เรื่องเด่น พุทธทำนาย ยุคกึ่งพุทธกาล จะเกิดภัยพิบัติและสงครามใหญ่ (ปีพ.ศ. 2560 เป็นต้นไป)

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 25 สิงหาคม 2016.

  1. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +30
    1B504680-DCBD-4E52-9D4C-8A9F6A094E70.jpeg
    พึ่งผ่านมา 10กว่านาที !
    1D1D51ED-0902-4BC4-B28A-CB137A2F7C1E.jpeg

    เต็มแล้ว ไม่ทัน! ขออนุโมทนาบุญในพลานิสงส์ กับท่านผู้บวชถวายเป็นพระราชกุศลในครั้งนี้ด้วย

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 ธันวาคม 2022
  2. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +30
    “ทรงระบุในการปฎิบัติธรรมให้เป็นไปในตามลำดับ”



    คณกโมคคัลลานสูตร
    ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ปราสาทของอุบาสิกาวิสาขา มิคารมารดา ในพระวิหารบุพพาราม เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล พราหมณ์คณกะโมคคัลลานะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ แล้วได้ทักทายปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านคำทักทายปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่
    พระโคดมผู้เจริญ ตัวอย่างเช่นปราสาทของมิคารมารดาหลังนี้ ย่อมปรากฏมีการศึกษาโดยลำดับ การกระทำโดยลำดับ การปฏิบัติโดยลำดับ คือกระทั่งโครงร่างของบันไดชั้นล่าง แม้พวกพราหมณ์เหล่านี้ ก็ปรากฏมีการศึกษาโดยลำดับ การกระทำโดยลำดับ การปฏิบัติโดยลำดับ คือ ในเรื่องเล่าเรียน แม้พวกนักรบเหล่านี้ ก็ปรากฏมีการศึกษาโดยลำดับ การกระทำโดยลำดับ การปฏิบัติโดยลำดับ
    คือ ในเรื่องใช้อาวุธ แม้พวกข้าพเจ้าผู้เป็นนักคำนวณ มีอาชีพในทางคำนวณก็ปรากฏมีการศึกษาโดยลำดับ การกระทำโดยลำดับ การปฏิบัติโดยลำดับ คือในเรื่องนับจำนวน เพราะพวกข้าพเจ้าได้ศิษย์แล้ว เริ่มต้นให้นับอย่างนี้ว่า หนึ่ง
    หมวดหนึ่ง สอง หมวดสอง สาม หมวดสาม สี่ หมวดสี่ ห้า หมวดห้าหก หมวดหก เจ็ด หมวดเจ็ด แปด หมวดแปด เก้า หมวดเก้า สิบหมวดสิบ ย่อมให้นับไปถึงจำนวนร้อย ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระองค์อาจหรือหนอ เพื่อจะบัญญัติการศึกษาโดยลำดับ การกระทำโดยลำดับ การปฏิบัติโดยลำดับ ในธรรมวินัยแม้นี้ ให้เหมือนอย่างนั้น ฯ


    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ เราอาจบัญญัติการศึกษาโดยลำดับ การกระทำโดยลำดับ การปฏิบัติโดยลำดับ ในธรรมวินัยนี้ได้ เปรียบเหมือนคนฝึกม้าผู้ฉลาด ได้ม้าอาชาไนยตัวงามแล้ว เริ่มต้นทีเดียว ให้ทำสิ่งควรให้ทำในบังเหียน ต่อไปจึงให้ทำสิ่งที่ควรให้ทำยิ่งๆ ขึ้นไป ฉันใด


    ดูกรพราหมณ์ฉันนั้นเหมือนกันแล ตถาคตได้บุรุษที่ควรฝึกแล้วเริ่มต้น ย่อมแนะนำอย่างนี้ว่าดูกรภิกษุ มาเถิด เธอจงเป็นผู้มีศีล สำรวมด้วยปาติโมกขสังวร ถึงพร้อมด้วย
    อาจาระและโคจรอยู่ จงเป็นผู้เห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายเถิด ฯ


    ดูกรพราหมณ์ ในเมื่อภิกษุเป็นผู้มีศีล สำรวมด้วยปาติโมกขสังวรถึงพร้อมด้วยอาจาระและโคจรอยู่ เป็นผู้เห็นภัยในโทษเพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาในสิกขาบททั้งหลายแล้ว ตถาคตย่อมแนะนำเธอให้ยิ่งขึ้นไปว่า ดูกรภิกษุมาเถิด เธอจงเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย เธอเห็นรูปด้วยจักษุแล้วจงอย่าถือเอาโดยนิมิต อย่าถือเอาโดยอนุพยัญชนะ จงปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์อันมีการเห็นรูปเป็นเหตุ ซึ่งบุคคลผู้ไม่สำรวมอยู่ พึงถูกอกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ จงรักษาจักขุนทรีย์ ถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์เถิดเธอได้ยินเสียงด้วยโสตแล้ว ... เธอดมกลิ่นด้วยฆานะแล้ว ... เธอลิ้มรสด้วย
    ชิวหาแล้ว ... เธอถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว ... เธอรู้ธรรมารมณ์ด้วยมโนแล้ว จงอย่าถือเอาโดยนิมิต อย่าถือเอาโดยอนุพยัญชนะ จงปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์อันมีการรู้ธรรมารมณ์เป็นเหตุ ซึ่งบุคคลผู้ไม่สำรวมอยู่ พึงถูกอกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ จงรักษามนินทรีย์ ถึงความสำรวมในมนินทรีย์เถิด ฯ


    ดูกรพราหมณ์ ในเมื่อภิกษุเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลายได้ตถาคตย่อมแนะนำเธอให้ยิ่งขึ้นไปว่า ดูกรภิกษุ มาเถิด เธอจงเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะ คือ พึงบริโภคอาหาร พิจารณาโดยแยบคายว่า เราบริโภคมิใช่เพื่อจะเล่น มิใช่เพื่อจะมัวเมา มิใช่เพื่อจะประดับ มิใช่เพื่อจะตบแต่งร่างกายเลยบริโภคเพียงเพื่อร่างกายดำรงอยู่ เพื่อให้ชีวิตเป็นไป เพื่อบรรเทาความลำบากเพื่ออนุเคราะห์พรหมจรรย์เท่านั้น ด้วยอุบายนี้ เราจะป้องกันเวทนาเก่า ไม่ให้เวทนาใหม่เกิดขึ้น และความเป็นไปแห่งชีวิต ความไม่มีโทษ ความอยู่สบายจักมีแก่เรา ฯ


    ดูกรพราหมณ์ ในเมื่อภิกษุเป็นผู้รู้จักประมาณในโภชนะได้ ตถาคตย่อมแนะนำเธอให้ยิ่งขึ้นไปว่า ดูกรภิกษุ มาเถิด เธอจงเป็นผู้ประกอบเนืองๆซึ่งความเป็นผู้ตื่นอยู่ คือ จงชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอาวรณียธรรม ด้วยการเดินจงกรมและการนั่งตลอดวัน จงชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอาวรณียธรรม ด้วยการเดินจงกรมและการนั่งตลอดปฐมยามแห่งราตรี พึงเอาเท้าซ้อนเท้า มีสติรู้สึกตัวทำความสำคัญว่า จะลุกขึ้น ไว้ในใจแล้วสำเร็จสีหไสยาโดยข้างเบื้องขวาตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี จงลุกขึ้นชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอาวรณียธรรม ด้วยการเดินจงกรมและการนั่งตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรีเถิด ฯ


    ดูกรพราหมณ์ ในเมื่อภิกษุเป็นผู้ประกอบเนืองๆ ซึ่งความเป็นผู้ตื่นอยู่ได้ ตถาคตย่อมแนะนำเธอให้ยิ่งขึ้นไปว่า ดูกรภิกษุ มาเถิด เธอจงเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ คือ ทำความรู้สึกตัวในเวลาก้าวไปและถอยกลับในเวลาแลดูและเหลียวดู ในเวลางอแขนและเหยียดแขน ในเวลาทรงผ้าสังฆาฏิบาตรและจีวร ในเวลาฉัน ดื่ม เคี้ยว และลิ้มรส ในเวลาถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ ในเวลาเดิน ยืน นั่ง นอนหลับ ตื่น พูด และนิ่งเถิด ฯ


    ดูกรพราหมณ์ ในเมื่อภิกษุเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะได้ตถาคตย่อมแนะนำเธอให้ยิ่งขึ้นไปว่า ดูกรภิกษุ มาเถิด เธอจงพอใจเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง และลอมฟางเถิด ภิกษุนั้นจึงพอใจเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา
    ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง และลอมฟาง เธอกลับจากบิณฑบาตภายหลังเวลาอาหารแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า ละอภิชฌาในโลกแล้ว มีใจปราศจากอภิชฌาอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอภิชฌาได้ละความชั่วคือพยาบาทแล้ว เป็นผู้มีจิตไม่พยาบาท อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูลในสรรพสัตว์และภูตอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความชั่วคือพยาบาทได้ ละถีนมิทธะแล้ว เป็นผู้มีจิตปราศจากถีนมิทธะ มีอาโลกสัญญา มีสติสัมปชัญญะอยู่
    ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะได้ ละอุทธัจจกุกกุจจะแล้ว เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่านมีจิตสงบภายในอยู่ ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะได้ ละวิจิกิจฉาแล้ว เป็นผู้ข้ามความสงสัย ไม่มีปัญหาอะไรในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ ย่อม
    ชำระจิตให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉาได้ ฯ


    เธอครั้นละนิวรณ์ ๕ ประการ อันเป็นเครื่องทำใจให้เศร้าหมองทำปัญญาให้ถอยกำลังนี้ได้แล้ว จึงสงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ เข้าทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งใจภายใน มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะสงบวิตกและวิจารไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เป็นผู้วางเฉยเพราะหน่ายปีติมีสติสัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย เข้าตติยฌานที่พระอริยะเรียกเธอได้ว่า ผู้วางเฉย มีสติ อยู่เป็นสุขอยู่ เข้าจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข
    เพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัส โทมนัสก่อนๆ ได้ มีสติบริสุทธิ์เพราะอุเบกขาอยู่


    ดูกรพราหมณ์ ในพวกภิกษุที่ยังเป็นเสขะ ยังไม่บรรลุพระอรหัตมรรค ยังปรารถนาธรรมที่เกษมจากโยคะอย่างหาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้อยู่นั้น เรามีคำพร่ำสอนเห็นปานฉะนี้ ส่วนสำหรับภิกษุพวกที่เป็นอรหันตขีณาสพอยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ สิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว พ้นวิเศษแล้วเพราะผู้ชอบนั้น ธรรมเหล่านี้ย่อมเป็นไปเพื่อความอยู่สบาย ในปัจจุบันและเพื่อสติ
    สัมปชัญญะ ฯ


    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ พราหมณ์คณกะ โมคคัลลานะได้ทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า สาวกของพระโคดมผู้เจริญ อันพระโคดมผู้เจริญโอวาทสั่งสอนอยู่อย่างนี้ ย่อมยินดีนิพพานอันมีความสำเร็จล่วงส่วน ทุกรูปทีเดียวหรือหนอ หรือว่าบางพวกก็ไม่ยินดี ฯ


    พ. ดูกรพราหมณ์ สาวกของเรา อันเราโอวาทสั่งสอนอยู่อย่างนี้ บางพวกเพียงส่วนน้อย ยินดีนิพพานอันมีความสำเร็จล่วงส่วน บางพวกก็ไม่ยินดี ฯ


    ค. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ในเมื่อนิพพานก็ยังดำรงอยู่ ทางให้ถึงนิพพานก็ยังดำรงอยู่ พระโคดมผู้เจริญผู้ชักชวนก็ยังดำรงอยู่ แต่ก็สาวกของพระโคดมผู้เจริญ อันพระโคดมผู้เจริญโอวาทสั่งสอนอยู่อย่างนี้ บางพวกเพียงส่วนน้อย จึงยินดีนิพพานอันมีความสำเร็จล่วงส่วน บางพวกก็ไม่ยินดี ฯ


    พ. ดูกรพราหมณ์ ถ้าเช่นนั้น เราจักย้อนถามท่านในเรื่องนี้ท่านชอบใจอย่างไร พึงพยากรณ์อย่างนั้น
    ดูกรพราหมณ์ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านชำนาญทางไปเมืองราชคฤห์มิใช่หรือ ฯ

    ค. แน่นอน พระเจ้าข้า ฯ

    พ. ดูกรพราหมณ์ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษผู้ปรารถนาจะไปเมืองราชคฤห์ พึงมาในสำนักของท่าน เข้ามาหาท่านแล้วพูดอย่างนี้ว่าท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้ปรารถนาจะไปเมืองราชคฤห์ ขอท่านจงชี้ทางไปเมืองราชคฤห์แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิด ท่านพึงบอกแก่เขาอย่างนี้ว่า


    ดูกรพ่อมหาจำเริญ มาเถิดทางนี้ไปเมืองราชคฤห์ ท่านจงไปตามทางนั้นชั่วครู่หนึ่งแล้ว จักเห็นบ้านชื่อโน้นไปตามทางนั้นชั่วครู่หนึ่งแล้ว จักเห็นนิคมชื่อโน้น ไปตามทางนั้นชั่วครู่หนึ่งแล้วจักเห็นสวนที่น่ารื่นรมย์ ป่าที่น่ารื่นรมย์ ภูมิภาคที่น่ารื่นรมย์ สระโบกขรณีที่น่ารื่นรมย์ของเมืองราชคฤห์ บุรุษนั้นอันท่านแนะนำพร่ำสั่งอยู่อย่างนี้ จำทางผิดกลับเดินไปเสียตรงกันข้าม ต่อมา บุรุษคนที่สองปรารถนาจะไปเมืองราชคฤห์พึงมาในสำนักของท่าน เข้ามาหาท่านแล้วพูดอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าปรารถนาจะไปเมืองราชคฤห์ ขอท่านจงชี้ทางไปเมืองราชคฤห์แก่ข้าพเจ้าด้วยเถิดท่านพึงบอกแก่เขาอย่างนี้ว่า

    ดูกรพ่อมหาจำเริญ มาเถิด ทางนี้ไปเมืองราชคฤห์ท่านจงไปตามทางนั้นชั่วครู่หนึ่งแล้ว จักเห็นบ้านชื่อโน้น ไปตามทางนั้นชั่วครู่หนึ่งแล้ว จักเห็นนิคมชื่อโน้น ไปตามทางนั้นชั่วครู่หนึ่งแล้ว จักเห็นสวนที่น่ารื่นรมย์ ป่าที่น่ารื่นรมย์ ภูมิภาคที่น่ารื่นรมย์ สระโบกขรณีที่น่ารื่นรมย์ของเมืองราชคฤห์ บุรุษนั้นอันท่านแนะนำพร่ำสั่งอยู่อย่างนี้ พึงไปถึงเมืองราชคฤห์โดยสวัสดี

    ดูกรพราหมณ์ อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัย ในเมื่อเมืองราชคฤห์ก็ดำรงอยู่ ทางไปเมืองราชคฤห์ก็ดำรงอยู่ ท่านผู้ชี้แจงก็ดำรงอยู่ แต่ก็บุรุษอันท่านแนะนำพร่ำสั่งอย่างนี้ คนหนึ่งจำทางผิด กลับเดินไปทางตรงกันข้ามคนหนึ่งไปถึงเมืองราชคฤห์ได้โดยสวัสดี ฯ


    ค. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าจะทำอย่างไรได้ ข้าพเจ้าเป็นแต่ผู้บอกทาง ฯ

    พ. ดูกรพราหมณ์ ฉันนั้นเหมือนกันแล ในเมื่อนิพพานก็ดำรงอยู่ ทางไปนิพพานก็ดำรงอยู่ เราผู้ชักชวนก็ดำรงอยู่ แต่ก็สาวกของเราอันเราโอวาทสั่งสอนอยู่อย่างนี้ บางพวกเพียงส่วนน้อย ยินดีนิพพานอันมีความสำเร็จล่วงส่วน บางพวกก็ไม่ยินดี ดูกรพราหมณ์ ในเรื่องนี้ เราจะทำอย่างไรได้ตถาคตเป็นแต่ผู้บอกหนทางให้ ฯ


    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ พราหมณ์คณกะ โมคคัลลานะได้ทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุคคลจำพวกที่ไม่มีศรัทธา ประสงค์จะเลี้ยงชีวิต ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เป็นผู้โอ้อวด มีมายา เจ้าเล่ห์ ฟุ้งซ่าน ยกตัว กลับกลอก ปากกล้า มีวาจา
    เหลวไหล ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ไม่รู้จักประมาณในโภชนะ ไม่ประกอบเนืองๆ ซึ่งความเป็นผู้ตื่น ไม่มุ่งความเป็นสมณะ ไม่มีความเคารพกล้าในสิกขา มีความประพฤติมักมาก มีความปฏิบัติย่อหย่อน เป็นหัวหน้าใน
    ทางเชือนแช ทอดธุระในความสงัดเงียบ เกียจคร้าน ละเลยความเพียรหลงลืมสติ ไม่รู้สึกตัว ไม่มั่นคง มีจิตรวนเร มีปัญญาทราม เป็นดังคนหนวกคนใบ้ พระโคดมผู้เจริญย่อมไม่อยู่ร่วมกับบุคคลจำพวกนั้น ส่วนพวกกุลบุตรที่มี
    ศรัทธา ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ไม่โอ้อวด ไม่มีมายา ไม่เป็นคนเจ้าเล่ห์ ไม่ฟุ้งซ่าน ไม่ยกตน ไม่กลับกลอก ไม่ปากกล้า ไม่มีวาจาเหลวไหลคุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้จักประมาณในโภชนะ ประกอบเนืองๆ ซึ่งความเป็นผู้ตื่น มุ่งความเป็นสมณะ เคารพกล้าในสิกขา ไม่มีความประพฤติมักมาก ไม่มีความปฏิบัติย่อหย่อน ทอดธุระในทางเชือนแช เป็นหัวหน้าในความสงัดเงียบ ปรารภความเพียร ส่งตนไปในธรรม ตั้งสติมั่น รู้สึกตัวมั่นคง มีจิตแน่วแน่ มีปัญญา ไม่เป็นดังคนหนวก คนใบ้ พระโคดมผู้เจริญ
    ย่อมอยู่ร่วมกับกุลบุตรพวกนั้น


    ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เปรียบเหมือนบรรดาไม้ที่มีรากหอม เขากล่าวกฤษณาว่าเป็นเลิศ บรรดาไม้ที่มีแก่นหอม เขากล่าวแก่นจันทน์แดงว่าเป็นเลิศ บรรดาไม้ที่มีดอกหอม เขากล่าวดอกมะลิว่าเป็นเลิศฉันใด โอวาทของพระโคดมผู้เจริญ ก็ฉันนั้นเหมือนกันแล บัณฑิตกล่าวได้ว่าเป็นเลิศในบรรดาธรรมของครูอย่างแพะที่นับว่าเยี่ยม แจ่มแจ้งแล้ว พระเจ้าข้าแจ่มแจ้งแล้ว พระเจ้าข้า

    พระโคดมผู้เจริญทรงประกาศธรรมโดยปริยายมิใช่น้อยเปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ หรือเปิดของที่ปิด หรือบอกทางแก่คนหลงทางหรือตามประทีปในที่มืดด้วยหวังว่า ผู้มีตาดีจักเห็นรูปทั้งหลายได้ ฉะนั้นข้าพระองค์นี้ขอถึงพระโคดมผู้เจริญ พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะขอพระโคดมผู้เจริญ จงทรงจำข้าพระองค์ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิตตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ฯ
    จบ คณกโมคคัลลานสูตร ที่ ๗

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2022
  3. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +30
    B719E84B-B464-4834-B801-3BF4C732C629.jpeg

    เหตุ:สูตรนี้มาจากที่ใด,ใจความ,ประวัติบุคคลที่เกี่ยวข้อง,สถานที่,เวลา,จุดประสงค์ของสูตร
    ผล:อนาคต

    ———————สรุป——————

    อัตถะ 2 (อรรถ, ความหมาย - meaning)
    พระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัส ว่าโดยการแปลความหมาย มี 2 ประเภท คือ
    1. เนยยัตถะ ([พระสูตร]ซึ่งมีความหมายที่จะต้องไขความ, พุทธพจน์ที่ตรัสตามสมมติ อันจะต้องเข้าใจความจริงแท้ที่ซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ่ง เช่นที่ตรัสเรื่องบุคคล ตัวตน เรา-เขา ว่า บุคคล 4 ประเภท, ตนเป็นที่พึ่งของตน เป็นต้น) - with indirect meaning; with meaning to be defined, elucidated or interpreted)
    2. นีตัตถะ ([พระสูตร]ซึ่งมีความหมายที่แสดงชัดโดยตรงแล้ว, พุทธพจน์ที่ตรัสโดยปรมัตถ์ ซึ่งมีความหมายตรงไปตรงมาตามสภาวะ เช่นที่ตรัสว่า รูป เสียง กลิ่น รส เป็นต้น - with direct or manifest meaning; with defined or elucidated meaning)
    ผู้ใดแสดงพระสูตรที่เป็นเนยยัตถะ ว่าเป็นนีตัตถะ หรือแสดงพระสูตรที่เป็นนีตัตถะ ว่าเป็นเนยยัตถะ ผู้นั้นชื่อว่ากล่าวตู่พระตถาคต



    “เป็นเพียงการตีความแบบไม่กล่าวตู่ ! สำหรับความสงสัยที่ต้องไขความ”การวิสัชนาใดๆก็ตาม หากไม่รู้ไม่เห็นเด่นชัดแจ้ง ไม่ควรวิสัชนา รู้เห็นก็วิสัชนาเท่าที่รู้เห็นและนำออกมาเผยแผ่ มีหลักฐานข้อมูลยืนยัน ก็จักเป็นการดี ”


    นอกจากนี้ เว้นไว้ในเจตนารมณ์ของผู้สอน ว่ามีเจตนารมณ์ไปในทางกุศลหรืออกุศล


    การตั้งข้อสงสัย! การประมวลหาคำตอบ!

    “ปริศนาพระมหาโมคคัลลานะตามหาบาตร”

    ซ่อนอยู่ใน ปัญหาซ่อนปัญหาและก็ซ่อนปัญหาฯ

    “ปริศนาพระอวโลกิเตศวรแสดงธรรมข้ามจักรวาล”

    # แต่คติของพวกเนรมิตโลกหรือ โลกหลังความตาย ก่อนการพิพากษา ใช้ชีวิตอยู่แบบไม่ใช้ขันธ์ ๕ ก็มีอยู่ เพราะอย่างนั้น ศาสนาพุทธ ก็มีความเป็นไปได้ ถ้าหาก พระพุทธเจ้าทั้งหลายฯ หรือสิ่งที่เหนือจินตนาการของพระพุทธศาสนาจะทรงสร้างหรือเนรมิตโลกหรือดินแดนอย่างนั้นไว้



    หากจะวิสัชนาไปในทางเดียว ที่จักสามารถเป็นไปได้ ก็เป็น {0}พระพุทธเนรมิต{0}เพียงเท่านั้น! หรือจะให้พยามารหรือใครที่มีประวัติแปลงร่างเป็นพระพุทธเจ้าชี้ทางกลับโลกแก่พระอัครสาวกอย่างนั้น ก็เป็นไปได้

    สรุป พระอวโลกิเตศวร เดินทางข้ามจักรวาล มาเพื่อขอโอกาสแสดงธรรม ปุจฉาปัญหา ถามตอบแก่ท่านพระสารีบุตร อย่างนั้น

    คงจะมีเรื่องถามไถ่กันยืดยาว ระหว่าง นิกายพุทธเถรวาทและนิกายสุขาวดี

    พระพุทธเจ้าชมพูทวีป: ท่านอมิตาภะพุทธเจ้า ในแดนสุขาวดีพุทธเกษตรทรงสำราญดีไหม?

    พระโพธิสัตว์กวนอิม: พระองค์ทรงสำราญดี พระพุทธเจ้าข้าฯ ทรงฝากความคิดถึงมาถึงพระองค์ที่ชมพูทวีปนี้ด้วยพระพุทธเจ้าข้าฯ

    พระพุทธเจ้าชมพูทวีป: ฯลฯ

    พระโพธิสัตว์กวนอิม:ฯลฯ

    https://crs.mahidol.ac.th/news/journal/vol4/03.pdf



    ฉนั้นแล้ว! แม้กระนั้น ! ก็จะมีการตั้งคำถามกันต่อไปอีก ! อย่างสงสัย โลกธาตุอื่นฯ ,จักรวาลคู่ขนาน, การเสด็จอุบัติพระพุทธเจ้าในเพียงพระองค์เดียวที่ชมพูทวีปนี้ ทวีปโน้น,มีจักรวาลอื่นชมพูทวีปอื่น? ฯลฯ ฯลฯ

    สรุปก็จะถามเข้าไปอีก ว่า พระอมิตาภะพุทธเจ้า กับพระพุทธเจ้า องค์เดียวกันหรือไม่? ตามชั้นหลักฐานฝ่ายมหายาน ไม่ใช่องค์เดียวกัน!



    #ปัญหาที่ต้องหาคำตอบก่อน#

    ไฉน พระอวโลกิเตศวร จึงทรงงานแสดงธรรมแก่ท่านพระสารีบุตร ข้ามโลกธาตุได้เพียงนี้ หรือทรงเป็นพระธรรมทูต?

    “ข้าพเจ้าหวังเป็นอย่างยิ่งว่า จะท่านจะเป็นผู้มาตอบปัญหานี้ เองเหมือนตอนที่ มาสอนให้ข้าพเจ้ารู้จัก “ อนุปพิกถาธรรม “

    ยุคสมัย! กับ ความเลือนลาง ย่อมสร้างความฟั่นเฟือนให้กับสติปัญญาของหมู่สัตว์โลก


    เป็นการดี ที่พระไตรปิฏกของเถรวาท ไม่มีการบันทึกไว้ ในเรื่องของพระอชิตะอธิษฐานรับบาตรพระพุทธเจ้า เพราะจะสามารถตีความไปได้อย่างเหมาะสม คือ เป็น
    {0}พระพุทธเนรมิต{0} ทรงปรากฎชี้ทางกลับ ไปไกลเกิน รีบกลับโลก!

    เพื่อที่จะทรงแสดงบุญพลานุภาพแห่งบาตรพระพุทธเจ้า ที่จะเลือกผู้จักเป็นพระพุทธเจ้าต่อไป แก่พระน้านางฯ และเหล่าพุทธสาวกสาวิกาข้อนี้วิสัชนาได้

    และถ้ามี*พระสูตร พระโมคคัลลานับเมล็ดงาใส่บาตรเพื่อนับจักรวาล จนสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปตามเพราะรู้วาระจิตโดยทรงปรารภแสดงธรรมนั้นๆต่อจาก ข้อนี้สามารถวิสัชนาสงเคราะห์ได้ (เฉพาะสูตรเถรวาท)







    89507434-E0DE-42BF-92E6-DAF707B7A51A.jpeg


    DDEF4C75-376D-403E-8084-B978A23AD51A.jpeg

    CCAE1FA5-E03F-45C1-BD2E-42DE7EA6B4CB.jpeg 4919B169-E566-4B62-B967-94043C45B98F.jpeg

    42322A7F-1802-4909-B48E-DE68CB90D2B2.jpeg

    https://youtu.be/sFGarzhH4jI
    พระพุทธเจ้าทรงเนรมิต พระพุทธเจ้าขึ้นอีกองค์ คู่กันกับพระองค์ เพื่อแสดงยมกปาฏิหาริย์ กล่าว ปุจฉา-วิสัชนา ถามตอบ! (ยมก-เป็นคู่)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2022
  4. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +30
    206B15B3-6890-4039-9D25-28F5F412C886.jpeg ยักษ์ ๓ สี ดำเทา ,น้ำเงิน,เหลือง เปลี่ยนสีสลับไปมาได้ มาโลกมนุษย์ ไม่รู้ฝ่ายไหน? สูงใหญ่ เทียมเมฆ

    #ประตูสีทอง5ธาตุ/บุคคลบางส่วนระดับ ปรมาจารย์ กำลัง/ปิดประตู /ซ่อมประตู/อะไรจะทยอยออกมา?/

    #สัตว์ร้ายคล้ายอสุรกายหมาป่า! แว๊บๆ คนตายมาก เชื้อพิษสุนัขบ้ารุ่นพิเศษ!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2022
  5. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +30
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2022
  6. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +30


    เก็บรวบรวม เพื่อพิจารณา!

    เป็นข้อกังวลเสมอๆเมื่อเกิดหรือรับผลกระทบจากพายุสุริยะ

    ข้อเท็จจริงของแสง ออโรร่า เป็นอย่างนั้นจริงๆ

    EEB9EA12-AFCA-400C-A6D1-BF7AC5BD38AB.png







    639C689B-E44A-4C13-A6C6-5126279A5F8A.png

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2022
  7. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +30
    36779603-361A-4D1C-A089-0B1E7AD8D342.jpeg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 ธันวาคม 2022
  8. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +30



    อ้างถึง 26/12/63 พระฉัพพรรณรังสี

    กันไว้ อีกชั้น(อีกครั้งหนึ่ง) หากเป็นนิมิตรโอภาส ที่พระมหาโพธิสัตว์แสดงไว้ จะยุ่งเอาในภายหลัง! เราจะบกพร่องเอา ปฎิรูปะเทสวาโสจะ เป็นประเทศที่ครบเครื่องจริงๆทั้งดีร้าย!

    ผู้ทำความดีย่อมยินดี ยิ่งเร่งรีบปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ ผู้ทำความชั่วมีจิตระลึกได้ ก็ลดละเลิกทำความชั่ว
    ผู้ทำชั่วที่ไม่ยอมลดละเลิก ย่อมไม่ปรารถนา ก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้ !

    ข่าวแจ้งเตือน!!

    มหานิมิตปรากฎยามรุ่งสาง 0430-0625

    ข้าพเจ้าตรวจพบ พระฉัพพรรณรังสี พรรณราย ส่องสว่าง ขณะเดินทางไปทางทิศตะวันออก ในขณะที่พระอาทิตย์ขึ้น มีฉัพพรรณรังสี กระจายโดยรอบพื้นที่ หาประมาณมิได้ ในทุกๆ เส้นรอบวง และบริเวณจุดตัดโดยรอบ ไม่มีประมาณ จะปรากฎ ดอกบัวทรงกลด ๗ สี (ดอดบัวแก้ว) ย้ำว่า ดอกบัวทรงกลด กระจายอยู่เต็มพื่นที่ต่างๆ ทั้งผืนดินแผ่นฟ้า งดงามตระการตายิ่งนัก ข้าพเจ้าผู้อยู่ในมหานิมิตนี้ พอได้เห็นต้องก้มลงกราบร้องไห้ในทันที ร้องไห้อย่างสุดเสียใจปานราวกลับว่า ทั้งดีใจเหลือประมาณ เสียใจเหลือประมาณ ที่ได้พบปรากฎกาลนี้ และเสียใจที่ได้กระทำบาปอกุศลกรรมมามาก ข้าพเจ้าอยู่ในอารมณ์เสมือนท่าน อสิตดาบส เพียงแต่ต่างอารมณ์กันตรงที่จะได้พบได้อยู่ถึง

    พระฉัพพรรณรังสี ดอกบัวทรงกลดนี้ ถ้าเป็นชาวพุทธ ข้าพเจ้าเชื่อว่า เหล่าพุทธบริษัทท่านทั้งหลาย จะต้องรู้สึกอย่างข้าพเจ้าในทันที ไม่มากก็น้อย แต่ที่แน่ๆ การทรุดลงคุกเข่าร้องไห้ ดีใจหรือเสียใจ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ อาการที่ไม่สามารถควบคุมร่างกายได้ ขันธมาร ขันธ์ ๕ สยบต่อ ดอกบัวทรงกลด ลงในทันที

    นิมิตที่ตามมาคือ เหล่าชนพวกหนึ่ง พวกแรก ปรากฎเป็นสตรีพาเดินชื่นชมบ้านและสวนที่ลอยบนฟากฟ้า เป็นสิ่งปลูกสร้างโดยใช้หลักวิศวกรรมศาสตร์ช่วยออกแบบ ให้ดูร่ำรวยสวยหรู บ้านทุกหลังทีสระว่ายน้ำในห้องที่ชั้นบนทั้บนั้น สตรีนั้นเชิญชวนให้ดูให้เพลิดเพลินพิศมัย แต่เราก็มิได้ไยดีหรือเห็นว่าอลังการอะไรนัก เมื่อมองเห็นผู้คนมากหน้าหลายตาปรากฎอยู่ในอาคารโปรงแสงนั้นๆ



    “จำเป็นต้องบอก เดี๋ยวจะหาว่าไม่บอก”

    แล้วการให้ผลไม่จำกัดกาลล่ะ! ทำได้แล้วหรือ? ก็ทำไม่ได้แล้วจะให้ผลได้อย่างไร?



    คงเข้าใจ และทำใจได้นะ ว่า ก่อนเวลาจะหมดเวลา กรรมจัดสรร หรือการคัดสรร ผู้ที่ถูกเลือก “ บัวสวรรค์นี้ ไม่ใช่ว่าจะได้กันทุกคน ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนา ไม่เกี่ยวว่า คนจน
    หรือคนรวย ไม่เกี่ยวกับฐานะใดๆทั้งสิ้น นี่คือกฎเกณฑ์ หวังว่าจะไม่มีความน้อยเนื้อต่ำใจ ในสิ่งที่ตนเองได้ขวนขวายเอาไว้ ก่อนจะถึงเวลา สายเกินไป “

    #ไม่เห็นจะอยากได้เลย!
    ท่านได้สิทธิ์นั้น!
    #ข่มขู่กันนี่แบบนี้!
    ………..กล้าๆกลัวๆ คิดว่า ขายฝันรึไง?

    นี่คือความเท่าเทียม! การตอบแทน!
    กับผลของการแสวงหา

    1E6A0909-649F-4685-9D82-424DE293B8E8.jpeg

    2A38DA83-7133-49B7-8BB6-0C9B81A9F3A9.jpeg 33C7F75C-D59F-4C76-9940-8FC2AD40DF57.jpeg

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 ธันวาคม 2022
  9. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +30
    การเดินทางเป็นเรื่องของ”จิต”ทั้งนั้นฯ






    มนุษย์ต่างดาว ! ที่มีสติปัญญาสูง ! ชนิดมีอายุยืนยาว ! และมีวิทยาการ เดินทางข้ามจักรวาลได้ หรือ อาจเป็นแค่เพียงการเดินทางข้ามทวีป ทั้ง ๔ เพียงเท่านั้น จนในท้ายที่สุด UFO มนุษย์ต่างดาว ที่นอกเหนือ ภพภูมิและทวีปทั้ง ๔ ตามหลักฐานชี้มูล ไม่มีอยู่จริง! ถ้าจะมีก็มีคง เป็นเพียงการท่องเที่ยว และของเล่นการเดินของบุคคลในทวีปอื่นอีก 3 ทวีปในขอบข่าย เขาสิเนรุ และภพภูมิอื่นๆ เพียงเท่านั้น!
    B2795C4A-20B7-4E2C-A4AE-71FDD186D956.jpeg

    ข้อพิจารณา: ระบบการปกครอง,มีสติปัญญาในการรับฟังธรรม,มีการจำแนกเสียง,การแต่งกาย เครื่องแต่งกาย,รู้จักภพภูมิ



    การพิจารณาเรื่องราวต่างๆในโลก ล้วนแต่หาสรุป เหตุและผลไปยังข้อพิสูจน์ ย่อมตีวงให้แคบ กำหนดลักษณะที่ชัดเจน ไม่คิดนอกกรอบจนกลายเป็นเรื่องอจิณไตย ครุ่นคิดในสิ่งที่ตนเองก็ไม่รู้ไม่เห็น ก็จักกลายเป็นความฟั่นเฟือน เพ้อเจ้อไป

    550EDFC5-FDA1-4469-A9BA-2859E49CEB12.jpeg




    #ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปสู่แม้จักรวาลเหล่าอื่นหรือ. เออ เสด็จไป. เป็นเช่นไร. เขาเหล่านั้นเป็นเช่นใด พระองค์ก็เป็นเช่นนั้นเทียว. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ ก็เราเข้าไปหาขัตติยบริษัทหลายร้อย ย่อมรู้เฉพาะแล ว่า ในบริษัทนั้น พวกเขามีวรรณะเช่นใด เราก็มีวรรณะเช่นนั้น พวกเขามีเสียงเช่นใด เราก็มีเสียงเช่นนั้น และเราให้เห็นแจ้งให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมมีกถา และพวกเขาไม่รู้เราผู้กล่าวอยู่ว่า ผู้กล่าวนี้เป็นใครหนอ เป็นเทวดาหรือมนุษย์ และครั้นให้เห็นแจ้งแล้ว ให้สมาทานแล้ว ให้อาจหาญแล้ว ให้รื่นเริงแล้ว ด้วยธรรมีกถาก็หายไป และพวกเขาไม่รู้เราผู้หายไปว่า ผู้ที่หายไปนี้เป็นใครหนอแล เป็นเทพหรือมนุษย์ ดังนี้.

    เหล่ากษัตริย์ทรงประดับประดาด้วยสังวาลมาลา และของหอมเป็นต้น ทรงผ้าหลากสี ทรงสวมกุณฑลแก้วมณี ทรงโมลี ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประดับพระองค์เช่นนั้นหรือ กษัตริย์แม้เหล่านั้นมีพระฉวีขาวบ้าง ดำบ้าง คล้ำบ้าง แม้พระศาสดาทรงเป็นเช่นนั้นหรือ.

    พระศาสดาเสด็จไปด้วยเพศบรรพชิตของพระองค์เอง แต่ทรงปรากฏเป็นเช่นกับกษัตริย์เหล่านั้น ครั้นเสด็จไปแล้วทรงแสดงพระองค์ซึ่งประทับนั่งบนพระราชอาสน์ ย่อมเป็นเช่นกับกษัตริย์เหล่านั้นว่า ในวันนี้พระราชาของพวกเรารุ่งโรจน์ยิ่งนักดังนี้.

    ถ้ากษัตริย์เหล่านั้น มีพระสุรเสียงแตกพร่าบ้าง ลึกบ้าง ดุจเสียงกาบ้างพระศาสดาก็ทรงแสดงธรรมด้วยเสียงแห่งพรหมนั้นเทียว ก็บทนี้ว่า เราก็มีเสียงเช่นนั้น ตรัสหมายถึงลำดับภาษา. ก็มนุษย์ทั้งหลายได้ฟังเสียงนั้นแล้วย่อมมีความคิดว่า วันนี้ พระราชาตรัสด้วยเสียงอันอ่อนหวาน.

    ก็ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วเสด็จหลีกไป เห็นพระราชาเสด็จมาอีก ก็เกิดการพิจารณาว่า บุคคลนี้ใครหนอแล. พระองค์จึงตรัสพระดำรัสนี้ว่า บุคคลนี้ใครหนอแล อยู่ในที่นี้ บัดนี้ แสดงด้วยเสียงอ่อนหวาน ด้วยภาษามคธ ด้วยภาษา
    สีหล หายไป เป็นเทพหรือมนุษย์ ดังนี้. ถามว่า ทรงแสดงธรรมแก่บุคคลทั้งหลายผู้ไม่รู้อย่างนี้เพื่ออะไร. ตอบว่า เพื่อประโยชน์แก่วาสนา.

    พระองค์ทรงแสดงมุ่งอนาคตว่า ธรรมแม้ได้ฟังอย่างนี้ ย่อมเป็นปัจจัยในอนาคตนั้นเทียว.








    ทวีปทั้ง ๔

    “ หากจะเชื่อ ก็เชื่อในสิ่งที่เท่าที่รู้ ที่เห็น เท่าที่ทรงตรัสถึงและมีบันทึกไว้ “ รวบรวมแล้วไขความจึงวิสัชนา



    B359A7C0-249B-47C3-B7B3-4B8C898B8BB8.jpeg
    https://archive.lib.cmu.ac.th/full/T/2531/geog0431sp_ch3.pdf
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 ธันวาคม 2022
  10. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +30
    98983138-318B-4673-9EFE-E5251CF7B456.jpeg

    24/12/65

    “มีผู้ที่มิใช่มนุษย์ปุถุชนธรรมดา ฝากข้อความมาว่าดังนี้!

    “ การวิสัชนาธรรมอันบิดเบี้ยวกับยาพาราที่อัดแน่น “

    ยาแก้โรคประสาท อาการปวดศรีษะ:กินทั้งเจ้าสำนักและศิษย์/ทั้งๆที่เขาจัดการได้โดยตรง แต่ออมมือไม่ลงมือ น่าจะมิใช่วาระ



    บันทึกวันเวลา ใต้ข้อความ

    กางแผ่นที่ภาพถ่ายวงโคจรดาวฤกษ์ ระบบสุริยะจักรวาลแกแลคซี่สอนกันเลยทีเดียว /คือ ขอโทษจริงๆ อดขำไม่ได้ ตั้งแต่สาวกหอบ ภาพดาราศาสตร์เชิงสมมุติขึ้นมาบัพคำสอนอันวิปลาส

    นี่ขนาดว่า พึ่งเปิดดูวันนี้! ไม่เคยวิสัชนามาก่อน! ก็ยังรู้ว่า สำนักนี้สอนผิดแน่ๆ เพราะไม่ใช่ฐานะ

    ขนาดทรงตรัสย้ำแล้ว ย้ำอีกตั้ง 3-4ครั้ง ว่านี่เรื่องอานุภาพ

    นี่แหละ นิรุตติญานทัสสนะ ดัก ผู้ร่ำเรียน ศึกษามาแบบไม่บริสุทธิ์


    “ปิดธรรมที่ถูกเปิดด้วย คึกวจน “ พระพุทธเจ้าสอน ! ชมพูทวีปพันทวีป ฯลฯ ชมพูทวีปนี้ไม่ใช่ทวีปเดียว!



    #จะเป็นเช่นไร ในเรื่องที่ทรงอุปมาอุปไมย เรื่องอานุภาพเสียงของพระองค์ และของพระสาวก แต่ดันวิสัชนาโดยเข้าใจผิดไปว่า มี หมื่นพันโลกธาตุ หมื่นพันทวีป ล้านทวีปตาม!


    *ยกเว้นไว้ซึ่ง เจตนารมณ์ของผู้สอน! ที่เป็นผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ!

    # ไม่ใช่โค้วต้าฐานะของ สัทธรรมปฎิรูป

    ผล:ย่อมวิสัชนาโลกธาตุ ทวีปทั้ง ๔ ผิดพลาด !
    1.ไม่รู้แน่ชัด
    2.ไม่เห็นจริงแล้วกล่าว
    3.ย่อมวิสัชนาพระสูตรผิดพลาด
    4.คนเรียนรู้ตามหลงทาง
    5.ตกทิฏฐิ 62 จนไปถึงตกนอก! /ยังกลับมาได้ทัน
    6.อ้าว! !!




    พระธรรมมี 84,000 วิสัชนา ไป 3,000,000,000 ฯ

    ว่าด้วยระยะทาง ,ขนาด,กาลเวลา,กำลังส่ง


    นี่ขนาดทรงย้ำแล้ว! ย้ำอีก ครบ 3 รอบ ว่านี้เรื่อง อานุภาพเสียงที่สามารถส่งไปถึงไปได้

    4D73A39F-CF4F-4B82-8E1A-702286CA4BD6.jpeg


    จูฬนีสูตร
    ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า


    ดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู ยืนอยู่ในพรหมโลก ให้พันแห่งโลกธาตุรู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอานนท์ นั้นสาวก ส่วนพระตถาคตนับไม่ถ้วน ฯ


    ท่านพระอานนท์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเป็นครั้งที่ ๒ ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า


    ดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู ยืนอยู่ในพรหมโลก ทำให้พันแห่งโลกธาตุรู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง ฯ

    พ. ดูกรอานนท์ นั้นเป็นสาวก ส่วนพระตถาคตนับไม่ถ้วน
    ท่านพระอานนท์ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคแม้เป็นครั้งที่ ๓ ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า

    ดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู ยืนอยู่ในพรหมโลก ทำให้พันแห่งโลกธาตุรู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง ฯ

    พ. ดูกรอานนท์ นั้นเป็นสาวก ส่วนพระตถาคตนับไม่ถ้วน


    ท่านพระอานนท์ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคแม้เป็นครั้งที่ ๓ ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า


    ดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู ยืนอยู่ในพรหมโลกทำให้พันโลกธาตุรู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง ฯ

    พ. ดูกรอานนท์ เธอได้ฟังเรื่องพันโลกธาตุ เพียงเล็กน้อย ฯ


    อา. ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าแต่พระสุคต บัดนี้เป็นกาลเวลาแห่งเทศนาที่พระองค์จะพึงตรัส ภิกษุทั้งหลายได้สดับธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้ ฯ


    พ. ดูกรอานนท์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า


    ดูกรอานนท์ จักรวาลหนึ่งมีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศสว่างไสวรุ่งโรจน์ โลกมีอยู่พันจักรวาลก่อน ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์
    พันดวง มีอาทิตย์พันดวง มีขุนเขาสิเนรุพันหนึ่ง มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มีอปรโคยานทวีปพันหนึ่ง มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มีมหาสมุทรสี่พัน มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุมหาราชิกาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดุสิตพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่ง มีพรหมโลกพันหนึ่ง ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุอย่างเล็ก ซึ่งมีพันจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างกลางมีล้านจักรวาล โลกคูณโดยส่วนพันแห่งโลกธาตุ อย่างกลางมีล้านจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล

    # ดูกรอานนท์ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ


    อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคพึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล ให้รู้แจ้งด้วยพระสุรเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมายอย่างไร ฯ


    ## พ. ดูกรอานนท์ พระตถาคตในโลกนี้ พึงแผ่รัศมีไปทั่วโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล เมื่อใด หมู่สัตว์พึงจำแสงสว่างนั้นได้ เมื่อนั้นพระตถาคตพึงเปล่งพระสุรเสียงให้สัตว์เหล่านั้นได้ยิน พระตถาคตพึงทำให้โลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง หรือพึงทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมาย ด้วยอาการเช่นนี้แล ฯ


    เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลว่า เป็นลาภของข้าพระองค์หนอ ข้าพระองค์ได้ดีแล้วหนอที่ข้าพระองค์มีพระศาสดาผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้


    เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้
    กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ ในข้อนี้ท่านจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าศาสดาของท่านมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เมื่อท่านพระอุทายีกล่าวอย่างนี้


    พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอุทายีว่า ดูกรอุทายี เธออย่าได้กล่าวอย่างนี้ ถ้าอานนท์ยังไม่หมดราคะเช่นนี้ พึงทำกาละไป เธอพึงเป็นเจ้าแห่งเทวดาในหมู่เทวดา ๗ ครั้ง
    พึงเป็นเจ้าจักรพรรดิในชมพูทวีปนี้แหละ ๗ ครั้ง เพราะจิตที่เลื่อมใสนั้น

    ดูกรอุทายีก็แต่ว่าอานนท์จักปรินิพพานในอัตภาพนี้เอง ฯ
    จบอานันทวรรคที่ ๓
    -----------------------------------------------------
    รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ
    ๑. ฉันนสูตร ๒. อาชีวกสูตร ๓. สักกสูตร ๔. นิคัณฐสูตร
    ๕. สมาทปกสูตร ๖. นวสูตร ๗. ภวสูตร ๘. สีลัพพตสูตร ๙. คันธสูตร
    ๑๐. จูฬนีสูตร ฯ
    ----------------------------------------------
    https://84000.org/tipitaka/read/?20/520
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2022
  11. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +30
    A9982391-7F39-46D9-90C7-854016A33F65.jpeg

    เรื่องนี้เกี่ยวพันกับ พระไตรปิฏกพระธรรมคำภีร์ธรรมแม่บท

    และเหล่าอสัทธรรมนอกพุทธศาสนาทั้งหลายฯ จนถึงสัทธรรมปฎิรูป ก็มี

    เห็นหรือยัง? พระพุทธเจ้าและพระพุทธนิมิต ทรงปุจฉาวิสัชนากันเช่นไร?

    ทรงทราบอนาคตกาลอย่างแน่แท้! แม้แต่เวลานี้! ที่เราท่านร่วม ปุจฉา วิสัชนา พระสูตร ที่เกี่ยวข้องกันตามลำดับ เรื่อง โลกและจักรวาล/แค่เรื่องตามบาตรของพระโมคคัลลานะ ยาวมาเลย!

    #แล้วใครในโลกกันบ้างที่กำลังวิสัชนาตามรู้ในสูตรนี้ เรื่องสำคัญ!

    เมื่อพิจารณาเรื่อง พระสูตร ออกนอกจักรวาล!

    ทรงตรัสไว้ว่าอย่างไร? เกี่ยวข้องกับการตามรักษาสัจจะความจริง!นั้นด้วย!



    จูฬวิยูหสูตรที่ ๑๒
    พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
    สมณพราหมณ์ทั้งหลายยึดมั่นอยู่ในทิฐิของตนๆ ถือมั่นทิฐิแล้ว ปฏิญาณว่าพวกเราเป็นผู้ฉลาด ย่อมกล่าวต่างๆ กันว่า
    ผู้ใดรู้อย่างนี้ ผู้นั้นชื่อว่ารู้ธรรมคือทิฐิ ผู้นั้นคัดค้านธรรมคือทิฐินี้อยู่ ชื่อว่าเป็นผู้เลวทราม สมณพราหมณ์ทั้งหลายถือมั่นทิฐิแม้ด้วยอาการอย่างนี้ ย่อมโต้เถียงกัน และกล่าวว่า ผู้อื่นเป็นคนเขลา ไม่ฉลาด วาทะของสมณพราหมณ์สองพวกนี้วาทะไหนเป็นวาทะจริงหนอ เพราะว่าสมณพราหมณ์ทั้งหมดนี้ ต่างก็กล่าวกันว่าเป็นคนฉลาด ฯ


    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
    หากว่าผู้ใดไม่ยินยอมตามธรรม คือ ความเห็นของผู้อื่น ผู้นั้น เป็นคนพาล คนเขลา เป็นคนมีปัญญาทราม ชนเหล่านี้ทั้งหมดก็เป็นคนพาล เป็นคนมีปัญญาต่ำทราม เพราะว่าชนเหล่านี้ทั้งหมดถือมั่นอยู่ในทิฐิ ก็หากว่าชนเหล่านั้นเป็นคนผ่องใสอยู่ในทิฐิของตนๆ จัดว่าเป็นคนมีปัญญาบริสุทธิ์เป็นคนฉลาด มีความคิดไซร้ บรรดาคนเจ้าทิฐิเหล่านั้น ก็จะ ไม่มีใครๆ เป็นผู้มีปัญญาต่ำทราม เพราะว่าทิฐิของชนแม้ เหล่านั้น ล้วนเป็นทิฐิเสมอกัน เหมือนทิฐิของพวกชนนอกนี้อนึ่ง ชนทั้งสองพวกได้กล่าวกันและกันว่าเป็นผู้เขลา เพราะความเห็นใด เราไม่กล่าวความเห็นนั้นว่าแท้ เพราะเหตุที่ชน เหล่านั้น ได้กระทำความเห็นของตนๆ ว่าสิ่งนี้เท่านั้นจริง(สิ่งอื่นเปล่า) ฉะนั้นแล ชนเหล่านั้น จึงตั้งคนอื่นว่าเป็นผู้เขลา ฯ



    พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
    สมณพราหมณ์แต่ละพวก กล่าวทิฐิใดว่าเป็นความจริงแท้แม้สมณพราหมณ์พวกอื่นก็กล่าวทิฐินั้นว่า เป็นความเท็จไม่จริง สมณพราหมณ์ทั้งหลายมาถือมั่น (ความจริงต่างๆกัน) แม้ด้วยอาการอย่างนี้แล้ว ก็วิวาทกันเพราะเหตุไรสมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลง ไปได้ ฯ


    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
    สัจจะมีอย่างเดียวเท่านั้น สัจจะที่สองไม่มี ผู้ที่ทราบชัดมาทราบชัดอยู่ จะต้องวิวาทกันเพราะสัจจะอะไรเล่า สมณพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมกล่าวสัจจะทั้งหลายให้ต่างกันออกไปด้วยตนเอง เพราะเหตุนั้น สมณพราหมณ์ทั้งหลาย จึงไม่กล่าวสัจจะให้เป็นหนึ่งลงไปได้ ฯ



    พระพุทธนิมิตตรัสถามว่า
    เพราะเหตุไรหนอ สมณพราหมณ์ผู้เป็นเจ้าลัทธิทั้งหลายกล่าวยกตนว่าเป็นคนฉลาด จึงกล่าวสัจจะให้ต่างกันไป สัจจะมากหลายต่างๆ กัน จะเป็นอันใครๆ ได้สดับมา หรือว่า สมณพราหมณ์เหล่านั้น ระลึกตามความคาดคะเนของตน ฯ

    ฯล



    https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=10418&Z=10493
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มกราคม 2023
  12. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +30


    “ แม้เทวราช ก็ยังรอ! แสดงฤทธิ์ธานุภาพและแสดงบทธรรมนั้นๆ ออกเทศนา “

    บุญบารมีเยอะมากๆ ท้าวสักกะเทวราช คงเห็นได้เข้าถึงหลายบทฯ

    ของเก่ารวมหนึ่งในชาติสุดท้าย!
    A78CD206-8A2F-42CF-8103-4F3428613F01.jpeg

    5CDAB26A-880A-40C4-8537-BB4294D25B0A.png
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2022
  13. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +30
    # โปรสำหรับ ผู้หวังเรียนปฎิสัมภิทาให้รู้สภาวะ ดูให้จบ! ดูให้ได้! พิจารณาให้เป็นเรื่องของธรรมะ ! ทั้งหมด!

    ไปเจอAnimeดีๆสักเรื่องหนึ่งมา ที่เหมาะกับสายปฎิสัมภิทาโดยเฉพาะ และยังประโยชน์ให้นำมาพิจารณาธรรมได้

    (สายปฎิสัมภิทา อย่างเราดูแล้วต้องร้องไห้ ในห้องวิถีสวรรค์) หึหึ! จริงๆเลย เป็นเรื่องราวที่เหล่าปฎิสัมภิทาเข้าใจด้วยความเคารพรักเสียด้วยสิ! กับพระมหากรุณาที่ได้รับ

    เปลี่ยนจากความสำเร็จเพื่อสุดยอดปรมาจารย์ยุทธ์ทางโลก เป็นเป้าหมายคือพระนิพพาน

    ตัวเอกให้เป็น พระอริยะปฎิสัมภิทา

    ลูกศิษย์ก็อุบาสกอุบาสิกา

    เจตนารมณ์ของผู้สอน!


    คู่แข่ง:โมฆะ บุรุษ ฯลฯ


    วิถีสวรรค์= ปฎิสัมภิทา

    วิถีสวรรค์=000000.1% ผลในละครนิทานการ์ตูน เป็นเพียงจินตนาการ
    ปฎิสัมภิทา=1,000,000%ผลจริงในโลกของความเป็นจริง หากปรากฎขึ้น

    จงพิจารณาให้เป็นประโยชน์ในการสงเคราะห์ธรรมว่าโดยปฎิสัมภิทาญาน การชี้แนะ,ให้กัมมัฏฐาน,การวินิจฉัย ฯลฯ

    การอธิบาย:สมมุติเป็น ปรมัตถธรรม ที่เป็นวิมุตติญานทัสสนะที่ตัวเอกเพ่ง แล้วนำลงมาถ่ายทอดต่อ

    9AA08C6C-2F74-4D9F-A9A0-7D8FA9D43744.jpeg




     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 ธันวาคม 2022
  14. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +30
    94FC7F4F-9DB5-4F6B-9551-27C37CD15EAD.jpeg

    พระพุทธรำพึง

    หลังจากพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้แล้วและทรงเสวยวิมุตติสุขตามบริเวณ “สัตตมหาสถาน” จำนวน ๗ แห่ง เป็นเวลาแห่งละ ๗ วัน จนครบ ๗ สัปดาห์ไปตามลำดับคือ :
    ๑. รัตนโพธิบัลลังก์(รตฺนโพธิปลฺลงฺก) ภายใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ(สิริมหาโพธิ )-(อัสสัตถพฤกษ์)
    ๒. อนิมิสสเจดีย์(อนิมิสฺสเจติย)
    ๓. รัตนจงกรมเจดีย์(รตฺนจงฺกมเจติย)
    ๔. รัตนฆรเจดีย์(รตฺนฆรเจติย)
    ๕. อัชปาลนิโครธเจดีย์(อชปาลนิโครธเจติย)
    ๖. มุจจลินทเจดีย์(มุจจลินฺทเจติย)
    ๗. ราชายตนเจดีย์(ราชายตนเจติย)

    ใน สัปดาห์ที่ ๘ ขณะประทับนั่ง ณ ควงไม้อัชปาลนิโครธ
    ทรงพุทธรำพึงว่า :
    ธรรม(ธมฺม) ที่ตถาคตได้บรรลุแล้วนี้ ลึก ซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต(ปณีต) มิใช่วิสัยแห่งตรรก(ตกฺก) คือ คิดเอาเองไม่ได้ หรือไม่ควรลงความเห็นด้วยการเดา แต่เป็นธรรมที่ปัณฑิตะ บัณฑิต(ปณฺฑิต ) พอจะรู้ได้
    อนึ่งเล่า สัตวะทั้งหลายส่วนมากยังถูกอวิชชาครอบงำ ยินดีในความอาลัย เริงรมย์และชื่มชมในอาลัย คือ กามคุณ สัตวะเหล่านั้นจะไม่รู้ซึ้งถึงธรรมของตถาคต สัตวะผู้เห็นปานนั้น ยากนั้นที่จะเห็นปฏิจจสมุปบาท(ปฏิจฺจสมุปฺปาท)และพระนิพพาน ซึ่งมีสภาพบอกคืนกิเลศ(กิเลส)ทั้งมวล ทำตัณหาให้สิ้น ดับทุกข์ ตถาคตจะพึงแสดงธรรมหรือไม่หนอ ถ้าแสดงไปแล้วคนอื่นรู้ตามไม่ได้ ตถาคตก็จะพึงลำบากเปล่า โอ! อย่า เลย อย่าประกาศธรรม ที่ตถาคตได้บรรลุแล้วเลย ธรรมนี้อันบุคคล(ปุคฺคล)ผู้เพียบแปล้ไปด้วย ราคะ โทสะ โมหะ จะรู้ได้โดยง่ายมิได้เลย บุคคลที่ ยังยินดีพอใจให้กิเลศ(กิเลส)ย้อมจิต ถูกความมืดคืออวิชชาหุ้มห่อแล้ว จักไม่สามารถเห็นได้ซึ่งอมตธรรม อันจะยังสัตวะให้ถึงซึ่งพระนิพพาน ซึ่งเป็นธรรมที่ทวนกระแสจิตอันละเอียด ประณีต ลึก ซึ้ง เห็นได้ยากนี้

    ลำดับนั้น ท้าวสหัมบดีพรหม(สหมฺปตีพฺรหฺม) ทรงทราบพระปริวิตกก(ปริวิตฺกก)ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงดำริว่า : “ท่านผู้เจริญ โลกจักพินาศ(วินาโส )หนอ ท่านผู้เจริญ โลกจักพินาศ(วินาโส )หนอ เพราะจิตของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า น้อมไปเพื่อความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพื่อการทรงแสดงธรรมฯ”
    ลำดับนั้น ท้าวสหัมบดีพรหม จึงหายวับจากพรหมโลกมาปรากฏ ณ สำนักของพระบรมศาสดา พร้อมทรงพาท้าวสักกเทวราช ท้าวสุยามเทวราช ท้าวสันตุสิตเทวราช ท้าวนิมมานรตีเทวราช ท้าวปรนิมมิตวสวัตตีเทวราช และท้าวมหาพรหมทั้งหลายจากหมื่นจักรวาล มาทูลอาราธนาให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรม การเสด็จมาของท้าวมหาพรหมเปรียบเสมือนบุรุษ(ปุริสา) ผู้มีกำลังเหยียดแขน คู้แขนฉะนั้น ต่างพากันเสด็จไปประดิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระทสพลญาณ

    ครั้นแล้ว ท้าวสหัมบดีพรหม จึงห่มผ้าลดไหล่ข้างหนึ่ง คุกเข่าขวาลง ณ พื้นปฐพี ประนมอัญชลีไปทางพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วกราบทูลว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพระมหากรุณาธิคุณโปรดประทาน
    พระสัทธรรมแด่เวไนยสัตว์ทั้งหลาย ของพระสุคตเจ้าทรงโปรดแสดงธรรมเถิด สัตวะทั้งหลายผู้มีธุลีในจักขุน้อย (มีอกุศลจิตน้อย) ยัง มีอยู่ แม้มิได้สดับรับรสแห่งพระสัทธรรม ก็จะเสื่อมสูญจากพระอริยมัคคญาณ ผลญาณ จะสูญเสียประโยชน์อันใหญ่หลวง อนึ่งสัตวะผู้บำเพ็ญบารมีมา แต่ในสมเด็จพระพุทธเจ้าในอดีตกาล บริบูรณ์ประดุจดอกปทุมชาติ พร้อมที่จะบานเมื่อได้รับแสงพระสุริยา มีความปรารถนาจะได้รับฟังพระสัทธรรม แม้เพียงพระคาถาเดียวก็จะหยั่งลงในอริยภูมิ สำเร็จมัคค ผลได้ ส่วนสัตวะที่มีอุปนิสัยที่จะบรรลุธรรมนั้นมีมากต่อมาก ขอพระสุคตเจ้าผู้ทรงสร้างสมติงสปารมีมาสิ้นกาลนาน จนบัดนี้ได้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว ขอทรงมีพระมหากรุณาแก่สรรพสัตว์ หากแม้นมิได้ตรัสพระสัทธรรมเทศนา(สทฺธมฺมเทสนา) สัตวโลกทั้งหลายจะแสวงหาที่พึ่งจากที่ใดเล่า” ดัง พระคาถาอาราธนาธรรม ว่า:
    พรหฺมา จ โลกาธิปตี สหมฺปติ กตญฺชลี อนธิวรํ อยาจถ
    สนฺตีธ สตฺตา อปฺปรชกฺชชาติกา เทเสหิ ธมฺมํ อนุกมฺปิมํ ปชนฺติฯ
    ภควา โลกาธิปตี นรุตฺตโม กตญฺชลีพฺรหฺมคเณหิ ยาจิโต
    สนฺตี ธ ธีราปฺปรชกฺขชาติกา เทเสตุ ธมฺมํ อนุกมฺปิมํ ปชํ ฯ
    เทเสตุ สุคโต ธมฺมํ เทเสตุ อมตํปทํ
    โลกานมนุกมฺปาย ธมฺมํ เทเสตุ นายก ฯ
    สมฺปนฺนวิชชาจรณสฺส ตาทิโน ชุตินฺธรสฺสนฺติมเทหธาริโน
    ตถาคตสฺสปฺปฏิปุคฺคลสฺส อุปฺปชฺชิ การุญฺญตา สพฺพสตฺเต ฯ
    ตํ สุตฺวา ภควา สตฺถา อิทํ วจนมพรวิ (วะจะนะมะพะระวิ)
    อปารุตา เต อมตสฺส ทฺวารา เยโสตวนฺโต ปมุญฺจนฺตุ สทฺธํ
    วิหึสสญฺญี ปคุณํ น ภาสึ ธมฺมํ ปณีตํ มนุเชสุ พฺรเหฺมติ (พรหมเมติ) ฯ

    การ ที่ท้าวสหัมบดีพรหมมาทูลอาราธนาธรรม เพื่อให้พระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดเวไนยสัตว์ เพื่อแสดงให้เห็นว่า พระพุทธธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงประกาศต่อไปนี้เป็นหลักธรรมที่มีความลึก ซึ้ง สุขุม คัมภีระ เป็นธรรมที่เป็นไปเพื่อความเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น เป็นพระพุทธวจนะล้วน แม้จะเป็นถ้อยคำของอรรถกถาจารย์ ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แต่เมื่อพระพุทธองค์ทรงรับรองแล้ว นั่นคือ พระพุทธวจนะเช่นกัน และเพื่อประกาศว่าชาวพุทธทั้งสิ้นจะต้องยึดหลักพระพุทธรำพึง จะต้องสิกขาธรรมด้วยความคัมภีระ เพราะธรรมที่ประกาศนั้นไม่ใช่ความคิดของปุถุชนคนกิเลศ(กิเลส)หนา ไม่ใช่ความคิดของสัตว์นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา พรหม หรือ อรูปพรหม แต่เป็นธรรมที่เกิดจากการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามีแต่พระ พุทธเจ้าเท่านั้นที่จะนำพาเราไปสู่ความลุ่มลึกของธรรมนั้นได้

    พระ พุทธรำพึงเป็นตัวบ่งบอกว่า จากนี้ไปเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมคราวใดนั้น ธรรมที่ทรงแสดงนั้นจะต้องมีความสุขุม ลุ่มลึก ไม่ใช่เอามาคิดกันง่ายๆ ไม่ใช่เอามาพิจารณาตื้นๆ ไม่มีการลงความเห็นด้วยการเดา การที่จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในพุทธันดรหนึ่งเป็นเรื่องแสนยาก ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ ก็ยากนักที่จะมีเวไนยสัตว์บรรลุธรรม แม้สุคติภูมิ (มนุษย์ เทวดา พรหม อรูปพรหม) ก็เป็นอันหวังได้ยาก ดังนั้นเวไนยสัตว์ ๓๑ ภูมิ (อบายภูมิ๔ มนุษย์๑ เทวดา๖ พรหม๑๖ และอรูปพรหม๔) ต่างรอคอยความตรัสรู้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นธรรมที่ละเอียด ยากต่อการที่บุคคลจะตรึกระลึกเอาเอง แล้วจะสามารถรู้แจ้งแทงตลอด พระพุทธเจ้าจึงมาบังเกิดเพื่อโปรดเวไนยสัตว์ให้ได้ถึงซึ่งโลกุตตระ

    “ธรรมที่ตถาคตบรรลุแล้วนี้ ลึก ซึ้ง” ลึก มาจาก คัมภีระ เมื่อ “ลึก” แล้วจึง “ซึ้ง” ไม่มีพิจารณาตื้นเขิน นั่นหมายความว่า ธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงประกาศต่อไปนี้ ต้องเป็นธรรมที่ไม่ใช่คนธรรมดาจะคิดได้ แต่เป็นธรรมที่เกิดจากความตรัสรู้ ความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าที่ทรงใช้เวลา ๒๐ อสงไขย กำไรแสนกัปป์ หรือหลังจากรับพยากรณ์แล้วจากพระพุทธเจ้า พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง
    พระโพธิสัตต์ (โพธิสตฺโต ) ที่ยังไม่ได้รับพยากรณ์ เรียกว่า “อนิยตโพธิสัตต์”
    พระโพธิสัตต์ (โพธิสตฺโต ) ที่ได้รับพยากรณ์แล้ว เรียกว่า “นิยตโพธิสัตต์”
    พระ โพธิสัตต์ ทรงนึกในใจว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า ๗ อสงไขยทรงสร้างมหากุศล(มหากุสล) เปล่งพระวาจาว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าอีก ๙ อสงไขย และเมื่อได้รับพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เป็น “นิยตโพธิสัตต์” ทรงสร้างพระปารมีต่ออีก ๔ อสงไขย กำไรแสนกัปป์ จนได้ตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็น “พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า”ณ ควงไม้ พระศรีมหาโพธิ ในวันเพ็ญ ๑๕ ค่ำ วิสาขมาส (เดือน ๖ ) สถานที่นั้นปัจจุบันนี้คือพุทธคยา ตำบลคยา ประเทศอินเดีย

    ความหมายของ อสงไขย และ กัป
    * อสงไขย หรือ อสังเขยยะ (อสงฺเขยฺย) = เป็นปริมาณหรือจำนวนที่มีการกำหนดที่นับประมาณมิได้ อุปมาเปรียบเทียบเอาไว้ว่า : ฝน ตกใหญ่อย่างมโหฬารทั้งวันทั้งคืน เป็นเวลานานถึง ๓ ปีไม่ได้ขาดสายเลย จนกระทั่งน้ำฝนท่วมเต็มขอบจักรวาล ซึ่งมีระดับความสูง ๘๔,๐๐๐ โยชน์ หากว่ามีใครสามารถนับเม็ดฝนที่ตกลงมาตลอดทั้ง ๓ ปี นับได้เท่าไร นั้นคือจำนวนเม็ดฝน ๑ อสงไขย
    อนึ่ง คำว่า อสงไขย มาจากภาษามคธว่า อสงฺเขยฺย หมายถึง นับไม่ได้ หรือ นับไม่ถ้วน
    พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ ระบุ
    จำนวนอสงไขย = โกฏิ ยกกำลัง ๒๐
    หรือ ๑ อสงไขย = 1 x 10140 ปี

    * กัปป์ หรือ กัปปะ(กปฺป) หรือ กัป มีความหมายอยู่ ๒ ความหมาย คือ:
    ๑. จาก ปัพพตสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค อุปมาเปรียบเทียบไว้ว่า : ภูเขาหินลูกใหญ่ยาว ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ (๑ โยชน์ = ๑๖ กิโลเมตร) ภูเขาไม่มีช่อง ไม่มีโพรง เป็นแท่งทึบ บุรุษพึงเอาผ้าแคว้นกาสี (ผ้าใยบางเบาเหมือนควันบุหรี่) มาปัดภูเขานั้น ๑๐๐ ครั้งต่อปี จนกว่าภูเขานั้นจะเตียนราบ ระยะเวลานั้น = ๑ กัปป์

    ๒. จาก สาสปสูตร พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย นิทานวรรค อุปมาเปรียบเทียบไว้ว่า :นคร ทำด้วยเหล็กยาว ๑ โยชน์ กว้าง ๑ โยชน์ สูง ๑ โยชน์ เต็มไปด้วยเมล็ดพันธุ์ผักกาด มีเมล็ดพันธุ์ผักกาดรวมกันเป็นกลุ่มก้อน บุรุษพึงหยิบเอาเมล็ดพันธุ์ผักกาดเมล็ดหนึ่งๆ ออกจากนคร โดยใช้เวลา ๑๐๐ ปีต่อ ๑ เมล็ด จนกว่าเมล็ดพันธุ์ผักกาดนั้นจะหมดสิ้นไป ระยะเวลานั้น = ๑ กัปป์

    เราสิกขาธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่ากับความลึก ๔ อสงไขย กำไรแสนกัปป์
    ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ ปุถุชนคนกิเลสหนา
    ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ สัตว์นรก
    ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ เปรต
    ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ อสุรกาย
    ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ สัตว์เดรัจฉาน
    ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ มนุษย์
    ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ เทวดา
    ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ พรหม
    ธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่ใช่ความคิดของ อรูปพรหม

    ความ คิดที่มีอยู่ในโลกเป็นของยาก เช่นความคิดของเทวดา พรหม อรูปพรหม แต่ความคิดของพระพุทธเจ้านั้นมีความลุ่มลึกยิ่งกว่าวิสัยปุถุชนคนธรรมดาจะ ระลึกได้ การจะไปถึง ๔ อสงไขย กำไรแสนกัปป์ ต้องมีพระพุทธเจ้าเป็นผู้นำทางเราไปสู่ความลุ่มลึกนั้น เราไม่สามารถจะไปขุดความลึกซึ้งนั้นได้ เพราะเป็นธรรมคัมภีระ ในความเป็นธรรมคัมภีระ ไม่ว่าจะลึก ซึ้ง สงบ ประณีต นั้นก็คือ
    สงบ คือ เวทนา
    เวทนา คือ ฌาน
    ฌาน คือ พระอรหันต์

    ธรรม ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าประกาศต่อไปนั้น คือ พระพุทธองค์ทรงประกาศให้เห็นว่าหลักสัจจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น เป็นธรรมที่เป็นไปเพื่อความเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น ทรงประกาศหลักธรรมลึกซึ้งรวม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมมขันธ์ เป็นพระพุทธวจนะล้วน ๘๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และอีก ๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เป็นคำสอนจากพระพุทธสาวก เมื่อพระพุทธองค์ทรงยอมรับนั่นคือ พระพุทธวจนะ

    หน้าที่ ของเวไนยสัตว์ทั้งหลาย คือ มีหน้าที่ฟัง ฟัง ฟัง แล้วใคร่ครวญ ตรึกตรองในหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แม้จะนั่งหลับตาก็คิดใคร่ครวญธรรมอยู่ในใจ ไม่ใช่ไปนึกคิดเอาเองตามใจเรา หรือตามคำสอนของลัทธิต่างๆ เพราะในยุคกึ่งพุทธกาลนี้จะมีลัทธิต่างๆ เกิดขึ้นมากมายดังดอกเห็ด และนำคำสอนต่างๆ มาสอนโดยไม่สนใจพระไตรปิฎก(ติปิฏก)ซึ่งเป็น พระพุทธวจนะ เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยแท้

    พระไตรปิฎก(ติปิฏก) เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าอันเกิดจากความตรัสรู้ด้วยพระบารมีที่สร้างมา ๒๐ อสงไขย กำไรแสนกัปป์ (สำหรับพระพุทธเจ้าปัญญาธิกะ) ถ้าเราไม่เอาพระไตรปิฎก เท่ากับว่าเราไม่เอาพระพุทธเจ้า ชาวพุทธที่สนใจในพระพุทธศาสนาก็คือผู้ที่สนใจศึกษา(สิกฺขา)ในหลักธรรมคำสอน ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่สนใจศึกษาแต่พุทธประวัติ หรือสนใจแต่พระสูตร หรือสนใจแต่พระวินัย แต่หลักธรรมที่สำคัญยิ่งคือ พระอภิธรรม(อภิธมฺม)ที่ประกอบด้วย ปรมัตถธรรม(ปรมตฺถธมฺม) ๔ คือ จิต(จิตฺต) เจตสิก(เจตสิก) รูป(รูป)นิพพาน(นิพฺพาน) การสิกขาธรรมต้องเริ่มตั้งแต่ “อนุบาล (อนุปาล)”

    แล้วจะ ไปจบเมื่อไรอย่าไปสนใจ ต้องนึกถึงว่า พระพุทธศาสนาไม่ใช่ของง่าย แต่เป็นของยากที่สุด พระพุทธศาสนาจึงไม่ง้อคน พระพุทธเจ้าไม่ได้ไปอ้อนวอน ขอร้อง หรือบังคับให้เชื่อ พระพุทธศาสนาถือว่าเป็นเพชรล้ำค่า ไม่ง้อให้คนฟัง ไม่ได้ง้อให้คนนับถือ ถือเสียว่า “ใครทำ ใครได้” พระพุทธองค์ทรงมีหน้าที่ “ชี้ทางให้เดินสู่นิพพาน” แล้วแต่ใครจะมีบุญ(ปุญฺญ)ได้เดินตามหรือไม่เท่านั้น
    พระพุทธเจ้า ทรงชี้ เข้าไปใน จิต ของเรา
    พระพุทธเจ้า ทรงชี้ เข้าไปใน เจตสิก ของเรา
    พระพุทธเจ้า ทรงชี้ เข้าไปใน รูป ของเรา
    เมื่อพระพุทธเจ้าทรงชี้เข้าไปในจิต เจตสิก รูป ของเราแล้ว ทำให้เรารู้ตามพระพุทธองค์ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ คือ เมื่อพระพุทธเจ้า “ตรัส” เราจึง “รู้” ตามพระพุทธองค์

    การ “ชี้” คือ การสดับธรรมตามหลักพุทธธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก่อนพระพุทธองค์จะทรงเทศนา(เทสนา) ก่อนพระพุทธองค์จะประกาศธรรม พระพุทธองค์ทรงพุทธรำพึงว่า : “ธรรม ที่ตถาคตตรัสรู้แล้วนี้ ลึก ซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต มิใช่วิสัยแห่งตรรก คือ คิดเอาเองไม่ได้ หรือไม่ควรลงความเห็นด้วยการเดา...”

    การที่ทรงพุทธรำพึงเพื่อประกาศว่า “คำสอนของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์นั้นเป็นธรรมที่สุขุม คัมภีระ ลุ่มลึก ยากที่เวไนยสัตว์จะรู้ได้ด้วยตนเอง” การประกาศพระพุทธศาสนาเพื่อให้พุทธบริษัท๔(พุทธปริสา๔) คือ ภิกษุ(ภิกฺขุ) ภิษุณี(ภิกฺขุนี) อุบาสก(อุปาสก) อุบาสิกา(อุปาสิกา) ถึงพระพุทธศาสนาคือมี ศรัทธา(สัทธา) ที่มาจากสัทธาเจตสิก เป็นโสภณเจตสิก ทำงานกับกุศลจิต(กุสลจิตฺต)อย่างเดียว มีความหมายว่ากั้นบาป กั้นอกุศล(อกุสล) กันอกุสลไม่ให้เข้ามา ถ้าเราไม่ถึงพระพุทธเจ้า ทำให้เราขาดโอกาสที่จะสิกขาธรรมให้เข้าใจ พระพุทธเจ้าทรงมีพุทธรำพึงเพื่อประกาศว่า : “บริษัท๔(ปริสา ๔) ทั้งหลายถ้าท่านถึงสัทธาเมื่อไร ท่านจะถึงสติ”สัทธานี้ คือ พระพุทธเจ้า การที่เราจะสัทธาพระพุทธเจ้านั้น คือเราต้องฟังธรรมคำสอนของพระพุทธองค์เราต้องสิกขาธรรมของพระพุทธองค์ไปตาม ลำดับ เพื่อก่อให้เกิดผลในอนาคตภายหน้า

    ในความหมายของพระพุทธรำพึงนี้ ผู้ที่จะรับฟังความคิดคำนึงในจิตของพระพุทธเจ้าได้คือท้าวสหัมปตีพรหม พระอรหันต์ชั้นอกนิฏฐกาสุทธาวาส ท่านได้ยินกระแสพุทธดำรัสจากพุทธรำพึงในจิต ณ ต้นอชปาลนิโครธ (ต้นไทร) และกระแสพุทธรำพึงนี้ไปถึงชั้นอกนิฏฐกาพรหม ชั้นสุทธาวาส ซึ่งท่านท้าวสหัมปตีพรหม ท่านมีหน้าที่จะต้องมาอาราธนา แม้พระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ก็จะมีลักษณะอย่างนี้ เป็นการประกาศพระพุทธศาสนา ซึ่งไม่ใช่การประกาศธรรมดา แต่เป็นการประกาศว่า : “ธรรม ที่พระพุทธเจ้าจะทรงแสดงต่อไปนี้ ไม่ใช่ของง่าย ธรรมที่พระพุทธเจ้าจะทรงประกาศต่อไปนี้ เป็นหลักธรรมที่นำพาเวไนยสัตว์ ไปสู่มัคค ผล นิพพาน พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดใน๓๑ ภูมิ”

    พระพุทธเจ้าทรงพุทธรำพึงและท้าวสหัมปตีพรหมทรงรับทราบ และทรงทูลอาราธนาธรรมว่า : “สัต วะทั้งหลายผู้มีกิเลสธุลีในนัยน์ตาน้อย (มีอกุศลจิตน้อย) ยังมีอยู่ในโลกนี้ ยังสามารถฟังธรรมเข้าใจ และสามารถบรรลุธรรมได้ ขอพระพุทธองค์ทรงโปรดอนุเคราะห์แสดงธรรม เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ให้ออกจากสังสารวัฏฏะด้วยเถิด”

    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพิจารณาเวไนยสัตว์เปรียบประดุจบัว ๔ เหล่า คือ
    ๑. อุคฆฏิตัญญู คือบุคคลที่อาจรู้ธรรมโดยเฉียบพลัน เพียงแต่ท่านยกหัวข้อธรรมขึ้นแสดง มีปัญญาเฉียบแหลม ฟังหัวข้อธรรมก็เข้าใจ เพียงได้รับธรรมก็เข้าใจ เปรียบเสมือนบัวที่พ้นน้ำ อันน้ำไม่ติดแล้ว เพียงได้รับแสงอาทิตย์ก็บานทันที ได้แก่ “ติเหตุกบุคคล(ติเหตุกปุคฺคล)” ผู้มีจิต ๑๓ คือ :
    ติเหตุกบุคคล จิต ๑๓ : กามาวจรญาณสัมปยุตตมหากุสลจิต ๔
    รูปาวจรมหากุสลจิต ๕
    อรูปาวจรมหากุสลจิต ๔
    ไม่มีอกุศลจิต(อกุสลจิตฺต) ๑๒ คือ โลภจิต๘ โทสจิต๒ โมหจิต๒ ขึ้นมากั้นธรรม บุคคลประเภทนี้ได้แก่ : พรหมผู้ได้ฌาน ผู้ได้สมาธิมีปัญญาตัดกิเลส เพราะมีสมาธิเป็นฐานของปัญญา พร้อมที่จะบรรลุธรรมโดยเฉียบพลัน และเป็นผู้มี กุสลเหตุ ๓ คือ :
    ๑. อโลภเหตุ
    ๒. อโทสเหตุ
    ๓. อโมหเหตุ (ปัญญาเจตสิก ตัดกิเลส)
    หรือมี เหตุอีก ๓ คือ :
    ๑. พระวินัยปิฎก(วินยปิฏก) ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
    ๒. พระสุตตันตปิฎก(สุตฺตนฺตปิฏก) ๒๑,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
    ๓. พระอภิธรรมปิฎก(อภิธมฺมปิฏก) ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์
    ได้แก่ บุคคลในสมัยพุทธกาล แม้เพียงฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าเพียงอรรถธรรมเดียวก็บรรลุธรรม เป็นบุคคลผู้เกิดมาด้วย “ญาณสัมปยุตมหาวิปากจิต”

    ๒. วิปจิตัญญู คือ บุคคลผู้อาจรู้ธรรมต่อเมื่อท่านอธิบายขยายความความหมายของหัวข้อนั้นๆ เปรียบเสมือนบัวปริ่มน้ำ พร้อมที่จะบานในวันต่อไป ได้แก่บุคคลผู้เป็น “ทวิเหตุกบุคคล(ทวิเหตุกปุคฺคล)” บุคคลผู้มีจิต ๑๔ คือ :
    ทวิเหตุกบุคคล จิต ๑๔ : โลภมูลจิต ๘
    โทสมูลจิต ๒
    กามาวจรญาณวิปปยุตตมหากุสลจิ ๔
    บุคคลผู้มีญาณวิปปยุตตจิต ๔ ยังมี :
    กุสลเหตุ ๒ คือ อโลภเหตุ ๑ และ อโทสเหตุ ๑
    อกุสลเหตุ ๒ คือ โลภเหตุ ๑ และ โทสเหตุ ๑
    บุคคลประเภทนี้จะฟังธรรมพระพุทธเจ้าได้ แต่จะเข้าใจยาก จะบรรลุธรรมยาก เพราะยังมีโลภเหตุ และโทสเหตุ จะเข้าใจธรรมต่อเมื่อมีการขยายข้อธรรม ต้องสะสมภูมิธรรมไปอีกนับอเนกอนันตชาติ จะต้องใช้เวลาอีกเนิ่นนาน บุคคลประเภทนี้ได้แก่ เทวดาตั้งแต่ชั้น ตาวตึงสา ยามา ตุสิตา นิมมานรตี ปรนิมมิตวสวัตตี ผู้ยังอยู่ในกามาวจรภูมิ เกิดมาด้วย “ญาณวิปปยุตมหาวิปากจิต”

    ๓. เนยยะ คือ บุคคลที่พอจะแนะนำได้ คือพอจะฝึกสอนอบรมให้เข้าใจธรรมได้ เมื่อได้รับการขยายอธิบายข้อธรรมให้กระจ่างมากยิ่งขึ้นกว่าวิปจิตัญญู เปรียบเสมือนบัวที่อยู่ใต้น้ำ พร้อมที่จะบานในวันต่อๆ ไปคือบุคคลที่เป็น “สุคติอเหตุกบุคคล(สุคติอเหตุกปุคฺคล)” ต้องใช้เวลาในการใคร่ครวญธรรม ส่วนมากเป็นคนที่ไม่มีโอกาสได้ฟังธรรม หรือมีโอกาสฟังธรรมแล้วแต่ไม่สนใจ และไม่รู้ธรรม และชอบคิดเอาเองไม่ฟังพระพุทธเจ้า ได้แก่คนในยุคนี้ บุคคลประเภทนี้เรียกว่า “สุคติอเหตุกบุคคล(สุคติอเหตุกปุคฺคล)” ไม่มีเหตุ ๖ มาทำงาน คือ :
    กุสลเหตุ ๓ คือ อโลภเหตุ ๑ อโทสเหตุ ๑ อโมหเหตุ ๑
    อกุสลเหตุ ๓ คือ โลภเหตุ ๑ โทสเหตุ ๑ โมหเหตุ ๑
    ได้แก่ คนผู้มาเกิดด้วย อุเปกขาสันตีรณอเหตุกกุสลวิปากจิต มีจิตทำงาน ๑๖ คือ :
    สุคติอเหตุกบุคคล จิต ๑๖ : โลภจิต ๘
    โทสจิต ๒
    โมหจิต ๒
    กามาวจรญาณวิปปยุตตมหากุสลจิต ๔
    บุคคล ประเภทนี้ เป็นคนไม่มีเหตุผล เมื่อฟังพระพุทธเจ้าไม่เข้าใจ ไม่รู้เรื่อง ต้องเริ่มต้นสะสมธรรมใหม่ เริ่มมีวินัย และทำตามวินัยของพระพุทธเจ้า ได้แก่ คน มนุษย์ และเทวดาชั้นจาตุมหาราชิกา

    ๔. ปทปรมะ คือบุคคลที่ไม่สามารถจะเข้าใจธรรม ไม่สามารถรู้ธรรม หมดโอกาสบรรลุธรรม เปรียบเสมือนบัวที่อยู่ในโคลนตม มีแต่จะเป็นอาหารของเต่า ปู ปลา ฯลฯ คือบุคคลผู้เป็น “ทุคติอเหตุกบุคคล(ทุคติอเหตุกปุคฺคล)” คือ บุคคลผู้มีจิต ๑๒ ทำงานอยู่เป็นประจำคือ :
    ทุคติอเหตุกบุคคล จิต ๑๒ : โลภมูลจิต ๘
    โทสมูลจิต ๒
    โมหมูลจิต ๒
    บุคคล ประเภทนี้มีอกุศลจิต(อกุสลจิตฺต) ๑๒ ทำงานพร้อมด้วยอกุศลเจตสิก(อกุสลเจตสิก) บุคคลประเภทนี้ได้แก่ อบายสัตว์(อปายสัตว์)ในอปายภูมิ ๔ คือ สัตวนรก เปรต อสุรกาย และสัตว์เดรัจฉาน ผู้ไม่สามารถจะรู้ธรรมได้ หมดโอกาสบรรลุธรรม มีแต่อกุสลเหตุมาทำงานคือ :
    โลภเหตุ ๑ โทสเหตุ ๑ โมหเหตุ ๑

    พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ทรงทราบความเป็นไปของสัตวะทั้งหลายด้วยความตรัสรู้ วิชชา ๓ คือ :
    ๑. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทรงทราบเรื่องราวในอดีตภพ (อตีตภว) ย้อนกลับไปถึงพันชาติ หมื่นชาติ แสนชาติ นับจะประมาณมิได้ ว่าทรงเกิดเป็นอะไร มีชื่อ โครตได้เสพสุข ทุกข์มาอย่างไร
    ๒. จุตูปปาตญาณ ทรงมีทิพพจักขุ ล่วงรู้ถึงกำเนิดหรือจุติ หรืออุปัตติของสัตวะทั้งหลาย รู้ถึงกรรม(กมฺม)
    และบารมี(ปารมี)ที่สัตวะสั่งสมมาว่าจะบรรลุธรรมด้วยธรรมใด
    ๓. อาสวักขยญาณ ทรงตรัสรู้การทำอาสวะให้สิ้น บรรลุถึงพระสัมมาสัมโพธิญาณ เป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าและเพื่อประกาศให้โลกเห็นเป็นธรรม บัญญัติ(ธมฺมปญฺญตฺติ)ว่า ธรรมของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นธรรมที่ละเอียด สุขุม คัมภีรภาพ ต้องฟังและใคร่ครวญตามธรรมของพระพุทธองค์เท่านั้น จึงจะลึก ซึ้ง และสงบ ประณีตได้ ไม่ใช่มานั่งสงบของเราเอง
    ถ้าจะสงบ ต้องสงบ โดยพุทธธรรม
    ถ้าจะลึกซึ้ง ต้องลึกซึ้ง โดยพุทธธรรม
    ถ้าจะปณีตะ ต้องปณีตะ โดยพุทธธรรม.

    สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
    วิเสสลกฺขณมิตฺตา
    ชมรมสิกขาธัมมะตามพระไตรปิฎก(ติปิฏกะ) ๘๔๐๐๐ พระธัมมขันธะ
     
  15. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +30
    ของเก่า# ย้ำอีกที





    ศัตรูที่มองไม่เห็น อย่าประมาท/ อหังการวิเศษมาร ฝากจนถึงรุ่นลูกหลานเหลนโหลน


    #ทรงแสดงธรรมโดยมีเหตุ มีใช่ไม่มีเหตุ ทรงแสดงธรรมโดยเป็นจริง มิใช่ไม่เป็นจริง!

    ไม่เอาพุทธทำนาย แต่เจอทรงแสดงธรรมในเหตุเภทภัยข้ามอนาคต 1,000 ปีเศษ


    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอดีต ไม่เป็นจริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตก็ไม่พยากรณ์สิ่งนั้น
    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอดีตเป็นของจริง เป็นของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตก็ไม่พยากรณ์แม้สิ่งนั้น

    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอดีต เป็นของจริง เป็นของแท้ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตย่อมเป็นผู้รู้กาลในสิ่งนั้น เพื่อพยากรณ์ปัญหานั้น

    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอนาคตไม่เป็นจริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ตถาคตก็ไม่พยากรณ์สิ่งนั้น

    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นอนาคต เป็นของจริงเป็นของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตก็ไม่พยากรณ์แม้สิ่งนั้น

    ดูกรจุนทะแม้หากว่าสิ่งที่เป็นอนาคต เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์ตถาคตย่อมเป็นผู้รู้กาลในสิ่งนั้น เพื่อพยากรณ์ปัญหานั้น

    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นปัจจุบัน ไม่เป็นจริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตย่อมไม่พยากรณ์สิ่งนั้น

    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นปัจจุบัน เป็นของจริง เป็นของแท้แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตก็ไม่พยากรณ์แม้สิ่งนั้น

    ดูกรจุนทะ แม้หากว่าสิ่งที่เป็นปัจจุบัน เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์ ตถาคตย่อมเป็นผู้รู้กาลในสิ่งนั้น เพื่อพยากรณ์ปัญหานั้น ด้วยเหตุดังนี้แล

    จุนทะ ตถาคตเป็นกาลวาที เป็นสัจจวาที เป็นภูตวาที เป็นอัตถวาที เป็นธรรมวาที เป็นวินัยวาทีในธรรมทั้งหลายทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ชาวโลกจึงเรียกว่าตถาคโต ด้วยประการดังนี้แล ฯ


    สิ่งที่จะช่วยให้พ้นในสถานะการณ์
    เป็นของจริง๑ เป็นของแท้๑
    ประกอบด้วยประโยชน์๑

    บุคคลผู้เป็นบัณฑิตอาศัยธรรมเข้าสู่ทิพยภูมิของพระอริยะ
    บุคคลผู้เป็นพาลอาศัยธรรมเข้าสู่อบาย ทุคติวินิบาต นรก




    8F5E5E20-21F3-4989-B7E3-5FDDE9D71CBB.jpeg


    นาลันทา มิใช่มิทรงไม่เคยตรัสเคยเอ่ยถึง ว่าจะเกิดอะไร? และทำไมถึงกล่าวเจาะจงที่นาลันทา

    ดูกรคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บ้านนาลันทานี้เป็นบ้านมั่งคั่ง เป็น
    บ้านเจริญ มีชนมาก มีมนุษย์เกลื่อนกล่น?
    อย่างนั้น พระเจ้าข้า บ้านนาลันทา เป็นบ้านมั่งคั่ง เป็นบ้านเจริญ มีชนมาก
    มีมนุษย์เกลื่อนกล่น.
    ดูกรคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน ในบ้านนาลันทานี้ พึงมีบุรุษคนหนึ่งเงื้อดาบมา เขาพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราจักทำสัตว์เท่าที่มีอยู่ในบ้านนาลันทานี้ ให้เป็นลานเนื้ออันเดียวกัน ให้เป็นกองเนื้ออันเดียวกัน โดยขณะหนึ่ง โดยครู่หนึ่ง ดูกรคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นจะสามารถทำสัตว์เท่าที่มีอยู่ในบ้านนาลันทานี้ ให้เป็นลานเนื้ออันเดียวกัน ให้เป็นกองเนื้ออันเดียวกัน โดยขณะหนึ่ง โดยครู่หนึ่งได้หรือ?
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บุรุษ ๑๐ คนก็ดี ๒๐ คนก็ดี ๓๐ คนก็ดี ๔๐ คนก็ดี ๕๐ คนก็ดีไม่สามารถจะทำสัตว์เท่าที่มีอยู่ในบ้านนาลันทานี้ ให้เป็นลานเนื้ออันเดียวกัน ให้เป็นกองเนื้ออันเดียวกัน โดยขณะหนึ่ง โดยครู่หนึงได้ พระเจ้าข้า บุรุษผู้ต่ำทรามคนเดียว จะงามอะไรเล่า.
    ดูกรคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีฤทธิ์ ถึงความเป็นผู้ชำนาญในทางจิต พึงมาในบ้านนาลันทานี้ สมณะหรือพราหมณ์นั้น พึงกล่าวอย่างนี้ว่าเราจักทำบ้านนาลันทานี้ให้เป็นเถ้า ด้วยใจคิดประทุษร้ายดวงเดียว ดูกรคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีฤทธิ์ ถึงความเป็นผู้ชำนาญในทางจิตนั้น จะสามารถทำบ้านนาลันทานี้ให้เป็นเถ้า ด้วยใจประทุษร้ายดวงหนึ่งได้หรือหนอ?
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บ้านนาลันทา ๑๐ บ้านก็ดี ๒๐ บ้านก็ดี ๓๐ บ้านก็ดี ๔๐ บ้านก็ดี๕๐ บ้านก็ดี สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีฤทธิ์ ถึงความเป็นผู้ชำนาญในทางจิตนั้น สามารถจะทำให้เป็นเถ้าได้ด้วยใจประทุษร้ายดวงหนึ่ง บ้านนาลันทาอันต่ำทรามบ้านเดียวจะงามอะไรเล่า.


    ดูกรคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนี้เป็นไฉน ในบ้านนาลันทานี้ พึงมีบุรุษคนหนึ่งเงื้อดาบมา เขาพึงกล่าวอย่างนี้ว่า เราจักทำสัตว์เท่าที่มีอยู่ในบ้านนาลันทานี้ ให้เป็นลานเนื้ออันเดียวกัน ให้เป็นกองเนื้ออันเดียวกัน โดยขณะหนึ่ง โดยครู่หนึ่ง ดูกรคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นจะสามารถทำสัตว์เท่าที่มีอยู่ในบ้านนาลันทานี้ ให้เป็นลานเนื้ออันเดียวกัน ให้เป็นกองเนื้ออันเดียวกัน โดยขณะหนึ่ง โดยครู่หนึ่งได้หรือ?

    พวกแรกคือ ทหารธรรมดาสามัญ



    ดูกรคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีฤทธิ์ ถึงความเป็นผู้ชำนาญในทางจิต พึงมาในบ้านนาลันทานี้ สมณะหรือพราหมณ์นั้น พึงกล่าวอย่างนี้ว่าเราจักทำบ้านนาลันทานี้ให้เป็นเถ้า ด้วยใจคิดประทุษร้ายดวงเดียว ดูกรคฤหบดี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สมณะหรือพราหมณ์ผู้มีฤทธิ์ ถึงความเป็นผู้ชำนาญในทางจิตนั้น จะสามารถทำบ้านนาลันทานี้ให้เป็นเถ้า ด้วยใจประทุษร้ายดวงหนึ่งได้หรือหนอ?

    พวกที่สองคือ พวกที่ร่ำเรียนได้ฤทธิ์จาก อสัทธรรม หรือ อหังการวิเศษมาร



    ในพระไตรปิฏกทรงตรัสพยากรณ์ถึงอนาคตไว้เป็นอันมาก ซึ่งโดยตรงและต้องไขความ

    ทรงรู้มิใช่ไม่ทรงรู้ แต่ทุกๆสิ่งทุกๆอย่างจักเป็นไปตามกรรม


    และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่มีผู้เปิดเผยเรื่องนี้ตามตรง ทั้งฆ่าและเผา อย่าคิดว่าเรื่องบังเอิญฯ

    912B897A-777C-45ED-ADAB-74F607F5BACE.jpeg

    อุปาลิวาทสูตร
    เรื่องทีฆตปัสสีนิครนถ์

    https://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=13&A=1044&Z=1477



     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 ธันวาคม 2022
  16. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +30
    CBE00443-AD10-4106-ADDD-A225B29253D4.jpeg
    ตอบคำถามที่ 1 ทำไมจึงมีคำเริ่มต้นว่า “นิ”นำหน้าสมณศักดิ์ ของพระภิกษุสงฆ์

    *ต้องสำคัญที่ฐานะ ที่ใช้คำที่มีคุณค่าความหมาย นำหน้าความหมายแฝงโดยตรง โดยความหมายเดียวก็มาจาก “ผู้รู้ ผู้ส่งสาร “การเข้าถึงหน้าที่ของพระสาวกสงฆ์ทั้งหลายฯ เพื่อการดำรงค์พระพุทธศาสนา ในที่นี้ก็เหมือนคำสรรเสริญพระสงฆ์ ว่าท่านนั้นๆ มีคุณความสามารถที่จะกล่าวสอนธรรม ให้ความรู้ในทางปริยัติ ปฎิบัติ ปฎิเวธ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง ที่ตนมีองค์ความรู้และเชี่ยวชาญ แก่พุทธศาสนิกชนและแก่บุคคลเหล่าอื่นได้ หากนำไปนำหน้าฐานะอื่นๆ บุคคลอื่นๆ ก็จะให้คุณความหมายเป็นอื่นๆอีกเป็นร้อยนัยพันนัย ไม่เข้ากัน ขัดกัน ดังนี้ฯ (เมื่อจะนำคำใดๆในพระบาลีมาใช้ก็ต้องตีความหมาย ดึงเอาความหมายที่ดีที่สุด เหมาะสมกับฐานะ คุณค่าที่สุดออกมา #เรื่องนี้ก็เคยมีมาเหมือนกับ คำว่า “ปฎิรูป “เอาไปนำหน้าหรือตามหลังคำใดๆก็วิบัติฉิบหายเหมือนกัน ผู้เยาว์วิสัชนาดังนี้ !




    ตอบคำถามที่ 2 หากมีผู้ใดกล่าวว่า”ภาษาที่พระพุทธเจ้าสอนไม่ใช่ภาษาบาลี “ กรณี อาจารย์ ทองย้อย ฯ ถาม ฝากส่งไปถึงท่านด้วย /
    อักษรในพระไตรปิฏกพระธรรมคำภีร์ธรรมแม่บททิพย์วิเศษบริสุทธิธรรม

    มีความอัศจรรย์ดังนี้ !

    #เมื่อ ปวารณา

    นักวิชาการภาษาศาสตร์ จงทำความเข้าใจ สามารถพิสูจน์ และวิเคราะห์ข้อนี้ ได้

    มี "พระมหาปกรณ์" อยู่ครับ แต่ ต้องพิจารณาขอบเขต ๒๕๐+ ๓๐๐=๙๐๐ โยชน์ มัชฌิมประเทศที่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายมาจุติ และภาษาอื่นที่ทรงเสด็จไปทรงโปรดด้วย จึงจำเป็นต้องถ่ายทอดลงมาเป็นสุทธมาคธี-มาคธี พระมหาปกรณ์นั้น ถ้าเห็นสภาพการเปลี่ยนแปลงก็จะเข้าใจครับ

    และในกาลอื่นๆที่ทรงเสด็จไปโปรด ภาษาที่รักษาไว้ซึ่งพระพุทธวจนะก็ทรงถ่ายทอดลงมาเป็นภาษาอื่นๆเมื่อทรงเสด็จไปโปรดสัตว์ในโลกธาตุที่มีภาษาอื่นอีกด้วยครับ ถ้าเขากล่าวว่า" ไม่ใช่ภาษา" แล้วเขาไม่รู้จัก "ปฎิสัมภิทา มัคโค" วิศิษฐปาฐะ หรือการเปลี่ยนแปลงของพยัญชนะปฎิรูป คือการเปลี่ยนแปลงของภาษาธรรม ที่แม้แต่จะถามด้วยใจก็สามารถตอบด้วยวาจา ถามด้วยความรู้สึกเช่นนั้นเป็นภาษาใด

    ขอให้สหายบัณฑิตผู้เจริญของข้าพเจ้าพิจารณาดูให้ดีนะครับ สิ่งที่ผมกล่าวเป็นทั้ง ปริยัติ ปฎิบัติและปฎิเวธ ของ ผู้เสกขภูมิอยู่ ฉนั้นเมื่อเขาไม่รู้จักการเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่รู้จักปฎิสัมภิทาญาน หากเขาใช้คำพูดแบบนั้น เขากล่าวไม่ถูกต้องครับ และถ้าเขารู้จัก พระมหาปกรณ์อันละเอียด ที่มีอัตลักษณ์ ที่ไม่หยั่งลงสู่ความตรึกนี้ แต่สามารถเปลี่ยนแปลงเป็นภาษาที่เราท่านสามารถเข้าใจทั้ง รูป พยัญชนะ สำเนียง ของอรรถ ในทันที ที่แม้จะไม่เคยได้รู้ได้เรียนมาก่อนเลย โดยในนามปฎิสัมภิทา เขาถือทิฏฐินั้นได้

    ฉนั้นการที่จะเอา ภาษาบาลีหรือพยัญชนะเหล่าใดก็ตาม มาตรวจสอบกับแท่นพิมพ์ ถ้าแท่นพิมพ์หรือแม่แบบ นั้นแปลงสภาพให้ เป็น อักษรนั้นๆ ก็เห็นควรอยู่ ที่จะเป็นหรือเรียกว่า บาลี แต่ถ้าแม่แบบไม่เปลี่ยนให้ หรือเปลี่ยนเป็นภาษาอื่นๆ ท่านก็จะคิดจะรู้ทันทีว่า เห็นที่จะไม่ใช่ ภาษานี้โดยตรง เพราะฉนั้นการที่จะเอา ภาษาใดๆก็ตามมาตรวจสอบกับแท่นพิมพ์ว่า เป็นภาษาที่ตรงกันหรือไม่ ไม่ใช่ฐานะที่จะกระทำได้หรือระบุได้ตายตัว ผมจึงใช้คำว่า ไม่ใช่ พระพุทธวจนะตรงๆจาก พระสัทธรรม แต่เป็นภาษาที่ทรงโปรดนำมาแสดงไว้ ตามความเหมาะสมของเชื้อชาติประเทศราชและท้องถิ่นนั้นๆครับ ก็เพื่อจะให้ชนส่วนใหญ่ได้ล่วงรู้โดยง่าย

    ถ้านำลงมาแสดงไว้ด้วยภาษาอื่นๆก็จะต้องตีความแล้วตีความเล่า เพราะยิ่งด้วยผู้มีปฎิสัมภิทาแล้ว เห็นประโยคเดียว ออกเป็นร้อยนัยพันนัยเลยที่เดียวตามกระแสสกานิรุตติ และเพ่งจิตด้วยวิมุตติญานทัสสนะตามธรรมที่เสวยวิมุตติสุขนั้นๆ ภาษาใจ ภาษาธรรมชาติ ที่เป็น "สัจธรรมมหาปกรณ์" ผมไม่สามารถจะทำให้ท่านได้รู้เห็นได้ ท่านต้องเห็นเอง

    ขอให้เจริญในปฎิสัมภิทาเถิดครับ ด้วยสติปัญญาของบัณฑิต ผู้สั่งสมสุตตะอย่างท่านทั้งหลาย โดยเฉพาะท่านที่ได้อ่านในตอนนี้เมื่อใดที่ท่านได้เข้าสู่ทิพย์ภูมิของพระอริยะ ในปฎิสัมภิทา ท่านจะทราบเลยว่า ขนาดที่มีธรรมละเอียดที่จะทรงสามารถแสดงได้ขนาดนี้เพื่อให้สัตว์โลกได้เข้าใจถึงสภาวะธรรม แต่กลมลสันดานของสัตว์โลกที่ไม่ได้สั่งสมสุตตะมาก่อนไม่เหมาะที่จะตรัสรู้และเข้าใจธรรมอันประเสริฐนี้

    จนทรงท้อพระทัยที่จะทรงตรัสสอน จึงแสดงเพื่อเป็นพลวปัจจัยเป็นอันมาก จึงทรงกล่าวธรรมแม้บทเดียวโดยที่เขาเข้าใจก็เป็นสุขแก่สัมปราภพของสัตว์นั้นอย่างยาวนานจวบจนพระนิพพาน และโดยเฉพาะฐานะที่ท่านทำอยู่ในการปกป้องรักษาพระไตรปิฏกด้วยความบริสุทธิ์ใจเหล่าใดก็ตามในกาลนี้ก็ตามกาลอดีตที่แล้วมาจนถึงกาลอนาคตก็ตาม พวกท่านทั้งหลายเหล่านั้นฯ ย่อมได้บรรลุสู่ ปฎิสัมภิทาญาน อย่างแน่นอนครับ

    พระอรหันต์๔หมวด มีคุณความสามารถที่แตกต่างกันตามบทบาทและหน้าที่ วันนั้นเมื่อท่านได้เห็น พระมหาปกรณ์ จาก พระสัทธรรม พระธรรมราชา แล้ว ท่านจะเข้าใจ อรรถพยัญชนะที่ข้าพเจ้าแสดงไว้แล้วนี้ สาธุธรรมครับ

    #เหล่า ปฎิสัมภิทา เจาะทะลุทะลวง ทุกศาสตร์และทุกคัมภีร์ในลัทธิความเชื่อต่างๆ ประดุจ เป็นผู้บันทึก บัญญัติ เขียนขึ้นมาเองกับมือ ด้วยจินตนาการที่มากกว่าเจตนารมณ์ของผู้สร้างความเชื่อนั้นๆ /ทิฏฐิ 62 พิชัยสงครามของพระพุทธศาสนา

    สามารถใช้ ฤทธิ์ใดๆจากศาสตร์ที่ศึกษามาในความเชื่อลัทธิอื่นๆได้ด้วยดีที่สุด
    EEA65A5B-81B0-45D2-985F-93D7F2847769.jpeg

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2022
  17. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +30
    6073BB89-EB7B-4E0B-BF4A-C821B7270F3C.jpeg 753388F0-829E-4175-B590-516DCDD560A7.jpeg

    มันคอยจ้องแอบดูอยู่ และแอบคอนโทรลอย่างลับๆโดยที่เราท่านทั้งหลายฯไม่รู้ตัว กับ ความเพลิดเพลินที่แฝงไปด้วยความขัดข้องใจทั้งหลายเหล่านั้น!



    มันจะคอยขัดขวาง ชักศึกเข้าบ้านและบงการทุกอย่าง! ชักใยเราไม่ได้มันก็จะชักใยบงการคนที่เรารักและให้ความสำคัญตลอดจนมิตรสหายข้างกายของเราแทน สุดท้ายการคบหากัลยาณมิตรนั้นสำคัญมาก หากเราท่านไม่สามารถตั้งจิตและอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่มั่นคง เสร็จมันแน่!ทุกรายการ ต่อให้ไปทำบุญ รถก็คว่ำตาย! คนขับรถดี รถฝั่งตรงกันข้ามก็มาพาให้ตาย เป็นเรื่องของ สติ ทั้งนั้นฯ ขาดสติ เมื่อไหร่ ก็พินาศในคราวนั้น

    ดูเอาจากเหตุการณ์ที่ปรากฎขึ้นในโลกภายนอกนั้นเถิดฯ


    น ตํ กมฺมํ กตํ สาธุ ยํ กตฺวา อนุตปฺปติ “ทำกรรมใดแล้วร้อนใจภายหลัง กรรมที่ทำแล้วนั้นไม่ดี”


    การดูถูกเหยียดหยามจากมาร ! เดี๋ยวเถอะ!

    มีพวกคอยตามรังควานแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน สำหรับนักปฎิบัติที่ดี



    “สักวันเราท่านทั้งหลายฯก็จักต้องเผชิญสภาวะนี้”

    ต้องพิจารณามากขนาดไหน? กับสภาวะธรรมที่ได้รับ

    “ปฎิบัติอบรมจิตมามากเท่าใด ก็เห็นผลเท่านั้น!”



    #อย่าลืมว่าในอดีตเราเคยสร้างและประกาศว่า ในยุคนี้ ไม่มีใครหลงทางตั้งใจปรามาสสร้างบาปกรรมแก่พระพุทธศาสนาได้เทียมเท่าเรา ! นิทานเรื่องเล่าปรัมปรา ของตัวเอก“แค่สบัดมือและเปล่งวาจาผู้คนล้มตายเพียบ! ทั้งฆ่าทั้งเผาตำรา ศรีษะต้องหลุดจากบ่าก็เพราะใคร แม้แต่ผู้ลงมือตัดศรีษะนั้นก็ยังยินดีและตายด้วยมือเท้าของเรา

    และคนแบบนั้น! ไปเจอไปได้สิ่งใดมาในประสบการณ์ที่ได้รับ

    จนต้องกลับมาขอขมากรรมเชิดชูพระสัทธรรมด้วยชีวิตเฉกเช่นนี้

    สองมือที่ประนมมือ ก้มกราบ นับกาลได้ยากกว่าที่จะสามารถยกขึ้นประนมมือกราบพระบรมสารีริกธาตุที่วัด ชนาธิป จังหวัดสตูล ในยามหลังเที่ยงคืน!

    ช่างหนักเหลือเกิน! ไม่เคยพบเจออะไรที่หนักเช่นนี้มาก่อน! ในการบังคับกาย เหมือนคนง่อยเปรี้ยเสียแขน

    (ว่าด้วยมีสติ และขาดสติ

    ผู้ไม่ตั้งใจแล้วกระทำซึ่งหน้า
    ผู้ตั้งใจแล้วกระทำซึ่งหน้า
    ผู้ตั้งใจคิดคำนวนวางแผนแล้วจึงทำซึ่งหน้า จนวางแผนตาย
    ผลที่ได้นั้นแตกต่างกัน )

    #ยิ่งเป็นพวก เล็กๆมิต้าไม่ ใหญ่ๆมิต้าทำ พวกนี้น่ากลัว จะทำทีโด่งดังคับโลก เรื่องเล็กๆตีหัวหมาด่าแม่คนเดินสะดุดตีนใครๆแย่งผู้หญิงผู้ชายปล้นหากินกระจอกๆเขาไม่ทำกัน !

    นิทาน:แม้แต่จะละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่าง ไปเป็นแบบมหาโจรพลีชีพพลีชีวิตตน อาศัยในป่าเขา เพื่อล้างแค้น! ดื่มกินได้แม้กระทั่งเนื้อและโลหิตมนุษย์เพื่อดำรงชีพและความสะใจ อย่างท่านองคุลีมาล/อหิงสกะ แต่เราจะต่างเพราะฆ่าตัดศรีษะ เสียบประจาน ยังโดนขัดขวาง! จากผู้ไม่ประสงค์ให้เราเป็นอย่างนั้น!

    โหดพอหรือยัง? บ้าพอหรือยัง? คนแบบนั้นเหรอ! จึงจะมา ปฎิบัติธรรม รักษาธรรม เหมือนอย่างทุกๆวันนี้

    #ฉนั้นแล้วผู้ที่ศึกษาเรียนและปฎิบัติตามทั้งหลายแต่หนหลัง แม้ท่านจะได้กระทำกรรมหนักในอนันตริยกรรม๕ ประการมามากน้อยเพียงไร จะกรรมเล็กกรรมน้อยเพียงไร ติดคุกติดตะราง ไม่มีใครรักและไว้ใจเป็นที่พึ่งพา หากมีวาสนาได้อ่านข้อความที่ได้บันทึกไว้ในท่อนนี้ หากกลับตัวกลับใจได้ ก็อย่าได้ประมาทแรงแห่งกุศลกรรมที่สร้าง แม้ไม่ได้ในภพชาติ สัมปรายภพก็ยังปรากฎให้ ดังเช่นกรณี พระเจ้าอชาตศัตรู ดังนั้นแลฯ

    บันทึก:สภาวะธรรม 27/12/65

    หากไม่ใช่มีโพธิสัตว์ผู้ทำนิมิตเตือน!

    ( ก็เป็นไอ้บ้าระดับพยามารกะเตงเมียมาเหยียดหยาม )




    จอมยุทธ์ ในทางธรรม:ต้องสู้กับอารมณ์ใคร่ครวญ ในกามารมณ์ กามคุณ ๕ มากมายขนาดไหน จึงปรากฎ พยามารและนางมาร (สองผัวเมีย)ออกมาเยาะเย้ย! ในขณะที่เราได้เดินทางเข้ารกเข้าพง หลงไปเสวยทรัพย์สินบนแห่งมาร โดยอาการที่ต้องฝืนยิ้มชื่นชมต่อหน้า เจ้าของผลิตภัณฑ์ชั้นเลิศชั้นดีหายากและมีชื่อเสียง ทั้งๆก็รู้สึกเอ่ะใจและไม่ค่อยชอบใจในกิริยามารยาท ของผู้ผลิตและเลขายอดรัก ในขณะที่ต้องเผลอตัวเผลอใจและตั้งอกตั้งใจเพื่อเดินเข้าไปทดลองชิมลิ้มลอง ในสถานที่แสดงสินค้า และบูธทดลองชิมด้วยความปรารถนาอยากลิ้มลองรสชาติของที่วางตั้งโชว์ไว้อย่างสาธารณะ อย่างนั้น สุดท้าย พอได้แตะต้องและชิมลิ้มลองรสนั้นอยู่ คาปากอย่างนั้น

    พยามารและนางมาร :ก็ปรากฎขึ้นมาเยาะเย้ย กล่าวคำเชิดชูสามีพยามาร และกล่าวคำพูดคำจารับขึ้นคู่กัน อย่างกับร้องเพลงคู่ ขึ้นขับขานทำนองว่า มีความอยากอยู่เต็มหัวอก อดลิ้มรสลิ้มลองขัดขืนก็ไม่ได้ ไม่มีปัญญาที่จะแสวงหาความเป็นเลิศอื่นใดได้มากกว่านี้หรือ มีปัญญาหาได้ดีได้มากกว่านี้หรือเปล่า

    จะกลืนก็กลืนไม่ลงจะคายก็คายไม่ไหว เพราะรสชาติมันติดดูดซึมอยู่คาปาก

    #เหยียดหยามกันมากเกินไปแล้ว

    รู้สินะ! ไสหัวกันออกมาแบบนี้ ก็แสดงว่า รู้อะไรดีๆมาอย่างนั้นหรือ?

    นึกว่าเราอยากกินอยากใช้ของพวกท่านมากหรือยังไง? พยามาร

    ยิ่งมาทำแบบนี้ เท่ากับว่า มีบางสิ่งบางอย่างที่จะปรากฎขึ้นมาเร่งเร้า ให้เปลี่ยนแปลงเป็นไป โดยแน่แท้

    ถ้าไปได้ในชั่วเวลาข้ามราตรีนี้ ไปแล้ว! อย่าฝัน จะเข้ามาแทรกแซง !


    #พักคอยติดตามดูสถานการณ์โลก!



    39CA0A6F-14C1-43D3-8BF5-ABF2C5B4643C.jpeg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2022
  18. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +30
    ทางลัดสำหรับการเจริญเมตตา

    เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ในอนาคตจะมีการแบ่งปันทุกๆสิ่งทุกๆอย่างกันไปทั่วสารทิศ ไม่แบ่งแยกในชมพูทวีปนี้ ไม่สิ แม้ทวีปอื่นปรารถนา ขาดแคลนก็ควรให้

    ที่มาของต้นกัลลปพฤกษ์ คือการบริจาคแบ่งปันอย่างหาประมาณมิได้ ไม่มีความเห็นแก่ตัว มันศิวิไลยตรงนี้!

    ผู้มาเกิดก็เติบโตมาด้วยทิฐิสมบูรณ์

    ทุกๆวันนี้ ต้องอยู่อย่างหวาดกลัว ความอดอยากแร้นแค้น











     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 ธันวาคม 2022
  19. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +30


    เรื่องราวของคำทำนายในมหาสุบิน 16 หรือพุทธทำนายกึ่งพุทธกาล ท่านพระพุทธโฆษาจารย์ท่าน วิสัชนาแบบกลางๆ เอาแบบไม่ให้งมงาย หากสงสัย ไม่เข้าใจ ถามได้โดยตรงครับ ไม่ปิดกั้น ให้ดูที่ความเกี่ยวข้อง สิ่งต่างๆที่สัมพันธ์กัน ผู้รู้ก็ชี้ทางตอบได้ อธิบายได้ ผู้ไม่รู้ก็จะไม่สามารถวิสัชนาได้ ตอบไม่ได้ เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับ อภยปริตร ที่พระพุทธเจ้าทรงให้พระสาวกแก้วสวดถวาย

    ไฟไหม้แปลกๆ ระยะนี้ “คงไม่เกี่ยวกับพวกหลุดประตูนะ”
    9098D375-E98D-4BF8-9548-1E7D848474A0.jpeg

    9624A1C9-2C80-4D51-AB08-0AD35E78B42A.jpeg BDBF9010-6BBC-4ADC-96E7-F6C00BA5B854.jpeg 1A7070E9-8F2E-4D65-8A33-2911BD9F34E6.jpeg
    D00E4355-8774-448F-8AE1-956865343287.jpeg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 มกราคม 2023
  20. Lord deva

    Lord deva สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 ตุลาคม 2022
    โพสต์:
    377
    ค่าพลัง:
    +30


    ขอเพียงมีผู้บรรลุปาฏิหาริย์ 3 ปรากฎ ในกึ่งพุทธกาล มหาปณิธานอย่าง“ พระเนมิราช “ จะอุบัติขึ้น

    (ใกล้เพียงคืบ)



    #twelve


    “กลับชาติมาเกิดเพื่อคนนับพันชีวิต”
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 ธันวาคม 2022

แชร์หน้านี้

Loading...