พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2560 ปรับใหม่ ดูชัด ๆ เงินเดือนเริ่มต้นเท่าไรถึงต้องเสียภาษี
    -http://money.kapook.com/view146748.html-

    ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา 2560 ปรับโครงสร้างครั้งนี้ช่วยเสียภาษีน้อยลง แต่มนุษย์เงินเดือนจะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนเท่าไรกัน ลองมาดู

    มนุษย์เงินเดือนได้เฮกันดัง ๆ เมื่อคณะรัฐมนตรีไฟเขียวปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2560 ซึ่งมีทั้งเพิ่มวงเงินหักค่าใช้จ่ายส่วนตัวเป็น 50% แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เพิ่มค่าลดหย่อนทั้งส่วนตัว คู่สมรส บุตร รวมทั้งปรับอัตราภาษีในช่วงอัตราร้อยละ 30-35 ที่จากเดิมมีรายได้สุทธิ 4,000,001 บาทขึ้นไปต้องเสียภาษี 35% ปรับเป็นต้องมีรายได้สุทธิ 5,000,001 บาทขึ้นไป (อ่านข่าว ปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ปี 2560 ค่าลดหย่อนเพียบ เงินเดือน 26,000 ถึงเสียภาษี)

    การปรับโครงสร้างภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2560 ดังกล่าว ส่งผลให้มนุษย์เงินเดือนเสียภาษีในอัตราน้อยลง ซึ่งทางเพจเฟซบุ๊ก กรมสรรพากร (Revenue Department) ก็ได้ทำภาพมาให้ดูกันชัด ๆ ว่า มนุษย์เงินเดือนจะเริ่มมีภาษีที่เงินเดือนแค่ไหน หากใช้ค่าลดหย่อนส่วนตัวเพียงอย่างเดียว

    [​IMG]
    รูปแรก


    กรณีโสด หรือสมรสแต่แยกยื่นภาษี

    - ใช้ค่าลดหย่อนส่วนตัวเพียงอย่างเดียว : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 25,833 บาท
    - มีบุตร 1 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 28,333 บาท
    - มีบุตร 2 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 30,833 บาท
    - มีบุตร 3 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 33,333 บาท
    - มีบุตร 4 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 35,833 บาท

    กรณีคู่สมรสมีเงินได้และรวมยื่นภาษี

    - ใช้ค่าลดหย่อนส่วนตัวและคู่สมรสเพียงอย่างเดียว : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 39,166 บาท
    - มีบุตร 1 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 44,166 บาท
    - มีบุตร 2 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 49,166 บาท
    - มีบุตร 3 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 54,166 บาท
    - มีบุตร 4 คน : จะต้องเริ่มเสียภาษีที่เงินเดือนมากกว่า 59,166 บาท

    ส่วนใครที่มีค่าลดหย่อนอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น ประกันชีวิต, กองทุน LTF-RMF, ค่าเลี้ยงดูบิดา-มารดา, เงินบริจาคต่าง ๆ ฯลฯ เงินเดือนเริ่มต้นที่จะต้องเสียภาษีในปี 2560 ก็จะมากขึ้นตามไปด้วย โดยการปรับโครงสร้างภาษีครั้งนี้จะใช้สำหรับการยื่นแบบภาษีในปี 2561

    [​IMG]
    รูปที่สอง

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
    กรมสรรพากร, เฟซบุ๊ก กรมสรรพากร (Revenue Department)
    -https://www.facebook.com/RevenueDepartment/photos/a.195554743806681.53390.193960577299431/1273309289364549/?type=3-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • salary_1.jpg
      salary_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      96.9 KB
      เปิดดู:
      441
    • z4.jpg
      z4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      88.2 KB
      เปิดดู:
      559
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อย. ชี้แจงเรื่อง "กัญชา รักษามะเร็ง"
    -http://health.sanook.com/3293/-

    อย. เผยกรณีข่าวกัญชารักษาโรคมะเร็ง

    จากกรณีที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการใช้กัญชารักษาโรคมะเร็ง อย. ขอชี้แจงว่า ปัจจุบันยังไม่มียาจากกัญชาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับยาแต่อย่างใด เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลการศึกษาวิจัยทางคลินิกในคนเพียงพอที่จะยืนยันประสิทธิผลและความปลอดภัยในการใช้รักษาโรคมะเร็ง

    เภสัชกรสมชาย ปรีชาทวีกิจ รักษาราชการแทนรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีกระแสข่าวเกี่ยวกับการใช้กัญชารักษาโรคมะเร็งนั้น สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งมีหน้าที่ในการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์สุขภาพ เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ขอชี้แจงว่า กัญชาจัดอยู่ในกลุ่มยาเสพติดให้โทษในประเภท 5 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต จำหน่าย นำเข้า ส่งออก หรือมีไว้ในครอบครอง เว้นแต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจะได้อนุญาตโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการควบคุมยาเสพติดให้โทษ

    ปัจจุบันยังไม่มียาจากกัญชาที่ได้รับการขึ้นทะเบียนตำรับยาแต่อย่างใด เนื่องจากยัง ไม่มีงานวิจัยทางวิชาการในคนยืนยันว่าสามารถรักษาโรคมะเร็งได้


    ทั้งนี้ อย. ได้ตระหนักถึงประโยชน์ของกัญชาและสารสกัดจากกัญชาในการนำมาใช้ในการบำบัดรักษาทางการแพทย์ จึงได้เสนอให้มีการแก้ไขพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 เปิดให้สามารถนำกัญชารวมถึงสารสกัดจากกัญชามาใช้ประโยชน์ ทางการแพทย์ในการรักษาโรคได้ ตามคำสั่งของผู้ประกอบการวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบการวิชาชีพการแพทย์แผนไทยสาขาเวชกรรมไทย หรือผู้ประกอบการวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์

    โดยระหว่างที่ อย. พิจารณาแก้ไขพระราชบัญญัติฯ นี้ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ได้จัดทำร่างประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งมีการรวบรวมกฎหมายเกี่ยวกับยาเสพติดหลายฉบับบรรจุไว้เป็นร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับเดียว อย. จึงได้ส่งร่างพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษที่มีการแก้ไขดังกล่าวให้ ป.ป.ส. เพื่อประกอบการจัดทำร่างประมวลกฎหมาย ซึ่งร่างประมวลกฎหมายนี้คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบกับหลักการของร่างฯ เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2559 ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการพิจารณาของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา

    ปัจจุบันมีการใช้กัญชาในทางการแพทย์ของต่างประเทศ โดยมีข้อบ่งใช้ของยา ได้แก่ บรรเทาอาการคลื่นไส้อาเจียนที่เกิดจากการใช้เคมีบำบัดในผู้ป่วยมะเร็ง เพิ่มความอยากอาหารในผู้ป่วยโรคเอดส์ รักษาภาวะปวดเกร็ง ในผู้ป่วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง รักษาอาการปวดในผู้ป่วยโรคมะเร็ง ข้อมูลการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการนำกัญชามาใช้ในการรักษาโรค ขณะนี้ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาวิจัย เช่น การศึกษาวิจัยในการรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ชนิดต่าง ๆ เป็นต้น

    นอกจากนี้ ในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ก็ยังไม่มีการรับรองให้มีการนำพืชกัญชามาใช้ ในการรักษาโรคมะเร็ง เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลการศึกษาวิจัยทางคลินิกในคนเพียงพอที่จะยืนยันประสิทธิผลและความปลอดภัย ทั้งนี้ อย. ยังคงมุ่งมั่นส่งเสริมให้เกิดการพัฒนายาที่ดี มีประสิทธิภาพในการรักษา และไม่เคยปิดกั้นความก้าวหน้าทางวิชาการแต่อย่างใด รักษาราชการแทนรองเลขาธิการ อย. กล่าวในที่สุด

    ข้อมูล -http://goo.gl/nmNNCy-
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พินัยกรรมอวัยวะ จากพ่อถึงลูก ในวันที่สมองตาย อย่าลังเลที่จะมอบร่างกายพ่อให้กับผู้อื่น
    -http://hilight.kapook.com/view/135985-

    ข้อความเรียกน้ำตา พินัยกรรมอวัยวะ จากพ่อส่งถึงลูก ในวันที่พ่อสมองตาย อย่าลังเลที่จะมอบร่างกายของพ่อให้กับผู้อื่น เพื่อไม่ให้ความตั้งใจของผู้ประสงค์บริจาคร่างกายต้องเสียเปล่า

    การบริจาคอวัยวะ ถือเป็นการให้ที่มีค่ามาก เป็นการต่อชีวิตจากคนที่กำลังจะหมดลมหายใจส่งต่อถึงคนที่กำลังรอความหวัง ซึ่งเชื่อว่าหลายคนที่ได้อ่านข้อความนี้ก็ร่วมบริจาคอวัยวะเช่นกัน แต่การบริจาคอวัยวะนั้น กว่าจะส่งต่อถึงผู้ที่ต้องการไม่ใช่เรื่องง่าย เรื่องที่ยากที่สุดไม่ใช่ขั้นตอนการรักษา แต่เป็นขั้นตอนในการ "ขออนุญาต" ให้ญาติและครอบครัวอนุมัติร่างกายของเราให้กับผู้อื่นต่างหาก

    ทั้งนี้ทางสภากาชาดไทย ได้ผุดแคมเปญ #พินัยกรรมอวัยวะ เพื่อให้ทุกคนได้เขียนพินัยกรรม บอกไปยังลูกหลาน ญาติ หรือพ่อแม่ ให้ทำตามประสงค์ของผู้ที่บริจาคร่างกาย และมีหนังสั้นกำกับโดยเต๋อ นวพล เพื่อถ่ายทอดเหตุการณ์ของลูกคนหนึ่งที่ "สมองตาย" แต่ยัง "หายใจ" ซึ่งทางการแพทย์ถือว่า "เสียชีวิต" แต่แม่ไม่ยอมให้เดินเรื่องบริจาคร่างกายตามประสงค์ของลูก และยังรอปาฏิหาริย์ทั้ง ๆ ที่ลูกเหลือแค่ลมหายใจเท่านั้น [ชมคลิปด้านล่าง]

    อย่างไรก็ดี คุณ Pom Chaiyaporn หนึ่งในผู้ที่ร่วมทำแคมเปญดังกล่าว ได้เขียนพินัยกรรมอวัยวะถึงลูกชาย เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2559 ถึงเหตุผลที่เขาบริจาคร่างกายในครั้งนี้ โดยระบุว่า เป็นสิ่งที่พ่ออยากทำมานานแล้ว และหวังว่าเมื่อลูกอ่านออก และเมื่อวันที่พ่อหมดลมหายใจ ลูกจะทำตามคำที่พ่อขอเอาไว้...

    โดยแต่ละตัวอักษรนั้น เรียกน้ำตาคนอ่านได้อย่างมากเลยทีเดียว เพราะได้เห็นถึงความตั้งใจในการแบ่งปันร่างกายให้กับผู้อื่นแล้ว ยังเห็นถึงความรักของพ่อที่มีต่อลูก การเขียนพินัยกรรมเช่นนี้เรียกได้ว่าต้องกล้าหาญและกลั่นความรู้สึกออกมาจากหัวใจจริง ๆ

    ขณะที่ผมเขียน Status อยู่นี้
    ผมมีสติสัมปชัญญะครบถ้วนสมบูรณ์ทุกประการ
    ปัน...
    พ่อเขียนไว้เผื่อวันที่ลูกโตและอ่านหนังสือออกนะ
    พ่อมาช่วยงานสภากาชาดได้สักพักละ
    เพื่อชวนให้คนมาบริจาคอวัยวะ
    เกือบ 4 เดือน ที่พ่อตระเวนคุยกับเจ้าหน้าที่ที่เขาทำงานตรงนี้
    ได้คุยกับคนไข้ที่เขาทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วย รอปลูกถ่ายอวัยวะ
    พ่อก็เลยคิดว่า ก่อนที่พ่อจะไปโน้มน้าวคนอื่นให้เขายอมบริจาคอวัยวะ
    พ่อในฐานะคนคิด พ่อควรต้องเริ่มก่อน

    แต่การบริจาคอวัยวะ มันไม่เหมือนการบริจาคอื่น ๆ นะ
    ไม่เหมือนยังไง ปันคงสงสัย
    คืออย่างนี้ เวลาพ่อบริจาคเลือด พ่อก็เดินไปบอกเขาว่าอยากบริจาคเลือด
    เขาก็เอาเลือดของพ่อไปช่วยคนได้เลย
    หรือเวลาพ่อเอาเงินหรือของไปบริจาค
    พ่อก็แค่เอาของไปให้ ควักเงินใส่ตู้ได้ทันที
    แต่สำหรับการบริจาคอวัยวะ คนที่ตัดสินใจคือ ญาติ
    พ่อกับอาเม้งเลยได้ไอเดียว่าจริง ๆ แล้ว
    การบริจาคอวัยวะที่ดีที่สุด ได้ผลที่สุด ทำง่ายที่สุด ก็คือ การบอกญาติ
    ไม่ต้องไปทำบัตรที่กาชาดหรอก

    พ่อเลยต้องทำพินัยกรรมนี้ไว้เพื่อบอกลูก
    ว่าถ้าวันนึงพ่อเกิดเป็นอะไรไป แล้วหมอเขาบอกลูกว่าพ่อสมองตาย
    จะด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ ตอนนั้นพ่อคงลุกขึ้นมาบอกปันไม่ได้แล้ว
    ว่าพ่ออยากบริจาคอวัยวะ
    ยังไง ปันก็คุยกับแม่ แล้วช่วยทำตามความต้องการของพ่อด้วยนะลูก
    งานนี้เป็นงานที่พ่ออยากทำมานานแล้ว
    ขณะเดียวกันมันก็เป็นงานที่ยากมาก ๆ ด้วย
    เพราะมันมีความละเอียดอ่อน และประเด็นซับซ้อน
    ต้องระวังความรู้สึกของหลายคนหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
    รวมถึงมีหลายเรื่องที่ต้องสื่อสาร
    พ่อจึงพยายามทำหนังให้เข้าใจความรู้สึกของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ให้ได้มากที่สุด
    ไม่ว่าจะเป็นญาติที่เพิ่งสูญเสียคนรักที่กำลังนอนรอความตายอยู่ตรงหน้า
    คนที่ทุกข์ทรมานจากการรอการปลูกถ่ายอวัยวะมาเป็นระยะเวลานาน
    และเจ้าหน้าที่ที่ต้องเดินเข้าไปอธิบายญาติ เพื่อให้ญาติยินยอมบริจาค
    แต่ก็ต้องจบลงด้วยคำปฏิเสธเกือบทุกครั้ง

    ต้องขอบคุณ น้าเต๋อ นวพล ผู้กำกับที่พ่อรอเวลาที่จะทำงานด้วยมาตลอด
    น้าเต๋อโคตรเก่ง พ่อเรียนรู้หลายอย่างจากการทำงานกับคนเก่ง ๆ คนนี้
    ที่สำคัญสุภาพและใจดี รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น แต่ก็เข้มแข็งและชัดเจนในจุดยืนของตัวเอง
    จริง ๆ แล้ว เป็นไอเดียของน้าเต๋อที่อยากถ่ายทอด ความรู้สึกของคนทั้ง 3 ฝ่าย
    ให้คนดูได้เข้าใจถึงความรู้สึกและเหตุผลของแต่ละคนโดยทิ้งท้ายให้คนดูเป็นคนตัดสินใจเอง
    จุดเริ่มของงานนี้จริง ๆ แล้วเกิดจากน้ากุ๊ก (ภรรยาน้าเม้ง) คนที่ชวนพ่อไปรู้จักกับ True ที่เขากำลังหาคนมาช่วยทำโครงการนี้อยู่พอดี
    อีกคนที่พ่อจะไม่พูดถึงไม่ได้คือ น้าเจน โปรดิวเซอร์ คนสวย (คนที่ซื้อรองเท้าไดโนเสาร์มาฝากปันจากอเมริกาไง)
    ที่มาช่วยพ่ออย่างเต็มที่ ช่วยจนป่วยเลย

    น้าเม้งที่นั่งคิดงานนี้มาด้วยกันกับพ่อ
    น้าชลิตที่แวะมาช่วยออกความเห็นดี ๆ หลายเรื่อง
    น้าบอม ที่มาช่วยตัดงานที่บ้านเราจนดึกดื่น
    น้าไลลาที่ช่วยประสานงานและทำทุกอย่างเพื่องานนี้
    ข้อความในเว็บไซต์น้าไลลาก็เขียนเอง เขียนจนขาเจ็บเลย
    น้าจอย และน้าอีกหลายน้าที่พ่อไม่ได้พูดถึงที่มาช่วยงานนี้
    พ่อฝากปันไว้เท่านี้นะลูก
    และหวังว่าผลบุญจากการทำประโยชน์ของพ่อครั้งนี้จะส่งถึงปันและแม่
    รักลูกเสมอ
    ‪ #‎พินัยกรรมอวัยวะ‬

    ส่วนใครอยากจะทำพินัยกรรมอวัยวะ ขอเชิญชวนร่วมอัดคลิป ผ่านเว็บไซต์ -https://www.บริจาคอวัยวะด้วยการบอกญาติ.com/home- เชื่อว่าพินัยกรรมฉบับนี้เป็นพินัยกรรมที่มีค่าและมอบชีวิตใหม่ให้กับใครอีกหลายคน

    ภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Pom Chaiyaporn,
    -www.บริจาคอวัยวะด้วยการบอกญาติ.com-

    -https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=1738179343089463&id=100006922427998-

    -https://www.บริจาคอวัยวะด้วยการบอกญาติ.com/home-
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไขข้อข้องใจ ชาร์จแบตเตอรี่อย่างไรให้ถูกหลัก พร้อมวิธีการดูแลและถนอมแบตเตอรี ไม่ให้แบตเสื่อมเร็ว

    -http://hitech.sanook.com/1406253/-

    สำหรับบทความที่เกี่ยวกับ วิธีการถนอมและยืดอายุการใช้งานแบตเตอรี่บนสมาร์ทโฟน เชื่อได้ว่า หลายๆ ท่านคงจะเคยอ่านผ่านตามาบ้าง แต่ข้อมูลจากแต่ละที่มักจะไม่ตรงกัน จนเกิดความสับสนว่า ควรจะเชื่อข้อมูลจากแหล่งใดกันแน่ อันที่จริงแล้ว ความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับการชาร์จแบตเตอรี่นั้น เกิดขึ้นมาจากการนำความเข้าใจในการชาร์จแบตเตอรี่แบบเก่ามาใช้เสียมากกว่า

    ซึ่งก่อนที่สมาร์ทโฟนรุ่นปัจจุบัน จะใช้แบตเตอรี่แบบ Li-Ion นั้น คงจะจำกันได้ว่า แบตเตอรี่บนโทรศัพท์มือถือนั้น เป็นแบบ Nickel (นิกเกิล) ซึ่งมีวิธีการชาร์จที่แตกต่างจากแบตเตอรี่แบบ Li-Ion อยู่แล้ว แต่ก่อนที่จะอธิบายถึงแบตเตอรี่แบบ Li-ion นั้น เรามาทำความเข้าใจวิธีการทำงานของแบตเตอรี่แบบ Nickel กันก่อน

    สำหรับแบตเตอรี่แบบนิกเกิล ที่เราได้ยินกันจนชินนั้น มีอักษรย่อว่า Ni-MH (Nickel-Metal-Hydride) ซึ่งพัฒนามาจากแบตเตอรี่รุ่นแรกอย่าง Ni-Cd (Nickel-Cadmium) โดยปรับปรุงให้มีความจุมากขึ้นในขนาดเท่าเดิม ซึ่งแบตเตอรี่แบบนี้ จะมีปัญหาเรื่อง Memory Effect ที่จะต้องทำการคลายประจุออกให้หมดเสียก่อน จึงจะชาร์จแบตเข้าไปใหม่ จาก 0% จนเต็ม 100% ได้ (Fully Discharged) จึงไม่น่าแปลกใจว่า โทรศัพท์มือถือเมื่อ 10 ปีก่อน ไม่ควรทำการชาร์จแบตบ่อยๆ ถ้าหากแบตยังไม่หมด เพราะจะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว เนื่องมาจากปัญหา Memory Effect เพราะการชาร์จตอนที่แบตเตอรี่ยังไม่หมด จะเป็นสร้างความจำให้กับแบตเตอรี่ว่า มีความจุภายในน้อยลงนั่นเอง

    แต่สำหรับแบตเตอรี่แบบ Lithium-Ion หรือ Li-Ion นั้น แตกต่างจากแบตเตอรี่แบบ Ni-MH อย่างสิ้นเชิง เพราะนอกจากจะปรับดีไซน์ให้มีขนาดเล็กลงแล้ว ยังตัดปัญหาเรื่อง Memory Effect ออกไปด้วย ทำให้สามารถชาร์จได้บ่อย และไม่จำเป็นต้องชาร์จจนเต็ม 100% ซึ่งแบตเตอรี่ประเภทนี้ จะมีสิ่งที่เรียกว่า Charge Cycle หรือ ตัวเลขที่ประมาณรอบการใช้งานของแบตเตอรี่ก่อนที่แบตเตอรี่จะเริ่มเสื่อม อธิบายง่ายๆ ก็คือ สมมติว่า ใช้แบตเตอรี่จาก 100% จนเหลือ 50% แล้วนำไปชาร์จเพิ่มจนเต็ม 100% และใช้งานจนเหลือ 50% แบบนี้ จะนับเป็น 1 รอบ Charge Cycle ครับ

    อันที่จริงแล้ว การที่แบตเตอรี่เริ่มเสื่อม ไม่ได้มีสาเหตุจากการใช้งานจนครบ Charge Cycle อย่างเดียว เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่ไปลดรอบ Charge Cycle ให้ลดลง มีอะไรบ้าง มาดูกันครับ

    ความร้อน ทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็ว

    อุณหภูมิที่ร้อนจัด หรือเย็นจัด ส่งผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่โดยตรง ซึ่งเป็นกับทุกอุปกรณ์ที่มีแบตเตอรี่บรรจุ ไม่ใช่เฉพาะสมาร์ทโฟนเพียงอย่างเดียว อุณหภูมิที่เหมาะสมมากที่สุด ก็คือ อุณหภูมิห้อง นั่นเอง หลายๆ ท่านคงจะเกิดความสงสัยว่า ใครจะเสี่ยงเอาสมาร์ทโฟนไปใกล้กองไฟ หรือเปลวไฟ ความร้อนในที่นี้ รวมถึง การลืมสมาร์ทโฟนทิ้งไว้ในรถยนต์เช่นกัน ซึ่งเป็นสาเหตุลำดับต้นๆ ที่ทำให้แบตเตอรี่บนสมาร์ทโฟนเสื่อมเร็วขึ้น

    หลายๆ ท่านคิดว่า การแช่แบตเตอรี่สำรองไว้ในตู้เย็น จะเป็นการยืดอายุของแบตเตอรี่ให้นานขึ้น เป็นความคิดที่ผิดนะครับ อย่าได้ไปลองทำกันเชียว



    อย่าใช้จนแบตหมดเหลือ 0% และควรชาร์จเมื่อแบตเหลือ 50%

    สำหรับแบตเตอรี่แบบ Li-Ion นั้น ไม่ควรใช้งานจนเหลือ 0% เพราะเป็นการทำร้ายแบตเตอรี่ทางอ้อม เนื่องจากแบตเตอรี่ประเภทนี้ ไม่ใช่แบบ Fully Discharged เหมือนแบตเตอรี่แบบ Ni-MH แต่ถ้าหากแบตเตอรี่หมดจนเหลือ 0% เพราะความจำเป็น เนื่องจากหาที่ชาร์จแบตเตอรี่ไม่ได้ในเวลานั้น ให้รีบชาร์จให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

    คำถามถัดมาก็คือ แล้วเราควรจะชาร์จแบตเมื่อลดลงไปกี่เปอร์เซ็นต์ ถึงจะส่งผลดีต่อตัวแบตเตอรี่? ซึ่งคำตอบนี้ ทาง Apple ได้เคยชี้แจงว่า ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด ก็คือช่วงที่แบตเตอรี่ลดลงเหลือราวๆ 50% จริงอยู่ที่แบตเตอรี่แบบ Li-Ion จะสามารถชาร์จได้บ่อย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า แบตเตอรี่ลดลงจากเดิมแค่ 5-10% ก็เสียบสายชาร์จแล้ว ยิ่งทำแบบนี้บ่อยๆ ยิ่งทำให้แบตเสื่อมเร็วขึ้นครับ ฉะนั้น ข้อควรจำสำหรับการชาร์จแบตเตอรี่แบบนี้ก็คือ อย่าปล่อยให้แบตหมดเหลือ 0% แล้วค่อยชาร์จ และอย่าชาร์จจนเต็ม 100% บ่อยๆ



    โน้ตบุ๊ค เสียบสายชาร์จค้างไว้ ดีหรือไม่?

    สำหรับผู้ที่ใช้งานโน้ตบุ๊ค คงจะสังเกตเห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่ตัวเครื่องต้องประมวลผลหนัก อย่างเช่น เล่นเกมกราฟิกสูง หรือเปิดใช้งานโปรแกรมต่างๆ ตัวเครื่องจะร้อนจัด ซึ่งความร้อนนี้เอง ส่งผลต่ออายุของแบตเตอรี่โดยตรง จึงได้มีคำแนะนำว่า ถ้าหากเป็นโน้ตบุ๊คที่สามารถถอดแบตเตอรี่ได้ ให้ถอดแบตออกถ้าหากต้องเสียบปลั๊กไว้ตลอดเวลา แต่สำหรับโน้ตบุ๊คที่ไม่สามารถถอดแบตเตอรี่ออกได้ อย่างเช่น MacBook Air หรือ MacBook Pro ก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด เนื่องจากมีระบบตัดไฟเมื่อมีการชาร์จจนเต็มนั่นเอง

    จากข้อมูลข้างต้น มาดูกันดีกว่าว่า เพื่อถนอมให้แบตเตอรี่ใช้งานได้อย่างยาวนานขึ้น สิ่งที่ควรทำ และไม่ควรทำ มีอะไรกันบ้าง

    1. ไม่ควรทิ้งไว้ข้ามคืนสำหรับการชาร์จในครั้งแรก

    หลายๆ ท่านคงจะเคยได้ยินมาบ้างว่า การเปิดใช้งานโทรศัพท์มือถือครั้งแรก ควรจะชาร์จแบตเตอรี่ทิ้งไว้ข้ามคืน ซึ่งวิธีนี้ เหมาะสำหรับแบตเตอรี่แบบ Ni-MH เท่านั้น แต่ปัจจุบัน สมาร์ทโฟนส่วนใหญ่ใช้แบตเตอรี่แบบ Li-Ion กันหมดแล้ว ฉะนั้น จะเสียชาร์จ หรือเลิกชาร์จเมื่อใดก็ได้

    2. หลีกเลี่ยงการใช้งานอุปกรณ์ขณะชาร์จแบตเตอรี่

    ทุกๆ ครั้งที่ทำการชาร์จแบตเตอรี่ ตัวเครื่องจะเกิดความร้อนสูงมากอยู่แล้ว แต่เมื่อใดที่ทำการชาร์จไปเล่นไปพร้อมกัน กระแสไฟที่ส่งเข้ามาจะเกิดการแบ่งไฟ ทำให้ต้องเพิ่มปริมาณกระแสไฟสูงขึ้น ส่งผลทำให้ตัวเครื่องร้อนกว่าเดิม และแบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้น ฉะนั้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้งานอุปกรณ์ขณะทำการชาร์จแบต เพื่อยืดอายุของแบตเตอรี่ให้นานมากขึ้น

    3. อย่าใช้งานจนแบตหมดเหลือ 0%

    การปล่อยให้แบตหมดเหลือ 0% คือการทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วขึ้น แต่ถ้ามีความจำเป็นจริงๆ เนื่องจากไม่สามารถหาที่ชาร์จแบตได้ในตอนนั้น จะต้องรีบหาทางชาร์จแบตให้เร็วที่สุด เพราะการชาร์จแบตเตอรี่ในขณะที่แบตเตอรี่เหลือน้อยนั้น จะทำให้ตัวแบตเตอรี่เสื่อมเร็วกว่าเดิม

    4. ชาร์จแบตบ่อยๆ ได้ แต่ไม่จำเป็นต้องชาร์จจนเต็ม

    แบตเตอรี่แบบ Li-Ion นั้น ไม่จำเป็นต้องปล่อยให้แบตเตอรี่หมดจนเหลือ 0% แล้วค่อยชาร์จ สามารถเสียบชาร์จได้เลยตามต้องการ แต่มีข้อแม้ว่า ไม่ควรชาร์จจนเต็ม 100% และควรชาร์จเมื่อแบตเตอรี่ลดจนถึงระดับ 50% ส่วนการที่แบตเตอรี่ลดลงเพียง 5-10% แล้วเสียบชาร์จ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำเช่นกัน

    5. อย่าเก็บอุปกรณ์ไว้ในที่ที่มีอุณหภูมิสูง

    สำหรับใครที่ชอบลืม มือถือ ไว้ในรถเป็นประจำ ควรจะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมนี้เสียใหม่ เพราะความร้อนนั้น ส่งผลทำให้แบตเตอรี่เสื่อมเร็วมากขึ้น นอกเหนือจากความร้อนแล้ว อุณหภูมิที่เย็นจัด ก็เป็นตัวการทำให้แบตเสื่อมเร็วเช่นกัน



    ที่มา : -howtogeek.com-

    แปลและเรียบเรียง : -techmoblog.com-

    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พุทธประวัติพระพุทธเจ้า
    ภูมกสูตร ว่าด้วยผู้ทำอกุศลกรรมบถ ๑๐ ย่อมเข้าถึงอบาย
    -https://www.facebook.com/dhamma.true/posts/1005578369538809:0-

    พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ - หน้าที่ 189

    ๖. ภูมกสูตร
    ว่าด้วยผู้ทำอกุศลกรรมบถ ๑๐ ย่อมเข้าถึงอบาย

    [๕๙๘] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ปาวาริก-
    อัมพวัน ใกล้เมืองนาฬันทา ครั้งนั้นแล นายบ้านนามว่าอสิพันธกบุตร
    เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า
    แล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกพราหมณ์ชาวปัจฉาภูมิ มีคณโฑน้ำติดตัว
    ประดับพวงมาลัยสาหร่ายอาบน้ำทุกเช้าเย็น บำเรอไฟ พราหมณ์เหล่านั้น
    ชื่อว่ายังสัตว์ที่ตายทำกาละแล้วให้ฟื้นขึ้นมา ให้รู้สึกตัว จูงให้ขึ้นสวรรค์
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัม-
    พุทธเจ้า สามารถการทำให้สัตว์โลกทั้งหมด เมื่อตายไป พึงเข้าถึงสุคติ
    โลกสวรรค์ได้หรือ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนนายคามณี ถ้าอย่าง
    นั้น เราจักย้อนถามท่านในข้อนี้ ปัญหาควรแก่ท่านด้วยประการใด ท่าน
    พึงพยากรณ์ปัญหาข้อนั้นด้วยประการนั้น ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็น
    ไฉน บุรุษในโลกนี้ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ
    พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตพยาบาท
    มีความเห็นผิด หมู่มหาชนมาประชุมกันแล้ว พึงสวดวิงวอน สรรเสริญ
    ประนมมือเดินเวียนรอบผู้นั้นว่า คือบุรุษนี้เมื่อตายไป จงเข้าถึงสุคติโลก
    สวรรค์ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นเมื่อตายไป พึงเข้าถึง
    สุคติโลกสวรรค์เพราะเหตุการสวดวิงวอน เพราะเหตุการสรรเสริญ หรือ
    เพราะเหตุการประนมมือเดินเวียนรอบดังนี้ หรือ.
    คา. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.

    [๕๙๙] พ. ดูก่อนนายคามณี เปรียบเหมือนบุรุษโยนหินก้อน
    หนาใหญ่ลงในห้วงน้ำลึก หมู่มหาชนพึงมาประชุมกันแล้วสวดวิงวอน
    สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบหินนั้นว่า ขอจงโผล่ขึ้นเกิดท่าน
    ก้อนหิน ขอจงลอยขึ้นเถิดท่านก้อนหิน ขอจงขึ้นบกเถิดท่านก้อนหินท่าน
    จะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ก้อนหินนั้นพึงโผล่ขึ้น พึงลอยขึ้น หรือ
    พึงขึ้นบก เพราะเหตุการสวดวิงวอน สรรเสริญ ประณมมือเดินเวียน
    รอบของหมู่มหาชนบ้างหรือ.
    คา. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
    พ. ดูก่อนนายคามณี ฉันนั้นเหมือนกัน บุรุษคนใดฆ่าสัตว์
    ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูด
    เพ้อเจ้อ มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิด หมู่มหาชน
    พึงมาประชุมกันแล้วสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดินเวียนรอบ
    บุรุษนั้นว่า ขอบุรุษนี้เมื่อตายไป จงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ก็จริง แต่บุรุษ
    นั้นเมื่อตาย พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก.

    ว่าด้วยผู้เว้นจากอกุศลกรรมบถ ๑๐ ย่อมเข้าถึงสวรรค์
    [๖๐๐] ดูก่อนนายคามณี ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
    บุรุษในโลกนี้เว้นจากปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท
    ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา สัมผัปปลาปะ ไม่มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตไม่พยาบาท
    มีความเห็นชอบ หมู่มหาชนพึงมาประชุมกันแล้วสวดวิงวอน สรรเสริญ
    ประนมมือเดินเวียนรอบบุรุษนั้นว่า ขอบุรุษนี้เมื่อตายไป จงเข้าถึงอบาย
    ทุคติ วินิบาต นรก ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นเมื่อตายไป
    พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะเหตุการสวดวิงวอน สรรเสริญ
    หรือเพราะเหตุการประนมมือเดินเวียนรอบของหมู่มหาชนบ้างหรือ.
    คา. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.

    [๖๐๑] พ. ดูก่อนนายคามณี เปรียบเหมือนบุรุษลงยังห้วงน้ำ
    ลึกแล้ว พึงทุบหม้อเนยใสหรือหม้อน้ำมัน ก้อนกรวดหรือก้อนหินที่มีอยู่
    ในหม้อนั้น พึงจมลง เนยใสหรือน้ำมันที่มีอยู่ในหม้อนั้นพึงลอยขึ้น
    หมู่มหาชนพึงมาประชุมกันแล้วสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดิน
    เวียนรอบเนยใสหรือน้ำมันนั้นว่า ขอจงจมลงเถิดท่านเนยใสและน้ำมัน
    ขอจงดำลงเถิดท่านเนยใสและน้ำมัน ขอจงลงภายใต้เถิดท่านเนยใสและ
    น้ำมัน ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เนยใสและน้ำมันนั้นพึงจมลง
    พึงดำลง พึงลงภายใต้ เพราะเหตุแห่งการสวดวิงวอน สรรเสริญ หรือ
    เพราะเหตุการประนมมือเดินเวียนรอบของหมู่มหาชนบ้างหรือ.
    คา. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
    พ. ดูก่อนนายคามณี ฉันนั้นเหมือนกัน บุรุษใดเว้นจากปาณา-
    ติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา
    สัมผัปปลาปะ ไม่มากไปด้วยอภิชฌา มีจิตไม่พยาบาท มีความเห็นชอบ
    หมู่มหาชนจะพากันมาประชุมแล้วสวดวิงวอน สรรเสริญ ประนมมือเดิน
    เวียนรอบบุรุษนั้นว่า ขอบุรุษนี้เมื่อตายไป จงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต
    นรก ก็จริง แต่บุรุษนั้นเมื่อตายไปพึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์.

    [๖๐๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้แล้ว นายบ้านนามว่า
    อสิพันธกบุตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    พระธรรมเทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระธรรม
    เทศนาของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศธรรมโดย
    อเนกปริยาย ดุจหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางให้แก่คนหลงทาง
    หรือส่องไฟในที่มืดด้วยหวังว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ฉะนั้น ข้าแต่พระองค์
    ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้ากับทั้งพระธรรมและภิกษุ
    สงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดทรงจำข้าพระองค์ ว่าเป็น
    อุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะจนตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.

    จบ ภูมกสูตรที่ ๖
    พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๒ - หน้าที่ 192
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    10 วิธีคิดยังไงให้เหมือนคนรวย
    -http://money.sanook.com/383835/-

    -http://www.aommoney.com/#gs.rKY5VeM-
    สนับสนุนเนื้อหา

    Money Ideas Column

    สิ่งสำคัญที่สุดคือ ‘ถ้าอยากรวย จงคิดแบบคนรวย’ ทุกวันนี้คงจะไม่มีคนที่ไม่ชอบเงิน ถ้าคุณคิดว่าต้องทำอย่างไรถึงจะมีเงินเก็บ ก็ลองอ่านแนวคิด 10 ข้อที่จะบอกคุณว่าแค่ลองเปลี่ยวิธีคิดให้เป็นแบบคนรวย ก็สามารถเก็บออมเงินได้ไม่อยากอย่างที่คิด เพียงแค่ลองทำตามทีละข้อก็สามารถเปลี่ยนแปลงจำนวนเงินในบัญชีของคุณได้แล้ว

    ข้อคิดที่ 1 ระวังสิ่งเล็กๆที่เรียกว่ารายจ่าย

    แน่นอนว่าหลายคนย่อมรู้สึกว่าต้องระวังเป็นพิเศษถ้าต้องจ่ายเงินก้อนใหญ่ แต่สิ่งที่ทุกคนลืมคิดถึงกลับเป็นรายจ่ายเล็กๆน้อยๆที่เราใช้จ่ายในชีวิตประจำวันว่าเมื่อรวมกันแล้วเงินเหล่านี้อาจทำให้คุณตกใจได้เลยทีเดียว เราคงคิดหนักถ้าต้องซื้อหนังสือ 1 เล่มราคา 200 บาท แต่ถ้าเราซื้อกาแฟชื่อดังราคา 80 บาท, ขนมจุบจิบ 40 บาท, ทานไอศครีมกับเพื่อนๆราคา 80 บาท รวมกันก็ได้ 200 บาทเช่นกัน เพียงแค่ตัดรายจ่ายจุกจิกนี้ออกไป ก็จะมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นแบบไม่คาดฝันเลย

    ข้อคิดที่ 2 ก่อนซื้อของลองคิดถึงอนาคต

    แน่นอนว่ามันง่ายมากที่จะซื้อของที่ตนเองชอบ แต่สุดท้ายเมื่อเราซื้อของแบบไม่มีลิมิท ตัวเราเองก็จะเป็นคนที่ต้องมานั่งเสียใจเองว่าจะหารายได้มาทดแทนเงินที่เสียไป ก่อนซื้อทุกครั้งต้องคิดถึงอนาคตของเราเองว่าหากซื้อแล้วอนาคตเราจะเป็นอย่างไร? ได้รับผลกระทบอะไรรึเปล่า?

    ข้อคิดที่ 3 อย่าซื้อของไม่จำเป็นเพื่อสร้างความประทับใจ

    เราทุกคนล้วนอยากได้รับคำชื่นชมจากเพื่อนๆหรือคนรอบข้างเมื่อเราเป็นเจ้าของอะไรสักอย่าง แต่เราต้องรู้ขีดจำกัดของตัวเอง เราควรซื้อของเพราะสิ่งของนั้นมีความจำเป็นต่อเรามากกว่าการซื้อเพื่อทำให้คนอื่นประทับใจ

    TIP ก่อนซื้อของให้ลองคิดว่า ‘อย่าซื้อของไม่จำเป็น เพื่อให้คนที่แม้แต่คุณก็ไม่รู้จักประทับใจ’

    ข้อคิดที่ 4 สร้างที่มาที่ไปของรายจ่าย

    โลกทุกวันนี้มีสิ่งของมากมายที่พร้อมทำให้คุณยอมจ่ายเงินโดยไม่ได้เก็บออมถ้าคุณไม่ได้วางแผนการเงินและตั้งงบค่าใช้จ่ายเอาไว้ คนรวยทุกคนรู้ดีกว่าเงินของพวกเขามาจากที่ไหนและกำลังจะไปที่ไหนเสมอ เรื่องนี้บัญชีรายรับ-รายจ่ายช่วยคุณได้ สิ่งนี้จะช่วยให้คุณหายงงเพราะมันบอกคุณได้เสมอว่าเงินคุณไปอยู่ที่ไหน

    ข้อคิดที่ 5 ทำงานให้หนักเข้าไว้

    หลายคนคิดว่าวิถีชีวิตของคนรวยมีแต่เรื่องสนุกสนานร่าเริงตลอดเวลา ความจริงนั้นกลับกันเลย คนรวยทำงานหนักกว่าคนธรรมดาทั่วไป อย่างน้อยก็ในช่วงวัยทำงาน แต่พวกเขาพยายามเพิ่มรายได้ เพราะเมื่อรายได้เพิ่มมากขึ้น พวกเขาก็สามารถเก็บออมเงินจำนวนมากขึ้นได้นั่นเอง คนรวยคิดว่าการทำธุรกิจคือการเก็บออมมากกว่าการใช้จ่าย, การลงทุน, การวางแผนเพื่ออนาคต และต้องใช้ความเชี่ยวชาญเพื่อไขว่คว้าโอกาสและทำงานให้หนักกว่าคนทั่วไปอีกด้วย

    ข้อคิดที่ 6 แบ่งสรรปันส่วนเงิน

    ขอย้ำอีกครั้ง คนรวยไม่ได้ใช้ชีวิตฟุ้งเฟ้อหรือไม่ต้องจ่ายอะไรเลย แต่เพราะการแบ่งสรรเงินอย่างดีจึงทำให้พวกเขาคงความร่ำรวยของตัวเองไว้ได้ พวกเขาจัดสรรเงินทุกครั้งที่มีรายได้ ดังนั้นลองแบ่งสรรรายได้ของคุณบ้าง เพราะนี่คือหลักประกันว่าเมื่อมีเหตุฉุกเฉินคุณจะยังคงมีเงินสำรองอยู่

    TIP วิธีง่ายๆคือลองแบ่งรายได้ออกเป็นสามส่วนโดย 1 ส่วนเพื่อการใช้ชีวิต, อีก 1 ส่วนเพื่อเก็บออม และอีก 1 ส่วนเพื่อการให้

    ข้อคิดที่ 7 ซื้อของลดราคาหรือต่อราคาก่อนซื้อ

    คนรวยหลายคนก็เหมือนคนธรรมดาทั่วไป พวกเขาต้องการใช้เงินให้เกิดมูลค่าสูงสุด สิ่งที่ดีที่สุดคือซื้อของลดราคาหรือต่อราคาก่อนซื้อ พวกเขาคิดว่าทำไมต้องจ่ายแพงในเมื่อมีทางเลือกที่ดีกว่าอยู่ตรงหน้า

    ข้อคิดที่ 8 นำเงินออมไปลงทุนอย่างชาญฉลาด

    หลายคนไม่นำเงินเก็บไปลงทุนเพราะคิดว่ามีจำนวนน้อย แต่อย่าลืมว่าเงินน้อยแต่เมื่อสะสมให้มากเข้าก็กลายเป็นเงินก้อนใหญ่ได้ พูดง่ายก็คือหากคุณนำเงินออมไปลงทุนดีๆก็จะทำให้เงินออมของคุณเบ่งบานจนคุณประหลาดใจเลยทีเดียว อย่างที่โบราณว่ามีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท และเมื่อคุณลงทุนให้ถูกที่ คุณก็สมปรารถนา แต่เรื่องเหล่านี้ล้วนต้องอาศัยประสบการณ์และการลองผิดลองถูก แล้วคุณจะพบว่าการเก็บเงินให้พอกพูนตื่นเต้นกว่าการใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยซะอีก

    ข้อคิดที่ 9 เรียนรู้หลักสูตรสร้างเงินล้าน

    คนทั่วไปคิดออมเงินหลังจากหักรายจ่ายเรียบร้อยแล้ว แต่คนรวยคิดตรงข้าม วิธีคิดแบบนี้เรียกว่าหลักสูตรสร้างเงินล้าน วิธีการเริ่มเมื่อคุณรายได้ใดๆก็ตามให้หักเงินจำนวนที่แน่นอนเพื่อบริจาคกลับคืนสู่สังคมและหักเงินออกอีกส่วนเพื่อนำไปลงทุนสำหรับเป้าหมายในอนาคตของคุณ ที่เหลือจากนั้นต่างหากที่เป็นรายจ่ายของคุณ

    TIP หากอยากรวยจำไว้ว่า ‘จงใช้เงินที่เหลือจากการออม ไม่ใช่ออมหลังจากใช้เงิน’

    ข้อคิดที่ 10 ปิดรูรั่ว

    คนรวยไม่ใช้จ่ายไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็น พวกเขาหลีกเลี่ยงค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอย่างมาก เพราะค่าธรรมเนียมเล็กๆก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้หากไม่ระวังให้ดี จำเอาไว้เสมอว่า รูรั่วเล็กๆก็สามารถทำให้เรือล่มได้!!!

    เพียงคุณนำแนวคิด 10 ข้อมาปรับใช้ให้เข้ากับชีวิตของเราเอง แค่นี้เราก็จะเข้าใจว่าการสร้างความร่ำรวยเริ่มต้นได้ง่ายๆด้วยการเปลี่ยนความคิด และเมื่อคุณคิดแบบคนรวยแล้ว ขั้นต่อไปคือลองทำตามให้ได้ทุกข้อ แล้วคนรวยคนต่อไปก็คือคุณ!!!
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    看我兩條腿也能走路! 「羊堅強」克服天生殘缺
    https://www.youtube.com/watch?v=cX3PNQtCWg4
    -https://www.youtube.com/watch?v=cX3PNQtCWg4-


    ไม่มีใครที่เกิดมา ไม่พบอุปสรรค
    แต่เมื่อพบอุปสรรค ต้องสู้ด้วยใจที่เกินร้อย
    เพื่อฝ่าฟันให้ผ่านอุปสรรคไปให้ได้

    เป็นกำลังใจให้ทุกคนที่กำลังเผชิญกับปัญหาและอุปสรรคต่างๆครับ
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันวิสาขบูชา

    วันวิสาขบูชา 2559 ประวัติวันวิสาขบูชา
    -http://hilight.kapook.com/view/23220-

    วันวิสาขบูชา 2559 วันนี้เรามี ประวัติวันวิสาขบูชา ความสําคัญวันวิสาขบูชาและการปฏิบัติตนในวันวิสาขบูชามาฝาก

    วันวิสาขบูชา 2559 ตรงกับวันศุกร์ที่ 20 พฤษภาคม เชื่อว่าทุกคนรู้จักชื่อวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาอย่างวันวิสาขบูชากันดีอยู่แล้ว แต่จะมีสักกี่คนที่ทราบความเป็นมา และความสำคัญของวันวิสาขบูชา ถ้างั้นอย่ารอช้า...เราไปค้นหาความหมายของวันวิสาขบูชา และอ่านประวัติวันวิสาขบูชา พร้อม ๆ กันดีกว่าค่ะ

    ความหมายของวันวิสาขบูชา

    คำว่า วิสาขบูชา ย่อมาจากคำว่า "วิสาขปุรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนวิสาขะ" ดังนั้น วิสาขบูชา จึงหมายถึง การบูชาในวันเพ็ญเดือน 6

    การกำหนดวันวิสาขบูชา

    วันวิสาขบูชา ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนพฤษภาคม หรือมิถุนายน แต่ถ้าปีใดมีอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน ก็เลื่อนไปเป็นวันขึ้น 15 ค่ำ กลางเดือน 7 หรือราวเดือนมิถุนายน

    อย่างไรก็ตาม ในบางปีของบางประเทศอาจกำหนด วันวิสาขบูชา ไม่ตรงกับของไทย เนื่องด้วยประเทศเหล่านั้นอยู่ในตำแหน่งที่ต่างไปจากประเทศไทย ทำให้วันเวลาคลาดเคลื่อนไปตามเวลาของประเทศนั้น ๆ

    ประวัติวันวิสาขบูชาและความสำคัญของ วันวิสาขบูชา

    วันวิสาขบูชา ถือเป็นวันสำคัญยิ่งทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันที่เกิด 3 เหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวกับวิถีชีวิตของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวียนมาบรรจบกันในวันเพ็ญเดือน 6 แม้จะมีช่วงระยะเวลาห่างกันนับเวลาหลายสิบปี ซึ่งเหตุการณ์อัศจรรย์ 3 ประการ ได้แก่...

    1. วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ

    เมื่อพระนางสิริมหามายา พระมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ ทรงพระครรภ์แก่จวนจะประสูติ พระนางแปรพระราชฐานไปประทับ ณ กรุงเทวทหะ เพื่อประสูติในตระกูลของพระนางตามประเพณีนิยมในสมัยนั้น ขณะเสด็จแวะพักผ่อนพระอิริยาบถใต้ต้นสาละ ณ สวนลุมพินีวัน พระนางก็ได้ประสูติพระโอรส ณ ใต้ต้นสาละนั้น ซึ่งตรงกับวันเพ็ญเดือน 6 ก่อนพุทธศักราช 80 ปี ครั้นพระกุมารประสูติได้ 5 วัน ก็ได้รับการถวายพระนามว่า "สิทธัตถะ" แปลว่า "สมปรารถนา"

    เมื่อข่าวการประสูติแพร่ไปถึงอสิตดาบส 4 ผู้อาศัยอยู่ในอาศรมเชิงเขาหิมาลัย และมีความคุ้นเคยกับพระเจ้าสุทโธทนะ ดาบสจึงเดินทางไปเข้าเฝ้า และเมื่อเห็นพระราชกุมารก็ทำนายได้ทันทีว่า นี่คือผู้จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงกล่าวพยากรณ์ว่า "พระราชกุมารนี้จักบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ เห็นแจ้งพระนิพพานอันบริสุทธิ์อย่างยิ่ง ทรงหวังประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก จะประกาศธรรมจักรพรหมจรรย์ของพระกุมารนี้จักแพร่หลาย" แล้วกราบลงแทบพระบาทของพระกุมาร พระเจ้าสุทโธทนะทอดพระเนตรเห็นเหตุการณ์นั้นทรงรู้สึกอัศจรรย์และเปี่ยมล้นด้วยปีติ ถึงกับทรุดพระองค์ลงอภิวาทพระราชกุมารตามอย่างดาบส

    2. วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ

    หลังจากออกผนวชได้ 6 ปี จนเมื่อพระชนมายุ 35 พรรษา เจ้าชายสิทธัตถะก็ทรงตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ณ ใต้ร่มไม้ศรีมหาโพธิ์ ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ในตอนเช้ามืดของวันพุธ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 ปีระกา ก่อนพุทธศักราช 45 ปี ปัจจุบันสถานที่ตรัสรู้แห่งนี้เรียกว่า พุทธคยา เป็นตำบลหนึ่งของเมืองคยา แห่งรัฐพิหารของอินเดีย

    สิ่งที่ตรัสรู้ คือ อริยสัจสี่ เป็นความจริงอันประเสริฐ 4 ประการของพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้าเสด็จไปที่ต้นมหาโพธิ์ และทรงเจริญสมาธิภาวนาจนจิตเป็นสมาธิได้ฌานที่ 4 แล้วบำเพ็ญภาวนาต่อไปจนได้ฌาน 3 คือ


    - ยามต้น : ทรงบรรลุ "ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ" คือ ทรงระลึกชาติในอดีตทั้งของตนเองและผู้อื่นได้
    - ยามสอง : ทรงบรรลุ "จุตูปปาตญาณ" คือ การรู้แจ้งการเกิดและดับของสรรพสัตว์ทั้งหลาย ด้วยการมีตาทิพย์สามารถเห็นการจุติและอุบัติของวิญญาณทั้งหลาย
    - ยามสาม หรือยามสุดท้าย : ทรงบรรลุ "อาสวักขยญาณ" คือ รู้วิธีกำจัดกิเลสด้วย อริยสัจ 4 (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) ได้ตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในคืนวันเพ็ญเดือน 6 ซึ่งขณะนั้นพระพุทธองค์มีพระชนมายุได้ 35 พรรษา

    3. วันวิสาขบูชา เป็นวันที่พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่ปรินิพพาน (ดับสังขารไม่กลับมาเกิดสร้างชาติ สร้างภพอีกต่อไป)

    เมื่อพระพุทธองค์ได้ตรัสรู้และแสดงธรรมเป็นเวลานานถึง 45 ปี จนมีพระชนมายุได้ 80 พรรษา ได้ประทับจำพรรษา ณ เวฬุคาม ใกล้เมืองเวสาลี แคว้นวัชชี ในระหว่างนั้นทรงประชวรอย่างหนัก ครั้นเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน 6 พระพุทธองค์กับพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลาย ก็ไปรับภัตตาหารบิณฑบาตที่บ้านนายจุนทะ ตามคำกราบทูลนิมนต์ พระองค์เสวยสูกรมัททวะที่นายจุนทะตั้งใจทำถวายก็เกิดอาพาธลง แต่ทรงอดกลั้นมุ่งเสด็จไปยังเมืองกุสินารา ประทับ ณ ป่าสาละ เพื่อเสด็จดับขันธ์ปรินิพพาน

    เมื่อถึงยามสุดท้ายของคืนนั้น พระพุทธองค์ก็ทรงประทานปัจฉิมโอวาทว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันว่าสังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมสลายไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงยังกิจทั้งปวงอันเป็นประโยชน์ของตนและประโยชน์ของผู้อื่นให้บริบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด" หลังจากนั้นก็เสด็จเข้าดับขันธ์ปรินิพพาน ในราตรีเพ็ญเดือน 6 นั้น

    ประวัติความเป็นมาของวันวิสาขบูชาในประเทศไทย

    ปรากฏหลักฐานว่า วันวิสาขบูชา เริ่มต้นครั้งแรกในประเทศไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี สันนิษฐานว่าได้รับแบบแผนมาจากลังกา นั่นคือ เมื่อประมาณ พ.ศ. 420 พระเจ้าภาติกุราช กษัตริย์แห่งกรุงลังกา ได้ประกอบพิธีวิสาขบูชาขึ้น เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา จากนั้นกษัตริย์ลังกา พระองค์อื่น ๆ ก็ปฏิบัติประเพณีวิสาขบูชานี้สืบทอดต่อกันมา

    ส่วนการเผยแผ่เข้ามาในประเทศไทยนั้น น่าจะเป็นเพราะประเทศไทยในสมัยกรุงสุโขทัยมีความสัมพันธ์ด้านพระพุทธศาสนากับประเทศลังกาอย่างใกล้ชิด เห็นได้จากมีพระสงฆ์จากลังกาหลายรูปเดินทางเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนา และนำการประกอบพิธีวิสาขบูชาเข้ามาปฏิบัติในประเทศไทยด้วย

    สำหรับการปฏิบัติพิธีวิสาขบูชาในสมัยสุโขทัยนั้น ได้มีการบันทึกไว้ในหนังสือนางนพมาศ สรุปได้ว่า เมื่อถึงวันวิสาขบูชา พระเจ้าแผ่นดิน ข้าราชบริพาร ทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายใน ตลอดทั้งประชาชนชาวสุโขทัย จะช่วยกันประดับตกแต่งพระนคร ด้วยดอกไม้ พร้อมกับจุดประทีปโคมไฟให้ดูสว่างไสวไปทั่วพระนคร เป็นเวลา 3 วัน 3 คืน เพื่อเป็นการบูชาพระรัตนตรัย ขณะที่พระมหากษัตริย์ และบรมวงศานุวงศ์ ก็ทรงศีล และทรงบำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ ครั้นตกเวลาเย็นก็เสด็จพระราชดำเนินพร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์ และนางสนองพระโอษฐ์ตลอดจนข้าราชการทั้งฝ่ายหน้า และฝ่ายในไปยังพระอารามหลวง เพื่อทรงเวียนเทียนรอบพระประธาน ส่วนชาวสุโขทัยจะรักษาศีล ฟังธรรม ถวายสลากภัต สังฆทาน อาหารบิณฑบาตแด่พระภิกษุสามเณร บริจาคทานแก่คนยากจน ทำบุญไถ่ชีวิตสัตว์ ฯลฯ

    หลังจากสมัยสุโขทัย ประเทศไทยได้รับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์มากขึ้น ทำให้ในช่วงสมัยกรุงศรีอยุธยา ธนบุรี และรัตนโกสินทร์ตอนต้น ไม่ปรากฏหลักฐานว่ามีการประกอบพิธีวิสาขบูชา จนกระทั่งมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ (พ.ศ. 2360) ทรงมีพระราชดำริที่จะให้ฟื้นฟูพิธีวิสาขบูชาขึ้นมาใหม่ โดยสมเด็จพระสังฆราช (มี) สำนักวัดราชบูรณะ ถวายพระพรให้ทรงทำขึ้นเป็นครั้งแรก ในวันขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ และวันแรม 1 ค่ำ เดือน 6 พ.ศ. 2360 และให้จัดทำตามแบบอย่างประเพณีเดิมทุกประการ เพื่อให้ประชาชนได้ทำบุญ ทำกุศล โดยทั่วหน้ากัน การรื้อฟื้นพิธีวิสาขบูชาขึ้นมาในครานี้ จึงถือเป็นแบบอย่างถือปฏิบัติในการประกอบพิธี วันวิสาขบูชา ต่อเนื่องมาจวบจนกระทั่งปัจจุบัน

    หลักธรรมที่สำคัญในวันวิสาขบูชา ที่ควรนำมาปฏิบัติ

    ในวันวิสาขบูชา พุทธศาสนิกชนทั้งหลายควรยึดมั่นในหลักธรรม ซึ่งหลักธรรมที่ควรนำมาปฏิบัติในวันวิสาขบูชา ได้แก่

    1. ความกตัญญู

    คือ การรู้คุณคน เป็นคุณธรรมที่คู่กับความกตเวที ซึ่งหมายถึงการตอบแทนคุณที่มีผู้ทำไว้ ความกตัญญูและความกตเวทีนี้ เป็นเครื่องหมายของคนดี ทำให้ครอบครัวและสังคมมีความสุข ซึ่งความกตัญญูกตเวทีนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับทั้ง บิดามารดาและลูก ครูอาจารย์กับศิษย์ นายจ้างกับลูกจ้าง ฯลฯ

    ในพระพุทธศาสนา เปรียบพระพุทธเจ้าเสมือนกับบุพการี ผู้ชี้ให้เห็นทางหลุดพ้นแห่งความทุกข์ ดังนั้นพุทธศาสนิกชนจึงควรตอบแทนด้วยความกตัญญูกตเวทีด้วยการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา และดำรงพระพุทธศาสนาให้อยู่สืบไป

    2. อริยสัจ 4

    คือ ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ใน วันวิสาขบูชา ได้แก่

    - ทุกข์ คือ ปัญหาของชีวิต สภาวะที่ทนได้ยาก ซึ่งทุกข์ขั้นพื้นฐาน คือ การเกิด การแก่ และการตาย ล้วนเป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนต้องเผชิญ ส่วนทุกข์จร คือ ทุกข์ที่เกิดขึ้นในการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น การพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก หรือความยากจน เป็นต้น

    - สมุทัย คือ ต้นเหตุของปัญหา หรือสาเหตุของการเกิดทุกข์ และสาเหตุส่วนใหญ่ของปัญหาเกิดจาก "ตัณหา" อันได้แก่ ความอยากได้ต่าง ๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

    - นิโรธ คือ ความดับทุกข์ เป็นสภาพที่ความทุกข์หมดไป เพราะสามารถดับกิเลส ตัณหา อุปาทานออกไปได้

    - มรรค คือ หนทางที่นำไปสู่การดับทุกข์ เป็นการปฏิบัติเพื่อแก้ปัญหา มี 8 ประการ ได้แก่ ความเห็นชอบ ดำริชอบ วาจาชอบ กระทำชอบ เลี้ยงชีพชอบ พยายามชอบ ระลึกชอบ ตั้งจิตมั่นชอบ

    3. ความไม่ประมาท

    คือการมีสติตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไร พูดอะไร คิดอะไร ล้วนต้องใช้สติ เพราะสติคือการระลึกได้ การระลึกได้อยู่เสมอจะทำให้เราใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท ซึ่งความประมาทนั้นจะทำให้เกิดปัญหายุ่งยากตามมา ดังนั้นในวันนี้พุทธศาสนิกชนจะพากันน้อมระลึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยความมีสติ

    วันวิสาขบูชา นับว่าเป็นวันที่มีความสำคัญสำหรับพุทธศาสนิกชนทุกคน เป็นวันที่มีการทำพิธีพุทธบูชา เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระวิสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์และสรรพสัตว์ อีกทั้งเพื่อเป็นการรำลึกถึงเหตุการณ์อันน่าอัศจรรย์ทั้ง 3 ประการ ที่มาบังเกิดในวันเดียวกัน และนำหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธองค์มาเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติในการดำรงชีวิตค่ะ


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    - -https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81-

    -http://www.larnbuddhism.com/puttaprawat/day/visaka.html-

    - -dopa.go.th-
    - -larnbuddhism.com-
    - -onab.go.th-
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 20 พฤษภาคม 2016
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พลอยประจำวันเกิดเสริมดวงถูกโฉลกกับคนทั้ง 7 วัน
    -http://horoscope.sanook.com/84521/-

    “พลอยประจำวันเกิด” ความเชื่อที่หลายคนให้ความสนใจ ยิ่งในยุคสมัยนี้ไม่ว่าจะเป็นชายหรือว่าหญิง หากคิดจะหาซื้อเครื่องประดับตระกูลพลอยหรืออัญมณีสักชิ้น ก็คงจะคำนึงถึงเรื่องความเชื่อนี้กันอยู่มากพอสมควร..

    เพราะด้วยราคาของเพชรพลอยก็ไม่ใช่น้อยๆ แถมบางชนิดยังหายากทำให้มีมูลค่าเพิ่มเข้าไปอีก รวมไปถึงความเชื่อที่ว่าหากสวยเครื่องประดับเหล่านั้นจะช่วยเสริมดวงด้านต่างๆ ก็ยิ่งทำให้คนยิ่งสนใจอยากเป็นเจ้าของมากขึ้นอีกหลายเท่า

    ถ้าอย่างนั้นหากชาว Sanook! Horoscope จะหาพลอยมาสวมใส่ประดับเสริมดวงสักชิ้นลองมาดูกันหน่อยดีกว่าว่า พลอยชนิดไหนถูกโฉลกเสริมดวงได้มากที่สุด




    พลอยประจำวันเกิด วันอาทิตย์

    คนเกิดวันอาทิตย์ ควรใช้เครื่องประดับ หรือ อัญมณีที่เป็น สีแดง เรียกว่า “รัตนาภรณ์” ได้แก่
    ทับทิม (Ruby)
    สปิเนลสีแดง (Red Spinel)
    โกเมนสีแดง (Granet)
    ทัวร์มาลีนสีแดง (Rubellite)
    เพทายสีแดง (Red Zircon)
    เพชรสีแดง (Red Diamond)

    สีของประจำวันเกิดที่ช่วยเสริมดวงในด้านต่างๆ

    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องบริวาร คนรักใคร่ คือ สีแดงสด, ส้ม หรือ ทับทิม
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องอายุ คือ สีขาว, ขาวนวล เพชร หรือ ไข่มุก
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องอำนาจ คือ สีชมพู, ม่วง, แดง ดำ หรือ โกเมน
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องร่ำรวย คือ สีเขียว, เขียวสด มรกต หรือ หยก
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องขยัน คือ สีแดงสด, ส้ม หรือ ทับทิม




    พลอยประจำคนเกิดวันจันทร์

    คนเกิดวันจันทร์ ควรใช้เครื่องประดับ หรือ อัญมณีที่มี สีเหลือง เรียกว่า “เศตาภรณ์” ได้แก่
    บุษราคัม (Yellow Sapphire)
    โทแพซสีเหลือง (Yellow Topaz)
    ซิทริน (Citrine)
    เพทายสีเหลือง (Yellow Zircon)
    อำพัน (Amber)
    หยกสีเหลือง (Yellow Jade)
    เพชรสีเหลือง (Yellow Diamond)
    ไข่มุกสีทอง (Golden Pearl)

    สีของประจำวันเกิดที่ช่วยเสริมดวงในด้านต่างๆ

    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องบริวาร คนรักใคร่ คือ สีขาว, ขาวนวล ,เพชร หรือ ไข่มุก
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องอายุ คือ สีชมพู, ม่วง, แดง ดำ หรือ โกเมน
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องอำนาจ คือ สีเขียว, เขียวสด, มรกต หรือ หยก
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องร่ำรวย คือ สีดำ, ม่วง, เทา หรือ นิล
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องขยัน คือ สีน้ำเงิน หรือ ฟ้า


    พลอยประจำคนเกิดวันอังคาร

    คนเกิดวันอังคาร ควรใช้เครื่องประดับ หรือ อัญมณีที่มี สีชมพู เรียกว่า “ตามภาภรณ์” ได้แก่
    แซปไฟร์สีชมพู (Pink Sapphire)
    เบริลสีกุหลาบ (Rose Beryl)
    เพชรสีชมพู (Pink Diamond)
    ไข่มุกสีชมพู ( Pink Pearl)
    สปิเนลสีชมพู (Pink Spinel)
    โทแพซสีชมพู (Ping Topaz)

    สีของประจำวันเกิดที่ช่วยเสริมดวงในด้านต่างๆ

    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องบริวาร คนรักใคร่ คือ สีชมพู, ม่วง, แดง, ดำ หรือ โกเมน
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องอายุ คือ สีเขียว, เขียวสด,มรกต หรือ หยก
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องอำนาจ คือ สีดำ, ม่วง, เทา หรือ นิล
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องร่ำรวย คือ สีเหลืองสด, แสด หรือ บุษราคัม
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องขยัน คือ สีน้ำเงิน, ฟ้า หรือ ไพลิน


    พลอยประจำคนเกิดวันพุธ กลางวัน

    คนเกิดวันพุธ ควรใช้เครื่องประดับ หรือ อัญมณีที่เป็น สีเขียว เรียกว่า “อินทนิล” ได้แก่
    มรกต (Emerald)
    หยก (Jade)
    หยกออสเตรเลีย (Chrysoprase)
    หยกเม็กซิกัน (Calcite)
    ทัวร์มาลีนสีเขียว (Chrome Tourmaline)
    เพริโดต์ (Peridot)
    โกเมนสีเขียว (Green Garnet)
    เขียวส่อง (Green Sapphire)

    สีของประจำวันเกิดที่ช่วยเสริมดวงในด้านต่างๆ

    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องบริวาร คนรักใคร่ คือ สีเขียว, เขียวสด, มรกต หรือ หยก
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องอายุ คือ สีดำ, ม่วง, เทา หรือ นิล
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องอำนาจ คือ สีเหลืองสด, แสด หรือ บุษราคัม
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องร่ำรวย คือ สีเขียวอ่อน, หมอก, เมฆ หรือ พลอยสีขุ่น
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องขยัน คือ สีแดงสด, ส้ม หรือ ทับทิม


    พลอยประจำคนเกิดวันพุธ กลางคืน

    คนเกิดวันพุธ ควรใช้เครื่องประดับ หรือ อัญมณีที่เป็น สีเขียว เรียกว่า “อินทนิล” ได้แก่ แก้วไพฑูรย์

    สีของประจำวันเกิดที่ช่วยเสริมดวงในด้านต่างๆ

    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องบริวาร คนรักใคร่ คือ สีเขียวอ่อน, หมอก เมฆ หรือ พลอยสีขุ่น
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องอายุ คือ สีน้ำเงิน, ฟ้า หรือ ไพลิน
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องอำนาจ คือ สีแดงสด, ส้ม หรือ ทับทิม
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องร่ำรวย คือ สีขาว, ขาวนวล,เพชร หรือ ไข่มุก
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องขยัน คือ สีเขียว, เขียวสด,มรกต หรือ หยก



    พลอยประจำคนเกิดวันพฤหัสบดี

    คนเกิดวันพฤหัสบดี ควรใช้เครื่องประดับ หรือ อัญมณีที่เป็นสีส้ม หรือ สีแสด เรียกว่า “ปิตาภรณ์” ได้แก่
    โอปอลไฟ (Fire Opal)
    หยกแดง (Red Jade)
    หยกแดงไต้หวัน (Carnelian)
    สปิเนลสีส้ม (Orange Spinel)
    แซปไฟร์สีส้ม (Padparadscha)
    ปะการัง

    สีของประจำวันเกิดที่ช่วยเสริมดวงในด้านต่างๆ

    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องบริวาร คนรักใคร่ คือ สีเหลืองสด, แสด หรือ บุษราคัม
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องอายุ คือ สีเขียวอ่อน, หมอก, เมฆ หรือ พลอยสีขุ่น
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องอำนาจ คือ สีน้ำเงิน, ฟ้า หรือ ไพลิน
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องร่ำรวย คือ สีแดงสด, ส้ม หรือ ทับทิม
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องขยัน คือ สีชมพู, โกเมน หรือ เพทาย



    พลอยประจำคนเกิดวันศุกร์

    คนเกิดวันศุกร์ ควรใช้เครื่องประดับ หรือ อัญมณีที่เป็นสีฟ้า หรือ สีน้ำเงิน เรียกว่า “ปภัสราภรณ์” ได้แก่
    ไพลิน (Blue Sapphire)
    โทแพซสีฟ้า (Blue Topaz)
    เพทายสีฟ้า (Blue Zircon)
    อะความารีน (Aquamarine)
    ลาพิส ลาซูลี (Lapis Lazuli)
    เทอร์คอยส์ (Turquoise)
    เพชรสีฟ้า หรือน้ำเงิน (Blue Diamond)

    สีของประจำวันเกิดที่ช่วยเสริมดวงในด้านต่างๆ

    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องบริวาร คนรักใคร่ คือ สีน้ำเงิน, ฟ้า หรือ ไพลิน
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องอายุ คือ สีแดงสด, ส้ม หรือ ทับทิม
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องอำนาจ คือ สีขาว, ขาวนวล, เพชร หรือ ไข่มุก
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องร่ำรวย คือ สีชมพู, ม่วง, แดง, ดำ หรือ โกเมน
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องขยัน คือ สีดำ, ม่วง, เทา หรือ นิล


    พลอยประจำคนเกิดวันเสาร์

    คนเกิดวันเสาร์ ควรใช้เครื่องประดับ หรือ อัญมณีที่เป็นสีม่วง หรือ สีดำ เรียกว่า “กัณหาภรณ์” ได้แก่
    แอเมทีสต์ (Amethyst)
    แซปไฟร์สีม่วง (Violet Sapphire)
    นิลตะโก (Black Spinel)
    โอนิกซ์ (Onyx)
    หยกดำ (Black Jade)
    สตาร์ดำ (Black Star Sapphire)
    ไข่มุกสีดำ (Black Pearl)
    ปะการังสีดำ (Black Coral)

    สีของประจำวันเกิดที่ช่วยเสริมดวงในด้านต่างๆ

    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องบริวาร คนรักใคร่ คือ สีดำ, ม่วง, เทา หรือ นิล
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องอายุ คือ สีเหลืองสด, แสด หรือ บุษราคัม
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องอำนาจ คือ สีเขียวอ่อน, หมอก, เมฆ หรือ พลอยสีขุ่น
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องร่ำรวย คือ สีร่ำรวย น้ำเงิน, ฟ้า หรือ ไพลิน
    สีของอัญมณีที่เสริมดวงเรื่องขยัน คือ สีขาว, ขาวนวล, เพชร หรือ ไข่มุก
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระอรหันต์ พระนาม พระมหากัสสปะเถระเจ้า
    ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆกับคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร (คณะโสณะ-อุตระ) หรือ หลวงปู่อิเกสาโร

    เหมือนกันหรือเกี่ยวข้องกันเรื่องเดียวคือ เป็นพระอรหันต์เหมือนกันเท่านั้น

    ---------------------------------------------------------------------


    18-พระมหากัสสปเถระ
    เอตทัคคะในทางผู้ทรงธุดงค์
    -http://www.84000.org/one/1/18.html-
    พระมหากัสสปะ เป็นบุตรของกปิลพราหมณ์ ตระกูลกัสสปะในบ้านมหาติฏฐะ
    แคว้นมคธ ชื่อเดิมของท่านคือ “ปิปผลิ” แต่คนทั่วไปมักเรียกท่านตามวงศ์ตระกูลว่า
    “กัสสปะ” เมื่อท่านอายุได้ ๒๐ ปี ได้ทำการอาวาหมงคลกับนางภัททกาปิลานี ซึ่งเป็นสาวงาม
    วัย ๑๖ ปี ธิดาของพราหมณ์ตระกูลโกลิยะ ณ เมืองสาคลนคร แคว้นมคธ

    ปิปผลิมาณพถูกแปลงสาร
    เมื่อปิปผลิมาณพ อายุได้ ๒๐ ปี บิดามารดาได้ปรึกษากันว่าจะหาภรรยาให้แก่บุตรชาย
    จึงได้มอบเงินและทองให้แก่พราหมณ์ ๘ คน เพื่อสืบแสวงหาสาวงานที่มีฐานะเสมอกัน
    พราหมณ์เหล่านั้นเที่ยวสืบแสวงหาไปตามเมืองต่าง ๆ มาจนถึงสาคลนคร ได้พบธิดาของ
    โกลิยพราหมณ์นามว่า “ภัททกาปิลานี” วัย ๑๖ ปี เป็นที่ถูกอกถูกใจยิ่ง จึงสู่ขอกับบิดามารดา
    ของนาง ตกลงแล้วได้มอบสิ่งของเงินและทองหมั้น กำหนดวันอาวาหมงคลแล้วกลับไปแจ้งข่าว
    สารแก่กปิลพราหมณ์
    ปิปผลิมาณพ ได้ทราบข่าวสารนั้นแล้วรู้สึกไม่สบายใจ เพราะตนไม่มีความปรารถนาจะ
    แต่งงาน จึงหลบเข้าไปในห้อง เขียนจดหมายบรรยายความประสงค์ของตนให้นางทราบว่า
    “ตนไม่ปรารถนาจะแต่งงาน ขอให้นางจงแต่งงานกับชายที่มีชาติตระกูลเสมอกัน และอยู่ครอง
    ชีวิตคู่ด้วยความสุขสำราญเถิด ส่วนข้าพเจ้าจะออกบวช” เมื่อเขียนเสร็จแล้ว ก็มอบให้คนใช้
    สนิทนำไปส่งให้แก่นางภัททกาปิลานี
    แม้นางภัททกาปิลานีก็มีใจตรงกัน และได้เขียนจดหมายซึ่งมีใจความเหมือนกัน มอบให้
    คนรับใช้นำไปส่งให้แก่ปิปผลิมาณพ บังเอิญคนถือจดหมายทั้งสองฝ่ายมาพบกันระหว่างทาง ทัก
    ทายปราศรัยถามไถ่กิจธุระของกันและกันแล้วนำจดหมายทั้งสองฉบับออกอ่าน ทราบความโดย
    ตลอดแล้วฉีกทำลายทิ้งแล้วเขียนจดหมายขึ้นมาใหม่ บรรยายความรักแก่กันและกันแล้วนำไปส่ง
    ให้แก่เจ้านายของตน การอาวาหมงคลระหว่างคนทั้งสองจึงเกิดขึ้น

    สภาพชีวิตการครองคู่
    ภายหลังจากแต่งงานกันแล้ว การครองคู่ของคนทั้งสองนั้นไม่เหมือนสามีภรรยาคู่อื่น ๆ
    เพราะสักแต่ว่าอยู่ร่วมห้องกันเท่านั้น ต่างก็ไม่มีจิตคิดจะร่วมสังวาสกัน แม้เวลาจะขึ้นเตียงนอนก็
    ขึ้นกันคนละข้าง มีแจกันดอกไม้ตั้งอยู่ตรงกลางเตียง ตลอดระยะเวลาที่ทั้งสองอยู่ร่วมกันนั้น มิ
    ได้สัมผัสถูกต้องกันเลยจึงไม่มีบุตรหรือธิดาสืบสกุล
    เมื่อบิดามารดาถึงแก่กรรมแล้ว ทรัพย์สมบัติและหน้าที่การงานทุกอย่างจึงเป็นภาระของ
    สองสามีภรรยา และเนื่องจากตระกูลทั้งสองเป็นตระกูลมหาเศรษฐีมีทรัพย์มาก เมื่อรวมสอง
    ตระกูลเข้าเป็นตระกูลเดียวกันแล้วทรัพย์สมบัติก็ยิ่งมากมายมหาศาล มีสัตว์เลี้ยงและคนงาน
    จำนวนมาก สองสามีภรรยาต้องบริหารสั่งการทุกอย่าง
    จนกระทั่งวันหนึ่ง ในขณะที่ปิปผลิกำลังตรวจดูทาสและกรรมกรทำงานอยู่ในไร่นา ได้
    เห็นนกกาจิกกินสัตว์น้อยมีไส้เดือนเป็นต้น ก็รู้สึกสงสารและสลดใจที่สัตว์เหล่านั้นต้องตาย
    เพราะตนเป็นเหตุ ส่วนนางภัททกาปิลานี ก็ให้คนนำเมล็ดถั่วงาออกมาตากที่ลานหน้าบ้าน เห็น
    หมู่นกกามาจิกกินตัวหนอนและแมลงต่าง ๆ ก็เกิดความสงสารและสลดใจเช่นกัน เมื่อสองสามี
    ภรรยามีโอกาส อยู่กันตามลำพังได้สนทนาถึงเรื่องความในใจของกันและกันแล้ว จากนั้นทั้งสอง
    ก็มีความคิดตรงกันว่า
    “ผู้อยู่ครองเรือน แม้จะไม่ได้ลงมือทำการงานเอง แต่ก็ต้องคอยรับบาปที่ทาสและ
    กรรมกรทำให้” จึงเกิดความเบื่อหน่ายเพศฆราวาสพร้อมใจกันสละทรัพย์สมบัติทั้งหมดให้ญาติ
    และบริวาร
    ส่วนทั้งสองสามีภรรยาพากันออกบวช จัดหาผ้ากาสาวพัสตร์และบริขารพากันปลงผม
    แล้วครองผ้ากาสาวพัสตร์ อธิฐานเพศบรรพชิตบวชอุทิศต่อพระอรหันต์ในโลกแล้วเดินร่วมทาง
    กันไป พอถึงทางสองแพร่งจึงแยกทางกัน ปิปผลิไปทางขวา ส่วนนางภัททกาปิลานี ไปทางซ้าย
    นางเดินทางไปพบสำนักปริพาชกแล้วได้เข้าไปขอบวชในสำนักนั้น เนื่องด้วยขณะนั้น พระผู้มี
    พระภาคยังมิได้ทรงอนุญาตให้สตรีบวชในพระพุทธศาสนา ต่อเมื่อพระนางปชาบดีโคตรมีได้
    บวชแล้ว นางจึงได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระเถระ ศึกษาพระกรรมฐาน บำเพ็ญ
    วิปัสสนา ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล

    อุปสมบทด้วยวิธีโอวาท ๓ ข้อ
    ปิปผลิ เดินทางไปตามลำดับ ได้พบพระผู้มีพระภาคเสด็จประทับที่ภายใต้ร่มไทร
    ระหว่างกรุงราชคฤห์กับนาลันทา เห็นพุทธจริยาน่าเลื่อมใสแปลกกว่านักบวชอื่น ๆ ที่ตนเคยพบ
    มา ปลงใจเชื่อว่าต้องเป็นพระอรหันต์แน่นอน จึงน้อมกายกราบถวายบังคมแทบพระบาท กราบ
    ทูลขออุปสมบทในพระพุทธศาสนา
    พระพุทธองค์ ประทานการอุปสมบทด้วยวิธีให้รับโอวาท ๓ ข้อ เรียกว่า
    “โอวาทปฏิคคหณูปสัมปทา” โอวาท ๓ ข้อนั้นคือ
    ๑) กัสสปะ เธอพึงศึกษาว่า เราจักตั้งความละอายและความเกรงใจไว้ในภิกษุทั้งที่
    เป็นพระเถระผู้เฒ่า ผู้มีพรรษาปานกลาง และทั้งผู้บวชใหม่
    ๒) กัสสปะ เธอพึงศึกษาว่า เราจักฟังธรรม บทใดบทหนึ่งอันประกอบด้วยกุศลด้วย
    ความตั้งใจฟังโดยเคารพ และพิจารณาจดจำเนื้อความธรรมบทนั้น
    ๓) กัสสปะ เธอพึงศึกษาว่า เราจะไม่ละสติไปในกาย คือ พิจารณากายเป็นอารมณ์
    โดยสม่ำเสมอ

    ได้รับยกย่องในทางผู้ทรงธุดงค์
    เมื่อท่านอุปสมบทแล้วทำความเพียรไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัตผล หลังจากอุปสมบท
    ได้ ๘ วัน พุทธบริษัททั้งหลายรู้จักท่านในนาม “พระมหากัสสะ” ท่านได้ช่วยรับภารธุระอบรม
    สั่งสอนพระภิกษุและพุทธบริษัทอื่น ๆ จนมีภิกษุเป็นบริวารจำนวนมาก ท่านมีปกติสมาทาน
    ธุดงค์ ๓ ประการ อย่างเคร่งครัด คือ:-
    ๑) ถือการนุ่งห่มบังสุกุลเป็นวัตร
    ๒) ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร
    ๓) ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร
    เพราะการปฏิบัติในธุดงค์คุณทั้ง ๓ ประการนี้อย่างเคร่งครัด พระบรมศาสดาจึงทรงยก
    ย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้ทรงธุดงค์
    นอกจากนี้ พระบรมศาสดายังทรงยกย่องท่านในทางอื่น ๆ อีกหลายประการ กล่าวคือ:-
    ครั้งหนึ่ง ท่านติดตามพระพุทธองค์ไปประทับที่ภายใต้ร่มไม้ต้นหนึ่งท่านได้พับผ้า
    สังฆาฏิของท่านเป็น ๔ ชั้นแล้วปูถวายให้พระพุทธองค์ประทับนั่งพระพุทธองค์ตรัสว่า:-
    “กัสสปะ ผ้าสังฆาฏิของเธอนุ่มดี”
    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์ทรงใช้สอยเถิด พระเจ้าข้า”
    “กัสสปะ แล้วเธอจะใช้อะไรทำสังฆาฏิเล่า ?”
    “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เมื่อข้าพระองค์ได้รับจากพระองค์ ก็จะใช้เป็นสังฆาฏิ
    พระเจ้าข้า”
    ครั้นแล้ว พระบรมศาสดาได้ประทานผ้าสังฆาฏิของพระองค์ ซึ่งเก่าคร่ำคร่าให้แก่ท่าน
    แล้วทรงยกย่องท่านอีก ๔ ประการคือ:-
    ๑) กัสสปะ มีธรรมเป็นเครื่องอยู่เสมอด้วยตถาคต เป็นผู้มักน้อยสันโดษภิกษุทั้ง
    หลายควรถือเป็นแบบอย่าง
    ๒) กัสสปะ เมื่อเธอเข้าไปใกล้ตระกูลแล้ว ชักกายและใจออกห่างประพฤติตนเป็นคน
    ใหม่ ไม่คุ้นเคย ไม่คะนองกาย วาจา และใจ ในสกุลเป็นนิตย์ จิตไม่ข้องอยู่ในสกุลนั้น
    ตั้งจิตเป็นกลางว่า “ผู้ใคร่ลาภจงได้ลาภ ผู้ใคร่บุญจงได้บุญ ตนได้ลาภแล้วมีจิตเป็นฉันใด ผู้อื่นก็
    มีใจเป็นฉันนั้น”
    ๓) กัสสปะ มิจิตประกอบด้วยเมตตา กรุณา แสดงธรรมแก่ผู้อื่น
    ๔) ทรงแลกเปลี่ยนผ้าสังฆาฏิกับท่านไปใช้สอย ทรงสอนภิกษุให้ประพฤติดีปฏิบัติ
    ชอบ โดยยกพระมหากัสสปะขึ้นเป็นตัวอย่าง
    พระเถระขับล่านางเทพธิดา
    ครั้งหนึ่งพระเถระพักอยู่ที่ถ้ำปิปผลิ เข้าฌานสมาบัติอยู่ ๗ วัน ออกจากฌานแล้วเข้าไป
    บิณฑบาต ในบ้านหญิงสาวคนหนึ่งเห็นพระเถระแล้วเกิดศรัทธาเลื่อมใส ได้นำข้าวตอกใส่บาตร
    พระเถระแล้วตั้งความปรารถนา ขอเข้าถึงส่วนแห่งธรรมที่พระเถระบรรลุแล้ว พระเถระกล่าว
    อนุโมทนาแก่เธอแล้วกลับยังที่พัก
    ฝ่ายนางกุลธิดานั้นมีจิตเอิบอิ่มด้วยทานที่ตนถวาย ขณะเดินกลับบ้านถูกงูพิษกัดตาย และ
    ได้ไปเกิดเป็นเทพธิดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ นามว่า “ลาชา” (ลาชา = ข้าวตอก) มีวิมานทอง
    ประดับด้วยขันทองห้อยอยู่รอบ ๆ วิมาน ในขันนั้นเต็มด้วยข้าวตอกทองเช่นกัน นางมองดูสมบัติ
    ทิพย์ที่ตนได้แล้วก็ทราบว่าได้มาเพราะถวายข้าวตอกแก่พระมหากัสสปะ ซึ่งเป็นบุญเพียงเล็กน้อย
    นางต้องการที่จะเพิ่มผลบุญให้มากยิ่งขึ้น จึงลงจากเทวพิภพเข้าไปปัดกวาดเสานาเสานะและ
    บริเวณที่พักของพระเถระ จัดตั้งน้ำใช้น้ำฉันเสร็จแล้วกลับยังวิมานของตน
    พระเถระคิดว่ากิจเหล่านี้คงจะมีพระภิกษุหรือสามเณรมาทำให้ ในวันที่สองที่สาม นาง
    เทพธิดามาทำเหมือนเดิม แม้พระเถระก็คิดเช่นเดิม แต่พระเถระได้ยินเสียงไม้กวาดและเห็นแสง
    สว่างจากช่องกลอนประตูจึงถามว่า “นั่นใคร ?”
    “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ดิฉันเป็นเทพธิดาชื่อลาชา เป็นอุปัฏฐายิกาของท่าน”
    พระเถระคิดว่า หญิงผู้เป็นอุปัฏฐากของเราชื่ออย่างนี้ไม่มี จึงเปิดประตูเห็นนางเทพธิดา
    กำลังปัดกวาดอยู่ จึงสอบถามทราบความโดยตลอดตั้งแต่ต้นแล้ว จึงกล่าวห้ามว่า “กิจที่เธอทำ
    แล้วก็ถือว่าแล้วกันไป ต่อแต่นี้เธอจงอย่างมาทำอีก เพราะในอนาคต จะมีพระธรรมกถึกยกเอา
    เหตุนี้เป็นตัวอย่างอ้างแก่พุทธบริษัททั้งหลาย ว่า “พระมหากัสสปะมีนางเทพธิดามาปฏิบัติใช้
    สอย ดังนั้น เธอจงกลับไปเถิด”
    นางเทพธิด้านอ้อนวอนช้ำแล้วช้ำเล่าว่าขอพระคุณเจ้าอย่างทำให้ดิฉันประสบหายนะเลย
    ขอให้ดิฉันได้ครองสมบัติทิพย์นี้ตลอดกาลนานเถิด
    พระเถระเห็นว่านางเทพธิดาดื้อดึงไม่ยอมฟังคำ จึงโบกมือพร้อมกล่าวขับไล่นางออกไป
    นางลาชาเทพธิดาไม่สามารถดำรงอยู่ได้ จงเหาะขึ้นไปบนอากาศยืนประนมมือร้องไห้เสียดายที่
    ไม่มีโอกาสทำทิพยสมบัติของตนให้ถาวรได้

    พระมหากัสสปะเถระ เป็นประธานปฐมสังคายนา
    ด้วยความที่ท่านเป็นผู้ยินดีในการอยู่ป่า มักน้อย สันโดษ ประวัติของท่านจึงไม่ค่อย
    โดดเด่นเป็นที่รู้จักกันมากนัก จวบจนสมัยที่พระบรมศาสดาปรินิพพานได้ ๗ วัน ขณะที่ท่าน
    กำลังเดินทางพร้อมด้วยภิกษุบริวารของท่านเพื่อไปเข้าเฝ้าประบรมศาสดา ได้ทราบข่าวจาก
    อาชีวกว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ทำให้ภิกษุทั้งหลายที่เป็นปุถุชนพากันร่ำไห้เสียใจ
    รำพึงรำพันถึงพระบรมศาสดา รำพึงรำพันถึงพระบรมศาสดา แต่มีภิกษุวัยชรานามว่า สุภัททะ
    พูดห้ามปรามภิกษุเหล่านั้นมิให้ร้องไห้โดยกล่าว่า “ท่านทั้งหลาย อย่าร้องไห้เสียใจไปเลย พระ
    พุทธองค์ปรินิพพานเสียได้ก็ดีแล้ว ต่อไปนี้พวกเราพ้นจากอำนาจของพระศาสดาแล้ว จะทำ
    อะไรก็ย่อมได้ ไม่มีใครมาบังคับว่ากล่าวห้ามปรามพวกเราอีกแล้ว”
    พระเถระ ได้ฟังคำของพระสุภัททะแล้วเกิดความสังเวชสลดใจว่า “พระพุทธองค์
    ปรินิพพานได้เพียง ๗ วัน ยังมีผู้กล่าวจ้วงจาบล่วงเกินพระธรรมวินัยถึงเพียงนี้ ต่อไปภายหน้าก็
    คงจะหาผู้เคารพในพระธรรมวินัยได้ยากยิ่ง”
    ด้วยคำพูดของพระสุภัททะเพียงเท่านี้ หลังจากถวายพระเพลิงพระบรมศพแล้ว ท่านได้
    ชักชวนพระเถระผู้เป็นพระอรหันต์ ประชุมกันทำปฐมสังคายนารวบรวมพระธรรมวินัยตั้งไว้
    เป็นหมวดหมู่ เป็นตัวแทนองค์พระบรมศาสดาปกครองหมู่สงฆ์ต่อไป
    สาระสำคัญของปฐมสังคายนา
    ๑) พระมหากัสสปะเถระ เป็นประธาน มีหน้าที่ซักถามเกี่ยวกับพระธรรมวินัย
    ๒) พระอุบาลี เป็นผู้ชี้แจงเกี่ยวกับขอบัญญัติพระวินัย
    ๓) พระอานนท์ เป็นผู้ชี้แจงเกี่ยวกับพระสูตร และพระอภิธรรม
    ๔) กระทำที่ถ้ำสัตตบรรณคูหา แห่งภูเขาเวภารบรรพต กรุงราชคฤห์
    ๕) พระเจ้าอชาตศัตรู เป็นองค์ศาสนูปถัมภ์
    ๖) กระทำอยู่ ๗ เดือน จึงสำเร็จ

    ชีวิตในบั้นปลาย
    ในคัมภีร์พระสาวกนิพพานกล่าว่า พระมหากัสสปะเถระ เมื่อทำหน้าที่เป็นประธานใน
    การทำปฐมสังคายนาแล้ว ได้พักอยู่ที่พระเวฬุวันมหาวิหาร กรุงราชคฤห์ ดำรงอยู่ถึง ๑๒๐ ปี
    ก่อนที่ท่านจะนิพพาน ๑ วัน ท่านได้ตรวจดูอายุสังขารของท่านแล้วทราบว่าจะอยู่ได้อีกเพียงวัน
    เดียวเท่านั้น ท่านจึงประชุมบรรดาภิกษุผู้เป็นศิษย์ของท่านแล้วให้โอวาทเป็นครั้งสุดท้าย สั่งสอน
    ภิกษุผู้ยังเป็นปุถุชนมิให้เสียใจกับการจากไปของท่าน ให้พยายามทำความเพียรและอย่าประมาท
    แล้วพระเถระก็เข้าไปถวายพระพรลาพระเจ้าอชาตศัตรู จากนั้นท่านได้พาหมู่ภิกษุไปยัง
    ภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพต แสดงอิทธิปาฏิหาริยิ์ และให้โอวาทแก่พุทธบริษัทแล้ว อธิษฐานจิต
    ขอให้ภูเขาทั้ง ๓ ลูกมารวมเป็นลูกเดียวกัน ซึ่งในภูขาทั้ง ๓ ลูกนั้นมีภูเขาเวภารบรรพตสถานที่ทำ
    ปฐมสังคายนารวมอยู่ด้วย แล้วท่านก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน ณ ที่นั้น
    ท่านยังอธิษฐาน ขอให้สรีระของท่านยังคงสภาพเดิมไม่สูญสลาย จนกระทั่งพระศาสนา
    พระศรีอริยเมตไตร ซึ่งพระองค์จะพาหมู่ภิกษุสงฆ์มายังภูเขากุกกุฏสัมปาตบรรพตแล้ว ยกสรีระ
    ของพระเถระวางบนพระหัตถ์ขวาชูขึ้นประกาศสรรเสริญคุณของพระเถระแล้ว เตโชธาตุก็จะเกิด
    ขึ้นเผาสรีระของท่านบนฝ่าพระหัตถ์ของพระศรีอริยเมตไตรพุทธเจ้านั้น
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันอัฏฐมีบูชา
    วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ
    -http://www.dhammathai.org/day/atthamibucha.php-

    ความหมาย
    เนื่องด้วยอัฏฐมีคือวันแรม ๘ ค่ำ แห่งเดือนวิสาขะ (เดือน ๖) เป็นวันที่ถือกันว่าตรงกับวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ เมื่อถึงวันนี้แล้ว พุทธศาสนิกชนบางส่วน ผู้มีความเคารพกล้าในพระพุทธองค์ มักนิยมประกอบพิธีบูชา ณ ปูชนียสถานนั้น ๆ วันนี้จึงเรียกว่า "วันอัฏฐมีบูชา"

    ประวัติความเป็นมา

    เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว ๘ วัน มัลลกษัตริย์แห่งนครกุสินารา พร้อมด้วยประชาชน และพระสงฆ์อันมีพระมหากัสสปเถระเป็นประธาน ได้พร้อมกันกระทำการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ ณ มกุฏพันธนเจดีแห่งกรุงกุสินารา วันนั้นเป็นวันหนึ่งที่ชาวพุทธต้องมีความสังเวชสลดใจ และวิปโยคโศกเศร้าเป็นอย่างยิ่ง เพราะการสูญเสียแห่งพระพุทธสรีระ เมื่อวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๘ ซึ่งนิยมเรียกกันว่าวันอัฏฐมีนั้นเวียนมาบรรจบแต่ละปี พุทธศาสนิกชนบางส่วน โดยเฉพาะพระสงฆ์และอุบาสกอุบาสิกาแห่งวัดนั้น ๆ ได้พร้อมกันประกอบพิธีบูชาขึ้น เป็นการเฉพาะภายในวัด เช่นที่ปฏิบัติกันอยู่ในวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ เป็นต้น แต่จะปฏิบัติกันมาแต่เมื่อใด ไม่พบหลักฐาน ปัจจุบันนี้ก็ยังถือปฏิบัติกันอยู่

    ความสำคัญ
    โดยที่วันอัฏฐมีคือวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ เป็นวันที่มีเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา ถือเป็นวันที่ตรงกับวันที่ตรงกับวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระเป็นวันที่ชาวพุทธต้องวิปโยค และสูญเสียพระบรมสรีระแห่งองค์พระบรมศาสดา ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงยิ่ง และเป็นวันควรแสดงธรรมสังเวชและระลึกถึงพระพุทธคุณให้สำเร็จเป็นพุทธานุสสติภาวนามัยกุศล

    พิธีอัฏฐมีบูชา
    การประกอบพิธีอัฏฐมีบูชานั้น นิยมทำกันในตอนค่ำและปฏิบัติอย่างเดียวกันกับประกอบพิธีวิสาขบูชา ต่างแต่คำบูชาเท่านั้น

    คำถวายดอกไม้ธูปเทียนในวันอัฏฐมีบูชา

    ยะมัมหะ โข มะยัง, ภะคะวันตัง สะระณัง คะตา, โย โน ภะคะวา สัตถา, ยัสสะ จะ มะยัง, ภะคะวะโต ธัมมัง โรเจมะ, อะโหสิ โข โส ภะคะวา, มัชฌิเมสุ ชะนะปะเทสุ, อะริยะเกสุ มะนุสเสสุ อุปปันโน, ขัตติโย ชาติยา, โคตะโม โคตเตนะ, สักยะปุตโต สักยะกุลา ปัพพะชิโต, สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก, สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ, อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ, นิสสังสะยัง โข โส ภะคะวา, อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, วิชชาจะระณะสัมปันโน, สุคะโต โลกะวิทู, อนุตตะโร ปุริสทัมมะสาระถิ, สัตถา เทวะมะนุสสานัง, พุทโธ ภะคะวา สวากขาโต โข ปะนะ, เตนะ ภะคะวา ธัมโม, สันทิฏฐิโก, อะกาลิโก, เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก, ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ. สุปะฏิปันโน โข ปะนัสสะ, ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ, อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา, เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, อาหุเนยโย, ปาหุเนยโย, ทักขิเนยโย อัญชลีกะระณีโย. อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ. อะยัง โข ปะนะ ถูโป(ปฏิมา) ตัง ภะคะวันตัง อุททิสสะ กโต (อุททิสสิ กตา) ยาวะเทวะ ทัสสะเนนะ, ตัง ภะคะวันตัง อะนุสสะริตวา, ปะสาทะสังเวคะปะฏิลาภายะ, มะยัง โข เอตะระหิ, อิมัง วิสาขะปุณณะมิโตปะรัง อัฏฐะมีกาลัง, ตัสสะ ภะคะวะโต สรีรัชฌาปะนะกาละสัมมะตัง ปัตวา, อิมัง ฐานัง สัมปัตตา, อิเม ทัณฑะทีปะธูปะ-, ปุปผาทิสักกาเร คะเหตวา, อัตตะโน กายัง สักการุปะธานัง กะริตวา, ตัสสะ ภะคะวะโต ยะถาภุจเจ คุเณ อะนุสสะรันตา, อิมัง ถูปัง(ปะฏิมาฆะรัง) ติกขัตตุง ปะทักขิณัง กะริสสามะ, ยะถาคะหิเตหิ สักกาเรหิ ปูชัง กุรุมานา.

    สาธุ โน ภันเต ภะคะวา, สุจิระปะรินิพพุโตปิ, ญาตัพเพหิ คุเณหิ, อะตีตารัมมะณะตายะ ปัญญายะมาโน, อิเม อัมเหหิ คะหิเต, สักกาเร ปะฏิคคัณหาตุ, อัมหากัง, ฑีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ.
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1 attameeboocha.png
      1 attameeboocha.png
      ขนาดไฟล์:
      919.2 KB
      เปิดดู:
      106
    • 2-attamee01.png
      2-attamee01.png
      ขนาดไฟล์:
      116.8 KB
      เปิดดู:
      121
    • a01.png
      a01.png
      ขนาดไฟล์:
      832.1 KB
      เปิดดู:
      139
    • a02.png
      a02.png
      ขนาดไฟล์:
      859.8 KB
      เปิดดู:
      80
    • b01.png
      b01.png
      ขนาดไฟล์:
      418.8 KB
      เปิดดู:
      64
    • b02.png
      b02.png
      ขนาดไฟล์:
      568.6 KB
      เปิดดู:
      72
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ๑๑๑..การทำบุญให้สัมภเวสี..๑๑๑
    ผู้โพส Teeraphan Naksin
    -https://www.facebook.com/groups/240779579324594/-

    เรื่องนี้ขอนำคำสอนของหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง มากล่าวดังนี้..
    การทำบุญสงเคราะห์ญาติหรือผู้ที่ไม่ใช่ญาติสำหรับผู้ที่ตายไปเป็น สัมภเวสีต้องทำอย่างไรจึงจะบรรลุผลอย่างแท้จริง

    “..ต้องรู้นะว่าการตายไปเป็น สัมภเวสี คือตายอย่างไร คือบุคคลที่ตายด้วยอำนาจอุปฆาตกรรม คือยังไม่สิ้นอายุขัย เช่น ฟ้าผ่าตาย สุนัขกัดตาย งูกัดตาย คลอดบุตรตาย ถูกฆ่าตาย รถชนตาย สรุปว่าตายปัจจุบันทันด่วนนั่นเอง

    คนที่ตายตามอายุขัย ตายปุ๊บจะต้องไปเกิดตามกำลังบุญและกำลังบาป ถ้าเวลากำลังจะสิ้นใจนั้น คนบาป ต้องไปตามบาปทันที ( นรก เปรต อสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน) ถ้าคนบุญ ไปตามบุญทันที(มนุษย์ เทวดา พรหม นิพพาน) ทีนี้คนที่ตายก่อนอายุขัย ยังไม่มีสิทธิ์ไปตามบุญและบาป จะไปอบายภูมิก็ไม่ได้ ไปสวรรค์ก็ไม่ได้

    ตอนนี้แหละเขาเรียกว่า สัมภเวสี

    บุคคลที่ตายไปเป็นสัมภเวสี ถ้าหากว่า ญาติพี่น้อง สามี ภรรยา ลูกหลาน มีความฉลาด เมื่อทำบุญจะถวาย สังฆทาน หรืออะไรก็ตาม ต้องระบุชื่อเจาะจงให้แต่ผู้เดียว อย่าเผื่อคนอื่น อย่างนี้จะได้รับทันที เป็นผี (โอปปาติกะ )ที่มีความสุข แล้วก็คนนั้นเมื่อถึงวาระอายุขัย จะไม่ไปนรกแล้ว แต่จะไปสวรรค์ก่อน ตามกำลังบุญที่อุทิศให้ โดยผู้นั้นได้อนุโมทนาบุญนั้นด้วย..”
    อีกตอนหนึ่งหลวงพ่อสอนเอาไว้ว่า…

    “…บรรดาพุทธบริษัทโปรดทราบไว้ว่า กรรมที่เป็นอุปฆาตกรรมที่มาตัดรอนทำให้คนตายก่อนอายุขัย ตายแล้วไปเกิดเป็นสัมภเวสี บรรดาสัมภเวสีที่เดินเกลื่อนไปเกลื่อนมาในโลกมนุษย์ มีรูปร่างหน้าตาคล้ายคนธรรมดา เวลาที่ตายแต่งตัวแบบไหน นุ่งผ้าประเภทไหนก็แต่งตัวแบบนั้น มีความกังวลอยู่อย่างหนึ่งคือ มีความทุกข์ใจไม่รู้จะเกิดที่ไหนได้แน่นอน บรรดาสัมภเวสีพวกนี้มีความลำบาก ถ้าญาติของเราตายด้วยอำนาจของสัมภเวสี คือยังไม่สิ้นอายุขัย เช่น ฟ้าผ่าตาย คลอดบุตรตาย ถูกฆ่าตาย ถูกรถชนตาย เป็นต้น แต่ก็ไม่แน่นักบรรดาพวกนี้ถึงอายุขัยก็มี แต่ก็เผื่อเหนียวไว้ก่อน สมมุติว่าเขาเป็นสัมภเวสี พอตายไปแล้วก็ไม่ต้องทำบุญมาก ทำบุญให้ได้บุญชัดๆ หาอาหารชนิดที่ไม่มีบาป อย่าทุบแม้แต่ไข่สัก ๑ ฟอง เอาผ้าไตรมา ๑ ไตร พระพุทธรูปมา ๑ องค์ นิมนต์พระมารับสังฆทานที่บ้าน ทำเงียบๆ อย่ามีเหล้ายาปลาปิ้ง เมื่อทำบุญเสร็จก็อุทิศส่วนกุศลให้เฉพาะคนที่ตาย ไม่ให้ใครทั้งหมด ทำอย่างนี้ท่านพวกนี้จะมีความสุข ได้รับผลบุญทันที มีความผ่องใส มีความอิ่มเอิบ เมื่อเข้าถึงอายุขัยเมื่อใด พวกนี้จะไปถึงด้านของสวรรค์ก่อน…”

    ที่มา : หนังสือ ตายไม่สูญ…แล้วไปไหน ของ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หรือหลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ” เลิกซ๊ะ “ก่อนจะสาย …. !! ต่อให้เงินเดือนสูง ถ้ามี 7 นิสัยนี้ก็จนอยู่ดี เราเตือนคุณแล้วน๊ะ !!
    -http://skynews.sayhibeauty.com/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%8B%E0%B9%8A%E0%B8%B0-%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%95%E0%B9%88/-


    เคยสังเกตไหม มองคนรอบๆตัวเราบางคนมีตำแหน่งสูง เป็นถึงผู้บริหารหรือเจ้าของกิจการต่างๆที่มีเงินเดือนใกล้แตะหลักแสนแล้ว แต่ก็ยังคงใช้เงินเดือนชนเดือนอยูและ มีภาระหนี้สินมากมาย สงสัยกันหรือไม่เหตุใดถึงเป็นแบบนั้น

    จากบทความของคุณธนกร ผู้ก่อตั้งตลาดปัญญา https://taladpanya.com ที่เขียนจากประสบการณ์ บางส่วนเป็นประสบการณ์ตรงของคุณธนกรเองในช่วง 11 ปีแรกของการทำงาน ว่าอะไรที่ทำให้เรายังคงจนอยู่อย่างนั้น… แม้ว่าจะมีรายได้ดีก็ตาม มาลองดูกันว่าคุณมีข้อไหนหรือเปล่า


    1. พอได้เงินเดือนเพิ่ม ก็หาภาระมาใส่ตัว

    คุณเป็นรึเปล่าที่เมื่อพอเงินเดือนขึ้น ก็หาห้องเช่าใหม่ ดีกว่าเดิม แพงขึ้นอีกนิด พอสิ้นปีโบนัสออกพร้อมปรับเงินเดือน ก็เอาไปดาวน์รถคันที่แพงขึ้น คนเราส่วนใหญ่จะคิดว่าเมื่อมีเงินก้อนจากโบนัส หรือเมื่อมีเงินเดือนเพิ่มขึ้น ก็รู้สึกว่าอยากจะมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ก็ใช้จ่ายมากขึ้น เข้าภัตตาคารบ่อยขึ้น ซื้อของแบรนด์ดังเกรดดีขึ้น ดังนั้น ไม่ว่าจะมีเงินเท่าไหร่ก็หมด


    2. อยู่กับปัจจุบัน แต่ไม่มองอนาคต

    หลายคนเวลาเจอปัญหาอะไร ยากๆ ก็ไม่อยากแก้ ปล่อยได้ปล่อยไป ถูไถไปวันๆ และนี่คือ “สูตรแห่งความหายนะ”เลย เพราะนิสัยนี้จะติดไปสู่เรื่องของ “การเงิน” ไปด้วย บางทีอยากได้อะไรก็ซื้อๆ หมุนๆ ใช้เงินไปก่อน ตอบสนองความต้องการในปัจจุบัน แต่ไม่ได้มองภาพใหญ่/ ภาพรวม มองไม่ออกว่าตอนนี้ “สถานะการเงิน” ของเราเป็นยังไง เรามีทรัพย์สินเท่าไหร่ หนี้สินเท่าไหร่ เงินสดเท่าไหร่ (ถ้าเป็นบริษัทก็คืองบดุล) ไม่รู้ว่าทุกวันนี้รายได้น้อยกว่ารายจ่ายหรือเปล่า ชักเงินเก็บออกมาอุดทุกเดือนแล้วทำไม่รู้ไม่ชี้ (ถ้าเป็นบริษัทก็คืองบกำไรขาดทุน) ไม่ว่าคุณอายุเท่าไหร่ ต่อให้เพิ่งเรียนจบก็ตาม ต้องมองเห็นภาพแล้วว่า ตอนเกษียณ ตอนที่ไม่มีรายได้หรือไม่ได้ทำงาน เราต้องมีรายได้เท่าไหร่ (รายได้จากการลงทุน หรือรายได้จากการที่ไม่ต้องทำงานอีกแล้ว) แล้วรายได้จะมาจากไหน ถ้าเป็นรายได้จากผลตอบแทนของการลงทุน ก็ต้องรู้ว่าเป็นการลงทุนประเภทไหน อัตราผลตอบแทนเท่าไหร่ ต้องมีเงินต้นหรือ Port ใหญ่แค่ไหน แล้วจากวันนี้ไปถึงวันนั้นจะสะสมเงินเพื่อสร้าง Port การลงทุนขนาดนั้นได้อย่างไร


    3. คิดว่าวันนี้ยังไม่ต้องรีบออมเงิน

    คิดว่ายังไม่สาย อีกแปปค่อยเริ่มเก็บเงินก็ได้ เราอายุยังน้อย สนุกๆ ไปก่อน เดี๋ยวอีกสักพักค่อยเริ่มมองเรื่องการออมเงินหรือการลงทุน
    คุณคิดผิดถนัด และสิ่งที่หลายคนไม่รู้ก็คือ การเริ่มออมเร็วกว่าคนอื่นแค่ 5 ปี ตอนปลายทางคุณจะมีเงินเก็บต่างกันลิบลับ เพราะด้วยพลังของดอกเบี้ยทบต้น ถึงแม้จะไม่ได้เป็นการเก็บออมเพื่อการลงทุน แต่นิสัยการออมก็เป็นสิ่งที่ดี ที่ถูกต้องคือถ้าเราอยากได้อะไร เราควรวางแผนตั้งเป้าออมเงินไว้ให้ได้เท่านั้นก่อนค่อยเอาไปซื้อ แบบนี้จะไม่มีภาระ แต่ถึงแม้จะซื้อแบบผ่อน ก็สามารถทำให้หนี้นี้เป็นการผ่อนที่ฉลาดได้ เช่น ออมเงินก้อนไปลงทุน แล้วเอาดอกเบี้ยไปผ่อนชำระสินค้า เท่ากับได้ของฟรี และเงินต้นก็ยังอยู่


    4. ไม่เคยจดบันทึกเรื่องการใช้เงิน

    เราส่วนใหญ่มักจะคิดว่าเรารู้แล้ว ก็มีรายได้อยู่แหล่งเดียว (เงินเดือน) แล้วแต่ละเดือนก็มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง เรื่องใหญ่ๆ ก็มีไม่กี่เรื่อง ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน/ ค่าห้อง ค่าน้ำ-ค่าไฟ ค่าอาหาร หลักๆ ก็แค่นี้ ไม่เห็นต้องจดบันทึกเลย หรือจะจำไปทำไม ซึ่งนั่นคิดผิดถนัด เพราะบางทีเรื่องเล็กๆ หลายเรื่องรวมกันทำให้มีค่าใช้จ่ายที่ควรจะประหยัดได้ แต่ก็ไม่ได้ทำ (เพราะมันเล็กๆ น้อยๆ จนไม่รู้ตัว) แล้วสุดท้ายจะพบว่า “เงินไปไหนหมดเนี่ย” แต่ก็ตอบไม่ได้ แล้วจะประหยัดตรงไหนดี ก็ตอบไม่ได้เช่นกัน


    5. แยกไม่ออกว่าอะไรจำเป็น อะไรแค่อยาก แถมยังไม่มีเป้าหมายทางการเงิน

    บางทีมันก็สับสนปนเป บางเรื่องเป็นแค่ความอยาก แต่คิดว่ามันเป็นเรื่องจำเป็น เอ้อ…ช่วงนี้รถเสียบ่อย ‘จำเป็น’ ต้องเปลี่ยนแล้วหละ เอ้อ… มือถือรุ่นใหม่ออกมา ‘จำเป็น’ ต้องเปลี่ยนแล้วหละ feature ใหม่ในนั้นจะทำให้เราทำงานคล่องตัวขึ้นแน่เลย (คิดไปเอง)
    แล้วเป้าหมายทางการเงินล่ะ เกี่ยวอะไรกับข้อนี้ ก็เพราะบางทีคนส่วนใหญ่ไม่มีเป้าหมายทางการเงินกันไง ก็ทำให้ไม่มีอะไรฉุดรั้งความคิดเลยว่า

    เอ… อันนี้เอาไว้ก่อนดีกว่า เราต้องกันเงินอีกส่วนไว้ลงทุน
    เอ…อันนี้ยังไม่จำเป็น ยอมลงทุนซ่อมใหญ่ครั้งนึงแล้วใช้ไปได้อีกนานๆ ดีกว่า

    เคล็ดลับของข้อนี้ก็คือ ถ้าคุณมีเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน คุณจะสามารถอดเปรี้ยวไว้กินหวานได้ คุณจะยับยั้งชั่งใจเป็น หลีกเลี่ยงและรอดพ้นจากความต้องการหรือความพึงพอใจระยะสั้นไปได้ คุณจะยอมเสียสละบางอย่าง..เพราะมองเป็นเป้าที่อยู่ไกลๆ

    เคล็ดลับของเคล็ดลับในการวางแผนการเงิน (และวางเป้าหมายในชีวิต) ก็คือ “เขียนมันลงบนกระดาษ” แล้วแปะไว้หน้ากระจกแต่งตัว หรือหน้าตู้เสื้อผ้า เอาเป็นว่าแปะไว้ในที่ที่คุณเห็นมันทุกวัน มันจะย้ำเตือน และตอกย้ำลงไปในจิตใต้สำนึกให้ร่างกายและสมองของคุณตอบสนองต่อเฉพาะสิ่งที่จะนำพาไปสู่เป้าหมายนี้เท่านั้น


    6. มีหนี้ไม่รีบใช้

    ถือว่ายังผ่อนไหว หรือผ่อนไปตามระยะเวลาที่ตั้งไว้ คุณเคยลองสังเกตใบเสร็จรับเงินค่างวดผ่อนบ้านหรือเปล่า ว่าค่าดอกเบี้ยน่ะ..มันแพงกว่าเงินต้นซะอีก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงต้นๆ ของการผ่อน) และเกือบจะร้อยทั้งร้อย ตราบใดที่ยังมีเงินเดือนอยู่ ก็จะผ่อนชำระไปเรื่อยๆ เวลามีเงินก้อนมา เช่นโบนัส แทนที่จะเอาไปโปะ เอาไปปิด ก็เอาไปซื้อของฟุ้งเฟ้อซะแทน ปล่อยให้ดอกเบี้ยมันกัดกินอยู่นั่นแหละ ไม่สนใจ

    อ่านบทความนี้จบแล้วจำเลยครับว่า มีเงินก้อนเมื่อไหร่ ให้เอาไปจ่ายหนี้ที่ดอกเบี้ยสูงสุดก่อนเสมอ ปิดให้เร็วที่สุด แม้ว่าเขาจะเปิดโอกาสให้คุณผ่อนได้นานชั่วชีวิตก็ตาม (ก็นั่นคือวิธีทำมาหากินของธนาคารหรือเจ้าหนี้เขาไง)


    7. อัพเกรดอุปกรณ์รอบกายตลอดเวลา

    ผู้หญิงบางคน…เป็นไง กระเป๋า-เสื้อผ้า-รองเท้า mix & match กันจน…จน

    เสื้อใหม่มา…รองเท้าไม่มี match รองเท้ามา..กระเป๋าไม่เข้ากัน กระเป๋ามา..ดูกระโปรงเพิ่มอีกตัวดีกว่า อุ๊ย..แฟชั่นใหม่ออกมาอีกแล้ว…ต้องตาม อย่างนี้จะเหลือรึ พนักงานใน office มือถือรุ่นใหม่ออกเป็นไม่ได้ ต้องขวนขวายไป “ถอย” มันมา อ้างว่าชอบเทคโนโลยี ชอบศึกษา

    คุณต้องให้ความชอบของคุณมันทำเงินได้บ้าง ไม่ใช่ให้ความชอบทำให้เสียเงินอย่างเดียว
    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่อันตรายมากเรื่องหนึ่งครับ เพราะทุกวันนี้การพัฒนาเทคโนโลยีทำได้เร็วมาก อุปกรณ์ไฮเทคต่างๆ ออกรุ่นใหม่กันเป็นว่าเล่น มันเป็นความตั้งใจของผู้ผลิต/ ผู้ขายที่จะมาดูดเงินออกไปจากกระเป๋าพวกเรา ถ้าเราไม่ระมัดระวังละก็…กลับไปอ่านหัวข้อบทความอีกครั้ง… ก็จนอยู่ดี
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ฟังแล้วขนลุก”หลวงพ่อฤาษีลิงดำ”เคยทำนายเรื่องราว ธรรมกาย-ธัมมชโย เอาไว้แบบนี้ (ชมคลิป)
    -http://skynews.sayhibeauty.com/%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%82%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%81%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A4%E0%B8%B2%E0%B8%A9/-



    หลวงพ่อฤาษีลิงดำพูดถึง ธัมมชโย วัดพระธรรมกาย
    -https://www.youtube.com/watch?v=qUoaedKBVaQ-


    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านให้ความเคารพหลวงพ่อสดมากและกล่าวยกย่องสรรเสริญไว้หลายครั้ง แต่ท่านไม่เคยกล่าวถึง “วัดพระธรรมกายเลย” ยกเว้นข้อความต่อไปนี้

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ กล่าวถึงวัดพระธรรมกาย เมื่อครั้งท่านได้รับนิมนต์ไปในฐานะวางศิลาฤกษ์ วัดพระธรรมกาย
    “….ท่านเจริญพระกรรมฐานกันยังไง ทำไมถึงแบกกิเลส ต้องการลาภ ต้องการยศกัน..”

    และยังกล่าวถึงคุณวรณี สุนทรเวช ผู้บริจาคที่ให้วัดพระธรรมกายว่า
    “…พระถมเถไป กรรมอะไรของท่านหนอ ที่ไปเจอะเอาพระจันไร แบบนี้เข้า ..”

    รายละเอียดถอดความฉบับเต็ม…

    ผมจำเดือนไม่ได้ เพราะไม่ได้บันทึก ดูเหมือนว่าจะเป็นระยะตอนต้น ๆ ปี เมื่อปี พ.ศ. 2517 ปีนั้นเราก็เริ่มจะทำพระอุโบสถ อ้อใช่แล้วครับต้นปี เพราะว่าอากาศยังหนาว ๆ นิด ๆ เห็นจะเป็นเดือนกุมภา หรืออะไร มกรา จำไม่ได้ อาจารย์วรณี สุนทรเวช กับคณะของท่านมาที่วัดนี้บ่อย ๆ ในการมาวัดนี้ของท่านก็ถูกคณาจารย์เดิมโกรธ เช่นเดียวกับสาวกของ เอ้อ อีตาปริพาชก ตาพราหมณ์คนนั้นแหละ เป็นอันว่าเรื่องนี้ผมก็ขอยกไว้ที่อาจารย์โกรธ ผมไม่เห็น เป็นแต่เพียงท่านเล่ากันให้ฟัง

    ที่นี้เรื่องมาชนกับผมเองบ้าง คือว่าอาจารย์วรณี นี่ถวายที่ไว้แก่พระชุดหนึ่งที่คลองสามรังสิต จะเป็นเนื้อที่กี่ไร่นี่ผมจำไม่ได้ เนื้อที่มาก และก็กำลังจะสร้างพระอุโบสถ เอาช่างเขียนแปลนเสร็จ เอาช่างไปแล้ววางผังขุดหลุมจะเทรากฐานกำลังจะตอกเข็มแล้วก็มีความประสงค์จะวางศิลาฤกษ์

    สำหรับวัดนี้นอกจากอาจารย์วรณีจะให้ที่แล้ว ยังออกเงินให้ในการก่อสร้างทั้งหมด ทะนุบำรุงวัดนั้นทั้งหมด ที่หมดไปแล้วจำไม่ได้เนื้อที่ เพราะว่าคิดว่าจะเกินกว่าร้อยไร่แล้วก็ยังจะให้ เมื่อก่อสร้างแล้วก็ยังไม่พอ ยังจะให้เงินเป็นมูลนิธิสำหรับวัดนั้นอีกซัก ประมาณ สิบล้านหรือสิบล้านเศษผมจำไม่ได้ ก็สิบล้านน่ะสิบล้านแน่ แต่ว่าจะเศษเท่าไรนี่ผมจำไม่ได้

    ทีนี้การจะวางศิลาฤกษ์ของท่าน ไม่ทราบว่าท่านมีความรู้สึกยังไง จะนิมนต์ผมไปในฐานะเป็นผู้วางศิลาฤกษ์ ทีนี้ความจริงพระที่วัดนั้นก็เคยมาหาผม ท่านทำท่าเหมือนว่าจะเป็นบัณฑิต ตามที่ทราบมาว่าเป็นนิสิตเกษตร สำเร็จปริญญาจากเกษตรฯ เวลาท่านมาหาท่านบอกว่าท่านต้องการอภิญญา แต่ผมเองเรื่องอภิญญาสมาบัตินี่ ใครอย่ามายุ่งกับผม ผมไม่เอาด้วย ผมไม่ได้เห็นชอบด้วย ผมก็คุยให้ท่านฟังว่า ท่านต้องการอภิญญาก็ปฏิบัติตามนั้น ตามแบบฉบับ หรือว่าแบบปกติ ท่านทำท่าเหมือนว่าจะเลื่อมใส แต่คนอย่างผมนี่ใครจะเลื่อมใสหรือไม่เลื่อมใสผมก็ไม่สนใจ ถามมาผมก็บอกไปเป็นอันว่าเมื่อถึงเวลาที่จะวางศิลาฤกษ์ ผมก็ไม่ทราบเหตุมาก่อน แต่ไปได้ทราบทีหลัง เขาบอกว่ามีข่าวไปที่นั่นว่า ผมกับเจ้ากรมสื่อสารทหารอากาศคือเวลานั้นได้แก่ พลอากาศตรีหม่อมราชวงศ์เสริม สุขสวัสดิ์ เวลานี้ท่านเป็นพลอากาศโทเป็นเจ้ากรมสื่อสารทหาร จะยกกำลังไปยึดวัดเอามาเป็นวัดของตน

    นี่ต้องคิด ข่าวนี้ต้องคิด ทำเหมือนกะว่ามันทำง่าย ๆ เจ้าของเขาก็มี ไอ้ที่ดินเขาก็มีโฉนด พระก็มีปกครอง ผมจะย่องไปยึดวัดของเขานี่ข่าวล่วงหน้าไปก่อน ก็ไม่ทราบว่าข่าวไปจากไหน แต่เนื้อแท้จริง ๆ ท่านเจ้าภาพนิมนต์ผมไปวางศิลาฤกษ์ไอ้เรื่องนี้สนุกคุณ พวกคุณฟังกันแล้วก็ ทำกำลังใจให้ดีนะ ลองคิดว่า ถ้าถูกเขาแบบนั้นบ้างคุณจะวางใจแบบไหน นี่ไม่ใช่พราหมณ์หวงลูกศิษย์เฉย ๆ แ ต่ เ ป็ น พ ร า ห ม ณ์ ห ว ง ส ม บั ติ ด้วย

    เมื่อเวลาไปถึงตอนเช้า ผมก็แปลกใจที่มีนิสิตนักศึกษาของเกษตรเป็นกลุ่มใหญ่ยืนอยู่หน้าทาง มีวิทยุติดต่อกัน ผมน่ะอยู่ไกลฟังไม่รู้เรื่อง ผมก็เดินเรื่อยเข้าไปตามเรื่อง มีคนนำ แต่ทีนี้คนที่อยู่ใกล้ ๆ กับพวกนิสิตนักศึกษาเกษตรเขามาเล่าให้ฟังว่า ผมกับเจ้ากรมสื่อสารทหาร กับคณะเดินลงไปเข้าเขต เขาวิทยุถามกันไปว่า เวลานี้พระมหาวีระมาแล้ว จะอนุญาต.. ยอมให้เข้าหรือไม่ยอมให้เข้า ไอ้ความจริงผมไม่รู้เรื่องกับเขาเลย เขายอมหรือไม่ยอมก็ไม่รู้ มันเรื่องอะไร ผมก็ไม่รู้ แต่ว่า(เขา)คงได้รับคำตอบมาจากทางโน้นบอกว่า ยอมให้เข้า เมื่อยอมให้เข้าไปแล้ว ยอมหรือไม่ยอมก็ไม่มีใครเข้ามาห้ามผม ผมก็เดินไปตามคนเขานำ เมื่อเข้าไปถึงข้างในแล้วก็มีอาการแปลก แต่ผมก็มองดูเฉย ๆ เหมือนกับว่าไม่มีใครเขาสนใจ

    เจ้าภาพเองเนี่ยให้เงินตั้งสิบล้านเป็นมูลนิธิแล้วบริจาคที่อีกนับราคาหลายล้าน และให้เงินอีกหลายล้านในการก่อสร้าง กำลังจะตอกเข็ม ทั้งพระ ทั้งเจ้าหน้าที่ในนั้นก็ไม่ได้สนใจ นี่ผมก็แปลก ไปเกือบจะหาที่นั่งจะไม่ได้

    เวลานั้นเจ้าคุณวัดปากน้ำภาษีเจริญปัจจุบัน (ปัจจุบัน สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ ช่วง วรปุญฺโญ ) เจ้าคุณเจ้าอาวาส และพระที่นั่นก็มาจากวัดปากน้ำภาษีเจริญ แล้วท่านเป็นเจ้าอาวาสด้วย กำลังเป็นเจ้าคณะตรวจการภาควัดภาษีเจริญด้วย เป็นเจ้าคณะตรวจการภาคสาม แล้วก็ตอนที่ผมไป ย้ายไปอยู่ภาคสิบห้าแล้ว ท่านมานั่งสวดมนต์อันดับแรก ที่พวกเราเข้าไปกันเกือบจะหาที่นั่งไม่ได้เป็นอันดับแรก ในระยะต่อมา ท่านเจ้าคุณ ท่านก็บอก “นิมนต์ ท่านมหานิมนต์นั่งที่นี่สิขอรับ มาสวดมนต์ด้วยกัน”

    ท่านก็ขยับที่ให้ในฐานะที่ผมอาวุโสมากกว่าท่าน ผมก็เรียนกะท่านว่า “ เขาไม่ได้นิมนต์ผมมาสวดมนต์ ก็ไม่จำเป็นหรอกครับ ” ผมก็นั่งตามที่ที่เขาจัดให้

    ต่อจากนั้นไปเรื่องมันก็เกิด โอละพ่อกันขึ้น เป็นอันว่าพระที่ ที่เจ้าภาพยกที่ให้ ตั้งท่า ตั้งท่าพิเศษ บอกว่าขอให้มาทำเงื่อนไขกันก่อน อันดับแรก เขาเชิญพวกเดียวกันมาประชุมต่อหน้าเจ้าคุณ แล้วก็เธอเชิญท่านเจ้าภาพ ท่านเจ้าของที่ผู้ให้เงินในการก่อสร้างนับล้าน และก็จะให้เงินเป็นมูลนิธิอีกสิบล้าน คืออาจารย์วรณี สุนทรเวช เข้าไปร่วมประชุมกันต่อหน้าแขกทั้งหมด

    อันดับแรกเขาก็ยื่นเงื่อนไขว่า “ ขอให้พระองค์นี้ได้เป็นเจ้าอาวาสวัดนี้ ” พูดกับท่านเจ้าคุณใหญ่ หรือว่าอาจารย์วรณี สุนทรเวช ผมก็แปลกใจว่า เอ๊ะ สำนักนี้เขาสอนพระกรรมฐานกันนี่ ทำไมอยากเป็นเจ้าอาวาส เป็นหรือไม่เป็นมันก็เป็นอยู่แล้ว อาจารย์วรณี สุนทรเวช ก็บอกไม่เป็นไร “ ถ้าท่านต้องการเป็นเจ้าอาวาสก็สุดแล้วแต่ท่านเจ้าคุณใหญ่ ”

    อีกองค์หนึ่งบอกว่า “ ถ้าอย่างนั้นเมื่อตกลงแล้วก็ต้องให้อาตมาเป็นรองเจ้าอาวาส ”

    นี่ยื่นเงือนไขกันแปลก ๆ ความจริงอาการอย่างนี้ พระในพระพุทธศาสนาเขาไม่ทำกัน ผมก็นั่งดู อาจารย์วรณี สุนทรเวช ท่านก็ไม่คัดค้าน บอกว่า “ ตามใจ วัดนี้ฉันถวายพระพุทธศาสนา ก็สุดแล้วแต่ท่านเจ้าคุณใหญ่”

    ถ้าหากว่าผมฟังไม่ผิดนะ นั่งไกล

    แล้วต่อไปก็มีการวางเงื่อนไขอีกว่า การวางศิลาฤกษ์วันนี้ ต้องไม่ใช่มหาวีระวาง ขอให้ท่านเจ้าคุณใหญ่เป็นคนวางศิลาฤกษ์ ตอนนี้รู้สึกว่าคณะของท่านเจ้าภาพ จะหน้าไม่ดี แต่ผมก็บอกไปว่า การวางศิลาฤกษ์ไม่สำคัญ มาวันนี้ ท่านเจ้าภาพนิมนต์มา แต่ถ้าว่า ถ้าไม่ให้วางก็ไม่เป็นไรหรอก ผมก็ไม่อยากวาง ไอ้วางศิลาฤกษ์ เอาหินไปวาง ๆ ผมไม่เห็นมันมีประโยชน์ ไม่เห็นมันมีอะไร

    แต่ขณะนั้น คนที่ฟัง ๆ กัน เขารู้สึกว่า เขาสงสารผม แต่ผมไม่เคยสงสารตัวผมเองเลย เพราะว่าไอ้เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ผมโดนมาหนักกว่านั้น แต่เป็นที่น่าแปลกใจว่า

    ท่านเจริญพระกรรมฐานกันยังไงทำไมถึงแบกกิเลสต้องการลาภต้องการยศกัน

    นี่ผมนั่งปลงธรรมสังเวชของผมคนเดียว แต่ว่าคนอื่นนั่นน่ะเขาสงสารผม เขาคงจะสงสารในฐานะที่ผมนี่ถูกนิมนต์ไปให้วางศิลาฤกษ์ แต่ว่าทางวัดนั้น ไม่ต้องการให้ผมวางศิลาฤกษ์ ไอ้คนอื่นเขาสงสารผม ผมกลับไปสงสารพระที่วัดนั้น และท่านเจ้าคุณวัด.. เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ เพราะว่าท่านในฐานะเป็นผู้ใหญ่ท่านคงจะอายมาก

    แล้วผมก็ไปสงสารเจ้าภาพว่า เจ้าภาพทุ่มเทเนื้อที่ไป ผมเข้าใจว่าถึงร้อยไร่น่ะครับ ผมจำไม่ได้ เนื้อที่มากจริง ๆ แล้วก็ทุ่มเทงานก่อสร้างเข้าไปเป็นล้านแล้ว แต่ทว่าพระที่ให้ไปอยู่ที่นั่น กลับเป็นฝ่ายยื่นโนติ๊ส จะเอาอย่างนั้น จะเอาอย่างนี้ พอท่านบอกว่าต้องยอมให้องค์นั้นเป็นเจ้าอาวาส และต้องยอมให้องค์นี้เป็นรองเจ้าอาวาส อันนี้ผมอายชาวบ้านเขาเกือบตาย เพราะว่าชาวบ้านที่นั่งอยู่ที่นั้นนับร้อย

    ผมรู้สึกอายจริง ๆ ขอรับ ไม่ได้อายชาวบ้านเขาในฐานะที่ผมไม่ได้วางศิลาฤกษ์ อันนี้ไม่เกี่ยว ผมไม่มีความรู้สึก อายเขา ไม่คิดเลยว่าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาจะเป็นอย่างนั้น และก็อายแทนท่านเจ้าคุณใหญ่วัดปากน้ำภาษีเจริญ ที่ลูกศิษย์ของท่าน สามารถยื่นโนติ๊สกับท่านแบบนั้น และก็อายแทนท่านเจ้าภาพผู้บริจาคทรัพย์ ว่าท่านบริจาคทรัพย์เนื้อที่มาก ราคานับล้าน และก็บริจาคทรัพย์ในการก่อสร้างไปแล้วนับล้าน กำลังจะสร้างพระอุโบสถอีกราคานับล้าน นายช่างก็วางผังแล้ว กำลังจะตอกเข็ม มาเกิดยุ่งกันตอนนี้ แม้แต่ข้าวพวกเราก็เกือบจะไม่มีกินกัน นี่สมมติว่าเป็นกำลังใจของท่าน ถ้าไปโดนเข้าแบบนี้ ท่านจะนึกโกรธใครสักคนมั๊ย

    นี่เอาเรื่องจริง ๆ กันมาพูดนะ ท่านทั้งหลายที่กำลังศึกษาอยู่เวลานี้ก็เหมือนกัน ต้องเตรียมตัวเตรียมใจในอาการอย่างนี้ไว้ด้วย ว่าการที่เราถูกเชิญไปในที่ต่าง ๆ นี่เราต้องระมัดระวังไว้ ว่าดีไม่ดี งานที่เขามอบหมายให้เราน่ะ มันอาจจะกลายเป็นประเภทผม แต่ผมโดนมาซะเยอะ มันช่ำ โดนมาจนหนังชา ชาจนถึงที่สุด จนเวลานี่ไม่ชาแล้ว มันหมดความรู้สึก เมื่ออาการอย่างนี้ปรากฏ ผมก็สงสาร แทนที่ผมจะอาย แต่ผมไม่อายใครเลย ท่านรู้สึกมั๊ยว่า ผมหน้าด้านมาก
    ใจของผมเวลานั้น มันสบาย ๆ ชอบกล ไม่มีความรู้สึกอะไร แต่กลับไปสงสารคนอื่น คนอื่นเขาสงสารผม คงจะสงสารในฐานะที่เสียหน้าที่เขาไม่ยอมให้วางศิลาฤกษ์ แต่ท่านเจ้าภาพก็พยายาม กระทั่งสุดท้ายก็ให้เอา ไปพรมน้ำมนต์แล้วก็โปรยข้าวตอก ดอกไม้ ผมสงสารท่านเจ้าภาพ แล้วก็ไปสงสารพระชุดนั้น สงสารท่านเจ้าคุณใหญ่วัดปากน้ำภาษีเจริญ มามองดูหน้าท่านแล้ว รู้สึกว่าท่านสลดมาก เพราะท่านเป็นผู้ใหญ่ ท่านคาดไม่ถึง ว่าลูกศิษย์ของท่านจะทำอย่างนั้น ผมคิดว่าอย่างนั้นนะ แต่ว่าท่านจะมีความรู้สึกอย่างผมหรือไม่นี่ผมไม่ทราบ นี่ผมคิดเอาเอง

    แล้วผลงานต่อไป ที่มันจะพึงเกิดขึ้นกับพระประเภทนั้น นั่นก็คือ เจ้าภาพจะทำการสร้างโบสถ์ราคาเป็นล้าน ช่างก็ไปแล้ว เข็มเขิมไปแล้วเสร็จ งานสร้างโบสถ์หลังนั้นถูกงด คือไม่มีการสร้างต่อไป เจ้าภาพท่านตัดสินใจว่า ส่วนใดที่เสีย เสียแล้วเสียไป แต่ของใหม่ไม่ให้ ก็คือบอกเลิกการก่อสร้างพระอุโบสถกับช่างแล้วในการต่อมาทราบว่าเงินมูลนิธิสิบล้าน ที่ท่านจะให้ ท่านก็ถอดใจไม่ยอมให้เสียเลย เอาเงินจำนวนนี้ไปก่อสร้างถาวรวัตถุใหม่ที่อื่น คือ เป็นศาลาการเปรียญที่วัดปากน้ำภาษีเจริญ กับวัดอะไรอีกวัดหนึ่ง ที่เจ้าคุณวิเชียรไปเป็นเจ้าอาวาส เป็นอันว่าพระคณะนั้นที่มีความมุ่งมาด อยากจะได้ทรัพย์สินประมาณสักสิบล้านบาทมูลนิธิ ก็ไม่ได้

    แต่ก่อนที่ไม่ได้นั่นน่ะ มันมีอย่างนี้อีก คือท่านเจ้าภาพมาบอกให้ผมฟัง บอกว่า พระวัดนั้นนั่นแหละ ที่เป็นวัดของท่านสร้างให้ เมื่อท่านถอน อ้า เมื่อท่าน เรียกว่า ในระยะแรกที่เป็นการตกลงว่าใครต้องเป็นเจ้าอาวาสกันมาแล้ว หลังจากนั้นงานเสร็จผ่านไป ก็มาขออนุญาต เงินที่เขาฝากไว้ที่ธนาคารใด ธนาคารหนึ่ง จะขอย้ายจากธนาคารนี้ไปธนาคารโน้น อันนี้ผมก็ไม่เข้าใจ ว่า ทำไมจะต้องการแบบนั้น มาทราบจากเจ้าหน้าที่ธนาคารคนหนึ่งบอกว่า ถ้าย้ายเงินจากธนาคารนี้ไปธนาคารโน้น มันได้อะไรค่าคอมมิชชั่น ค่ารางวัลอะไรก็ไม่ทราบ ได้เงินเป็นกรณีพิเศษ ก็อย่างนั้น ผมก็ไม่รู้

    เป็นอันว่าเงินสิบล้าน ท่านเจ้าภาพก็ไม่ให้ ในการก่อสร้างต่อไปท่านเจ้าภาพท่านก็ไม่สร้าง แล้วเจ้าภาพก็ตัดญาติขาดมิตร กับพระคณะนั้นทั้งหมด ส่วนที่เสียไปแล้วกี่ล้าน บอกให้ผ่านไป แต่เรื่องใหม่ไม่มี นี่ไอ้เรื่องอย่างนี้นี่เราพูดกันถึงเรื่องของโทสะ ผมคิดว่าถ้าท่านทั้งหลายไปโดนเข้าแบบผม ดีไม่ดีท่านจะมานึกคิดว่า ที่เขานิมนต์เรามานี่งานวางศิลาฤกษ์ ถ้าเรามาเราก็จะอาย และก็จะเสียกำลังใจ ดีไม่ดี จะไปโกรธเขา

    ถ้าหากอาการอย่างนั้นปรากฏล่ะก็ ทำใจให้สบาย แล้วก็จงเตรียมตัวเตรียมใจไว้ตั้งแต่เวลานี้เป็นต้นไป ว่าอาการอย่างที่ผมพูดมานี่ แล้วก็อาการอีกตั้งหลายอย่าง ท่านทั้งหลายที่ยังมีชีวิตจะต้องผ่านไปอีกมาก จะต้องประสพพบเห็น และอาจจะได้กะตัวเองของท่าน ถ้าอาการอย่างนั้นปรากฏ ถ้ามีใครเขามานิมนต์ไปก็ดี เชิญไปในกิจการงานอย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี ขอให้ไปตามหน้าที่ของพระ ทำใจให้สบาย ๆ คิดว่างานนี้เขาให้เราทำ เราก็ทำ ถ้าไปแล้วเขาไม่ให้เราทำ เราก็ไม่ทำ อย่าทำกำลังใจให้มันเสีย อย่าไปโกรธคนนั้น อย่าไปคิดว่าคนนี้ ถ้าไป…….(ชมคลิปเต็มๆ)

    หลวงพ่อฤาษีลิงดำพูดถึง ธัมมชโย วัดพระธรรมกาย
    https://www.youtube.com/watch?v=qUoaedKBVaQ
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ธัมมะสังคิณีมาติกา
    -http://www.dhammajak.net/suadmon1/105.html-

    .กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา ฯ
    ..........สุ ขายะ เวทะนายะ สัมปะยุตตา ธัมมา ทุกขายะ เวทะนายะ
    สัมปะยุตตา ธัมมา อะทุกขะมะสุ ขายะ เวทะนายะ สัมปะยุ ตตา
    ธัมมา ฯ
    ..........วิปากา ธัมมา วิปากะธัมมะธั มมา เนวะวิปากะนะวิปากะ-
    ธัมมะธัมมา ฯ
    ..........อุปาทินนุปาทานิยา ธัมมา อะนุปาทินนุ ปาทานิ ยา ธั มมา
    อะนุปาทินนานุปาทานิยา ธัมมา ฯ
    ..........สังกิลิฏฐะสังกิเลสิกา ธัมมา อะสังกิลิฏฐะสั งกิเลสิกา ธัมมา
    อะสังกิลิฏฐาสังกิเลสิกา ธัมมา ฯ
    ..........สะวิตั กกะสะวิจารา ธัมมา อะวิตักกะวิจาระมัตตา ธั มมา
    อะวิตักกาวิจารา ธัมมา ฯ
    ..........ปีติ สะหะคะตา ธั มมา สุขะสะหะคะตา ธั มมา อุ เปกขา-
    สะหะคะตา ธัมมา ฯ
    ......ทัสสะเนนะ ปะหาตั พพา ธั มมา ภาวะนายะ ปะหาตัพพา
    ธัมมา เนวะทัสสะเนนะ นะภาวะนายะ ปะหาตัพพา ธัมมา ฯ
    ..........ทัสสะเนนะ ปะหาตั พพะเหตุกา ธัมมา ภาวะนายะ-
    ปะหาตัพพะเหตุ กา ธัมมา เนวะทัสสะเนนะ นะภาวะนายะ-
    ปะหาตัพพะเหตุกา ธัมมา ฯ
    ..........อาจะยะคามิโน ธัมมา อะปะจะยะคามิโน ธัมมา
    เนวาจะยะคามิโน นาปะจะยะคามิโน ธัมมา ฯ
    ..........เสกขา ธัมมา อะเสกขา ธัมมา เนวะเสกขานาเสกขา ธัมมา ฯ
    ..........ปะริตตา ธัมมา มะหัคคะตา ธัมมา อัปปะมาณา ธัมมา ฯ
    ..........ปะริ ตตารัมมะณา ธัมมา มะหั คคะตารัมมะณา ธัมมา
    อัปปะมาณารัมมะณา ธัมมา ฯ
    ..........หีนา ธัมมา มัชฌิมา ธัมมา ปะณีตา ธัมมา ฯ
    ..........มิจฉัตตะนิยะตา ธัมมา สัมมัตตะนิยะตา ธัมมา อะนิยะตา
    ธัมมา ฯ
    ..........มัคคารั มมะณา ธัมมา มัคคะเหตุกา ธัมมา มัคคาธิปะติ โน
    ธัมมา ฯ
    ..........อุปปันนา ธัมมา อะนุปปันนา ธัมมา อุปปาทิโน ธัมมา ฯ
    ..........อะตีตา ธัมมา อะนาคะตา ธัมมา ปัจจุปปันนา ธัมมา ฯ
    ..........อะตี ตารัมมะณา ธัมมา อะนาคะตา รั มมะณา ธัมมา
    ปัจจุปปันนารัมมะณา ธัมมา ฯ
    ..........อัชฌัตตา ธัมมา พะหิทธา ธัมมา อัชฌัตตะพะหิทธา ธัมมา ฯ
    ..........อัชฌัตตารั มมะณา ธั มมา พะหิทธารัมมะณา ธัมมา
    อัชฌัตตะพะหิทธารัมมะณา ธัมมา ฯ
    ..........สะนิทัสสะนะสัปปะฏิฆา ธัมมา อะนิทั สสะนะสัปปะฏิฆา
    ธัมมา อะนิทัสสะนาปปะฏิฆา ธัมมา ฯ.


    ---------------------------------------------------------

    บทสวดพระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ในงานศพ รู้มั๊ย ! ที่พระท่านสวด หมายความว่าอย่างไรบ้าง ?..... อ่านต่อได้ที่: -https://www.gotoknow.org/posts/401921-

    พระอภิธรรมปิฎกมีอยู่ ทั้ง สิ้น ๔๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ แบ่งออกเป็น ๗ คัมภีร์ เรียกโดยย่อว่า สัง วิ ธา ปุ กะ ยะ ปะ (หัวใจพระอภิธรรม) ได้แก่

    ๑. คัมภีร์ธัมมสังคณี ว่าด้วยธรรมะที่ประมวลไว้ เป็น หมวดเป็นกลุ่ม เรียกว่า กัณฑ์ มี ๔ กัณฑ์ คือ

    ๑) จิตตวิภัตติิกัณฑ์ แสดงการจำแนกจิตและเจตสิก เป็น ต้น

    ๒) รูปวิภัตติกัณฑ์ แสดงการจำแนกรูปเป็นต้น

    ๓) นิกเขปราสิกัณฑ์ แสดงธรรมที่เป็นแม่บท (มาติกา) ของปรมัตถธรรม

    ๔) อัตถุทธารกัณฑ์ แสดงการจำแนกเนื้อความตาม แม่ บท ของปรมัตถธรรม

    ๒. คัมภีร์วิภังค์ แสดงการจำแนกปรมัตถธรรมออกเป็น ข้อ ๆ แบ่งออกเป็น ๑๘ วิภังค์ เช่น จำแนกขันธ์ (หมายถึง ขันธ์ ๕ อันประกอบด้วย รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ รูปขันธ์ ก็คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ เป็นเจตสิก ส่วนวิญญาณขันธ์ ก็คือ จิต ดังนั้น ขันธ์ ๕ ก็คือ จิต เจตสิก รูป นั่นเอง) เรียกว่า ขันธวิภังค์

    ๓. ธาตุกถา แสดงการจัดหมวดหมู่ของปรมัตถธรรมโดยสงเคราะห์ด้วย ธาตุ (ธรรมชาติที่ ทรงไว้ซึ่งสภาพของตน)

    ๔. คัมภีร์ปุคคลบัญญัติ ว่าด้วยบัญญัติ ๖ ประการและแสดงรายละเอียดเฉพาะบัญญัติอัน เกี่ยวกับบุคคล

    ๕. คัมภีร์กถาวัตถุ ว่าด้วยคำถามคำตอบประมาณ ๒๑๙ หัวข้อ อันถือเป็นหลักในการตัดสินพระธรรมวินัย

    ๖. คัมภีร์ยมก ในคัมภีร์นี้จะยกหัวข้อปรมัตถธรรมขึ้นวินิจฉัยด้วยวิธีถามตอบ โดยตั้งคำถามย้อนกันเป็นคู่ ๆ

    ๗. คัมภีร์มหาปัฏฐาน แสดงเหตุปัจจัยและแสดงความ สัมพันธ์ อันเป็นเหตุ เป็นผลที่อิงอาศัยซึ่งกันและกันแห่งปรมัตถธรรมทั้งปวงโดยพิสดาร

    สรุปแล้ว พระอภิธรรมก็คือ ธรรมะหมวดที่ ๓ ในพระไตรปิฎกที่สอนให้รู้จักธรรมชาติอัน แท้จริงที่มีอยู่ในตัวเราและสัตว์ทั้งหลายอันได้แก่จิต เจตสิก รูป และรู้จักพระนิพพานซึ่งเป็นจุดหมาย อันสูงสุดในพระพุทธศาสนา

    ธรรมชาติ ทั้ง ๔ คือ จิต เจตสิก รูป นิพพานนี้รวมเรียกว่า ปรมัตถธรรม หากแปลตามศัพท์ คำว่า อภิธัมม หรือ อภิธรรม แปลว่า ธรรมอันประเสริฐ ธรรมอันยิ่ง ธรรมที่อยู่แท้จริงปราศจากสมมุติ เนื้อความในพระอภิธรรมเกือบทั้งหมด จะกล่าวถึงปรมัตถธรรมล้วน ๆ โดยไม่มี บัญญัติธรรม (สมมุติโวหาร) เข้ามาเกี่ยวข้อง

    บทที่ ๑ พระสังคิณี

    กุ สะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพยากะตา ธัมมา, กะตะเม ธัมมา กุสะลา, ยัสมิง สะมะเย กามาวะจะรัง กุสะลัง จิตตัง อุปปันนัง โหติ โสมะนัสสะสะหะคะตัง ญาณะสัมปะยุตตัง รูปารัมมะณัง วา สัททารัมมะณัง วา คัณธารัมมะณัง วา ระสารัมมะนัง วา... โผฏฐัพพา รัมมะณังวา ธัมมา รัมมะณัง วา ยัง ยัง วา ปะนะรัพภะ ตัสมิงสะมะเย ผัสโส โหติ อะวิเข โป โหติ เย วา ปะนะ ตัสมัง สะมะเย อัญเญปิ อัตถิ ปฏิจจะสะมุปปันนา อรูปิโน ธัมมา อิเม ธัมมา กุสะลา.

    พระสังคิณี (แปล)

    ธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล ธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศล ธรรมทั้งหลายที่เป็นอัพยากฤต ธรรมเหล่าไหนเป็นกุศล ในสมัยใด กามาวจรกุศลจิตที่สหรคตด้วยโสมนัส สัมปยุคด้วยญาณเกิดขึ้น ปรารภอารมณ์ใดๆ จะเป็นรุปารมณ์ก็ดี สัททารมณ์ก็ดี คันธารมณ์ก็ดี รสารมณ์ก็ดี โผฏฐัพพารมณ์ก็ดี ธรรมารมณ์ก็ดี ในสมัยนั้น ผัสสะ ความฟุ้งซ้านย่อมมี อีกอย่างหนึ่งในสมัยนั้น ธรรมเหล่าใดแม้อื่น มีอยู่ เป็นธรรมที่ไม่มีรูป อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล.

    บทที่ ๒ พระวิภังค์

    ปัญจักขันธา รูปักขันโธ เวทะนากขันโธ สัญญากขันโธ สังขารักขันโธ วิญญาณักขักขันโธ, ตัตถะ กะตะโม รูปักขันโธ, ยังกิญจิ รูปัง อะตีตานาคะ ตะปัจจุปปันนัง อัชฌัตตัง วา พะหิตธา วา โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา ทีนัง วา ปะณีตัง วา ยัง ทูเร... วา สันติเก วา ตะเทกัชฌัง อภิสัญญูหิตวา อภิสังขิปิตวา อะยัง วุจจะติ รูปักขันโธ.

    พระวิภังค์ (แปล)

    ขันธ์ ๕ คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ บรรดาขันธ์ทั้งหมด รูปขันธ์เป็นอย่างไร รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุปัน ภายในก็ตาม หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม เลวก็ตาม ประณีตก็ตาม อยู่ไกลก็ตาม อยู่ใกล้ก็ตาม นั้นกล่าวรวมกันเรียกว่ารูปขันธ์

    บทที่ ๓ พระธาตุกะถา

    สังคะโห อะสังคะโห, สังคะหิเตนะ อะสังคะหิตัง อะสังคะหิเตนะ สังคะหิตัง สังคะหิเตนะ สังคะหิตัง อะสังคะหิเตนะ อะสังคะหิตัง สัมปะโยโค วิปปะโยโค, สัมปะยุตเตนะ วิปปะยุตตัง วิปปะยุตเตนะ สัมปะยุตตัง อะสังคะหิตัง.

    พระธาตุกะถา (แปล)

    การสงเคราะห์ การไม่สงเคราะห์ คือ สิ่งที่ไม่ให้สงเคราะห์เข้ากับสิ่งที่สงเคราะห์ไม่ได้ สิ่งที่สงเคราะห์เข้ากับสิ่งที่สงเคราะห์ได้ สิ่งที่ไม่สงเคราะห์เข้ากับสิ่งที่สงเคราะห์ไม่ได้ การอยู่ ด้วย กัน การพลัดพรากคือ การพลัดพรากจากสิ่งที่อยู่ ด้วย กัน การอยู่ร่วมกับสิ่งที่พลัดพรากไปจัดเป็นสิ่งที่สงเคราะห์ ไม่ได้.

    บทที่ ๔ พระปุคคะละปัญญัตติ

    ฉะ ปัญญัตติโย ขันธะปัญญัติ อายะตะนะปัญญัตติ ธาตุปัญญัตติ สัจจะปัญญัตติ อินทริยะปัญญัตติ ปุคคะละปัญญัตติ, กิตตาวะตา ปุคคะลานัง ปุคคะละปัญญัตติ, สะมะยะวิมุตโต อะสะมะยะวิมุตโต กุปปะธัมโม อะกุปปะธัมโม ปะริหานะธัมโม อะป...ะริ หานะธัมโม เจตะนา ภัพโพ อนุรักขะนาภัพโพ ปุถุชชะโน โคตระภู ภะยูปะระโต อะภะยูปะระโต ภัพพาคะมะโน อะภัพพาคะมะโน นิยะโต อะนิยะโต ปฏิปันนะโก ผะเลฏฐิโต อะระหา อะระหัตตายะ ปฏิปันโน.

    พระปุคคะละปัญญัตติ (แปล)

    บัญญัติ ๖ คือ ขันธบัญญัติ อายตนบัญญัติ ธาตุบัญญัติ สัจจบัญญัติ อินทรีย์บัญญัติ บุคคลบัญญัติ บุคคลบัญญัติของบุคคลมีเท่าไร มีการพ้นจากสิ่งที่ควรรู้ การพ้นจากสิ่งที่ไม่ควรรู้ ผู้มีธรรมที่กำเริบได้ ผู้มีธรรมที่กำเริบไม่ได้ ผู้มีธรรมที่เสื่อมได้ ผู้มีธรรมที่เสื่อมไม่ได้ ผู้มีธรรมที่ควรแก่เจตนา ผู้มีธรรมที่ควรแก่การรักษา ผู้ที่เป็นปุถุชน ผู้รู้ตระกูลโคตร ผู้เข้าถึงภัย ผู้เข้าถึงอภัย ผู้ไม่ถึงสิ่งที่ควร ผู้ไม่ถึงสิ่งที่ไม่ควร ผู้เที่ยง ผู้ไม่เที่ยง ผู้ปฏิบัติ ผู้ตั้งอยู่ในผล ผู้เป็นพระอรหันต์ ผู้ปฏิบัติเพื่อพระอรหันต์.

    บทที่ ๕ พระกถาวัตถุ

    ปุคคะโล อุปะลัพภะติ สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ อามันตา, โย สัจฉิกัตโถ ปะระมัตโถ ตะโต โส ปุคคะโล อุปะลัพภะติ สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ, นะ เหวัง วัตตัพเพ, อาชานาหิ นิคคะหัง หัญจิ ปุคคะโล อุปะลัพภะติ สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนะ เตนะ ว...ะตะ เร วัตตัพเพ โย สัจฉิกัตโถ ปะระมัตโถ ตะโต โส ปุคคะโล อุปะลัพภะติ สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ, มิจฉา.

    พระกถาวัตถุ (แปล)

    (ถาม) ค้นหาบุคคลไม่ได้โดยปรมัตถ์ คือ ความหมายที่แท้จริงหรือ

    (ตอบ) ใช่... ค้นหาบุคคลไม่ได้โดยปรมัตถ์ คือ โดยความหมายที่แท้จริง

    (ถาม) ปรมัตถ์ คือ ความหมายอันแท้จริงอันใดมีอยู่ ค้นหาบุคคลนั้นไม่ได้โดยปรมัตถ์ คือโดยความหมายอันแท้จริงอันนั้นหรือ

    (ตอบ) ท่านไม่ควรกล่าวอย่างนี้ ท่านจงรู้นิคคะหะเถิด ว่าท่านค้นหาบุคคลไม่ได้โดยปรมัตถ์ คือ โดยความหมายอันแท้จริงแล้ว ท่านก็ควรกล่าวด้วยเหตุนั้นว่า ปรมัตถ์คือความหมายอันแท้จริงอันใดมีอยู่ เราค้นหาบุคคลนั้นไม่ได้โดยปรมัตถ์ คือโดยความหมายอันแท้จริงนั้น คำตอบของท่านที่ว่า ปรมัตถ์คือความหมายอันแท้จริงอันใดมีอยู่ เราค้นหาบุคคลนั้นไม่ได้โดยปรมัตถ์คือ โดยความหมายอันแท้จริงนั้นจึงผิด.

    บทที่ ๖ พระยะมะกะ

    เย เกจิ กุสะลา ธัมมา สัพเพ เต กุสะลามูลา, เย วา ปะนะ กุสะละมูลา สัพเพ เต ธัมมา กุสะลา, เย เกจิ กุสะลา ธัมมา สัพเพ เต กุสะละมูเลนะ เอกะมูลา, เย วา ปะนะ กุสะละมูเลนะ เอกะมูลา สัพเพ เต ธัมมา กุสะลา.

    พระยะมะกะ (แปล)

    ธรรมบางเหล่าเป็นกุศล ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดมีกุศลเป็นมูล อีกอย่าง ธรรมเหล่าใดมีกุศลเป็นมูล ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดก็เป็นกุศล ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดมีอันเดียวกับธรรมที่มีกุศลเป็นมูล อีกอย่างหนึ่ง ธรรมเหล่าใดมีมูลอันเดียวกับธรรมที่เป็นกุศล ธรรมเหล่านั้นทั้งหมดเป็นกุศล.

    บทที่ ๗ พระมหาปัฏฐาน

    เหตุปัจจะโย อารัมมะณะปัจจะโย อธิปะติปัจจะโย อนันตะระปัจจะโย สะมะนันตะระปัจจะโย สะหะชาตะปัจจะโย อัญญะมัญญะปัจจะโย นิสสะยะปัจจะโย อุปะนิสสะยะปัจจะโย ปุเรชาตะปัจจะโย ปัจฉาชาตะปัจจะโย อาเสวะนะปัจจะโย กัมมะปัจจะโย วิปากาปัจจะ...โย อาหาระปัจจะโย อินทริยะปัจจะโย ฌานะปัจจะโย มัคคะปัจจะโย สัมปะยุตตะปัจจะโย วิปปะยุตตะปัจจะโย อัตถิปัจจะโย นัตถิปัจจะโย วิคะตะปัจจะโย อะวิคะตะปัจจะโย.

    พระมหาปัฏฐาน (แปล)

    ธรรมที่มีเหตุเป็นปัจจัย ธรรมที่มีอารมณ์เป็นปัจจัย ธรรมที่มีอธิบดีเป็นปัจจัย ธรรมที่มีปัจจัยหาที่สุดมิได้ ธรรมที่มีปัจจัยมีที่สุดเสมอกัน ธรรมที่เกิดพร้อมกับปัจจัย ธรรมที่เป็นปัจจัยของกันและกัน ธรรมที่มีนิสัยเป็นปัจจัย ธรรมที่มีธรรมเกิดก่อน เป็น ปัจ จัย ธรรมที่มีธรรมเกิดภายหลัง เป็น ปัจ จัย ธรรมที่มีการเสพเป็นปัจจัย ธรรมที่มีกรรมเป็นปัจจัย ธรรมที่มีวิบากเป็นปัจจัย ธรรมที่มีอาหารเป็นปัจจัย ธรรมที่มีอินทรีย์เป็นปัจจัย ธรรมทีมีฌานเป็นปัจจัย ธรรมที่มีมรรคเป็นปัจจัย ธรรมที่มีการประกอบเป็นปัจจัย ธรรมที่มีการอยู่ไม่ปราศจากเป็นปัจจัย ธรรมที่มีปัจจัย ธรรมที่ไม่มีปัจจัย ธรรมที่มีการอยู่ปราศจากเป็นปัจจัย ธรรมที่ไม่มีการอยู่ปราศจากเป็นปัจจัย.

    ..... อ่านต่อได้ที่: -https://www.gotoknow.org/posts/401921-


    -----------------------------------------------------

    นานาสารธรรม : บังสุกุลตาย บังสุกุลเป็น เป็นแบบไหน?
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
    -http://www.manager.co.th/Dhamma/ViewNews.aspx?NewsID=9560000149650-
    4 ธันวาคม 2556 08:52 น.

    หนึ่งในพิธีกรรมงานอวมงคล หรืองานศพนั้น ก็คือ การบังสุกุล ซึ่งจะกระทำในช่วงพิธีเผาศพ โดยพระสงฆ์จะสวดมาติกา คือสวดพระบาลีเฉพาะหัวข้อธรรมในพระอภิธรรมปิฎก ซึ่งขึ้นต้นด้วยบทว่า “กุสลา ธัมมา อกุสลา ธัมมา...” ก่อน แล้วจึงประกอบพิธีบังสุกุล

    โดยเจ้าภาพจะลากสายโยง หรือภูษาโยง แล้วทอดผ้า พระภิกษุสงฆ์ก็ตั้งตาลปัตรพิจารณาผ้าบังสุกุล แล้วจับผ้าบังสุกุลด้วยมือขวา พร้อมกับกล่าวคำพิจารณาผ้า เมื่อกล่าวเสร็จจึงชักผ้ามา

    ดังนั้น จึงเรียกผ้าที่พระภิกษุชักจากศพว่า “ผ้าบังสุกุล” และเรียกกิริยาที่พระภิกษุทำพิธีชักผ้าจากศพ ด้วยการปลงกรรมฐานว่า “ชักบังสุกุล”

    • “บังสุกุล” ผ้าเปื้อนฝุ่น ไม่ใช่ “บังสกุล”

    ในพจนานุกรมเพื่อการศึกษาพุทธศาสตร์ ชุดคำวัด โดยพระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช) ได้อธิบายคำว่า “บังสุกุล” ไว้ว่า

    บังสุกุล แปลว่า ฝั่งแห่งฝุ่น, กองฝุ่น, คลุกฝุ่น, เปื้อนฝุ่น เป็นคำใช้เรียกผ้าที่ภิกษุชักจากศพ หรือผ้าที่ทอดไว้หน้าศพ หรือผ้าที่ทอดไว้บนด้ายสายสิญจน์ หรือผ้าภูษาโยงที่ต่อมาจากศพด้วยการพิจารณากรรมฐานว่า “ผ้าบังสุกุล” โดยเรียกกิริยาที่พระชักผ้าหรือพิจารณาผ้าเช่นนั้นว่า ชักผ้าบังสุกุล หรือ พิจารณาผ้าบังสุกุล

    ในสมัยพุทธกาล ภิกษุต้องแสวงหาผ้าที่เขาทิ้งแล้วจากกองขยะหรือจากป่าช้ามาทำจีวรใช้ ผ้าเหล่านั้นส่วนใหญ่จะเปื้อนฝุ่นหรือสกปรก จึงเรียกว่าผ้าบังสุกุล

    ปัจจุบันมักเขียนหรือพูดผิดเพี้ยนไปว่า “บังสกุล” ด้วยออกเสียงง่ายกว่า

    คำว่า “บังสุกุล” นั้น มาจากคำภาษาบาลีว่า ปํสุ (อ่านว่า ปัง-สุ) แปลว่า ฝุ่น และคำว่า กุล (อ่านว่า กุ-ละ) แปลว่า เปื้อน, คลุก สมาสคำทั้งสองเข้าด้วยบทวิเคราะห์เป็น ปํสุกุล (อ่านว่า ปัง-สุ-กุ-ละ) แปลว่า ผ้าที่เปื้อนฝุ่น

    เมื่อมาเป็นคำไทย เปลี่ยน “ปอ ปลา" เป็น “บอ ใบไม้” และปรับเสียงเป็นรูปแบบภาษาไทยที่มีตัวสะกด เป็น บังสุกุล อ่านว่า บัง-สุ-กุน ดังนั้น คำว่า “บังสุกุล” จึงต้องเขียนว่า “บังสุกุล” เท่านั้น ไม่สามารถเขียนเป็นอย่างอื่นได้ หากเขียนเป็น “บังสกุล” ถือเป็นคำที่เขียนผิด อันเกิดจากการเทียบเคียงผิดกับคำว่า “สกุล” ที่หมายถึง ตระกูลวงศ์

    • บังสุกุลครั้งพุทธกาล

    ในสมัยพุทธกาล พระพุทธเจ้าไม่อนุญาตให้พระภิกษุรับผ้านุ่งห่มจากฆราวาส แต่ให้เก็บผ้าบังสุกุลหรือผ้าที่ถูกทิ้งไว้ตามร้านตลาด หรือผ้าห่อศพ มาซักล้างให้สะอาด แล้วนำมาตัดเย็บเป็นผ้าผืนใดผืนหนึ่ง เช่น ผ้านุ่งหรืออันตรวาสกหรือผ้าสบง ผ้าห่มหรือผ้าจีวรหรือผ้าอุตตราสงค์ หรือผ้าห่มซ้อนหรือสังฆาฏิ

    มีเรื่องเล่าในพระไตรปิฎกว่า สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าได้เสด็จไปพักในโรงบูชาไฟของอุรุเวลกัสสป ณ ตำบลอุรุเวลา ทรงมีพระประสงค์จะนำผ้าขาวที่ห่อศพ มาซักย้อมทำเป็นผ้าสังฆาฏิ พระพุทธองค์จึงเสด็จไปพิจารณาปฏิกูลสัญญา แล้วทรงชักผ้าบังสุกุลนั้นมา

    เมื่อพระองค์ได้ผ้ามาแล้ว ก็ทรงดำริว่าจะซักผ้าบังสุกุลที่ไหน ท้าวสักกเทวราชหรือพระอินทร์ ผู้เป็นใหญ่แห่งสวรรค์ ทรงทราบพระดำรินั้น จึงได้ขุดสระโบกขรณีด้วยพระหัตถ์ของตนเอง เพื่อให้พระพุทธองค์ทรงซักผ้าในสระนี้

    จากนั้นเมื่อทรงดำริต่อไปว่า จะขยำผ้านี้ที่ไหนดี ท้าวสักกะจึงได้ยกศิลาแผ่นใหญ่มาให้ เพื่อให้ทรงขยำผ้าบนศิลานี้ หลังจากซักแล้วพระพุทธองค์ก็ทรงดำริต่อ ว่าจะพาดผ้าไว้ในที่ใดหนอ เมื่อเทพยดาที่สิงสถิตอยู่ที่ต้นกุ่มบกรับรู้พระดำรินั้น จึงน้อมกิ่งของกุ่มบกลงมา เพื่อให้พระพุทธองค์พาดผ้า

    เมื่อชฎิลอุรุเวลกัสสปได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และเห็นสระน้ำ รวมทั้งแผ่นศิลาใหญ่ และกิ่งต้นกุ่มบกที่โน้มลงมา ก็เกิดความสงสัย เพราะที่นี่ไม่เคยมีสิ่งเหล่านี้มาก่อน สมเด็จพระบรมศาสดาจึงตรัสเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง

    ชฎิลอุรุเวลกัสสปได้ฟังแล้ว จึงคิดว่า พระพุทธองค์ทรงมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากแท้ ถึงขนาดที่ท้าวสักกะจอมเทพได้ลงมาทำการช่วยเหลือด้วยตนเอง

    จากพุทธประวัติสำคัญในตอนนี้ จึงได้มีผู้สร้างพระพุทธรูปปางปลงกัมมัฏฐาน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าปางชักผ้าบังสุกุล เป็นพระพุทธรูปอยู่ในพระอิริยาบถยืน พระหัตถ์ซ้ายทรงธารพระกร(ไม้เท้า) ยื่นพระหัตถ์ขวาออกไปข้างหน้า ทอดพระเนตรลง เบื้องต่ำ เป็นกิริยาชักผ้าบังสุกุล

    อนึ่ง สมเด็จพระบรมศาสดาไม่เคยประทานจีวรที่ทรงห่มแล้วแก่พระสาวกรูปใดเลย แต่ภายหลังได้ประทานบังสุกุลจีวรผืนนี้ที่ทรงครองมาตลอดแก่พระมหากัสสปะ เพราะท่านได้บำเพ็ญธุดงค์ในการถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร เรียกว่า ปังสุกูลิกังคะ

    พระมหากัสสปะรู้สึกซาบซึ้งในพระกรุณาคุณและพระเมตตาคุณ จึงได้สมาทานธุดงค์คุณ 13 ข้อจนตลอดชีวิต ซึ่งต่อมาพระพุทธเจ้าได้แต่งตั้งท่านให้เป็นเอตทัคคะด้านถือธุดงค์

    สมัยต่อมาจึงมีพระพุทธานุญาตให้พระสงฆ์รับผ้าจากฆราวาสได้ เพื่อเจริญศรัทธาของอุบาสกอุบาสิกาผู้เลื่อมใส และบรรเทาความยากลำบากของพระภิกษุสงฆ์ในการแสวงหาผ้าอีกทางหนึ่งด้วย

    • “บังสุกุลเป็น” เป็นแบบไหน

    ในพจนานุกรม ชุดคำวัด อธิบายว่า “บังสุกุลเป็น” เป็นคำเรียกวิธีบังสุกุลคนที่ยังไม่ตาย

    บังสุกุลเป็น เช่นคนป่วยหนัก คนที่มีเคราะห์ เป็นการเอาเคล็ด วิธีทำก็คือ ให้คนที่จะทำพิธีนอนหงายประนมมือเหมือนคนตาย แล้วใช้ผ้าขาวคลุมร่างผู้นั้นให้มิดทั้งตัว พระสงฆ์ที่มาทำพิธีจับชายผ้าหรือด้ายสายสิญจน์ที่ผูกมาจากชายผ้า แล้วกล่าวคำสำหรับบังสุกุลคนตาย ที่ขึ้นต้นว่า “อนิจจา วะตะ สังขารา..”

    จบแล้วให้ผู้นั้นนอนหันศีรษะไปทิศตรงข้ามกับครั้งแรก คลุมด้วยผ้าขาวเหมือนเดิม พระสงฆ์บังสุกุลอีกครั้ง โดยกล่าวคำสำหรับบังสุกุลคนเป็นที่ขึ้นต้นว่า “อะจิรัง วะตะยัง กาโย..” เป็นการถือเคล็ดว่า กลับฟื้นขึ้นมาใหม่แล้ว

    บังสุกุลเป็น นิยมทำกันทั่วไป ด้วยเชื่อว่าเป็นการต่ออายุ โดยเฉพาะคนที่ป่วยหนัก หรือทำกันในงานวันเกิดแม้จะไม่เจ็บป่วยก็ตาม

    • บทสวดบังสุกุลตาย (พร้อมคำแปล)

    อะนิจจา วะตะ สังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอ
    อุปปาทะวะยะธัมมิโน มีความเกิดขึ้นและมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา
    อุปปัชชิตฺวา นิรุชฌันติ เกิดขึ้นแล้วย่อมดับไป
    เตสัง วูปะสะโม สุโขฯ ความเข้าไปสงบแห่งสังขารเหล่านั้นได้ ย่อมนํามาซึ่งความสุข
    สัพเพ สัตตา มะรัน ติจะ สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ที่ตายไปแล้วก็ดี
    มะริงสุ จะ มะริสสะเร ที่กําลังตายอยู่เดี๋ยวนี้ก็ดี ที่จะตายต่อไปอีกก็ดี
    ตะเถวาหัง มะริสสามิ แม้ตัวของเราก็จะตายอย่างนั้นเหมือนกันนั่นแล
    นัตถิ เม เอตถะสังสะโยฯ ความสงสัยในเรื่องความตายนี้ย่อมไม่มีแก่เราเลย

    • บทสวดบังสุกุลเป็น (พร้อมคำแปล)

    อะจิรัง วะตะยัง กาโย ร่างกายของเรานี้คงไม่นานหนอ
    ปะฐะวิง อะธิเสสสะติ จะต้องลงไปทับถมซึ่งแผ่นดิน
    ฉุฑโฑ อะเปตะวิญญาโน เมื่อวิญญาณได้ปราศจากตัวเราทิ้งไปเสียแล้ว
    นิรัตถังวะ กะลิงคะลังฯ เปรียบเหมือนท่อนไม้ท่อนฟืน หาประโยชน์มิได้ดังนี้แล

    (จาก นิตยสารธรรมลีลา ฉบับที่ 156 ธันวาคม 2556 โดย กองบรรณาธิการ)
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ย้อนไปดู 10 ไฟต์ สุดคลาสสิคของ "มูฮัมหมัด อาลี"
    -http://sport.sanook.com/243557-

    ร่วมไว้อาลัย มูฮัมหมัด อาลี ตำนานนักชกผู้ยิ่งใหญ่ เจ้าของแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวต 3 สมัย ที่จากโลกไปด้วยวัย 74 ปี กับคลิป 10 ไฟต์ สุดคลาสสิคของชายผู้เป็นตำนาน

    สถิติการชกของ มูฮัมหมัด อาลี
    ชก 61 ไฟต์
    ชนะ 56 ไฟต์ (ชนะน็อค 37 ไฟตื)
    แพ้ 5 ไฟต์

    -https://www.youtube.com/watch?v=C_fEIVwjrew-
    ขอบคุณคลิปจาก : ElTerribleProduction
    https://www.youtube.com/watch?v=C_fEIVwjrew
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พ่อแม่ครูอาจารย์ที่ยึดหลักพระวินัยไม่ได้ยืดนิกาย ไม่ได้ยืดฐาบรรดาศักดิ์ที่ส่วนมากๆ หลงนัก หลงหนา หลวงตาเคยเทศนาว่า“แค่หัวโขน หรือ ไก่มีงอน เท่านั้น “ ตามวินัย ต้องเอาอาวุโส ภันเต เป็นหลัก เท่านั้น ดูพ่อแม่ครูอาจารย์ ท่านทำน่ากราบนมัสการยิ่งนัก พระครู บ้านนอก แต่พรรษามากกว่า(หลวงปู่บัว ถามโก วัดศรีบูรพาราม(วัดเกาะตะเคียน)ต วังกะแจะ อ เมือง จ ตราด นั่งบนเก้าอี้ ส่วนองค์นั่งกับพืันคือ พระสมเด็จพระวันรัต วัดบวรนิเวศราชวิหาร กรุงเทพ เห็นแล้ว น่ากราบนมัสการ ยิ่งนัก เป็นแบบอย่างให้ดูและต้องปฏิบัติตาม เป็นบุญตา บุญใจ สาธุๆๆ

    โพสโดย Jandasaro Joi
    -https://www.facebook.com/DebJoi-
    ได้แชร์โพสต์ของเขาลงในกลุ่ม: ธรรมะพระป่ากรรมฐาน สายหลวงปู่มั่น
    -https://www.facebook.com/groups/344843882326904/-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • bj 01.png
      bj 01.png
      ขนาดไฟล์:
      491.8 KB
      เปิดดู:
      83
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    Pakapol Pongsura‎
    ถึง ธรรมะพระอริยเจ้า สายอีสาน
    -https://www.facebook.com/photo.php?fbid=1070184456387374&set=gm.692033990959131&type=3&theater-

    ถ้ามันไม่สงบนั้น ..ไม่ต้องน้อยใจ

    มันเป็นเรื่องธรรมดาของมัน..

    เรื่องจิตอันนี้มันจะอยู่นิ่งๆ ในที่ของมันไม่ได้หรอก

    บางทีมันมีอาการคิดอย่างโน้นคิดอย่างนี้

    ในขณะอยู่ในที่สงบอันนั้นแหละ

    บางคนก็จิตไม่สงบ จิตฟุ้งซ่าน

    ใจก็ไม่สบาย ใจเขาก็ไม่ดี เพราะว่าจิตไม่สงบ

    อันนี้เราต้องพิจารณาด้วยปัญญาของเรา

    เรื่องไม่สงบอันนั้น

    เพราะเราไม่รู้ตามความเป็นจริงของมันเท่านั้นเอง

    ถ้าเรารู้ตามความเป็นจริงของมันแล้ว

    อันนั้นสักแต่ว่า "อาการของจิต" ..

    จริงๆแล้วจิตมันไม่ฟุ้งไปอย่างนั้น

    เช่นว่า เรารู้ความคิดแล้วว่า บัดนี้เราคิดอิจฉาคน

    นี้เป็น "อาการของจิต"

    "แต่เป็นของไม่จริง มันไม่เป็นความจริง"

    เรียกอาการของจิต มันมีตลอดเวลา

    ถ้าหากว่าคนไม่รู้ตามความเป็นจริงของมันแล้ว

    ก็น้อยใจว่าจิตเราไม่อยู่นิ่ง จิตเราไม่สงบ

    อันนี้เราต้องใช้การพิจารณาอีกทีหนึ่งให้มันเข้าใจ

    เรื่องของจิตนั้นนะ

    มันเป็นเรื่องของอาการของมัน

    แต่ที่สำคัญคือ ..มันรู้

    รู้ดี ..........มันก็รู้

    รู้ชั่ว.........มันก็รู้

    รู้สงบ....... มันก็รู้

    รู้ไม่สงบ....มันก็รู้

    อันนี้คือ ... "ตัวรู้ "

    พระพุทธเจ้าของเราท่านให้ตามรู้

    ตามดูจิตของเรา

    ...

    พระโพธิญาณเถระ แห่งหนองป่าพง

    ในภาพ ..

    หลวงปู่ชา ก้มกราบหลวงปู่ดูลย์
    มีพระอาจารย์สมศักดิ์ วัดบูรพารามพนมมืออยู่
    และดูเหมือนจะเป็น หลวงพ่อเยื้อน อยู่ข้างหลังท่านด้วยอีกองค์หนึ่ง .. สาธุ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • cd.png
      cd.png
      ขนาดไฟล์:
      456.9 KB
      เปิดดู:
      73
    • cd01.png
      cd01.png
      ขนาดไฟล์:
      58.2 KB
      เปิดดู:
      63
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทะลวงเส้นเลือดอุดตัน เพียง 2 นาที เคล็ดลับภูมิปัญญาโบราณ

    -http://share.sayhibeauty.com/%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%9E/-


    เคล็ดลับภูมิปัญญาโบราณ ช่วยทะลวงเส้นเลือดอุดตัน

    ชายชาวลอนดอนคนหนึ่งได้เล่าประสบการณ์ส่วนตัว เมื่อเขาไปประชุมที่ปากีสถาน เกิดมีอาการเจ็บหน้าอกอย่างเฉียบพลัน แพทย์ตรวจพบว่าเส้นเลือดหัวใจของเขา 3 เส้นอุดตันอย่างรุนแรง จำเป็นต้องผ่าตัดทำบายพาส กำหนดการผ่าตัดคืออีก 1 เดือน ในช่วงระหว่างนั้นเขาไปพบหมอบำบัดมุสลิมโบราณ หมอบำบัดให้เขาทำยาทานเองที่บ้าน
    เมื่อทานครบ 1 เดือน ก็ไปตรวจที่โรงพยาบาลเดียวกันก่อนผ่าตัด พบว่าเส้นเลือดทั้ง 3 เส้นใสสะอาด ที่เคยอุดตันก็ถูกทะลวงออกหมด เพื่อช่วยให้คนอื่นได้รับประโยชน์ เขาได้บอกเล่าประสบการณ์ของตัวเองบนอินเทอร์เน็ต รวมทั้งโชว์ภาพถ่ายเส้นเลือดของเขาก่อนและหลัง เพื่อให้แสดงความแตกต่างก่อนและหลังทานยา
    ในวันนี้เราจึงจะมาบอกวิธีการทำยาที่ช่วยทะลวงเส้นเลือดอุดตัน อย่างละเอียด ดังนี้

    สิ่งที่ต้องเตรียม
    1. น้ำมะนาว 1 ถ้วย
    2. น้ำขิง 1 ถ้วย
    3. น้ำคั้นกระเทียม 1 ถ้วย
    4. น้ำส้มสายชูแอปเปิล 1 ถ้วย
    วิธีการทำ
    1. นำกระเทียมและขิง มาลอกเปลือกและหั่นขิงเป็นชิ้นบางๆ
    2. นำทั้งสองอย่างใส่เครื่องปั่นหรือเครื่องคั้นน้ำผลไม้ ปั่นละเอียดแล้วเทลงบนผ้ากรอง เพื่อบีบน้ำคั้นออกมา
    3. นำน้ำคั้นกระเทียมและขิงลงไปในหม้อ เติมน้ำมะนาวและน้ำส้มสายชูแอปเปิลลงไป ต้มจนเดือด
    4. แล้วค่อยๆเคี่ยวไปโดยไม่ต้องปิดฝาหม้อ เพื่อให้น้ำระเหยออก ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมง ก็จะได้ยาที่เคี่ยวแล้วประมาณครึ่งหนึ่งของปริมาณเริ่มต้น
    5. ตั้งทิ้งไว้จนอุณหภูมิลดลง ก็ให้เติมน้ำผึ้งลงไปผสมเพื่อให้ทานได้ง่าย (ใส่เท่าที่รสชาติพอจะทานได้)
    6. จากนั้นนำน้ำสมุนไพรนี้ใส่ในขวดแก้ว แช่ในตู้เย็นเก็บไว้
    วิธีรับประทาน
    1. รับประทานครั้งละ 1 ช้อนโต๊ะก่อนอาหารเช้า ทุกวัน
    2. สามารถขจัดโรคหัวใจและหลอดเลือดให้หายขาดได้
    3. คนทั่วไปยังสามารถใช้เป็นเครื่องดื่มในชีวิตประจำวัน เพื่อป้องกันโรคหัวใจและความดันโลหิตสูง รวมทั้งป้องกันโรคหวัดและโรคภัยอื่นๆ ได้อีกด้วย
    4. เมื่อทานได้ 1 เดือน ให้ไปตรวจที่โรงพยาบาล คุณจะพบหลอดเลือดสะอาด เส้นที่มีการอุดกั้นได้ถูกทะลวงไปแล้ว
    หมายเหตุ: น้ำส้มสายชูที่ทำจากแอปเปิ้ล มีจำหน่ายตามห้างต่างๆ เช่น ท๊อป แมคโคร
    หลังจากที่ได้อ่านกันแล้ว ใครที่กำลังประสบกับปัญหาเส้นเลือดอุดตันอยู่ละก็ ก็ลองนำวิธีการด้านบนไปลองทำตามดูตามแบบฉบับภูมิปัญญาโบราณ แต่คุณต้องทำอย่างมีวินัย และรอดูผลลัพธ์ที่น่าทึ่ง จนคุณเองก็ไม่อยากจะเชื่อ



    ที่มา…thaijobsgov.com
     

แชร์หน้านี้

Loading...