พระศรีอาริย์จะมาปรากฎพระองค์ในเมืองไทยระหว่างวันที26 พ.ย.นี้

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนวัจฉะ ชนที่กล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมเป็นสัพพัญญู มีปกติเห็นธรรมทั้งปวง ทรงปฏิญาณญาณทัสสนะไม่มีส่วนเหลือว่า เมื่อเราเดินไปก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับก็ดี ตื่นก็ดี ญาณทัสสนะปรากฏแล้วเสมอติดต่อกันไปดังนี้ ไม่เป็นอันกล่าวตามคำที่เรากล่าวแล้วและชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยคำที่ไม่มี ไม่เป็นจริง
“ดูก่อนวัจฉะ เมื่อบุคคลพยากรณ์ว่า พระสมณโคดมเป็นเตวิชชะ (ผู้ได้วิชชา ๓ ) ดังนี้แล เป็นอันกล่าวตามคำที่เรากล่าวแล้ว ชื่อว่าไม่กล่าวตู่เราด้วยคำไม่เป็นจริง ชื่อว่าพยากรณ์ถูกสมควรแก่ธรรม....
“ดูก่อนวัจฉะ ก็เราเพียงต้องการเท่านั้น ย่อมจะระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง..... ตลอดสังวัฎวิวัฎกัปเป็นอันมาก ในภพโน้นเรามีชื่อย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น... เราย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศด้วยประการฉะนี้
“ดูก่อนวัจฉะ ก็เราเพียงต้องการเท่านั้น ย่อมจะเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติกำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดีตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ซึ่งเป็นไปตามกรรมว่าสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียน พระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิฉาทิฐิ เขาเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมทิฐิ..... เบื้องหน้า แต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์
“ดูก่อนวัจฉะ เมื่อบุคคลพยากรณ์ว่า พระสมณโคดมเป็นเตวิชชะ เป็นอันกล่าวตามคำที่เรากล่าวแล้ว ชื่อว่าไม่กล่าวตู่เราด้วยคำไม่เป็นจริง...”

จูฬวัจฉโคคตสูตร ม. ม. (๒๔๑-๒๔๒)
ตบ. ๑๓ : ๒๓๗-๒๓๘ ตท.๑๓ : ๒๐๓-๒๔๒
ตอ. MLS. II : ๑๖๐

 

พุทธดำรัสตอบ “....ดูก่อนวัจฉะ ชนที่กล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมเป็นสัพพัญญู มีปกติเห็นธรรมทั้งปวง ทรงปฏิญาณญาณทัสสนะไม่มีส่วนเหลือว่า เมื่อเราเดินไปก็ดี หยุดอยู่ก็ดี หลับก็ดี ตื่นก็ดี ญาณทัสสนะปรากฏแล้วเสมอติดต่อกันไปดังนี้ ไม่เป็นอันกล่าวตามคำที่เรากล่าวแล้วและชื่อว่ากล่าวตู่เราด้วยคำที่ไม่มี ไม่เป็นจริง
“ดูก่อนวัจฉะ เมื่อบุคคลพยากรณ์ว่า พระสมณโคดมเป็นเตวิชชะ (ผู้ได้วิชชา ๓ ) ดังนี้แล เป็นอันกล่าวตามคำที่เรากล่าวแล้ว ชื่อว่าไม่กล่าวตู่เราด้วยคำไม่เป็นจริง ชื่อว่าพยากรณ์ถูกสมควรแก่ธรรม....
“ดูก่อนวัจฉะ ก็เราเพียงต้องการเท่านั้น ย่อมจะระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง..... ตลอดสังวัฎวิวัฎกัปเป็นอันมาก ในภพโน้นเรามีชื่อย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น... เราย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศด้วยประการฉะนี้
“ดูก่อนวัจฉะ ก็เราเพียงต้องการเท่านั้น ย่อมจะเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติกำลังอุบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดีตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ซึ่งเป็นไปตามกรรมว่าสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียน พระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิฉาทิฐิ เขาเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยเจ้า เป็นสัมมทิฐิ..... เบื้องหน้า แต่ตายเพราะกายแตก เข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์
“ดูก่อนวัจฉะ เมื่อบุคคลพยากรณ์ว่า พระสมณโคดมเป็นเตวิชชะ เป็นอันกล่าวตามคำที่เรากล่าวแล้ว ชื่อว่าไม่กล่าวตู่เราด้วยคำไม่เป็นจริง...”

จูฬวัจฉโคคตสูตร ม. ม. (๒๔๑-๒๔๒)
ตบ. ๑๓ : ๒๓๗-๒๓๘ ตท.๑๓ : ๒๐๓-๒๔๒
ตอ. MLS. II : ๑๖๐<!-- google_ad_section_end -->
__________________
<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->

อย่าไปคาดหวังกับมนุษย์​

 

อ่านเป็นรึป่าว สัพพัญญู หมานถึงรู้ทุกอย่างที่ต้องการรู้
ส่วนที่ว่ากล่าวตู่นั้น หมายถึง ว่าพระพุทธเจ้ารู้ได้ตลอดเวลาโดยไม่ต้องนึก

 

จึงขอเชิญพระบรมราโชวาท
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลเดชมหาราช
" คนดี "
ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี
ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด
การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย
จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี
หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดีให้คนดี ได้ปกครองบ้านเมือง
และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้
​

 

เป็นพระพุทธเจ้าแล้วหรอ ถ้ายังก็บำเพ็ญต่อไป

 

ไม่ต้องเป็นพระพุทธเจ้าหรอก แค่เป็น หอ หึ หึ ก๊อ่านรู้เรื่องแล้วใช้หัวคิดนิดหน่อยก๊พอ พี่สี ผิดแล้วยอมรับเถอะ แล้วขอขมาพระรัตนตรัยด้วยนะ ปรามาสเข้าไปเต็มๆ

 

ทำไมไม่คิดได้ให้ดีกว่าทำตัวเองให้เศร้าหมอง ควรทำจิตให้สูงขึ้น ไม่ใช่เอะอะอะไรก็ไล่ไปขอขมาพระรัตนตรัย เด็กน้อยเจ้าก็ไม่ประสีปะสา เราไม่เอาโทษหรอกนะ การจะสอนคนต้องสอนให้เค้าฉลาดกว่าตัว



ไอน์สไตน์ เคยกล่าวไว้ว่า อีกไม่นานมนุษย์ทุกคนจะต้องหันมานับถือศาสนาแห่งจักรวาล
"ศาสนาแห่งจักรวาล" ในความหมายของ อัลเบิร์ตหมายถึง "ศาสนาที่แท้จริงต้องไม่สอนให้กลัวชีวิต กลัวความตาย และสร้างศรัทธาอย่างคนตาบอด หากแต่สอนให้ทุ่มเท หาความรู้อย่างมีเหตุผล"ที่มา หนังสือ ไอน์สไตน์พบ พระพทุธเจ้าเห็น"

 

แล้วต่างจากพระพุทธศาสนาตรงไหนนิ สอนให้เขาใจธรรมชาติ ดั่งคำที่ว่า "เกิดแก่เจ็บตายเปนของธรรมดา" แล้วไอน์สไตน์อาจไม่เคยกล่าวไว้ก้ได้ ผู้แต่งอาจเพิ้มเติมไป ส่วนคำว่าอีกไม่นานของคุณนั้นผมกล้าเอาหัวเป็นประกันเลยว่าคุณตายก่อนได้เห็น
ผมว่าศาสนาแห่งจักรวาลต้องเป็นยุคของพระศรีอารย์แน่ๆ

 

โถ พี่ศรี ใครจะไปไล่ พี่ศรี ไปขอขมาได้ หึ หึ เห็นว่าควรขอขมาแต่ ถ้าพี่ศรี นับถือ ไอน์สไตน์ของ พี่ศรี เป็นสรณะ ก็แล้วไป
หึ หึ นับถือศาสนาพุทธ ศาสนาแห่งจักวาล อะไรนั่นอะ พี่ศรีอ่านแล้ว ปรุงได้ขนาดนี้เลยหรือ บอกตรงๆนะกระทู้ที่ พี่ศรีสอนนะ สงสารคนที่มาเรียนมาถามนะ ได้แต่ผงชูรส หึ หึ

 

ศรีอารยะ5<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4586810", true); </SCRIPT>
สมาชิก



วันที่สมัคร: Mar 2006
สถานที่: นิพพานศูนย์เปล่า
ข้อความ: 4,180
พลังการให้คะแนน: 885

 

สงสัยคิดว่าตนเองเป็นพระศรีแน่เลย

 

สรุป ถ้าอยากเจอพระศรีฯ ก็ต้องไปที่วัดธรรมกาย ณ วันเวลาดังกล่าวใช่ไหม ??

 

ถ้ามีบุญไปไหนก็เจอได้

 

ง่า ... เห็นกระทู้นี้เเล้ว.....

อาจารผมบอกพระศรีอารย์ตอนนี้ยังเป็นเทวดาเด็กเรียนหนังสืออยู่บนสววรค์อยู่เลย

เเหะๆ สงสัยพระศรีอารย์มีหลายองค์มั้งองค์นึงอยู่บนสวรรค์ องนึงโตเเล้ว อีกองค์

พึ่งเกิด บางองค์ก็กำลังเป็นเด็ก สงสัยมีบางองค์มรณะภาพไปเเล้วด้วยเนอะ55+

 

รู้ไปก็เท่านั้น หยุดถกกันเถอะ พูดไปก็เท่านั้น แม้นจะเอาพระอรหันต์มาพูดบอกตามที่ท่านได้รู้มา แต่ทว่าคนฟังไม่ปฏิบัติเองย่อมไม่เห็น จะว่าไปแล้วก็ รังแต่จะเสียเวลาถกเถียงกันเปล่าๆ
สิ่งที่เราต้องการแท้จริงนั้นก็คือการพ้นทุกข์ เมื่ออยากรู้และอยากพ้นทุกข์ก็เร่งปฏิบัติธรรมเองจะดีกว่า ตน
เป็นที่พึ่งแห่งตน ไม่มีใครจะทำให้ท่านขึ้นสวรรค์หรือลงนรกได้ถ้าไม่ใช่ตัวท่านเอง
เช่นนี้แล้วไม่จำเป็นว่าพระศรึีฯจะมาหรีอไม่ เมื่อไหร่ ขึ้นอยู่กับว่าถ้าท่านปฎิบัติได้เองแล้วท่านจะเห็นเองจะดีกว่า
เมื่อยังไม่ถึงนิพพานการเวียนว่ายตายเกิดย่อมไม่จบ ถ้าไม่อยากจบก็แล้วแต่ท่านจะดำเนินต่อไป
เพียงมาเตือนเท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจทำให้ใครเคืองใจประการใด และขออภัยมา ณ ที่นี้ Good Luck

 

<!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->พรานยึ้ม<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_4587608", true); </SCRIPT>
สมาชิก



<!-- google_ad_section_end -->

 

ถ้าจะเมตตาช่วยสอนวิธีพิืสูจน์หน่อยครับPMมาเลยครับผมยังไม่เชื่อก่อน

 

ไม่ผิดหรอก แต่ผมกล่าวถึงเบื้องหลังสิ่งนี้ คือเบื้องหลังของความว่างและธาตุสี่นี้อีก
ความไร้สภาวะคือบ่อแห่งสรรพสิ่ง
เมื่อสภาวะเป็นหนึ่งก็เห็นการสร้างสรรพสิ่ง ตลอดถึงการคงอยู่ และการเสื่อมสลาย
อธิบายเชิงวิทยาศาสตร์คร่าวๆ ใน1โมเลกุล ประกอบด้วยธาตุมาอยู่รวมกันด้วยพันธะทางเคมี
ในธาตุประกอบด้วย โปรตอน นิวตรอน และอิเลคตรอน ในระดับอิเลครตอนก็พบว่ามีคุณสมบัติเป็นพลังงานไปแล้ว เมื่อเจาะลึกเข้าไปอีกเราพบว่าวัตถุต่างๆที่เราเห็นๆ มีแก่นแท้อีกอย่างเป็นพลังงาน แต่พลังงานที่วิทยาศาสตร์พบนี้ยังไม่สุดนะ แม้พลังงานนี้จะละเอียดมองไม่เห็นอยู่แล้ว แต่ยังมีพลังงานที่อยู่หลังพลังงานนี้อีก
วิทยาศาสตร์ยังเข้าไม่ถึง

 

สาธุ สาธุ
-พระศรีอาริยะ ได้แบ่งพระภาค ลงสู่โลก เลื่อย ๆ ผู้มีบุญสัมพันธ์ หรือ มีหน้าที่เกี่ยวข้องก็จะรู้ได้เอง เหมือนอัตโนมัติ บอกกล่าวไม่มีใครรู้ รู้ได้เฉพาะตน

-กาลยุคยากเข็ญ ภัยพิบัตินี้ ก็มีพุทธะ องค์สำคัญ ๆ ลงมามากมายเช่นกัน ผู้ใดไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เข้าใจ ก็ภาวนาต่อไปจนปัญญาแจ้ง ก็จะรู้เห็นตาม พุทธองค์จึงให้ว่าอย่าเชื่อ ให้พิสูจน์ ไม่ใช่ด่า ประนามกัน ลืมข้อนี้กันแล้วหรือไร

-เหมือนครั้งก่อน พุทธองค์ก่อนจะเสด็จไปพบ ปัญจวัคคีย์ ก็ทราบโดยพระญาณล่่วงหน้าว่าจะพบ อุปกาชีวก ซึ่งบุญยังไม่เต็มที่ ยังไม่รู้ว่าพุทธองค์คือ พระพุทธเจ้า ก็ได้แค่สนธนาไปก่อน (สร้างบุญสัมพันธ์กันไปก่อน) พระองค์เมตตา ถ้าเปิดเผยไปว่าพุทธองค์คือพระพุทธเจ้า อุปกาชีวก ซึ่งบุญยังไม่เต็มที่ก็คงสบประมาท ปรามาส แล้วอะไรจะเกิดขึ้น

-หรืออย่างเช่น ปัญวัคคีย์ ที่พุทธองค์เสด็จไปพบเพื่อเทศธรรม ก่อนจะทราบว่าพระองค์สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า ก็ยังสมประมาท ปรามาสก่อนแล้วจึงค่อยยอมสนธนาฟังพระธรรม จึงทราบว่าพระองค์สำเร็จจริง แล้วเหล่าผู้เดินทางธรรม จะเอาเป็นตัวอย่างทำไม เมื่อยังไม่รู้ว่าอะไร เป็นอะไร ก็ปรามาสไปแล้ว ขอให้ได้สนธนาก่อน จึงพิจารณา จึงเหมาะเป็นศิษย์ตถาคต

-ผู้เดินทางธรรม รู้ หรือ เห็น หรือไม่ ก็เฉยๆ ดีกว่าจะประนาม ทำให้ผู้อื่นที่กำลังเดินทางเขางงกัน ว่าทำอะไรกัน แล้วก็จะไม่เดินดีกว่า

-อยากจะรู้ จะเห็นก็อะไรที่ตามองไม่เห็น หรือปัญญาขั้นสติ ก็หากัลยาณมิตรที่มีญาณ มี ชาญ ไ้ว้ไกล้ ๆ ตัวบ้างจะได้ทันกัน

-

 

เอาละเอาละไม่ต้องมาทุ่มเถียงกัน เอาเป็นว่าพระอินทร์ท่าน
สร้างนรกขุมใหม่ไว้แล้วสำหรับจัดการอริยเก๊ทั้งหลายเสร็จแล้ว