มายกระดับคุณภาพทางกาย และใจ จากการปลุกพลังกุณฑาลิณีภายในให้ตื่นขึ้นมา

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย cosmiccell, 16 พฤษภาคม 2011.

  1. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    โลกศักดิ์สิทธิ์

    ดังที่เราได้พูดกันมาแล้วในสองบทก่อนว่า ความหยิ่งยโสและความเคยชินเป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงดราละ ในการที่จะค้นพบอำนาจวิเศษในโลกได้ เราจำเป็นต้องเอาชนะความผิดปกติทางใจและทัศนะเอาแต่ใจตนเอง ซึ่งขวางกั้นเราไว้จากการเข้าถึงญาณทัศนะอันอยู่เหนือขึ้นไป

    โดยการทำให้การมองเห็นของเราพร่ามัว มันยังขวางกั้นเราไว้ให้มิอาจยกระดับจิตวิญญาณตนเอง เพื่อแผ่กว้างช่วยเหลือผู้อื่น


    มีบางคนรู้สึกว่าปัญหาของโลกนั้นบีบคั้นยิ่ง ดังนั้นภารกิจทางสังคมและการเมืองจึงจำเป็นต้องมาก่อนพัฒนาการของปัจเจกชน เราอาจรู้สึกว่าเราจำต้องอุทิศตน จำต้องเสียสละความต้องการส่วนตนโดยสิ้นเชิงเพื่อที่จะทำงานให้ส่วนรวม ในรูปการณ์อันสุดโต่งเช่นนี้เอง

    วิธีคิดเช่นนี้เองที่ถือว่าความผิดปกติทางใจและความก้าวหน้าของปัจเจกชนเป็นผลมาจากสังคมที่ป่วยไข้ ดังนั้นเองผู้คนเหล่านั้นจึงพยายามใช้ความผิดปกติและความก้าวร้าวเหล่านั้น เพื่อก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้น


    อย่างไรก็ดีตาม หลักคำสอนชัมบาลาแล้ว เราจำต้องตระหนักไว้ด้วยว่าความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของเราเป็นสิ่งที่เชื่อมโยงอยู่กับทัศนะแห่งสังคมในอุดมคติ ดังนั้นเราจึงต้องก้าวไปทีละก้าว

    ถ้าเราพยายามที่จะแก้ปัญหาสังคมโดยไม่ได้เอาชนะความสับสนและความก้าวร้าวในจิตใจของเราเองแล้ว เมื่อนั้นความพยายามทั้งมวลแทนที่จะช่วยแก้ปัญหาก็จะกลับไปเสริมปัญหาพื้นฐานให้หนักยิ่งขึ้น นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมนักรบจำเป็นต้องเดินทางแสวงหาไปเพียงลำพัง ก่อนที่เราจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับปัญหาที่กว้างใหญ่กว่านี้

    อีกประการหนึ่ง จะนับเป็นเรื่องน่าเศร้ามากหากญาณทัศนะชัมบาลาถูกนำไปใช้เพียงแค่เป็นความพยายามอย่างหนึ่ง ที่จะสร้างตนเองขึ้นมา โดยไม่สนใจต่อภาระรับผิดชอบที่มีต่อผู้อื่น เป้าหมายของความเป็นนักรบก็คือการเป็นผู้อ่อนโยน เป็นมนุษย์ที่ได้รับการขัดเกลาแล้ว

    ซึ่งอาจสร้างสรรค์สิ่งดีงามขึ้นในโลกนี้ได้ การเดินทางของนักรบมีพื้นฐานอยู่บนการค้นหาว่าอะไรคือธรรมชาติพื้นฐานแห่งความดีงาม กับผู้อื่นได้อย่างไร มีกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติและความกลมกลืนอยู่ในโลกนี้ซึ่งเราอาจค้นพบได้ แต่เราไม่อาจศึกษามันเพียงในเชิงวิทยาศาสตร์ หรือคิดคำนวณด้วยคณิตศาสตร์เท่านั้น เราจำเป็นต้องสัมผัสถึงมัน ในกระดูก ในใจ และในจิต

    ถ้าเราได้ฝึกฝนมาอย่างเข้มข้นในวินัยของนักรบโดยอาศัยการปลุกหลักการดราละ ขึ้นมา เราก็อาจพบถึงสายสัมพันธ์อันแนบแน่นกับสัจจะได้อีกครั้ง สิ่งนี้เอื้อให้เกิดพื้นฐานให้เรากระทำการร่วมกับผู้อื่นได้อย่างแท้จริงและ อ่อนโยน

    เมื่อคุณปลุกดราละขึ้นมา คุณก็เริ่มจะสัมผัสได้ถึงความดีงามพื้นฐานซึ่งสะท้อนให้เห็นในทุกสิ่งในตัวคุณเอง ในตัวผู้อื่นและในโลกทั้งมวล

    คุณมิได้มืดบอดอยู่ในโลกอาทิตย์อัสดง หรือหลงอยู่ในภาวะเบื้องต่ำ ทว่าคุณอาจแลเห็นได้อย่างกระจ่างชัด เพราะเหตุที่คุณเต็มไปด้วยความตื่นตัวฉับไว แต่คุณก็อาจแลเห็นอีกด้วยว่าในทุกๆสภาวการณ์ของชีวิตมีพลังเบื้องสูงอยู่ นั่นก็คือมีพลังของความศักดิ์สิทธิ์อยู่ในทุกๆสถานการณ์ ดังนั้นเองคุณจะเริ่มแลเห็นจักรวาลดังประหนึ่งโลกอันศักดิ์สิทธิ์

    โลกศักดิ์สิทธิ์นั้นก็คือโลก ซึ่งดำรงอยู่ด้วยตัวของมันตามครรลองธรรมชาติในโลกแห่งปรากฏการณ์นี้ เมื่อคุณมีทองคำ ทองนั้นก็อาจนำมาหลอมหล่อเป็นรูปทรงใดๆก็ได้ ทั้งที่สวยงามหรือน่าเกลียด แต่มันก็ยังคงเป็นทองเนื้อแท้อยู่ดังเดิม เพชรมณีนั้นอาจสวมใส่อยู่ในตัวคนชั้นสวะทว่ามันก็ยังคงเป็นเพชรแท้


    ในทำนองเดียวกันนี้ แนวคิดของโลกศักดิ์สิทธิ์ก็คือ ถึงแม้คุณจะแลเห็นถึงความสับสนและปัญหาที่หลากล้นอยู่ในโลก คุณก็ยังมองเห็นด้วยว่า ในการดำรงอยู่ของปรากฏการณ์ต่างๆนั้น ล้วนแฝงเร้นไว้ด้วยญาณทัศนะแห่งอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่ ที่จริงแล้วเราอาจพูดได้ว่า มันถือเอาคุณลักษณะของอาทิตย์อุทัยอันยิ่งใหญ่เป็นของตน

    โลกศักดิ์สิทธิ์ซึ่งย้อนกลับไปผ่านประวัติศาสตร์ยุคก่อนประวัติศาสตร์ใดๆ ก่อนที่จะมีความคิดอุบัติขึ้น ก่อนที่จิตใจจะได้คิดถึงสิ่งใดๆ ดังนั้นการเข้าถึงความยิ่งใหญ่ของโลกศักดิ์สิทธิ์ ก็คือการตระหนักรู้ในการดำรงอยู่ของปรีชาญาณปฐมการอันกว้างใหญ่ไพศาล ซึ่งสะท้อนออกผ่านปรากฏการณ์ ปรีชาญาณนี้ทั้งเก่าแก่และใหม่ในขณะเดียวกัน ทั้งไม่เคยเสื่อมถอยอ่อนล้าลงด้วยปัญหานานาที่มีอยู่ในโลก


    โลกศักดิ์สิทธิ์นี้สัมพันธ์อยู่กับทิศตะวันออก ด้วยเหตุที่มีความเป็นไปได้แห่งการแลเห็นดำรงอยู่เสมอในโลกนี้ ทิศตะวันออกหมายแสดงถึงรุ่งอรุณแห่งการตื่นขึ้น เป็นขอบฟ้าแห่งจิตสำนึกของมนุษย์ซึ่งมีญาณทัศนะผุดขึ้นมา ไม่ว่าคุณจะอยู่แห่งหนใด เมื่อคุณเปิดตาขึ้น คุณย่อมมองไปเบื้องหน้าสู่ทิศตะวันออก คุณมีทางที่จะเข้าถึงญาณทัศนะแห่งการตื่นขึ้นอยู่ตลอดเวลา แม้ในสถานการณ์ที่สับสนเลวร้ายที่สุด

    ประการสุดท้าย โลกศักดิ์สิทธิ์นี้ยังมีดวงอาทิตย์ส่องสว่าง ดวงอาทิตย์ซึ่งเป็นหลักการแห่งความสว่างไสวและประภารัศมีอันไม่มีที่สิ้นสุด ดวงอาทิตย์นี้ยังสัมพันธ์อยู่กับการแลเห็นถึงการมีอยู่ของความเป็นไปได้แห่ง คุณงามความดีและความเต็มเปี่ยมในโลก ตามปกติแล้วเมื่อคุณแลเห็นแสงสว่างเจิดจ้า แสงสว่างนั้นย่อมอุบัติขึ้นจากแหล่งกำเนิดพลังงานอันมีขอบเขตจำกัด

    ความสว่างไสวของเทียนขึ้นอยู่กับความใหญ่ของไส้และปริมาณขี้ผึ้งที่ห่อหุ้มอยู่ ความสว่างของหลอดไฟขึ้นอยู่กับกระแสไฟฟ้าที่ไหลผ่านทว่าดวงอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่นั้นเจิดจ้าเรืองรองอยู่ตลอดกาล มันไม่ต้องการเชื้อเพลิงใดๆ มาหล่อเลี้ยงเลย ทั้งยังมีประภารัศมีอันยิ่งใหญ่ซึ่งเรืองรองอยู่โดยไม่ต้องการเชื้อ ไม่ต้องมีแม้หัวจุด การแลเห็นถึงโลกศักดิ์สิทธิ์คือการได้เป็นประจักษ์พยานถึงญาณทัศนะอันยิ่งใหญ่ ซึ่งดำรงอยู่ที่นั่นตลอดเวลา


    ประสบการณ์แห่งโลกศักดิ์สิทธิ์จะแสดงให้คุณเห็นว่า คุณถูกถักทอขึ้นมาจากความรุ่มรวยเจิดจ้าของโลกแห่งปรากฏการณ์อย่างไร คุณเป็นธรรมชาติส่วนหนึ่งของโลกนั้น และคุณจะเริ่มเห็นถึงความเป็นไปได้ของระบบลดหลั่นตามธรรมชาติและกฎเกณฑ์แห่ง ธรรมชาติ ซึ่งอาจเป็นแบบอย่างของการดำรงชีวิต โดยทั่วๆไปแล้ว ระบบลดหลั่นมักจะถูกมองไปในแง่ร้ายว่าเป็นบันไดหรือเป็นโครงสร้างของอำนาจ แนวดิ่ง โดยมีอำนาจสูงสุดอยู่บนสุด

    ถ้าคุณอยู่ตรงขั้นสุดท้ายของบันไดนั้น คุณก็จะรู้สึกถูกกดดันจากผู้ที่อยู่ด้านบน และคุณก็พยายามที่จะถอนตนออกมาหรือไม่ก็พยายามไต่ขึ้นไปให้สูงขึ้น แต่สำหรับนักรบ การค้นพบระบบลดหลั่นก็คือการแลเห็นถึงอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่ว่าฉายฉานอยู่ทุกแห่งหนและในทุกสิ่ง คุณอาจแลเห็นถึงกฎเกณฑ์ความเป็นไปได้ในโลกซึ่งมิได้ตั้งอยู่บนการดิ้นรน ต่อสู้หรือความก้าวร้าว

    อีกนัยหนึ่งคุณได้ค้นพบถึงหนทางที่จะประสานกลมกลืนเข้ากับโลกแห่งปรากฏการณ์ ซึ่งมิใช่ทั้งสิ่งที่หยุดนิ่งตายตัวหรือกดดัน ดังนั้นการเข้าใจถึงระบบลดหลั่นย่อมแสดงออกถึงการจัดระเบียบตามธรรมชาติ หรือเป็นการรู้ซึ้งถึงสิ่งที่ควรจะเป็น นั่นคือ คุณได้แลเห็นว่าจะเป็นไปตามธรรมชาติได้อย่างไรในโลกนี้ เพราะเหตุที่คุณได้สัมผัสถึงศักดิ์ศรีและความงามสง่าโดยที่มิต้องบ่มเพาะ ขึ้นมาในตัว


    ความมีระเบียบเรียบร้อยของนักรบนี้ก็คือความสงบและความเป็นเอกภาพตามธรรมชาติ ซึ่งอุบัติขึ้นมาจากความรู้สึกประสานกลมกลืนทั้งกับตนเองและสิ่งแวดล้อม คุณไม่จำเป็นต้องพยายามที่จะปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ ทว่าสถานการณ์จะปรับตัวเองโดยธรรมชาติ

    เมื่อคุณได้บรรลุถึงระดับภาวะนี้ คุณก็อาจละทิ้งร่องรอยสุดท้ายของความเคยชินมหึมาซึ่งคุณได้แบกพาติดตัวมา เป็นเวลานานเพื่อปกป้องตนเองออกจากธรรมชาติ คุณอาจชื่นชมในคุณลักษณะที่เป็นธรรมชาติล้วนๆ และคุณจะเห็นว่าคุณไม่จำเป็นต้องใช้ถุงแห่งเล่ห์กลของอัตตาอีกต่อไป

    คุณจะตระหนักได้ว่าคุณอาจใช้ชีวิตร่วมกับธรรมชาติดังที่มันเป็นและดังที่คุณ เป็น คุณอาจรู้สึกได้ถึงความผ่อนคลายเป็นกันเอง ย่อมรู้สึกเป็นสุขสบายอยู่ในโลกของคุณ


    ในทำนองนี้ การปลุกหลักการดราละขึ้นมาจึงช่วยเราให้มีชีวิตอยู่อย่างกลมกลืนกับ คุณลักษณะพื้นฐานของความจริง ทว่าโลกปัจจุบันนี้มักชอบใช้วิธีการเอาชนะสิ่งพื้นฐานต่างๆ มีระบบเครื่องทำความร้อนเพื่อเอาชนะความหนาวของฤดูหนาว มีเครื่องปรับอากาศเพื่อเอาชนะความร้อนของฤดูร้อน เมื่อเกิดความแห้งแล้งหรือน้ำท่วมหรือพายุเฮอริเคน

    สิ่งเหล่านี้มักจะถูกมองในทำนองของการต่อสู้กับพลังธรรมชาติ เป็นความรู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของมันอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก ทว่าแนวทางของนักรบนั้น แทนที่จะพยายามเอาชนะมูลธาตุ เขากลับเคารพพลังและกฎเกณฑ์ของมันในฐานะที่เป็นเครื่องชี้นำแนวทางของมนุษย์
    ในปรัชญาโบราณของจีนและญี่ปุ่น หลักการทั้งสามประการแห่งฟ้า ดินและคนได้แสดงถึงทัศนะที่ว่าชีวิตมนุษย์และสังคมควรจะผสานเข้ากับกฎเกณฑ์ ของธรรมชาติ หลักการเหล่านี้ตั้งอยู่บนความเข้าใจแต่โบราณถึงระบบลดหลั่นตามธรรมชาติ

    ข้าพเจ้าได้พบว่าในการนำเสนอถึงหลักการนักรบ หลักการเกี่ยวกับฟ้า ดิน และคนช่วยได้มากในการอธิบายว่า นักรบควรจะดำรงสถานะของตนในโลกศักดิ์สิทธิ์อย่างไร ถึงแม้ระบบคุณค่าทางสังคมและการเมืองของเราจะแตกต่างจากจีนและญี่ปุ่น แต่เราก็ยังอาจยกย่องปรีชาญาณพื้นฐานซึ่งบรรจุอยู่ในหลักการของกฎเกณฑ์

    ธรรมชาติเหล่านี้
    ฟ้า ดิน และคน อาจมองเห็นได้จากตัวหนังสือ ซึ่งมีฟ้าอยู่เบื้องบน มีโลกอยู่เบื้องล่าง และมีคนยืนหรือนั่งอยู่ระหว่างกลาง ตามความเชื่อดั้งเดิม ฟ้าเป็นอาณาจักรของทวยเทพ เป็นอาณาจักรอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ถ้าถือตามนัยแห่งสัญลักษณ์แล้ว

    หลักการของฟ้าแสดงให้เห็นอุดมคติทางนามธรรมหรือประสบการณ์แห่งความกว้างใหญ่ ไพศาลและความศักดิ์สิทธิ์ความยิ่งใหญ่และญาณทัศนะของฟ้าคือสิ่งที่ดลใจมนุษย์ ให้เข้าถึงความยิ่งใหญ่และการสร้างสรรค์

    ดินเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นจริงและการรองรับ คือพื้นแผ่นดินหรือมิใช่ที่รองรับและหล่อเลี้ยงชีวิต แผ่นดินนั้นอาจแลดูแน่นแข็งและโง่เง่า ทว่าแผ่นดินนี้อาจขุดเจาะลงไป อาจทำการงานใดๆได้ อาจเพาะปลูกพืชพันธุ์ ความสัมพันธ์อย่างสอดคล้องเหมาะสมระหว่างฟ้าและดิน จะช่วยทำให้หลักการของดินยืดหยุ่นได้

    คุณอาจคิดว่าความเว้นว่างของฟ้านั้นดูแห้งแล้งและเป็นนามธรรมเกินไป แต่ทว่าก็อาจมีความอบอุ่นและความรักอุบัติขึ้นจากฟ้าได้ด้วย ฟ้าเป็นต้นกำเนิดแห่งฝนซึ่งตกลงบนพื้นโลก ดังนั้นฟ้าจึงมีความเห็นอกเห็นใจเชื่อมโยงอยู่กับดิน เมื่อสายสัมพันธ์นั้นถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน ดินก็เริ่มยอมสยบ มันเริ่มอ่อนโยน นุ่มและยืดหยุ่น เพื่อว่าบรรดาพืชพันธุ์เขียวขจีอาจงอกเงยขึ้นและมนุษย์จะสามารถเพาะปลูกพืช พันธุ์ต่างๆได้


    ถัดมาก็คือหลักการของมนุษย์ซึ่งเชื่อมโยงอยู่กับความเรียบง่ายหรือการมีชีวิต อย่างประสานกลมกลืนกับฟ้าและดิน เมื่อมนุษย์สามารถเชื่อมโยงความมีอิสระของฟ้าเข้ากับความเป็นจริงของดิน เขาก็อาจมีชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมมนุษย์ที่ดีงาม ตามหลักความเชื่อดั้งเดิมกล่าวว่าเมื่อมนุษย์ใช้ชีวิตอย่างกลมกลืนกับหลักการของฟ้าดิน เมื่อนั้นฤดูกาลทั้งสี่และธาตุมูลต่างๆ ในโลกก็จะกระทำการร่วมกันอย่างกลมกลืนสอดคล้อง เมื่อนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็จะเป็นไปอย่างราบรื่น และมนุษย์ก็จะมีชีวิตร่วมประสานอยู่ในสรรพสิ่ง เรามีฟ้าเบื้องบนและมีผืนแผ่นดินรองรับอยู่เบื้องล่าง และเราย่อมแลเห็นคุณค่าในพืชพันธุ์ไม้และสิ่งต่างๆ เราจะเริ่มเห็นคุณค่าในสิ่งเหล่านี้

    แต่ถ้าคนทำลายสายสัมพันธ์หรือหมดความเชื่อถือในฟ้าและดิน เมื่อนั้นก็จะเต็มไปด้วยความปั่นป่วนสับสนในสังคมและเกิดภัยพิบัติทาง ธรรมชาติต่างๆ ในภาษาจีน คำที่ใช้เขียนถึงผู้ปกครองหรือกษัตริย์ ใช้เส้นตั้งเชื่อมโยงเส้นนอนสามเส้นเข้าด้วยกัน ซึ่งหมายแสดงถึง ฟ้า ดิน และคน นี้หมายถึงว่ากษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจแห่งการเชื่อมโยงฟ้า และดินเข้าด้วยกัน

    ในสังคมที่ดีงามมีความเชื่อดั้งเดิมว่าถ้ามีฝนตกต้องตามฤดูกาล มีพืชผลอุดมสมบูรณ์ นี่แสดงให้เห็นว่ากษัตริย์เป็นผู้ทรงธรรม เพราะเขาสามารถเชื่อมโยงฟ้าและดินเข้าด้วยกัน แต่เมื่อเกิดความอดอยากแห้งแล้งหรือภัยพิบัติทางธรรมชาติอื่นๆ เช่น น้ำท่วมหรือแผ่นดินไหว เมื่อนั้นอำนาจบารมีของกษัตริย์ก็เป็นที่น่ากังขา ความคิดที่ว่าความสมดุลทางธรรมชาตินั้นสัมพันธ์กับความสมดุลในสังคมมนุษย์ มิใช่ความคิดของทางตะวันออกเท่านั้น ดังตัวอย่าง ซึ่งมีอยู่หลายเรื่องในคัมภีร์ไบเบิ้ล เช่นเรื่องของกษัตริย์เดวิดซึ่งก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างฟ้ากับดิน การณ์นี้ก่อให้เกิดความกังขาในตัวกษัตริย์อย่างใหญ่หลวง


    ถ้าเรานำหลักการของฟ้าดินและคนมาประยุกต์เข้ากับสถานการณ์ในโลกปัจจุบัน เราจะเริ่มและเห็นว่ามีจุดเชื่อมโยงอยู่ระหว่างปัญหาทางสังคมและธรรมชาติ หรือปัญหาสภาพแวดล้อมซึ่งเราเผชิญอยู่

    เมื่อมนุษย์ได้สูญเสียสายสัมพันธ์ที่มีต่อธรรมชาติ ต่อฟากฟ้าและแผ่นดิน เมื่อนั้นเขาก็ไม่รู้วิธีในการบำรุงรักษาสิ่งแวดล้อมหรือในการจัดการกับโลกของตน - ซึ่งเป็นสิ่งเดียวกัน

    มนุษย์ได้ทำลายระบบนิเวศน์ลงและในขณะเดียวกันก็ได้ทำลายกันและกันลงด้วย จากมุมมองนี้เอง การเยียวยารักษาสังคมของเรา จึงต้องดำเนินควบคู่ไปกับการเยียวยาบำบัดสายสัมพันธ์ส่วนตัวอันเชื่อม โยงอยู่กับโลกแห่งปรากฏการณ์


    เมื่อมนุษย์ไม่รู้วิธีที่จะอยู่กับฟากฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาลเบื้องบนและโลกอันเขียวขจีเบื้องล่าง เมื่อนั้นก็ยากมากที่ญาณทัศนะของเขาจะหยั่งลึกลง เมื่อเรารู้สึกว่าฟ้าเป็นเสมือนฝาชีเหล็กและโลกเป็นดั่งผืนทะเลทรายแห้งแล้ง เมื่อนั้นเราก็ต้องการที่จะหลบหนีไปจากมัน แทนที่จะแผ่ขยายตนเองออกเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ญาณทัศนะชัมบาลามิได้ปฏิเสธเทคโนโลยี หรือมุ่งที่จะ “กลับไปหาธรรมชาติ” อย่างไร้เดียงสา ทว่าในโลกซึ่งเรามีชีวิตอยู่มีที่ว่างพอให้เราเห็นคุณค่าของตัวเอง เห็นคุณค่าของฟากฟ้าและแผ่นดิน เราอาจรักตัวเอง อาจเงยหน้าและยืดไหล่ขึ้นเพื่อแลดูดวงอาทิตย์แจ่มจรัสในฟากฟ้า

    การท้าทายของความเป็นนักรบก็คือ การมีชีวิตอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในโลกดังที่มันเป็น และเพื่อค้นหาถึงแก่นแท้ และด้านตรงข้ามของปัจจุบันขณะภายในโลกนี้

    ถ้าเราเปิดตาขึ้นมา ถ้าเราเปิดจิต ถ้าเราเปิดใจขึ้น เราจะพบว่าโลกนี้เป็นสถานที่วิเศษ มันมิใช่สถานที่วิเศษเพราะว่ามันอาจเสกเราให้กลายเป็นบางสิ่งบางอย่างโดยไม่คาดฝัน แต่มันเป็นสถานที่วิเศษ เพราะว่ามันเป็นสถานที่ที่จริงยิ่งและเรืองรองยิ่ง

    อย่างไรก็ตาม การค้นพบถึงอำนาจวิเศษนั้นอาจเป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเราได้ข้ามพ้น ความเคอะเขินในการมีชีวิตอยู่ เมื่อเรามีความกล้าพอที่จะประกาศถึงความดีงามและศักดิ์ศรีของชีวิตมนุษย์โดยไม่ลังเล หรือหยิ่งยโส เมื่อนั้นอำนาจวิเศษหรือดราละก็อาจลงมาสู่ภาวะการดำรงอยู่ของเรา


    โลกนี้เต็มไปด้วยพลังอำนาจและปรีชาญาณซึ่งเราอาจเข้าถึงได้และในบางแง่มุมเราก็มีอยู่แล้วด้วย โดยการปลุกหลักการดราละขึ้นมา เราก็พบช่องทางที่จะเข้าถึงโลกศักดิ์สิทธิ์ โลกซึ่งมีความรุ่มรวยเรืองรอง ดำรงอยู่ด้วยตัวของมันเอง และเหนือขึ้นไปกว่านั้น

    เราก็มีช่องทางเข้าถึงระบบลดหลั่นตามธรรมชาติหรือกฎเกณฑ์ธรรมชาติ กฎเกณฑ์นั้นประมวลไว้ด้วยทุกแง่มุมของชีวิตรวมถึงแง่มุมซึ่งน่าเกลียด ซึ่งขมชื่นหรือเศร้าโศกด้วย และแม้แต่แง่มุมด้านลบเหล่านี้ก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของเส้นใยอันสมบูรณ์ของการดำรงอยู่ ซึ่งอาจนำมาถักทอขึ้นในตัวตนของเรา

    แท้ที่จริงแล้ว เราก็ถูกถักทอเข้าไปในเส้นใยเหล่านั้นแล้ว ไม่ว่าเราจะปรารถนา หรือไม่ก็ตาม การตระหนักถึงสายใยดังกล่าวนับว่าเป็นโชคดี และเป็นพลัง ในขณะเดียวกัน มันช่วยให้เราหยุดบ่น และต่อสู้กับโลกของเรา นอกจากนี้ เรายังอาจเริ่มเฉลิมฉลอง และช่วยผลักดันความศักดิ์สิทธิ์ของโลก โดยการดำเนินตามวิถีทางของนักรบ มีทางเป็นไปได้ที่จะหยั่งลึกขึ้นในญาณทัศนะและอาจมอบความกล้าให้แก่ผู้อื่น โดยนัยนี้ เราก็อาจพบการเปลี่ยนแปลงอย่างถึงราก เราไม่อาจเปลี่ยนแปลงโลกได้ แต่โดยการเปิดตนเองออกสู่โลก รับรู้มันอย่างที่มันเป็น เราก็อาจค้นพบว่าความอ่อนโยน ความสุภาพกล้าหาญเป็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้มิใช่เพียงเฉพาะกับเรา แต่กับมนุษย์ทุกคน


     
  2. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253



    ระบบธรรมชาติ

    หลักการของ ฟ้า ดิน และคน ซึ่งเราได้พูดถึงในบทก่อน เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่จะอธิบายถึงระบบธรรมชาติ มันเป็นวิธีการอย่างหนึ่งในการมองดูระเบียบแบบแผนของโลกเบื้องบน เป็นโลกในอีกมิติหนึ่งซื่งมนุษย์ทุกคนล้วนมีส่วนร่วมอยู่

    ในบทนี้ข้าพเจ้าใคร่จะนำเสนออีกวิธีการหนึ่ง ในการมองดูระเบียบแบบแผนนี้ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของปรีชาญาณชัมบาลาแห่งธิเบต อันเป็นแผ่นดินถิ่นเกิด

    ทัศนะการมองโลกอย่างนี้แบ่งออกเป็นสามส่วนด้วยกัน ซึ่งเรียกว่า ลา เนียน และลู่

    หลักการทั้งสามนี้มิได้ขัดแย้งกับหลักการฟ้า ดินและคน ทว่ามีความแตกต่างกันอยู่เล็กน้อย

    ลา เนียนและลู่ ล้วนหยั่งรากลึกอยู่ในกฎเกณฑ์ของโลกมากยิ่งกว่า ถึงแม้ว่ามันจะโยงใยอยู่กับบัญชาของฟ้าและบทบาทของคน

    ลา เนียน และลู่ ชี้บ่งถึงแบบแผนและแม่แบบของโลกโดยตรง มันแสดงให้เห็นว่ามนุษย์จะสามารถสานทอตนเองเข้าไปในเนื้อผ้าของความเป็นจริง พื้นฐานได้อย่างไร ดังนั้น การประยุกต์นำหลักการ ลา เนียน และลู่มาใช้ จึงเป็นหนทางที่จะปลุกพลังอำนาจของดราละหรืออำนาจวิเศษขึ้นมา


    ลา ตามตัวอักษร หมายถึง “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” หรือ “เทพยดา” แต่ในกรณีนี้ ลา หมายถึง จุดสูงสุดบนโลกมากกว่าที่จะเป็นอีกภาพหนึ่ง
    ภาพของลานั้นก็คือ ยอดของขุนเขาหิมะ ซึ่งจะพบธารน้ำแข็งและหินเปล่าเปลือย ลาคือจุดที่สูงที่สุด เป็นจุดแรกที่แสงอาทิตย์อุทัยส่องมาสัมผัส มันคือสถานที่บนโลกซึ่งอยู่สูงขึ้นไปถึงฟ้า อยู่ในหมู่หมอกเมฆ ดังนั้น ลาจึงเป็นจุดที่ขึ้นสูงใกล้ฟ้าที่สุดเท่าที่โลกจะไปถึง

    ในทางจิตใจ ลา หมายถึงรุ่งอรุณแห่งการตื่นขึ้น มันเป็นประสบการณ์แห่งความใหม่สดและเป็นอิสระจากสิ่งหมักหมมในดวงจิตของคุณ ลา คือสิ่งที่สะท้อนถึงอาทิตย์อุทัยยิ่งใหญ่เป็นครั้งแรกในตัวตนของคุณ มันยังหมายถึงการส่องสว่างฉายฉานความดีงามยิ่งใหญ่ออกมาในร่างกายมนุษย์
    ลา หมายถึง ศีรษะโดยเฉพาะอย่างยิ่งหน้าผากและดวงตา ดังนั้นมันจึงหมายแสดงถึง ความตั้งตรงของสรีระและการแสดงออก



    ครั้นแล้วก็มาถึงเนียน ซึ่งหมายถึง “เพื่อน” เนียนเริ่มต้นขึ้นที่ไหล่เขาและหมายรวมถึง ป่าดงและที่ราบด้วย ส่วนยอดเขาคือลา แต่ไหล่อันสง่างามของขุนเขาคือเนียน ในวัฒนธรรมของซามูไรญี่ปุ่น แผ่นเกราะใหญ่บนไหล่เขาชุดนักรบหมายถึงหลักการเนียน ในสายประเพณีของทหารโลกตะวันตก อินทรธนูซึ่งบ่งบอกยศบนไหล่ก็รับใช้บทบาทอันเดียวกันในร่างกายคน
    เนียนมิได้หมายเพียงถึงความมั่นคง รู้สึกถึงความมั่นคงตั้งมั่น และสีข้าง ในทางจิตใจมันหมายถึงความมั่นคง รู้สึกถึงความมั่นคงตั้งมั่นอยู่ในความดีงามตั้งมั่นอยู่บนโลก ดังนั้นเนียนจึงเกี่ยวพันกับความกล้าหาญและความเป็นอัศวินของมนุษย์ ในความหมายนี้ มันคือแง่มุมอันสูงส่งของมิตรภาพซึ่งก็คือความกล้าหาญและทำคุณต่อผู้อื่น


    สุดท้ายก็คือหลักการลู่ ซึ่งตามตัวอักษรหมายถึง “ชลาลัย” มันเป็นภพของท้องทะเลมหาสมุทรแม่น้ำลำธารและทะเลสาบ เป็นอาณาจักรของน้ำและความเปียกชื้น ลู่มีคุณลักษณะของอัญมณีเหลว ดังนั้นความเปียกชื้นในที่นี้จึงสัมพันธ์อยู่กับความอุดมสมบูรณ์ ในทางจิตใจประสบการณ์ของลู่นั้นเหมือนกับการกระโดดลงไปสู่ทะเลสาบทองคำ หมายถึง ความสดชื่น แต่มิได้เป็นดังความสดฉ่ำแห่งธารน้ำแข็งของลา ความสดชื่นในที่นี้เปรียบประดุจดังแสงแดดซึ่งสะท้อนประกายอยู่ในห้วงน้ำลึก แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติของน้ำซึ่งคล้ายอัญมณีเหลว ในร่างกายคน ลู่ คือขาและเท้า ทุกส่วนที่อยู่ต่ำกว่าเอวลงมา

    ลา เนียน และลู่ยังสัมพันธ์อยู่กับฤดูกาลด้วย
    ฤดูหนาวคือ ลา มันเป็นฤดูกาลซึ่งขึ้นสูงสุดในบรรดาฤดูกาลทั้งหลาย ในฤดูหนาว คุณรู้สึกเหมือนดั่งว่าคุณกำลังอยู่เบื้องบน เหนือเมฆ ทั้งหนาวยะเยือกเย็น เหมือนดังว่าคุณกำลังบินไปในฟ้า
    ครั้นแล้วก็มาถึงฤดูใบไม้ผลิซึ่งก็คือการลงจากฟ้ามาสัมผัสโลก ฤดูใบไม้ผลิช่วงต่อจากลามาสู่เนียน ครั้นแล้วก็มาถึงฤดูร้อนซึ่งเป็นพัฒนาการระดับสูงสุดของเนียน เมื่อยามที่สรรพสิ่งเขียวชอุ่ม ครั้นแล้วฤดูร้อนก็คลี่คลายเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงซึ่งสัมพันธ์อยู่กับลู่เพราะ ว่าพืชผลสุกงอมในฤดูกาลนี้ ซึ่งเป็นพัฒนาการขั้นสุดท้าย พืชผลและการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วงคือผลของลู่ ในลีลาของฤดูกาลทั้งสี่ ลา เนียน และลู่ ต่างกระทำการร่วมกันในกระบวนการวิวัฒน์

    หลักการนี้สามารถประยุกต์ใช้ได้กับสถานการณ์ต่างๆ ความสัมพันธ์ร่วมระหว่างลา เนียน และลู่ เป็นเหมือนดังหิมะซึ่งเยิ้มละลายบนขุนเขา อาทิตย์อุ่นยอดเขา ทั้งหิมะและธารน้ำแข็งก็เริ่มเยิ้มเหลว นั่นคือลา ครั้นแล้วสายน้ำก็ไหลหลั่งลงจากขุนเขาก่อเกิดแม่น้ำลำธาร ซึ่งก็คือเนียน ท้ายสุดแม่น้ำก็ไหลลงสู่มหาสมุทร ซึ่งก็คือลู่ ซึ่งเป็นผลสุดท้าย

    สัมพันธภาพระหว่าง ลา เนียน ลู่ และยังอาจแลเห็นได้ในความสัมพันธ์และพฤติกรรมของมนุษย์

    ตัวอย่างเช่น เงินคือหลักการของลา การเปิดบัญชีและการฝากเงินในธนาคารคือเนียน และการถอนเงินออกมาจ่ายหนี้หรือซื้อของคือลู่ หรือดังตัวอย่างง่ายๆ เช่น การดื่มน้ำ คุณไม่อาจดื่มน้ำจากแก้วที่ว่างเปล่า ดังนั้นสิ่งแรกคือเติมน้ำลงไปในถ้วยซึ่งก็คือ สถานที่แห่งลา ถือถ้วยไว้ในมือซึ่งก็คือเนียน และดื่มซึ่งก็คือลู่

    ลา เนียน และลู่ ดำเนินบทบาทอยู่ในทุกๆสภาพการณ์ของชีวิตทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งคุณเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย (เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป-จขกท) ย่อมสัมพันธ์อยู่กับสถานใดสถานหนึ่งในสถานทั้งสามนี้ ตัวอย่างเช่น ในการแต่งตัว หมวกอยู่ในสถานแห่งลา รองเท้าอยู่ในสถานแห่งลู่ เสื้อกระโปรง และกางเกงอยู่ในสถานแห่งเนียน ถ้าคุณสับสนในหลักการเหล่านี้ คุณจะรู้สึกได้ทันทีว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดพลาด เช่นว่า ถ้าอาทิตย์ฉายแสงแรงร้อนอยู่เหนือหัว คุณคงไม่เอารองเท้าขึ้นไปไว้เป็นเครื่องกำบัง และเช่นกัน คุณคงไม่สวมแว่นตาต่างรองเท้า คงไม่เอาเนคไทไปผูกรองเท้า

    ด้วยเหตุนี้เอง คุณจึงไม่ควรเอาเท้าพาดโต๊ะ ด้วยเหตุว่ามันทำให้ลู่และเนียนสับสน ของใช้ส่วนตัวซึ่งดำรงอยู่ในอาณาจักรของลา ได้แก่ หมวก แว่นตา ตุ้มหู แปรงสีฟันและแปรงผม ของที่อยู่ในอาณาจักรของเนียนได้แก่ แหวน เข็มขัด เนคไท เสื้อและกางเกง กระดุมข้อมือ กำไลและนาฬิกา ของซึ่งอยู่ในสถานแห่งลู่ ได้แก่ รองเท้า ถุงเท้าและกางเกงใน ข้าพเจ้าเกรงว่าแต่ละสิ่งแต่ละอย่างมีความหมายตรงตามตัวของมัน ลา เนียน และลู่ เป็นสิ่งที่ตรงไปตรงมาและธรรมดาสามัญยิ่ง


    การถือตามระเบียบแบบแผนของลา เนียน และลู่ คือสิ่งที่ทำให้มนุษย์มีอารยะ ดังนั้น เราจึงควรถือมันเป็นแบบแผนขั้นสูงสุด โดยการดำเนินตามแบบแผนแห่ง ลา เนียน และลู่ ชีวิตของคุณก็อาจกลมกลืนเข้ากับแบบแผนของโลกแห่งปรากฏการณ์ มีคนบางคนมักไม่ใส่ใจในแบบแผนพื้นฐานทางสังคมเหล่านี้

    เขามักจะกล่าวว่า
    “จะเป็นไรไป ถ้าฉันใส่รองเท้าไว้บนหัว” แต่ทุกๆคนรู้ดีว่าการทำดังนั้นดูไม่เหมาะสม ทั้งๆ ที่ไม่มีใครรู้อย่างแน่ชัดว่าทำไม ทว่าผู้คนมีสัญชาตญาณที่รู้ได้ลึกๆ ว่าสิ่งไหนควรจะใช้กับสิ่งไหน ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือของใช้ในบ้าน แบบแผนเหล่านั้นมีเหตุผลอยู่ในตัวของมัน ทั้งห้องนอนและบ้านช่องของคุณจะแลดูเข้าที่เข้าทางขึ้นถ้าคุณจัดวางสิ่งต่างๆ ไว้ในที่ที่เหมาะสม จากจุดนี้เองที่คุณได้พัฒนาจังหวะจะโคนและแบบแผนขึ้นในประสบการณ์ส่วนตน คุณจะไม่ถอดเหวี่ยงเสื้อผ้าไว้บนพื้น คุณจะไม่เอารองเท้าแตะใส่ไว้ใต้หมอนและไม่เอาแปรงผมไปขัดรองเท้า


    การขาดความใส่ใจในลา เนียน และลู่นั้น มีผลร้ายมาก ถ้าหากว่าฤดูร้อนตามติดฤดูใบไม้ร่วง แทนที่จะเป็นฤดูหนาว และฤดูใบไม้ผลิตามติดฤดูร้อน แทนที่จะเป็นฤดูใบไม้ร่วง กฎเกณฑ์ทั้งหมดของจักรวาลก็จะถูกละเมิด ในกรณีนี้พืชพันธุ์ก็จะไม่เติบโต ส่ำสัตว์ก็ไม่ออกลูกออกหลานและเราก็จะต้องเผชิญกับอุทกภัยและความแห้งแล้ง เมื่อหลักการของลา เนียนและลู่ในสังคมถูกละเมิด มันก็เหมือนกับการเข้าไปขัดขวางความเป็นไปของฤดูกาล มันจะทำให้สังคมเสื่อมโทรมและก่อให้เกิดความสับสนขึ้น

    ในบางครั้งคุณจะพบการฝ่าฝืนหลักการลา เนียน และลู่ปรากฏอยู่ในพฤติกรรมของผู้นำทางการเมือง ดังเช่น การที่ประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาเอาเท้าพาดโต๊ะประชุมฝ่ายบริหาร หรือเหตุการณ์อันลือลั่นเมื่อครั้งที่นายกรัฐมนตรีครุชเชฟ กระทืบเท้าบนที่แสดงสุนทรพจน์ขององค์การสหประชาชาติ มิใช่ว่าการกระทำเหล่านั้นเป็นปัญหาในตัวของมันเอง การประสานร่วมกับหลักการของลา เนียนและลู่มีอะไรที่มากกว่าการมีมารยาทดี

    ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่ท่าทีซึ่งฝืนต่อความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิต โดยการคิดว่าหนทางที่ข่มขู่คุกคามได้ก็โดยการจับโลกกลับหัวกลับหาง โดยการไม่ใส่ใจต่อแบบแผนรากฐาน คุณได้สูญเสียความเชื่อมั่นซึ่งมีต่อปรากฏการณ์โลก และในขณะเดียวกันคุณก็ได้กลายเป็นคนซึ่งเชื่อถือไม่ได้ไปเสียเอง ในคนซึ่งคิดว่าการต่อสู้และแก่งแย่งแข่งขันคือหนทางไปสู่ความสำเร็จ บางทีอาจมีชัยชนะซึ่งดำรงอยู่ในวิธีการนั้น แต่ถึงที่สุดแล้วก็เป็นเพียงแต่การกระโดลงไปในท่อระบายน้ำของโลกเท่านั้น


    ดังนั้นเองการเคารพกฎเกณฑ์ของลา เนียน และลู่ จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ที่มิได้หมายเพียงการสักแต่พูดโดยการจัดทุกสิ่งทุกอย่างในบ้านอย่างเป็นระเบียบเท่านั้น คุณอาจเริ่มด้วยการตระหนักถึงคุณค่าในโลกของตนโดยการมองดูจักรวาลด้วยสายตาอันสดใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่เราได้พูดกันมาซ้ำเล่า จากจุดนั้นเองที่คุณอาจรู้สึกได้ถึงการดำรงอยู่ของลา เนียนและลู่ในกายของตนและในตัวตนทั้งหมด คุณจะรู้สึกได้ถึงการตื่นขึ้นและญาณทัศนะของลา รู้สึกถึงความมั่นคงและความอ่อนโยนของเนียน และความเป็นไปได้อันเปี่ยมล้นในการดำรงชีวิตในโลก ซึ่งก็คือหลักการของลู่

    จากการค้นพบถึงหลักเกณฑ์พื้นฐานนี้เอง คุณจะเริ่มเข้าใจว่าจะสามารถเชื่อมโยง ลา เนียน และลู่เข้าด้วยกันอย่างไร โดยอาศัยการอุทิศตนเพื่อผู้อื่น โดยการเป็นผู้รับใช้ในโลกของตน


    การเชื่อมโยงลา เนียน และลู่เข้าด้วยกัน แสดงออกเป็นแบบอย่างด้วยการโค้งคำนับ ซึ่งในวัฒนธรรมตะวันออกหลายกระแสถือเป็นประเพณีของการทักทาย สำหรับนักรบชัมบาลา การโค้งคารวะเป็นสัญลักษณ์ของการยอมศิโรราบต่อผู้อื่น คือการรับใช้ เรามิได้กำลังพูดกันถึงความหมายตามตัวอักษรของคำว่าคำนับ

    หากพูดถึงท่าทีนั้นทั้งหมดของนักรบซึ่งแสดงออกต่อชีวิตอื่น ซึ่งถือเป็นการรับใช้อย่างปราศจากอัตตา เมื่อคุณโค้งคำนับในฐานะของนักรบ คุณเริ่มด้วยการตั้งศีรษะและไหล่ ยืดกายตรงมิใช่เพียงขู่คำรามและโค้งตัว แต่แรกทีเดียวจะต้องตั้งกายให้ตรง การกระทำดังนี้เชื่อมโยงคุณเข้ากับลา และการบำรุงเลี้ยงอาชาวายุ หรือเป็นดังประหนึ่งว่ามีธารน้ำแข็งอยู่บนศีรษะดังประหนึ่งว่าคุณคือขุนเขาเอเวอเรสต์ หลังจากนั้น จากขุนเขา ธารน้ำแข็งอันสูงชันและแหลมคมแห่งลา คุณก็เริ่มโค้งต่ำลงไปโดยการก้มศีรษะและหลังเล็กน้อย คุณลดศีรษะลงมาสู่ระดับไหล่ นี่คือการผูกมิตรกับเนียน คุณอาจรับรู้ถึงความกว้างใหญ่ของบ่าไหล่ ครั้นแล้วท้ายที่สุด คุณก็ทำให้การโค้งคารวะสมบูรณ์ คุณลดต่ำลงมาสู่สถานแห่งลู่ คุณสยบยอมโดยสิ้นเชิง

    หลักการทั้งสามของลา เนียน และลู่ได้ถูกมอบให้เป็นบรรณาการในขณะที่คุณโค้งต่ำลง

    การโค้งคำนับ คือ การมอบความดีงามพื้นฐานและอาชาวายุให้แก่ผู้อื่น ดังนั้นในการโค้งจึงเป็นการที่คุณยอมมอบถวายพลังศักยภาพและอำนาจวิเศษให้ และคุณได้กระทำไปด้วยความรู้สึกจริงแท้และกระทำอย่างเหมาะสม มันเป็นกระบวนการสามขั้นตอนคือ รวบรวมไว้ รู้สึก และให้ออกไป

    แรกสุดคุณจะต้องรวบรวมขึ้นมา มิเช่นนั้นก็จะไม่มีน้ำหนักอะไรเลย ถ้าคุณเพียงแต่โค้งให้ใครอย่างผลุบผลับ นั่นเป็นการโค้งคำนับอย่างหลอกๆ มันไม่มีความรู้สึกที่แท้จริงอยู่ในนั้น ผู้ที่เป็นประจักษ์พยานของการโค้ง คนผู้ซึ่งคุณโค้งให้จะถือว่าคุณเป็นคนไว้ใจไม่ได้ แนวคิดนี้มีอยู่ว่า อำนาจวิเศษของการโค้งคารวะ พลังของการโค้งคำนับย่อมตอกย้ำความมั่นใจของทั้งสองฝ่าย เมื่อคุณโค้งให้เพื่อนหรือคนดีงาม คนซื่อตรงซึ่งมีพลังเช่นนั้นอยู่ในตัว นั่นเท่ากับเป็นการแบ่งปันบางสิ่งบางอย่างร่วมกัน ถ้าคุณโค้งคำนับต่อโลกอาทิตย์อัสดง ถ้าคุณโค้งให้มิกกี้เม้าส์ นั่นเท่ากับเป็นการบั่นทอนตัวเอง นักรบจะไม่ทำดังนั้นเลย ดังนั้นการโค้งจึงตั้งอยู่บนการตระหนักรู้ถึงคุณค่าในตัวคน ในลา เนียน และลู่ซึ่งดำรงอยู่เบื้องหน้าคุณ และเพื่อเป็นเครื่องแสดงถึงความเคารพ

    คุณจะไม่ยืดกายขึ้นจนกว่าอีกฝ่ายหนึ่งกระทำ

    การโค้งคำนับแสดงถึงบรรณาการแลกเปลี่ยนกันทางพลังงานโดยพื้นฐานแล้วประเด็นของมันอยู่ตรงการรับใช้โลก เช่นเดียวกับเป็นการแสดงความสุภาพ ความภักดีและการยอมศิโรราบ มันเป็นแบบฉบับของการเชื่อมโยงลา เนียน และลู่เข้าด้วยกัน เครื่องมือซึ่งเราใช้ในการเปลี่ยนแปลงโลก ก็ยังถูกถือว่าคือการเชื่อมโยงลา เนียนและลู่ ซึ่งจะต้องให้ความเคารพเป็นพิเศษ ความข้อนี้ก็ยังคงเป็นจริง สำหรับคนซึ่งต้องการจะช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้อื่นโดยการรับใช้ ดังนั้น ครูจึงเป็นผู้ที่ได้รับความเคารพอย่างสูง ด้วยเหตุที่เขาเป็นผู้เชื่อมโยงลา เนียนและลู่ขึ้นในตัวนักเรียนตามอุดมคติแล้ว นักการเมืองและข้าราชการก็มีบทบาทนี้เช่นกัน บทบาทของนักรบก็คือช่วยผสานลา เนียนและลู่ เพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์

    การใช้ชีวิตอย่างสอดคล้องกับระบบธรรมชาติมิใช่เป็นการดำเนินตามกฎเกณฑ์อันตายตัว หรือประกอบภารกิจประจำวันตามแบบแผนความประพฤติหรือบทบัญญัติอันแห้งแล้ง โลกนี้มีระเบียบแบบแผน มีพลังอำนาจและความรุ่มรวยล้ำลึกซึ่งอาจสอนคุณให้รู้จักดำเนินชีวิตอย่างมี ศิลปะ อย่างเต็มเปี่ยมด้วยความเมตตาต่อผู้อื่นและรู้จักทะนุถนอมตัวเอง

    อย่างไรก็ตามเพียงแค่การศึกษาหลักการของลา เนียนและลู่ ยังไม่เพียงพอ การค้นพบถึงระบบธรรมชาติจักต้องปรากฏขึ้นเป็นประสบการณ์ส่วนตัว อำนาจวิเศษนั้นเป็นสิ่งที่คุณต้องสัมผัสด้วยตัวเอง เมื่อนั้นคุณจะไม่มีวันถูกล่อลวงให้ทิ้งหมวกไว้บนพื้น แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น คุณจะไม่มีวันถูกล่อลวงให้หลอกลวงเพื่อนบ้านหรือมิตรสหาย คุณจะมีแรงบันดาลใจ ในการที่จะรับใช้โลกของคุณ และหยิบยื่นตัวเองให้อย่างสิ้นเชิง

     
  3. salieaf

    salieaf Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 สิงหาคม 2009
    โพสต์:
    49
    ค่าพลัง:
    +38
    คุณ cosmiccell ครับ
    เมื่อคืนผมลองทำดูนะครับ เวลาเที่ยงคืนกว่าๆ ทำท่านอนครับเพราะนั่งเล่นคอมทั้งวันเมื่อย ลองทำตามที่คุณบอกเรื่องการฝึกลมหายใจครับ ทำไปช้าๆ เรื่อยๆ ผลออกมาคือสักพักนึงผมได้ยินเสียงลมหายใจตัวเองที่ดังแรงมากครับ และที่ขา ตามสันหลังร่างกายเหมือนมี พลังงานร้อนๆเต็มไปหมดครับ มันแล่นไปมาแต่ไม่มากครับ ที่สำคัญมันไปจุกอยู่ตรงอวัยวะเพศน่ะครับ พอเริ่มวางอารมณ์เสร็จ มันเหมือนจะสำลักครับ บอกไม่ถูก ยังงี้มาถูทางแล้วหรือปล่าวครับ ถ้าถูกทางผมจะได้ฝึกต่อไปครับ ขอบคุณครับ
     
  4. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    พลังงานภายใน เค้าจะทำงานของเค้าไป อย่างอัตโนมัติ
    เหมือนแม่ที่ดูแลลูก คอยเช็ดถู ปัดกวาด ทางเดินที่อุดตัน

    อย่าต่อต้าน อย่าหลีกเลี่ยง อย่าตื่นตระหนกตกใจ
    เพียงรับรู้ และเฝ้ามองเฉยๆด้วยความรัก ให้เข้าใจ
    หากมีความคิดใดๆเกิดขึ้น ก็เฝ้าดูอย่างสงบครับ
    ให้การเฝ้าดู นำความรู้สึกตัว นำความรู้มาให้ เพื่อให้เห็นสาเหตุของสิ่งที่ฝังรากลึกอยู่ในจิตใจ

    ลองดูนะครับ:)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 มิถุนายน 2011
  5. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,714
    สวัสดีคับคุณเซลย์ ผมเองก็ฝึกกุลฑาลิณีมาตั้งแต่อยู่มอต้น...หากแต่วิธีการฝึกอาจจะไม่ตรงแป๊ะ!เสมือนแบบอย่างที่กำหนดเอาไว้ในตำรา หากแต่ด้วยความที่ยังเด้กจึงฝึกอย่างที่ตนสามารถเข้าใจและจินตนาการให้เป็นรุปเป็นร่างได้ หากเพราะโดยตอนเด้กผมอาจมีพื้นฐานจาการฝึกสมาธิแบบอาณาปาณสติ และถนัดมากกับการเดินลม และเล่นลม จนมาพบเจอกับการฝึกโยคะ ว่าด้วยการเดินปราณ และนั่นจึงหมายรวมถึงการปลุก "กุลฑาลีณีให้ตื่น" ขึ้นมาจากการหลับไหล โดยวิธีการที่ผมใช้นั้นก็คือการสูดลมหายใจอย่างแผ่วเบานึกน้อมมโนภาพภาพลมหายใจเป็นเพียงกลุ่มควัญอณูสีขาวที่ไหลพุ่งเข้าสู่โพรงจมูกอย่างนุ่มนวลและแผ่วเบา ไหลวลและหมุนวนลงสู่ท้องน้อยเมื่อเราอัดลมลงท้องน้อยจนเต็มแล้วจึงน้อมความรู้สึกเป็นพลังงานดวงแก้วขาวนวลพร้อมกับเปล่งเสียงอักขระ"โอม! " ทันทีที่เปล่งเสียงโอมนั้น ให้นึกภาพดวงแก้วนั้นแตกกระจายเป็นพลังอณูสีขาวนวลกระจายไปทั่วทั้งสำพรางกาย หลังจากนั้นจึงเริ่มอัดลมหายใจแบบเดิมอีกครั้ง คราวนี้ให้พลังงานสีขาวนวลนั้นไหลวนอัดแน่นอยู่ตรงบริเวณฝีเย็บ น้อมมโนภาพประหนึ่งเป็นกลุ่มพลังงานแห่งชีวิตที่หวุนวนแล้วพร้อมที่จะโพยพุ่งเป้นเกลียวคลื่นสองสายหมุนวนไหลผ่านช่องกระดูกสันหลังจนไปทะลุกลางกระหม่อม...ทุกครั้งที่ทำ!ผลที่ได้รับกลับมาคือความสงบ ความนุ่มนวลของอารมณ์ที่สงบนิ่ง สว่าง หาความฟุ้งซ่านของอารมณ์นั้นไม่ได้เลย สมองโปร่งโล่ง สมาธิตั้งมั่น ไม่แส่ส่าย ทั่วบริเวณใบหน้าจะรับรู้ถึงอาการซาบซ่านของพลังงานของปราณ ประหนึ่งว่าเด้กน้อยมีเลือดฝาดอยู่ตลอดเวลา และอีกหนึ่งผลลัพที่ได้รับจากการฝึกเดินปราณในวิธีนี้ก็คือ ความอ่อนโยนและความอ่อนเยาว์ของพลังงานชีวิต ตอนนี้ผมอายุมากแล้วเข้าเลขสาม หากแต่โครงหน้าและหน้าตายังฉายชัดให้เห็นว่ายังสามารถสู้เด้กๆที่อายุราวๆยี่สิบต้นๆได้อย่างสบายๆชิลย์ ๆซึ่งมักจะมีคนถามว่าเราไปทำอะไรมา หากคำตอบที่ได้รับนั้นนำพาให้ทุกคนต้องส่ายหน้า เพราะผมบอกว่าฝึกนั่งสมาธิ สวดมนต์ ท้ายสุดฝึกกำหนดลมหายใจ(ปราณ) มันอาจจะฟังแล้วดูยาก หากแต่ของเหล่าต้องอาศัยเวลาและวิริยะอันเป็นความเพียรเบื้องต้นที่พึงกระทำ และเมื่อคุณตั้งใจจริงผลลัพที่ได้ย่อมพบเจอของจริง ..

    แก่นแท้แห่งธรรมชาติคือความว่าง
    เมื่อ ลดละ ปลด วาง ท้ายสุดจึงรู้แท้จริงคือ "ว่าง"
    ประหนึ่งคำเปรียบดั่งว่า "เต๋าคือเต๋า เต๋ามิใช่เต๋า เต๋าคือสรรพสิ่ง สรรพสิ่งเกิดจากเต๋า"

    ท้ายสุดผมมิรู้ว่าสิ่งที่ฝึกนี้จะใช่แนวทางเดียวกันกับท่านเจ้าของกระทู้หรือมั้ย ผิดถูกอย่างรัยขอคุณเจ้าของกระทู้เมตตาอบรมตักเตือนได้อย่างที่เห้นควรได้เลยนะคับ ผมผู้น้อยแถมความรู้ที่มีในด้านนี้ก็น้อยเท่าน้อย ดังนั้นจึงขอคำแนะนำด้วยเพื่อความก้าวหน้าต่อไปในการฝึก...*-*sleeping_rb
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มิถุนายน 2011
  6. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    [​IMG]


    วิธีฝึก ไม่มีผิด ไม่มีถูก หรอกครับ คุณ naknoi

    วิธีที่ผมรวบรวมในหน้าแรกๆ เป็นเพียงวิธีการนึงเท่านั้น เพราะมีอีกหลากหลายวิธีในการปลุกพลังงานชีวิตขึ้นมา :)

    คุณ naknoi ฝึกลมปราณมาตั้งแต่เด็ก จนถึงปัจจุบันนี้ ก็ไม่ใช่น้อยแล้วนะครับ ถ้านับเรื่องระยะเวลาการฝึก ก็นับว่าเป็นศิษย์พี่เลยครับ :)

    ถือว่า มาแลกเปลี่ยน เพิ่มเติมกันครับ
    ครูที่แท้จริงของเรา อยู่ที่ร่างกาย จิตใจ ของตนเองแล้วครับ

    การใช้มนตราในการกระตุ้น เช่น คำว่าโอม
    เกิดจากการผสมคำ ของเสียง 3 เสียง คือคำว่า อะ อุ มะ
    เป็นแรงสั่นสะเทือน ในช่องพลัง 3 ช่อง
    คือ ช่องซ้าย ช่องขวา และช่องกลาง
    ช่องซ้ายแทนอดีต
    ช่องขวาแทนอนาคต
    และช่องกลางแทนปัจจุบัน
    จึงเป็นเสียงที่สั่นสะเทือนอยู่ในทุกๆมิติ

    เวลาออกเสียงข้างใน ให้ลองลากเสียง อะ อุ มะ ต่อเนื่องกัน ให้ผสมเป็นคำว่าโอม
    จะทำให้ช่องพลังงานทั้งสามสั่นสะเทือนขึ้นพร้อมกัน และให้แรงสั่นสะเทือนนี้เคลื่อนจากฝีเย็บ ขึ้นไปทะลุออกกลางกระหม่อม

    เมื่อสงบแล้ว ละคำว่า โอม ทิ้งไป เข้าสู่ความสงบ

    คำว่า โอม ลมหายใจ ปราณ หรือดวงแก้ว ก็คือ นิมิตรูปหนึ่งที่ทำให้จิตตั้งมั่น

    เมื่อใช้นิมิตแล้ว ก็ต้องละนิมิต เพื่อเข้าสู่ความว่าง

    คุณนาคน้อยหน้าเด็กกว่าอายุจริง เพราะการฝึกลมปราณ จะทำให้เลือดลมหมุนเวียนได้ดีเป็นปัจจุบันขณะ สะสมพลังงานเอาไว้

    หากไม่สูญเสียพลังงานไปกับสิ่งอื่นๆ ก็จะเกิดการ alchemy ภายใน แปลงพลังงานทางเพศ กลับไปเป็นพลังงานทางจิตวิญญาณ หรือพลังงานแห่งการรู้คิด หรือ พลังงานของแรงบันดาลใจอีกที

    แต่พลังงานจะแปลงกลับเป็นอัตโนมัติไม่ได้ หากเรายังไม่ทำความเข้าใจเกี่ยวกับความขัดแย้งภายในใจ เช่น ทัศนคติเรื่องเพศ เงื่อนไขภายในใจ ความกลัวต่างๆภายในใจ

    การฝึกลมปราณ เหมือนการสะสมพลังงานเอาไว้ หากมีมากเกินไป ก็ต้องหาทางระบายออกทางอื่น ก็จะรั่วออกไปเรื่อยๆ

    ดังนั้น วิธีการที่แจ้งให้ทราบเบื้องต้น ก็เพื่อไม่ให้รั่วออก จุดหลักก็เพื่อให้เห็นถึงเงื่อนไขภายในใจ ที่เราสร้างไว้ เก็บกดเอาไว้ ให้มันแสดงออกมาให้เราเห็น ให้เราได้เข้าใจ จึงจะปล่อยวางได้จริงๆ

    เมื่อไม่รั่ว โอกาสที่จะเต็ม และประตูเปิดออก ก็จะเป็นไปเอง โดยอัตโนมัติครับ :)
     
  7. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    ไปเจอบทความนึง ที่ท่านเขมานันทะ ได้กล่าวถึง ขบวนการ alchemy ในนิกายตันตระ ของวัชรยาน น่าสนใจดีครับ

    ลองทำความเข้าใจกันดูนะครับ ศึกษาหลายๆแง่ หลายๆมุม แล้วย่อยเป็นความเข้าใจของตนเอง


    ข้อมูลคัดลอกจากลิงค์ 003152 - ��ͤ�����繨ҡ "����ͧ�ͧ��ѡ " �ͧ ��йѹ�� ��Ѻ..

    [​IMG]

    สาระสำคัญแห่งวัชรยานตันตระ

    หัวข้อที่กำหนดไว้คือสาระสำคัญแห่งวัชรยาน ที่จริงชื่อนี้เป็นชื่อที่คนไทยทั่วไปไม่ค่อยคุ้น ผมเองสนใจและผูกพันกับวัชรยานมานานแล้วและส่วนใหญ่ก็เป็นการคบกับบุคคลที่เป็นชาววัชรยาน โดยแท้จริงผมอ่านตำราน้อยมาก ดังนั้นการบรรยายของผมต้องถือเป็นการบรรยายโดยอัตนัยเป็นการบอกข่าวสารที่ตัวเองรับทราบ และหลายเรื่องหลายตอนที่ผมเองก็ไม่สู้จะแน่ใจนัก เพราะตัวเองก็ไม่ใช่ชาาวธิเบตที่เกิดในท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เรียกว่าวัชรยาน พูดเพื่อให้เห็นที่มาและที่ไปก่อน แม้ผมจะเป็นผู้บรรยายก็จริง โดยแท้จริงแล้วผมเป็นคนหนึ่งที่กำลังศึกษาอยู่

    สิ่งแรกที่ผมจะกล่าวนำในที่นี้คือ เมื่อเราจะศึกษาสิ่งใดใหม่ จำเป็นมากที่เรา ต้องขยายฐานการสังเกตให้กว้างเข้าไว้ นั่นก็คือเราต้องทำใจกว้างไว้ก่อน จะโดยสมัครใจหรือหรือไม่ก็ตาม เมื่อเราเกิดในแผ่นดินนี้ เราจะรับทราบพุทธศาสนาในรูปใดรูปหนึ่งหรือส่วนใดส่วนหนึ่ง ดังนั้นทัศนคติของเราจะมีโดยพื้นฐาน ไม่ว่าเราจะไปบวชมาแล้วหรือไม่ได้บวช สังคมที่เราอาศัยอยู่เป็นเสมือนเบ้าหลอมทำให้เรารู้สึกโดยไม่รู้ตัว เช่น ทัศนคติแบบเถรวาท เมื่อสมัยที่ผมเป็นนักบวช ซึ่งช่วงนั้นเป็นช่วงที่สังคมกำลังต้องการคำตอบจากพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก เห็นจะประมาณสัก 10 ปีที่แล้ว ผมเคยเสนอที่ประชุมสงฆ์ พูดเล่น ๆ เพื่อให้รู้สึกถึงความแปลกประหลาด ผมเสนอให้พระสงฆ์มีเมียได้ ปรากฏว่าเกิดปฏิกิริยาขึ้นทั่วถึงในที่ประชุมนั้น เพราะถือว่าพระสงฆ์เป็นผู้บริสุทธิ์ จะแตะต้องแปดเปื้อนไม่ได้ ที่จริงการที่ผมเสนอเช่นนั้น ผมไม่ได้หมายถึงให้พระสงฆ์ไปมีภรรยาจริง ๆ ผมหมายเพียงแต่ว่า เราต้องขยายฐานของการปฏิบัติธรรมให้กว้าง เช่น ให้มีคฤหัสถ์ที่ปฏิบัติธรรม พระที่บริสุทธิ์และมีคล้าย ๆ กับจะเป็นครึ่งพระครึ่งโยม ซึ่งมีลูกมีเมีย ที่จริงสิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งใหม่ ที่ประเทศอินโดนีเซียและบาหลีนั้น พระสงฆ์เกิดจากการเลือกตั้ง ไม่ใช่การบวช ประชาชนในถิ่นนั้นจะเลือกอุบาสกคนหนึ่งหรือกี่คนก็ได้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสม เลือกทั้งตระกูลขึ้นเป็นพระ เรียกพระปทันตาหรือเปมังกุ ผมรับทราบครั้งแรกงงๆ เพราะทัศนะเถรวาทเรานั้น พระสงฆ์ต้องเกิดจากการบวชหรือสมัครใจ

    ในเบื้องต้นนี้ ผมใคร่ทำความเข้าใจว่า เราทำใจให้กว้างในการที่จะรับทราบ ในสิ่งที่เราอาจจะคิดไม่ถึงหรือไม่เชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัชรยานหรือเราไปเห็นท่วงท่าหรือการไหวเคลื่อนของเขาแล้ว เราอาจจะงง ไม่ว่าศิลปวัตถุ ประเพณีนิยมต่าง ๆ หรือธรรมเนียมที่สอนกันมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ เรื่องที่นำเอาสิ่งที่เถรวาทหรือนิกายอื่นถือว่าเป็นอุปสรรคมาเป็นเครื่อง สนับสนุน พูดตรงๆ ก็คือว่า ฝ่ายเถรวาทเราถือว่ากิเลสเป็นเรื่องที่ต้องละให้ห่างไกล ฝ่ายวัชรยานหรือบางนิกายในอินเดียกลับถือว่าต้องเอากิเลสเป็นเครื่องผลักดัน เราต้องรับฟังด้วยใจกว้าง ๆ ก่อน คือ อย่าเพิ่งเชื่อและอย่าเพิ่งปฏิเสธ ควรก้าวไปสู่รายละเอียดอย่างมีระบบและด้วยการเห็นชัดเจนว่า เราจะใช้สิ่งที่เป็นอุปสรรคให้เป็นอุปการะได้อย่างไร ดังนั้นในการทำความเข้าใจสิ่งใหม่ เราต้องการรากฐานเพื่อที่ไต่ไปตามลำดับ

    สมมติว่าเราได้ยินครั้งแรกว่า วัชรยานถือเอาพลังทางเพศเป็นเครื่องผลักดัน เราก็รับไม่ได้เพราะเราคุ้นกับฝ่ายเถรวาท และโดยทั่วไปนั้นวัชรยานถูกนำเสนอในประเทศนี้อย่างผิดพลาดตั้งแต่ต้นมือ ประมาณ 20ปีที่แล้วมีหนังสือกล่าวถึงวัชรยานอย่างไร้สติ ผมได้คุยกับรินโปเช่คนหนึ่งซึ่งเป็นผุ้ใกล้ชิดกับองค์ดาไลลามะถึงหนังสือ เล่มนั้น ซึ่งเขียนโดยนักปราชญ์ของประเทศนี้ เป็นการเขียนที่ไร้สติและเต็มไปด้วยอคติ จึงทำให้เกิดความเสียหายแก่วัชรยาน เช่นถือเอาวัชรยานเป็นยานที่ใช้การร่วมเพศกัน โดยใช้มนตราเพื่อปลุกกระพือแรงราคะ เขียนเช่นนี้เพื่อให้พังพินาศ รินโปเช่ท่านนั้นได้แสดงความเสียใจเป็นอย่างมาก เพราะว่าแท้จริงวัชรยานไม่ใช่สิ่งนี้ รินโปเช่คือตำแหน่งสหชาติของดาไลลามะ เมื่อเลือกองค์ดาไลลามะนั้น ดาไลลามะจะเลือกคนที่เกิดวันเดียวกันกับพระองค์มาเป็นสหชาติ คล้าย ๆ ตำแหน่งสมเด็จทางสงฆ์ในประเทศเราอะไรทำนองนั้น

    ถ้าให้ผมพูดถึงสาระสำคัญของวัชรยานตามหัวข้อก็ตอบได้เลยและจบการบรรยาย นั่นคือสาระสำคัญของวัชรยาน ก็คือวัชรญาณ นั่นเองคือ ญาณสายฟ้า สายฟ้าแลบหรือญาณที่คมประดุจเพชร เครื่องตัดอวิชชาเป็นญาณที่เกิดอย่างฉับพลันทันใด และเปลี่ยนชีวิตคนได้ หากแต่สาระต้องประกอบด้วยเนื้อหาด้านอื่น ผมเองมีความเชื่อว่า รูปแบบและเนื้อหามาด้วยกัน

    ดังนั้นเราต้องพิจารณาถึงฐานหรือฐานะที่มาของวัชรยานและประกอบกับฐานะที่ เป็นจริงในโลกปัจจุบัน พูดถึงปัจจุบันเสียก่อนเพราะว่าง่ายและสั้น เดี๋ยวนี้ถ้าใครคิดจะสัมผัสแนวคิดหรือระบบของวัชรยานนั้นต้องมุ่งตรงไปที่ สิกขิม ภูฐาน แต่เดิมนั้นเรามี ทิเบต แต่ว่าปัจจุบันเรารู้กันดีว่า จีนได้ฮุบแผ่นดินทิเบตรวมทั้งทำลายรากฐานทิเบตไปไม่ใช่น้อย แม้ปัจจุบันจีนจะประกาศให้ทิเบตกลับบ้านได้ แต่ต้องทำวีซ่าผ่านปักกิ่งเท่ากับเป็นการบังคับให้ชาวทิเบตเป็นชาวจีนโดยไม่ มีทางต่อสู้

    เมื่อผมพูดถึงวัชรยานย่อมกินความรวมไปถึงนิกายต่าง ๆ ทุกนิกายของทิเบตด้วย โดยแท้จริงแล้ววัชรยานไม่ใช่ชื่อของนิกายแต่เป็นชื่อของญาณ ฉะนั้นทุกนิกายของทิเบตจะมีความเชื่อหรือแนวโน้มเอียงที่จะเชื่อว่าตัวเอง คือวัชรยาน นิกายของทิเบตนั้นก็มีหลายนิกาย เช่น ศากยะ เกลุกปะ กักยุกปะ และฌิงมา ผมเชื่อว่าทุกท่านได้รับการอธิบายไว้มากพอสมควรแล้ว

    ใน อินเดียครั้งกระโน้นหรือแม้เดี๋ยวนี้ เมื่อผมพูดว่าอินเดียครั้งกระนั้นก็ไม่ได้แตกต่างจากเดี๋ยวนี้มากนัก โดยแท้จริงแล้วอินเดียเป็นชาติที่เหมือนพิพิธภัณฑ์โบราณ นักบวชเปลือยยังเดินตามถนนในกัลกัตตา อินเดียยังเป็นอินเดีย เมื่อนักวิชาการฝรั่งเข้าไปช่วยพัฒนาก็เจอปัญหามาก เพราะว่าอินเดียไม่ได้เป็นไปตามหลักทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะเนห์รูได้พูดว่า เขาจะไม่ยอมปรับอินเดียให้เหมือนนักคิดฝรั่ง เพราะว่าอะไรที่อินเดียเป็น อันนั้นก็คืออินเดีย

    อินเดียนั้น เป็นแหล่งกำเนิดของความเชื่อทางศาสนาที่เหลือจะคาดคิดเอาได้ ดังที่เราได้อ่านจากเรื่อง กามนิต-วาสิฏฐี แล้วทุก ๆ ความเชื่อทุก ๆ กิจกรรมของชาวอินเดีย ทุก ๆ การกระทำถือเอาเป็นทาง เป็นมรรควิถี ( The Way of Life ) ทั้งสิ้น ดังนั้นการที่เขาเลือกเป็นโจรก็เป็นมรรคในพระสูตรของเถรวาทนี้พระพุทธเจ้า สอนโจรกลุ่มหนึ่ง เพราะโจรถามว่าทำอย่างไรก๊กโจรถึงจะตั้งมั่นได้ พระพุทธเจ้าทรงตรัสสนอง เราต้องรู้ต้องเข้าใจพระพุทธเจ้าว่า ท่านไม่ใช่นักจริยธรรมอย่างเดียว ท่านเป็นผู้รู้ รู้ทางเจริญทางเสื่อมของทุกสิ่ง สาวกของพระพุทธเจ้ามีหลายอาชีพ โจรก็มี โสเภณีก็มี เมื่อโจรถามพระพุทธเจ้าว่า ก๊กโจรจะตั้งมั่นได้ด้วยธรรมอย่างไร พระพุทธเจ้าสอนว่า ประการแรกอย่าปล้นราชทรัพย์ แล้วก็อย่าข่มขืนสตรีจะเสื่อมเสียก๊กโจร อย่าปล้นใกล้ถิ่น แล้วท่านก็สอนไปเรื่อย แล้วก็มีข้อหนึ่ง ข้อสุดท้ายท่านสอนว่า เมื่อถึงเวลาอันควร ควรเลิกเป็นโจรเสีย ท่านสอนเพื่อให้เขาได้ในสิ่งที่เขาต้องการและชี้ช่องทางที่ประเสริฐกว่าด้วย ในอินเดียการเป็นโสเภณีนั้นถือเป็นมรรควิถีหรือวิถีธรรมด้วยเช่นกัน

    นางระบำคาบูกิในญี่ปุ่นเข้าถึงการตรัสรู้ในขณะที่รำฟ้อนอยู่ หรือเจ้าสำนักซามูไรอย่างมิยาโมโตะ มูซาซิ ตรัสรู้ในขณะที่กำลังจะฟาดฟันกับศัตรู

    ดังนั้นเราต้องเข้าใจว่า ธรรมนั้นคือทาง แม้สิ่งที่เรียกว่ากามสุขัลลิกานุโยคนั้น ไม่ใช่อะไรอื่นเป็นแนวคิดที่ว่าด้วยการเสพกามนี้เพื่อให้ถึงการหลุดพ้น อย่าคิดว่ากามสุขัลลิกานุโยคคือ การเสพสุขสามัญ มันเป็นทางเป็นลัทธิ พระพุทธเจ้าจึงบอกปฏิเสธกามสุขและการทรมานตนเอง คือท่านปฏิเสธแนวคิดแนวทางสุดสวิง 2 แนวในอินเดียในครั้งกระนั้น แล้วท่านเสนอแนวทางใหม่ ชาวเถรวาทถือว่าทางสายกลางป็นทางใหม่ในเมื่อชาววัชรยานถือลักษณะข้างบวก ( Positive ) โอบอุ้มไว้ทุก ๆ นิกาย แต่วัชรยานไม่ใช่กามสุขัลลิกานุโยคโดยทั่วไป

    เมื่อเราพูดถึงวัชรยานเรามักจะพูดรวม ๆ ถึง “ ตันตระ “ ที่จริงพอเราได้ยินตันตระ เราปฏิเสธทันที ถ้าเราเป็นเถรวาท นั่นเกินไป ตันตระไม่ใช่วัชรยาน ตันตระเป็นชื่อของยุคสมัยหนึ่งที่ทิศทางของมัน เนื้อหาสาระแผ่คลุมไปทุกลัทธิ ถ้าพูดให้ถูกเราต้องพูดว่าพุทธตันตระ หรือชินะตันตระหรือฮินดูตันตระจึงจะถูก

    ดังนั้นถ้าเรามองผ่านสัญลักษณ์อันนี้จะพบว่า วัชรยานไม่ใช่ลัทธิตันตระธรรมดา แต่เป็นลักษณะของตันตระแบบพุทธ และดังนั้นหนังสือที่เขียนโจมตีอย่างมีอคติเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เป็นเรื่องเสียหายแก่วัชรยาน วัชรยานรับเอาตันตระมาด้วยวินัยชั้นสูง

    ดังนั้นข้อสรุปอีกข้อหนึ่งในเบื้องต้นคือว่า วัชรยานนั้นเป็นวิธีปฏิบัติของผู้ที่พร้อมไปด้วยวินัยแล้ว คือ สมบูรณ์พร้อมไปด้วยพลังของสติ พลังของมนสิการอย่างพอเพียงและดังนั้นพลังอันนี้จะเปลี่ยนกิเลสให้เป็นโพธิ์ได้ พูดง่าย ๆ เมื่อกิเลสปรากฎและเห็นมันด้วยพลังของสติ พลังของมนสิการอย่างพอเพียง และดังนั้นพลังอันนี้จะเปลี่ยนกิเลสให้เป็นโพธิได้ พูดง่าย ๆ เมื่อกิเลสปรากฏและเห็นมันด้วยพลังของสติสมาธิ เมื่อนั้นกลับกลายเป็นปัญญาเกิดความสว่างไสวทางปัญญา ปราศจากกิเลสก็ไม่มีปัญญา กิเลสนั่นเองทำให้ได้ปัญญา

    ถ้าผมปูรากฐานแล้วก็พอฟังได้ แต่ประโยคนี้ถ้าไปพูดในวัด ถ้าไม่ปูรากฐานแล้วบอกว่า กิเลสนี่คือปัญญาคงลำบาก พระสงฆ์จะเข้าใจไม่ได้ด้วย แล้วชาวบ้านก็เข้าใจไม่ได้ว่ากิเลสมันเป็นปัญญาอย่างไร ผมกลัวว่ารากฐานจะยังไม่พอ

    ความคิดของชาวจีนในครั้งโบราณนั้นมีความเชื่อต่อพลังชีวิต ( Chi ) ซึ่งเป็นที่มาของหนังจีนกำลังภายใน ชาวจีนนี่ตัดสินทุกสิ่งทุกอย่างจากพลังชีวิต พัฒนาทุกสิ่งจากพลังชีวิต เชื่อกันว่าผู้หญิงก็ได้ผู้ชายก็ได้สามารถสะสมพลังได้มาก และกลับกลายเป็นคนพิเศษถึงระดับเซียน เซียนก็คือเทพ ถึงระดับเทพ คนคนหนึ่งสู้คนเปนร้อยได้ มีแนวคิดเบื้องหลัง เป็นการมองทุกสิ่ง การเปลี่ยนแปลงความตาย โดยผ่านทางชิ – พลังชีวิต และพลังชีวิตนั่นเองสามารถเปลี่ยนผุ้คนจากคนธรรมดาให้กลายเป็นเซียนได้ และความเชื่ออันนี้สอดคล้องกับแนวคิดของตันตระ ที่เรียกว่าทฤษฎีกุณฑลินีที่กำหนดระดับชีวิตจิตใจที่ตำแหน่งในร่างกาย เรียกจักรา คือศูนย์หรือฐานพลังภายใน คนจีนเชื่อว่าที่ตำแหน่งใต้สะดือมีเตาปฏิกรณ์พลังชีวิตเรียกว่าตันเถียน ซึ่งมนุษย์สามารถดึงพลังชีวิตขั้นตามศูนย์ต่าง ๆ แล้วแต่นิกายไหนจะบัญญัติศูนย์กี่ศูนย์ จนกระทั่งว่าพลังชีวิตนั้นขึ้นมาสู่หน้าผากหรือหลุดออกไปทางกระหม่อม ก็บรรลุถึงความเป็นเซียน และก็จะทำทุกอย่างได้ เหาะเหินเดินอากาศได้

    อย่าเพิ่งถามผมว่าจริงหรือไม่จริง เชื่อหรือไม่เชื่อนั้นเอาไว้ก่อนแต่ว่าโครงสร้างของแนวคิดนี้สำคัญนัก เชื่อว่าคนสามารถเปลี่ยนได้ จึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าเป็นขบวนการอัลเคมีของตะวันออก คือขบวนการเล่นแร่แปรธาตุ แต่ว่าเป็นขบวนการธาตุภายใน คือเมื่อสามารถเปลี่ยนธาตุในภายในแล้ว คนคนนั้นก็สามารถลอยตัว ที่เรียกว่าวิชาตัวเบา คนสามารถเปลี่ยนได้จากธรรมดาเป็นเซียนได้โดยเคลื่อนย้ายพลังชีวิตจากฐานเบื้องบน

    โยคะทั้งหลาย วิธีปฏิบัติโยคะทั้งหมดก็เพื่อที่จะเปิดท่อธารของพลังชีวิตให้เคลื่อนขึ้นสู่เบื้องบน จากจุดนี้เราจะเข้าใจพลังทางเพศได้ ถ้าเราศึกษาศาสนาอินเดีย จะรับทราบแนวคิดเรื่องการเคลื่อนย้ายจุดที่เรียกว่าจักรา จักราแปลว่าศูนย์ คล้าย ๆ เนบิวล่า ซึ่งเป็นพลังเคลื่อนอยู่ในรูปของวงแหวน ดังนั้นเขาถือกันว่าคนสามารถเคลื่อนพลังชีวิตขึ้นไปสู่จักร แล้วก็จะบรรลุถึงศิริ หมายความว่าเมื่อเคลื่อนพลังชีวิตมาถึงจักรอันใดก็จะบรรลุถึงศิรินั้น คือได้บรรลุถึงภูมิที่จะเห็นความงาม บรรลุถึงกฤษณจิตมหรือกฤษณมนัส เมื่อมาถึงจุดนี้แล้วจะสามารถเห็นองค์พระเจ้า ทั้งได้รับการประสาทพรอภิเษก ทั้งบริบูรณ์ทางปัญญาและเข้าถึงสุนทรียภาพที่เป็นทิพย์

    โครงสร้างเหล่านี้เป็นโครงสร้างที่เราจะเข้าใจวัชรยานได้ เพราะว่าวัชรยานนั้นใช้ภาพ ถังก้า ( Thanga ) คือภาพวาดของเทพต่าง ๆ เป็นเครื่องเพ่ง เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว ก็จะสามารถบรรลุถึงความงามได้ ความงามไม่ใช่เป็นสิ่งที่เห็นได้ด้วยตา แต่เป็นการบรรลุถึงด้วยระดับของพลังชีวิตเป็นสภาวธรรมหรือภูมิแห่งชีวิต

    ที่นี้ก็โยงเข้าสู่ทฤษฎีสุนทรียภาพ สุนทรียภาพที่เรารู้จักนั้นเป็นเรื่องของทางตะวันตกทั้งสิ้น ถ้าทางตะวันออกแล้ว ความงามเป็นเรื่องที่เราจะต้องเข้าถึง ดังนั้นภูมิที่เห็นความงามนั้นเป็นภูมิที่สร้างสรรค์ศิลปศาสตร์นั่นหมายความว่า ฐานของพลังนี้เคลื่อนถึงจุดหนึ่งนั้น บุคคลจะกลายเป็นศิลปินหรือกวี โดยไม่ต้องผ่านสถาบันการศึกษาใดๆ ก็ได้ ความเชื่อเช่นนี้นับว่าเราไม่ค่อยคุ้นมากนัก ความเชื่อเหล่านี้เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ยุคไบเซนไทน์ ในยุโรป สมัยไบเซนไทน์เชื่อกันว่าศิลปิน ศิลปะเป็นเรื่องของพรสวรรค์ พระผุ้เป็นเจ้าบันดาลให้เขากลายเป็นศิลปิน หรือนักกฎหมายหรือผุ้นำ ในแวดวงศิลปะนั้น ศิลปะเป็นเพียงของขวัญหรือพรจากพระเจ้าหรือเรียกว่า พรสวรรค์ แต่ว่าเมื่อถึงยุค Renaissance สามยักษ์ใหญ่ ลีโอนาโด ดาวินชี , ราฟาเอล และไม่เคิ แองเจโล ได้ทำให้ศิลปะ , ศิลปินกลายเป็นเรื่องของสถาบัน เป็นการเรียนผ่านทางระบบ และเป็นเป็นพลังความสามารถแสวงหาเอาได้ด้วยตัณหา มานะ และความทะยานอยาก คือเขาเชื่อว่าเขาจะฝึกคนให้เป็นศิลปินได้ สองช่วงนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในยุโรป ในแวดวงของศิลปะและศิลปิน ส่วนทางตะวันออกมีความเชื่อเช่นเดียวกับสมัยไบเซนไทน์ ดังนั้นผุ้คนที่เข้าถึงความเป็นศิลปินต้องภาวนา เพื่อให้พ่ลังชีวิตเคลื่อนถึงภูมิหนึ่งที่บรรละถึงภูมิแห่งการเห็นความงาม ที่จริงในพระไตรปิฎกฝ่ายเถรวาทก็มีครบ พระสูตรนี้ชื่อว่าอภิภายตนะ ว่าด้วยการครอบงำอายตนะเพื่อเข้าถึงวิโมกข์ เมื่อบุคคลสามารถครอบงำอายตนะแล้วสามารถเห็นความงามได้ หมวดนี้เรียกว่าหมวดวิโมกข์ การหลุดออกจากอันหนึ่งโดยสร้างสถานการณ์ใหม่ขึ้นข่ม

    เมื่อได้เข้าใจที่มาภูมิหลังวัชรยาน สัญลักษณ์ต่าง ๆ ทฤษฎีกุณฑลินี ตันเถียน ผมเชื่อว่าสิ่งนี้จะโยงไปถึงวิชาอัลเคมีในอียิปต์ด้วย เราพบว่ากุณฑลินีนั้นมีความเชื่อซึ่งแสดงด้วยสัญลักษณ์ว่า ในร่างกายของคนที่เบื้องล่างสุดของกระดูกสันหลังมีงูอยู่ตัวหนึ่งที่ชื่อว่า กุณฑลินี งูตัวนั้นนิ่งอยู่ งูตัวนั้นเป็นสัญลักษณ์ของพลังจักรวาล เมื่อใดทำถูกวิธีเข้า งูตัวนั้นจะแผ่พังพานผงาดขึ้นเบื้องบน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการบานขึ้น เป็นรหัสแห่งการรู้แจ้งแทงตลอดสภาวะ ผมเชื่อว่าจะโยงถึงอียิปต์โบราณ เพราะว่าอียิปต์ก็มีความเชื่อเช่นนี้อยู่ด้วย งูสองตัวที่พันคบเพลิงเป็นสัญลักษณ์ของกรมการแพทย์นั้น เป็นพ่อลูกกัน ชื่อนินาซูกับนินิซิดา เกี่ยวพันกันมากกับการรักษาโรค จีนเชื่อว่าโรคเกิดจากพลังชีวิตอับเฉา คนที่ป่วยเพราะพลังชีวิตนี้อ่อนแอ การฟื้นฟูพลังชีวิตคือการบำบัด

    ถ้าเราเพ่งมองมาที่นี่ เรารู้ว่าการบรรลุภูมิธรรมนั้นไม่ใช่เรื่องทางจริยธรรม โปรดตราสิ่งนี้ไว้ด้วย การบรรลุธรรมเป็นการเปลี่ยนแปลงขบวนการเคมีชีวภาพ ไม่ใช่การบรรลุถึงความคิดทางจริยธรรม เช่นว่า คนเป็นคนดี เช่นความกตัญญูรู้คุณคนก็เชื่อกันว่าเป็นคุณธรรม ความกตัญญูนั้นไม่เป็นหนึ่งในบารมี นั่นหมายความว่า เอาความกตัญญูมาปฏิบัติโลกุตรธรรมไม่ได้ แต่ว่าความกตัญญูเป็นสิ่งที่ดีในทางจริยธรรม บามีนั้นเป็นเร่องกระทำให้ถึงฝั่งและเป็นองค์คุณใหญ่หลวง การเปลี่ยนแปลงที่บารมีเป็นการเปลี่ยนแปลงที่มูลฐานของชีวิต

    ดังนั้นในพระสูตรของเถรวาทจึงบอกไว้ว่า เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงนั้น ความร้อนในกายจะลดลง ระบบหายใจจะเปลี่ยนไป อันนี้ผมชี้ให้เห็นข้อต่างระหว่างการเปลี่ยนแปลงทางจริยธรรมกับการบรรลุธรรม เช่น แต่ก่อนเคยเป็นเด็กขี้เกียจ เป็นคนอกตัญญู เดี๋ยวนี้กตัญญูรู้คุณคนขึ้นเป็นคนเรียบร้อย สุภาพ รู้ที่สูงที่ต่ำ อันนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงทางจริยธรรมซึ่งเรียนกันได้ และก็สอนกันได้ด้วย สอนให้เป็นเด็กดีก็ดี ดีเท่าที่จะดีได้และทั้งสามารถเสแสร้งทำท่าทีเป็นคนดีคนซื่อเพื่อหลอกลวงกัน ได้ด้วย แต่ว่าเรื่องของสัจธรรมหรือโลกุตรธรรมนี้ไม่ใช่อันนี้ เรื่องโลกุตรธรรมนั้นเป็นเรื่องกระทำจำเพาะเนื่องด้วยสิ่งที่เรียกว่าบารมี บารมีเป็นองค์คุณใหญ่เพื่ออนุเคราะห์โลก เป็นกิจกรรมจำเพาะเพื่อสิ่งนั้น ๆ

    หลักของวัชรยานต่อการวินิจฉัยโลกทั้งหมดนั้น ที่จริงคือหลักอุปนิษัทที่ว่าโลก ปรากฏการณ์ชีวิตทั้งหมดเป็นดุจห้วงของความฝัน ขันธ์ 5 เป็นดุจมายาและความฝัน ตัวสภาวะของชีวิตเป็นช่วงที่เรียกว่า Dreamtime ถือว่าชีวิตเป็น Dreamtime ที่จริงสอดคล้องกันมากกับคำสอนของพระพุทธเจ้าและหลักอุปนิษัทที่ว่า ชีวิตเป็นห้วงแห่งความฝัน ขันธ์ 5 นั้นเป็นห้วงแห่งความฝัน ทีนี้เมื่อจะปฏิบัติธรรมมันก็เลยฝันซ้อนฝัน มีประการเดียวเท่านั้นคือต้องตื่นอะไรก็ได้ที่ช่วยให้ตื่น นั่นคือความรับผิดชอบ

    ทบทวนใหม่นะครับ หลักวัชรยานนี้ที่จริงเป็นหลักแก่นแท้ ๆ พูดไปแล้ว แต่ก็ได้รวบรวมความเชื่อของหลักอุปนิษัทและขบวนการเคมีชีวภาพหมดสิ้น ลักษณะบางลักษณะเช่นเรื่องกามารมณ์ ที่จริงเป็นเรื่องเคมีชีวะเพราะขบวนการของกามารมณ์ เป็นขบวนการเปลี่ยนแปลงของเคมีชีวภาพจากการสัมผัส ในหลักของวัชรยานที่ว่าชีวิตเป็นดังห้วงความฝัน พระสูตรที่สำคัญของมหายานเช่น ปรัชญาปารมิตาก็ดี หรือหลาย ๆ สูตรของเราก็มี ในสูตรของเถรวาทสูตรหนึ่งบอกว่า รูปดุจดังฟองน้ำ เวทนาดุจดังน้ำค้าง ( ต่อมน้ำ ) สัญญาดุจดังพยับแดด สังขารดุจกาบกล้วย วิญญาณดุจมายากล

    เมื่อวินิจฉัยถึงคำว่ามายา ผมอยากจะแก้ข้อข้องใจบางอย่างเพราะศัพท์ภาษาไทยที่เรานำมาจากภาษาบาลี สันสกฤตไปใช้ เราใช้ในความหมายของอีกอันหนึ่ง ซึ่งไม่ตรงตามนิรุกตินั้น ๆ เช่นคำว่ามายาของเราถือว่าหลอกลวงหรือมารยา ที่จริงมายานั้นไม่ใช่หลอกลวง มันเป็นอย่างนั้นเอง

    คำว่ามายาหรือมยกังนั้นโดยรากศัพท์มันจะตรงกับคำ Magical ดังนั้นไม่ได้หมายถึงมันหลอกลวง คือมันเป็นดุจ Magic มันเป็นอยู่อย่างนั้น และอีกความหมายหนึ่งแปลว่า งามอย่างน่าพิศวงก็ได้ สมมติว่าเราไปในทะเลทรายหรือถนนในฤดูร้อนก็จะมีภาพปรากฎขึ้นเหมือนกับแอ่ง น้ำบนถนนที่ร้อน แต่ว่าเมื่อเราเข้าไปใกล้มันจริง ๆ เข้าไปที่ศูนย์ไส้ ศูนย์กลางจริง ๆ มันไม่มีอย่างนั้น แต่พอกลับมายืนที่จุดนั้น ๆ ก็จะปรากฎอีกแล้ว มันไม่ได้หลอกลวงเรา แต่มันเป็นอย่างนั้นเอง เรียกว่าอัศจรรย์มาก ๆ นี่คือคำว่ามายา ดังนั้นมันเป็นอยู่1อย่างนี้สภาวะที่ว่าขันธ์ 5 เป็นมายา ดังนั้นมันเป็นอยู่อย่างนี้ สภาวะที่ว่าขันธ์ 5 เป็นมายา เป็นดุจห้วงของความฝัน ปัญหามันอยู่ที่ว่าเมื่อเราไม่เข้าถึงศูนย์กลางมัน มันก็หลอกให้เท่านั้นเอง หลอกว่าเป็นจริง เราไม่รู้ เราเห็นแอ่งน้ำ เราคิดว่ามีจริง ๆ หรือว่าคนเล่นกลให้เราคิดว่าจริง แต่ว่าถ้าเราเป็นคนเล่นเอง หรือว่าเราเข้าถึงความเป็นผู้เล่นเกมส์อันนั้น เราจะรู้ว่าเรื่องนี้มีความจริงอยู่อย่างไร ดังนั้นมายาไม่ใช่ว่าไม่จริง แล้วก็ไม่ใช่จริงด้วย เรียกว่ามันเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้น ถ้าไม่รู้มัน มันก็หลอกให้ เมื่อรู้มัน มันก็เปิดเผยความจริงให้

    ทีนี้ขันธ์ 5 เป็นดุจดังห้วงฝันดุจมายาคืออันนี้เอง ข้อปฏิบัติที่ฝ่ายเถรวาทถือว่าขันธ์ 5 ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา พระนิพพานเป็นเป้าหมาย ดังนั้นพยายามจะแยกสังสารวัฏออกจากพระนิพพาน อันนี้วัชรยานหรือมหายานถือว่าเป็นวิกัลปะ เป็นเรื่องเพี้ยนไปเท่านั้นเอง เพราะว่าเมื่อคนติดอยู่ในห้วงสังสารวัฎแล้ว ไม่รู้จักสังสารวัฏตามที่เป็นจริง ก็จะสร้างพระนิพพานขึ้นมา แล้วพยายามที่จะหลุดพ้นจากสังสารวัฏ เพื่อเข้าสู่พระนิพพานและนั่นก็คือความฝัน ฝันซ้อนอยู่ในความฝันนั่นเอง เปรียบประดุจคนขาเสียก็ฝันถึงขาดี ดังนั้นในความฝันนั้นเป็นการไม่รุ้จักตื่นเอาทีเดียววัชรยานถือว่าอาการเช่น นี้เปนวิกัลปะ เป็นเรื่องวิปลาสไป ที่สอนกันเรื่องพระนิพพาน สอนให้หนีสังสารวัฏเช่นนี้

    แต่ว่าการวนเวียนในสังสารวัฏ โดยไม่ตื่นก็ไม่ใช่เนื้อหาของวัชรยานหรือมหายานด้วย วัชรยานเป็นนิกายที่พัฒนาขึ้นในกลุ่มมหายาน ดังนั้นแทนที่จะหนีสังสารวัฏ เพื่อบรรลุพระนิพพาน คติของวัชรยานก็คือต้องประจักษ์แจ้งสังสารวัฏ จุดนี้ผมกำลังนำเข้าสู่เนื้อหาแล้วที่ว่า แทนที่จะเข้าสู่พระนิพพาน จะต้องประจักษ์แจ้งสังสารวัฏ เพราะว่าเมื่อเข้าสู่ใจกลางขันธ์ 5 แล้ว ก็จะประจักษ์ต่อความจริงได้ พูดอีกทีว่าความจริงนี้ไม่เคยเข้าสู่สำนึกของมนุษย์ได้เลย เพราะว่ามนุษย์นั้นตกอยู่ในห้วงของความฝันเปรียบประดุจคนเมาจะพูดถึงภาวะปกติที่ไม่เมาให้ฟังนั้น ก็ย่อมเข้าใจภาวะไม่เมาโดยความมอมเมาอย่างนั้น

    พุทธศาสนามองชีวิตเป็นขณะ ดังภาษิตที่ว่า “ ขโณ มาโว อุปัจจคา “ อย่าล่วงขณะเสียเลย ล่วงขณะหนึ่งแล้วก็จะยัดเยียดลงในนรก หมายถึงการปฏิบัติต้องมาถึงจุดที่สอดคล้องกับพลวัตของจักรวาล คำว่า “ ขณะ “ ของพุทธศาสนาเราใช้คำว่า “ ขณะจิต “ เราไม่ได้พูดขณะที่แปลว่าครู่หนึ่ง ยามหนึ่ง พักหนึ่ง ขณะจิตหนึ่งนี้สั้นเท่าใดไม่มีใครรุ้ จนกว่าสติจะทันท่วงที

    ดังนั้นเองฐานที่สำคัญของวัชรยาน ก็เพื่อที่จะชำแรกให้พ้นจากความไม่รู้และก็ตื่นขึ้นในห้วงของความฝัน ส่วนความคิดที่ว่ามีพระนิพพานเป็นจุดที่สมบูรณ์ที่สุดนั้น นี่เป็นอุดมคติ มนุษย์จะเอามโนคติมาเป็นตัวตนอยู่เรื่อย ทั้ง ๆ ที่ตัวเองหรือตัวตนนั้นอยู่เหนืออุดมคติโดยประการทั้งปวง แต่ว่าเมื่อมนุษย์ไขว่คว้าเอามโนคติมาเป็นตัวเอง เช่น เที่ยวคิดว่าตัวเองเป็นนั้นตัวเองเป็นนี่ แม้ตัวเองเป็นผู้หญิงเป็นผู้ชาย ถ้าคิดว่าเราเป็นคนก็หมายว่าเราเป็นคนที่ดีนั่นเป็นธรรมดา ฉันเป็นผู้หญิง ก็หมายความว่าฉันต้องเป็นผู้หญิงตามแบบฉบับของผู้หญิง ในความหมายเช่นนี้ เมื่อมนุษย์มีชีวิตอยู่เช่นนี้ นั่นคือความงมงาย

    แต่สิ่งสำคัญกว่านั้นก็คือว่า ตนซึ่งอยู่นอกเหนืออุดมคตินั้นกลับไม่ถูกรู้ถูกเห็น หรือกลับเห็นไปอย่างผิดเพี้ยนว่าการไร้อุดมคตินั้นเป็นการตกต่ำ ที่จริงการไร้อุดมคติและการอยู่เหนืออุดมคติคนละอัน คือตัวเรานี่อยู่เหนืออุดมคติโดยประการทั้งปวง คือเราจะสร้างตัวเราขึ้นไม่ได้ ตัวเรานี่ว่าโดยหลักของวัชรยานแล้ว ตัวเรานี่เป็นสภาพพ้นอยู่แล้ว แต่พลังของสติที่จะเข้าไปรู้นี้ไม่เพียงพอ ปัญหาอยู่ที่ว่า ทุกคนมีธรรมชาติแห่งความเป็นพระพุทธเจ้าอยู่เรียบร้อยแล้ว ถ้าพูดโดยเค้าของมหายานว่าชีวิตก็คือพุทธะ พุทธะย่อมหมายถึงความสมบูรณ์ ซึ่งอันที่จริงสอดคล้องกับหลักคิดของอุปนิษัทที่ว่า มนุษย์นี้เป็นพรหมอยู่แล้ว ทีนี้ก็เมื่อจะรู้ให้ประจักษ์ จริง ๆ แล้วต้องปลุกพลังสติขึ้นให้พอเพียง ซึ่งหมายถึงพลังศักติ ศักติเข้าไปคลุกคลีส้องเสพกับสภาพสูงสุด จึงจะสามารถตื่นได้

    ในเมื่อทุก ๆ คนคือพุทธะ หรือทุก ๆ คนมีธรรมชาติที่จะเบ่งบานเป็นพุทธได้อยู่เรียบร้อยแล้ว การมองหานอกตัวก็ดี ความเชื่อที่นอกระบบอันนี้ก็ดี ถือเป็นการผิดพลาด เป็นการฝันเฟื่องไปเท่านั้นเอง รวมไปถึงความพยายามที่จะหลุดพ้นด้วย ความพยายามใดที่จะหลุดพ้นแสดงว่าเป็นทาสของความพยายามที่ผิด ๆ วัชรยานไปไกลมาก ในขณะที่มหายานนั้นเชื่อแต่เพียงว่ามนุษย์มีธรรมชาติแห่งความเป็นพุทธะ แต่วัชรยานเห็นว่าทุกคนคือพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว และความพยายามจะหลุดพ้นเป็นความโง่เปล่า ๆ

    ดังนั้นจะต้องเป็นการตื่นขึ้นในตัวเองอย่างสมบูรณ์เท่านั้น เป็นการบรรลุถึงความไม่มีอะไรให้บรรลุถึง เป็นเพียงความแจ่มแจ้งหมดจดสิ้นเชิงเท่านั้น

    เมื่อครู่ผมคุยกับอาจารย์ทวีวัฒน์ ที่ว่า เรื่องฉัพพรรณรังสีก็ดี หรืออะไรก็ดี ปัจจุบันเป็นเรื่องพิสูจน์ทางวิชาการแล้วว่า เมื่อมนุษย์อารมณ์เปลี่ยนไป มันจะเปล่งรังสีชนิดหนึ่งออกมา เช่น ความริษยาเป็นสีหนึ่ง ความโกรธเป็นสีหนึ่ง ดังนั้นฉัพพรรณรังสีก็ดี สีที่ใช้ในศิลปะของทิเบตก็ดี มีความหมายทั้งสิ้น ถ้าของจีนผมพอจะจับเค้าได้ ถ้าของทิเบตต้องสารภาพว่ายังไม่ได้ศึกษา จีนถ้าสีเขียวหมายถึงตัณหา อ่านหนังสือ ไซอิ๋ว ดูนะครับที่จริง ไซอิ๋ว เป็นการเลียนเรื่องรามายณะ จีนแต่งเป็นสัญลักษณ์ทางธรรม ถ้าเจอปีศาจหน้าเขียวแปลว่ากามราคะ ปีศาจบางตัวสีดำ บางตัวสีแดง ซึ่งเป็นที่มาของสีงิ้วทุกวันนี้ ผมไปถามนักปราชญ์จีนที่ยังมีชีวิตอยู่ในเมืองไทยกลับไม่รู้เสียแล้ว ผมอยากจะรู้แต่ท่านบอกไม่มีความหมายซึ่งผมไม่เชื่อ สีเหล่าเป็นสัญลักษณ์ของการอธิบายสภาวะ

    ในภาพเขียนทิเบตที่เรียก “ ถังก้า “ จะมีอยู่สองประเภท ประเภทหนึ่งสวยสดงดงามมีลักษณะเป็นทิพย์ ( Divine ) สูง เพื่อให้เพ่งพร้อม ๆ กับมนตรา “ โอมมณีปัทเมฮูม “ อีกประเภทหนึ่งนั้นดูแล้วดุดัน มีพลวัตสูงรุนแรงและภาพโดดเด่นคือ “ ยับ-ยุม “ ภาพอวโลกิเตศวรกำลังเสพเมถุนกับศักติอย่างดื่มด่ำ ศักติที่รู้จักกันแพร่หลายมาก คือตาราวสุนทรา ตารานี่เป้นสัญลักษณ์ของพลังที่จะมาประกอบกันเข้าแล้วก็กระทำความสมบูรณ์ให้ เกิดขึ้นให้ปรากฎ (สัญลักษณ์ที่เห็นตามวิหารขอมต่างๆ ที่จะมีรูปชายหญิง เสพเมถุน หมายถึง การรวมเป็นหนึ่งของพลังในร่างกาย ขั้วลบ และขั้วบวก-จขกท)

    ภาพบางชนิดของทิเบตทำเป็นรูปหัวกระโหลกและก็มีเลือดอยุ่ในนั้นแล้วพระ โพธิสัตว์กำลังกินเลือด ดูแล้วน่าขยะแขยง แต่ว่าโดยความหมายแล้วก็ถือกันว่าจะเข้าถึงการตรัสรู้ที่สมบูรณ์ได้นั้น ชีวิตต้องมาถึงจุดของความตาย ราคาของชีวิตต้องเสมอตาย จุดใดระดับใดที่ทำให้บุคคลปฏิญาณตัวเองได้ว่าเป็น่ชาววัชรยานอย่างสมบูรณ์ ทุกวันนี้ที่เป็นอาจารย์ชาววัชรยานที่ลือลั่นมีชื่อเสียงมากคือ โชกยาง ตรุงปะ ผมไม่เคยเจอตัวแต่เคยฟังเทศน์ ท่านเคยเป็นลามะที่สำคัญองค์หนึ่ง เป็นสหชาติขององค์ดาไลลามะ ที่เรียกว่า รินโปเช่ ต่อมาไปสหรัฐ ฯ แล้วก็แต่งงาน ตั้งสถาบันนโรปะขึ้น ในวันเปิดงานนั้นตรุงปะก็ดื่มเหล้าเมาตกเก้าอี้ มีคนนับถือมาก ผมว่ามีสานุศิษย์คิดว่าเป็นแสน ทำไม ก็โยงกลับไปสู่ลัทธิศักติครับ หรือตันตระทีว่า ตันตระถือว่าปลุกพลังชีวิตให้ตื่น ไม่ใช่พลังเพศอย่างเดียว พลังเพศเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น

    สำหรับตันตระมีหลัก 5 ประการ คือการเสพมัจฉา มังสะ เมรยะ เมถุน และข้าวสาลี กินเหล้าดื่มสุราเพื่อปลุกพลังชีวิตให้ตื่นตัวขึ้นให้มีพลังขึ้น เป็นเพียงพลังหนึ่ง แล้วก็กินเนื้อ กินปลา แล้วก็กินข้าวสาลีอย่างดี คือให้อาหารเหล่านั้นเข้าไปเป็นพลัง ( Energy ) เพื่อทำให้ชีวิตมี “ ไฟ “ สูง ชาวตันตระนอกเหนือเวลาปฏิบัติแล้ว เป็นผู้มีระเบียบวินัยชั้นสูง ดังนั้นอาการที่มีพลัง ยุ่งกับพลังต่าง ๆ เหล่านี้ไม่ใช่ความเหลวแหลก แต่ว่าข่าวสารที่เราทราบนั้น กระทำให้บุคคลเหล่านั้นเหลวแหลกทั้งสิ้น ซึ่งเป็นการโจมตีที่อคติมาก ๆ เท่าที่ผมทราบ ชาววัชรยานตันตระนั้น เป็นผู้ที่มีระเบียบวินัยชั้นสูง ควบคุมตัวเองได้อย่างดี มีพลังสติสมปฤดี มีพลังสุตะสูงส่ง พลังเหล่านี้คือ สุตพละ สติพละ ปัญญาพละสูง ต่อแต่นั้นก็คือ การปฏิบัติวัชรยานเพื่อให้เกิดญาณสายฟ้า

    วัชรแปลว่า เพชรหรือวิเชียร เชื่อกันว่าวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้นั้น พระพุทธเจ้าไม่รู้อะไรมาล่วงหน้า และอาการไม่รู้อะไรเลยอันยิ่งใหญ่นั่นเอง เป็นสถานะที่คาดไม่ถึง ก็ตื่นในขณะนั้น การตรัสรู้นั้นเป็นไปอย่างฉับพลันทันใด โดยไม่มีการรู้ล่วงหน้ามาก่อน ดังนั้นสาระสำคัญที่สุดของวัชรยานก็คือ ญาณสายฟ้าแลบ (เป็นสภาวะ ที่กฤษณะมูรติกล่าวไว้ว่า ฉันรู้แล้ว ฉันเข้าใจแล้ว -จขกท)


    ดังนั้นเราคงพอจะเห็นเค้าว่า การใช้พลังทางเพศก็ดี กินเนื้อก็ดี ดื่มสุราก็ดี ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้นมีเป้าหมายสำคัญคือการทำให้เกิดวัชรญาณความรุ้แจ้งอย่างฉับพลันและหลุดพ้นอย่างสิ้นเชิง (หลุดพ้นจากการยึดติด หลุดพ้นจากการครอบงำ-จกขท)


    ดังนั้นจึงไม่ใช่การกระทำซึ่งเหยาะแหยะ ชาวตันตรวัชรยานจึงพูดกันว่า สิ่งนี้ไม่เป็นสาธารณะต่อผู้ที่ขาดสติ ดังนั้นสายนี้จึงเรียกตัวเองว่า สายกระซิบความหูต่อหู ( Whispering Line ) เป็นการกระซิบตัวต่อตัวเท่านั้น ไม่ใช่การสอนในที่สาธารณะ ซึ่งผู้ไม่มีพลังพอเพียงก็จะถูกทำลายย่อยยับ

    สายของวัชรยานองค์ที่เด่น ๆ ในอดีตก็คือ มิลาเรปะ ติโลปะ นโรปะ กัมโบปะ บุคคลเหล่านี้ดูไปทั่วๆ ไปแล้วเป็นผู้ซึงถ่ายทอดวิธีการจำเพาะตัวออกมา เรียก Whispering Line โยเฉพาะกัมโบปะ ซึงเป็นภิกษุที่เป็นเยี่ยมทางการศึกษา มิลาเรปะ ทดสอบถึงกับเอาเท้าตั้งบนหัวในวันที่กัมโบปะ ซึ่งเป็นภิกษุ จะมาเรียนธรรมะ ซึ่งปรากฎว่ากัมโบปะภิกษุนั้นไม่ได้รังเกียจอาจารย์ตัวเอง ซึ่งเป็นเพียงโยคี ไม่ได้บวชพระ

    ทีนี้ก็มาถึงหลักในการดำรงจิตในการปฏิบัติของวัชรยาน ส่วนนี้ผมถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุด กล่าวได้ว่านี่เองคือสาระในการปฏิบัติ เรียกกันว่า มนสิการ 4 มนสิการ 4 นั้น เป็นการดำรงจิตไว้ในฐานะที่จะก่อเกิดวัชรญาณ และก็เมื่อดำรงจิตไว้ในฐานทัง 4 นี้ได้แล้ว กิเลสตัณหาจะกลับเป็นเครื่องเร้าให้ถึงที่สุดได้

    เมื่อกี้ผมได้ปาฐกถาแล้วว่า กิเลสตัณหาไม่ใช่อะไรอื่น แท้จริงเป็นรูปหนึ่งของปัญญา แต่ว่าพลังไม่พอ มันก็จะทำลายเอา เมื่อกิเลสปรากฎขึ้นในจิตใจมนุษย์ เกิดฟั่นเฟือนทางสติทันที ต่อจากนั้นก็คือการยึดถือความทุกข์ทรมานต่าง ๆ แต่ถ้าหากกิเลสสัมผัส ในขณะที่กิเลสสัมผัสมีความไม่ฟั่นเฟือน มีความตั้งมั่นของสติ มีสมปฤดี มีเจตนารมย์บริสุทธิ์มีเจตนาที่ผ่องแผ้ว มีศรัทธาอันไม่โยกคลอนอีกแล้วต่อทางของการตรัสรู้ในขณะเช่นนั้นเอง พลังของสติสมปฤดีนั้นก็จะทวีขึ้นตามพลังของกิเลส กิเลสมาก กิเลสลึก ปัญญาก็จะมาก ปัญญาก็จะลึก

    ดังนั้นปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงกิเลส เพราะว่าตามธรรดานี่ ไม่ว่าชาววัชรยาน ชาวทิเบต ชาวเซ็น ก็มีกิเลสกันอยู่แล้ว พูดง่าย ๆ ว่าคนทั่วไปก็ร่วมเพศกันอยู่แล้ว พูดตรง ๆ นะ เพียงแต่ว่ามนุษย์ ไม่รู้จักใช้พลังอันนั้นให้ก่อเกิดประโยชน์ทางศาสนธรรม

    ทีนี้พอได้ยินว่าเอาเรื่องเมถุนมาเป็นทางของการปฏิบัติ ก็กลับไม่ชอบไม่พอใจ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ร่วมกันอยู่แล้ว ก็เป็นกันอยู่แล้ว แต่ว่าไม่เข้าใจต่อขบวนการเหล่านี้ ไม่มีเจตนาบริสุทธิ์ต่อธรรมะ ไม่มีความมุ่งมั่น ไม่ศรัทธาต่อทางของความหลุดรอดและข้อสำคัญคือ ไม่มีพลังของสติพอเพียงที่จะเดินผ่านสิ่งเหล่านี้อย่างอิสระและดังนั้นเอง จึงเป็นการปฏิบัติการที่หนีกิเลส การที่เราหลบเลี่ยงกิเลสไปโดยที่เราไม่สามารถเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ นั่นคือ เมื่อมันหวนกลับมาใหม่ก็ทวีขึ้น

    แต่วิธีการของวัชรยานคือการเข้าไปสัมผัสกับกิเลส ราคะก็ดี โทสะก็ดี โมหะก็ดี กิเลสชนิดหนึ่งชนิดใดที่ปรากฏขึ้นเมื่อเข้าไปสัมผัสมัน เป็นอันเดียวกับมัน เมื่อเป็นเช่นนี้พลังของสติปัญญาจะดูดพิษร้ายออกมาได้

    เมื่อกิเลสเข้ามามันก็ไม่ปัญญาแล้วคนมีกิเลสหนา ก็คือคนโง่ คนมีตัณหาก็คือคนที่ใช้ไม่ได้ คนหลง แต่ระบบตรรกะที่ผมกำลังใช้อยู่ขณะนี้เป็นอีกระบบหนึ่ง หมายความว่าเมื่อมีสติสมปฤดี เมื่อกิเลสเข้ามาสัมผัส ความไม่ฟั่นเฟือน ความตั้งมั่น สมาธิ เจตนาที่ดี ความเข้าใจที่ถ่องแท้และพอเพียง ก็สามารถทำให้กิเลสถูกดูดพิษร้ายออกได้ ไม่กลายเป็นปัญหาอีก เมื่อไม่เป็นปัญหาพลังก็เสริมสร้าง ดังนั้นกิเลสนั่นเอง ที่กลับกลายเป็นปัญญา ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับมนสิการ 4

    มนสิการ 4 คืออะไร ฐานของสติฐานแรกคือ มีสติอยู่บนฐานบนนิเวศน์แห่งใจ สติกลับไปสู่ใจได้แล้ว คือรู้จักใจแล้ว รู้ว่าใจอยู่ที่ไหนซึ่งคนธรรมดาทั่วไปไม่รู้ ดังนั้นฐานแรกนี้เป็นฐานที่สำคัญมาก คือต้องบรรลุถึงฐานแรกก่อนหรือมโนนิเวศน์ กลับเข้าในนิเวศน์แห่งมโนได้แล้ว มนสิการอยู่ที่นี่แล้ว อะไรจะเข้ามากระทบสัมผัสก็ล้วนแต่ก่อเกิดสติปัญญาทั้งสิ้น คล้าย ๆ กับมันรู้เสียแล้ว อะไรเข้ามากระทบมันยิ่งรู้ยิ่งขึ้น

    ถ้ายังไม่ รู้ อะไรเข้ามากระทบมันก็ยิ่งไม่รู้ยิ่งขึ้น คล้าย ๆ นักมวยชกชิงแชมป์กัน พอเจอหมัดสักหมัดเดียวเมาติดหมัดเลย แล้วจะงงเมื่องงก็ถูกต่อย เมื่อถูกต่อยก็ยิ่งงงยิ่งขึ้น ในที่สุดก็ทรุด ในฝ่ายผู้ต่อยนั้นตรงข้าม เมื่อต่อยไปที่คางคู่ต่อยได้แล้ว หมัดแรง ๆ ก็ยิ่งตามเป็นชุด ๆ ยิ่งขึ้น อันนี้ผมเปรียบเทียบเท่านั้น

    ฐานแรกนี่สำคัญมาก ผู้ที่ไม่ผ่านการพัฒนาตามลำดับย่อมฟั่นเฟือนได้ง่าย ดังนั้นข้อคิดที่ว่า แรกควรสมทานหินยานจิต ต่อมามหายาน ต่อมาวัชรยานนั้น ใช้ได้ทีเดียว ผมคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญมากที่ต้องพัฒนาสมปฤดีมาตามลำดับ รักษาศีล มีระเบียบวินัยมาตามลำดับ วัชรยานไม่ใช่เรื่องศีลเรื่องวินัยภายนอก แต่เป็นเรื่องศีลวินัยภายใน ซึ่งขึ้นกับเจตนาและสติปัญญาชั้นสูง

    ฐานที่สอง คำว่าฐานในที่นี้หมายถึงว่ามีสติอยุ่บนฐานทั้งสี่นี้วนเวียนเปลี่ยนแปร ซึ่งใช้ได้ทั้งนั้น ฐานที่สอง คือ มีสติมนสิการอยู่ในขณะที่ยังมีถ้อยคำอยู่ข้างใน มีวาจาอยู่ข้างใน ถ้าพูดอีกภาษาหนึ่งคือเห็นความคิด หรือภาษาเถรวาทเรียกว่า สมาธิในระดับวิตกวิจาร คือยังมีวิตกวิจารอยู่ นี่คือฐานที่สอง

    ฐานที่สามนั้น ไม่มีคำพูด ไม่มีภาษาในภายใน ไม่มีวิตกวิจาร ดังนั้นเป็นความเงียบเชียบของหัวใจ ภายใต้ฐานอันนี้กิเลส ตัณหา ราคะ ที่เข้ามาแปรเปลี่ยนเป็นพลังที่บริสุทธิ์หมดสิ้น ความเงียบในหัวใจหมายถึงอะไร ความเงียบที่เราได้ยินทางหู เสียงแอร์คอนดิชั่น เสียงนกหรือเสียงผมพูด ถ้าผมไม่พูดก็เงียบไปนี่ไม่ใช่ นี่มันเงียบเพราะเราฟังด้วยหู แต่ความเงียบที่หัวใจนี่ไม่ใช่อันนั้น เพราะสิ้นวิตกวิจารคือปราศจากเรื่องราวใด ๆ หรือความคิดอยู่ห่างหายแผ่วเบา เรียกว่าวิเวกก็เรียก เรียกว่าจิตนั้นไปแล้วสู่วิเวก

    ดังนั้นที่ฐานนี้เองไม่มีความทรงจำเรื่องอัตตา ไม่มีมโนคติ เรื่องอัตตาใหญ่ ไม่มีเรื่องนิพพาน ไม่มีเรื่องสังสารวัฏ ไม่มีมโนคติเรื่องอัตตาใหญ่ ไม่มีเรื่องนิพพาน ไม่มีเรื่อสังสารวัฏ ไม่มีเรื่องความดี ความชั่ว ไม่มีเรื่องอดีต ไม่มีเรื่องอนาคต นี่คือฐานที่สาม

    ฐานที่สี่เป็นฐานที่สำคัญที่สุด ตรงนี้เองที่เป็นจุดที่วัชรยานถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งชาวเถรวาทมักเอามาพูดกัน สิ่งที่เรียกว่าสักแต่รู้ สักแต่เห็น สักแต่เป็น แต่ว่านั่นเป็นผล ตาเห็นรูป สักแต่ว่าเห็น หูได้ยินเสียงสักแต่ว่าได้ยิน ไม่ยินดียินร้าย จิตรู้ธรรมารมณ์ไม่ยินดียินร้าย แต่เราพูดกันในฐานะที่มันเป็นผล โดยประโยคนี้เองที่พระพาหิยะเข้าถึงการตรัสรู้ ท่านจับข้อเท้าพระพุทธเจ้าอยู่ ถามว่าปฏิบัติธรรมที่สุดนั้นทำอย่างไร พระพุทธเจ้าปฏิเสธ 2 ครั้ง เพราะที่ไม่เหมาะที่จะสอน แต่พระพาหิยะจับข้อเท้าพระพุทธเจ้าคล้าย ๆ อยากรู้ให้ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นพระพุทธเจ้าก็พูดโดยย่อ “ ดูก่อนพาหิยะ เมื่อตาเห็นรูป สักแต่เห็น หูได้ยินเสียง สักแต่ได้ยิน จิตรู้ธรรมารมณ์ใด สักแต่รุ้ เมื่อนั้นเธอจะไม่ปรากฏในโลกนี้ โลกหน้า ในโลกทั้งสอง “ ที่จริงนี่คือหลักของวัชรยานญาณสายฟ้าแลบ ในทันใดนั้นเอง พระพาหิยะก็ตรัสรู้ในระดับนั้นที่ตรงนั้น กรณีเช่นนี้เกิดกับองคุลีมาล พาหิยะ พระยศกุลบุตร ญาณสายฟ้านั้นเกิดในขณะพระยศไม่ได้บวช เป็นคนเดียวที่พระพุทธเจ้าขอให้มาบวชด้วยถ้อยคำซึ่งไม่เหมือนคนอื่น ปกติพระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ เธอจงเป็นภิกษุ มาทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด “ เพราะยังไม่ถึงที่สุดทุกข์ แต่กรณีพระยศกุลบุตรทรงบอก “ เธอจงมาเป็นภิกษุเถิด “ ไม่ได้บอกว่าให้มาทำที่สุดทุกข์ เพราะว่าท่านถึงแล้วในขณะที่นั่งฟังพระพุทธเจ้าสอนพ่อของท่านอยู่ ท่านไม่ได้เป็นนักบวชด้วย

    ว่าที่จริงแล้วพุทธศาสนาทั้งหมด ไม่ว่าในจีน ในทิเบต ในไทย ที่เป็นแก่นเป็นเรื่อง วัชรยานทั้งสิ้นคือ การเข้าถึงอย่าฉับพลันทันใด

    เรื่องนี้ไม่สู้จะเป็นสาธารณะต่อผู้ที่ไม่เจริญภาวนา คิดเอาด้วยเหตุผลสามัญย่อมเข้าใจได้ไม่สมบูรณ์ ผมว่าอย่างนั้นนะ เพราะว่าเราคิดด้วยระบบตรรกะระบบหนึ่ง วัชรยานดูไปแล้วละม้ายคล้ายกับการเอาหนามบ่งหนาม เอาน้ำกรอกหูเมื่อน้ำเข้าไปในหู เป็นการกระทำซึ่งดูคล้าย ๆ ว่าต้องทำเข้าไปอย่างนั้น เพื่อไล่สิ่งนั้นที่ค้างคาอยู่ หรือเหมือนวัคซีนที่ฉีดเข้าไป เขาฉีดเชื้อโรคเข้าไปนั่นเอง เพื่อให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทานโรค วัคซีนก็คือเชื้อโรคที่ฉีดเข้าไปและเพื่อที่จะให้ร่างกายสร้างภูมิต้านทาน หรือพูดง่าย ๆ อีกทีว่าภายในช่วงที่เร่าร้อนด้วยกิเลสตัณหา ถ้าในขณะนั้นสามารถดำรงสติสมปฤดีไม่ให้ฟั่นเฟือนได้ นั่นคือทางออก เพราะว่านักกระโดดข้ามรั้วที่ไม่มีรั้วแล้วบอกว่า เป็นนักกีฬาข้ามรั้วคงไม่ได้แน่ ความสำคัญของวัชรยานไม่ได้อยู่ตรงการใช้กามารมณ์ หรือกินเนื้อ หรือกินเหล้า อย่าเข้าใจผิดไป มันไปอยู่ตรงมนสิการนี่แหละ เพราะว่าเมื่อมนสิการอันนี้ได้แล้ว ต่อจากนั้นอะไรก็ตามในชีวิตประจำวันย่อมใช้ได้ ทั้งเรื่องกาม เรื่องอื่น ๆ ทุก ๆ เรื่อง เพราะว่าโดยธรรมดามันก็เป็นอยู่แล้ว คนก็ร่วมเพศกันอยู่แล้ว คนก็ดื่มกันอยู่แล้ว แต่เขาไม่สามารถทำให้อุปสรรคให้เป็นอุปการะได้

    และดังนั้นเองเมื่อวัชรยานถูกประกาศขึ้นในยุโรป ก็สามารถช่วยบุคคลที่เรียกว่า
    บุปผาชนเป็นจำนวนมากทีเดียว ฮิปปี้เหล่านั้นเริ่มมีระเบียบวินัยขึ้น เริ่มมีหลักยึดขึ้น ก่อนหน้านั้นเขาสูบทั้งกัญชา ทั้งส้องเสพความสุขทางกาม แต่ว่าไม่รู้เพื่ออะไร ในที่สุดกามและกัญชาก็กลายเป็น Aim แทนที่จะเป็น Means


    ผมได้อธิบายเรื่องที่เป็นอันตรายที่สุด ทำนองว่าเอายาพิษมาห่อแล้วบอกว่ากินผิดตาย กินถูกหาย ทั้งหมดนี้ความสำคัญของวัชรยานอยู่ที่วัชรญาณ ญาณสายฟ้าแลบที่เกิดขึ้น เนื้อหาปฏิบัติอยู่ที่มนสิการสี่และพละ สุตะพละ สัมปชัญญะพละ ปัญญาพละ สมาธิพละ อะไรเหล่านี้ เมื่อพละเหล่านี้พร้อมเพรียงแล้ว มีมนสิการอยู่บนฐานทั้งสี่แล้ว อะไรก็ได้ที่จะช่วยให้ตื่น

    เราจะเห็นได้ว่า วัชรยานแม้มีเรื่องกาม เรื่องดื่มเหล้า เรื่องดนตรี ดนตรีถือว่าเป็นการเร่งเร้าพลังได้ เมื่อเราได้ยินดนตรีที่จัดระเบียบโน้ตไว้อย่างดีแล้วก็เกิดอารมณ์ ผมบอกแล้วว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นเรื่องของขบวนการเคมีชีวะ ไม่ใช่เรื่องเปลี่ยนแปลงทางจริยธรรม

    เมื่อใช้เครื่องดนตรีเร้า เราจะพบว่าเมื่อดนตรีมีจังหวะจะโคนอย่างหนึ่งอย่างใด มันก็ส่งผลกระทบระบบสัมผัสในร่างกาย ดังนั้นชาวมหายาน โดยเฉพาะชาววัชรยานนั้น ไม่ค่อยพูดเรื่องอื่นหรอก นอกจากเรื่องของกาย เช่น กายสาม: สัมโภคกาย นิรมาณกาย ธรรมกาย อะไรเหล่านี้ถือว่ากายเท่านั้น เป็นเรื่องสัมผัสได้ทั้งสิ้น

    ลักษณะเด่นอันหนึ่งก็คือไม่พูดถึงมาร เถรวาทเราพูดถึงมารในฐานะเป็นอุปสรรค มารผจญ วัชรยานหรือมหายานถือว่ามารนั่นแหละเป็นเครื่องช่วยให้พระพุทธเจ้ารู้ตัว ตื่นขึ้น มารก็เป็นส่วนหนึ่งของพุทธะ ที่จริงพุทธศาสนาเถรวาท หินยานนี่ก็มีสิ่งดีมากมาย อย่างภาษิตทางเหนือนี่เห็นชัดว่าเป็นเรื่องเดียวกัน “ มารบ่มี บารมีบ่แก่ “ ชาวเหนือพูดกันติดปาก ถ้ามารไม่ มี รับรองบารมีไม่ถึงที่สุด ต้องมีมารผจญนี่แหละ ถ้าพูดไปแล้ว เถรวาท หินยาน มหายาน จริงแล้วแยกจากกันไม่ได้เลย เนื้อหาสาระทั้งหมดคือการตรัสรู้ การบรรลุโพธิญาณ แต่เนื่องจากมีวิธีคิดวิธีมองลุ่มลึกต่างกัน มองกว้างแคบต่างกัน

    อย่างพีธีบวชของชาวมหายาน เมื่อเจ้านาคเข้าสู่พิธีกรรมแล้ว อุปัชฌายะถามว่าจะบวชเพื่ออะไร เจ้านาคจะต้องบอกว่าบวชเพื่อยกสรรพสัตว์ให้พ้นจากสังสารวัฎให้เข้าสู่พระนิพพาน ในขณะที่เถรวาทนี่เวลาถามนาคก็ไปอีกแบบหนึ่ง การตรัสรู้เป็นเรื่องส่วนตัว แต่ชาววัชรยานและมหายานนั้น การตรัสรู้เป็นเรื่องส่วนรวม ถือว่าการตรัสรู้ของปัจเจกไม่มี เรื่องนี้มีสาระสำคัญมาก หมายความว่า ถ้าผู้ใดเข้าถึงธรรมระดับใด ก็จะรู้ว่าคนอื่นเข้าถึงอยู่แล้ว แต่เจ้าตัวนั้นจะรู้หรือไม่รู้อีกเรื่องหนึ่ง เมื่อเข้าถึงที่สุดก็จะรู้ว่าทุกคนมีที่สุดอยู่แล้ว นั่นคือการตรัสรู้ของส่วนรวม วันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ทรงร้องอุทานว่า “ แท้ที่จริงสัตว์ทั้งหลายคือตถาคต “ เมื่อพระพุทธเจ้าเข้าถึงมัน ท่านจึงรู้ว่าทุกคนเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว แต่เจ้าตัวไม่รู้เท่านั้นเอง

    เมื่อสมัยที่อรชุนรบศึกที่ทุ่งกุรุเกษตร ต่อมาก็ขึ้นสวรรค์ไปปรากฎตนอยู่ต่อพระพักตร์ของมหาเทพ ทันใดนั้นก็เห็นทุรโยชน์ ศัตรูยืนอยู่ที่นั่นด้วย ทั้ง ๆ ที่ทุรโยชน์เป็นฝ่ายเลวร้าย เป็นศัตรูกับความดีทีเดียว แต่ว่าเข้าถึงสวรรค์ ต่อหน้าพระพักตร์มหาเทพนั้น ไม่มีคนดีหรือคนชั่ว ทุกชีวิตเสมอกันหมด เมื่อเข้าถึงธรรมก็จะรู้ว่า ธรรมนั้นเป็นอยู่แล้วอย่างไร ดังนั้นการตรัสรู้เป็นเรื่องของสรรพสัตว์ ไม่ใช่เรื่องของปัจเจก มโนคติใดที่คิดว่าการตรัสรู้เป็นเรื่องของฉันของตัวเข้านั่นคือการเพี้ยน ชาวมหายานถือกันอย่างนั้น

    ดังนั้นการบวชก็เพื่อจะช่วยให้บุคคลตรัสรู้ อุดมคติของโพธิสัตว์จึงเกิดขึ้นที่ว่า ตัวเองนั้นต้องลุพระโพธิญาณ แต่ยังไม่ปรารถนาเข้าสู่พระนิพพาน จะต้องเข้าคนสุดท้าย เพื่ออยู่อนุเคราะห์สรรพสัตว์ทั้งหลายเข้าสู่พระนิพพานให้หมดสิ้น สาระมันอยู่ที่ว่า เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ท่านเข้าถึงตถาคตและร้องอุทานว่า “ แท้ที่จริงสัตว์ทั้งหลายคือตถาคต “ ในคัมภีร์ฝ่ายเถรวาทที่บ่งบอกไว้ชัดเจนมีว่า วันที่พระพุทธเจ้าพบอุปกชีวก วันที่ท่านเสด็จไปพาราณสี เขาถามว่า ท่านเป็นใคร ท่านบอกว่าเราเป็นพุทธะคือท่านบอกไปตรง ๆ ต่อตัวสภาวะ เขาเข้าใจไม่ได้ ในที่สุดท่านได้บทเรียนพระพุทธเจ้าได้บทเรียนว่า สิ่งนี้คนทั่วไปเข้าใจไม่ได้ ท่านก็เลยต้องบัญญัติธรรมะขึ้นสอนตามลำดับ คือต้องเข้าใจอย่างนี้ ๆ เสียก่อน จึงเข้าใจอันนี้ ที่จริงวันแรกท่านบอกตรง ๆ

    เมื่อถูกถามว่าท่านคือใคร ท่านตอบว่าเรา คือพุทธะ นั่นเป็นการสอนครั้งแรกของพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่ได้เรียนรู้ว่าชาวบ้านเข้าใจไม่ได้ ในพระสูตรหนึ่งทรงตรัสว่า ยิ่งนานวันเข้าเมื่ออายุท่านมากเข้าเท่าไร ธรรมะก็หลือแต่แก่น คือท่านค่อย ๆ บัญญัติธรรมขึ้นสอน ผมเชื่อว่าการรู้ธรรมะนั้นคือการเริ่มต้นชีวิตใหม่ ตอนนั้นพระพุทธเจ้าท่านไม่เคยสอนใครเลย ท่านบอกตรง ๆ แล้วผลก็คือ

    อุปกชีวกแลบลิ้นหลอก เขาไม่เชื่อ ในที่สุดพระพุทธเจ้าต้องเริ่มไตร่ตรองถึงสมมติและบัญญัติ แล้วเริ่มสอน เพราะสอนตรง ๆ ไม่ได้ เว้นไว้แต่เฉพาะบาปคนเท่านั้นที่ท่านสอนแล้วเข้าใจได้เฉพาะพระพักตร์นั้น

    ถ้าว่าไปแล้ว สิ่งที่ผมบรรยายมาทั้งหมดนี้ที่มาก็คือ ผมอ่านจากตำราบ้าง แต่ว่าน้อย คุยกับชาววัชรยาน เคยเข้าร่วมพิธีกรรมบ้างแต่ไม่มาก เคยเข้าเฝ้าองค์ดาไลลามะ 1 ครั้ง แต่ก็ไม่ได้สนทนากันถึงแก่นเพราะพระองค์ท่านเป็นประมุข จะถามอะไรก็ต้องระมัดระวัง แล้วก็เวลาไม่พอเพียง 20 นาที แต่ผมก็ได้คบหากับชาววัชรยานหลายคน แล้วก็เห็นเค้าโครง จึงเอามาบอกเล่า เพื่อจะให้เห็นว่าวัชรยานไม่ใช่ญาณต่ำต้อย แต่พร้อม ๆ กันนั้นก็ไม่พึงไขว่คว้าเอาอย่างรู้เท่าไม่ทัน ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องเข้าใจ เข้าถึงอย่างมีรากฐาน ไต่เต้าไปอย่างมีรากฐาน อย่างไม่ประมาท สิ่งที่ดีนั้น ถ้าเราใช้ไม่เป็นก็เกิดโทษได้ เหมือนกับไฟ ถ้าเราเข้าใจเราควบคุมมันได้ เราใช้ต้มเนื้อต้มผัก เราก็มีอาหารที่ดี ร่างกายเราก็ดีขึ้นด้วย กินอาหารสุกแล้วหรืออาหารที่ร้อน ๆ แต่ถ้าเราไม่เข้าใจธรรมชาติของไฟ ควบคุมมันไม่ได้ ในที่สุดมันก็เผาผลาญทั้งตัวเองและบ้านเรือนคือถ้าเข้าใจไม่ได้มันก็ทำลาย ทั้งตัวเองและบุคคลที่แวดล้อมด้วย ฉะนั้นพึงมนสิการโดยแยบคายในทุก ๆ เรื่อง ผมขอยุติไว้เพียงนี้

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 14 มิถุนายน 2011
  8. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    [​IMG]

    ในช่วงที่เรียนสหจะโยคะ เค้าก็มีการพบปะของสหจะโยคี สหจะโยคินี ทั่วโลก อยู่เสมอๆ
    มีศิษย์เอก ของคุณแม่มาตาจี ที่เป็นชาวฝรั่งเศสท่านนึง บุคลิคภาพ นิสัยใจคอ very nice มากๆ

    เค้าเล่าว่า สมัยก่อน เค้าเป็นฮิปปี้ ทั้งเสพกาม เสพยา สารพัด แล้วในตอนนั้นเค้าคิดอะไร เค้าบอกว่า เค้าต้องการความสุข และการเสพยานั้น ก็ทำให้เค้าได้เห็นอีกโลกนึง ที่สร้างความสุขให้กับเค้า และเค้าก็ติดการเสพ เพราะนั่นคือสิ่งเดียวที่นำความสุขมาให้

    จนวันนึง เค้าได้มาเจอ คุณแม่มาตาจี
    เค้าเล่าว่า ท่านพูดว่า เธอเป็นผู้แสวงหาทางจิตวิญญาณมาหลายภพ หลายชาติ และศูนย์พลังงานของเธอ บอบช้ำอย่างมาก และท่านก็ให้ทราบถึงศูนย์พลังงานต่างๆ โดยการยกมือขึ้น ให้รู้จัก โดยการรับสัมผัสภายในร่างกาย จนกุณฑลิณีทะลุศีรษะออกไป เข้าสู่ความปิติสุข

    และพลังงานของเค้า ถือว่าแรงมาก แล้วอะไรหละ ที่ทำให้ช่องทางเปิดของพลังงานไม่เท่ากัน หากกิเลส คือ ความมุ่งมั่น ความพยายาม มันจึงต้องมีก่อน แล้วละมัน บาลานซ์มัน เหมือนการขี่จักรยาน

    สิ่งที่เค้าได้เข้าใจ ได้ประสบ ได้เรียนรู้กับมันอย่างถ่องแท้ จึงทำให้เค้าปล่อยวางมันได้จริงๆ
    (ผมไม่ได้มีเจตนาให้ท่านไปเสพยานะครับ เพราะผมก็ไม่เสพเหมือนกัน :) )

    สิ่งที่เห็น อาจจะไม่ใช่ความจริง เราไม่อาจตัดสินคนจากภายนอกได้ เพราะต่างเป็นผู้แสวงหาความจริงกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะผ่านช่องทางไหนก็ตาม
     
  9. สกั๊ง

    สกั๊ง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +131
    เป็นกุณฑาลินี ที่เยี่ยมมากๆครับ สดชื่นที่สุดเลย ขออณุญาติไปโพสต่อเฟสบุ๊กนะครับ ..♥.. ต้องหาวันว่างๆ ซึมซับซะแล้ว ^.^
     
  10. naknoi.b

    naknoi.b เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 มีนาคม 2009
    โพสต์:
    1,042
    ค่าพลัง:
    +1,714
    ขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้มากเลยคับ ผมจะนำไปปฏิบัตินะคับ *-*
    ยิ่งอ่านก็ยิ่งหลงไหลในบทความที่คุณเขียน การเขียนอย่างผู้รู้แล้วนำสิ่งที่ตนรู้มาบอกกล่าวและเผยแผ่นั้นมันช่างเป็นอรรถที่ชวนให้น่าติดตามเพราะเป็นความรู้จริงอันเกิดจากการปฏิบัติ ทำแล้ว ลองแล้ว เห้นผลแล้วหากท้ายสุดหลักการนั้นจะนำผู้ที่ปฏิบัติตามได้บรรลุถึงการรู้แจ้งตามแนวทางนั้นก็ตามที จึงเป็นข้อความที่น่าเชื่อถือและปฏิบัติตาม ผมขอชื่นชมท่านด้วยความเคารพในธรรมของท่านด้วยจิตคาราวะ......
    โดยส่วนตัวของผมเองแล้วหลงไหลกับการฝึกวิชานี้มาก บางครั้งด้วยความเคยชิน ในตอนใกล้นอนมักจะสวดมนต์นั่งสมาธิ หากครั้งใดที่ร่างกายเหนื่อยล้าก็จะเล่นปราณเดินลม ท้ายสุดลงท้ายเล่นกุณฑาลินี จนบางครั้งทำให้นอนไม่หลับ เพราะทำให้พลังหยางตื่นตัว หยินซึ่งต้องทำหน้าที่ในตอนกลางคืนเป็นอันต้องหลบฉากไป จนผมเองลงท้ายหลังๆจึงจำต้องพกยานอนหลับติดตัวไว้เสมอ เพราะถ้าได้ตาตื่นแล้วยากมากที่จะหลับเหมือนว่าเราได้พักผ่อนมาเต็มที่แล้วเสียอย่างนั้น....*-*
     
  11. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    ยินดีครับ คุณสกั๊ง :)

    ขอบคุณครับ คุณ naknoi


    [​IMG]

    แลกเปลี่ยนกันนะครับ เป็นวิธีบำบัดทางกาย ที่เคยเรียนรู้มา และไม่ยากเกินไปนัก

    เป็นการปรับสมดุล หยิน หยาง


    หากหยางมากเกินไป ลองหาน้ำเย็นใส่เกลือทะเล แล้วนำมาแช่เท้า พร้อมกับจดจ่อกับลมหายใจ ให้น้ำทะเล ดูดซับเอาหยางส่วนเกินออกไป จะทำให้หลับง่ายขึ้นครับ

    เช่นเดียวกับ เวลาเครียดมากๆ จะรู้สึกปวดศีรษะข้างเดียว เช่น ศีรษะข้างซ้าย นั่นเพราะตับทำงานมากเกินไป จนร้อน ให้ลองเอาน้ำแข็งประคบไว้ที่ตับ ที่อยู่บริเวณเอวด้านขวา และใช้หายใจเข้าช้าๆ เพื่อคลายความร้อนส่วนเกินออกมา


    หากหยินมากเกินไป ใช้น้ำอุ่นใส่เกลือทะเล แล้วนำมาแช่เท้า พร้อมกับจดจ่อกับลมหายใจ ให้น้ำทะเลดูดซับเอาหยินส่วนเกินออกไป จะช่วยลดความหดหู่ ซึมเศร้าได้
     
  12. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    หลายปีก่อน ที่วิชาฝังเข็ม เพิ่งเข้ามาในไทย
    ตอนนั้นไม่สบาย เคล็ดขัดยอก เพราะออกกำลังกายผิดท่าไปหน่อย
    ปวดหัวแทบระเบิด

    ไม่อยากทานยา เลยไปหาหมอฝังเข็ม ชาวจีน
    เค้าก็จะแมะ ฟังเสียงชีพจร และถามอาการ

    จากนั้น ก็ไม่พูดพร่ำอะไรมากมาย เจาะขมับ ให้เลือดไหลออกมา
    แล้วนำครอบแก้ว ไปลนไฟ ไล่อากาศออก มาแปะไว้ที่ขมับทั้งสองข้าง
    เหมือนแฟรงเก้นสไตน์
    ซักพัก เลือดก็จะไหลออกจากขมับทั้งสองข้าง

    อาการปวดหัว ก็จะหายทันทีเลย

    เลยถามหมอว่า มันหายได้ยังไง

    เค้าก็บอกว่า ที่ปวดหัว เพราะเลือดมันไปคั่งอยู่ เมื่อไม่เดิน มันก็จะปวด ทิ้งไว้ก็ก่อให้เกิดโรคภัยต่างๆ

    ประโยคสั้นๆ แต่ตอบข้อสงสัยได้หลายอย่างเลยครับ

    วิชาปราณโอสถของหลวงปู่พุทธะอิสระ ก็เพื่อให้ลมปราณทั่วร่างเดินได้ดี อันจะส่งผลต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต

    ลองศึกษาดูกันนะครับ
     
  13. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253

    [​IMG]

    วิชาปราณโอสถ

    เตรียม


    ไม่ต้องบอกแล้ว ยืนขึ้นมาก็ต้องขยับขยาย ทำความพร้อมให้เกิดขึ้นภายในกาย มันไม่ควรจะต้องเตือนกันแล้ว เอียงซ้ายเอียงขวา ปรับหน้าปรับหลัง เหยียดแข้งเหยียดขา มองตัวเอง หาวิธีสร้างตัวรู้แบบผิวเผินก่อน แล้วจึงค่อยพัฒนาจนกระทั่งกลายเป็นตัวรู้ที่แนบแน่นมากขึ้น ... ถ้าร้อนก็เปิดพัดลมซิ


    เมื่อกี้ฝ่าเท้ายืนคงที่ไหม หาวิธีถ่ายน้ำหนักให้เสมอกัน ขวากับซ้าย 50 50 ซ้ายครึ่ง ขวาครึ่ง อย่ายืนเบี้ยวอย่าบิด อย่าเอียง อย่าโยก ปรับสมดุลของกายให้เหมาะสม ทำให้กล้ามเนื้อในร่างกายผ่อนคลายให้มากที่สุด ฝ่ามือไม่เกร็ง นิ้วไม่กำ หัวไหล่ไม่เกร็ง ไม่หนัก


    ลองเอามือเท้าไปที่ใต้ขาพับ แล้วลองแอ่นอกซิ เงยคอ แอ่นอกดูซิ แอ่นอกเยอะๆ หายใจออก ปรับสมดุล กลับมาตรง


    หลู่ ไหล่มาข้างหน้า หลังมือชนกัน คางติดอก ลู่มาเยอะๆหน่อย ให้คางก้มให้คางติดอก กลับมาตรง ทำอย่างนี้เพื่อผ่อนคลายกล้ามเนื้อหัวไหล่ กล้ามเนื้อหน้าอก เราจะได้ไม่ตึง ไม่เครียด คนเวลาเครียดมากๆ มันเครียดตรงเส้น เครียดตรงเส้นแล้วคราวนี้ก็จะปวด จะเมื่อย จะวิ่งจี๊ดจ๊าด แล้วคราวนี้ก็จะวิ่งไปหาหมอ หมอก็ไม่รู้จะรักษายังไงถูก ก็เลยต้องวิ่งไปหาหมอทรง หมอเจ้าส่งไป



    สร้างตัวรู้


    เอาพร้อมแล้ว สร้างตัวรู้ให้เกิดภายใน หลับตา แขนสองข้างทิ้งดิ่งข้างลำตัว พร้อมที่จะรับรู้ได้แล้ว


    ส่ง ความรู้สึกเข้าไปในกาย รู้แล้ววาง รู้แล้วว่าง รู้แล้วสงบ รู้โดยไม่ปรุง รู้แล้วโล่ง รู้แล้วอิสระ รู้แล้วปลดเปลืองพันธนาการ ฝึกให้ได้บ่อยๆ ผู้รู้ต้องไม่มีพันธนาการ ไม่มีพันธะ ไม่มีความผูกเครื่องข้อง ปราศจากเครื่องร้อยรัด ... เอ้า ระวังล้ม


    ทำให้ตัวรู้ตั้งมั่นอยู่ ภายในกาย ไม่มีอกุศล ไม่มีกุศล ไม่มีความคิด ... กุศลไม่มี อกุศลจะเกิดได้อย่างไร นั่นหมายถึงว่าจิตของผู้รู้ ไม่มีกุศล แล้วอกุศลมันจะเกิดได้อย่างไร อกุศลก็ต้องไม่มีด้วย ... รู้ไม่ปรุง รู้ไม่แบก รู้ไม่มีพันธนาการ ... เอ้า ถ้ามันลำบากก็นั่งลง


    ...ระดับ เรียนมาถึงขั้นนี่แล้วไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรแล้ว ถ้ายังมานั่งขีด นั่งจดอยู่นีมันก็แสดงว่ามันไม่พัฒนาแล้ว มันต้องกลับไปเริ่มตั้วมเตี่ยมๆ ใหม่แล้ว สอนมาเป็นปีแล้วนี่ ทรงตัวรู้ ไม่ได้ทรงราคะ ไม่ได้ทรงโทสะ ไม่ทรงถีนะมิทธะ ความง่วง ไม่ทรงความฟุ้งซ่าน ไม่ทรงความสงสัย ไม่ทรงโมหะ ไม่ทรงโลภะ ไม่เป็นร่างทรงของกุศล ไม่เป็นร่างทรงของอกุศล มีแต่ตัวความรู้ ตัวรู้ พร้อมรู้ รับรู้ แล้วไม่ปรุง ไม่ปรุงทางหู ไม่ปรุงทางเสียง ไม่ปรุงทางจมูก ไม่ปรุงทางกลิ่น ไม่ปรุงทางตา ไม่ปรุงทางรูป ไม่ปรุงทางสัมผัส ไม่ปรุงทางรส ไม่ปรุงทางลิ้น ไม่ปรุงทางอารมณ์ ทางใจ ... รู้แล้ววาง รู้แล้วว่าง ไม่ใช้รู้แล้วนิ่ง แม้นิ่งก็ยังไม่ถือว่าถูกต้อง วางแล้วว่าง แล้วเบาสบาย บอกแล้วว่าตัวรู้นั้นเปรียบเหมือนน้ำทีสิงอยู่ในบรรยากาศ หรืออากาศที่สิงอยู่รอบๆตัวเรา ซึมสิงอยู่รอบตัวเรา มันจะซ่านไปทั่ว ไม่มีขีดจำกัด ซึ่งจะต่างจากคำว่า นิ่ง สงบ สมาธิ อันนั้นมันต้องเพ่ง ต้องกดอารมณ์ สิ่งที่เราสร้างตัวรู้นี่มันสูงกว่าความสงบ ความเพ่งอารมณ์ สูงกว่าคำว่าสมาธิ มันเหมือนกับทหารยามที่อยู่ประตูทั้งสี่ของเมือง ประตูเมืองทั้งสี่ ทิศทั้งสิบ แล้วก็เพ่งมองข้าศึกศัตรูด้วยความเตรียมพร้อมเสมอ โดยไม่วิ่งออกไปนอกกำแพง ไม่เผลอหลับ ตั้งหน้า ตั้งตาพร้อมรับรู้รับแจ้ง ตรวจการเสมอ พร้อมรุกรบได้ตลอดเวลา ตัวรู้นี้ต้องเปรียบให้ได้ดังนี้ รู้อยู่ภายในกาย


    =============================================


    รู้ในกายตน


    ท่ายืน


    ที นี่ปรับตัวรู้มาศึกษาในกายตนซิ เรียนรู้ชีวิตก็คือเรียนรู้ในกายตน ลองดูกะโหลกศีรษะซิ กระดูกกะโหลกศีรษะ เอาตัวรู้ไปดูซิว่ากระดูกกะโหลกศีรษะนี่หน้าตาเป็นอย่างไร ถามว่าทำไมต้องไปรู้เรื่องกระดูกกะโหลกศีรษะ เพราะมันจะทำให้ตัวรู้เราตั้งมั่น มีการงาน แล้วจะได้พัฒนาตัวรู้ให้กลายเป็นปัญญา จะได้เปล่งแสงรัศมี เมือตัวรู้มันตั้งมั่นได้นานเข้าๆๆ มันก็เป็นอานุภาพ ถ้ามีแต่ตัวรู้อยู่เฉยๆ บางทีบางครั้งเดี๋ยวมันแว๊บ นั่น บางคนแว๊บแล้ว สับหงกไปแล้ว คอหักด้วย ต้องรู้แบบชนิดที่เราสามารถวิจารณ์ได้ ไม่ใช่รู้แบบชนิดที่แตะต้องอะไรไม่ได้ ก็คือรู้ว่าสภาพธรรมที่ปรากฏบนกระดูกกะโหลกศีรษะ รูปร่างหน้าตามันเป็นอย่างไง สีสันมันเป็นอย่างไง ค้นหามัน มันสีขาว สีเขียว สีดำยังไง ดู ค้นหา จับตั้งแต่ปลายคางก็ได้ หน้าผากก็ได้ โหนกคิ้วก็ได้ โหนกแก้มก็ได้ ไม่ต้องใช้มือ ใช้ตัวรู้เป็นตัวจับ ตัวรู้ตัวนี้ก็คือจิต เลิกได้แล้ว บอกไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรแล้ว เอาจิตจับเป็นจุดๆ ลองจับไปที่หน้าผากซิ หน้าผากหนัก ตึงไหม รับรู้ไปที่หน้าผาก โหนกคิ้ว เป้าตา สันจมูก โหนกแก้มสองข้างซ้ายขวา ริมฝีปากบน ริมฝีปากล่าง มันจะรู้สึกชาๆ ปลายคาง กรามซ้ายขวา มันจะรู้สึกตึงๆ กกหูซ้ายขาว เหมือนกับมีลมออกมาจากรูหูสองข้าง เหนือหูซ้ายขวา รู้แล้วรำคาญนี่เขาเรียกว่ารู้แล้วปรุง แมลงวันตอม แมลงหวี่ไชอย่างเงี้ย เรียกว่ารู้แล้วปรุง แสดงว่ายังมีตัวกูให้ปรุงอยู่ ตัวกูมันก็คือตัวอกุศลน่ะ บอกแล้วว่ากุศลไม่มีแล้วอกุศลมันจะเกิดได้อย่างไร ... กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง กลางกะหม่อมก็จะรู้สึกเหมือนมีลมตีขึ้นเหนือศีรษะ ท้ายทอยก็จะตึงๆ ร้อนๆ ...วันนี้มันเป็นยังไง ว๊อบแว๊บๆ...กรามซ้ายขาว ใต้หูซ้ายขวา คาง ปลายคาง ไม่ต้องกั้นลมหายใจ ปล่อยลมหายใจให้เป็นธรรมชาติ


    เอ้าคราวนี้ลงมาที่หลอดลม ลำคอ ลูกกระเดือก ไหปลาร้า กระดูกไหปลาร้าสองข้าง หัวไหล่ บ่า จะรู้สึกหนักๆ สะบักซ้ายขวาด้านหลัง ...


    สำรวจ ให้ทั่วสะบัก หัวไหล่ บ่า ท่อนแขนด้านบน ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ ฝ่ามือ นิ้วมือ ไล่ตั้งแต่นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง นิ้วก้อย หลังมือ ซ้ายขวา ข้อมือด้านหลังซ้ายขวา ไล่ขึ้นมาท่อนแขนด้านข้าง ข้อศอก ท่อนแขนด้านบน หัวไหล่ ลงไปที่สะบักซ้ายขวา มารวมกันที่กระดูกสันหลัง ข้อต่อระหว่างคอกับกระดูกสันหลัง ไหลลงไปจนถึงก้นกบ แยกออกเป็นสองสาย ก้นกบซ้าย ก้นกบขวา คือสะโพกซ้าย สะโพกขวา ข้อพับ ขาพับ ลงไปที่น่องซ้ายขวา ส้นเท้า ฝ่าเท้าซ้ายขวา ปลายนิ้วเท้าทั้งสิบ


    ย้อนกลับขึ้นมาที่ หลังเท้า ข้อเท้า กระดูกซ้ายขวา หน้าแข่งซ้ายขาว หัวเข่า หน้าขาซ้ายขวา มารวมกันตรงหัวเหน่า ผ่านจุดใต้สะดือและเหนือสะดือ ใต้สะดือมีสองจุด เหนือสะดือมีสี่จุด ... ขึ้นไปที่ลิ้นปี่ ไปที่ราวนมซ้ายขวาแยกออก ไปที่รักแร้ซ้ายขวา สีข้างใต้รักแร้ ท่อนแขนด้านในใต้รักแร้ ลงมาที่ข้อศอกซ้ายขวา ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ และฝ่ามือ


    สูดลมหาย เข้า ขึ้นจมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง หัวไหล่สองข้าง กระดูกสันหลัง ลงไปที่ก้นกบ แยกไปที่ตะโพกซ้ายขวา ลงไปที่ท่อนขา ขาพับ ท่อนขาด้านล้าง ส้นเท้า ฝ่าเท้า ปลายนิ้วเท้า ขึ้นมาที่หลังเท้า หน้าแข่ง หัวเข่า หน้าขา หัวเหน่า ขึ้นมาที่สะดือ ลิ้นปี่ แยกไปที่ซี่โครง ชายโครง ไหลย้อนกลับมาที่ราวนม ไหปลาร้า รักแร้ ลงไปที่แขนด้านในซ้ายขวา ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ ฝ่ามือ ลมหายใจปล่อยเป็นธรรมชาติ เป็นปรกติ


    ต่อไปหายใจเอา
    ปราณ นะ หายใจเข้าขึ้นจมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง หัวไหล่สองข้าง กระดูกสันหลัง ก้นกบ ทะลุมาที่ช่องท้อง ขึ้นมาที่หน้าอก ลำคอ ออกปาก

    หายใจเข้า จมูก ลำคอ ลงไปที่ไหปลาร้าสองข้าง แยกไปที่ท่อนแขนสองข้าง ข้อศอกสองข้าง ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ ฝ่ามือ หายใจออก


    หายใจ เข้า ขึ้นจมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง หัวไหล่สองข้าง กระดูกสันหลัง ก้นกบ ทะลุมาที่ช่องท้อง ขึ้นมาที่สะดือ ลิ้นปี่ หน้าอก ไหปลาร้าสองข้าง ท่อนแขนด้านบนสองข้าง ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ ฝ่ามือ หายใจออก


    หายใจเข้า จมูก ลำคอ ลงไปที่กระดูกราวนม แยกไปที่หัวไหล่สองข้างซ้ายขวา ใต้แขน ท่อนแขนด้านใน ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ หลังมือ ปลายนิ้วมือ หายใจออก


    สูดลม หายใจเข้า จมูก หลอดลม ลำคอ ลงไปที่ไหปลาร้า หัวไหล่สองข้าง ท่อนแขนด้านบน ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ ฝ่ามือ หลังมือ ปลายนิ้วมือ หายใจออก


    สูดลม หายใจเข้า จมูก หลอดลม ลำคอ หน้าอก ลิ้นปี่ เหนือสะดือสามจุด ใต้สะดือสองจุด ลงไปที่หัวเหน่า แยกไปที่ขาสองข้าง หัวเข่า ท่อนขาด้านล่าง ลงไปที่ข้อเท้า ฝ่าเท้า หายใจออก


    หายใจเข้า ตั้งแต่ปลายเท้า ฝ่าเท้า ขึ้นมาที่ข้อเท้า ท่อนขาล่าง หัวเข่า ท่อนขาด้านบน ลงมาที่สะดือ หายใจออก แม้สะดือก็มีลมออกได้ ... เอาใหม่


    หายใจเข้า จมูก ลำคอ ราวนมสองข้าง ลิ้นปี่ ลงไปที่สะดือ หัวเหน่า หน้าขา หัวเข่า หน้าแข้ง ข้อเท้า ฝ่าเท้า หายใจออก


    หายใจ เข้า จมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง หัวไหล่สองข้าง กระดูกสันหลัง ก้นกบ ทะลุมาที่ช่องท้อง ถึงสะดือ หายใจออก


    หายใจเข้าลึกๆ ให้ลมซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย หายใจออก ผ่อนคลาย

    =============================================

    ท่านั่ง

    เอ้า คราวนี้ค่อยๆ ลดตัวลงนั่งช้าๆ ลองดูซิว่านั่งแล้วจะทำได้ไหม อย่าเพิ่งลืมตา นั่งแล้วหงายฝ่ามือที่หัวเข่า ขัดสมาธิ หงายฝ่ามือที่หัวเข่า ตัวตั้งตรง ยืดอกขึ้น


    สูดลมหายใจเข้า จมูก หลอดลม ลงไปที่หัวไหล่สองข้าง ท่อนแขน ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ ฝ่ามือ ปลายนิ้วมือ หายใจออก จะต้องรู้สึกให้ได้ว่าแม้ลมก็ออกที่ปลายนิ้วมือ


    สูดลมหายใจเข้า ปลายนิ้วมือ ฝ่ามือ ข้อมือ ท่อนแขนด้านล่าง ข้อศอก ท่อนแขนด้านบน หัวไหล่ มารวมกันที่ลิ้นปี่ ไหลลงไปที่สะดือ หายใจออก


    หายใจเข้า สะดือ ลิ้นปี่ หน้าอก ลำคอ ออกปาก


    หายใจ เข้า จมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง หัวไหล่และขมับสองข้าง ท่อนแขนด้านบน ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ฝ่ามือ ข้อมือ ปลายนิ้วมือ หายใจออก


    หายใจเข้า จมูก ลำคอ ลงไปที่ราวนม แยกไปที่ใต้รักแร้สองข้าง ท่อนแขนด้านใน ข้อพับ ข้อศอกด้านใน ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ ฝ่ามือ ปลายนิ้วมือ นิ้วกลาง หายใจออก


    สูดลม หายใจเข้าที่นิ้วกลางสองข้าง ฝ่ามือ ข้อมือ ท่อนแขนด้านล่าง ข้อพับ ข้อศอก ท่อนแขนด้านบน รักแร้สองข้าง ราวนม ขึ้นมาที่ลำคอ ออกปาก


    หายใจเข้า จมูก หน้าผาก กลางกะหม่อม ต้นคอด้านหลัง หัวไหล่สองข้าง กระดูกสนหลัง ก้นกบ ทะลุมาที่ช่องท้อง สะดือ หายใจออก ต้องรู้ให้ได้ว่ามีลมออกที่สะดือ ถ้าไม่ได้ทำใหม่


    สูดลมหายใจเข้า จมูก หน้าผาก กลางกะหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง หัวไหล่สองข้าง กระดูกสันหลัง ลงไปที่ก้นกบ ทะลุมาที่ช่องท้อง เหนือสะดือสามจุดหายใจออก ท้องจะมีลมอุ่นๆออกมาเหนือสะดือ ต้องรับรู้ให้ได้ดังนั้น


    สูดลมหายใจเข้า จมูก หลอดลม ลำคอ หน้าอก ลิ้นปี่ สะดือ หายใจออก


    ยืดอกขึ้น สูดลมหายใจเข้า ให้ลมซ่านไปทั่วทุกรูขุมขน ไล่ลมมาอยู่ที่ท่อนแขน ข้อศอก ข้อมือ ฝ่ามือ หายใจออก


    สูดลม หายใจเข้า จมูก ลำคอ หน้าอก ลิ้นปี่ สะดือ หัวเหน่า แยกลงมาที่ท่อนขาด้านล่าง หัวเข่า หน้าแข้ง ลงไปที่ข้อเท้า ฝ่าเท้า ปลายนิ้วเท้า หายใจออก


    สูดลมหายใจเข้า จมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง หัวไหล่สองข้าง ท่อนแขน ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ หลังมือ ปลายนิ้วมือ หายใจออก


    หายใจเข้า ปลายนิ้วกลาง หลังมือ ข้อมือ ท่อนแขนด้านล่าง ข้อศอก ท่อนแขนด้านบน หัวไหล่ ต้นคอ กะโหลกศีรษะด้านหลัง กลางกระหม่อม หน้าผาก ออกจมูก


    เพ่งความรู้สึกดูที่ฝ่ามือ และปลายนิ้วมือ

    =============================================

    ทำ ให้ผ่ามือหยุดไอร้อน และออกที่ปลายนิ้ว แรกๆ ก็จะออกทุกนิ้ว หาวิธีบังคับให้ออกที่นิ้วโป้ง นิ้วโป้งเป็นเรื่องที่ยากเพราะปลายประสาทจะหนา หาวิธีบังคับ ถ้าทำได้ นิ้วอื่นก็จะง่าย ... ปล่อยลมหายใจให้เป็นปกติ ถ้าไม่ชัดก็ประกอบลมหายใจเข้า หาช่องเดินให้อยู่กลางนิ้วโป้งให้ได้ แล้วหายใจออก ลองดู ...


    จากนิ้วโป้งก็ไปถึงนิ้วชี้ .................................. (เสียงฉาบ) ......................................................

    จาก นิ้วชี้ก็ไปที่นิ้วกลาง แรกๆ ลมอาจจะพุ่งออกเป็นสายที่ปลายนิ้ว ต้องประกอบลมหายใจทุกครั้ง เข้า ... เดินไปที่ปลายนิ้ว

    สูดลม หายใจเข้าลึกๆ ให้ลมซ่านไปทั่วทุกรูขุมขนและทั่วสรรพางค์กาย ลองดูซิแม้รูขุมขนมีลมออกไหม สัมผัสถึงไอร้อนรอบตัวได้ไหม แล้วหายใจออกอย่างผ่อนคลาย


    อีกที หายใจเข้ากว้างๆ ลึก เต็ม รู้

    ออก เบา ยาว หมด รู้
    เข้า กว้าง ลึก เต็ม รู้
    ออก เบา ยาว หมด รู้
    แม้ปลายนิ้วเท้าก็ต้องรู้ให้ได้ว่ามีลมออก
    อีกที เข้า กว้าง ลึก เต็ม รู้
    ปลายนิ้วเท้า ฝ่าเท้า ออก เบา ยาว หมด รู้
    =============================================

    สร้างปฏิสัมพันธ์อันดี


    ...หยุด การกำหนดรู้ลมและจุดต่างๆ ในกาย แต่สร้างตัวรู้ให้เกิดในภายใน ทำให้สองวิชามีปฏิสัมพันธ์อันดีต่อกันให้ได้ แม้จะอยู่กันคนละขั้นก็ตาม


    ปราณ
    สุริยะ กับ ปราณโอสถ ว่ากันที่จริงแล้วถ้าพูดถึงเรื่องของการสร้างสติสัมปชัญญะและวิปัสสนาก็ยังถือว่าสองปราณนั้น ยังเป็นขั้นต่ำ แต่ถ้าจิตมีพัฒนาการที่ดี เราก็สามารถจะสร้างปฏิสัมพันธ์อันงดงาม แค่ก้าวล่วงขั้นหนึ่งก็ขยับขึ้นมาสู่วิปัสสนาญาณได้ สร้างตัวรู้ให้เกิดขึ้นภายในกาย เริ่มต้นตั้งแต่มีตัวรู้ วางแล้วว่าง รู้สึกอยู่ภายใน ไม่ปรุง ... รู้แล้ว วาง แล้วว่าง … รู้ ละ วาง ว่าง … รู้ ละ วาง ว่าง เป็นความรู้ที่แข็งแรง ยั่งยืน ไม่หลุดไม่รอด ไม่แถ ไม่เผลอไปไหน

    ลองจับนิมิตดู เอากระดูกตัวเองเป็นนิมิต ลองทำวิปัสนึกดูสักครั้งซิ นึกว่าโครงกระดูกปรากฏอยู่ในกายตน จับโครงกระดูกนั้นเป็นนิมิตเครื่องหมาย ไล่ตั้งแต่กะโหลกศีรษะ กระดูกต้นคอ กระดูกหัวไหล่ ไหปลาร้า ซี่โครง ลิ้นปี่ กระดูกทรวงอก ไล่ให้หมด หรือมองตรงภาพรวมๆ ว่านี่คือกระดูกตั้งอยู่ มองให้ทะลุหนัง ทะลุเนื้อนะ ... มีแต่กระดูกตั้งอยู่ …


    ...(เสียงระฆัง)...

    กระดูกตั้งอยู่แล้ว มันจะมีอารมณ์ง่วงได้อย่างไร กระดูกมันง่วงเป็นที่ไหน กระดูกตั้งอยู่แล้วมันจะฟุ้งได้อย่างไร กระดูกมันฟุ้งเองได้ที่ไหน กระดูกตั้งอยู่แล้วมันจะสับสนสงสัยได้อย่างไร กระดูกมันสับสนเองได้ที่ไหน กระดูกตั้งอยู่แล้วมันจะมีความหลงได้อย่างไร กระดูกตั้งอยู่แล้วมันจะมีความคิดได้อย่างไร ว้าวุ่นได้อย่างไร รู้สึกให้ได้ว่าเราคือกระดูกที่ตั้งอยู่ สำรวจตรวจดูซิว่ากระดูกแต่ละท่อน ซี่โครงแต่ละซี่ ชิ้นเล็กชิ้นน้อยแต่ละชิ้นน่ะ มันมีรูปร่างลักษณะงดงามสัณฐานสวยขนาดไหน

    บอกแล้วว่ากรรมฐานของที่นี่ เรียนรู้ชีวิต ลุถึงวิชา เกิดปัญญา นำพาชีวิต


    มองให้ทะลุเนื้อทะลุหนัง ทะลุเอ็น ทะลุพังพืด …

    ยิ่งถ้าใช้ปราณโอสถใน วิชาวิเคราะห์กระดูกก็ยิ่งเป็นประโยชน์ ปวดตรงไหน เจ็บตรงไหน ขัดตรงไหน ยอกตรงไหน มันจะเข้าไปบำบัดรักษา แม้ที่สุดถึงขนาดมันสามารถทำให้ลั่นกรั๊วบกร๊าบได้ทันที แล้วมันจะเบาจะโล่งขึ้น

    เพ่งมองไปที่กระดูกสันหลังและกะโหลกศีรษะ ต้นคอ ก้นกบ มองย้อยหลังเข้าไป อย่ามองมาข้างหน้า จับกระดูกสันหลังเอาไว้ แล้วจะรู้สึกเสียวสันหลัง เบาสบาย


    ไล่ตั้งแต่สูงลงต่ำ หรือต่ำขึ้นสูงก็ได้

    สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ให้ลมซ่านไปทั่วสรรพางค์กาย แล้วผ่อนลมออกไปยาวๆ เบาๆ สบาย

    อีกที … ลมออก เบา ยาว สบาย


    หายใจเข้าไปใหม่ ให้ลมเข้าไปในไขกระดูกและข้อของกระดูก ให้รู้สึกได้ว่ากระดูกทุกข้อได้รับลมผ่าน ผ่านเข้าไปในแกนกลางของกระดูก เรียกว่าชำระไขกระดูก จนกระทั่งทะลุทะลวงไปถึงปลายนิ้วมือนิ้วเท้า หลังจากหายใจครั้งนี้แล้วต้องโล่ง ... หายใจออกผ่อนคลาย


    เอาใหม่ ... ให้ลมซึมเข้าไปในแกนกลางของไขกระดูก ในข้อกระดูก แม้ในกะโหลกศีรษะ ... แล้วหายใจออก ผ่อนคลาย


    =============================================


    นอน มีสติพิจารณาความเป็นไปในกาย


    ลืมตาม ปรับท่าปฏิบัติธรรม ลงนอน นอนหงาย ... ชอบอยู่แล้ว กำลังรออยู่เชียว


    เหยียด ขาไป นอนท่าตรง ... แยกขา กางแขน แบมือ ... เออ ก็มีสำนักนี้ล่ะ สอนแบบนี้ ... มึงหวิดได้วิชาไปทั้งแผ่นแล้วไม๊ล่ะ มึงหันตีนไปทางป้ายกูทำไมล่ะ


    เอ้า สูดลมหายใจเข้า แล้วตาม ให้ลมเดินตามข้อกระดูกให้หมด...จนถึงปลายนิ้วมือนิ้วเท้า


    ...เฒ่า ไม่นอนเหรอ นั่นแหล่ะ นอนหงายแถวนั้นแหล่ะ ลูกหลานไปไหนหมด ไม่พยุงให้นอนล่ะ ... เออ ให้คนแก่เอาเลือดลงหัวบ้างซิ


    ให้ฝ่ามือกับฝ่าเท้ามีไอร้อนปรากฏ …


    ... เออ แล้วนอนลงมา นอนหงายลงมา ถอยหลังลงหน่อย ... เออ เอาล่ะ ตายก็ไม่เสียชาติเกิดล่ะ ได้มานอนวัดอ้อน้อย


    นอนแล้วหายใจเข้าลึกๆ ให้ลมมันเดินไล่ไปถึงปลายเท้า แล้วหายใจออก

    ไล่ ลมหายใจไปปลายเท้าแล้วจึงจะออก ถึงมือกับเท้า แล้วจึงจะหายใจออก ค่อยๆ ดื่มลมหายใจลงไปช้าๆ เติมลมหายใจลงไปช้าๆ ให้ลมมันไหลลงไปถึงปลายนิ้วมือนิ้วเท้า แล้วจึงจะหายใจออก ... เฮ้ย ทำไมมันเงียบแท้วะ ทำไมมันไม่กระเพื่อเลยวะ ...

    หายใจเข้า ... ให้ลมอัดเข้าไปช้าๆ อย่าเข้าถึงขนาดเสียดแทง เรียกว่าให้ลมสุขุม ... ให้รับรู้ได้ถึงไอร้อนที่ออกตามฝ่ามือ ฝ่าเท้า รักแร้ ขาหนีบ ซอกคอ ลำตัว อย่างนี้เขาเรียกว่ามีสติพิจารณาความเป็นไปภายในกาย รู้ตัวตลอดทั่วสรรพางค์กาย


    ถามว่าเมื่อทำแล้วมันจะได้อะไร เมื่อจิตเราไม่ได้เสวยอารมณ์กุศล ไม่ได้เสวยอารมณ์อกุศล มีแต่ตัวรู้อยู่ภายในจิต พัฒนาการของจิตเมื่อมีตัวรู้ตั้งมั่นอย่างยั่งยืนยาวนาน แม้ที่สุดเราจะไม่ได้บรรลุมรรคผลอะไร มันก็สามารถทำให้เรามีชีวิตยู่อย่างเป็นผู้รู้ได้ในขณะหนึ่งๆ หรือถ้าทำได้ทุกเวลามันก็เป็นทุกขณะ ผู้รู้ก็คือผู้ที่ทำไม่ผิด พูดไม่ผิด คิดไม่ผิด ผู้รู้ก็คือผู้ที่ไม่หลง ไม่โง่ ไม่งมงาย เมื่อไม่โง่ ไม่หลง ไม่งมงาย ทำ พูด คิด ใดๆ มันก็จะกลายเป็นมหากุศล


    ค่อยๆ สร้างบารมีแห่งความเป็นผู้รู้อยู่เนื่องนิตย์ จนสุดท้ายเราก็สามารถพิจารณาเห็นทุกอย่างได้เป็นตามความเป็นจริง ที่ทุกวันนี้เราไม่สามารถเห็นหรือไม่สามารถพิจารณาทุกอย่างเป็นตามความเป็นจริง ก็เพราะเราไม่รู้


    การพิจารณาเห็นทุกอย่างเป็นตามความเป็นจริง มันให้ประโยชน์อะไร อย่างน้อยมันก็ไม่มีพันธะ ไม่มีพันธนาการต่อชีวิตจิตวิญาณเรา อิสรเสรีภาพก็เกิดขึ้นกับเราเพราะเราเป็นผู้ไม่มีพันธนาการในจิต เรียกกว่าอยู่อย่างอิสระในโลก เพราะเป็นผู้รู้ ไม่ต้องถามว่าคุณธรรมระดับนี้อยู่ในขั้นไหนของพระอริยเจ้า เพราะพระอริยเจ้าทั้งหลายท่านก็อยู่กันอย่างอิสระในโลก ไม่มีพันธนาการทางจิต

    =============================================

    กลับมาดูกระดูก


    ท่านอน

    เอ้า ลองกลับมาเป็นทางวิปัสนึกบ้าง ว่ากระดูกนอนอยู่ กระดูกกลุ่มใหญ่นอนอยู่ กองอยู่กับพื้น เมื่อกี้ตัวกูนอนอยู่ เที่ยวนี้กระดูก ... กระดูกนอนอยู่


    เฮ้ย กระดูกกรนได้ไงวะ กระดูกหลับไปได้ไง กระดูกไม่กรน กระดูกไม่ง่วง กระดูกไม่หลับ กระดูกไม่มีอารมณ์ กระดูกไม่มีความรู้สึก แยกจิตออกจากกระดูก มองให้รู้ว่านี่คือกระดูก แล้วอะไรคือผู้มอง จิตคือผู้มองกระดูก อย่าให้จิตกับกระดูกมันผูกกัน


    กระดูกนอนอยู่แล้ว ลองหายใจเข้าไปในท่อของกระดูกซิ ลองเป่าลมเข้าไปในท่อของกระดูกซิ เพราะกระดูกแต่ละท่อนมันมีรูพรุนตรงกลาง ตั้งแต่กะโหลกศีรษะ เรื่อยไปจนถึงกระดูกท่อนแขน กระดูกซี่โครง กระดูกสันหลัง กระดูกขาบนขาล่าง แม้กระดูกปลายนิ้วมือนิ้วเท้ามันก็กลวง ให้เดินลมไปทั่วซิ ลองหาวิธีซิรับรู้ให้ได้ว่าเมื่อลมเดินไปถึงจุดปลายนิ้วมือนิ้วเท้าก็มีลมไหล พุ่งออกมาจากปลายนิ้วมือนิ้วเท้าด้วย

    ... เสียงอะไรครืดๆ วะ ลมออกจากกระดูกเหรอ


    เอ้า ทีนี้ลองทำให้ลมเดินวนรอบกะโหลกศีรษะด้านบนซิ ... วนรอบกะโหลกศีรษะด้านบน ...

    =============================================

    แผ่เมตตา


    ต่อ ไปกำหนดลมหายใจเข้า สัตว์ทั้งปวงจงเป็นสุข หายใจออก สัตว์ทั้งปวงจงพ้นทุกข์ แต่พิเศษตรงที่ให้ลมหายใจและคำว่าสัตว์ทั้งปวง ออกมาจากแกนกลางของกระดูกสันหลัง นั่นหมายถึงต้องภาวนา ไม่ใช่ริมฝีปาก แกนกลางของกระดูกสันหลังระหว่างข้อต่อที่ต่อกับก้นกบ แล้วไล่ขึ้นมาจนถึงสมองถึงกะโหลกศีรษะด้านหลัง ให้กระเทือนถึงกระดูกสันหลัง แล้วก็มาออกที่จมูก ...


    ...(เสียงระฆัง)...


    ต่อไปสูดลมหายใจ เข้าจมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง ท้ายทอย ต้นคอด้านหลัง สะบัก หัวไหล่ กระดูกสันหลัง ลงไปที่ก้นกบ ท่อนขาด้านบน ข้อพับ ท่อนขาด้านล่าง ส้นเท้า ฝ่าเท้า ปลายนิ้วเท้า หลังเท้า หายใจออก


    หายใจ เข้า จมูก หลอดลม ลำคอ หน้าอก ช่องท้อง เหนือสะดือ หัวเหน่า แยกไปที่ขาสองข้าง หัวเข่าสองข้าง หน้าแข้งสองข้าง ข้อเท้า หลังเท้า ปลายนิ้วเท้า หายใจออก


    หายใจเข้า ขึ้นจมูก หน้าผาก กลางกระหม่อม กะโหลกศีรษะด้านหลัง ต้นคอด้านหลัง หัวไหล่สองข้าง ท่อนแขนด้านบน ข้อศอก ท่อนแขนด้านล่าง ข้อมือ ฝ่ามือ หลังมือ ปลายนิ้วมือ หายใจออก


    สูดลม หายใจเข้า ปลายนิ้วมือ ฝ่ามือ ข้อมือ ท่อนแขนด้านล่าง ข้อศอก ท่อนแขนด้านบน หัวไหล่ ขึ้นมาที่ต้นคอสองข้าง ขึ้นมาที่กะโหลกศีรษะด้านหลัง มารวมกันที่ศูนย์รวมประสาทกลางกระหม่อม หน้าผาก เป้าตา ออกจมูก


    ยกมือไหว้พระกรรมฐานแล้วลุกขึ้นนั่ง

    =============================================

    ตื่นได้แล้ว กรนครืดๆๆ เชียว กรรมฐานวัดไหนมันจะไม่สบายเท่าสำนักนี้เล้ย


    สันหลัง โล่งไหม กระดูกสันหลังโล่งไหม ทำแล้วกระดูกสันหลังต้องโล่ง ต้นคอต้องโล่ง สมองต้องโปร่ง ต้องชำระไขกระดูกอย่างนี้ทุกวัน ทุกวัน ทุกวัน จนกระทั่งมันสามารถเดินลมได้ทุกขณะ จุดต่างๆ ที่มีไว้เป็นเพียงแค่สมมติฐาน บรรทัดฐานในการที่ลมจะต้องผ่าน แต่ถ้าเราชำระไขกระดูกจนลมสามารถเดินทะลุทะลวงเข้าไปในโพรงกระดูก จุดเหล่านี้แทบไม่มีความหมาย เพราะถือว่าลมที่เดินมันได้จุดแล้ว ก็ถือว่าจุดไม่มีความหมายแล้ว มันจะเดินไปได้ทุกข้อกระดูกตามที่เราต้องการให้เดิน เรียกขั้นนี้ว่าหายใจชำระไขกระดูก หรือ
    ปราณชำระไขกระดูก แต่ต้องทำให้ได้ทุกวัน ได้ทั้งยืน แล้วก็ท่านอน ... แต่มีบางคนมันแอบหลับ ... มึงไม่ต้องมาชำเลืองกู

    พอ ... เดี๋ยวให้ถามปัญหา สักครึ่งชั่วโมง สี่โมงเลิก


    ขอเรียนเชิญทุกท่านกราบในพระกรรมฐานที่องค์หลวงปู่ฯ ท่านเมตตาอบรมสั่งสอนเราในวันนี้ค่ะ

    =============================================

    ฟังธรรม สร้างตัวรู้


    ชีวิต จะเป็นสุขได้ก็เพราะเราบริหารกายกับบริหารจิต หลวงปู่คิดอย่างนี้เสมอมาชั่วชีวิต เลยหากรรมวิธี หากุศโลบายที่จะทำยังไงที่จะให้ลูกหลานได้มีโอกาสบริหารได้ทั้งกายและจิต ไหนๆ เราก็มีสมบัติที่เป็นทุกข์มาแล้วแต่กำเนิด เพราะมนุษย์มีสมบัติติดมาอยู่สองอย่าง ทุกข์สมบัติกับมรณะสมบัติ แล้วเราจะทำยังไงที่จะสามารถให้เรามีชีวิตอย่างทุกข์น้อยที่สุด มันก็จะต้องหากรรมวิธีหากุศโลบาย แม้คนอื่นอาจจะมองว่าวิธีเลอะเทอะไร้สาระ แต่ถ้าเราทำแล้วเราเป็นสุขก็พอแล้วหล่ะ ใครจะว่าไงก็ช่างมัน เราทำแล้วเรารู้สึกเบาสบาย ผ่อนคลาย ก็พอแล้วหล่ะ เพราะทั้งชีวิตเราตั้งแต่ตื่น ยันหลับ ก็มีแต่ทุกข์ตลอด แล้วเราจะทำอย่างไงให้เราตื่นอย่างเป็นสุข แม้นอนก็เป็นสุข นั่งก็เป็นสุข ยืนก็เป็นสุข เดินก็เป็นสุข ... ก็ทำอย่างที่สอนนี่แหล่ะ สร้างตัวรู้ให้เกิด แล้วนำตัวรู้เหล่านั้นมารับรู้สิ่งที่เป็นภายในกาย เรียกว่าเรียนรู้ชีวิต ชีวิตมันก็คือวิชา เมื่อชีวิตมันเป็นวิชชา เมื่อเราลุถึงวิชา ปัญญามันก็เกิดแก่เรา ทีนี้เราก็จะมีชีวิตอยู่อย่างผ่อนคลาย ทุกข์น้อย ความสุขมันก็จะตามมาเอง แต่ทุกวันนี้ที่เราอยู่กัน คนทั้งหลายก็มีแต่ทุกข์มากๆ ยืนก็เป็นทุกข์ นั่งก็เป็นทุกข์ นอนก็เป็นทุกข์ หิวก็เป็นทุกข์ กระหายเป็นทุกข์ ก็เรามีสมบัติเป็นทุกขสัจจะน่ะ พระพุทธเจ้าตรัสพระธรรมข้อแรกก็เริ่มตั้งแต่ทุกข์ เพราะพระองค์ทรงเห็นสัจธรรมข้อนี้ว่ามันเป็นทุกข์จริงๆ มันไม่มีใครหนีทุกข์ไปได้ เพราะฉะนั้นเราก็ต้องใช้ปัญญาบริหารตัวต้นทุกข์เนี่ยให้มันรับทุกข์น้อย หน่อย แล้วอะไรคือตัวต้นทุกข์ ก็คือตัวเรานี่แหล่ะ ตัวเราที่นั่งอยู่นี่แหล่ะ มันเป็นทุกข์ เหตุที่มีตัวเราก็เพราะเราโง่ เราไม่รู้ งั้นเราก็ต้องทำให้เกิดตัวรู้ เมื่อมีความรู้ มันก็จะนำพาให้ตัวต้นทุกข์นี้ให้รับทุกข์น้อย แม้ใครจะยัดเยียดทุกขสัจจะหรือทุกขสมบัติให้เรา ด้วยเหตุปัจจัยใดๆ ทั้งภายในและภายนอก ทั้งอดีตปัจจัย อนาคตปัจจัย และปัจจุบันปัจจัย แต่ถ้าเรามีตัวรู้ มีสติปัญญา มีท่านผู้รู้ เราก็สามารถจะหลีกเลี่ยงเหตุปัจจัยทุกข์เหล่านั้น ทั้งอดีต อนาคต ปัจจุบันได้ในระดับหนึ่ง มันก็ยังดีกว่าคนที่นั่งเป็นทุกข์ เดินเป็นทุกข์ ยืนเป็นทุกข์ นอนเป็นทุกข์ อ้าปากก็ทุกข์ หุบปากก็ทุกข์ แล้วมันจะมีชีวิตอยู่อย่างไร สิ่งที่หลวงปู่สอนก็เพียงมุ่งหวังที่จะให้ลูกหลานได้อยู่กันอย่างผ่อนคลาย ความทุกข์ได้ในขณะหนึ่ง แล้วก็สร้างให้เกิดสติปัญญาให้มาก แล้วที่สุดมันก็จะชนะทุกข์ไปเอง เพราะว่าปัญญาเท่านั้นจึงจะสามารถถอนรากเหง้า ถอนโคนแห่งทุกข์ได้ เหมือนดังหลักปฏิจจสมุปบาท ที่อวิชชาพาเข้ามาให้เกิดสัณฐานการปรุง เพราะมีสัณฐานการปรุงมันทำให้เกิดวิญญาณการรับรู้ เพราะวิญญาณการรับรู้ก็ทำให้เกิดนามรูป เพราะนามรูปมันทำให้เกิดสารายตะนะ ที่เรียกว่าแดนต่ออารมณ์คือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ พอมีแดนต่ออารมณ์ก็มีผัสสะ มีผัสสะก็มีเวทนา พอมีเวทนา สุข ทุกข์ ทีนี้ก็อยาก อยากพ้น อยากมี อยากได้ และไม่อยากอยากก็ถือว่าเป็นความอยากอย่างหนึ่ง พอมีตัณหาก็มีอุปทานความยึดถือตามมาแล้ว ตามมาด้วยความทุกข์ทรมาน ภพ ชาติตามมา ชรา มรณะ พยาธิก็ตามมา ทุกอย่างมันอยู่แค่จิตเดียว ปฏิจจสมุปบาทธรรมมันเกิดได้ในขณะจิตเดียว แล้วเวลาที่เรามีตัวรู้ ปฏิจจสมุปบาทธรรมจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลย เพราะรู้หนึ่งจิต อวิชชาก็โดนดับ สัณฐานการปรุงก็ไม่มี วิณญาณการรับรู้ก็รู้เฉพาะเรื่องที่เป็นปัจจุบันธรรมรู้ มันก็ไม่ใฝ่รู้ในเรื่องอดีต ไม่ใฝ่รู้ในเรื่องอนาคต รู้ในปัจจุบันรู้อะไร ก็รู้ว่าเรากำลังทำพระกรรมฐานอยู่ไง รู้ว่าเรากำลังจะเจริญมหากุศลอยู่ไง รู้ว่าเวลานี้กระดูกกลุ่มหนึ่งนอนอยู่ไง รู้ว่าเวลานี้เราจะวาง แล้วว่างไง


    เมื่อ วิณณาณการรับรู้ไม่มี สังขารการปรุงแต่งใดๆไม่ปรากฏ การต่ออารมณ์ต่างๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเราสามารถสำรวมสังวรณ์ระวังได้ด้วยความรู้และท่านผู้รู้ เวทนามันจะมาจากไหน มันไม่มีทางมา มันมาไม่ได้ อย่างนั้นเราก็ต้องเป็นผู้ไม่มีเวทนา ทุกขเวทนาก็ไม่เกิด สุขเวทนาก็ไม่เกิด แต่มันจะเกิดเฉพาะสภาวะธรรมที่มีเหตุปัจจัยเท่านั้น เมื่อมีตัวรู้แล้วเวทนาไม่เกิด


    ไอ้คำว่าเบาสบายเนี่ยมันไม่จัดว่า เป็นเวทนา เพราะมันเป็นสิ่งที่ไม่ใช่อารมณ์ แต่เป็นสภาวะธรรมที่เกิดจากการปลดเปลื้องพันธะ ปลดปล่อยตัวเองออกจากพันธนาการที่เป็นอิสระ พอเราเป็นอิสระจากพันธนาการเราก็รู้สึกเบาสบาย มันเป็นความรู้สึกโดยเหตุปัจจัย ไม่ใช่รู้สึกโดยอารมณ์ เขาถึงไม่เรียกว่าเป็นเวทนา ถ้าจะจัดว่าเป็นเวทนาก็เป็นเวทนาที่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่งจากอารมณ์ แต่เป็นเหตุปัจจัยจากการประพฤติปฏิบัติในการวางแล้วว่าง ปกติเราเคยยึดเคยแบกอยู่ พอวางแล้วว่างมันก็ผ่อนคลาย มันก็เบาสบาย เพราะฉะนั้นตัณหาและความทยานอยากมันก็จะหยุด จะเห็นว่าเวลาปฏิบัติกรรมฐานจนถึงตัวรู้เนี่ยจะมีตัวอยากไหม เมื่อถึงตัวรู้จะไม่มีตัวอยาก พอไม่มีตัวอยากมันก็ไม่ทุกข์ยาก เพราะฉะนั้นก็ต้องหาวิธีที่จะทำให้เกิดตัวรู้อยู่ตลอดเวลา ทำอยู่บ่อยๆ ...


    ... ไม่ต้องตั้งท่าแล้ว สอนมาหลายปีแล้ว พอถึงเวลาก็ทรงตัวรู้ทันที ทีเป็นร่างทรงของราคะไม่เห็นต้องตั้งท่าเลย ทีกัดกับหมูกับหมา ทะเลาะกับคนนั้นคนนี้ไม่เห็นต้องตั้งท่าเลย พอจะทรงตัวรู้ของท่านผู้รู้หน่อยแหมต้องท่าเยอะเหลือเกิน ต้องนั่งท่านี้ ต้องเดินท่านี้ ต้องนอนแบบนี้ ทำดีต้องมีท่าเหรอ ทีทำชั่วไม่เห็นต้องตั้งท่าเลย แป๊บดีก็ชั่วเลย สังเกตไหม ... เพราะฉะนั้นเลิกตั้งท่าได้แล้ว


    ไอ้ท่าทางทั้งหลายมันมาจากคนที่ยัง ไม่เข้าใจเหตุปัจจัย ยังไม่รู้อะไร สองปีที่ผ่านมาหลวงปู่สอนให้ขีดบ้าง สอนให้ยืนบ้าง สอนให้เดินบ้าง ก็เพื่อให้คุ้นเคยกับท่านผู้รู้ ปีนี้หลวงปู่จะไม่ค่อนสอนเรื่องท่ายืน ท่าเดิน ท่านอน ท่าขีดอะไร ท่านั่งอะไร มันเป็นของเด็กอนุบาลแล้ว ถ้าพวกหล่อนเด็กอนุบาลครูก็คงไม่รับแล้ว ... แก่เกินไป ไม่ใช่โตเกินไป เหี่ยวเกินไป เพราะงั้นก็ต้องเริ่มแล้ว พอมีอะไรกระทบปุ๊บ ต้องสร้างตัวรู้ปั๊บ เขาจะด่าเรา เขานินทาเรา จะว่าเรา เราไม่เป็นอย่างนั้นหรือเป็นอย่างนั้นก็แล้วแต่ มีตัวรู้เข้าไว้ สร้างตัวรู้เข้าไว้ เขาทำเพื่ออะไร เขาด่าเราเพื่ออะไร เขาทำร้ายเพื่ออะไร เขาทำลายเพื่ออะไร เขาปรามาสเพื่ออะไร สร้างตัวรู้เอาไว้ แล้วใจ เราจะได้ไม่ปรุง จิตเราจะได้ไม่หวั่นไหว เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ การรับรู้เราควบคุมได้ ความทุกข์เดือดร้อนที่มันกลายเป็นสมบัติมันจะได้เบาบางลงบ้าง เรามีทุกขสัจจะเป็นสมบัติติดตัว นี่ของจริงและเรื่องจริง แต่เป็นเรื่องประหลาดเราไม่เคยคิดเลยว่าทำไมเรามีชีวิตอยู่เพื่อเพิ่มสมบัติ เก่า แล้วสมบัติตัวนี้มันก็คือทุกขสัจจะอีกนั้นแหล่ะ ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเรามีทุกข์เป็นสมบัติ แต่มาเกิดแล้วก็ยังมาแสวงหาทุกข์เพิ่มอีก นี่เขาเรียกว่าชีวิตผู้รู้ไหม ... เกิดมาแล้วมันก็มีทุกข์แถมมาอยู่แล้ว ยังมาหาทุกข์เพิ่มอีก ... หาทุกข์เพิ่มยังไง มีผัวก็เป็นทุกข์ เป็นทุกข์ไหม ไปบอกเลิกมันเลย เลี้ยงผัวก็เป็นทุกข์ หุงข้าวให้ผัวกินก็เป็นทุกข์ ซักผ้าให้ผัวใส่ก็เป็นทุกข์ พูดอย่างนี้ไม่ใช่บอกให้ไปเลิกผัว แต่พูดให้ฟังว่าเกิดก็เป็นทุกข์มาอยู่แล้ว แต่เราก็ยังเพิ่มทุกข์อีก พระพุทธเจ้าจึงเป็นผู้ออกจากเรือน ไม่เป็นผู้ข้องเรือน เป็นอนาคานิก คือผู้ไม่อยู่ในเรือน ผู้ไม่แสวงหา เพราะพระองค์รู้ว่านั่นคือการสะสมกองทุกข์ไง


    กูไม่รู้ว่าพวกมึงคิด ยังไง แต่กูรู้ว่าเวลากูมีอะไรเยอะแยะแล้วกูจะเป็นทุกข์มาก เพราะฉะนั้นกูพยายามจะไม่มีอะไร ทำตัวเปล่าๆ เบาๆ สบายๆ ของกูอย่างเงี้ย ที่หาๆมากูก็พยายามจะไม่แบก ไม่เก็บ ไม่ยึด ... แต่หายไม่ได้นะมึง (ฮ่า) หายหล่ะกูจะตามไปด่า เพราะถือว่าบริหารของเขาไม่ดี เขาอุตส่าห์ให้มาแล้วดูแลไม่เรียบร้อย ไม่ใช่ของกู...แต่อย่าหาย (ฮา) เออ..ถ้าคนให้เขาไม่คิดอะไรไม่หวังบุญน่ะกูจะปล่อยให้มันหาย แต่คนให้เขาคิดหวังบุญ แล้วกูมาปล่อยให้มันหาย กูก็ต้องกลายเป็นหนี้บุญเขาซิ แล้วจะไปเอาบุญอะไรมาให้เขานักหนา งั้นถ้าบริหารของเขาไม่ดีมันก็กลายเป็นหนี้เขา เพราะฉะนั้นไม่ใช่เรื่องดีนะ ไอ้ทรัพย์สินเงินทองที่ชาวบ้านเขามายัดยัดยัดให้เนี่ยนะ นั่นมันกองทุกข์ พันธนาการทั้งนั้น สู้ไม่มีซะดีกว่า ไม่ต้องมาแบกมาเป็นภาระบริหาร ทุกบาททุกสตางค์มันเป็นกองทุกข์ทั้งนั้น ไม่รู้คนอื่นคิดยังไง กูคิดของกูอย่างเนี้ย แล้วชั่วชีวิตกูก็ไม่พก ... ไปใต้กูก็ไม่พก ไอ้คนขับรถมันถามว่า หลวงปู่มีตังส์เติมน้ำมันไหมน่ะ ... ฉิบหายหล่ะ มึงเคยเห็นกูมีเหรอ (ฮ่า) ... เอาหลวงปู่ไม่มีเหรอ ผมก็ไม่ได้เบิกมา ... เออ งั้นมึงก็จอดข้างทางเถอะ (ฮา) กูบอกแล้วให้หาตังส์เติมน้ำมันมาด้วย กูไม่มีนะ กูมีหน้าที่นั่งอย่างเดียว มึงไม่ไปกูก็เดิน กูไม่สนใจหรอก (ฮา)...


    มันสบาย ไม่ต้องแบก ไม่ต้องไปหามันอะไรนักหนา ไม่ต้องทุกข์มาก ชั่วชีวิตหลวงปู่น่ะรู้อยู่ว่ามันเป็นทุกข์ เรามีสมบัติติดตัวอยู่สองอย่าง มรณะสมบัติกับทุกขสมบัติ ทุกวันนี้มันก็ตายทุกวัน ความตายมันก็เข้ามา ... เมื่อเช้านี้พอต้มยาแล้วก็เอาน้ำมาล้างมือ ล้างตีน เออ ... ตีนกูตายแล้ว ทำไมตีนกูมันเหี่ยวกว่าหน้ากูอีกวะเนี่ย นี่ความตายมันมาเยือนแล้ว แล้วจะมานั่งแบก นั่งหาอะไรกันนักหนา แค่อยู่แล้วก็ใช้ประโยชน์ให้คุ้มค่า มีสาระ มีเครื่องเกาะเครื่องยึดก็คือพระธรรมก็ภูมิใจแล้ว ไม่ต้องไปเกาะไปยึดอะไรมาก

    ==================================
    ===========
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 มิถุนายน 2011
  14. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253

    เล่าสู่กันฟังนะครับ โปรดใช้วิจารณญาณเช่นเคย :)

    เมื่อก่อนผมเคยไปเรียนสมาธิ กับอาจารย์ท่านนึง


    ท่านก็บอกว่า จะเข้าสมาธินั้น

    หากเปรียบกับบ้าน จะปีนหลังคา จะเข้าทางประตู เข้าทางหน้าต่าง จะทุบกำแพงเข้ามา เจาะพื้นเข้ามา ก็เข้าบ้านได้เหมือนกัน

    เวลาจะให้จิตรวมตัวเป็นสมาธิ ก็ท่องคำบริกรรมให้เร็วๆ จนจิตมันไม่มีช่องว่างให้ไปคิดเรื่องอื่น มันก็จะรวมตัวเป็นสมาธิเอง


    นั่นคือ การเอาจิตที่มีกำลัง มากดทับจิต ไม่ให้ฟุ้ง


    แต่หากเรามีสติสัมปชัญญะ ที่ว่องไว รู้ตัวทั่วพร้อมได้ตลอดสาย ปฎิกูลก็เกาะยาก ถึงเกาะแล้ว ก็จะรู้ และปล่อยได้เร็ว เป็นธรรมชาติสมาธิ


    ปราณชำระไขกระดูก = การนำปราณโอสถ เข้าไปชำระไขกระดูกแต่ละข้อๆ ให้หมดจด


    ปราณเสีย ที่จะเกาะเกี่ยว ก็จะหาที่อยู่ในกายนี้ได้ยาก


    ตอนเรียนสหจะโยคะ พูดถึงจักระทั้ง 7 และคุณสมบัติของจักระแต่ละจักระ


    เช่น


    คุณสมบัติของจักระที่ 1 คือ ความบริสุทธิ์ ไร้เดียงสา

    คุณสมบัติของจักระที่ 2 คือ ความรู้ที่บริสุทธิ์
    คุณสมบัติของจักระที่ 3 คือ ความพึงพอใจ ความอิ่มเต็ม การเป็นนายของตนเอง
    คุณสมบัติของจักระที่ 4 คือ ความรัก
    คุณสมบัติของจักระที่ 5 คือ การสื่อสาร
    คุณสมบัติของจักระที่ 6 คือ การให้อภัย
    คุณสมบัติของจักระที่ 7 คือการรวมเป็นหนึ่ง ความว่าง

    และอวัยวะภายในร่างกายทั้งหลาย เช่น นิ้วมือแต่ละนิ้ว นิ้วเท้าแต่ละนิ้ว อวัยวะน้อยใหญ่ทั้งหลาย เป็นจุดสะท้อนของจักระทั้ง 7 ในระบบกายภายใน


    เมื่อมีความรู้สึกผิดปกติ เจ็บแปร๊บๆ อึดอัด ไม่สบาย ที่กาย ในอวัยวะต่างๆ ก็จะหมายถึง เกิดการอุดตันที่จักระนั้นๆ อาจเกิดจากความไม่สมดุลของเรา หรือความไม่สมดุลของสิ่งแวดล้อม


    ดังนั้น จึงต้องมีการทำความสะอาดจักระ ด้วยการทำจิตให้สอดคล้อง กับคุณสมบัติของแต่ละจักระ รวมถึงการนำธาตุต่างๆมาเสริมเพื่อให้เกิดความสมดุล


    เมื่อสมดุล พลังกุณฑาลิณี ก็จะทำงานได้อย่างดี


    การนั่งสมาธิ ก็โดยการ กำหนดจิตที่จักระที่ 7 เป็นการวางจิต ให้อยู่เหนือการทำงานของความคิด ที่ควบคุมโดยจักระที่ 6


    แล้วในขณะนั่งสมาธินั้น หากมีการแปร๊บๆ อึดอัดไม่สบายที่จักระใด ก็จะทำการเคลียร์พลังงานในจักระนั้น หรือ ใช้คลื่นเสียงจากมันตรา ไปสลายพลังงานที่อุดตันนั้น ให้โล่ง โปร่งสบาย


    ซึ่งหากกุณฑลิณีเดินได้ดี ลมปราณก็จะวิ่งผ่านนิ้วมือ นิ้วเท้า ทุกนิ้ว กระดูกสันหลัง ได้อย่างราบรื่น จนกุณฑลิณีเคลื่อนตัวไปรวมกับจิตวิญญาณจากหัวใจ ที่จักระที่ 7 จึงจะเข้าสู่ภาวะการรวมเป็นหนึ่ง ในสนามพลังงานของปัจจุบัน ตามนิยามของโยคะ


    ซึ่งเป็นบาทฐานเบื้องต้น ก่อนการใช้ปัญญา เหมือนการปัดกวาดเช็ดถู ห้องเรียนให้สะอาด เพื่อให้พร้อมต่อการเรียนรู้ความจริง


    แต่มีจุดร่วม จุดนึง ที่ขาดหายไป ก็คือ จุดกำเนิดลมปราณนั้นอยู่ที่ไหน


    วิชาปราณชำระไขกระดูก เป็นคำตอบที่ดีสำหรับเรื่องนี้เลยครับ


    เพราะจุดกำเนิดของลมปราณ ที่ควบคุมโดยจิตวิญญาณนั้น อยู่ในโพรงกระดูก

    [​IMG]

    หากมีการชำระไขกระดูกให้สะอาด ทั้งกระดูกสันหลัง กระดูกเล็กใหญ่ นิ้วมือ นิ้วเท้า กระโหลกศีรษะ และกระดูกเล็กใหญ่ทุกข้อ ลมปราณในกายภายใน ก็จะเดินได้อย่างสะดวก


    นั่นหมายถึง การที่จิตรวมตัวเป็นสมาธิ มันจะเป็นไปได้ง่าย อย่างเป็นธรรมชาติ ทั้งยามลืมตา และหลับตา


    สามารถซึมซับพลังงานที่ดีรอบๆตัวเข้ามาได้

    ซึ่งจุดร่วมของทั้งสองวิชา มีจุดที่ตรงกัน ก็คือ การทำกายรวมใจ


    เพื่อเตรียมพื้นที่ว่าง ให้จิตปัญญา ทำงาน สอนสั่งตัวเราได้
     
  15. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    [​IMG]

    ขณะที่คุณอ่านข้อความนี้ คุณฝันอยู่หรือไม่??

    ขณะที่ผมกำลังพิมพ์ข้อความอยู่นี้ ผมก็กำลังฝันว่าพิมพ์อยู่

    ความไม่รู้ หรือ มหามายา ก็คือ ครูของความรู้

    ผมกำลังฝันว่าพิมพ์ตัวหนังสือ อ่านตัวอักษร ฝันว่ายืน ฝันว่าเดิน ฝันว่านั่ง ฝันว่ากิน ฝันว่าคิด ฝันว่ารู้สึก ฝันว่ารู้ ฝันว่าฝันอยู่

    เส้นแบ่งในการใช้ชีวิตปกติ กับเส้นแบ่งในโลกแห่งความฝันนั้น ไม่มี

    มีแต่ตื่นรู้ หรือว่า หลับใหล

    จุดประสงค์เบื้องต้น ที่เขียนในข้อความแรกๆ ที่สมมติให้เป็นช่วงก่อนตื่น นั่นก็คือ สมมตินึง เพื่อให้ยอมรับว่าคิด ยอมรับว่ารู้สึก ยอมรับทุกสิ่งที่เป็นตัวเรา ยอมรับถึงความไม่รู้

    เมื่อเห็นถึงความไม่รู้ จึงเป็นการเปิดพื้นที่ให้ปัญญา เข้ามาทำงาน และมอบความรู้ให้ได้

    ในเส้นแบ่ง ที่เรียกว่า ยามตื่นในชีวิตประจำวัน และยามหลับฝัน
    เราใช้เกณฑ์ของการทำงานของร่างกาย และประสาทสัมผัส เป็นตัวแบ่ง

    หากใช้อสุภกรรมฐาน เพื่อให้เห็นความไม่คงทนของร่างกาย ก็เพื่อให้สลัดให้หลุด ว่าเราไม่ใช่ร่างกาย ไม่ใช่ประสาทสัมผัส

    แต่นั่นก็ไม่ได้การันตีทั้งหมด ว่าเราจะตื่นขึ้นมาได้

    เพราะยังมีใจที่ยึดติดอยู่

    วิธีที่จะสลัดให้หลุดจากการครอบงำของความไม่รู้ ทุกท่านก็คงทราบดีอยู่แล้ว

    หนึ่งในวิธีที่ทำได้ก็คือ

    รวมเป็นหนึ่งเดียวกับความไม่รู้ เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่มีความแตกต่างกัน
    นั่นคือ เป็นการสร้างที่ว่างขึ้นมา เพื่อให้จิตปัญญา เรียนรู้ความไม่รู้อย่างหมดเปลือก จึงจะสลัดหลุดได้

    วิธีนี้ก็คือ การเผชิญหน้า อย่างไม่ต่อต้าน

    เช่น คุณเคยโกรธ เคยหลง เคยโลภ กับสิ่งใดมากๆหรือไม่

    ถ้าโกรธ ก็ใส่ใจความโกรธ ดูความทุรนทุราย ดูว่ามีความคิดใดโผล่ขึ้นมาบ้าง มาจากไหน จากความทรงจำหรือไม่ ดูว่าคุณหาทางออกอย่างไรกับความโกรธนี้ คุณพยายามกระโดดไปความคิดอื่นหรือไม่ คุณพยายามหลีกหนีความโกรธหรือไม่ กล้ามเนื้อคุณเกร็งอยู่หรือไม่ เกิดความทึบตันของศีรษะ และอวัยวะต่างๆหรือไม่
    เฝ้าดูให้ถึงที่สุด เมื่อคุณเห็นความไม่รู้ ความดิ้นรนที่จะออกจากความไม่รู้ จนหมดสิ้น
    จะเกิดพื้นที่ว่าง พื้นที่แห่งความผ่อนคลายขึ้น เมื่อนั้นจิตปัญญา จะออกมาทำงาน
    แต่พื้นที่ว่าง จะไม่เกิดขึ้น ก็เพราะอยากให้จิตปัญญา ออกมาช่วยแก้ไข

    เช่นเดียวกับความรู้สึกขุ่นมัวอื่นๆที่เกิดขึ้น

    ต้องเห็นให้ถึงรากเหง้า จึงจะสลัดออกได้จริง

    ไม่ว่าจะกิน เดิน นอน นั่ง ฝัน ทำกิจกรรมใดๆ ให้ใส่ความรู้สึกใส่ใจอย่างเต็มที่ อย่างผ่อนคลายไปในทุกๆกิจกรรม

    เพื่อให้ตื่นขึ้นมา ในทุกๆกิจกรรม

    หากทำได้เช่นนี้เรื่อยๆ คุณจะตื่นขึ้น มากกว่า การหลับ

    แม้แต่ในฝัน ก็จะตื่นขึ้นมารับรู้โลกตามความเป็นจริง

    ที่เล่ามาทั้งหมด ไม่ใช่ว่า ตื่นได้ตลอดเวลานะครับ แต่เล่าจากประสบการณ์ ที่เคยตื่นในชีวิตประจำวัน และตื่นในความฝัน

    ชีวิตประจำวัน กับชีวิตในความฝัน ไม่ได้แตกต่างกัน

    ต่างกันแค่ว่า เราตื่น หรือเราหลับ เท่านั้น

    แล้วตอนนี้ คุณตื่น หรือหลับครับ

    :)
     
  16. threeam

    threeam เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ธันวาคม 2008
    โพสต์:
    447
    ค่าพลัง:
    +1,364
    หลับหลับ ตื่นตื่น ค่ะ คุณเซล
    นึกถึงหนังเรื่อง Inception
    ที่เขาใช้ totem
    เป็นวัตถุให้เตือนระลึกว่ากำลังอยู่ในความฝันคนอื่นหรือไม่
    ตามทฤษฏี
    จะต้องเป็นสิ่งที่คนที่ใช้จะรู้แน่แก่ใจคนเดียว เกี่ยวกับสิ่งที่เลือกมาเป็น totem นั้น

    ในหนัง
    Ariadne เลือกใช้ตัวหมากรุกที่มีน้ำหนักมากและไม่ล้มง่ายๆ
    แต่มีเฉพาะเธอเท่านั้นที่รู้ว่าเธอได้ทำตรงกลางโบ๋ว

    ส่วน Arthur เลือกใช้ลูกเต๋าที่เขารู้ดีถึงน้ำหนักที่ถูกต้อง และรู้ว่าลูกเต๋าจะทอดออกเป็นตัวเลขอะไรในทุกครั้งที่ถูกโยน

    ฉะนั้น หลักการก็คือ
    สิ่งของที่ลักษณะที่ไม่มีใครคาดถึงได้ง่ายๆเพียงจากการมองด้วยภายนอก
    และดังนั้นจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมคุณไม่ควรให้คนอื่นจับต้อง totem ของคุณ
    _____________

    ต่อไปนี้เป็นคำถามสนุกๆค่ะ ขอถามว่า
    คุณจะเลือกใช้อะไรเป็น totem ของคุณ
     
  17. สตธศร

    สตธศร Namo Amithapho

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 พฤศจิกายน 2009
    โพสต์:
    707
    ค่าพลัง:
    +1,537
    ชอบมากที่สุด พลังแห่งรัก ทุกสรรพสิ่ง :') ดันๆๆ
     
  18. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    [​IMG]

    ขอบคุณครับ คุณสตธศร :)

    ขอร่วมเล่นสนุกด้วยครับ คุณ treeam

    totem ที่ใช้ยามตื่น ก็คือ ความทรงจำ
    totem ที่ใช้ยามฝัน ก็คือ ลมหายใจ และ คำเตือนว่า นี่ฝันหรือจริง

    ว่าแต่คุณ treeam ใช้ totem อะไร :)
     
  19. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    [​IMG]

    ไปเจอบทความนึง น่าสนใจมากครับ
    เป็นเรื่องการแปลงพลังงานทางเพศ ให้เป็นพลังจิตวิญญาณ

    จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เรื่องนี้มีประโยชน์มากครับ
    ผมเชื่อว่า หลายๆท่านก็น่าจะเคยผ่านความขัดแย้งทางใจ และกายนี้มาบ้าง อย่างน้อยผมก็คนนึงหละ :)

    นอกจากการแปลงพลังงานทางเพศ เป็นพลังทางจิตวิญญาณแล้ว ยังสามารถแปลงพลังงาน โกรธ โลภ หลง หรือ พลังงานอื่นๆ ให้เป็นพลังจิตวิญญาณได้เช่นกัน จากที่เขียนในโพสที่ 75 คือ การยอมรับอย่างหมดใจ การเผชิญหน้า โดยไม่ต่อต้าน ให้มีสติสัมปชัญญะ ผ่อนคลายร่างกาย จิตใจทุกส่วนอย่างรู้ตัวทั่วพร้อม จนเราคือ ความโกรธ ความโลภ ความหลง หรือเป็นทุกๆอย่าง มันคือ กระบวนการแปลงพลังงานให้สวิทซ์กลับเป็นอีกขั้วนึง ซึ่งก็คือ ความรัก

    เพราะเนื้อแท้ของทุกอย่าง ก็คือ พลังงาน

    + หรือ - หรือ คำว่า รัก โลภ โกรธ หลง หรือ สิ่งใดๆก็ตาม เนื้อแท้ก็คือสิ่งเดียวกัน ไม่มีความแตกต่าง ต่างกันเพียง การให้ค่ากับสิ่งนั้นว่าอย่างไร

    ผมอยากให้ทุกคนลองดู อย่าเพิ่งเชื่อ หรือปฎิเสธทันที เพราะหากทำเช่นนั้น ท่านจะไม่ได้สิ่งที่เป็นประโยชน์กับตัวท่านเลย

    หากเรามีความซื่อตรง ยอมรับตนเอง ยอมรับทุกสิ่งที่ตนเองเป็นอย่างหมดใจ ไม่รังเกียจ ไม่ผลักไส ไม่หนี ความคิด ความรู้สึกตนเอง เราจึงจะเห็นถึงต้นตอสิ่งที่อยู่ในใจเราทั้งหลาย เราจะให้อภัยตัวเราเองได้ ให้อภัยผู้อื่นได้ พลังงานภายใน ที่แยกกันอยู่กระจัดกระจาย จะเริ่มรวมตัวกัน แล้วแปลงเป็นพลังงานความรัก พลังของปัจจุบันขณะ

    ประตูของพลังชีวิตในกายจะเปิดออก เส้นลมปราณจะทะลุทะลวง ไม่อุดตัน

    เป็นการเปลี่ยนแปลงจากภายใน สู่ภายนอก

    หลังจากนั้น เราจะสามารถแปลงพลังงานทุกอย่าง ให้เป็นพลังงานทางจิตวิญญาณได้ โดยใช้กลไกของจิต

    แต่เราก็สามารถใช้ภายนอก เปลี่ยนแปลงภายในเช่นกัน เช่น การฝึกโยคะ ชี่กง เต๋า เดินจงกลม หรือวิธีอื่นๆ แล้วฝึกสติสัมปชัญญะควบคู่กัน

    สิ่งเหล่านี้ ไม่ได้เป็นความลับ และไม่ได้เป็นสิ่งที่เกินวิสัยที่จะทำได้ หรือเป็นเพียงนิยาย เรื่องเพ้อฝัน ที่สงวนไว้ให้เพียงผู้ใดผู้หนึ่งเท่านั้น

    มันคือวิทยาศาสตร์ทางจิต ในการแปลงพลังงาน เป็นการเพิ่มศักยภาพในการใช้กาย และใจ ของเราให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพของสมอง ของร่างกาย ลดความขัดแย้งภายในใจ

    ผมอยากให้ลองศึกษากันดูครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2011
  20. cosmiccell

    cosmiccell เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    184
    ค่าพลัง:
    +253
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2011

แชร์หน้านี้

Loading...