกับคุณชัดด้วยครับ สาธุ ขอให้บุญบารมีเพิ่มพูลยิ่งๆขึ้นไปตราบจนถึงพระนิพพานด้วยเทอญ<!-- google_ad_section_end -->

    ปฏิบัติก้าวหน้าแล้วครับ เราลองย้อนไปเทียบกับอารมณ์ ตอนที่เราอารมณ์หนักสิครับ
    แล้วจะรู้ว่าต่างกันเยอะมาก แต่ยังมีคนที่ไม่รู้ และฝึกจนอารมณ์หนักอีกเยอะ
    ดังนั้นช่วยๆกัน สอนเรื่อง อัดลม และแผ่เมตตานะครับ อย่างที่เริ่มแนะนำคนอื่นนี่ก็ดีแล้วครับ

    ขอให้มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติยิ่งๆขึ้นไป และสามารถถ่ายทอดธรรมะของพระพุทธองค์ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ
    เป็นสัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมปัญญา สัมมาปฏิบัติ ตั้งตรงต่อมรรคผลนิพพาน
    เพื่อช่วยผู้อื่นมีความสุข คลายจากความทุกข์ ได้สัมผัสพระนิพพานอันเป็นบรมสุข ได้อย่างน่าอัศจรรย์ด้วยเทอญ
     
  17. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ oze ครับ

    ขอบคุณมากคับ

    คือส่วนมากเวลาผมทำสมาธิ เมื่อเข้าสู้สภาวะหนึ่ง คือจิตจะวูบ ๆลงเร็วมาก

    และก็แว็บหนึ่งจะเห็นภาพ ซึ่งทุกครั้งจะเป็นภาพต้นไม้

    บางทีเห็นแต่ยอดไม้ บางที่เห็นเป็นป่าไม้ และลมพัดต้นไม้

    รู้สึกได้ถึงลมที่พัดต้นไม้ เสียงลมพัด ความแรงของลมที่พัด

    เกิดจากครั้งที่เราฝึกกสิณลม จะต้องไปฝึกในป่า และมองไปที่ยอดต้นไหม้
    เพื่อสัมผัสกับการพัด อาการของลมที่เคลื่อนไป
    จึงเป็นนิมิตของกรรมฐานเก่าที่ติดตัวเรามาครับ

    ถ้าเราจะฝึกกสิณลม ก็ให้เรานึกภาพ ของคลื่นลม ที่พัดเข้ามาจากทุกทิศทาง
    เข้ามารวมเป็นลูกบอลลม<!-- google_ad_section_end --> เป็นลูกบอลที่สร้างจากคลื่นลม
    ข้างในลูกบอลนี้ เราสามารถสัมผัสได้ถึงคลื่นลม ที่พัดไปพัดมา ความแรงของลมที่พัดผ่าน
    อาการการลื่นไหลของลม ความเย็นของลม

    จากนั้นเราก็นึกว่าให้ลูกบอลลมนี้ เปลี่ยนเป็นสีขาว
    คลื่นลมทั้งหมดเป็นสีขาว กลายเป็นลูกบอลลมสีขาว

    จากนั้นเราก็นึกว่าให้ลูกบอลลมนี้ เปลี่ยนเป็นเนื้อแก้ว
    คลื่นลมทั้งหมดเป็นละอองแก้ว มีความใส สว่าง กลายเป็นลูกบอลลมเนื้อแก้วทั้งลูก

    จากนั้นเราก็นึกว่าให้ลูกบอลลมนี้ เปลี่ยนเป็นเนื้อเพชร
    คลื่นลมทั้งหมดเป็นละอองเพชร มีควาใสสว่าง มีประกายระยิบระยับทั้งหมด
    ลมทั้งหมด เป็นละอองเพชรระยิบระยับ ที่พัดไปพัดมา
    จนกลายเป็นลูกบอลลมเนื้อเพชร ใสสว่าง ประกายระยิบระยับทั้งลูก
    แต่เรายังสัมผัสได้ ถึงอาการพัดผ่านของลมที่เป็นเพชรนี้
    ความแรง คลื่นลม สัมผัสได้หมด แต่เห็นว่าเป็นละอองเพชร เนื้อเพชร

    เสร็จแล้วให้เราตั้งจิตว่า
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งกสิณลมนี้ ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกชั่วขณะจิต ทุกภพชาติ ทุกครั้ง ที่ข้าพเจ้าต้อง ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ

    อธิษฐานย้ำไว้ สามครั้ง

    จากนั้นเราสามารถทรงนิมิต ของลูกบอลลมเป็นเพชรนี้ ไว้ได้ตลอดเวลาที่เราต้องการ
    พอได้ตรงนี้แล้ว ให้เราไปไล่ทำกับกสิณที่เหลืออีก 9 กอง ให้เห็นเป็นเพชรทั้งหมด

    พอได้วาระ จะได้ทรงเป็น สัมมาอภิญญาได้เลย ลองไปทำดูครับ
    ใครที่อ่านตามจะไปทำด้วยก็ได้นะครับ จะได้ ได้อภิญญากันทุกคน ดีไหมครับ

    ขอให้ทุกๆคนสามารถเข้าถึงซึ่งกสิณทั้ง 10 กอง เป็นฌาณ4 และทรงเป็นสัมมาอภิญญา
    เป็นอภิญญาที่มีเอาไว้เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นให้พ้นจากความทุกข์
    ให้ได้เข้าถึงซึ่งความดี อันมีพระนิพพานเป็นที่สุดได้โดยฉับพลันทันใดด้วยเทอญ
     
  18. Xorce

    Xorce เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    1,369
    ค่าพลัง:
    +4,400
    ถึงคุณ nati ครับ

    ขอสอบถามสักนิดเถิดครับ

    ผมทำกสิณสีอยู่ .....มีวันหนึ่ง ผมก็เล่นกับกสิณเป็นสีเหลือง ภาพคมชัดและสวยถูกใจผมมากๆ ก็นั่งดูไปเพลินๆ ... จนจิตคิดว่า เออ พอแล้ว รู้ความสุขแบบนี้ไปก้เท่านั้น มารู้กายรู้ใจ ดีกว่า

    แต่กสิณฝึกต่อไปนะครับ อย่าทิ้งครับ ถ้าเข้าถึงที่สุดของกสิณจะเห็นสีเหลืองเปลี่ยนเป็นเพชร ใส ประกายระยิบระยับ
    ถ้าได้ตรงนี้แล้ว ฝึกมโนมยิทธิจะมีความคล่องตัวมากครับ

    .... ดวงกสิณหายไป เหลือแต่ตัวผู้รู้ เรียกว่าการรับรู้ กับอารมณ์สุข+ทุกข์+อุเบกขา เด่นชัดมากเลยครับ ใน1/2นาที รู้อารมณ์ที่ปรุง เป็นสิบๆ รู้แบบอารมณ์กับผู้รู้ มีระยะห่างกันเลยครับ จนจิตมันพอใจมากๆๆๆๆๆ มีความสุขที่สุดในโลก ประมาณว่า ผู้ตื่น ผู้รู้ ผู้เบิกบานเป็นอย่างไง ... แต่สักพักความสุขมันไหลเพิ่มเข้ามาอย่างรวดเร็ว จนเข้ามาทุกอณูของร่างกาย ไม่ใช่แค่ว่าความสุขมันรบกวนนะครับ เหมือนความสุขมันไหลเข้ามามาก จนร่างกายแทบแตกรับไม่ไหวจริงๆจนแทบระเบิด

    เป็นปีติ กับสุข ในองค์ของฌาณครับ

    ....จนกระทั่งตัวจิตผู้รู้เอง หนีลึกเข้ามาอีกสภาวะหนึ่ง(เรียกว่าแบบหวซุกหัวซุน) เป็นสภาวะที่เงียบสงบไม่เคลื่อนไหว แต่รู้สึกถึงลมหายใจแผ่วๆ

    อันนี้ฌาณสามครับ ลมหายใจจะแผ่ว แต่ยังไม่หยุด

    - อย่างงี้เข้าไปในฌาน4 แล้วรึปล่าวครับ??

    หลังจากนั้นผม จะละสภาวะนั้นออกไป ก้ไปเจอกับสภาวะที่ว่างโล่งไม่มีอะไรให้ยึดเลย ร่างกายไม่มีลมหายใจ .....

    อันนี้ถึงจะเป็นฌาณ4ครับ ลมหายใจจะดับ ไม่มีลมหายใจ

    แล้วผมก็ตกใจ หลุดกับมา ต่ำกว่า อุปจารสมาธิ
    - ภาวะที่ไม่มีลมหายใจเรียกว่าอะไร และทำอย่างไงจึงจะอยู่ในสถาวะนี้ได้นานพอประมาณครับ
    ฌาณ4ครับ เราต้องฝึกประคองอารมณ์ และฝึกเข้าออกให้คล่องครับ
    และให้เราจดจำอารมณ์ของสมาธิให้ได้ พร้อมอธิษฐานกำกับเอาไว้ก่อนออกจากสมาธิว่า
    ขอให้ข้าพเจ้าสามารถเข้าถึงซึ่งสภาวะที่ลมหายใจหายไปนี้ ได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา ทุกภพชาติ ทุกครั้ง ที่ข้าพเจ้าต้องการ ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ
    อธิษฐาน ย้ำเอาไว้สามครั้ง

    คราวนี้เราลองลืมตา และเข้าสภาวะที่จิต นิ่ง ไม่ซัดส่าย ลมหายใจดับไป ทั้งๆที่เรายังลืมตาอยู่
    ต้องฝึกเข้าออกให้คล่อง กินข้าว ทำงาน นึกจะเข้า ต้องเข้าได้ตลอด
    ลองฝึกประคองภาพกสิณก่อนก็ได้ครับ จะประคองได้ง่ายกว่า และจิตจะมีความแช่มชื่น เบิกบาน
    กสิณสีเหลือง เรานึกเอาไว้ทั้งวัน ทำงาน กินข้าว เดินเล่น เอาให้ได้ตลอด

    ขออีกสัก1คำถาม
    -ผมฝึกมโนมยิทธิ ฝึกเองที่บ้านจะได้ไหมครับ..หมายถึงไม่มีครูดู จะอันตรายไหม???

    ถ้าอยากฝึก ฝึกได้ครับ แต่ฝึกแล้วมันจะไม่ได้
    ให้เราตั้งจิตสวดอาราธนาบารมีพระ และเปิดเทปหลวงพ่อ
    ในครั้งแรกควรจะมีครูนำครับ พอได้แล้ว คราวนี้จะมาฝึกเองเมื่อไหร่ก็ได้
    แต่ถ้ายังไม่ได้ แล้วจะมาฝึกเอง ขอบอกว่ายากครับ นานๆจะมีคนทำได้ซักคนนึง
    ลองหาเวลาไปฝึกที่ซอยสายลมดูครับ
    วันที่ 1-2 ส.ค.นี้ก็มีครับ

    ขอให้สามารถทรง และประคอง อารมณ์สมาธิให้มีความตั้งมั่น ได้ตลอดเวลา
    มีความคล่องแคล่วในการเข้าออกกรรมฐานทุกๆกอง ได้อย่างน่าอัศจรรย์
    ตลอดไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ <!-- google_ad_section_end -->
     
  19. nati

    nati สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    3
    ค่าพลัง:
    +1
    ขอบคุณ คุณXorce ที่กรุณาตอบคำถามครับ

    ผมจะพยายามประคอง กสิณเหลืองไว้ทั้งวัน แล้วจะฝึกเข้า ฌาน4 ไปพร้อมๆกันเลยนะครับ
     
  20. นายเมธี12

    นายเมธี12 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กรกฎาคม 2007
    โพสต์:
    620
    ค่าพลัง:
    +540
    อนุโมทนาครับ ตอนนี้พอที่จะรู้ตัวของตัว หยุด แล้วครับ ตอนนี้กำลังฝึกเรื่อง ใช้จิต นึก ครับ
    แต่ทีนี้คือเมื่อวานเข้าสมาธิแล้ว ไม่หายใจ ตัวลมนั้นมันหยุดจริงคับ แต่ มันมีแต่ลมหายใจเข้าไม่มีลมออก พอเข้าไปเรื่อยๆๆๆๆๆ จิตก็ตามมอง มันรู้สึกว่า หมุนๆตรงหน้าอก จิตก็นึกได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะมันชินกับการมองด้วยตาเปล่าในขณะนั่งสมาธิ แล้ว เมื่อวาน เหมือนกับเป็นดวงๆที่แผ่ออกมีความรู้สึก จะกำหนดจิตเป็นรูปพระ หรือ จะแผ่เมตตาล่ะ ตอนแรกลองทำทั้งสองอย่าง กำหนดจิตเป็นภาพพระ แต่ แผ่เมตตาค่อยๆลดลง พอรู้ตัว ก็มาแผ่เมตตา แต่ จิตที่กำลังประคองรูปพระก็ค่อยๆหายไป ควร ทำอย่างไรดีครับ แล้วตัวหยุดนี่ เรานำไปใช้ในส่วนไหนต่อไปได้ครับ หรือทั้งจับภาพพระและแผ่เมตตา หรือว่าทำทั้งสองอย่างไปพร้อมกันครับ


    ตอนนี้(ผมมองภาพพระพุทธเจ้าที่เป็นพระพุทธรูปแล้ว รู้สึกยิ่งกว่าเราแผ่เมตตาอีก เพราะอย่างนั้นแล้ว ผมนำพระพุทธรูปนี้เป็นภาพพระที่เรากำหนดจิตได้ไหมครับ แต่ในรูปพระองค์ท่านเป็นพระพุทธรูปสีทอง )

    ขออนุญาติโพสลิ้งของแกลอรี่ลงในนี้นะครับ

    รูปนี้ครับ [​IMG]
    พระเมตตา - Image Gallery
    พระเมตตา - Image Gallery

    แต่พอไม่ได้มองรูปพระแล้ว ตอนนี้มาทำงานมานึกกำหนดจิตให้เห็นภาพนั้น ให้เห็นก็เห็นนะครับ แต่พอจะนึกได้คิ้วก็ขมวด ทุกอย่างที่บริเวณใบหน้า ขยับหมด ทุกทีที่นึก ส่วนลมก็เป็นไปตามที่มันจะเป็นเราแค่มองมันก็เป็นปรกติครับ ตรงจุดนี้ก็ไม่ได้สนใจ แต่ ในขณะทำงานเราจะให้คิ้วขมวดหน้าขยับไม่ได้หน่ะสิเดี๋ยวก็หาว่าเราโกรธหรือเยาะเยิ้ย ใครอีก จึงมีเรื่องมาถามด้วยประการละฉะนี้
    อนุโมทนาบุญกับคุณชัดด้วยครับ ขอให้บารมีกุศลผลบุญเพิ่มพูลยิ่งๆขึ้นไปครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 1 สิงหาคม 2009
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...