พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ใช้วิจารณญาณในการอ่านครับ


    ----------------------------------------


    เกร็ดความรู้เรื่องการสวมแหวนอย่างไร ให้ชีวิตเฮงๆ
    -http://horoscope.sanook.com/85259/-

    Internet
    สนับสนุนเนื้อหา

    แหวนเสริมดวง ความเชื่อที่ยังไงก็เป็นสิ่งที่หลายคนให้ความสนใจกันเป็นอย่างมาก วันนี้เราจึงรวมเคล็ดลับแบบจัดเต็มสำหรับคนที่ชอบใส่แหวนเอาไว้ให้โดยเฉพาะ...

    ตามความเชื่อ และแนวทางด้านจิตวิทยา ที่ได้มีการวิเคราะห์นิสัยของผู้สวมใส่แหวน ซึ่งเป็นเครื่องประดับที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุดนั้น พบว่า การสวมแหวนในแต่ละนิ้วสามารถบ่งบอกถึงบุคลิกภาพ และอุปนิสัยของผู้สวมใส่ได้อย่างแม่นยำ แต่ต้องเป็นคนทีสวมแหวนที่มือขวาเท่านั้น

    แหวนเสริมดวง

    - เลือกสวมแหวนที่ถูกโฉลกกับเดือนเกิดหรือวันเกิดเพื่อเสริมโชคดีให้ชีวิต
    - ถ้าอยากเสริมดวงการเงิน ควรสวมแหวนทอง, แหวนเงิน, แหวนหยก และแหวนหัวพลอยสีที่ถูโฉลก
    - ถ้าอยากเสริมดวงความรัก ให้สวมแหวนรูปหัวใจ, รูปดาว, แหวนเพชร, เทอร์ควอยส์ก็ได้
    - ส่วนแหวนลูกปัดและหินสีต่างๆ จะช่วยเสริมดวงเสน่ห์

    การสวมแหวน

    - สวมแหวนนิ้วกลาง ข้างขวา เสริมดวงการเงินและบารมี
    - สวมแหวนนิ้วนาง หรือ นิ้วก้อย เสริมเสน่ห์และเสริมดวงความรัก

    เทคนิคการใส่แหวนให้โชคดี

    - ถ้าอยากให้มีความรักมั่นคง ต้องสวมแหวนที่ตรงหัวใจ คือนิ้วนางข้างขวา
    - ถ้าอยากให้โชคดีเรื่องความรัก ต้องสวมแหวนที่นิ้วก้อยข้างซ้าย
    - ถ้าอยากให้คนนั้นสนใจต้องสวมแหวนที่นิ้วชี้ข้างขวา
    - ถ้าอยากให้โชคดีมีความราบรื่นในเรื่องต่างๆ ต้องสวมแหวนที่นิ้วนางข้างขวา
    - ถ้าอยากให้ปลอดภัยจากสิ่งชั่วร้าย ต้องสวมแหวนที่นิ้วกลางข้างขวา
    - ถ้าอยากให้โชคดีในเรื่องการเงิน ต้องสวมแหวนที่นิ้วกลางข้างขวา
    - ถ้าอยากมีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร ต้องสวมแหวนที่นิ้วก้อยข้างขวา
    - ถ้าอยากมีคนชอบมากๆ ต้องสวมแหวนที่นิ้วหัวแม่มือข้างขวาหรือซ้ายก็ใด้


    ดูนิสัยจากการสวมแหวน

    นิ้วหัวแม่มือ - คุณเป็นคนแปลกไม่แคร์สังคม ไม่แคร์สายตาผู้อื่นเป็นตัวของตัวเอง และเป็นแบบฉบับของตัวเองมากที่สุด คุณมีความเชื่อมั่นมากและมีความภูมิใจในตัวเองอยู่เงียบ กฎของสังคมไม่สามารถมาล้อมกรอบคุณได้ทั้งนี้เป็นเพราะคุณมีความอิสระซ่อนเร้นอยู่มากมาย

    ความหลักแหลมซื่อสัตย์ตะลุยฟันผ่าไปค้นหาในสิ่งที่คุณอยากได้ คุณจะไม่สนใจอะไรแบบมองผ่าน ๆ ไปทีความสนใจของคุณที่มีต่อสิ่งที่คุณสนใจอยู่จึงมีมาก อารมณ์รุนแรงความโกรธของคุณรุนแรงกระทั่งสิ่งของเครื่องใช้ที่อยู่ใกล้มือใกล้เท้าก็พังพินาศหมด

    นิ้วกลาง - ผู้ที่นิยมสวมแหวนที่นิ้วกลาง คุณเป็นคนที่มีจิตใจร่าเริงแจ่มใส มีจินตนาการสูงในการสร้างสรรค์สิ่งต่าง ๆ คุณมีบทบาทมากมายในชีวิต บางทีก็ดูเงียบขรึม

    บางครั้งก็ดูร่าเริงและในบางครั้งก็จะทำตัวเป็นที่น่าสงสารของผู้ที่ได้พบเห็น คุณเป็นคนอ่อนโยนและขี้อาย มักจะประหม่าหรือเคอะเขินเมื่ออยู่ใกล้ชายหนุ่ม ไม่มั่นใจในตนเอง จึงทำให้กลัวไปในทุกเรื่อง

    นิ้วนาง - ผู้ที่มีสวมแหวนที่นิ้วนาง คุณเป็นคนที่เอาแต่ใจตนเอง หากหนุ่มที่มาใกล้ชิดเสแสร้งเอาอกเอาใจคุณ แต่ไม่ได้แสดงความเป็นตัวของตัวเองออกมา คุณจะเกลียดมากจนไม่อยากจะเจออีกเลย ขณะเดียวกัน คุณก็ชอบที่จะเห็นชายหนุ่มที่มาให้ความสนใจคุณเป็นคนที่กล้าหาญ

    แต่จะมีอยู่คนหนึ่งที่รู้จักนิสัยคุณจริง ๆ คนที่ใกล้ชิดคุณเท่านั้น ที่จะรู้ว่าภายใต้ความรู้สึกที่เข้มแข็งนั้น คือความบอบบาง คุณเป็นคนที่คุยสนุก การได้โต้เถียงหรือทำตัวเหมือนดื้อรั้น คือความสุขของคุณ คุณอาจจะรู้สึกเหงาหรือไม่มีเพื่อน

    และถึงแม้คุณจะผิดหวัง อกหัก แต่คุณก็สามารถบอกกับใคร ๆ ได้ว่า ไม่เป็นไร ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่ลึก ๆ แล้ว คุณจะรู้สึกปวดร้าว แต่ในระยะเวลาไม่นานนัก คุณก็จะกลับมาเฮฮาปาร์ตี้ได้เหมือนเดิม


    นิ้วก้อย - หากคุณเป็นคนที่ชอบใส่แหวนนิ้วก้อยเป็นประจำแล้ว บ่งบอกว่าคุณมักจะตกอยู่ในโลกของความฝัน มากกว่าโลกของความเป็นจริง มีนิสัยน่ารัก แต่ก็เก็บกด มักไม่ค่อยแสดงความรู้สึกของคุณออกมาให้คนอื่นโดยเฉพาะ ในเรื่องของความรัก (อย่างนี้เรียกว่า "ปากแข็ง")

    และโดยทั่วไปแล้วคุณมักจะคอบตามอารมณ์ ความรู้สึกร่วมไปด้วยเสมอกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น คุณอาจจะร้องไห้เมื่อเพื่อนสนิทของคุณอกหัก หรืออาจจะกระโดดโลดเต้นดีใจ เมื่อเพื่อนของคุณมีความสุขเมื่อพบกับหนุ่มหล่อ

    คุณเป็นคนที่จิตใจเยือกเย็น พอใจในคนรักของตนเอง ไม่จุกจิกจนน่ารำคาญใจ ผู้ใกล้ชิดหรืออยู่ด้วยก็มักสบายใจ ยามที่ชายหนุ่มคนใดได้มาคุยกับคุณ เขาจะรู้สึกสบายใจ และสนุกสนาน คุณมีคุณสมบัติของลูกผู้หญิงเต็มตัว

    ลักษณะเด่นของคุณ คือ สามารถทำให้ผู้ชายรู้สึกว่า อยู่ด้วยแล้วมีความสุข เป็นคนที่จริงใจกับความรักเสมอต้นเสมอปลายไม่เคยลืมวันสำคัญ ๆ เลย ลึก ๆ แล้ว คุณเป็นคนโรแมนติกมาก

    นิ้วชี้ - ผู้ที่นิยมสวมแหวนที่นิ้วชี้ คุณมักจะชอบทำอะไรแปลก ๆ ที่คนทั่วไปเขาไม่ทำกัน มีเสน่ห์บางอย่างในตัวที่ดึงดูดใจ ผู้ที่มาใกล้ชิด มีแบบฉบับการแต่งตัวเป็นของตัวเอง มีความเชื่อมั่นสูง และไม่จำเป็นที่จะต้องวิ่งตามแฟชั่น เป็นคนรักความหรูหราแบบแปลก ๆ ไม่เหมือนใคร

    โปรดปรานเครื่องประดับแปลก ๆ หายาก ไม่ซ้ำใคร ความเฉลียวฉลาดและความสง่างามของคุณนั้น นับว่าเป็นสาวไฮโซทรงเสน่ห์ต่อเพศตรงข้างอย่างมากมาย มีรสนิยมสูงแต่จงอย่าลืมว่า การชอบของแปลกไม่เหมือนใครของคุณอาจกลายเป็นจุดอ่อนของคุณได้

    ขอบคุณข้อมูลจาก : -www.amourjeweller.com-
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    5 พฤติกรรมการใช้เงิน ที่คนอยากรวยต้องหยุดทำ!
    -http://money.sanook.com/350283/-

    เคยสงสัยไหมว่า ทำไมเราไม่รวยขึ้นเสียทีทั้งๆที่อดออมแทบเป็นแทบตาย หรือแม้กระทั่งเงินเดือนขึ้นทุกปีๆ แต่เงินคงเหลือในบัญชีก็ไม่ได้เยอะขึ้นตามเงินเดือนเลย ซึ่งจริงๆแล้วความร่ำรวยไม่ได้ขึ้นอยู่กับการอดออมหรือเงินเดือนขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับ “พฤติกรรมการใช้เงิน” เพราะคนรวยที่แท้จริงเขาไม่ได้เก็บเงินเก่ง แต่พวกเขา “รู้จักเลือกใช้เงินให้เกิดประโยชน์สูงที่สุด” TerraBKK Research ขอแนะนำ 5 พฤติกรรมการใช้เงิน ที่คนรวยเขาไม่ทำกัน

    1. คนรวยไม่อยู่เฉย แต่เขารู้จักลงทุนในตัวเอง

    การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดไม่ใช่การลงทุนในทรัพย์สินมูลค่าร้อยล้าน พันล้าน แต่คือ “การลงทุนในตัวเอง” ซึ่งถือเป็นทรัพย์สินที่สำคัญที่สุดในชีวิต วอร์เรน บัฟเฟตต์ ซีอีโอวัย 84 ปี แห่งบริษัท Berkshire Hathaway ผู้ซึ่งได้รับยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักลงทุนที่ทรงอิทธิพลและประสบความสำเร็จที่สุดของโลก กล่าวไว้ว่า การลงทุนที่ดีที่สุด คุ้มค่าที่สุด และได้ผลกำไรเยอะที่สุด คือ การลงทุนในตัวของคุณเอง อันหมายถึง การศึกษาหาความรู้ใหม่ๆ ให้กับตัวเองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ที่อยู่ภายในห้องเรียน หรือความรู้ที่อยู่ในโลกกว้างนอกเหนือจากในตำรา

    2. คนรวยไม่หลงรื่นเริงไปกับสิ่งบันเทิง แต่เขารู้จักพอกับสิ่งของฟุ่มเฟือย

    ต้องยอมรับว่าสิ่งยั่วยวนกิเลสในโลกปัจจุบันมีมากมายเหลือเกิน คนรุ่นใหม่มักจะหลงไปกับสิ่งยั่วยุเหล่านี้ ใช้เงินไปกับสิ่งบันเทิงมากจนเกินพอดี วิ่งตามกระแสแฟชั่นและความทันสมัยของเทคโนโลยีโดยไม่รู้จักคำว่าพอ ในขณะที่คนรวยจะรู้จักใช้เงินไปกับการลงทุน เพื่อก่อให้เกิดประโยชน์มากกว่าซื้อของฟุ่มเฟือยเหล่านั้น TerraAds TerraAds

    3. คนรวยไม่ได้เลือกซื้อของถูก แต่เขารู้จักซื้อของที่ “คุ้มค่า”

    ใครว่าถ้าอยากรวยจะต้องซื้อแต่ของถูกของลดราคาเท่านั้น กลับกันคนรวยเขาไม่ได้เลือกซื้อของถูก แต่เขาซื้อของที่ “คุ้มค่า คุ้มราคา” เน้นการใช้งานที่ยาวนาน แพงกว่าแต่ใช้งานได้ดีกว่า ดีกว่าเสียทั้งเวลา เสียทั้งเงินใหม่หลายๆรอบเพื่อของที่ใช้การไม่ดี

    4. คนรวยไม่เคยพอใจกับรายได้ที่คงที่ แต่เขาจะมองหาช่องทางที่ทำให้รายได้เพิ่มขึ้น

    แม้กระแสเงินสดจะไม่ติดลบ และมีรายได้คงที่เรื่อยมา แต่อย่าลืมว่าอัตราเงินเฟ้อจะค่อยๆกัดกินเงินของคุณจนเหลือก้อนเล็กลงเรื่อยๆ อย่านิ่งนอนใจกับรายได้ที่นิ่งอยู่กับที่ เพราะคนรวยจะหมั่นหาโอกาสและช่องทางใหม่ๆเพื่อเพิ่มรายได้อยู่ตลอดเวลา

    5. คนรวยไม่ทำงานเพื่อเงิน แต่เขาให้เงินทำงานแทน

    ผู้คนส่วนใหญ่มักจะทำงานเพื่อหาเงิน ตรงกันข้ามกับคนรวยที่ให้เงินทำงานแทนตัวเขา นั่นก็คือการนำเงินไปลงทุนหรือสร้างประโยชน์อะไรบางอย่างเพื่อให้ได้ผลตอบแทนกลับมาเป็นกระแสเงินสด ซึ่งการให้เงินทำงานแทนหรือการลงทุนที่เป็นที่นิยมนั้น ตัวอย่างเช่น การลงทุนในหุ้น กองทุน การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนในทองคำ เป็นต้น

    เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้เงินและหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดเหล่านี้ โดยจำไว้เสมอว่าเราไม่สามารถร่ำรวยได้ภายในพริบตา แต่ต้องอาศัยความอดทนเพื่อเรียนรู้ ปรับปรุงแก้ไขข้อผิดพลาดของตน เพื่อความสำเร็จในระยะยาว – เทอร์ร่า บีเคเค

    อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ : -TerraBKK.com-
    -http://terrabkk.com/news/5-%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88/-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • w01.png
      w01.png
      ขนาดไฟล์:
      179.6 KB
      เปิดดู:
      135
    • w02.png
      w02.png
      ขนาดไฟล์:
      192 KB
      เปิดดู:
      196
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไข้เลือดออก โรคตัวร้ายที่มียุงลายเป็นพาหะ อันตรายถึงชีวิต !
    -http://health.kapook.com/view2522.html-

    ดูรูปที่ 1

    ไข้เลือดออก เป็นโรคที่เกิดจากยุงซึ่งเป็นพาหะของโรค ไข้เลือดออกนอกจากจะเป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศไทยแล้ว ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศในเขตร้อนชื้น และก่อให้เกิดความกังวลต่อผู้ปกครองเวลาเด็กมีไข้ และมักพบบ่อยในเด็กต่ำกว่า 15 ปี โดยเฉพาะช่วงอายุ 2-8 ขวบ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ใหญ่จะไม่มีโอกาสเป็นโรคไข้เลือดออกได้ โดยเฉพาะต้องอาศัยอยู่ในแหล่งที่ชุกชุมไปด้วยยุงตัวร้าย

    โรคไข้เลือดออกต้องระวังยุงชนิดไหน

    ยุงลายเป็นพาหะตัวร้ายของโรคไข้เลือดออก ทางที่ดีที่จะป้องกันโรคไข้เลือดออกในเบื้องต้น คือการป้องกันตัวเองและคนรอบข้างไม่ให้โดนยุงกัด โดยเฉพาะยุงลาย ถ้ากำจัดลูกน้ำยุงลายบริเวณรอบ ๆ บ้านได้จะยิ่งดี

    ยุงลายชอบกัดตอนไหน ช่วงไหนควรระวังพาหะไข้เลือดออก

    ยุงลายที่กัดเราแล้วจะทำให้เป็นโรคไข้เลือดออกมีเฉพาะยุงลายตัวเมียเท่านั้น เพราะยุงลายตัวเมียต้องการโปรตีนจากเลือดเพื่อสร้างไข่ และมักจะออกหาเหยื่อในช่วงกลางวันมากกว่ากลางคืน ฉะนั้นช่วงกลางวันจึงเป็นช่วงเวลาอันตรายที่ต้องเลี่ยงไม่ให้ถูกยุงกัดมากที่สุด แต่ทั้งนี้ช่วงเวลาไหน ๆ ก็อย่ายอมให้ยุงมาดูดเลือดเลยน่าจะปลอดภัยกว่า

    ยุงกัดเพราะอะไร ระวังไว้ ก่อนป่วยไข้เลือดออก !

    มาดูกัน...ยุงชอบกัดคนประเภทไหน
    ดูรูปที่ 2


    อาการของ ไข้เลือดออก

    อาการของ ไข้เลือดออก ไม่จำเพาะอาการมีได้หลายอย่าง ในเด็กอาจจะมีเพียงอาการไข้และผื่น ในผู้ใหญ่ที่เป็น ไข้เลือดออก อาจจะมีไข้สูง ปวดศีรษะ ปวดตามตัว ปวดกระบอกตา ปวดกล้ามเนื้อ หากไม่คิดว่าเป็น โรค ไข้เลือดออก อาจจะทำให้การรักษาช้า ผู้ป่วยอาจจะเสียชีวิต ทั้งนี้ลักษณะที่สำคัญของ ไข้เลือดออก มีอาการสำคัญ 4 ประการคือ

    1. ไข้สูงลอย : ไข้ 39-40 องศาเซลเซียส มักมีหน้าแดง โดยมากไม่ค่อยมีอาการน้ำมูกไหลหรือไอ เด็กโตอาจมีอาการปวดเมื่อยตามตัว และปวดศีรษะ อาการไข้สูงมักมีระยะ 4-5 วัน

    2. อาการเลือดออก : เลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน เลือดออกในกระเพาะ โดยจะมีอาการอาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายดำ มีจุดเลือดออกตามตัว

    3. ตับโต

    4. ความผิดปกติของระบบไหลเวียนเลือด หรือช็อก : มักจะเกิดช่วงไข้จะลด โดยผู้ป่วยจะมีอาการกระสับกระส่าย มือเท้าเย็น รอบปากเขียว อาจมีอาการปวดท้องมาก ก่อนจะมีอาการช็อก ชีพจรเบาเร็ว ความดันต่ำ

    ตับอักเสบจากไข้เลือดออก อีกหนึ่งอาการที่ต้องระวัง

    อาการตับอักเสบอย่างรุนแรง สามารถพบได้ในผู้ป่วยไข้เลือดออกเช่นกัน โดยจะเกิดขึ้นกรณีที่เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายตับ หรือเกิดจากการที่ตับถูกทำลายเพราะการทำงานของระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้นหากมีอาการไข้เลือดออกแล้วก็ควรสังเกตอาการอย่างใกล้ชิดหากเกิดอาการตับอักเสบจะได้ทำการรักษาได้ทันท่วงที


    ลักษณะตุ่มไข้เลือดออก

    ตุ่มโรคไข้เลือดออกจะคล้ายกับตุ่มยุงกัดทั่วตัว และใกล้เคียงกับผื่นจากโรคหัด แต่จะสังเกตได้ว่า ถ้าเป็นไข้เลือดออกจะไม่มีอาการไอหรือน้ำมูกไหล และจุดเลือดออกของโรคไข้เลือดออกจะไม่รู้สึกสากมือเหมือนโรคหัด และเวลากดดึงผิวหนังให้ตึงจะไม่จางหายไปเหมือนจุดถูกยุงกัดธรรมดา ซึ่งถ้ามีอาการตามนี้ร่วมกับมีไข้สูงตลอดเวลา ควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์โดยด่วน

    ไข้เลือดออกมีกี่ระยะ

    ระยะฟักตัวของไข้เลือดออกจะอยู่ในช่วง 3-5 วัน และอาการไข้เลือดออกสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะ ได้แก่

    ระยะที่ 1 ระยะไข้สูง

    ผู้ป่วยจะมีไข้สูงฉับพลัน ไข้จะสูงค้างอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา โดยที่กินยาลดไข้ก็ยังบรรเทาไข้ไม่ได้ ร่วมกับอาการหน้าแดง ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร และบางรายมีอาการอาเจียนเป็นพัก ๆ หรืออาจมีอาการท้องผูกหรือถ่ายเหลว และบางคนอาจมีอาการเจ็บคอ ไอเล็กน้อย ทว่าในระยะ 3 วันที่ป่วยตุ่มอาจยังไม่ขึ้นให้เห็นชัด ๆ

    ระยะที่ 2 ระยะช็อกและมีเลือดออก

    อาการนี้จะพบในช่วงระหว่างวันที่ 3-7 ของการป่วย และมักจะเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่ป่วยจากเชื้อเด็งกีที่มีความรุนแรงขั้นที่ 3 และ 4 ซึ่งระยะนี้ถือเป็นช่วงวิกฤตของโรค อาการไข้ของผู้ป่วยจะเริ่มลดลง แต่กลับอาเจียน ปวดท้องบ่อยขึ้น ซึมมากขึ้น ตัวเย็น มือเท้าเย็น กระสับกระส่าย เหงื่อแตก ปัสสาวะออกน้อย ชีพจรเต้นแผ่วแต่เร็ว และความดันต่ำ ซึ่งเป็นภาวะช็อก และหากไม่ได้รับการรักษาภายใน 1-2 วัน อาจทำให้เสียชีวิตได้

    นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการเลือดออกตามผิวหนัง (มีจ้ำเขียวพรายย้ำขึ้น) เลือดกำเดาไหล อาเจียนเป็นเลือดหรือสีกาแฟ ถ่ายเป็นเลือด ซึ่งหากอยู่ในภาวะนี้อาจเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากขึ้น โดยหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจเสียชีวิตภายใน 24-27 ชั่วโมง แต่หากผู้ป่วยสามารถประคองอาการให้ผ่านพ้นระยะนี้มาได้ ก็จะเข้าสู่ระยะที่ 3 ของโรคไข้เลือดออก

    ระยะที่ 3 ระยะฟื้นตัว

    ในผู้ป่วยที่ไม่มีอาการช็อก หรือช็อกไม่รุนแรง และได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาการของผู้ป่วยจะฟื้นตัวสู่สภาพปกติ โดยผู้ป่วยจะรู้สึกตัวและร่าเริงขึ้น เริ่มกินอาหารได้ โดยอาการจะดีขึ้นตามลำดับภายในช่วงระยะ 7-10 วันหลังจากผ่านพ้นระยะที่ 2 ของโรค

    การวินิจฉัยโรคไข้เลือดออกในเบื้องต้นอย่างง่าย ๆ

    ใช้ยางหนังสติ๊กรัดเหนือข้อศอกให้แน่นเล็กน้อย ให้พอคลำชีพจรที่ข้อมือได้ รัดอยู่อย่างนั้นนาน 5 นาที และลองเอาเหรียญบาทกดทับที่บริเวณท้องแขน หากพบว่ามีจุดเลือดออก (จุดแดง) เกิดขึ้นที่บริเวณท้องแขนในตําแหน่งที่ใช้เหรียญกดทับเป็นจํานวนมากกว่า 10 จุด ก็นับว่าเสี่ยงเป็นโรคไข้เลือดออกสูงมาก ยิ่งถ้าหากมีไข้มาแล้ว 2 วัน ความเสี่ยงของโรคจะอยู่ประมาณ 80% เลยทีเดียว

    เมื่อใดต้องรีบส่งโรงพยาบาลทันที

    เมื่อมีเลือดออกผิดปกติ อาเจียนมาก ปวดท้อง ซึม ไม่ดื่มน้ำ กระหายน้ำตลอดเวลา มีปัสสาวะออกน้อย

    เมื่อความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น ตัวลาย เหงื่อออกโดยเฉพาะในช่วงไข้ลง


    แนวทางการรักษาโรค ไข้เลือดออก

    โรคไข้เลือดออก ไม่มีการรักษาเฉพาะ การรักษาเป็นเพียงการประคับประคองอย่างใกล้ชิดโดยการเฝ้าระวังภาวะช็อก และเลือดออก และการให้สารน้ำอย่างเหมาะสมก็จะทำให้อัตราการเสียชีวิตลดลง โดยทั่วไปการดูแลผู้ป่วยโรค ไข้เลือดออก มีแนวทางการดูแลอย่างใกล้ชิด ดังนี้

    1. ให้ยาลดไข้ เช็ดตัวลดไข้ ยาลดไข้ที่ควรใช้คือ พาราเซตามอล ไม่ควรใช้ยาจำพวกแอสไพริน เนื่องจากจะทำให้เกล็ดเลือดผิดปกติ และระคายกระเพาะอาหาร

    2. ให้สารน้ำชดเชย เนื่องจากผู้ป่วยไข้เลือดออก มักมีภาวะขาดน้ำ เนื่องจากไข้สูง เบื่ออาหาร และอาเจียน ในรายที่พอทานได้ให้ดื่มน้ำเกลือแร่บ่อย ๆ ในรายที่ขาดน้ำมาก หรือมีภาวะเลือดออก เช่น อาเจียน หรือถ่ายเป็นเลือดต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล เพื่อให้สารน้ำทางเส้นเลือด

    3. ติดตามดูอาการใกล้ชิด ถ้าผู้ป่วยไข้เลือดออกมีอาการปวดท้อง ปัสสาวะน้อยลง กระสับกระส่าย มือเท้าเย็น โดยเฉพาะในช่วงไข้ลด ต้องรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที

    4. ตรวจนับจำนวนเกล็ดเลือดและความเข้มข้นของเลือดเป็นระยะ เพื่อใช้พิจารณาปริมาณการให้สารน้ำชดเชย

    จะทราบได้อย่างไรว่าผู้ป่วยพ้นขีดอันตรายแล้ว

    ผู้ป่วยไข้เลือดออก หากมีอาการไข้ลดลง ภายใน 24-48 ชั่วโมง แล้วเริ่มกินอะไรได้ รู้สึกตัวดี ไม่ซึม แสดงว่าอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว

    การปฏิบัติเมื่อมีคนในบ้าน/ข้างบ้านเป็น ไข้เลือดออก

    เนื่องจากไข้เลือดออกระบาดโดยมียุงเป็นตัวแพร่พันธุ์ ดังนั้นเมื่อมีคนในบ้านหรือข้างบ้านเป็นไข้เลือดออก ควรจะบอกคนในบ้านหรือข้างบ้านว่า มีคนเป็นไข้เลือดออกด้วย และแจ้งสาธารณสุขให้มาฉีดยาหมอกควันเพื่อฆ่ายุง รวมถึงดูแลให้สมาชิกในครอบครัวป้องกันการถูกยุงกัด สำรวจภายในบ้าน รอบบ้าน รวมทั้งเพื่อนบ้านว่ามีแหล่งแพร่พันธุ์ยุงหรือไม่ หากมีให้รีบจัดการและทำลายแหล่งแพร่พันธุ์นั้น เพื่อป้องกันการเป็นไข้เลือดออก

    นอกจากนี้ต้องคอยระวังเฝ้าดูอาการของสมาชิกในบ้านหรือข้างบ้านว่ามีไข้หรือไม่ หากมีไข้ให้ระวังว่าอาจจะเป็น ไข้เลือดออกได้

    โรคไข้เลือดออก กับยาที่ควรหลีกเลี่ยง

    ในการรักษาของผู้ป่วยไข้เลือดออกควรจะใช้ยาพาราเซตามอลในการรักษาเท่านั้น และห้ามรับประทานยาในกลุ่มแอสไพริน ซึ่งได้แก่ยาแอสไพรินชนิดเม็ด หรือยาแอสไพรินแบบซองที่ขายทั่วไป และยาในกลุ่มไอบูโปรเฟน เนื่องจากยาทั้งสองชนิดนี้เป็นยาที่มีผลข้างเคียงรุนแรง คืออาจไปกัดกระเพาะทำให้เกิดเลือดออกในกระเพาะหรือลำไส้ ซึ่งทำให้เป็นอันตรายกับผู้ป่วยได้


    อาหารสำหรับผู้ป่วยไข้เลือดออก เป็นแล้วควรกินอะไร

    ผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสและฟื้นฟูร่างกายได้รวดเร็ว โดยอาหารที่ควรรับประทานคือ ผักใบเขียว ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เช่น มะนาว ส้ม เลมอน หรือเกรปฟรุต เพื่อเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงขึ้น และควรรับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูงด้วย เพื่อให้มีเรี่ยวแรงและสามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ดี

    นอกจากนี้อาหารที่รับประทานควรเป็นอาหารที่ย่อยง่าย เช่น โจ๊ก น้ำผัก หรือน้ำผลไม้ แต่ทั้งนี้ที่สำคัญที่สุดก็คือการดื่มน้ำ เพราะการดื่มน้ำมาก ๆ จะช่วยให้ร่างกายขับสารพิษออกมาได้มากขึ้นนั่นเอง

    ไข้เลือดออกห้ามกินอะไรบ้าง รู้แล้ว เลี่ยงให้ไกล

    นอกจากจะควรรับประทานอาหารอ่อน ๆ แล้ว ผู้ป่วยไข้เลือดออกนั้นก็ควรจะหลีกเลี่ยงอาหารมัน ๆ ประเภทอาหารทอด หรือผัด และไม่ควรรับประทานอาหารรสเผ็ดเพราะอาจจะทำให้แสบท้องและเกิดเลือดออกในกระเพาะได้ง่าย นอกจากนี้ยังควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีสีแดง สีดำ หรือสีน้ำตาล เพราะสีของอาหารอาจจะทำให้การสังเกตอาการเลือดออกในปัสสาวะและอุจจาระเป็นไปได้ยากขึ้นอีกด้วย


    เป็นไข้เลือดออกแล้วมีสิทธิ์เป็นซ้ำอีกได้ไหม

    เนื่องจากไข้เลือดออกมี 4 สายพันธุ์ ได้แก่ สายพันธุ์ที่ 1, 2, 3 และ 4 ซึ่งในแต่ละปีจะมีการระบาดของสายพันธุ์ต่าง ๆ สลับกันไป หากผู้ป่วยติดเชื้อไข้เลือดออกสายพันธุ์ใดไปแล้ว ร่างกายก็จะสร้างภูมิคุ้มกันต่อสายพันธุ์นั้นตลอดชีวิต และสามารถสร้างภูมิคุ้มกันข้ามไปยังสายพันธุ์อื่นได้ระยะหนึ่ง ก่อนภูมิคุ้มกันในสายพันธุ์อื่นจะหายไป ดังนั้น ผู้ที่เคยเป็นไข้เลือดออกแล้วก็ยังสามารถกลับมาเป็นได้อีกในสายพันธุ์ที่ต่างจากที่เคยเป็น แต่ทว่า การติดเชื้อครั้งที่ 2 มักจะมีอาการรุนแรงกว่าการป่วยครั้งแรก แต่โดยส่วนใหญ่แล้วคนเรามักติดเชื้อไม่เกิน 2 ครั้ง

    การป้องกันโรค ไข้เลือดออก

    ทุกวันนี้ยังไม่มียาที่ใช้รักษา ไข้เลือดออก ดังนั้นการป้องกันจึงเป็นวิธีที่ดีที่สุดโดยป้องกันการแพร่ของยุง

    15 วิธีป้องกันยุงกัดส่งตรงจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี



    การควบคุมสิ่งแวดล้อม Environmental management

    การควบคุมสิ่งแวดล้อมเป็นการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมเพื่อไม่ให้ยุงมีการขยายพันธุ์

    แท็งก์น้ำ บ่อ กะละมัง ที่เก็บกักน้ำจะเป็นแหล่งที่ยุงออกไข่และกลายเป็นยุง ต้องมีฝาปิดและหมั่นตรวจสอบว่ามีลูกน้ำหรือไม่

    ให้ตรวจรอยรั่วของท่อน้ำ แท็งก์น้ำหรืออุปกรณ์ที่เกี่ยวกับน้ำว่ารั่วหรือไม่ โดยเฉพาะฤดูฝน

    ตรวจสอบแจกัน ถ้วยรองขาโต๊ะ ต้องเปลี่ยนน้ำทุกสัปดาห์ สำหรับแจกันอาจจะใส่ทรายผสมลงไป ส่วยถ้วยรองขาโต๊ะให้ใส่เกลือเพื่อป้องกันลูกน้ำ

    หมั่นตรวจสอบถาดรองน้ำที่ตู้เย็นหรือเครื่องปรับอากาศเพราะเป็นที่แพร่พันธุ์ของยุง โดยเฉพาะถาดระบายน้ำของเครื่องปรับอากาศซึ่งออกแบบไม่ดี โดยรูระบายน้ำอยู่เหนือก้นถาดหลายเซนติเมตร ทำให้มีน้ำขังซึ่งเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง

    ตรวจสอบรอบ ๆ บ้านว่ามีแหล่งน้ำขังหรือไม่ ท่อระบายน้ำบนหลังคามีแอ่งขังน้ำหรือไม่ หากมีต้องจัดการ

    ขวดน้ำ กระป๋อง หรือภาชนะอื่นที่อาจจะเก็บขังน้ำ หากไม่ใช้ให้ใส่ถุงหรือฝังดินเพื่อไม่ให้น้ำขัง

    ยางเก่าที่ไม่ใช้ก็เป็นแหล่งขังน้ำได้เช่นกัน

    หากใครมีรั้วไม้ หรือต้นไม้ที่มีรูกลวง ให้นำคอนกรีตเทใส่ปิดรู ต้นไผ่ต้องตัดตรงข้อและให้เทคอนกรีตปิดแอ่งน้ำ

    วิธีกำจัดลูกน้ำยุงลาย
    ดูรูปที่ 3

    การป้องกันส่วนบุคคล

    ใส่เสื้อผ้าที่หนาพอสมควร ควรจะใส่เสื้อแขนยาว และกางเกงขายาว เด็กนักเรียนหญิงก็ควรใส่กางเกง

    การใช้ยาฆ่ายุง เช่น pyrethrum ก้อนสารเคมี

    การใช้กลิ่นกันยุง เช่น ตะไคร้ หรือสารเคมีอื่น ๆ

    นอนในมุ้ง

    การควบคุมยุงโดยทางชีวะ

    เลี้ยงปลาในอ่างที่ปลูกต้นไม้ หรือแหล่งน้ำตามธรรมชาติ

    ใช้แบคทีเรียที่ผลิตสาร toxin ฆ่ายุง ได้แก่ เชื้อ Bacillus thuringiensis serotype H-14 (Bt.H-14) และ Bacillus sphaericus (Bs)

    การใช้เครื่องมือดักจับลูกน้ำซึ่งเคยใช้ได้ผลที่สนามบินของสิงคโปร์ แต่สำหรับกรณีประเทศไทยยังได้ผลไม่ดีเนื่องจากไม่สามารถควบคุมแหล่งน้ำธรรมชาติจึงยังมีการแพร่พันธุ์ของยุง


    การใช้สารเคมีในการควบคุม

    ใช้ยาฆ่าลูกน้ำ วิธีการนี้จะสิ้นเปลืองและไม่เหมาะที่จะใช้อย่างต่อเนื่อง วิธีการนี้จะเหมาะสำหรับพื้นที่ที่มีการระบาดและได้มีการสำรวจพบว่ามีความชุกของยุงมากกว่าปกติ

    ใช้สารลดแรงตึงผิว เช่น ผงซักฟอก สบู่ แชมพู น้ำยาล้างจาน ฉีดพ่นกำจัดยุง เพราะสารดังกล่าวจะไปทำลายระบบการหายใจของแมลง ทำให้แมลงตายได้

    ใช้ "ทรายอะเบท" กำจัดยุงลาย โดยให้นำทรายอะเบท 1 กรัม ใส่ในภาชนะที่มีน้ำขัง (อัตราส่วน 1 กรัมต่อน้ำ 10 ลิตร หรือ 20 กรัม) จะป้องกันไม่ให้เกิดลูกน้ำได้นานประมาณ 1-2 เดือนเลยทีเดียว ซึ่งหลังจากใช้เสร็จแล้วต้องเก็บในภาชนะบรรจุที่ปิดมิดชิด รวมทั้งเก็บในที่เย็น แห้ง และมีการระบายอากาศอย่างเพียงพอ

    การใช้สารเคมีพ่นตามบ้านเพื่อฆ่ายุง วิธีการนี้ใช้ในประเทศเอเชียหลายประเทศมามากกว่า 20 ปี แต่จากสถิติของการระบาดไม่ได้ลดลงเลย การพ่นหมอกควันเป็นรูปธรรมที่มองเห็นว่ารัฐบาลได้ทำอะไรเกี่ยวกับการระบาด แต่การพ่นหมอกควันไม่ได้ลดจำนวนประชากรของยุง ข้อเสียคือทำให้คนละเลยความปลอดภัย การพ่นหมอกควันจะมีประโยชน์ในกรณีที่มีการระบาดของโรคไข้เลือดออก

    การระบาดของไข้เลือดออก

    ช่วงเวลาการระบาดของโรคไข้เลือดออกสามารถพบได้ตลอดทั้งปี แต่จะระบาดมากในฤดูฝน ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงตุลาคมของทุกปี

    สถานการณ์ของโรคไข้เลือดออก

    จากข้อมูลทางกระทรวงสาธารณสุขเผยว่า 8 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนมกราคม-18 สิงหาคม 2558 มีจำนวนผู้ป่วยสะสม 51,500 ราย มากกว่าปี 2557 ถึง 2 เท่า และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 37 ราย โดยพบผู้ป่วยมากที่สุดในภาคกลาง รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคเหนือ และภาคใต้ ส่วนใหญ่พบในกลุ่มเด็กโต อายุระหว่าง 10-14 ปี โดยสาเหตุร้อยละ 80 เกิดจากถูกยุงลายที่อยู่ในบ้านกัด และส่วนที่เหลือคือถูกยุงลายที่อยู่ตามสวนกัด

    หากใครมีข้อสงสัย หรือต้องการปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องโรคไข้เลือดออก สามารถสอบถามได้ที่สายด่วน สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี (โรงพยาบาลเด็ก) หมายเลขโทรศัพท์ 089-204-2255 ตลอด 24 ชั่วโมง

    เห็นตัวเล็ก ๆ อย่างนี้ แต่ยุงคือฆาตกรอันดับหนึ่งของโลกเชียวนะ

    ดูรูปที่ 4

    จากสถิติสัตว์ร้ายที่คร่าชีวิตมนุษย์มากที่สุดในโลก 15 อันดับ ที่ gatesnotes บล็อกส่วนตัวของบิล เกตส์ ได้นำข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) รวมทั้งองค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) มาสรุปให้ดูเมื่อปี 2014 จะเห็นว่า สัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่างยุง สามารถคร่าชีวิตมนุษย์เกือบล้านคนต่อปี ถือเป็นสัตว์ที่อันตรายกับสวัสดิภาพมนุษย์มากกว่าสัตว์ดุร้ายอย่างงูพิษหรือฉลามเสียอีก เอาเป็นว่าอย่ามัวเสียเวลาค่ะ มาไล่เรียง 15 สัตว์ตัวร้ายที่อาจเป็นภัยกับมนุษย์แบบเรียงตัวเลยดีกว่า

    1. ยุง

    ด้วยความที่ยุงมีขนาดตัวเล็ก บินได้คล่องตัว มนุษย์เราจึงเสี่ยงกับเชื้อไวรัสที่ยุงเป็นพาหะนำมาทำร้ายเราได้ง่ายกว่าสัตว์ชนิดอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นโรคไข้มาลาเรีย ที่คร่าชีวิตมนุษย์กว่า 600,000 คนต่อปี และเป็นพาหะที่ทำให้มนุษย์ป่วยด้วยโรคไข้มาลาเรียกว่า 200 ล้านคนทั่วโลก ซึ่งนอกจากโรคไข้มาลาเรียแล้ว เจ้ายุงที่มีมากกว่า 2,500 สายพันธุ์ ยังเป็นพาหะของโรคไข้เลือดออก โรคไข้เหลือง และโรคสมองอักเสบอีกต่างหาก ซึ่งจากสถิติแล้ว ยุงที่มีพาหะของเชื้อไวรัสชนิดต่าง ๆ ได้คร่าชีวิตมนุษย์มากถึง 725,000 คนต่อปี

    2. มนุษย์

    มนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐที่ทำร้ายกันและกันเองมากเป็นอันดับที่ 2 โดยเฉลี่ยแล้วมีผู้เสียชีวิตจากน้ำมือของคนด้วยกันเองถึงปีละ 475,000 คนต่อปีเลยทีเดียว

    3. งู

    สัตว์เลื้อยคลานมีพิษร้ายอย่างงู รั้งอันดับ 3 ไปด้วยสถิติคร่าชีวิตมนุษย์ทั่วโลกกว่า 50,000 คนต่อปี

    4. สุนัข (ติดเชื้อโรคพิษสุนัขบ้า)

    โรคพิษสุนัขบ้าเป็นโรคอันตราย หากเป็นแล้วมีโอกาสเสียชีวิตสูงมาก ซึ่งได้คร่าคนไปกว่า 25,000 คนต่อปี

    5. แมลงดูดเลือด

    พาหะนำโรคง่วงหลับมาคร่าชีวิตมนุษย์ปีละ 10,000 คนทั่วโลก

    6. มวนเพชรฌฆาต

    แมลงชนิดนี้มีฉายาว่า ฆาตกรแบกศพ มักพบในประเทศมาเลเซีย และเป็นแมลงที่คร่าชีวิตมนุษย์มากถึงปีละ 10,000 คนเช่นกัน

    7. หอยเชอร์รีหรือทากน้ำ

    ตัวการของโรคไข้สมองอักเสบ หากกินหอยชนิดนี้ดิบ ๆ ก็อาจได้รับเชื้อจนเพิ่มสถิติคร่าชีวิตคนจาก 10,000 คนต่อปีให้มากขึ้นได้

    8. พยาธิไส้เดือน

    อีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคไข้สมองอักเสบคือ เจ้าพยาธิไส้เดือนนี่ล่ะ โดยจากสถิติแล้ว สัตว์ตัวเล็ก ๆ นี้คร่าคนไปกว่า 2,500 คนทั่วโลกเลยทีเดียว

    9. พยาธิตัวตืด

    พาหะนำโรคพยาธิตัวตืด ที่คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกมาไม่ต่ำกว่า 2,000 คนต่อปี

    10. จระเข้

    สัตว์ดุร้ายที่เราเข้าใจกันมา จริง ๆ แล้วมีสถิติคร่าชีวิตมนุษย์เพียง 1,000 คนต่อปี ทิ้งห่างสัตว์ตัวเล็ก ๆ อย่างยุงมาไกลโข

    11. ฮิปโปโปเตมัส

    แม้จะเป็นสัตว์ที่เราเห็นในสวนสัตว์ แต่ฮิปโปโปเตมัสก็แฝงอันตรายมากพอจะคร่าชีวิตมนุษย์ได้กว่า 500 คนต่อปี

    12. ช้าง

    ด้วยความที่ช้างอยู่ในป่าเขาเป็นส่วนใหญ่ สถิติทำร้ายมนุษย์จนถึงขั้นเสียชีวิตจึงอยู่ที่ 100 คนต่อปีเท่านั้น

    13. สิงโต

    เหตุผลเดียวกันกับช้างป่า สิงโตก็ทำร้ายมนุษย์ปีละ 100 คนโดยเฉลี่ยเช่นกัน

    14. หมาป่า

    สถิติความร้ายกาจของหมาป่าอยู่ที่คร่าชีวิตมนุษย์ไปปีละ 10 คนโดยเฉลี่ย ซึ่งอาจเป็นเพราะหมาป่าไม่ใช่สัตว์ที่อยู่ใกล้ตัวเรานัก

    15. ฉลาม

    วายร้ายอย่างฉลามตามสถิติแล้วถูกจัดอันดับไว้ที่ 15 ด้วยสถิติคร่าชีวิตมนุษย์ 10 คนต่อปี

    จะเห็นได้ชัดเลยว่า สัตว์มีพิษหรือสัตว์ที่เป็นพาหะนำโรคร้ายที่คร่าชีวิตมนุษย์ได้จะเป็นสัตว์ขนาดเล็ก อยู่ใกล้ ๆ หรือรอบตัวเรา ซึ่งก็เป็นช่องโหว่ที่ทำให้เราลืมระมัดระวังตัวเองจากวายร้ายเหล่านี้ิ จนเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อชีวิตให้ตัวเองโดยไม่รู้ตัว


    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

    คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล
    สำนักโรคติดต่อนำโดยแมลง กรมควบคุมโรค
    โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย
    โรงพยาบาลศรีนครินทร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
    โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์
    Z NEWS
    Articles of Health Care
    PLOS MEDICINE
    Nature
    CrocBITE

    -http://healthy.moph.go.th/index.php/2012-03-26-04-30-53/118-2012-06-25-02-16-13-
    -http://www.tm.mahidol.ac.th/hospital/hospital-dengue-th.php-
    -http://www.crocodile-attack.info/-
    -http://journals.plos.org/plosmedicine/article?id=10.1371/journal.pmed.0050218-
    -http://www.nature.com/nature/journal/v436/n7053/full/436927a.html-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.jpg
      1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      375.5 KB
      เปิดดู:
      277
    • 2.jpg
      2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      525.2 KB
      เปิดดู:
      174
    • 3mosqa.jpg
      3mosqa.jpg
      ขนาดไฟล์:
      82.8 KB
      เปิดดู:
      155
    • 4.jpg
      4.jpg
      ขนาดไฟล์:
      185.4 KB
      เปิดดู:
      122
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กทม. เปิดพื้นที่ 10 เขต เสี่ยงไข้เลือดออกระบาดสูงมาก
    -http://health.kapook.com/view139885.html-

    กทม. เปิดพื้นที่ 10 เขต เสี่ยงไข้เลือดออกระบาดสูงมาก ชี้สถิติปี 2558 พบผู้ป่วยทั่วกรุง 28,177 ราย กำชับเจ้าหน้าที่ให้ความรู้ประชาชนกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ลดความเสี่ยงการระบาด

    เมื่อวันที่ 21 มกราคม 2559 แพทย์หญิงวันทนีย์ วัฒนะ รองปลัดกรุงเทพมหานคร เปิดเผยถึงสถานการณ์การระบาดของโรคไข้เลือดออกในพื้นที่กรุงเทพมหานครในปี 2558 พบว่า มีผู้ป่วย 28,177 ราย เสียชีวิต 5 ราย โดยกลุ่มอายุที่พบมีอาการป่วยมากที่สุด ได้แก่ อายุ 20-24 ปี รองลงมาคืออายุ 15-19 ปี และอายุ 10-14 ปี ซึ่งอัตราป่วยในพื้นที่กรุงเทพมหานครถือว่ามากเป็นอันดับที่ 5 จากทั้งประเทศที่มีผู้ป่วยรวม 142,925 ราย เสียชีวิต 141 ราย และถือเป็นอันดับที่ 1 เมื่อเทียบกับ 6 จังหวัดปริมณฑล

    อย่างไรก็ตามเมื่อดูจากสถิติการเกิดโรคไข้เลือดออกเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี มีการคาดการณ์ว่าในปี 2559 แนวโน้มการระบาดของโรคไข้เลือดออกจะมีความรุนแรงขึ้น โดยในกรุงเทพมหานครมีพื้นที่ซึ่งถูกจัดอยู่ในระดับความเสี่ยงสูงมาก 10 เขต ด้วยกัน คือ

    1. ลาดพร้าว
    2. จตุจักร
    3. ดินแดง
    4. วังทองหลาง
    5. บางกะปิ
    6. สวนหลวง
    7. ประเวศ
    8. วัฒนา
    9. บางพลัด
    10. ธนบุรี

    พื้นที่ระดับความเสี่ยงสูง 12 เขต ได้แก่

    1. บางแค
    2. บางบอน
    3. จอมทอง
    4. บางกอกน้อย
    5. พญาไท
    6. ราชเทวี
    7. ห้วยขวาง
    8. บางซื่อ
    9. บางเขน
    10. สะพานสูง
    11. บึงกุ่ม
    12. พระโขนง

    ส่วนพื้นที่อื่น ๆ มีความเสี่ยงระดับปานกลาง และความเสี่ยงน้อย อย่างไรก็ตามถือว่าทุกพื้นที่และทุกคนมีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อไข้เลือดออกเช่นกัน โดยผู้ได้รับเชื้อ 100 คน จะมีเพียง 10 คนที่แสดงอาการ ส่วนอีก 90 คน จะไม่แสดงอาการและหายไปเองได้

    แพทย์หญิงวันทนีย์ ยังได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ทำความเข้าใจและให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันโรคไข้เลือดออกแก่ประชาชนทั่วพื้นที่อย่างสม่ำเสมอ เนื่องจากการป้องกันไข้เลือดออกที่ดีที่สุดคือการทำลายแหล่งเพาะพันธุ์ยุงตามอาคารบ้านเรือน และที่สาธารณะต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อลดความเสี่ยงในการเป็นไข้เลือดออก นอกจากนี้กรุงเทพมหานครจะดำเนินการผ่านโรงเรียนในสังกัด โดยขอให้นักเรียนทุกคนกลับไปทำลายแหล่งน้ำขังที่เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุงในบ้านเรือนของตนเอง อีกทั้งขอความร่วมมือประชาชนเฝ้าระวังไข้เลือดออกในพื้นที่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ในการสอบถามข้อมูล หรือจัดกิจกรรมรณรงค์ต่าง ๆ ในชุมชนเพื่อให้สามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อ ผู้ป่วย และผู้เสียชีวิตจากไข้เลือดออกให้ได้มากที่สุด

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก กรมประชาสัมพันธ์
    -http://thainews.prd.go.th/website_th/news/news_detail/WNSOC5901210010065-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • l01.png
      l01.png
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      142
    • l02.png
      l02.png
      ขนาดไฟล์:
      963 KB
      เปิดดู:
      185
    • l03.png
      l03.png
      ขนาดไฟล์:
      1.3 MB
      เปิดดู:
      145
    • l04.png
      l04.png
      ขนาดไฟล์:
      866.9 KB
      เปิดดู:
      124
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กวนอูกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

    โดย Samkok Wittaya , เมื่อ วันพุธที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 , หมวด บทความสามก๊ก

    -http://www.samkok911.com/2012/11/Gaun-Yu-and-Monk.html-

    กวนอู ได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้า และมีอิทธิพลในด้านความเชื่อเป็นอย่างมากในทวีปเอเชีย โดยความเชื่อที่ว่ากวนอูเป็นเทพเจ้านี้แทรกซึมอยู่ในทุกเชื้อชาติ ลัทธิ และศาสนา โดยเฉพาะในศาสนาพุทธของเรา ที่มีพิธีกรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับเทพเจ้ากวนอูอยู่หลายต่อหลายครั้ง

    เรื่องอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ของกวนอูนี้ ไม่ได้มีอยู่แต่เฉพาะในหนังสือสามก๊กเท่านั้น หลาย ๆ ครั้งที่กวนอูได้แสดงให้เห็นว่า เขาคือเทพเจ้าที่ควรค่าแก่การนับถือ ตามคำบอกเล่ามากมายของผู้ที่เคยสัมผัสถึง ต่างก็ล้วนยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์ของเทพเจ้ากวนอู ซึ่งคนที่เคยสัมผัสถึงเทพเจ้ากวนอูนี้ มีบุคคลสำคัญในศาสนาพุทธ อย่าง "หลวงพ่อฤาษีลิงดำ" รวมอยู่ด้วย

    หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ หรือ พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) เป็นพระภิกษุในพุทธศาสนานิกายเถรวาทฝ่ายมหานิกาย ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าซุง (วัดจันทาราม) จังหวัดอุทัยธานี ที่มีชื่อเสียงในด้านการบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐานจนได้วิชามโนยิทธิ (ฤทธิ์ทางใจ) หลังการมรณภาพ สังขารร่างกายของท่านมิได้เน่าเปื่อยอย่างศพของคนทั่วไป และได้มีการเก็บรักษาไว้ที่วัดท่าซุงจนถึงปัจจุบันนี้ ซึ่งหลวงพ่อฯ ได้เคยเล่าเรื่องของกวนอูไว้ในหนังสือที่มีชื่อว่า"ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน"


    หนังสือ ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) หรือหลวงพ่อฤๅษีลิงดำ
    เรื่องราวในหนังสือ "ตายแล้วไม่สูญ...แล้วไปไหน" ของหลวงพ่อฯ นั้น ท่านเล่าถึงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์ของกวนอู ไว้ในตอนที่ 74 เรื่อง "ท่านกวนอูตายแล้วไปสวรรค์" อย่างสนุกสนานว่า

    ..เวลาประมาณ 2 ทุ่ม ยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ ไฟฟ้ายังสว่าง เวลานั้นอาตมาอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ขโมยมันมาซุ่มอยู่ในป่าไผ่ จะขึ้นหลังกุฏิพระครูวิชาญฯ เพราะมีพระพุทธรูปเก่ามาก ขณะนั่งอยู่นั้นอาตมาเห็นคนแต่งตัวเป็นเจ๊กเครื่องแบบนักรบมาถึงนั่งกราบแบบเจ๊ก ถามว่า "ใคร" ตอบว่า "ผมกวนอูครับ" ถามว่า "มาทำไม" ตอบว่า "พวกโจรมันมาซุ่มอยู่หลังป่าไผ่ 5 คน" ถามว่า "จะทำอย่างไร เพราะวัดไม่มีอาวุธ ไม่มีปืน ขโมยมีปืนไหม" ท่านตอบว่า "มีปืนทุกคน กลางคืนตอนดึกมันจะใช้ยารมให้หลับก่อน ตอนดึกลมจะพัดเข้า มันจะขึ้นหลังกุฏิพระครูวิชาญฯ ผมจะจัดกองทัพของผมเอง ก็หมาของท่านนั่นแหละจัดเป็นกองทัพ"

    วัดปากคลองมะขามเฒ่าตอนนั้นมีหมา 3 ฝูง ของอาตมาฝูงหนึ่ง ของพระครูวิชาญฯฝูงหนึ่ง ลูกศิษย์ครูหง่าฝูงหนึ่ง รวมแล้ว 50 กว่าตัว ปกติหมา 3 ฝูงนี่มันจะเข้ากันไม่ได้มันอยู่ตามเขตของมัน ท่านกวนอูบอกว่า "พอ 3 ทุ่มผมจะจัดกองทัพ พอถึงตี 1 กว่าๆ หมาไม่นอนกันแล้ว พอตี 2 เสียงโฮกมันเข้าถึงกุฏิแล้ว ถ้าเห่าๆ มันยังไม่เข้า มันกำลังจะใช้ยาเข้ารม หมาเงียบหมด เงียบสนิทนึกว่าหมาหลับ พอเสียงโฮกไปดู ได้ทั้งปืนได้ทั้งเสื้อ ผ้าขาวม้า ได้ปืน 2 กระบอก มีดพก 1 เล่ม ขโมยหนีเข้าป่า มันกัดหน้าแหลกรานเลย ท่านกวนอูบอก "พรุ่งนี้บอกตำรวจได้ทั้ง 5 คน" ก็ได้จริงๆ หมาตั้ง 3 ฝูง ปืนยิงมันกัดเสียปืนหล่น

    ทราบทีหลังว่า ที่วัดปากคลองมะขามเฒ่ามีศาลาท่านกวนอู และอาตมาก็อยู่ใกล้ศาลาท่าน ต่อมาวันหลังนึกถึงท่านกวนอูวันที่ท่านมาในภาพนักรบจีน เลยอยากถามท่านว่า "จริงๆ แล้วท่านเป็นอะไร" ท่านก็มาใหม่เป็นเทวดาใส่ชฎาพราวเลย จึงถามท่านว่า "ท่านเป็นนักรบ เป็นเทวดาได้อย่างไร" ท่านตอบว่า นักรบก็ทำบุญเป็นนะครับ สมัยโบราณยามว่างก็ทำบุญกันอยู่เรื่อย ท่านนึกถึงพระที่อกอยู่เรื่อย..


    เว็บไซต์ที่เกี่ยวข้อง

    พระราชพรหมยาน (วีระ ถาวโร) - วิกิพีเดีย
    หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ, พระราชพรหมยาน, พระสุธรรมยานเถร, พระมหาวีระ ถาวโร
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไวรัสซิกา โรคอันตรายไร้วัคซีนป้องกัน ภัยอีกขั้นจากยุงลาย
    -http://health.kapook.com/view139846.html-

    ไวรัสซิกา อีกหนึ่งโรคอันตรายที่มียุงลายเป็นพาหะ ที่น่ากลัวคือยังไร้วัคซีนป้องกัน เป็นแล้วอาจร้ายแรงถึงขั้นสมองผิดปกติ

    ถ้าว่ากันถึงภัยจากยุงลายที่เรารู้จักกันดีอย่างไข้เลือดออกแล้ว ยังมีอีกความอันตรายหนึ่งที่น่ากลัวไม่แพ้กันนั้นก็คือ ไวรัสซิกา ซึ่งเป็นไวรัสที่อาจส่งผลต่อการทำงานของสมองได้ โดยช่วงปี 2558 มีการระบาดใน 14 ประเทศในแถบลาตินอเมริกา โดยเฉพาะประเทศบราซิลที่การระบาดรุนแรงจนต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ขณะที่เมื่อต้นปี 2559 เจ้าหน้าที่ท่าอากาศยานนานาชาติเถาหยวน ของไต้หวัน ก็ตรวจพบชายไทยติดเชื้อนี้ ขณะกำลังเดินทางเข้าประเทศ จึงได้เวลาแล้วที่เราควรจะทำความรู้จักกับเจ้าเชื้อไวรัสซิกากันแบบจริงจัง แม้จะยังไม่ใช้่เรื่องใกล้ตัว แต่ก็ไม่ควรละเลยด้วยประการทั้งปวงค่ะ

    ไวรัสซิกา คืออะไร ?

    ไวรัสซิกา หรือไข้ซิกา เป็นเชื้อไวรัสในตระกูลเฟลวิไวรัส (flavivirus) มีลักษณะคล้ายคลึงกับ ไวรัสไข้เหลือง ไวรัสเดงกี ซึ่งเป็นสาเหตุของไข้เลือดออก รวมทั้งไวรัสเวสต์ไนล์ที่เป็นสาเหตุของไข้สมองอักเสบ และเชื้อไวรัสไข้สมองอักเสบเจอีซึ่งทั้งหมดล้วนมียุงลายเป็นพาหะ เชื้อไวรัสซิกาถูกค้นพบครั้งแรกจากในน้ำเหลืองของลิงวอก ที่ถูกนำมาป่าซิกาในประเทศยูกันดา เพื่อศึกษาไข้เหลือง เมื่อปี พ.ศ. 2490 และพบในคนเมื่อปี พ.ศ. 2511 ในประเทศในจีเรีย เชื่อไวรัสซิกาพบได้ในประเทศแถบทวีปแอฟริกา ทวีปอเมริกา ทวีปเอเชียใต้ และหมู่เกาะในแถบมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก

    สถานการณ์ของไวรัสซิกาในประเทศไทยและต่างประเทศ

    จากการรายงานของขององค์การอนามัยโลกพบว่าเชื้อไวรัสซิกาได้ระบาดในแถบทวีปอเมริกาใต้อย่างหนักมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2558 โดยเฉพาะในประเทศบราซิลและโคลอมเบีย ซึ่งประเทศบราซิลถือเป็นประเทศที่มีการระบาดหนักที่สุดจนถึงขั้นต้องประกาศภาวะฉุกเฉิน หลังพบเด็กทารกแรกเกิดติดเชื้อและมีความผิดปกติทางสมองเกือบ 4 พันราย ส่วนในประเทศโคลอมเบียมีการคาดการณ์ว่าการระบาดของไวรัสซิกาอาจทำให้มีผู้ป่วยถึง 600,000-700,000 คน ทางกระทรวงสาธารณสุขโคลอมเบียจึงออกประกาศแนะนำให้สตรีเลื่อนการตั้งครรภ์ออกไป 6-8 เดือนเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อไวรัสดังกล่าว

    ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐอเมริกา ก็วิตกกังวลกับสถานการณ์การระบาดดังกล่าว จึงออกประกาศเตือนให้หญิงที่ตั้งครรภ์และบุคคลทั่วไปเลี่ยงการเดินทางไปยัง 14 ประเทศที่มีการระบาดของโรค ได้แก่ บราซิล โคลอมเบีย เอลซัลวาดอร์ เฟรนช์เกียนา กัวเตมาลา เฮติ ฮอนดูรัส มาร์ตีนิก เม็กซิโก ปานามา ปารากวัย ซูรินาม เวเนซุเอลา และเปอร์โตริโก เพื่อความปลอดภัยค่ะ

    ไม่เพียงเท่านั้น ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 มกราคม 2559 กองควบคุมโรคของไต้หวัน ได้ออกมาประกาศว่าพบผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสซิกา 1 ราย เป็นชายไทยที่เดินทางเข้าไปทำงานในไต้หวันผ่านทางสนามบินนานาชาติเถาหยวนเมื่อวันที่ 10 มกราคม 2559 โดยได้รับการยืนยันว่าติดเชื้อไวรัสซิกาหลังจากเจ้าหน้าที่สนามบินพบว่าชายดังกล่าวมีไข้สูงผิดปกติจึงนำตัวไปตรวจเลือดเพื่อวินิจฉัยอย่างละเอียด ส่วนผู้ร่วมเดินทางมาด้วยกันอีก 2 คน เมื่อตรวจแล้วก็ไม่พบเชื้อดังกล่าวแต่อย่างใด

    สำหรับในประเทศไทย หลังจากพบการติดเชื้อของนักท่องเที่ยวหญิงจากประเทศแคนาดาเมื่อปี พ.ศ. 2556 ก็ยังไม่มีผู้ติดเชื้อรายใหม่แต่อย่างใด แต่ยังคงมีการเฝ้าระวังการติดเชื้อจากกรมควบคุมโรคอยู่อย่างใกล้ชิด

    ไวรัสซิกา โรคอันตรายไร้วัคซีนป้องกัน

    ไวรัสซิกา ติดต่อได้อย่างไร

    ไวรัสซิกาเป็นเชื้อไวรัสที่มียุงลายเป็นพาหะ ดังนั้นการติดต่อจึงมาจากการถูกยุงที่มีเชื้อกัด และทั้งนี้ก็ยังไม่พบว่าสามารถติดต่อจากคนสู่คนได้

    ไวรัสซิกา อาการเป็นอย่างไร

    องค์การอนามัยโลกระบุว่า มีผู้ติดเชื้อราว 1 ใน 4 ที่จะแสดงอาการออกมาให้เห็นหลังได้รับเชื้อ ซึ่งจะปรากฏอาการคล้ายคลึงกับอาการของโรคไข้เลือดออก ได้แก่ มีผื่นแดงขึ้นตามตัว ไข้ขึ้นสูง เยื่อบุตาอักเสบ ปวดกล้ามเนื้อและข้อต่อ รู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัว และปวดหัว อาการเหล่านี้ทุเลาลงภายในเวลา 2-7 วัน หากได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที

    แต่ถ้าหากปล่อยไว้ อาการอาจจะรุนแรงจนถึงขั้นทำให้ระบบการทำงานของสมองผิดปกติได้ ทั้งนี้หากเป็นผู้ป่วยหญิงที่กำลังตั้งครรภ์ เชื้อไวรัสดังกล่าวอาจจะทำให้เกิดความผิดปกติกับทารกในครรภ์ ซึ่งจะทำให้ทารกมีความผิดปกติที่ศีรษะ โดยจะมีกะโหลกศีรษะและสมองที่เล็กกว่าปกติ


    ไวรัสซิกา รักษาอย่างไร

    แม้จะเป็นโรคที่ไม่รุนแรง แต่โรคไวรัสซิกา ก็ยังเป็นโรคที่ยังไม่มีวัคซีนป้องกัน หรือวิธีการรักษาที่แน่ชัด ทำได้แค่เพียงรักษาตามอาการเช่นเดียวกับโรคไวรัสอื่น ๆ ที่มียุงลายเป็นพาหะ ดังนั้นผู้ป่วยควรพักผ่อนมาก ๆ และดื่มน้ำให้เพียงพอ ทานยาตามแพทย์สั่ง นอกจากนี้ก็ยังควรระมัดระวังไม่ให้เกิดอาการแทรกซ้อนที่ไม่พึงประสงค์อื่น ๆ อีกด้วย

    ไวรัสซิกา ป้องกันได้อย่างไร

    วิธีป้องกันที่ดีที่สุดของโรคไวรัสซิกา หรือไข้ซิกาก็คืออย่าพยายามให้ยุงกัด อีกทั้งยังควรกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายให้สิ้นซาก เพื่อเป็นการตัดวงจรการขยายพันธุ์และป้องกันโรคที่อาจมากับยุงลายนอกเหนือไวรัสซิกาได้แก่ โรคไข้เลือดออก โรคไข้เหลือง โรคไข้เวสต์ไนล์ และโรคชิคุนกุนยา นอกจากนี้ถ้าอยากทราบวิธีป้องกันไม่ให้ยุงกัดด้วยวิธีธรรมชาติละก็ลองตามไปอ่านที่นี่ได้เลย 12 วิธีป้องกันยุงกัดส่งตรงจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี

    ได้รู้จักกันมาขึ้นแล้วกับโรคไวรัสซิกา คราวนี้ก็อยู่ที่ตัวของเราเองนี่ล่ะค่ะที่จะต้องดูแลรักษาสุขภาพของตัวเองให้ดี ยิ่งถ้าหากใครที่ต้องเดินทางไปในประเทศที่มีการระบาดก็ควรใส่ใจสุขภาพให้มาก ไม่อยากเจ็บป่วยทีหลังก็อย่าชะล่าใจนะคะ


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    Taiwan Centers for Disease Control
    กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
    -krobkruakao.com-
    World Health Organization
    -paho.org-


    [​IMG]
    ภาพจาก paho.org

    ไวรัสซิกา โรคอันตรายไร้วัคซีนป้องกัน ภัยอีกขั้นจากยุงลาย
    -http://health.kapook.com/view139846.html-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องที่คนเล่นพระต้องรู้ แต่เซียนพระไม่อยากอ่าน (คัดบทย่อ เวปพี่อุ๊มาครับ)
    -http://www.watkositaram.com/forum/index.php?topic=9345.0%3Bwap2-

    โอ๋ ชัยนาท:
    บทความของ คุณ wertex ขอบคุณมากครับ

    เรื่องที่คนเล่นพระต้องรู้ แต่เซียนพระไม่อยากอ่าน(เมื่อสมันน้อยหาญกล้าวิจารณ์เซียน

    เมื่อสมันน้อยๆ หาญกล้าวิจารณ์เรียน(เรื่องที่คนเล่นพระต้องรู้แต่เซียนไม่อยากอ่าน)

    วันนี้เรามามองเซียนพระเครื่องกันดีกว่า แต่ขอออกตัวก่อนนะครับว่า เซียนที่ดีก็มีครับแต่น้อยมากๆเฉลี่ยร้อยละไม่เกิน 10 คนครับ

    บทความนี้เขียนขึ้นจากการที่ รู้เห็นการกระทำของคนในวงการพระทั้งที่เป็นที่ยอมรับและไม่ยอมรับของสังคมเป็นระยะมาหลายสิบปี ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ให้เพื่อนนักนิยมพระทั้งหลาย รู้จักการวางตัวและการคบหากับเซียนเล็กเซียนใหญ่ทั้งหลายให้ถูกต้องและอย่าได้ถลาลึก จะได้รอดจากปากเหยี่ยว ปากกา หรือสมควรเรียก เสือ สิงห์ กระทิง แรด จะถูกต้องกว่า....

    1.ความเป็นเขี้ยวลากดิน

    ความเป็นเขี้ยวลากดินนี้ในวงการพระก็เป็นเรื่องแปลก ไม่มีใครสอนหรือเปิดอบรมแต่มันเป็นขึ้นมาเองโดยสิ่งแวดล้อม เรียกตามแนวศิลป์อาจจะเรียกว่า สืบทอดกันมาโดยจิตวิญญาณ 55 อันนี้มองเป็นเป็นรูปธรรมได้ไม่ต้องใช้ความรู้สึก เช่น เวลาท่านนำพระแท้ๆไปแห่ขาย(ขอให้เป็นพระที่วงการเล่นหากัน เอาเป็นว่าพอนิยมกันนะครับ) จะได้คำวิพากวิจารณ์และการตีสีหน้าของเซียนเวลาส่องพระ ไม่รู้ท่านพวกนี้ทำไมต้องทำสีหน้าเครียดเหมือนเวลาญาติสนิทตัวเองป่วยไม่ทราบ พร้อมกับถามว่า “ตีไว้เท่าไร” (อันนี้คือเรียกว่ากฎหัวขาด ห้ามให้ราคาก่อนเผื่อคนเอาพระมาขายเป็นเอ๋อ) พอเราบอกไปจะได้ยินคำพูดต่อคือ “ลดได้เยอะมั้ย” พร้อมคำวิพากวิจารณ์แบบเรียกว่า เจ้าของพระได้ยินแล้วอยากจะขว้างพระตัวเองทิ้งตอนนั้นเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปซะเลย เมื่อพูดคุยถึงจุดสุดท้ายราคาที่ได้คือ ราคำที่ต่ำกว่าราคาขายท้องตลาด หาร 2 หาร 3 นู่น..........

    2.มาดเหลือแดรกกก....มากับเล่ห์เพทุบาย..

    อันนี้ก้อต่อเนื่องจากข้อแรก คือเวลาเจอพระก้ำกึ่งหรือพระที่ดูยาก หรือพระที่ มีการสร้างคล้ายกันหลายสำนักแต่ตีไม่ออกว่าที่ไหน จะมีการกวักหรือโทรเรียก(อันนี้ตัวผมเรียกว่า เซียนรับเชิญ) เซียนสายตรงเป็นท่อมา ฮาๆๆๆๆ คราวนี้เรารอสักแป๊ป ก็จะเห็นเซียนที่ถูกเชิญมา ทั้งท่าเดิน ที่บางคนก็เดินถ่างขา ดูเหมือนคนเป็นซิฟิลิส(โรคคนแก่รุ่นเก๋า)ยังไงยังงั้น พร้อมสีหน้าเครียดอีกเหมือนกัน(คราวนี้ตีสีหน้าเหมือนรู้ว่าเมียมีชู้) พวกนี้ดูดีๆก็น่าสงสารเหมือนกันนะครับ รูปร่างหน้าตาส่วนใหญ่มักผิดระเบียบส่วนใหญ่หน้าตาน่ากลัวทั้งนั้น ชะลอยจะเหมือนคนโบราณว่า บุญทำกรรมแต่งเมื่อทำชั่วมากๆหน้าตาก็จะเริ่มเปลี่ยนไปในด้านมืด ภาษาอังกฤษเรียกDark Side 55(มองดูไม่น่าคบแววตาจะระแวดระวังตัว แต่ก็คอยมองหาเหยื่อเช่นกัน(ก็กลัวงาบโดนกระดูกติดC-4) ดีอยู่อย่างพวกนี้ส่วนใหญ่ได้เมียหน้าตาดี อิอิ..แล้วก็เหมือนเดิมครับ..คำพูดคำวิจารณ์ไม่ต่างกับเซียนท่านแรกแต่ที่มาแปลก คือคำตัดสิน ผมเคยนำกริ่ง หม้อน้ำมนต์โต เจ้าคุณศรี(สนธุ์) วัดสุทัศน์ไปปล่อยที่ท่าพระจันทร์ อ้ายเซียนรับเชิญ กลับตีเป็น ล.พ.ห้อง วัดช่องลมซะฉิบ! ซึ่งราคาค่านิยมต่างกันริบ แต่มันคงเป็นสันดานที่เห็นแก่ได้ที่ขาดซึ่งความสำนึก ที่สืบทอดต่อกันมาเป็นรุ่นๆ ดีนะครับที่ไม่ได้ขายไป แต่นำมาลงหนังสือขายได้เงินหลายหมื่นพวกท่าพระจันทร์ตอนนั้นตีเป็น ล.พ.ห้อง วัดช่องลมให้สี่ห้าพัน...

    3.บุญคุณไม่ตอบแทน.....แต่ ถ้าม รึ งแร้นแค้นกรู..ไม่คบ

    เมื่อสมัยก่อน ประมาณปี2536-2540 ผมเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง พอมีเงินหมุนสบาย และชอบเช่าพระเก็บไว้ เช่น สาย ล.พ.พรหม, สาย วัดปากน้ำ, ล.ป.โต๊ะจนสนิทกับเซียนสายตรงท่านหนึ่งเพราะเช่าพระเขาเป็นเงินหลายๆแสน ในสาย ล.พ.พรหม ซึ่งตอนนั้นพระ ล.พ.พรหม ราคาไม่แพงมากเรียกว่าซื้อง่ายขายคล่อง มีพระ ล.พ.พรหม เป็นจำนวนมาก เมื่อตอนเซียนท่านนั้นจะซื้อบ้าน แต่ยังขาดสภาพคล่อง ได้เอ่ยปากขอยืมเงิน200,000.-เดือนกว่าจะให้คืน ผมหยิบเช็คเซ็นต์ให้ทันที โดยไม่คิดดอกเบี้ยและบอก มีเมื่อไรค่อยคืนก็ได้ แต่ประมาณเดือนกว่าก็ได้คืนครับ ก็นับว่าเครดิตเซียนท่านนี้ใช้ได้ทีเดียว จนมาถึงเมื่อพิษเศรษฐกิจ ปี2540 เกิด นักธุรกิจล้มระเนระนาด ผมก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เดือดร้อนมากที่สุด ได้นำพระ ล.พ.พรหม ที่มีเป็นกล่องๆไปขายให้เซียนท่านนั้นเพื่อนำไปจ่ายค่าวัสดุก่อสร้างและค่าแรงงาน แต่คำตอบที่ได้คือ “ไม่อยากตีราคาให้คุณ..(ชื่อผม)..เลย ฝากที่ร้านขายให้ดีกว่านะ” อันนี้ผมเข้าใจครับเพราะถ้าเขาตีราคาให้ก็คงต่ำกว่าท้องตลาดเป็นครึ่งๆจึงไม่กล้าตีให้ แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งผมเคยเอ่ยปาก ขอยืมเงิน แค่ 3000บาท แต่คำตอบที่ได้คือ การปฏิเสธ อันนี้ขอเตือนเป็นข้อคิดนะครับว่า เซียนท่านนั้นคงเห็นผมตกอับ แล้ว ซึ่งผิดกับเมื่อก่อนก็เลยไม่กล้าให้ยืม ชะลอยจะคิดว่าแต่ก่อน กรูยืมมึงเป็นแสน มรึงมีให้ แต่ตอนนี้ มรึงกับมายืมกรูแค่สามพัน 55 เรื่องไรกรูจะให้ ยังมีอีกคนครับเคยกู้เงินผมๆก็คิดดอกร้อยละ3 โดยไม่มีสัญญาหรือสิ่งค้ำประกันใดๆทั้งสิ้น ไปเป็นเงินหลายหมื่น ไม่มีต้นให้ก็ส่งแต่ดอกมาครับ เรียกว่าไม่มีกำหนดส่งต้น คนนี้หลายเดือนครับกว่าจะได้ต้นคืนแต่ก็ได้ครบครับไม่มีปัญหาใดๆ แต่ในยามที่ผมเดือดร้อนและเซียนท่านนี้มีเงินทองมากมาย เฉพาะพระในตู้ที่มีทั้งเลี่ยมทองและตลับทองคิดแค่ทองคำอย่างเดียวก็น่าจะหลักหลายแสนขึ้นครับ วันนั้นผมถือพระชินราชอินโดจีนไปห้าองค์ มูลค่าตามท้องตลาดน่าจะสองถึงสามหมื่นขึ้น ผมยื่นให้เขาพร้อมพูดว่า “เราขอยืมเงิน12,000 เราวางพระห้าองค์นี้ไว้ เป็นประกันให้ คิดดอกเท่าไรคิดไป” แต่คำตอบที่ได้คือ “สมัยนี้ใครจะเอาเงินมารับจำนำพระ เงินจม เอาไว้ซื้อพระไม่ดีกว่าหรือ ทำไมไม่ขายไปเลย” นี่คือสันดานของเซียนที่เห็นแต่ผลประโยชน์ที่ยามเรามีเงิน กับไม่มีเงิน ความสัมพันธ์ย่อมไม่เหมือนกัน แต่ยังดีครับเมื่อคราวนั้นยังมี คุณ อุ๊ กรุงสยาม เมื่อคราวที่ เปิดสำนักงานอยู่ข้างวัดราชนัดดา แล้วตอนนั้นมีนิตยสารกรุงสยาม กับนิตยสารในเครือ หัวใหม่ชื่อ “ราคา&พระเครื่อง” ออกมาวางแผง..ได้ลงพิมพ์ว่ารับจำนำพระ โดยคิดดอกร้อยละ5 ซึ่งผมถือว่าไม่แพงเลยถ้าไปเทียบกับการที่เราจะเอาไปขายแล้วโดนกดราคา และบางครั้งมันก็ไม่ใช่ราคาเพียงอย่างเดียว ผมว่านักนิยมพระทุกคน จะต้องมีพระที่ตัวเองรักอยู่ ไม่องค์หนึ่งก็หลายๆองค์ แต่เมื่อถึงคราวจำเป็นต้องใช้เงิน การจำนำพระไว้กับร้านที่เชื่อถือได้ เพื่อเอาเงินมาแก้ขัด ก็ยังเป็นทางออกที่ดี ซึ่งตอนนั้นผมจำนำพระชุดนี้เป็นปีครับ ส่งดอกครั้งละเดือนบ้าง ถ้าไม่มีก็ขอส่งดอกครึ่งเดือนบ้างทางร้านก็ไม่ว่าอะไร โดยโทรบอกเสมียนผู้หญิง(น่าตาน่ารักดี โทษทีที่จำชื่อเธอไม่ได้แล้ว) ว่าโอนดอกเบี้ยมาให้แล้วนะ เรียกว่าความคิดที่จะยึดพระลูกค้าไว้ไม่มีแน่นอน ซึ่งก็ถือว่าคุ้มตอนหลังผมขายพระชุดนี้ให้เพื่อนได้เงินมาหลายหมื่น ถ้าตอนนั้นขายให้เซียนไปคงได้ไม่เท่าไร ผมไม่รู้ว่า เดี่ยวนี้ ทางคุณ อุ๊ ยังให้บริการด้านนี้อยู่อีกไหมเพราะมันผ่านมาหลายๆปีแล้ว แต่ถ้ามีผมว่าช่วงนี้ก็เป็นโอกาสดีนะครับ

    4.ไม่มีมิตรและศัตรูที่ถาวร

    อันนี้เหมือนนักการเมืองน้ำเน่าปัจจุบันเป๊ะ....คนพวกนี้พอผลประโยชน์ร่วมกันก็กินเที่ยวด้วยกัน แต่พอผลประโยชน์ขัดกันก็โจมตีกันเอง เรื่องนี้ทุกท่านน่าจะเคยเจอ ถ้าสนิทกับตู้ไหน จนพอไว้เนื้อเชื่อใจก็จะได้ฟังเรื่องเล่าเค้ามหากาพย์ ไม่รู้จบ โจมตีกันไปมา

    5.องค์เดียวกัน 15 นาที เปลี่ยนเป็น รุ่นอื่น

    เคยเดินเล่นในบางลำพูงามวงค์วาน(ชื่อเมื่อก่อน)เผอิญเดินผ่าน ตู้หนึ่ง (มีชื่อเสียงในสายเครื่องรางพอสมควร) เห็นมีคนเอากะลาแกะ รูปราหูมาปล่อย ผมปาดตามองเห็นพระเลี่ยมพลาสติกอยู่ โดยจับขอบชิ้นกลางเป็นสีเหลือง ก็มองไว้ แต่ดูไม่เป็นหรอกครับ ได้ยินเสียงเซียนต่อรองกับผู้นำมาปล่อยว่าราคามันแรงไป แค่ ล.พ.ปิ่น ยุคต้น..ตอนนั้นผมยืนหันหลังให้เขาเพราะแกล้งทำเป็นส่องพระจากแผงขาจรอยู่ ซึ่งวันนั้นมีตลาดนัด ก็ฟังไป จนเขาตกลงราคาซื้อขายกันแค่ 800 บาท ในใจตอนนั้นผมก็อยากได้พระราหูมาใช้เสริมดวงอยู่เหมือนกัน คิดว่า ซื้อต่อคงไม่แพงมากแต่จะเข้าไปซื้อตอนนั้นเลยก็น่าเกลียด เลยแกล้งเดินไปที่อื่น รอบๆนั้น อีก 15 นาที เดินกลับมา ผมมายืนหน้าตู้ แล้วถามว่า “พี่ครับ ราหู องค์นี้ ของ ที่ไหนครับ” “องค์นี้กะลาแกะ ล.พ.น้อย ครับ”เซียนท่านนั้นตอบเล่นมาผมตัวชาไปเลย แต่ก็ยังรวบรวมสติท่ามกลางความตกตะลึง ถามกลับออกไปว่า“เท่าไรครับ”“22,000 ครับ” ตอนนั้นแทบล้มทั้งยืนเลยครับ ผมจำพระได้ครับ เลี่ยมกรอบพลาสติคจับขอบชั้นกลางเป็นสีเหลืองและในตู้มีองค์เดียวที่เลี่ยมแบบนี้ ไฉนจาก ล.พ.ปิ่น ผ่านไปไม่ถึง15นาที มันเป็น ล.พ.น้อย ได้ไง(วะ)แล้วราคานี่...อ่ะ มันพุ่งทะลุเพดานห้างไปชนโลกพระจันทร์จนต้องหาช่างมาซ่อมหลังคาห้างขนาดนั้นเชียวหรือ 800 เป็น 22000.-โอว์......อาร์....อูว์........

    6.เพื่อนช่วยเพื่อน น้อยกว่านี้ได้ไง (พระของเพื่อนข้า ใคร! อย่าแตะ)

    เมื่อหลายปีก่อน เซียนสายตรงเป็นท่อท่านหนึ่ง(ความจริงโดน2ถ้าไม่มีใครมานั้งมากกว่านี้) มีนิวาศสถานอยู่บนห้างๆนึง โดนพระสาย ท้องถิ่นตัวเอง(ถ้าบอกว่าเป็นพระกรุไหน จะรู้กันทั้งห้างเลย) ซึ่งเป็นหระหลักจัดอยู่ในความนิยมอันดับต้นๆ คราวนั้นโดนของยอดฝีมือปาดจนคอแทบขาด กว่าจะรู้เพราะคนที่นำมาปล่อย เอามาบ่อยอีกครั้งเลยชักเอะใจ เพราะซื้อขายกันครั้งแรกก็หลักหลายล้านไปแล้ว พอมารู้ก็ไม่รู้ทำไง เพราะพระที่ซื้อมาก็ปล่อยให้ลูกค้าไปหลายองค์แล้ว คราวนี้ปัญหามันอยู่ที่งานประกวดนี่ซี...เมื่อมีการนำพระกรุนี้(ซึ่งสุดท้ายคือพระเก๊นำมาส่งประกวด)กรรมการที่รับพระสายนี้ ท่านหนึ่งรู้ว่าพระองค์นี้ ซื้อมาจากที่ไหน(ก็ข่าวดังขนาดนั้น)จึงถามท่านประธานผู้จัดว่าจะทำไง สิ่งที่ได้ยินคือ “อ้าย.....มันโดนมา ช่วยรับหน่อยแล้วกัน”5555 น้ำใจช่างเป็นเลิศประเสริฐศรีดีแท้ทีเดียวเชียวนะมรึง......(กรณีนี้มีหลายครั้ง หลายเหตุการณ์ครับ จนเป็นเรื่องธรรมดาของกรรมการรับพระไปแล้ว)

    7.ขึ้นทำเนียบ จับตาย!!!

    เรื่องนี้แยบยลนิดหน่อย เพราะเกิดจากกลุ่มเซียนกลุ่มหนึ่ง จริงๆก็มีหลายกลุ่มแหละ เมื่อมีชื่อเสียง ก็ต้องทำหนังสือพระ(ที่เป็นปกแข็งหรือปกอ่อนแบบเฉพาะกิจ ไม่ใช่นิตยสารรายปักษ์หรือรายเดือน)ขึ้นมา อันถือว่า ขึ้นทำเนียบเซียนใหญ่ เพราะมีหนังสือปกแข็งในนามของตัวเองขึ้นมา เช่น เฉพาะกิจ ล.พ......... เฉพาะกิจ พระกริ่ง...... อะไรทำนองนี้ คราวนี้ได้การครับ กลุ่มตัวเองบางคนเห็นแก่ผลประโยชน์ โดยไม่เห็นแก่ความเดือดร้อนของชาวบ้าน ก็นำพระเก๊ยัดเข้ามาผสมโลง อาร์......คราวนี้พระเก๊ก็แทบเป็นพระแท้ไปโดยปริยายเพราะได้ลงหนังสือมีหลักฐานอ้างอิง แถม จัดทำโดยเซียนพระชื่อดังด้วย คนได้ซื้อพระไปก็อดที่จะภูมิใจไม่ได้ที่พระที่ตัวเองซื้อมาได้ลงอยู่ในหนังสือ....แต่คนขายก็ยิ้มอยู่ในใจเช่นกัน 555

    8.งานบุญไม่อาราธนาศีล

    พวกนี้งานบุญที่ไหน จะเลี่ยงอาราธนาศีลในข้อ 4 เป็นส่วนใหญ่ ก็ไม่รู้เพราะอะไร (ท่านผู้อ่านไปคิดดูเอาเอง)เวลาไปร่วมงานบุญ พอพระสงฆ์ท่านท่องมาถึงข้อที่4นี้ พวกนี้จะเงียบกริบ ไม่ยอมรับศีล (ไม่เชื่อลองสังเกตดู)

    9.พระที่เซียนซื้อบางครั้งก็ไม่แท้เสมอไป(รู้ว่าเขาหลอก แต่เต็มใจให้หลอก)

    เพราะบางทีเซียนใหญ่ก็ซื้อพระเก๊ไป ทั้งๆที่รู้ว่าเก๊(ในราคาที่ไม่ถูกนะครับ) เพราะพระนั้นเป็นพระที่ทำออกมาดีเรียกว่า เล่นได้ อันนี้ไม่เรียกว่าโดนนะครับ แต่ต้องเรียกว่า เต็มใจมากกว่า ผมเคยถามทำไมถึงซื้อ แล้วได้คำตอบที่ดูดีว่า “เอาไว้ดู เป็นตัวอย่าง” แถมยังซื้อแพงซะด้วยยกตัวอย่าง เช่น พระกรุๆหนึ่งของแท้ซื้อขายกันองค์ละหลายแสน แต่พอเจอพระฝีมือที่มีคนนำมาจะยิง ก็ออกตัวล้อฟรีไว้ก่อนเลยครับ “ขอไปเล่นน่า เท่านี้ได้ไหม” บางทีงงครับราคาของเก๊ เซียนซื้อเป็นหมื่น(บางทีหลายหมื่นด้วยซ้ำ) เสี่ย เน๊กไท ทั้งหลายที่ชอบซื้อกับเซียนหย่ายก็พึงสังวรไว้บ้างนะครับ

    10.เซียนก็อยู่รูได้เช่นกัน (เมื่อเซียนกลายเป็นผีและผีกลายเป็นสาง นี่คือสุดยอดแห่งเซียน)

    เกือบ10ปีแล้วเห็นจะได้มั้ง เซียนริมน้ำชื่อดังท่านหนึ่ง มีฝีมือในการเล่นพระสายเกจิ ลึกๆ แต่ดวงดาวลิขิตให้มาต้องติดการพนัน เป็นหนี้ปั๊วบอลนับล้าน ต้องหนีหัวซุก หัวซุน จนเซียนท่านนี้กลายเป็นผี ต้องหลบๆซ่อนๆ แต่เขา เก่งทั้งในเรื่องพิมพ์พระ และเนื้อพระ ก็เลยเสกพระเกจิชุดนึงเป็นพระยอดฝีมือออกมา(ผมเคยเห็นทุกขั้นตอนในการพิมพ์พระและทำพระให้เก่า โดยเพื่อนที่คบกันมานานที่เป็นผีสนามพาเข้าไป) อาละวาดครั้งแรกในถิ่นของตัวเองเรียกว่า โดนกันระนาว เพราะชุดแรกให้เด็กหรือผู้หญิงถือไป(นัยว่า ถ้าเด็กหรือผู้หญิงถือไป เซียนใหญ่ น้อยทั้งหลายจะระวังตัวน้อยลงแต่ตอนนี้คงไม่แล้วมั้ง) ได้ผลชุดแรก ถล่มเซียนใหญ่น้อยจนยับ และทุกวันนี้จากผีกลายเป็นสาง ได้ส่งพระฝีมือ ออกมาเป็นระลอกๆ จนมีชื่อเสียงทางด้านนี้เป็นอย่างมากและเป็นที่ทราบกันว่า หากพระเก๊ยอดผีมือนี้ส่งไปยิงผู้ใด สางตนนี้มักจะ ทราบเรื่องราวเสมอ ว่ามาจากสายไหน (มีหลายกลุ่ม หลายสาย บางกลุ่มก็ผลิตของฝีมือออกมาตามใบสั่งของเซียนใหญ่ที่มีผู้นับหน้าถือตาด้วยซ้ำ อนิจจา.....)และนี่คือผีที่กลายเป็นสางที่เซียนกลัวที่สุดตนหนึ่งเลยทีเดียว

    บทสรุป

    ทั้งหมดที่ผมรวบรวมมานั้น เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่ง เรื่องลึกกว่านี้ยังมีอีกเยอะถ้านำมาเล่า กลัวว่าสังคมพระส่วนใหญ่จะรับไม่ได้ แต่ก็น่าจะพอเป็นประโยชน์ในการวางตัว และคบหากับเซียนบ้างนะครับ แต่อย่างที่บอก เซียนดีๆก็มี แต่น้อยครับ จึงไม่มีตัวอย่างในทางที่ดีมาเล่าให้ฟังได้มากเท่าไร หากใครมีประสบการณ์ในด้านดีๆ ก็นำมาเล่าสู่กันฟังในเวปบ้างก็จะดี เซียนคนไหนที่อยู่ข่ายที่เล่ามาก็สมควรจะสำเหนียกปรับปรุงตนเองเสียใหม่ ให้วงการพระเครื่องเป็นที่พึ่งพาของผู้ที่เดือดร้อนได้อีกทางหนึ่ง โดยไม่ถูกริดรอนสิทธิ์และเอาเปรียบมากจนเกินไป ใจเขาใจเรา...ครับ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีไล่แมลงสาบสูตรธรรมชาติ ไม่ให้ยั้วเยี้ยในบ้าน
    -http://home.kapook.com/view100578.html-

    [​IMG]

    วิธีไล่แมลงสาบสูตรธรรมชาติ สัตว์ตัวเล็กยั้วเยี้ยที่ชอบเข้ามาวิ่งเล่นอยู่เต็มบ้าน ถ้าใครอยากได้วิธีไล่แมลงสาบเรามีสูตรธรรมชาติมาฝากให้ลองกันค่ะ

    วิธีไล่แมลงสาบสำหรับคนที่กลัวแมลงสาบ แค่นึกถึงตอนมันกระพือปีกบินเข้ามาหาเราพร้อมกับหนวดยาว ๆ ทั้งสองข้าง ก็ทำให้ต้องเปล่งเสียงกรี๊ดลั่นออกมาสุดพลังอยู่แล้ว ยิ่งถ้าต้องเจอกองทัพแมลงสาบเดินไปเดินมาอยู่ในบ้านให้สยองกันเล่น ๆ อีกคงอยากย้ายบ้านหนีแน่ ๆ แต่ใครที่ทั้งเกลียดและกลัวแมลงสาบขนาดหนัก ลองทำตามวิธีป้องกันแมลงสาบเข้าบ้าน พร้อมวิธีไล่แมลงสาบสูตรธรรมชาติ ซึ่งปลอดภัยกับมนุษย์ ตามนี้ดูสิคะ

    วิธีป้องกันแมลงสาบเข้าบ้าน

    1. เก็บขยะทิ้งให้หมด

    ขยะและเศษอาหารเหลือ ๆ เป็นอาหารอันโอชะของเหล่าแมลงสาบและหนู ซึ่งเมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราก็เก็บขยะออกไปทิ้งทุกคืนดีกว่า โดยเฉพาะพวกขยะเปียกทั้งหลายอย่าได้ปล่อยทิ้งไว้ในบ้านเลยเชียว

    2. ทำความสะอาดบ้าน

    การทำความสะอาดบ้านอยู่เสมอเป็นหัวใจของการป้องกันแมลงสาบ รวมไปถึงเหล่าสัตว์พาหะนำโรคต่าง ๆ ได้อยู่หมัด ดังนั้นก็ควรเก็บกวาดบ้านทุกวัน โดยอาจจะกวาดแค่ตอนเย็นหลังดินเนอร์เสร็จก็ได้ค่ะ ทำความสะอาดในส่วนใต้โต๊ะอาหารเป็นพิเศษด้วยก็ดี

    3. เช็กลิ้นชักและตู้เก็บของ

    ลิ้นชักที่เอาไว้เก็บขนมหรืออาหารแห้งก็อย่าละเลย เพราะแมลงสาบอาจตามกลิ่นอาหารไปและกัดแทะอาหารกินอย่างสบายใจเฉิบ ฉะนั้นตรงจุดนี้ก็ควรสอดส่องดูแลให้ดี หากผิดสังเกตว่าห่อขนมเป็นรูเหมือนโดนแทะ แถมยังมีหลักฐานเป็นขี้แมลงสาบเกลื่อนตู้ก็รีบจัดการด่วน

    4. ล้างจานให้หมด

    ไม่ว่าจะกินขนมหรือกาแฟแก้วเดียวก็ควรเก็บล้างหลังกินเสร็จทุกครั้ง เพราะหากคุณแช่จานชามทิ้งไว้ ก็เหมือนเป็นเหยื่อล่อให้แมลงสาบและสัตว์พาหะนำโรคชนิดอื่นเข้ามาในบ้าน อยู่ดีกินดีโดยที่เราเองก็ไม่รู้ตัว

    5. อย่าวางอาหารทิ้งไว้

    อาหารที่กินเหลือให้รีบเก็บไว้ในตู้กับข้าวหรือตู้เย็นให้เรียบร้อย ส่วนขนมก็น่าจะหากล่องอาหารแบบมีฝาปิดมาใส่ให้มิดชิด

    6. กำจัดแหล่งน้ำ

    แมลงสาบเป็นสัตว์ที่อยู่รอดได้แม้จะไม่มีอาหาร แต่แค่มีแหล่งน้ำไว้ให้ดื่มก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไป ดังนั้นในบ้านของเราก็ไม่ควรมีน้ำขังเด็ดขาด และหากพื้นที่ไหนมีน้ำหกเลอะเทอะก็ต้องรีบเช็ดให้แห้งโดยด่วน

    7. ปิดเส้นทางเดิน

    รอยแยกหรือช่องเแคบ ๆ ตามกำแพงและพื้นบ้าน ควรยาแนวปิดให้เรียบร้อย เพราะความชำรุดเหล่านี้เป็นเส้นทางเดินของเหล่ามดและแมลงสาบนั่นเอง


    วิธีไล่แมลงสาบสูตรธรรมชาติ

    1. พริกไทยเม็ด

    ใช้พริกไทยเม็ดประมาณ 6-7 เม็ด วางตามจุดต่าง ๆ ที่แมลงสาบชอบมา หรือใช้พริกไทยเม็ดใส่ถุงผ้าโปร่งเล็ก ๆ แล้วนำไปวางก็ได้

    2. สเปรย์พริกไทย

    ผสมพริกไทย 2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำสะอาด ¼ ถ้วยตวง คนให้เข้ากันแล้วเทใส่กระบอกสเปรย์ แค่นี้คุณก็จะมีสเปรย์พริกไทยไว้ฉีดตามจุดที่เห็นแมลงสาบเดินป้วนเปี้ยนอยู่บ่อย ๆ แต่กลิ่นฉุนของพริกไทยอาจทำให้คนในบ้านจามกันบ้างนะคะ ทว่ากลิ่นนี้แมลงสาบเองก็แพ้ราบคาบเหมือนกัน ฉะนั้นก็ถือว่าคุ้มเนอะ

    3. ลูกเหม็น

    ท่าทางแมลงสาบจะเกลียดกลิ่นฉุนไม่น้อยเลยทีเดียว อย่างลูกเหม็นที่เอาไว้ใส่ในห้องน้ำแมลงสาบก็กลัวหัวหด ดังนั้นเราก็นำลูกเหม็นไปวางใกล้ ๆ ถังขยะในบ้าน ทั้งนี้ควรหาภาชนะใส่ลูกเหม็นแบบมีฝาปิดและวางไว้ไกลมือเด็ก ๆ ด้วย

    4. ใบกระวาน

    ใบกระวานมีกลิ่นเฉพาะตัวที่แมลงสาบสุดจะทน ดังนั้นเพียงแค่เรานำใบกระวานไปวางไว้ตามจุดสุ่มเสี่ยงต่อการมีแมลงสาบมาป้วนเปี้ยน แค่นี้แมลงสาบก็ไม่กล้าแหย็มกับเราแล้วจ้า


    ใครที่ขยะแขยงแมลงสาบเต็มทน ลองนำวิธีเหล่านี้ไปใช้ไล่แมลงสาบให้อยู่ห่างจากบ้านเรากันได้เลย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • info-_03_1.png
      info-_03_1.png
      ขนาดไฟล์:
      318.1 KB
      เปิดดู:
      591
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    10 โรคร้ายที่จะลดความเสี่ยงลงได้ แค่ดื่มน้ำให้มากขึ้น !
    -http://health.kapook.com/view139710.html-

    ประโยชน์ของการดื่มน้ำ มีมากมายจนนับแทบไม่ไหว และนี่คืออีก 10 ความเสี่ยงโรคที่จะลดลงแค่เพียงเราดื่มน้ำให้มากขึ้น

    น้ำเปล่า เป็นเครื่องดื่มที่เรียกได้ว่าดีที่สุดในโลกหากดื่มเข้าไปอย่างเพียงพอก็จะช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีได้ นอกจากนี้ยังช่วยลดความเสี่ยงโรคภัยไข้เจ็บได้อีกมากมาย อย่างเช่นที่เรานำมาบอกเล่ากันให้ทราบกันในวันนี้ว่า แค่เพียงเราดื่มน้ำเปล่าเป็นประจำและเพียงพอ คือวันละ 6-8 แก้ว ก็สามารถบอกลาโรคเหล่านี้ได้

    โรคหัวใจ

    จากการศึกษาของ Johns Hopkins Bloomberg School of Public Health ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ American Journal of Epidemiology ในปี 2002 พบว่า ผู้ที่ดื่มน้ำวันละ 5 แก้วขึ้นไป จะมีความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจต่ำกว่าผู้ที่ดื่มน้ำน้อยกว่าวันละ 2 แก้ว อีกทั้งยังทำให้ความเสี่ยงโรคหัวใจวาย และการเสียชีวิตจากโรคหัวใจลดลงได้ถึง 50% ซึ่งเมื่อเทียบกับวิธีสร้างเสริมสุขภาพเพื่อลดความเสี่ยงโรคหัวใจวิธีอื่น ๆ อาทิ การออกกำลังกาย หรือการลดน้ำหนักแล้ว การดื่มน้ำมาก ๆ ถือเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมาก แต่ก็อย่าลืมว่าน้ำที่ดื่มก็ต้องเป็นน้ำเปล่าธรรมดาเท่านั้น เพราะถ้าเป็นน้ำชนิดอื่นก็ไม่ช่วยอะไรเหมือนกัน เผลอ ๆ จะได้ความเสี่ยงสุขภาพอื่น ๆ ตามมาอีกเพียบแบบไม่รู้ตัว


    โรคมะเร็ง

    คงจะพอได้ยินกันมาแล้วว่า การดื่มน้ำสามารถต้านโรคมะเร็งบางชนิดได้ โดยการศึกษาซึ่งตีพิมพ์ใน Journal of Clinical Oncology พบว่าการดื่มน้ำมาก ๆ สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการก่อตัวของเซลล์มะเร็งได้ โดยเฉพาะมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะที่ความเสี่ยงจะลดลงได้ 49% นอกจากนี้การดื่มน้ำก็ยังช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ในคนวัยกลางคนได้อีกด้วย ซึ่งในการวิจัยเผยให้เห็นว่าหากดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 5 แก้วขึ้นไปจะช่วยชะล้างสารก่อมะเร็งในร่างกายได้เป็นอย่างดี

    โรคไมเกรน

    อาการปวดหัวเรื้อรังอย่างโรคไมเกรนนี้ก็สามารถบรรเทาลงได้ด้วยการดื่มน้ำเช่นกันค่ะ โดยจากการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสารวิชาการ Neurology พบว่าเมื่อนำผู้ป่วยด้วยโรคไมเกรนมาแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกให้รับประทานยาหลอก ส่วนอีกกลุ่มให้ดื่มน้ำวันละ 1.5 ลิตร ทุกวันตลอด 2 สัปดาห์ ผลที่ได้คือ กลุ่มที่ดื่มน้ำมีระยะเวลาในการปวดลดลง 21 ชั่วโมง และปวดลดน้อยลงกว่ากลุ่มแรกอีกด้วย นอกจากนี้การดื่มน้ำอย่างเพียงพอยังสามารถบรรเทาอาการปวดหัวธรรมดาได้ด้วย

    โรคอ้วน

    การดื่มน้ำบ่อย ๆ ช่วยลดความอยากอาหารและทำให้อิ่มเร็ว ส่งผลให้เรากินได้น้อยลง และลดน้ำหนักได้ผลมากขึ้น อีกทั้งการดื่มน้ำก็ยังช่วยให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญพลังงานอยู่ตลอดเวลา ไขมันสะสมที่อยู่ในร่างกายก็จะค่อย ๆ ลดลง ห่างไกลจากความเสี่ยงโรคอ้วนและบรรดาโรคอื่น ๆ อีกมากมายที่มีโรคอ้วนเป็นต้นเหตุค่ะ


    โรคความดันโลหิตสูง

    เลือดของเราประกอบด้วยน้ำกว่า 92% การดื่มน้ำน้อยจะทำให้เลือดข้นขึ้น ส่งผลให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานผิดปกติ ทำให้เกิดความดันในหลอดเลือดมากขึ้น และเสี่ยงต่อการเป็นโรคความดันโลหิตสูง ถ้าไม่อยากจะเจอกับโรคเหล่านี้ละก็ ต้องดื่มน้ำให้เพียงพอค่ะ เมื่อร่างกายได้รับน้ำอย่างเพียงพอ เลือดก็จะอยู่ในสภาวะปกติ สามารถไหลเวียนในระบบได้ดี ลดความเสี่ยงโรคความดันโลหิตสูงไปได้เยอะเลย

    โรคผิวหนัง

    การดื่มน้ำไม่ได้เพียงแค่ทำให้ระบบภายในของเราทำงานดีขึ้นแต่ยังส่งผลต่อผิวหนังของเราอีกด้วย การที่เราดื่มน้ำอย่างเพียงพอจะทำให้ผิวพรรณของเราไม่แห้ง และความเสี่ยงโรคผิวหนังอักเสบ รวมทั้งโรคสะเก็ดเงินลดลงอีกด้วย แถมยังส่งผลให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งดูอ่อนกว่าวัยได้แบบไม่ต้องพึ่งครีมบำรุงให้เสียเงิน

    โรคไต

    การดื่มน้ำน้อยส่งผลโดยตรงต่อไตของเรา เพราะไตของเราทำหน้าที่กรองของเสียและสารพิษต่าง ๆ ออกจากร่างกาย การดื่มน้ำมาก ๆ จะทำให้ร่างกายขจัดสารพิษออกจากร่างกายได้ดีขึ้น ไม่มีสารพิษใด ๆ ตกค้างอยู่ในไต ลดความเสี่ยงโรคไตวาย และนิ่วในไต แถมยังกระตุ้นการทำงานของไตให้ดีขึ้นด้วยล่ะ


    โรคเบาหวาน

    หลายคนคงเคยได้ยินมาแล้วว่าการดื่มน้ำช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้ เป็นวิธีลดเบาหวานที่ดีสุด ๆ แต่ใช่ว่าจะส่งผลดีแต่กับผู้ป่วยโรคเบาหวานเท่านั้นนะคะ คนที่ยังไม่เป็นโรคเบาหวาน การดื่มน้ำเยอะ ๆ ก็ช่วยลดความเสี่ยงได้เช่นกัน ยิ่งถ้าหากคุณเป็นคนที่ชอบรับประทานของหวาน การดื่มน้ำจะทำให้น้ำตาลในเลือดลดลงได้เหมือนกัน แถมยังช่วยลดความเสี่ยงสุขภาพอื่น ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุให้เกิดโรคเบาหวานได้อีก อาทิ โรคอ้วน เป็นต้น

    โรคภูมิแพ้

    เมื่อเกิดอาการภูมิแพ้ขึ้น สารฮีสตามีนจะหลั่งออกมาเพื่อตอบสนองต่ออาการแพ้และจะเข้าไปสั่งการให้ร่างกายจำกัดการทำงานของระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเป็นวิธีที่ร่างกายใช้เพื่อรักษาระดับของเหลวภายใน และถ้าหากผู้ป่วยเป็นคนดื่มน้ำน้อย หรือเป็นโรคหอบหืดด้วยละก็ อาการก็จะยิ่งรุนแรง เพราะร่างกายต้องหลั่งสารฮีตามีนออกมามากกว่าปกติ ซึ่งการดื่มน้ำมาก ๆ ติดต่อกันเป็นประจำทุกวันทำให้สารฮีตามีนหลั่งออกมาน้อยลงได้ ทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้เป็นปกติแม้จะเกิดอาการภูมิแพ้ อีกทั้งยังช่วยลดอาการแพ้หรือความรุนแรงของอาการหอบหืดได้อีกด้วย

    โรคปวดข้อ

    น้ำมีความจำเป็นต่อเนื้อเยื่อในร่างกายของคนเราอย่างมาก เพราะเนื้อเยื่อเป็นส่วนที่ต้องการความชุ่มชื้นตลอดเวลา ซึ่งถ้าหากเราดื่มน้ำในปริมาณที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ก็จะทำให้เนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ ไม่เกิดการอักเสบ โดยเฉพาะที่บริเวณข้อต่อต่าง ๆ ทำให้ความเสี่ยงที่จะเกิดการอักเสบที่ข้อต่อ หรือโรคปวดข้อลดลง

    ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม การดื่มน้ำก็ถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่เราควรจะทำ เพราะร่างกายของเราต้องการน้ำ มาเริ่มสร้างสุขภาพดีกันตั้งแต่ตอนนี้ด้วยการดื่มน้ำให้มากขึ้น แล้วคุณจะพบว่าสุขภาพของคุณดีขึ้นแบบผิดหูผิดตาแน่นอนเลย

    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    -American Journal of Epidemiology-
    -thetruthaboutcancer.com-
    -authoritynutrition.com-
    -medicaldaily.com-
    -webmd.com-
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หุ้นตก หลบลงกองทุน REIT ดีมั้ย
    -http://money.sanook.com/352167/-

    -http://www.settrade.com/login.jsp?txtBrokerId=IPO-
    สนับสนุนเนื้อหา

    ผู้เขียน : นฤมล บุญสนอง CFP®
    รองกรรมการผู้จัดการ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) จำกัด และ วิทยากรตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

    [​IMG]

    ช่วงเวลาที่ผ่านมาตลาดหุ้นทั่วโลกผันผวนมาก ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องไปลงทุนอสังหริมทรัพย์ เพื่อเก็บค่าเช่า แต่มีปัญหาคือ เงินน้อย ทำเลดีๆไม่มี ยุ่งยาก ไม่มีเวลาดูแลเรื่องการซ่อมบำรุง และ เก็บค่าเช่า ขายต่อยาก ปัญหาร้อยแปดอย่าง นี่คือเหตุผลที่ต้องมารู้จัก กอง REIT กัน

    REIT ย่อมาจาก Real Estate Investment Trust มีชื่อเป็นภาษาไทยว่า “ทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์” เป็นการลงทุนที่ไม่ต้องใช้เงินลงทุนมากเหมือนกับการลงทุนโดยตรง และ มีข้อจำกัดน้อยกว่าการลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เป็นกองทรัพย์สินที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ มีลักษณะเป็นกองทรัสต์ ไม่ใช่นิติบุคคลเหมือนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ กล่าวคือ


    1. สินทรัพย์ที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ต้องไม่น้อยกว่า 500 ล้านบาท ถือกรรมสิทธิ์โดยทรัสตี (Trustee)
    2. ทรัสตี (Trustee) มีอำนาจดูแลและบริหารจัดการทรัพย์สินในกองทรัสต์ รวมทั้งดูแลการปฏิบัติหน้าที่ของผู้จัดการกองทรัสต์ (REIT manager)
    3.ผู้จัดการกองทรัสต์ (REIT manager) ทำหน้าที่บริหารอสังหาริมทรัพย์ประเภทนั้น ๆ เช่น ดูแลทรัพย์สินให้พร้อมเช่า จัดหาผู้เช่า จัดเก็บค่าเช่า เป็นต้น
    4. REIT สามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หลายประเภท และจะออกไปลงทุนในต่างประเทศก็ได้
    5. REIT สามารถกู้มาลงทุนได้ไม่เกิน 35% ของ สินทรัพย์รวม และถ้ามีการจัดอันดับว่า REIT นั้นมีคุณภาพผ่านระดับ Investment Grade ขึ้นไป ก็สามารถกู้ได้ถึง 60% ซึ่งประเด็นนี้ ทำให้ REIT มีโอกาสในการขยายธุรกิจสูงกว่า กองทุน Property Fund ที่กู้ได้แค่ 10% เท่านั้น REIT จะอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย


    การลงทุนใน REIT เหมาะกับใคร?
    REIT รายได้ส่วนใหญ่จะมาจากค่าเช่า หลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว REIT จะต้องจ่ายผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลอย่างน้อย 90% ของกำไรสุทธิ พูดสั้นๆได้รับค่าเช่าเต็ม หักค่าคนดูแลนิดหน่อย ค่าเช่ามักไม่ค่อยมีความผันผวน ทำให้ REIT ไม่เหมาะกับนักลงทุนประเภทเก็งกำไร แต่จะเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการลงทุนระยะยาว ผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง ถ้าเปรียบเทียบระหว่างผลตอบแทนกับความเสี่ยงของ REIT เรียงจากน้อยไปมาก คือ หุ้นกู้, REIT, หุ้น นั่นเอง


    ข้อดีของการลงทุนใน REIT คือ ?
    1) สามารถเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ชอ บ โดยไม่ต้องใช้เงินเยอะ
    2) ไม่ต้องเหนื่อย
    3) กระจายความเสี่ยง เช่น เงิน1.0 ล้านบาท ถ้าเลือก 4 กองทุน จะได้ ทำเลที่ต่าง เป็นการกระจายความเสี่ยง เป็นต้น
    4) REIT สามารถซื้อขายกันได้ในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้ซื้อง่ายขายคล่อง
    5) ผลตอบแทนที่อยู่ในระดับดี จากข้อมูล SET SMART ผลตอบแทนเฉลี่ยของกองทุนอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 6-7% ต่อปี


    ลองยกตัวอย่าง REIT :
    AMATAR เป็น REIT ที่ลงทุนในกรรมสิทธิ และสิทธิการเช่า อสังหาริมทรัพย์ประเภทโรงงานที่อยู่ในนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร (ชลบุรี) และนิคมอุตสาหรรมอมตะซิตี้ (ระยอง) เพื่อเก็บค่าเช่าแล้วนำมาจ่ายเป็นผลตอบแทนให้ผู้ลงทุน


    IMPACT GROWTH โครงการอิมเพคเมืองทองธานี แจ้งวัฒนะ


    LHSC(LH Shopping Centers Leasehold REIT) โครงการศูนย์การค้าเทอร์มินอล 21

    นักลงทุนที่รัก ต้องประเมินตนเองว่ารับความเสี่ยงได้ระดับใด และทําความเข้าใจลักษณะของ REIT ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุน นะคะ เน้นย้ำต้องดูที่ทำเล ทำเล และ ทำเล ก่อนตัดสินใจ ชัยชนะจะเป็นของท่านโชคเฮงรับทรัพย์

    ผู้เขียน : นฤมล บุญสนอง CFP®
    รองกรรมการผู้จัดการ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) จำกัด และ วิทยากรตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    น่าคิด ! หมอปลา มือปราบสัมภเวสี ถาม ตุ๊กตาลูกเทพ มาจากเทพองค์ไหนผสมพันธุ์กัน
    -http://hilight.kapook.com/view/132083-

    น่าคิด ! หมอปลา มือปราบสัมภเวสี ถามตุ๊กตาลูกเทพมาจากเทพองค์ไหนผสมพันธุ์กัน ชี้เป็นกุมารสายพันธุ์ใหม่ ถ้าขอยืมไปให้คนจนเลี้ยงสัก 3 เดือน จะรวยขึ้นมาบ้างไหม

    เป็นกระแสแรงที่พูดถึงกันอย่างมากในขณะนี้ สำหรับ "ตุ๊กตาลูกเทพ" ที่ตอนนี้กลายเป็นของขลังใหม่ ซึ่งหลายคนฮิตบูชากันทั่วบ้านทั่วเมือง โดยเชื่อว่าเลี้ยงแล้วจะช่วยให้รวย ทำมาค้าขึ้น.. แต่งานนี้ก็มีเสียงวิจารณ์กันอย่างมากมาย บางคนก็มองว่างมงาย บางคนก็มองถึงขั้นเพี้ยนเลยทีเดียว..

    อย่างไรก็ตามวันนี้ (26 มกราคม 2559) เราก็ขอนำคำพูดของ หมอปลา มือปราบสัมภเวสี ซึ่งเคยพูดเรื่อง "ตุ๊กตาลูกเทพ" ตั้งแต่ยังไม่ฮิตขนาดนี้ผ่านรายการแรงชัดจัดเต็ม ทางช่องไบรท์ทีวี เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2558 มาให้ฟังกันอีกครั้ง

    โดยหมอปลา เผยว่า ตุ๊กตาลูกเทพที่กำลังฮิต ๆ กันก็คือ กุมารสายพันธุ์ใหม่ เนื่องจากกุมารแบบเก่าเริ่มหากินยากแล้ว ส่วนตนก็อยากจะถามว่า ตุ๊กตาลูกเทพเนี่ย เกิดจากเทพองค์ไหนที่ผสมพันธุ์จนตั้งท้องและออกลูกมาเป็นลูกเทพกันแน่ !!

    สำหรับบางคนที่บอกว่า ตุ๊กตาลูกเทพเลี้ยงแล้วรวย ตนก็อยากจะขอยืมตุ๊กตาลูกเทพไปให้คนจนเลี้ยงสัก 3 เดือน มาดูสิว่าจะรวยกันไหม ส่วนคนที่รวยเพราะลูกเทพวันนี้ เป็นเพราะสร้างกระแส เอาความงมงายของคนมาหากินนั่นเอง

    https://www.youtube.com/watch?v=s-x74uaXLSo
    -https://www.youtube.com/watch?v=s-x74uaXLSo-
    หมอปลา มือปราบสัมภเวสี!! : แรงชัดจัดเต็ม 24 มิ.ย.58 [1/3]


    -https://www.youtube.com/watch?v=2A4dL4_Y7Yw-
    https://www.youtube.com/watch?v=2A4dL4_Y7Yw
    หมอปลา มือปราบสัมภเวสี!! : แรงชัดจัดเต็ม 24 มิ.ย.58 [2/3]


    https://www.youtube.com/watch?v=hec3bFDHI1Y
    -https://www.youtube.com/watch?v=hec3bFDHI1Y-
    หมอปลา มือปราบสัมภเวสี!! : แรงชัดจัดเต็ม 24 มิ.ย.58 [3/3]


    ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก รายการแรงชัดจัดเต็ม


    ------------------------------------------------------


    ริว จิตสัมผัส เตือนสติคนอุ้มลูกเทพ อย่าเชื่อสิ่งที่มองไม่เห็น ตกเป็นเหยื่อความทุกข์
    -http://hilight.kapook.com/view/132109-

    ริว จิตสัมผัส โพสต์เตือนสติปมตุ๊กตาลูกเทพ แทบไม่เชื่อว่าคนจะเลือกพึ่งพาสิ่งที่มองไม่เห็น มากกว่าความสามารถตัวเอง พร้อมแนะทำความดี

    ยังคงเป็นกระแสแรงอยู่ทุกวัน สำหรับตุ๊กตาลูกเทพ ซึ่งผู้อุ้มนั้นเชื่อกันว่า จะช่วยเสริมโชคลาภให้แก่ตัวเอง ทำให้ร่ำรวยขึ้น

    อย่างไรก็ตาม ล่าสุด เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2559 อินสตาแกรม riew_wp ของริว จิตสัมผัส หรือปาณรวัฐ ลิ่มรัตนอาภรณ์ มีการโพสต์เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวว่า ไม่น่าเชื่อว่ามนุษย์จะเลือกพึ่งพาสิ่งที่มองไม่เห็น มากกว่าการพึ่งตัวเอง ลืมเชื่อในความสามารถของตัวเอง อะไรที่ไม่ได้ทำ ไปดิ้นรนมันก็ไม่มี สุดท้ายหันมาทำความดีกันดีกว่า อย่าตกเป็นเหยื่อความทุกข์ของตัวเอง

    Instagram ริว จิตสัมผัส อินสตาแกรม ปาณรวัฐ ลิ่มรัตนอาภรณ์
    -http://instagram.kapook.com/star/profile/riew_wp-
    ภาพจาก Instagram riew_wp
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อุทาหรณ์.. จ่ายหนี้แทนนับล้าน เหตุเซ็นค้ำประกันทุนการศึกษาให้อาจารย์ ม.ดัง
    -http://education.kapook.com/view140280.html-

    อุทาหรณ์ คิดให้ดีก่อนเซ็นค้ำประกันให้ใคร มิเช่นนั้นอาจเจอบทเรียนราคาแพง ชดใช้หนี้ทุนการศึกษานับล้าน อีกฝ่ายอ้างไม่มีเงิน ทั้งที่มีงานดี รายได้สูง ใช้ชีวิตหรูหรา

    เชื่อว่าคนส่วนมากคงเคยได้ยินกันมาบ้างแล้ว สำหรับคำเตือนให้คิดตรองดูดี ๆ ก่อนจะเซ็นค้ำประกันให้ใคร เพราะเราไม่อาจทราบได้ว่าจะต้องเผชิญสิ่งใดในอนาคต จากการลงนามในสัญญาเพียงครั้งเดียวนั้น อย่างกรณีล่าสุด (26 มกราคม 2559) ผู้ใช้ทวิตเตอร์ @nimdaex ก็ได้ขอเป็นส่วนหนึ่งในการแชร์ต่อเรื่องราวอุทาหรณ์จากการค้ำประกัน ที่ผู้ใช้เฟซบุ๊ก ทพ.เผด็จ หมอทอม ประสบมากับตัวหลังจากได้เซ็นค้ำสัญญาทุนการศึกษาให้อดีตอาจารย์ภาควิชาทันตกรรม คณะทันตแพทย์ ของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดอีกฝ่ายกลับไม่ยอมชำระหนี้ อ้างว่าไม่มีเงินทั้งที่มีอาชีพการงานที่ดี อาศัยในอพาร์ทเม้นท์หรูในต่างประเทศ ทิ้งภาระทั้งหมดให้แก่ตัวเขาและบุคคลอื่น ๆ ที่ร่วมกันค้ำประกันให้ต้องเป็นผู้รับกรรมแทน

    โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า ทพ.เผด็จ หมอทอม ได้ร่วมกับอาจารย์และเพื่อนร่วมงานคนอื่น เซ็นค้ำประกันให้กับอดีตอาจารย์รายหนึ่งซึ่งรับทุนศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกา ด้วยเห็นแก่คณะและหวังว่าอีกฝ่ายจะกลับมาทำประโยชน์แก่ส่วนรวม แต่สิ่งที่ได้รับคือฝ่ายนั้นบอกว่าไม่มีเงิน ทั้งที่ตัวเองทำงานเป็นนักวิจัยที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด อยู่อพาร์ทเม้นท์หรูหราในสหัฐฯ ปล่อยให้ตัวเขาที่ต้องส่งเสียเลี้ยงดูลูกอีก 4 คนต้องมาชดใช้กรรมแทน เป็นจำนวนเงินถึง 2.2 ล้านบาท

    ดังนั้นเขาจึงอยากให้เรื่องดังกล่าวได้เตือนสติคนอื่น ๆ ที่กำลังจะค้ำประกันให้ใคร อยากให้รู้ว่าการศึกษาและชาติตระกูลไม่ได้ช่วยอะไร อยากให้คิดดี ๆ ก่อนจะทำธุรกรรมกับใครแม้จะปรารถนาดีต่ออีกฝ่ายก็ตาม

    ทั้งนี้หลังจากที่เรื่องดังกล่าวได้รับการเปิดเผย ก็ได้มีชาวเน็ตอีกหลายรายเข้ามาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ในทำนองเดียวกัน บอกเล่าถึงคนที่ผิดนัดชำระหนี้แล้วหนีหายไป ปล่อยให้เป็นภาระของคนค้ำประกันที่ต้องชำระเงินแทน ทำกันได้แม้ว่าจะเป็นพี่น้องกัน ขณะที่อีกหลายคนยังวิจารณ์ว่าพฤติกรรมและจิตใจคนกลุ่มนี้ การศึกษานั้นไม่สามารถช่วยให้ดีขึ้นได้จริง ๆ

    ภาพจาก -ทวิตเตอร์ @nimdaex-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีดูแลสุขภาพ “ดวงตา” ให้สดใส ห่างไกลโรค
    โดย MGR Online
    29 มกราคม 2559 14:02 น. (แก้ไขล่าสุด 29 มกราคม 2559 17:10 น.)
    -http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9590000010351-

    หมอเผยคนไทยป่วยโรคตามากขึ้น เตือนอย่าเชื่อโฆษณาอาหารเสริมรักษาได้ ชี้ไม่จริง ย้ ำรักษาอย่างถูกต้องดีกว่า พบความผิดปกติของดวงตาให้รีบพบจักษุแพทย์ พร้อมแนะวิธีดูแลดวงตาให้สดใสห่างไกลโรค

    นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวถึงกรณีการโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหารเสริมอวดอ้างสรรพคุณรักษาโรคทางตา เช่น วุ้นในตาเสื่อม ต้อลม เป็นต้น ว่า เนื่องจากปัจจุบันเป็นยุคออนไลน์ โฆษณาจึงทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงสินค้าและบริการได้อย่างรวดเร็ว อย่างโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่อวดอ้างสรรพคุณรักษาโรคทางตา ก็ยังไม่มีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่าสามารถรักษาให้หายได้ ซึ่งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารจัดเป็นอาหารประเภทหนึ่งตาม พ.ร.บ. อาหาร พ.ศ. 2522 หมายถึงผลิตภัณฑ์ที่ใช้รับประทานโดยตรงนอกเหนือจากการรับประทานอาหารหลักตามปกติ เพื่อเสริมสารบางอย่างและมีจุดมุ่งหมายสำหรับบุคคลทั่วไปที่มีสุขภาพปกติ มิใช่สำหรับผู้ป่วยและที่สำคัญไม่มีผลต่อการรักษาให้หายขาดจากโรค ดังนั้น ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงและผู้ที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับดวงตา เช่น เห็นภาพไม่ชัด เห็นภาพมัว เห็นภาพบิดเบี้ยว เห็นภาพซ้อน หรือแคบลง เช่น มองเห็นเฉพาะภาพตรงหน้า ไม่สามารถเห็นภาพด้านข้างได้ เห็นคล้ายมีจุดหรือแผ่นดำ ๆ ลอยในตา ให้รีบพบจักษุแพทย์เพื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อย่าหลงเชื่อคำโฆษณาให้รับประทานอาหารเสริม เพื่อรักษาโรคตาเพราะอาจทำให้ตาบอดถาวรได้

    “ปัญหาตาบอดและสายตาเลือนลางเป็นปัญหาที่สำคัญของประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก พบว่า ประชากรมีปัญหาด้านการมองเห็นประมาณ 285 ล้านคน โดยมีผู้ที่ตาบอดถึง 39 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่พบในกลุ่มประเทศที่กำลังพัฒนา เนื่องจากมาตรฐานและบริการสาธารณสุขยังไม่ครอบคลุมและเข้าไม่ถึง สำหรับประเทศไทย โรคตาที่พบบ่อย คือ ภาวะสายตายาวในผู้สูงอายุ โรคต้อกระจก โรคต้อหินและโรควุ้นตาเสื่อม มีสาเหตุจากอายุที่เพิ่มขึ้นทำให้เนื้อเยื่อของลูกตาเสื่อมไปตามธรรมชาติ โรคตาแดง ตากุ้งยิง ริดสีดวงตา ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัส หรือเชื้อแบคทีเรีย โรคต้อกระจก ต้อเนื้อ ต้อลมจากการได้รับแสงแดดจัดเรื้อรัง เช่น ผู้ที่ทำงานกลางแจ้งได้รับแสงแดดจ้าเป็นระยะเวลานาน ๆ โรคเบาหวานขึ้นตา ที่เกิดจากความผิดปกติในการใช้พลังงานของร่างกาย โรคตาแห้ง เกิดการระคายเคืองอักเสบที่เกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ เช่น การติดสื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งการเพ่งหน้าจอเป็นเวลานาน ๆ ทำให้เกิดอนุมูลอิสระสะสมทำร้ายเซลล์ตา” อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าว

    นพ.สุพรรณ กล่าวว่า การดูแลรักษาดวงตาว่า

    ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นผักผลไม้ที่มีวิตามินเอ เช่น ผักบุ้ง แครอท ตำลึง ผักคะน้า ฟักทอง มะม่วงสุก มะละกอ

    ดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ

    หลับตาเพื่อพักสายตาทุก 1 ชั่วโมง

    เมื่อใช้สายตามาก ๆ หรือนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ สวมแว่นกันแดดทุกครั้ง

    เมื่อต้องเจอแสงแดด ลดพฤติกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตให้น้อยลง

    หากดูโทรทัศน์ควรนั่งห่างจากโทรทัศน์ประมาณ 5 เท่าของขนาดจอ

    และปรับความสว่างของจอให้พอควรเพื่อถนอมสายตา

    เมื่อมีฝุ่นละอองเข้าตาห้ามใช้มือขยี้ตา ให้ใช้น้ำสะอาด หรือน้ำยาล้างตาทำความสะอาด

    บริหารดวงตาอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง ด้วยวิธี หน้าตั้ง คอตรง กรอกลูกตาหมุนเป็นวงกลม ตามเข็มนาฬิกาและทวนเข็มนาฬิกา ทำต่อเนื่องกัน 10 ครั้ง

    ที่สำคัญ ควรตรวจสุขภาพตาปีละครั้ง เพื่อรักษาสุขภาพดวงตาให้ดีอยู่เสมอ
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    “ทริส เรทติ้ง” มองภาพรวมเศรษฐกิจไทยปี 2558 และแนวโน้มในปี 2559
    โดย MGR Online
    29 มกราคม 2559 11:59 น. (แก้ไขล่าสุด 29 มกราคม 2559 12:17 น.)
    -http://www.manager.co.th/iBizChannel/ViewNews.aspx?NewsID=9590000010306-

    ทริส เรทติ้ง มองว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยโดยรวมในปี 2558 ที่ผ่านมานั้นต้องเผชิญต่อปัจจัยลบหลายประการ เช่น ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ตกต่ำ เศรษฐกิจของประเทศจีนที่ชะลอตัว และการลงทุนภาคเอกชนของไทยที่ยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่อง เป็นต้น

    อย่างไรก็ดี ทริส เรทติ้งคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปีที่ผ่านมาน่าจะขยายตัวประมาณ 3% ซึ่งสูงกว่าอัตราการขยายตัวในปี 2557 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 0.9% ทั้งนี้ เนื่องจากภาครัฐได้เร่งลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐาน และออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ อย่างต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปีที่ผ่านมา

    นอกจากนี้ ภาคการท่องเที่ยวก็ยังคงเป็นภาคบริการที่สำคัญซึ่งผลักดันให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว โดยถึงแม้จะเกิดเหตุระเบิดในย่านใจกลางเศรษฐกิจ และแหล่งท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ เมื่อเดือนสิงหาคม 2558 แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติก็ยังคงมีความเชื่อมั่น และเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศจีน

    อย่างไรก็ตาม ทริส เรทติ้งเห็นว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงเปราะบาง และได้รับแรงกดดันจากอุปสงค์ด้านการบริโภคภายในประเทศที่ขยายตัวน้อย ตลอดจนการลงทุนภาคเอกชน และภาคการส่งออกของไทยที่ยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่อง

    สำหรับในปี 2559 ทริส เรทติ้งคาดว่าเศรษฐกิจของไทยจะขยายตัวได้ดีกว่าในปีที่ผ่านมา จากปัจจัยสนับสนุนภายในประเทศเป็นหลัก กระนั้นอัตราการขยายตัวก็จะยังคงมีข้อจำกัดจากปัจจัยเสี่ยงทั้งจากเศรษฐกิจภายในประเทศ และภายนอกประเทศ โดยทริส เรทติ้งคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ประมาณ 3.0%-3.5%

    ปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย

    - การใช้จ่าย และการลงทุนภาครัฐในโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานคาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปี 2559 จะมีโครงการคมนาคมที่พร้อมประมูลตลอดทั้งปีวงเงินประมาณ 1.79 ล้านล้านบาท รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจการเงินการคลังระยะสั้นที่ออกมาเป็นระยะ

    - ภาคการท่องเที่ยวจะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทย ประมาณการว่าในปีนี้จะมีจำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศจำนวนราว 30.9 ล้านคน

    - การบริโภคภาคเอกชนมีแนวโน้มฟื้นตัวมากขึ้นจากดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ประกอบกับมาตรการภาครัฐที่ออกมาเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคเอกชน

    - การลงทุนภาคเอกชนมีโอกาสขยายตัวได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนที่เกี่ยวข้องต่อการก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคของภาครัฐ แต่การขยายตัวอาจได้รับผลกระทบจากปัญหาด้านการส่งออกของไทยซึ่งทำให้การลงทุนผลิตเพื่อส่งออกลดลงตามไปด้วย อย่างไรก็ตาม ภาครัฐยังมีมาตรการที่จะนำมาใช้ส่งเสริมการลงทุนในภาคเอกชน และสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ภาคธุรกิจในระยะต่อๆ ไป

    ปัจจัยเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทย

    - ภาคการส่งออกของไทยยังไม่ขยายตัวได้ดีเท่าที่ควรซึ่งได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าหลักของไทย โดยเฉพาะประเทศจีน นอกจากนี้ ยังได้รับผลกระทบจากปัญหาราคาสินค้าโภคภัณฑ์ และสินค้าการเกษตรที่ยังอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่องด้วย

    - ปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกที่อาจส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจไทยได้ รวมถึงปัญหาความไม่แน่นอนของการเมืองภายในประเทศเช่นกัน

    - ปัญหาภัยแล้งที่มีแนวโน้มรุนแรงเพิ่มขึ้นซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการผลิตในภาคเกษตรกรรมและรายได้ของเกษตรกร โดยเฉพาะการเพาะปลูกพืชที่ต้องใช้น้ำมาก

    การอุปโภคบริโภคภาคเอกชน

    ทริส เรทติ้งคาดว่าการบริโภคภาคเอกชนในปี 2559 มีแนวโน้มฟื้นตัวมากขึ้น และต่อเนื่องจากปี 2558 จากตัวเลขดัชนีชี้วัดด้านการบริโภคภาคเอกชนที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคกลับมาเพิ่มขึ้นตั้งแต่เดือนตุลาคม 2558 หลังจากดัชนีลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี ล่าสุด ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนธันวาคม 2558 อยู่ที่ 76.1 และตัวเลขดัชนีการบริโภคภาคเอกชน (ปรับฤดูกาล) จากธนาคารแห่งประเทศไทย ก็มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปีที่ผ่านมาเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นไปตามการใช้จ่ายในกลุ่มสินค้าจำเป็นและกลุ่มสินค้าบริการ และคาดว่ามาตรการภาครัฐต่างๆ ที่ออกมาเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคเอกชนก็น่าจะช่วยสนับสนุนการบริโภคให้มีมากยิ่งขึ้นด้วย ทั้งนี้ ทริส เรทติ้งประมาณการอัตราการขยายตัวของการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนว่าจะอยู่ที่ระดับ 2.5% ในปี 2559 โดยปัจจัยที่กระตุ้นการบริโภคมี ดังนี้

    - มาตรการและนโยบายของภาครัฐเพื่อกระตุ้นการอุปโภคบริโภคภาคเอกชนที่มีอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับราคาขายปลีกน้ำมันภายในประเทศที่ปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกซึ่งทำให้ระดับราคาสินค้าโดยเฉลี่ยปรับลดลง

    - ในช่วงที่ผ่านมา ภาครัฐมีมาตรการ และนโยบายสนับสนุนการใช้จ่ายของภาคเอกชนหลายมาตรการ เช่น มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ทั้งในด้านสินเชื่อ และการลดหย่อนภาษี ตลอดจนการลดหย่อนค่าโอนและค่าจดจำนองที่อยู่อาศัย อีกทั้งยังมีมาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ในระดับตำบลที่ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีไปเมื่อปลายปี 2558 วงเงินรวม 36,725 ล้านบาทด้วย ซึ่งแต่ละตำบลจะได้รับงบประมาณในวงเงิน 5 ล้านบาท โดยได้มีการทยอยจ่ายไปยังตำบลต่างๆ แล้วทั่วประเทศ นอกจากนี้ ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของปีที่ผ่านมา ภาครัฐยังได้ออกมาตรการชอปปิ้งช่วยชาติ โดยประชาชนที่ซื้อสินค้า หรือใช้บริการระหว่างวันที่ 25-31 ธันวาคม 2558 สามารถนำใบกำกับภาษีรวมมูลค่ารวมไม่เกิน 15,000 บาท ไปหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2558 ได้ เป็นต้น คาดว่ารัฐบาลจะใช้นโยบายการคลังและมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคเอกชนให้เพิ่มมากขึ้นต่อไป

    - จำนวนนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่เพิ่มขึ้น รวมถึงแนวโน้มการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวจากการผลักดันมาตรการสนับสนุนการท่องเที่ยวในประเทศของภาครัฐ ทำให้การบริโภคภายในประเทศเพิ่มขึ้น

    อย่างไรก็ตาม การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนยังคงมีข้อจำกัดจากภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง โดยตัวเลขหนี้ครัวเรือนล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 81% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) รวมถึงรายได้เกษตรกรที่ยังคงอยู่ในระดับต่ำจากผลของราคาสินค้าการเกษตรที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง

    การลงทุนภาคเอกชน

    การลงทุนภาคเอกชนในปี 2559 มีแนวโน้มขยายตัวดีกว่าในปีที่ผ่านมา แม้ว่าการลงทุนภาคเอกชนจะหดตัวอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 2 ปีติดต่อกันก็ตาม โดยทริส เรทติ้งคาดว่า การลงทุนภาคเอกชนในปี 2559 จะขยายตัว 3.9% ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุน ดังนี้

    - มาตรการการเงินการคลังเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ทั้งมาตรการลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการ และมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการรายใหม่ นอกจากนี้ ยังมีโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs ด้วย

    - การให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับการลงทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษเพื่อดึงดูดนักลงทุนให้มีการลงทุนมากยิ่งขึ้น

    - การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2559 ของภาครัฐ ซึ่งจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ภาคธุรกิจตัดสินใจลงทุนเร็วยิ่งขึ้น

    อย่างไรก็ตาม ภาคการส่งออกของไทยที่ฟื้นตัวช้า และผู้ประกอบการที่ยังมีกำลังการผลิตส่วนเกินเหลืออยู่เป็นจำนวนมากนั้นก็ส่งผลให้ภาคธุรกิจชะลอการลงทุนลงไป

    การลงทุนภาครัฐ

    ทริส เรทติ้งคาดว่า การลงทุนภาครัฐของไทยในปี 2559 จะขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง และจะเป็นปัจจัยหลักที่จะสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย โดยทริส เรทติ้งประมาณการอัตราการขยายตัวของการลงทุนภาครัฐว่าจะเท่ากับ 8.4% โดยคาดว่ารัฐบาลจะผลักดันให้มีการประมูลโครงการคมนาคมได้ตลอดทั้งปี รวมถึงจะออกมาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาล ดังนี้

    - มาตรการกระตุ้นการลงทุนขนาดเล็กของรัฐบาลในวงเงินประมาณ 4 หมื่นล้านบาท โดยมีโครงการที่เสนอแล้วในปีงบประมาณ 2559 ในวงเงิน 1.6 หมื่นล้านบาท และยังมีโครงการใหม่ที่รอเสนออีกในวงเงินประมาณ 2.4 หมื่นล้านบาท

    - ช่วงครึ่งแรกของปี 2559 คาดว่าจะมีโครงการคมนาคมระยะเร่งด่วนเข้าประมูลราว 20 โครงการ โดยมีวงเงินประมาณ 1.79 ล้านล้านบาท ซึ่งคาดว่าการลงทุนในระยะยาวจะช่วยทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ และจะสร้างความมั่นใจให้แก่ภาคเอกชน ทั้งนี้ โครงการคมนาคมที่พร้อมประมูลในปีนี้ส่วนใหญ่จะเป็นโครงการที่ค้างอยู่ เช่น รถไฟฟ้าทางคู่ 4 สาย รถไฟฟ้าสายสีต่างๆ มอเตอร์เวย์ 3 สาย โครงการรถไฟไทย-จีน รวมถึงรถไฟความเร็วสูง เป็นต้น หากรัฐบาลสามารถเบิกจ่ายงบประมาณได้เต็มประสิทธิภาพที่ตั้งไว้ก็น่าจะมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจในปี 2559 จะฟื้นตัวได้อย่างแน่นอน

    การส่งออกของไทย

    มูลค่าการส่งออกสินค้าของไทย (ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในปี 2559 อาจจะยังไม่ขยายตัวนัก โดยทริส เรทติ้งประมาณการมูลค่าการส่งออกของไทยว่าจะขยายตัวเพียง 1% เนื่องจากการส่งออกของไทยต้องเผชิญต่อปัจจัยเสี่ยงหลายประการ เช่น

    - การชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าของไทย ซึ่งจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อความต้องการสินค้าไทย โดยเฉพาะการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศจีน ซึ่งมูลค่าที่ประเทศไทยส่งออกไปยังประเทศจีนมีสัดส่วนประมาณ 11% ของตลาดส่งออกทั้งหมด โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (International Monetary Fund - IMF) คาดว่าในปีนี้ เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวที่ 6.3% จากผลของการที่ประเทศจีนมีนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจภายในและต้องการลดการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมากขึ้น ประกอบกับกลุ่มประเทศอาเซียนก็ได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนด้วยเช่นกัน ซึ่งส่งผลทำให้เศรษฐกิจในภูมิภาคชะลอตัวและมีการลดการนำเข้าลง นอกจากนี้ กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ซึ่งได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลงอย่างต่อเนื่องมีการนำเข้าสินค้าลดลงตามไปด้วย

    - สถานการณ์ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ยังอยู่ในระดับต่ำอย่างต่อเนื่องซึ่งเป็นผลมาจากการที่ประเทศจีนซึ่งเป็นผู้บริโภครายใหญ่ของโลกชะลอการบริโภค ทำให้มูลค่าการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ลดลงด้วย

    อย่างไรก็ดี การส่งออกสินค้าของไทยในปีนี้น่าจะขยายตัวได้ดีกว่าในปีที่ผ่านมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นคู่ค้าหลักของไทยอีกประเทศหนึ่ง และในปีที่ผ่านมา การส่งออกของไทยไปประเทศสหรัฐฯ ยังสามารถขยายตัวได้ ในขณะที่ราคาสินค้าการเกษตรก็อาจจะปรับตัวสูงขึ้นได้บ้างจากภาวะภัยแล้ง
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ต้องช่วยกันแชร์ คนที่ไม่รับผิดชอบ

    คนที่ยอมค้ำประกันให้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นในเรื่องกรณีไหนก็ตาม

    1.ไม่ว่าจะเป็นในกรณีการค้ำประกันเงินกู้
    ที่มีการค้ำประกัน ผู้ค้ำประกันไม่ได้ใช้เงินกู้

    2.ไม่ว่าจะเป็นการค้ำประกันอื่นๆ เช่น การค้ำประกันในเรื่องของการศึกษา เมื่อเรียนจบแล้ว ควรมาทำตามข้อตกลง(หรือตามสัญญาฯ) แต่หากไม่ต้องการทำตามข้อตกลง ก็ให้จ่ายเงินใช้หนีทุนการศึกษาเอง ไม่ใช่ให้ผู้ค้ำประกันรับผิดชอบ

    หรือพวกที่กู้ กยศ.ที่ทำงานแล้ว แต่ไม่ยอมมาใช้หนี้ กยศ. แต่มีเงินไปซื้อมือถือดีๆ มีเงินไปเที่ยว คนพวกนี้ก็ไม่รู้จักหน้าที่ ไม่มีความรับผิดชอบ

    คนที่ให้ผู้ค้ำประกัน เป็นคนที่รับผิดชอบในภาระหนี้ที่ตนเองได้ก่อไว้ สังคมต้องไม่ให้ตนเหล่านี้ มีพื้นที่ยืนในสังคมได้ บางกรณี ครอบครัว , วงศ์ตระกูล , สถาบันการศึกษา ได้พยายามอบรมสั่งสอนอย่างดีและเต็มที่แล้ว แต่พฤติกรรมยังยอดแย่เหมือนเดิม ยอดแย่ตามความคิดและสันดานตัวเอง



    ----------------------------------------------------


    อาจารย์สาวหนีทุนเจอขุดเบาะแสใหม่เพียบ บ้าน-ที่อยู่-เงินเดือน รวยอลัง
    อาจารย์สาวหนีทุนเจอขุดเบาะแสใหม่เพียบ บ้าน-ที่อยู่-เงินเดือน รวยอลัง
    -http://education.kapook.com/view140447.html-

    อาจารย์สาวทันตแพทย์หนีทุนโดนจัดหนัก ชาวเน็ตขุดเบาะแสใหม่เพียบ ทั้งบ้านที่อยู่ เงินเดือน และกิจการครอบครัว เรียกได้ว่าไร้ที่ยืนในสังคมแน่นอน

    จากกรณีดังในโลกออนไลน์ เกี่ยวกับเรื่องราวของอาจารย์สาวหนีการใช้หนี้ทุนการศึกษาระดับปริญญาโทและปริญญาเอก จนทำให้ผู้ค้ำประกันต้องเสียเงินร่วม 10 ล้านบาทแทนเธอนั้น

    ล่าสุด วันที่ 31 มกราคม 2559 สมาชิกเฟซบุ๊ก Weerachai Phutdhawong ได้ออกมารวบรวมเบาะแสเพื่อแฉแหลก ทั้งเรื่องบ้านหลังใหม่ที่เพิ่งซื้อ ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 45 ล้านบาท และข้อมูลทางการเงินอื่น ๆ ของอาจารย์สาวรายนี้

    โดยมีการโพสต์ภาพบ้านจาก Google Maps และข้อความระบุว่า “จากภาพมุมสูงอีกมุมจาก google map บ้านเธอมูลค่า 45 ล้านบาท ที่พึ่งซื้อเมื่อปี 2014 ในบ้านมีรถไม่ทราบยี่ห้อจอดอยู่นอกโรงจอดรถ 1 คัน มี Sunroof นะครับ แต่ชาวเนตเดาว่า น่าจะยี่ห้อเดียวกับชื่อเธอ..... ลองหารุ่นมาเทียบดูครับ

    ส่วนอีกโพสต์หนึ่ง เป็นข้อมูลเกี่ยวกับเงินเดือนรายปีของตำแหน่ง Senior Lecturer ซึ่งเป็นตำแหน่งของอาจารย์หนีทุนรายนี้ในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ปรากฏว่ารายรับต่อปีอยู่ที่ 171,466 - 227,800 เหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ราว 6-8.2 ล้านบาท)

    และโพสต์ล่าสุด เป็นข้อมูลเกี่ยวกับธุรกิจคลินิกทำฟันของเธอ มีรายได้ประมาณปีละ 1 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 36 ล้านบาท หากรวมเงินเดือนจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในตำแหน่งอาจารย์ด้วยแล้ว จะมีรายได้รวมประมาณ 1.2 ล้านเหรียญต่อปี หรือราว 42 ล้านบาท (ยังไม่หักภาษี)

    จากข้อมูลทั้งหมด สรุปได้ว่าอาจารย์หนีทุนรายดังกล่าวเป็นผู้มีฐานะคนหนึ่ง ที่มีรายรับต่อปีมากพอจะชดใช้เงินทุนการศึกษาคืนได้อย่างไม่ยากเย็น ทั้งนี้ หากมีเบาะแสใหม่ ๆ เกี่ยวกับเรื่องราวดังกล่าว กระปุกดอทคอมจะรวบรวมมานำเสนอให้ท่านได้ทราบในลำดับต่อไป

    ภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก Weerachai Phutdhawong
    -https://www.facebook.com/phutdhawong-

    -----------------------------------------------------------

    อ.มหิดล แจงดราม่าร้อน อ.สาว เบี้ยวใช้ทุน พร้อมเผยเหตุผลที่เลือกให้เรียนต่อ
    -http://education.kapook.com/view140437.html-

    อาจารย์มหาวิทยาลัยมหิดล แจงปมร้อนอาจารย์เบี้ยวใช้ทุน 10 ล้าน บอกจำเป็นต้องตามผู้ค้ำมาใช้เงินรัฐ ชี้เกณฑ์คัดเลือกบุคคล บอกตอนนั้นดูแค่ปัจจุบันจะประเมินเป็น 10 ปีไม่ได้

    เป็นเรื่องราวดราม่าที่สังคมโซเชียลแชร์กันกระหน่ำเลยทีเดียว กรณีที่อาจารย์สาวท่านหนึ่ง ของภาควิชาทันตกรรมสำหรับเด็ก คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ขอทุนไปเรียนต่อยังมหาวิทยาลับฮาร์วาร์ด เมื่อปร 2536 โดยขณะนั้นมีผู้ค้ำประกัน 4 ราย แต่สุดท้ายอาจารย์หญิงคนดังกล่าวกลับไม่มาทำงานใช้ทุนที่เมืองไทย ทำให้ผู้ค้ำประกันต้องจ่ายเงินคืน 3 เท่า จากที่ได้รับ คือ 10 ล้าน หรือต้องใช้คืน 30 ล้านบาท จากผู้ให้ค้ำประกันทั้งหมด

    อย่างไรก็ดี ล่าสุดวันที่ 30 มกราคม 2559 ทางด้านศาสตรจารย์ นายแพทย์บรรจง มไหสวริยะ รองอธิการบดีมหาวิทยาลัยมหิดล (มม.) ก็ได้ออกมากล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยระบุว่าที่ทางมหาวิทยาลัยเสนอชื่อดังกล่าวก็เพราะเห็นว่าเป็นเด็กเรียนเก่ง เรียนดี และมองว่าสามารถกลับมาทำประโยชน์ให้กับประเทศไทย ซึ่งตามเงื่อนไขแล้วการขอทุนเมื่อเรียนจบก็ต้องกลับมาทำงานใช้ทุน โดยทำงานให้กับหน่วยงานในสังกัด นั่นก็คือมหาวิทยาลัยมหิดล เพราะในตอนนั้นที่ขอไปเป็นทุนของรัฐบาล และอาจารย์คนดังกล่าวเพิ่งเรียนจบและทำงานได้เพียง 1 ปี จึงต้องมีผู้รับประกัน 4 ราย โดยอาจารย์คนดังกล่าวได้ขอทุนทั้งปริญญาโทและเอก งบประมาณในการศึกษาจำนวน 10 ปี 10 ล้านบาท

    ศ. นพ.บรรจง กล่าวต่อว่า ประมาณปี 2547 อาจารย์หญิงคนดังกล่าวได้แจ้งมายังมหาวิทยาลับว่า ขอยกเลิกที่จะกลับมาทำงานใช้ทุนคืน ซึ่งตามเงื่อนไขการขอทุนรัฐบาลยังไงก็ต้องชดใช้เงินคืนทำให้กระทรวงการคลังประสานมายังมหาวิทยาลัยให้เร่งติดตามอาจารย์ดังกล่าวเพื่อให้ใช้เงินคืนเพราะเป็นเงินของประเทศ แต่เมื่อติดต่อไมไ่ด้ ก็ต้องดำเนินการตามกระบวนกฎหมาย ด้วยการประสานและติดตามไปยังผู้ค้ำประกันทั้ง 4 ราย ให้ชดใช้แทน และตลอดเวลาที่ผ่านมาทางมหาวิทยาลัยก็ไม่ได้นิ่งนอนใจในการให้ความช่วยเหลือ เจรจาต่อศาลเพื่อขอลดหย่อนเงินที่จะใช้คืนกับรัฐ ให้เหลือจำนวนเท่าเงินทุน 10 ล้านบาท

    สำหรับประเด็นที่อาจารย์สาวไปมีครอบครัวที่นั่นแล้วปฏิเสธที่จะกลับมาทำงานและใช้ทุนคืน ทางกระทรวงก็ต้องประสานมายังมหาวิทยาลัย ทางมหาวิทยาลัยก็ต้องติดตามจากผู้ค้ำประกัน เพราะเงินดังกล่าวต้องคืนให้รัฐบาล และเหตุการณ์ดังกล่าวก็ไม่ใช่เหตุการณ์แรก จริง ๆ แล้วมีบุคคลที่ขอทุนไปเรียนต่างประเทศแล้วเบี้ยวไม่ชดใช้มีอยู่ประปราย แต่ที่ผ่านมาสังคมไม่ได้มีสื่อโซเชียลมากขนาดนี้ จึงทำให้เรื่องดังกล่าวกระจายไปอย่างรวดเร็ว

    ท้ายนี้ ศ. นพ.บรรจง กล่าวต่อว่า ในการคัดเลือกคนที่จะเสนอให้ขอทุนรัฐบาล จริง ๆ แล้วก็ได้ตรวจสอบอย่างเข้มข้น ดูภูมิหลัง ดูประวัติและพฤติกรรมบุคคลนั้น ๆ แต่เป็นการดูแต่ช่วงเวลาปัจจุบัน ซึ่งไม่สามารถมีทางตอบได้เลยว่า อีก 10 ต่อมา บุคคลนั้นจะเปลี่ยนพฤติกรรมหรือไม่อย่างไร

    เกาะติดข่าว หมอฟันหนีทุน ทั้งหมดคลิกเลย

    ภาพจาก ทวิตเตอร์ @nimdaex เฟซบุ๊ก Weerachai Phutdhawong
    -https://www.facebook.com/phutdhawong-
    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
    -http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/684957-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • q1_5.jpg
      q1_5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      50.2 KB
      เปิดดู:
      70
    • q2_6.jpg
      q2_6.jpg
      ขนาดไฟล์:
      54.2 KB
      เปิดดู:
      65
    • q3_8.jpg
      q3_8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      45.9 KB
      เปิดดู:
      44
    • q4_7.jpg
      q4_7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      42.8 KB
      เปิดดู:
      56
    • w2_1_1.jpg
      w2_1_1.jpg
      ขนาดไฟล์:
      198.5 KB
      เปิดดู:
      47
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กลุ่มคนไทยในอเมริกาลุกฮือ ต่อต้านหมอฟันหนีทุน ตั้งเป้าลงขันจ้างทนายลงดาบ
    -http://education.kapook.com/view140462.html-


    กลุ่มคนไทยในสหรัฐอเมริกาทราบข่าว "หมอฟันหนีทุน" จากกระแสโซเชียล เริ่มลุกฮือต่อต้าน อาจมีการลงขันจ้างทนายให้จัดการ

    จากกรณี “ทันตแพทย์หนีทุน” ที่กำลังเป็นกระแสโด่งดังไปทั่วสังคมออนไลน์ หลังจากเฟซบุ๊กชื่อ เผด็จ พูลวิทยกิจ ได้โพสต์ระบายความในใจหลังถูกทันตแพทย์สาวรายหนึ่งซึ่งเคยขอให้เซ็นค้ำประกันเงินทุนการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง แต่ภายหลังกลับถูกเบี้ยว ไม่ยอมเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อชดใช้ทุน ทำให้ผู้ค้ำประกันต้องร่วมกันใช้เงินค่าปรับกว่า 8 ล้านบาท ตามที่เป็นข่าวไปนั้น (อ่านข่าว : ทันตแพทย์หนีทุน ทั้งหมด คลิก)

    ความคืบหน้าล่าสุด เมื่อวันที่ 31 มกราคม 2559 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในเฟซบุ๊กของทันตแพทย์เผด็จ พูลวิทยกิจ ได้มีกลุ่มประชาชนที่อ้างว่าอาศัยอยู่ในสหรัฐอเมริกา โพสต์ข้อความให้กำลังใจและเล่าว่าทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว พร้อมกันนี้ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ถึงแม้ต้นสังกัดของทันตแพทย์หนีทุนรายดังกล่าวจะไม่สนใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ในกลุ่มบุคคลผู้ร่วมงานซึ่งสังกัดองค์กรเดียวกันนั้นไม่เห็นดีเห็นงามด้วย

    โดยข้อความระบุเพิ่มเติมว่า ขณะนี้ คนไทยในอเมริกาหลายฝ่ายกำลังพยายามหาทางเคลื่อนไหวกดดันหน่วยงานต้นสังกัด และทันตแพทย์คนดังกล่าวแล้ว ซึ่งหากมีความคืบหน้า จะนำมาแจ้งให้ทราบเป็นลำดับต่อไป

    พร้อมกันนี้ ยังมีผู้มอบข้อความให้กำลังใจทันตแพทย์เผด็จด้วยว่า “ผมจะไม่แปลกใจเลยถ้าจะมีคนไทยจำนวนมากช่วยกันลงขันบริจาคจ้างทนายไปสู้คดีที่อเมริกา คุณหมออย่าดูแคลนน้ำใจคนไทยในประเทศนี้เกินไป เรื่องราวตอนนี้มันเกินกว่าแค่จะชดใช้เงินคืนและขอโทษครูตนเองที่ตัวเองอกตัญญูไปแล้ว มันเป็นเรื่องของคุณธรรมและความถูกต้องเป็นธรรมล้วน ๆ”

    ด้านชาวเน็ตที่ติดตามเรื่องราวดังกล่าวมาตลอด ก็ได้คอมเมนท์ให้กำลังใจทันตแพทย์เผด็จอย่างล้นหลาม พร้อมบอกว่าถ้ามีการว่าจ้างทนายจริง พวกตนก็พร้อมจะช่วยลงขันอีกแรง แต่ด้านนายแพทย์เผด็จกล่าวว่า ตอนนี้ยังไม่มีความคิดที่จะฟ้องใครทั้งสิ้น

    เกาะติดข่าว หมอฟันหนีทุน ทั้งหมดคลิกเลย
    -http://news.kapook.com/topics/%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%AD%E0%B8%9F%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99-


    ภาพและข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก เผด็จ พูลวิทยกิจ
    -https://www.facebook.com/padetunity-

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ -http://dailynews.co.th/regional/376638-
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มนุษย์เงินเดือนรวยได้ แน่ แค่ 8 ข้อ !
    -http://money.sanook.com/354439/-

    -https://moneyhub.in.th/-
    สนับสนุนเนื้อหา

    ใครว่ามนุษย์เงินเดือนจะไม่มีวันรวย เราขอค้านเลยค่ะ มนุษย์เงินเดือนรวยได้ แน่นอน เพราะคนที่ทำงานเป็นมนุษย์เงินเดือนนั้นแม้ว่าจะมีเงินเดือนที่คงที่และไม่มากนัก แต่หากรู้จักเก็บออมและบริหารการใช้จ่ายเงินให้ดี ก็สามารถที่จะก้าวนำตัวเองไปสู่ความร่ำรวยได้เหมือนกัน ซึ่งวันนี้เราก็มีเทคนิคง่ายๆ ที่จะช่วยบริหารเงินสำหรับมนุษย์เงินเดือนให้รวยได้มาฝากกันค่ะ


    1. ออมสัก 10-30% ทุกเดือน
    เมื่อเงินเดือนออก เราจะต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งไว้เป็นเงินออม โดยออมแค่ 10-30% พอค่ะ เช่น ได้เงินเดือน 10,000 บาท ก็อาจจะแบ่งออมไว้สัก 1000-3000 บาทนั่นเอง แค่นี้ก็จะทำให้มีเงินออมเหลือใช้ในแต่ละเดือนแล้วล่ะ โดยการออมเงินนั้นเราอาจจะออมใส่กระปุกออมสินไว้หรือฝากธนาคารก็ได้ แต่ถ้าให้ดีฝากธนาคารจะดีกว่า เพราะจะทำให้เรามีวินัยในการเก็บเงินมากขึ้นและไม่เผลอนำเงินออกมาใช้จนหมดนั่นเอง


    2. ทำบัญชีรายรับ รายจ่าย
    บัญชีรายรับ รายจ่ายก็นับว่าสำคัญมากเลยล่ะ เพราะการจดบัญชีรายรับรายจ่ายไว้จะทำให้เรารู้ว่าในแต่ละวันเราจ่ายอะไรไปบ้างและจำเป็นมากแค่ไหน อีกทั้งยังเป็นเครื่องเตือนใจว่าในขณะนี้เราใช้จ่ายเงินไปมากน้อยเท่าไหร่แล้ว เพื่อจะได้ไม่เผลอเพิ่มรายจ่ายไปมากกว่านี้นั่นเอง เรียกได้ว่ารายรับรายจ่ายเป็นเครื่องมือที่ลดความฟุ่มเฟือยได้อย่างดีเยี่ยมเลยล่ะ


    3. ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน
    อยากรวยต้องรู้จักตั้งเป้าหมายให้ชัดเจนก่อนนะคะ โดยตั้งเป้าหมายไว้ว่าเดือนนี้จะต้องมีเงินเก็บเท่าไหร่ หรืออีก 5 เดือนจะต้องเก็บเงินได้เท่าไหร่ ซึ่งจะทำให้เรามีกำลังใจที่อยากจะไปให้ถึงจุดหมายให้ได้มากที่สุดเลยล่ะ นอกจากนี้เราอาจจะใช้การตั้งเป้าหมายด้วยสิ่งจูงใจบางอย่าง เช่นจะต้องเก็บเงินให้ได้เท่านั้นเพื่อซื้อโทรศัพท์ เพื่อไปเที่ยวหรือเพื่อะไรก็ตามที่คุณอยากได้ ก็จะช่วยเป็นแรงกระตุ้นในการเก็บออมเงินได้อย่างดีเยี่ยมเลยล่ะ


    4. เลือกการลงทุนสักอย่างที่เหมาะกับคุณ
    ใช่ว่ามนุษย์เงินเดือนจะไม่สามารถทำกำไรด้วยการลงทุนได้นะ เพียงแต่ต้องเลือกลงทุนเมื่อมีเงินพอที่จะลงทุนโดยไม่เดือดร้อนได้แล้วและจะต้องเลือกลักษณะการลงทุนให้เหมาะกับตัวเองที่สุดนั่นเอง แต่ก่อนที่จะตัดสินใจลงทุนอะไรสักอย่าง คุณควรเก็บออมเงินให้ได้สักก้อนก่อนแล้วค่อยใช้เงินที่เหลือจากการเก็บออมมาลงทุนนั่นเอง

    5. ทำประกันสังคมไว้สิ
    หลายคนอาจจะมองว่าการทำประกันสังคมจะเป็นการเพิ่มค่าใช้จ่ายในส่วนของประกัน แต่หากคิดในทิศทางที่ตรงข้ามกันจะพบว่ามันมีประโยชน์กว่าที่คุณคิดมากเลยล่ะ ลองคิดดูสิว่าหากเราเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลก็จะต้องใช้เงินมากอยู่เหมือนกันอีกทั้งยังขาดรายได้อีกด้วย แต่หากทำประกันสังคมไว้ล่ะก็ ถึงแม้ว่าเราจะเจ็บป่วยเข้าโรงพยาบาลแต่ก็ยังได้เงินคืนจำนวนหนึ่งเลยล่ะ


    นอกจากนี้ผู้หญิงเรายังสามารถใช้สิทธิประกันสังคมในการคลอดบุตรได้อีกด้วยนะ เห็นไหมว่าไม่ว่าจะเข้าโรงพยาบาลหรือคลอดบุตรก็ยังมีเงินให้ใช้ และไม่รบกวนเงินเก็บจนเกินไปอีกด้วย ดังนั้นมนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆ มาทำประกันสังคมกันดีกว่าค่ะ


    6. ชำระบัตรเครดิตให้ตรงเวลา
    แน่นอนว่าถึงแม้จะเป็นมนุษย์เงินเดือนแต่หลายคนก็คงมีบัตรเครดิตไว้ครอบครองกันอย่างแน่นอน ทั้งนี้ก็เพื่อความสะดวกสบายในการใช้จ่ายเงินของแต่ละคนนั่นเอง แต่หากใช้บัตรเครดิตแล้วล่ะก็จะต้องจ่ายชำระค่าบัตรเครดิตให้ตรงเวลาด้วยนะคะ เพราะหากปล่อยให้พ้นเวลาชำระไปล่ะก็ ดอกเบี้ยจะบานขึ้นมาเป็นดอกเห็ดเลยล่ะ คงไม่มีใครที่อยากจะเพิ่มภาระหนี้ให้กับตัวเองหรอกจริงไหมคะ


    7. ช้อปปิ้งให้น้อยลง
    สำหรับใครที่ติดนิสัยเงินเดือนออกทีไรก็ต้องไปช้อปปิ้งทุกที ต้องเปลี่ยนนิสัยของตัวเองกันหน่อยแล้วนะคะ เพราะการช้อปปิ้งนี่ล่ะที่เป็นสาเหตุหลักของความยากจนเลย ดังนั้นหากไม่จำเป็นก็ลดลดการช้อปลงหน่อยก็ดีเหมือนกันเนอะ จะได้มีเงินเหลือเก็บและก้าวไปสู่ความร่ำรวยได้นั่นเองค่ะ


    8. พยายามลดค่าใช้จ่ายลง
    เงินเดือนออกทีไรก็ไม่เคยพอกับค่าใช้จ่ายสักที แถมบางครั้งยังไม่มีเงินเหลือใช้อีกด้วย นั่นอาจเป็นเพราะค่าใช้จ่ายที่มากเกินไปในแต่ละเดือน เพราะฉะนั้นหากคุณอยากรวยล่ะก็ จะต้องพยายามลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลง เช่นการช้อปปิ้งบ่อยเกินไปหรือการกินข้าวนอกบ้าน เพราะมันจะทำให้สิ้นเปลืองเงินไปโดยเปล่าประโยชน์เลยล่ะ อะไรที่ไม่จำเป็นก็ตัดออกไปบ้างก็ดีนะคะ


    อยากรวยไม่ใช่เรื่องยาก ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่มนุษย์เงินเดือนก็ตาม เพียงแค่เราปรับการใช้จ่ายเงินใหม่และขยันเก็บออมให้มากขึ้น ส่วนค่าใช้จ่ายอะไรที่ไม่จำเป็นก็เลี่ยงซะ
    แค่นี้ก็จะมีเงินเก็บได้ไม่ยากแล้วล่ะ แถมยังก้าวไปสู่ความร่ำรวยได้อย่างง่ายดายขึ้นอีกด้วยนะ ใครที่เป็นมนุษย์เงินเดือนลองทำตามวิธีของเราดูนะคะแล้วคุณก็จะก้าวไปสู่จุดหมายได้อย่างแน่นอน ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งเลยล่ะ

    Advertorial

    สนับสนุนเนื้อหาโดย MoneyHub

    ------------------------------------------


    3 สุดยอด วิธีออมเงิน จากหลักพันกลายเป็นหลักล้าน!
    -http://money.sanook.com/354395/-

    -https://moneyhub.in.th/-
    สนับสนุนเนื้อหา

    ปัจจุบันนี้ไม่ว่าจะหันไปทางไหน ก็พบกับผู้คนที่รู้จักการวางแผนการใช้เงิน การลงทุนเพื่อการต่อยอดของการออมกันมากมายเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนรอบข้าง หรือว่าจะเป็นเหล่าคนดัง ดารานักร้อง หรือแม้แต่กระทั่งนักการเมืองนั่นเอง


    จะสังเกตได้เลยว่าเขาได้นำเงินเก็บมาเพื่อทำการต่อยอด เพิ่มมูลค่า หรือทำการออมเพื่อใช้จ่ายในอนาคตนั่นเอง ทั้งนี้เป็นเพราะว่าสาเหตุต้นมาจากระบบเศรษฐกิจที่ไม่แน่ไม่นอน หรือว่าจะเป็นการออมเพื่อเป็นการลงทุน หรือทำกิจการเพื่อที่จะเพิ่มความมั่นคงทางการเงินของตัวเองให้มากขึ้น เพื่อที่อนาคตวันข้างหน้าจะได้มีเงินทุนสำรองเพื่อที่จะใช้จ่ายกันนั่นเอง
    จะดีแค่ไหนหากเรามีเงินใช้จ่ายแบบสบายๆ มีเงินในบัญชีเยอะแยะ วิธีออมเงิน จากหลักพันให้เป็นหลักล้านทำอย่างไร และเป็นไปได้จริงหรือไม่ที่เงินหลักพันจะกลายเป็นหลักล้านด้วยวิธีการเพียงแค่ 3 วิธี


    ทุกข้อสงสัย การออมเงินเป็นหนึ่งในวิธีการที่ทำให้เรามีสถานะทางการเงินที่มั่นคงและเป็นหลักประกันในการใช้จ่ายในอนาคต และยังเป็นวิธีที่จะทำให้เงินของเรางอกเงย ได้อีกด้วย จากการที่เรานำเงินไปฝากกับธนาคารที่ให้ดอกเบี้ยสูง แต่ลองคิดดูว่ากว่าที่เงินเราจะงอกเงยได้ถึงจุดที่เรียกได้ว่า มั่งคั่ง ก็ต้องใช้เวลานาน หรือแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยกับการหวังผลตอบแทนจากการฝากเงิน ถ้าเราไม่ได้มีเงินได้มากขนาดตัวเลขถึงหลักล้านขึ้นไป


    แล้วเราจะมี วิธีออมเงิน อย่างไรให้ได้รับผลประโยชน์สูงที่สุด ในกรณีเรามีเงินอยู่ในมือเพียงแค่หลักพันบาท เกี่ยวกับการออมเงินจากหลักพันสู่หลักล้าน งั้นเราไปพบกับ 3 วิธีการออมเงินจากหลักพันให้เป็นหลักล้านกันเลย


    ออมเงินก่อนใช้
    ไม่ว่าคุณจะมีรายได้เท่าใด สิ่งแรกที่จะนำไปสู่ความมั่งคั่ง เพราะหากใช้เงินแล้วค่อยออม รับรองว่าส่วนใหญ่จะใช้จนหมด ไม่เหลือออมแน่นอน ฉะนั้นเมื่อได้เงินเดือนควรเก็บเป็นเงินออมเสียก่อน เหลือเท่าไรค่อยใช้เท่านั้น แบ่งเก็บแบ่งไว้ใช้ให้ชัดเจน


    ออม 1 ใน 4 ของเงินได้
    สิ่งที่ต้องทำคือควรออมเงินอย่างน้อย 1 ใน 4 ของเงินเดือน หากทำงานไปสักระยะเงินเดือนสูงขึ้น สัดส่วนการออมก็ต้องสูงขึ้นตามด้วย นอกจากการออมเงินด้วยการฝากธนาคารคุณอาจออมเงินในรูปแบบของการซื้ออสังหาริมทรัพย์ เช่น คอนโดทำเลดีที่มีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท


    ออมพร้อมการลงทุน
    การซื้อกองทุนรวมตราสารหนี้ระยะสั้น ที่มีความเสี่ยงต่ำ สำหรับข้อดี จะได้ผลตอบแทนมากกว่าฝากเงินธนาคาร และไม่ต้องเสียภาษี แต่จะมีข้อเสีย ดังนี้หากต้องการใช้เงิน ไม่สามารถถอนเงินได้ทันที จะต้องขายหน่วยลงทุนก่อนได้เงินในวันรุ่งขึ้น และกำหนดจำนวนเงินชั้นต่ำในการซื้อกองทุน เงินที่ได้รับคือ ราคา NAV (มูลค่าสินทรัพย์สุทธิต่อหน่วยลงทุนของวันนั้น)
    การฝากบัญชี ข้อดีคือฝาก-ถอนเมื่อใดก็ได้ ไม่มีชั้นต่ำในการฝากเงิน ข้อเสียคือดอกเบี้ยไม่สูง และต้องเสียภาษี 15 เปอร์เซ็นต์ในกรณีที่ได้รับดอกเบี้ยมากกว่าปีละ 20,000 บาท ที่มาของดอกผลจากการลงทุน... ปีละ 3-3.5%


    เลือกลงทุนในกองทุนตราสารหนี้แบบไม่ปันผล มีความเสี่ยง 20 เปอร์เซ็นต์ ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล ตั๋วเงินคลัง หุ้นกู้ ปีละ 5-7% เลือกกองทุนในกองทุนอลังหาริมทรัพย์ ซึ่งมี 2 รูปแบบ คือ


    • แบบ Lease Hold ลงทุนแบบเซ้งระยะยาว 30 ปี ผลตอบแทนระยะแรกสูง แต่ราคาจะตกลงเรื่อย ๆ เมื่อใกล้ครบกำหนดขาย
    • แบบ Free Hold ลงทุนแบบซื้อขาด ผลตอบแทนระยะแรกไม่ค่อยสูง แต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อใกล้ครบกำหนดขาย เพราะราคาที่ดินปรับขึ้นทุกป ปีละ 18-20%


    เลือกลงทุนในกองทุนตราสารทุน (กองทุนหุ้น) มีความเสี่ยง 60-70 เปอร์เซ็นต์ แต่ให้ผลตอบแทนสูง"ยิ่งออมเร็ว ยิ่งรวยเร็ว ยิ่งสบายเร็ว"


    นอกจากรู้วิธีการออมเงินแล้วควรมีวินัยในการออมเป็นระบบทำให้เราเห็นภาพของเม็ดเงินในอนาคตได้ชัดเจนมากขึ้น


    ยิ่งถ้าเราสามารถบริหารจัดการค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือนได้ และให้ความสำคัญเฉพาะรายจ่ายที่จำเป็นและตัดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป ก็จะยิ่งทำให้เรามีเงินเหลือเก็บในแต่ละเดือนมากขึ้นและขยับเข้าใกล้คำว่า มั่งคั่ง ได้เร็วขึ้นนะคะ


    ควรรู้จักการประหยัดอดออมเพราะจะทำให้เรารู้ค่าของเงินมากขึ้น ถ้าเราเพิ่มทางเลือกในการออมให้หลากหลายเพื่อให้เงินของเรางอกเงยเป็นหลายแสนหลายล้าน ลองนำไปปรับใช้กับการออมในชีวิตประจำวัน แล้วจะรู้ว่าการมีเงินล้านไม่ใช่เรื่องยากอย่างที่คิดอีกต่อไป


    การออมเงิน หรือการเก็บเงินเพื่ออนาคตวันข้างหน้านี้จะสามารถทำให้เรามีความมั่นใจ และความมั่นคงทางระบบการเงินเป็นอย่างมากเลยทีเดียว เพราะหากคุณได้ใช้เงินอย่างสิ้นเปลือง ดำเนินชีวิตอยู่บนความหวาดระแวง หรือไม่มีความมั่นคงทางการเงินเสียแล้ว ชีวิตคุณจะเกิดความสุขเพียงชั่วครั้งชั่วคราวเพียงเท่านั้น และบอกได้เลยว่าเมื่อถึงเวลา หรือเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นจริงๆคุณจะเกิดความเครียดจนเดินไม่ถูกเลยนั่นเอง ดังนั้นเป็นเรื่องที่ดีมากๆ ที่คุณได้ริเริ่มทำการออมวันนี้ มันไม่ใช่เรื่องที่สายเอาเสียเลยนั่นเองค่ะ

    Advertorial

    สนับสนุนเนื้อหาโดย MoneyHub
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ของไหว้ตรุษจีน 2559 ของไหว้ตรุษจีนไหว้เจ้าที่ มีอะไรบ้าง
    -http://health.kapook.com/view21160.html-


    ของไหว้ตรุษจีน 2559 ไหว้วันตรุษจีน ไหว้เจ้าที่ ว่าแต่ ของไหว้ตรุษจีน 2559 เนื่องในวันตรุษจีน 2559 มีอะไรบ้าง เรามีคำตอบมาฝาก

    "ซินเจียยู่อี่ ซินนี้ฮวดไช้" ประโยคคุ้นหูที่เรามักได้ยินในช่วง "เทศกาลตรุษจีน" วันสำคัญของพี่น้องชาวไทยเชื้อสายจีน ที่เป็นเสมือนวันขึ้นปีใหม่ของจีนนั่นเอง โดย ตรุษจีน 2559 นี้ ตรงกับวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2559 ซึ่งในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ ก่อนวันตรุษจีน หรือวันขึ้นปีใหม่ 1 วัน จะมีพิธีกรรมเซ่นไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยอาหารคาวหวานนานับชนิด ว่าแต่ของไหว้ตรุษจีนมีอะไรบ้างล่ะ ใครกำลังอยากรู้ว่า จัดของไหว้ตรุษจีน ต้องใช้อะไรบ้าง กระปุกดอทคอม มีคำตอบมาบอกค่ะ

    สำหรับในวันตรุษจีนนั้น จะมีการเตรียมของไหว้อย่างพิถีพิถัน แบ่งเป็นเนื้อสัตว์ ผลไม้ ขนมหวาน กับข้าวคาว กับข้าวเจ อย่างละ 3 หรือ 5 ชนิด พร้อมสุรา น้ำชา ข้าวสวย และกระดาษเงินกระดาษทองประเภทต่าง ๆ โดยจะจัดเรียงตามลำดับความสำคัญตามชนิดของอาหาร ซึ่งจะมีเสียงเรียกพ้องกับเสียงของคำมงคล และผลไม้ที่ขาดไม่ได้บนโต๊ะไหว้ก็คือ ส้มมหามงคลสีทอง ที่ชาวจีนเรียกว่าส้มไต่กิก เพราะมีความหมายหมายถึงความสวัสดีมงคลอย่างยิ่ง

    ทั้งนี้ "วันไหว้" จะทำกันในวันสิ้นปี ซึ่งปกติมีการไหว้ 3-4 ชุด เริ่มจาก "ไหว้เจ้าที่" ในช่วงเช้าด้วยชุดซาแซ คือ หมู เป็ด ไก่ ที่อาจเปลี่ยนเป็นไข่ย้อมสีแดงได้ ขนมเทียน และขนมถ้วยฟู หรือขนมอื่น ๆ ผลไม้ไหว้มีส้มสีทอง องุ่น แอปเปิล พร้อมกับกระดาษเงิน กระดาษทอง ต่อด้วยช่วงสาย ๆ ไม่เกินเที่ยง "ไหว้บรรพบุรุษ" เครื่องไหว้จะประกอบด้วยชุดซาแซ อาหารคาวหวาน ส่วนมากก็ทำตามที่ผู้ล่วงลับไปแล้วชอบ เต็มที่จะมี 10 อย่าง นิยมว่าต้องมี น้ำแกง เพื่ออวยพรให้ชีวิตราบรื่น และกับข้าวเลือกที่มีความหมายมงคล ส่วนขนมไหว้บรรพบุรษต่าง ๆ ก็มีความหมายมงคลเช่นกัน

    อย่างไรก็ตาม หลังจากไหว้บรรพบุรษแล้ว ช่วงเที่ยงหรือบ่ายก็จะไหว้ผีไม่มีญาติ จากนั้นก็เป็นช่วงกลางดึกของคืนวันสิ้นปีย่างเข้าตรุษจีน ที่จะมีการไหว้ไฉ่ซิงเอี้ย หรือเทพเจ้าแห่งโชคลาภ โดยให้หันโต๊ะไหว้ไปทางทิศตะวันตก ทั้งนี้ ชาวจีนจะเตรียมจัดของไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภอย่างพิถีพิถัน เพราะในช่วงเวลาที่กำลังจะเข้าวันตรุษจีน โลกกำลังหมุนไปทางทิศนี้ แล้วเมื่อย่างเข้าวันปีใหม่จีนหรือวันตรุษจีน ก็ยังนิยมไปไหว้ขอพรและอวยพรจากญาติผู้ใหญ่ โดยจะนำส้มสีทองจำนวน 4 ใบ ไปมอบให้ด้วยเสมือนนำโชคดีไปให้ เพราะเสียงไปพ้องกับคำว่าทองในภาษาจีนแต้จิ๋ว

    ทั้งนี้ สำหรับความหมายของ "ของไหว้วันตรุษจีน" ได้แก่...

    ความหมายของผลไม้ไหว้วันตรุษจีน

    - กล้วย หมายถึง กวักโชคลาภเข้ามา และขอให้มีลูกหลานเต็มบ้านเต็มเมือง

    - แอปเปิล หมายถึง ความสันติสุข สันติภาพ

    - สาลี่ หมายถึง โชคลาภมาถึง (ควรระวังไม่นิยมไหว้บรรพบุรุษและวิญญาณไร้ญาติ)

    - ส้มสีทอง หมายถึง ความสวัสดีมหามงคล

    - องุ่น หมายถึง ความเพิ่มพูน

    - สับปะรด คำจีนเรียกว่า "อั้งไล้" แปลว่า มีโชคมาหา

    ความหมายของอาหารไหว้วันตรุษจีน

    - ไก่ หมายถึง ความสง่างาม ยศ และความขยันขันแข็ง ก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ต้องเป็นไก่เต็มตัว หมายถึง มีหัว ตัว ขา ปีก มีความหมายถึง ความสมบูรณ์

    - เป็ด หมายถึง สิ่งบริสุทธิ์ ความสะอาด ความสามารถอันหลากหลาย

    - ปลา หมายถึง เหลือกินเหลือใช้ อุดมสมบูรณ์

    - หมู หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ มีกินมีใช้

    - ปลาหมึก หมายถึง เหลือกิน เหลือใช้ (เหมือนปลา)

    - บะหมี่ยาวหรือหมี่ซั่ว หรือ ฉางโซ่วเมี่ยน ตามชื่อหมายถึง อายุยืนยาว

    - เม็ดบัว หมายถึง การมีบุตรชายจำนวนมาก

    - ถั่วตัด หมายถึง แท่งเงิน

    - สาหร่ายทะเลสีดำ หมายถึง ความมั่งคั่งร่ำรวย

    - หน่อไม้ หมายถึง การอวยพรให้ร่ำรวยผาสุก

    สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยง คือ เต้าหู้ขาว เนื่องจากสีขาว คือ สีสำหรับงานโศกเศร้า

    ความหมายของขนมไหว้วันตรุษจีน

    - ขนมเข่ง คือ ความหวานชื่น ราบรื่นในชีวิต ขนมเข่งที่ใส่ในชะลอม หมายถึง ความหวานชื่นอันสมบูรณ์

    - ขนมเทียน คือ เป็นขนมที่ปรับปรุงขึ้นจากชาวจีนโพ้นแผ่นดินดัดแปลงมาจากขนมท้องถิ่นของไทย จากขนมใส่ไส้เปลี่ยนจากแป้งข้าวเจ้าผสมกะทิมาเป็นแป้งข้าวเหนียวแทน มีความหมายหวานชื่น ราบรื่น รูปลักษณ์เป็นกรวยแหลมมีลักษณะเป็นมงคลเหมือนเจดีย์

    - ขนมไข่ คือ ความเจริญเติบโต

    - ขนมถ้วยฟู คือ ความเพิ่มพูนรุ่งเรือง เฟื่องฟู

    - ขนมสาลี่ คือ รุ่งเรือง เฟื่องฟู

    - ซาลาเปา หรือ หมั่นโถว คือ ไหว้เพื่อให้เปาไช้ แปลว่าห่อโชค โดย หมั่นโถว มีแบบที่ทำจากหัวมัน เนื้อออกสีเหลือง และแบบไม่ผสมมัน เนื้อออกสีขาว นิยมทำให้แตกเหมือนดอกไม้บาน ถ้าลูกเล็กจะแต้มจุดแดง ลูกใหญ่จะปั๊มตัวหนังสือสีแดง เขียนว่า ฮก แปลว่า โชคดี ส่วนถ้ามีไส้ เรียก "ซาลาเปา" นิยมไส้เต้าซา แป้งไม่ผสมมัน หน้าไม่แตก มีตัวหนังสือปั๊มว่า เฮง แปลว่าโชคดี

    นอกจากนี้ยังมี ซิ่วท้อ เป็นซาลาเปาพิเศษ ทำเป็นรูปลูกท้อ ไส้เต้าซา เพราะถือว่าเป็นผลไม้สวรรค์ ใช้ในงานวันเกิด ใครได้กินอายุจะยืนยาว

    - จันอับ (จั๋งอั๊บ) หมายถึง ปิ่นโต หมายถึงความหวานที่เพิ่มพูน มีความสุขตลอดไป ใช้ไหว้เจ้าได้ทุกประเภท ประกอบด้วยขนม 5 อย่าง คือ เต้ายิ้งปัง คือ ขนมถั่วตัด, มั่วปัง คือ ขนมงาตัด, ซกซา คือ ถั่วเคลือบน้ำตาล, กวยแฉะ คือ ฟักเชื่อม และโหงวจ๊งปัง คือ ขนมข้าวพอง

    กระดาษเงินกระดาษทอง

    นอกจากอาหารคาวหวานแล้ว ในการไหว้ตรุษจีนนั้น จะต้องมีการเตรียมกระดาษเงินกระดาษทอง สำหรับใช้ไหว้ด้วย เพราะคนจีนเชื่อกันว่า เมื่อตายไปแล้วจะไปยังอีกภพโลกหนึ่ง เรียกว่า "อิมกัง" ลูกหลานจึงต้องส่งเงินทองด้วยการเผากระดาษเงินกระดาษทองไปให้บรรพบุรุษได้ใช้ เพื่อแสดงความกตัญญู ซึ่งกระดาษเงินกระดาษทองมีทั้งแบบที่ใช้ไหว้เจ้า และแบบที่ใช้ไหว้บรรพบุรุษ คือ

    - กอจี๊ หรือ จี๊จุ้ย เป็นกระดาษเงินกระดาษทองชิ้นใหญ่ มีกระดาษแดงตัดเป็นลายตัวหนังสือว่า "เผ่งอัน" เป็นคำอวยพร แปลว่า โชคดี ใช้สำหรับไหว้เจ้าที่ ไหว้เทพยดาฟ้าดิน

    - กิมจั้ว หรือ งึ้งจั๊ว หมายถึงกระดาษเงินกระดาษทอง เวลาจะไหว้จะทำเป็นชุด ก่อนไหว้ลูกหลานต้องนำมาพับเป็นรูปดอกไม้ ใช้ไหว้ได้ทุกอย่าง

    - กิมเต้า หรือ งึ้งเต้า หรือถังเงินถังทอง ใช้ไหว้เจ้าที่ ไหว้เทพยดาฟ้าดิน

    - กิมเตี๊ยว คือ แท่งทอง ใช้ไหว้บรรพบุรุษ ไหว้คนตาย

    - ค้อซี คือ กระดาษทอง ก่อนใช้ให้พับเป็นรูปร่างก่อน เช่น พับเป็นเรือ เรียกว่า "เคี้ยวเท่าซี" เชื่อกันว่าการพับเรือ จะได้มูลค่าสูงกว่าการพับอย่างอื่น ใช้ไหว้ได้ทุกอย่าง รวมทั้งไหว้คนตาย โดยเฉพาะพิธีทำกงเต๊ก ลูกหลานต้องพับค้อซี ให้มากที่สุด

    - อิมกังจัวยี่ คือ แบงก์กงเต๊ก

    - อ่วงแซจิ่ว ใช้เผาเป็นใบเบิกทางไปสวรรค์สำหรับผู้ตาย

    - เพ้า คือ ชุดของเทพเจ้า คล้ายกับที่คนไทยถวายผ้าห่มพระพุทธรูป มีการทำของเจ้าหลายองค์ เช่น ชุดของเจ้าแม่กวนอิม เจ้าแม่ทับทิม พระพุทธ

    - ตั้วกิม เป็นกระดาษเงินกระดาษทองที่ญาติสนิทนำไปไหว้ผู้ตาย การเผากระดาษเงินกระดาษทองจะต้องทิ้งไว้สักพัก เพื่อให้ทุกคนได้เซ่นไหว้เสร็จ ก็จะทำการ "เหี่ยม" หรือจบเหนือศีรษะ ระหว่างนี้ให้ทำการอธิษฐานขอพรไปด้วย แล้วจึงนำไปเผา เมื่อไฟมอดแล้วจึงไหว้ลา เป็นการเสร็จพิธี

    รู้แล้วว่า "ของไหว้ตรุษจีน" มีอะไรบ้าง ทีนี้เราก็ควรจะมารู้จักวิธีการคัดเลือกอาหารเหล่านี้กันด้วย เพราะหลังจากไหว้ตรุษจีนเสร็จสิ้น ของไหว้เหล่านี้ก็จะถูกนำมาปรุงเป็นอาหารให้คนในครอบครัวทานกัน

    โดยนายสง่า ดามาพงษ์ ผู้จัดการโภชนาการสมวัย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ได้ให้ข้อมูลว่า ในช่วงเทศกาลตรุษจีน หลายบ้านจะมีการไหว้บรรพบุรุษ ด้วยอาหารคาวหวาน ผัก-ผลไม้มากมาย แต่พึงระวังไว้สักนิดว่าอาหารที่นำมาปรุงนั้น ถูกหลักโภชนาการและปลอดภัยหรือไม่ เพราะอาหารเหล่านั้นอาจมีทั้งยาฆ่าแมลง และสารเคมีอื่น ๆ ที่ปนเปื้อน ถ้าเข้าสู่ร่างกายเราคงเป็นเรื่องที่ไม่ดีเป็นแน่

    "ในการไหว้บรรพบุรุษนั้น ส่วนใหญ่ก็จะใช้ผักไม่กี่ชนิด ซึ่งเราก็มีวิธีการเลือกผักให้ปลอดภัย โดยดูที่ใบ ต้องไม่มีคราบดินหรือคราบขาวของสารพิษกำจัดศัตรูพืช หรือเชื้อราตามใบ และผักก็ควรมีรูพรุนเป็นรอยกัดแทะของหนอนแมลงอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะผักลักษณะเช่นนี้จะมีคุณค่าทางโภชนาการเหลืออยู่มาก และถ้าเป็นไปได้ควรเลือกซื้อผักที่ปลอดสารพิษ หรือพวกผักเกษตรอินทรีย์น่าจะดีที่สุด" อ.สง่า กล่าว

    ส่วนในขั้นตอนก่อนการปรุงนั้น เราควรล้างผักด้วยน้ำสะอาด 2-3 ครั้ง และควรแยกผักใบและผักหัวออกจากกันเวลาล้าง โดยผักหัวควรล้างด้วยน้ำเกลือประมาณ 5-7 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง เพื่อล้างยาฆ่าแมลงที่สะสมอยู่ด้านในออกบางส่วน เพราะความร้อนไม่สามารถล้างยาฆ่าแมลงออกได้ เมื่อเรารับประทานเข้าไป จะเกิดการสะสมและอาจก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และอาหารเป็นพิษตามมาได้

    "ผักประเภทหัวก็เช่นกัน อย่างกะหล่ำปลีก็ควรเอาเปลือกข้างนอกออก และพยายามล้างให้ถึงแกนด้านใน เพราะยาฆ่าแมลงจะตกค้างอยู่ภายใน รวมถึงแตงกวา ถั่ว ก็ควรแช่น้ำเกลือ หรือไม่ก็ใช้ด่างทับทิมล้างก่อน แล้วจึงล้างด้วยน้ำสะอาดอีกรอบ ที่สำคัญผักทุกชนิดเราควรล้างก่อนที่จะนำมาหั่น เพื่อไม่ให้น้ำชะล้างคุณค่าทางโภชนาการออกหมด"

    ในส่วนของวิธีการปรุงนั้น ผักทุกชนิดเราไม่ควรต้มจนเละ เพราะนั่นจะทำให้ผักที่เรารับประทานเข้าไปมีคุณค่าทางโภชนาการน้อย รับประทานสด ๆ น่าจะดีที่สุด

    ผลไม้ก็เช่นกัน ควรเลือกร้านที่เราไว้ใจได้ ผลมันต้องสด ๆ และเลือกผลที่ไม่ช้ำ บางรายคัดแต่ลูกใหญ่ ๆ เพราะคิดว่าจะได้คุณค่าทางโภชนาการมากกว่าลูกเล็ก ๆ ซึ่งความเป็นจริงแล้วก็ได้คุณค่าในปริมาณที่เท่ากันทั้งหมด

    "ผลไม้ที่ประชาชนใช้ไหว้บรรพบุรุษนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นส้ม แก้วมังกร แอปเปิล หรือส้มโอ ซึ่งก็ควรเลือกแบบสด ๆ ผลไม่มีรอยช้ำ และควรล้างก่อนรับประทาน เพราะยาฆ่าแมลงมักจะสะสมอยู่บริเวณผิวเปลือก เมื่อเราใช้มือแกะส้ม ยาฆ่าแมลงนั้นก็จะมาติดที่มือเรา และเราก็หยิบเข้าปากรับประทาน ซึ่งนั่นอันตรายมาก" อ.สง่า กล่าว

    ทีนี้มาถึงคราวของคาวอย่างการเลือกเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อไก่ เราควรเลือกที่เนื้อไม่ซีด ไม่เหี่ยว เปลือกตาสด เนื้อต้องไม่มีรอยเลือดที่แห้งกรัง กลิ่นต้องไม่เหม็นเน่า เนื้อหมู ก็ต้องสีแดงสด แต่พึงระวัง เพราะปัจจุบันพ่อค้าแม่ค้ามักใช้ไฟสีแดงในการหลอกผู้บริโภคว่า หมูนั้นเนื้อแดง อีกทั้งเราควรเลือกร้านที่เราไว้ใจได้และซื้อประจำ เพราะจากการออกสำรวจของกระทรวงสาธารณสุข ยังคงพบร้านที่ใช้สารเร่งเนื้อแดงอยู่จำนวนมาก และใช้นิ้วกดเนื้อหมูลงไป ถ้าเนื้อหมูบุ๋มลงไปโดยไม่กลับคืนมา แสดงว่าเนื้อหมูนั้นเก่าไม่ควรซื้อ ที่สำคัญอย่าเลือกหมูที่ติดมันมากนักเพราะการบริโภคมันหมูมาก ๆ ไม่เป็นผลดีอย่างแน่นอน

    "ในส่วนของการปรุงเนื้อสัตว์ทุกชนิดให้เน้นที่ปรุงให้สุกไว้ก่อน ถ้าจำเป็นต้องมีหมู 3 ชั้นในการประกอบอาหารก็ควรเจียวมันให้ออกไปบ้าง เพราะหากบริโภคมาก ๆ จะส่งผลให้แคลอรีในร่างกายเพิ่มก่อให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูงได้" อ.สง่า บอก

    นอกจากนี้ ในระหว่างที่ประกอบพิธีไหว้บรรพบุรุษนั้น บางบ้านก็ปล่อยของไหว้ทิ้งไว้โดยไม่มีอะไรปิดให้มิดชิด หรือวางกับพื้น ทำให้มีแมลงวันตัวพาหะนำเชื้อโรคมาตอม และเราก็นำมารับประทานกันโดยไม่รู้ จึงอยากขอเตือนให้มีการอุ่นหรือปรุงใหม่ก่อนนำมารับประทาน เพราะนั่นเสี่ยงต่อโรคทางเดินอาหาร และโรคอุจจาระร่วงได้เช่นกัน

    อ.สง่า ทิ้งท้ายไว้ว่า อาหารที่ใช้ไหว้บรรพบุรุษส่วนใหญ่จะเป็นแบบผัด ๆ ทอด ๆ ก่อนรับประทานจงพึงระวังสักนิด เพราะอาจทำให้คุณเข้าสู่ภาวะโรคอ้วนได้ ทางที่ดีควรหันมารับประทานอาหารประเภทต้มน่าจะดีกว่า เช่น ต้มจับฉ่าย เป็นต้น อีกทั้งอาหารที่ใช้ไหว้ส่วนใหญ่ จะเน้นไปในทางรสชาติเค็มเราก็ควรหลีกเลี่ยง เพราะรสเค็มจะทำให้เลือดข้น ก่อให้เกิดภาวะความดันโลหิตสูง ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพเราได้ทั้งสิ้น...

    ถึงแม้เทศกาลตรุษจีนจะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ แต่เราก็ควรจะใส่ใจสุขภาพของตนเองอยู่ทุกเวลา เพราะการมีสุขภาพดีไม่มีขาย ถ้าอยากได้เราต้องทำเอง...


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    -http://www.thaihealth.or.th/healthcontent/special_report/20405-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • wai.jpg
      wai.jpg
      ขนาดไฟล์:
      308 KB
      เปิดดู:
      145
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    10 อาหารต้านมะเร็ง ยิ่งทานยิ่งสตรอง!
    -http://health.sanook.com/2601/-



    ใครๆ ก็ไม่อยากเป็นโรคมะเร็งใช่ไหมคะ แต่จะให้ซื้อยา หรืออาหารเสริมมาทานก็ไม่แน่ใจในเรื่องของประสิทธิภาพ ผลข้างเคียง หรือแม้กระทั่งราคาที่แพงลิบลิ่ว Sanook! Health จึงขอแนะนำอาหารธรรมดาๆ หาได้ตามท้องตลาด แต่ต้านมะเร็งได้อยู่หมัดมาให้เลือกทานกันตามใจชอบเลยค่ะ



    1. ผัก

    ผักหลายชนิดที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง เพราะอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น

    - ผักสีเข้ม ไม่ว่าจะเป็นสีเขียว ส้ม แดง ม่วง เช่น ผักโขม แครอท มะเขือเทศ

    - กะหล่ำต่างๆ เช่น กะหล่ำปลี บล็อกโคลี กะหล่ำดอก

    - หัวหอม และกระเทียม



    2. ถั่ว ไม่ว่าจะเป็นถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วแดง ถั่วลิสง ที่นอกจากจะช่วยต้านมะเร็งแล้ว ยังดีต่อสุขภาพ เพราะอุดมไปด้วยโปรตีนที่ดี และกากใยอาหารตามธรรมชาติ ขับถ่ายได้สะดวกอีกด้วย



    3. ธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวบาเล่ย์ ข้าวโพด ข้าวสาลี ต้านมะเร็งก็ดี วิตามินบีก็ได้ ลดความดันโลหิตก็เยี่ยม



    4. สาหร่ายทะเล เป็นแหล่งแร่ธาตุชั้นดี เต็มไปด้วยสารอาหารที่ดีต่อร่างกายมากมาย มีให้เลือกทานหลายชนิด แต่ควรเลือกทานสลับชนิดกันไปเรื่อยๆ ไม่ควรทานสาหร่ายชนิดเดียวติดต่อกันนานเกินไป หรือใครอยากลองสาหร่ายพวงองุ่นก็ดีนะคะ เทรนด์กำลังมาเลยล่ะ (อ่านเพิ่มเติมเรื่อง ประโยชน์ของสาหร่ายพวงองุ่น ที่นี่)



    5. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ทั้งสตอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ เชอร์รี่ ทั้งอร่อยสดชื่น และมีประโยชน์มากมาย ทั้งวิตามินต่างๆ และกากใยอาหาร ทานสดจะได้คุณค่าสูงสุดค่ะ



    6. ปลาน้ำเย็น ส่วนใหญ่จะเป็นปลาทะเล เช่น แซลมอน ที่มีโอเมก้า 3 และไขมันที่ดีต่อร่างกาย ปลาคอท ปลาแมคเคอเรล ปลาซาร์ดีน



    7. เครื่องเทศต่างๆ เช่น เก๋ากี้ (หรือโกจิเบอร์รี่) พริกไทย กระเทียม หัวหอม ขิง โรสแมรี่ สามารถนำมาทำอาหาร หรือทานสดได้ (หากทานได้) ช่วยต้านมะเร็ง และกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายได้อีกด้วย



    8. โยเกิร์ต ไม่ได้มีประโยชน์แค่เรื่องการขับถ่าย และช่วยควบคุมน้ำหนักได้เท่านั้น แต่ยังช่วยต้านมะเร็ง เพราะมีสารอนุมูลอิสระ ช่วยการหมุนเวียนของโลหิต และชะลอการเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย หรือจะลองกรีกโยเกิร์ต ที่เข้มข้นกว่า สารอาหารมากกว่า และมีโปรไบโอติกส์ที่ช่วยลดโอกาสในการเกิดเชื้อราในช่องคลอดได้ดีกว่าด้วย



    9. เห็ดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเห็ดหอม เห็ดฟาง เห็ดออรินจิ และอื่นๆ ช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งได้หลายชนิด มีเส้นใยอาหารที่ช่วยเรื่องการย่อย และการขับถ่ายให้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีวิตามินต่างๆ ที่ดีต่อร่างกายอีกด้วย



    10. น้ำดื่มธรรมดาๆ นี่แหละ น้ำดื่มสะอาด ช่วยให้โลหิตไหลเวียนได้คล่องตัวขึ้น เป็นตัวกลางสำคัญที่จะทำให้เซลล์ในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการนำพาเอาของเสียออกจากร่างกายได้ดีขึ้นอีกด้วย



    เห็นไหมคะว่าอาหารแต่ละอย่างอยู่รอบตัวเราทั้งนั้น แค่ปลานึ่ง ผักต้ม น้ำพริก แกงจืด ยำเห็ด ตบด้วยน้ำผลไม้ปั่น ทุกอย่างรสชาติดี และมีประโยชน์ในราคาสบายกระเป๋า เพราะฉะนั้นเรามาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร เพื่อสุขภาพที่ดีด้วยกันดีกว่าค่ะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...