พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อุปกิเลส หรือ จิตตอุปกิเลส 16

    อุปกิเลส หรือ จิตตอุปกิเลส 16 (ธรรมเครื่องเศร้าหมอง, สิ่งที่ทำให้จิตขุ่นมัว
    รับคุณธรรมได้ยาก ดุจผ้าเปรอะเปื้อนสกปรก ย้อมไม่ได้ดี — mental defilements)

    1. อภิชฌาวิสมโลภะ (คิดเพ่งเล็งอยากได้ โลภไม่สมควร, โลภ กล้า จ้องจะเอาไม่เลือกควรไม่ควร
    — greed and covetousness; covetousness and unrighteous greed)
    2. พยาบาท (คิดร้ายเขา — malevolence; illwill)
    3. โกธะ (ความโกรธ — anger)
    4. อุปนาหะ (ความผูกโกรธ — grudge; spite)
    5. มักขะ (ความลบหลู่คุณท่าน, ความหลู่ความดีของผู้อื่น, การลบล้างปิดซ่อนคุณค่าความดีของผู้อื่น
    — detraction; depreciation; denigration)

    6. ปลาสะ (ความตีเสมอ, ยกตัวเทียมท่าน, เอาตัวขึ้นตั้งขวางไว้ ไม่ยอมยกให้ใครดีกว่าตน — domineering; rivalry; envious rivalry)
    7. อิสสา (ความริษยา — envy; jealousy)
    8. มัจฉริยะ (ความตระหนี่ — stinginess; meanness)
    9. มายา (มารยา — deceit)
    10. สาเถยยะ (ความโอ้อวดหลอกเขา, หลอกด้วยคำโอ้อวด — hypocrisy)

    11. ถัมภะ (ความหัวดื้อ, กระด้าง — obstinacy; rigidity)
    12. สารัมภะ (ความแข่งดี, ไม่ยอมลดละ มุ่งแต่จะเอาชนะกัน — presumption; competing contention; contentiousness; contentious rivalry; vying; strife)
    13. มานะ (ความถือตัว, ทะนงตน — conceit)
    14. อติมานะ (ความถือตัวว่ายิ่งกว่าเขา, ดูหมิ่นเขา — excessive conceit; contempt)
    15. มทะ (ความมัวเมา — vanity)
    16. ปมาทะ (ความประมาท, ละเลย, เลินเล่อ — heedlessness; negligence; indolence)

    ข้อ 2 มีต่างออกไป คือ ในธัมมทายาทสูตร เป็น โทสะ (ความคิดประทุษร้ายเขา — hatred)

    พจนานุกรมพุทธศาสตร์
    ฉบับประมวลธรรม พิมพ์ครั้งที่ ๑๒ พ.ศ. ๒๕๔๖
    -http://www.sdsweb.org/sdsweb/index.php/2010-09-04-06-22-40/2010-09-04-10-30-09/78--16-
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    คุณหนุ่ม คุณน้องหนู , ผม (หมายถึงพี่ท่านนึง) และเพื่อนผม จะได้นำพระบรมสารีริกธาตุ พระอรหันตธาตุ พระเครื่องต่างๆร่วมบรรจุที่ตำแหน่งพระหทัยของพระประธานองค์นี้ครับ

    วัดอยู่ ต.เวียงแหง อ. เชียงดาว จ.เชียงใหม่ชื่อวัดป่าธาราภิรมณ์เป็น สาขาของหลวงตาม้าวัดถ้ำเมืองนะครับ เพื่อนผม(พี่ท่านนึง) เป็นคนปั้น

    รูปสงวนลิขสิทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องของพระวังหน้า และ พระวังหลวง
    กรุวัดพระแก้ว

    ในการศึกษาเรื่องของพระวังหน้า และ พระวังหลวง ในการศึกษาเรียนรู้
    ว่า ใช่หรือไม่ใช่ ผมเรียนรู้จาก
    "รูป" (เนื้อหาทรงพิมพ์)
    และ
    "นาม" (พลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิต)

    ไม่ว่าจะเป็นรูปพระพิมพ์ต่างๆ รูปหล่อลอยองค์ ที่ผมได้นำมาลงให้ชมกัน
    และผมได้แจ้งว่า เป็นพระของวังหน้า หรือ วังหลวง องค์ที่ผมลงให้ชมนั้น
    หลวงปู่องค์ไหน เป็นองค์อธิษฐานจิต
    และหากผมไม่ทราบ ผมจะแจ้งว่า ผมไม่ทราบองค์ผู้อธิษฐานจิต

    ส่วนในเรื่องที่ผมเคยแจ้งไป เรื่องพระพิมพ์ต่างๆที่ติดพลอย หรือวัสดุต่างๆ
    เช่นกระจกอัด หรืออื่นๆ ที่เป็นของพระวังหลวง ที่สร้างในปี 2451
    เป็นเรื่องที่ผมได้เรียนรู้มา

    พระที่สร้างเลียนแบบพระวังหน้า หรือ พระวังหลวง
    มีการสร้างกันมานานแล้ว
    ผมถึงบอกว่า ต้องศึกษาทั้ง"รูป" และ "นาม"

    การเรียนรู้เรื่อง "นาม" ท่านผู้ที่ทราบว่า หลวงปู่องค์ไหนท่านอธิษฐานจิต
    อย่างน้อยที่สุด ท่านต้องปฎิบัติธรรมมาได้ระดับหนึ่ง
    อย่างน้อยได้ "ฌาณ"
    ดังนั้น ให้ระมัดระวังในเรื่องของ "การปรามาสผู้มีธรรม" ด้วย
    เรียนให้ทุกๆท่านทราบ ด้วยความห่วงใย

    ผมเองไม่ได้มีฌาณ หรือ ญาณใดๆ

    หากท่านใดสนใจก็ติดตามอ่านในโพสที่ผมลง
    แต่ท่านใดไม่สนใจก็ไม่ต้องติดตามอ่าน
    ผมเองไม่เคยสนใจว่า ใครจะเชื่อหรือไม่
    เพราะตัวท่านเอง เป็นผู้ที่รับผลในการเชื่อในสิ่งนั้นๆเอง
    ผมไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตัวท่าน
    ผมไม่เคยบังคับใครให้เชื่อตามที่ผมบอก
    ท่านจะเชื่อเรื่องไหน อย่างไร เป็นสิทธิของท่านเอง
    ท่านเป็นผู้เลือกหนทางเดินด้วยตัวของท่านเอง

    แต่หากว่า สิ่งที่ผมลงเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับพระวังหน้า หรือพระวังหลวง
    แล้วไปกระทบกับความรู้สึกของท่านใด
    หรือไปกระทบกับผลประโยชน์ของท่านใด
    ผมขอโทษและขออภัยมา ณ ที่นี้
    และผมขอความกรุณา ไม่ต้องอ่านในโพสที่ผมได้ลงไป
    เดี๋ยวจะไปกระทบกับท่านอีก

    หมายเหตุ ที่ผมเรียกพลังขององค์ผู้อธิษฐานจิต ว่า "พลังอิทธิคุณ"
    แทนคำว่า "พลังพุทธคุณ" นั้น
    เนื่องจาก พุทธคุณ หมายถึง คุณขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    ที่พระองค์ท่านมีพระเมตตาเผยแพร่ความรู้ในเรื่องพระพุทธศาสนา
    ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับ พระเครื่อง แต่อย่างใด


    ผมเองเคยลงบทความนี้ เมื่อ 11 ก.ค.2550 ในเว็บฯแห่งหนึ่ง ตามนี้

    การสร้างพระพิมพ์ทั้งวังหน้า ,วังหลวง และวังหลังนั้น
    การสร้างที่สร้างเป็นจำนวนมากๆนั้น
    วังหน้าและวังหลวงจะเป็นผู้ที่มีบทบาทมากที่สุด
    ซึ่งพร้อมด้วยกำลังคนที่มีความสามารถมาก
    อีกทั้งกำลังทรัพย์ที่มีมากเช่นกัน
    ผมจะขอพูดถึงแต่การสร้างพระของวังหน้าเท่านั้นครับ
    รายได้ส่วนหนึ่งของวังหน้านั้น เป็นการเดินทางไปค้าขายกับประเทศจีน
    โดยท่านเจ้าพระยาภานุวงศ์โกษาธิบดี(ท้วม บุนนาค)
    ซึ่งได้รับมอบหมายให้เป็นทูตและทำหน้าที่เจรจาการค้าขายกับประเทศจีน
    มีหลายสิ่งที่ท่านเจ้าพระยาภานุวงศ์โกษาธิบดี(ท้วม บุนนาค)
    ได้ซื้อจากประเทศจีนเข้ามา ในจำนวนสิ่งที่ซื้อมานั้น ก็มีปูนเพชร ,รักของประเทศจีน ,เตาสำหรับทำเครื่องเบญจรงค์ ,สีที่ใช้ทาเครื่องเบญจรงค์
    สิ่งเหล่านี้ก็กลายเป็นวัตถุที่นำมาสร้างพระพิมพ์ขึ้น
    ผู้ที่สร้างพระพิมพ์นั้นก็คือช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า
    แต่ช่างสิบหมู่แห่งวังหน้าก็ได้รับพระบัณฑูรย์จากกรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ (อุปราชวังหน้าองค์สุดท้ายแห่งราชวงศ์จักรี)
    ให้สร้างพระพิมพ์ขึ้น บางพิมพ์นั้นสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
    ทรงพระราชทานแบบพระพิมพ์ให้ก็มี
    แต่โดยส่วนใหญ่ท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ
    ทรงพระราชทานแบบพระพิมพ์ให้ การสร้างพระพิมพ์ก็ไม่ใช่เรื่องที่ง่าย
    แต่ก็ไม่ยากสำหรับฝีพระหัตถ์กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ
    และไม่ยากสำหรับฝีมือช่างสิบหมู่แห่งวังหน้า
    การตำผงนั้น 1 ครกต้องใช้ระยะเวลาตำถึง 4 ชั่วโมง
    เนื้อพระพิมพ์จึงแกร่งเข้าที่ แต่บางครกผู้ตำผงก็อาจจะมีการขี้เกียจบ้าง
    อาจตำแค่ 2-3 ชั่วโมง เนื้อพระพิมพ์ที่ได้ออกมาก็จะแตกต่างกัน
    แต่ก็มีบางพิมพ์อีกเช่นกันไม่ได้ใช้การตำผง
    แต่เป็นการนำผงมาใส่ในภาชนะแล้วใช้มือคลุกเคล้าจนเนื้อเข้ากันก็มี
    เช่นสมเด็จเจ้าฟ้าหรือสมเด็จอัศนี เป็นต้น

    นอกจากปูนเพชรที่เป็นองค์ประกอบหลักแล้ว ก็จะมีเศษทองคำ
    ซึ่งได้จากหน่วยสุวรรณกิจ (เป็นหน่วยที่ทำทองในพระราชวัง) บ
    างส่วนก็ได้มาจากเจ้าสัวที่เยาวราช
    พอรู้ว่าท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ) ทรงสร้างพระพิมพ์
    ก็ได้นำทองคำและเศษทองคำมาถวายแด่ท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ)
    เพื่อเป็นมวลสารประเภทหนึ่งในการสร้างพระร่วมกับพระองค์ท่าน
    นอกจากเศษทองคำแล้ว ยังมีเศษเพชร ,เศษพลอย
    , หรือวัตถุที่เป็นมงคลอื่นๆเช่น พระธาตุ ,เหล็กไหล ,จ้าวน้ำเงิน
    ,ลูกปัดทราวดี ,พระพิมพ์ในสมัยโบราณบางพิมพ์เช่น
    พระพิจิตรเม็ดข้าวเม่า ฯลฯ ส่วนวิธีการในการนำวัตถุมงคลมานั้น
    บางเรื่องราวจะเป็นเรื่องที่อจินไตย ผมไม่ขอนำมาลงนะครับ

    พระพิมพ์ที่สร้างขึ้นที่วังหน้านั้น เป็นพระพิมพ์ที่ไม่มีการประดับพลอยหรือ
    อัญมณีอื่นๆ แต่จะเป็นการลงรัก รักที่ใช้นั้นจะมีอยู่ 3 ประเภทคือ
    รักไทย(สีดำ) ,รักจีน(สีแดง) และรักพม่าหรือรักสมุ(สีน้ำเงิน)
    หรือเป็นการลงรักปิดทองก็มี หรือบางพิมพ์ใช้แผ่นทองคำ(แท้)....
    เป็นอักษรแล้วติดด้านหลังพระพิมพ์ หรือฐานพระ(ลอยองค์)

    พระพิมพ์ที่สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็จะนำเข้าพิธีพุทธาภิเษกหลวง
    ที่พระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส(ปัจจุบันอยู่ในวิทยาลัยนาฏศิลป์)
    ถ้าก่อนปี พ.ศ.2415 จะเชิญหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร
    ซึ่งหลวงปู่ท่านมาเป็นกายธรรม(กายเนื้อ)
    (แล้วแต่ท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ)ท่านเป็นผู้ที่นิมนต์)
    และนิมนต์สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี
    มาเป็นองค์ผู้อธิษฐานจิตพระพิมพ์
    แต่ถ้าหลังจากปี พ.ศ.2415 จนถึงปี พ.ศ.2428
    (เป็นปีที่ท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ) ท่านทิวงคต(ตามประวัติศาสตร์))
    ท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ)ท่านจะเชิญหลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร
    มาเป็นองค์ผู้อธิษฐานจิตให้

    เมื่อพระพิมพ์ที่เข้าพิธีพุทธาภิเษกแล้ว
    ท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ)
    ท่านก็ได้นำพระพิมพ์บรรจุตามสถานที่ต่างๆในวังหน้า
    เช่นเจดีย์พระธาตุพนมจำลอง
    (ซึ่งอยู่ด้านข้างพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส)
    ,ตามพระที่นั่งต่างๆ ฯลฯ

    นอกจากพระพิมพ์แล้ว ในสมัยนั้นยังนิยมเครื่องเบญจรงค์เป็นอย่างมาก
    นิยมมากจนถึงขนาดมีการจัดการประกวดการสร้างเครื่องเบญจรงค์กัน
    ในวังหน้านั้นมีเตาเผาเครื่องเบญจรงค์ที่ได้นำเข้ามาจากประเทศจีน

    ดังนั้น การดูถูกดูหมิ่น และการปรามาสพระวังหน้านั้น
    นอกจากจะดูถูกดูหมิ่นช่างสิบหมู่(ซึ่งเป็นบรรพบุรุธของตนเอง)แล้ว
    ยังมีการปรามาสองค์หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดร
    (ซึ่งหลวงปู่ได้อธิษฐานจิตพระพิมพ์ให้)
    มีการปรามาสสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว
    ,มีการปรามาสท่านเจ้า(กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ)
    และยังปรามาส............
    (ผมขอสงวนสิทธิ์แจ้งไว้แต่เพียงเท่านี้
    ในส่วนอื่นๆผมขอไม่แจ้งให้ทราบ).............
    ท่านผู้อ่านลองตรึกตรองดูนะครับ
    ผมเองได้ถือว่าผมได้เตือนในเรื่องนี้แล้ว
    ผมได้ทำหน้าที่นี้อย่างดีที่สุดแล้ว ก็จะอยู่ที่ท่านผู้อ่านเองว่า
    จะเลือกเดินไปในทางไหนเท่านั้น

    ผมพอแค่นี้นะครับ คุยกันเป็นน้ำจิ้ม
    พอหอมปากหอมคอกัน ขอบคุณและโมทนาสาธุครับ
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เตือนภัย ! คนร้ายหลอกเป็นผู้จัดการ KFC ทำทีให้กรอกข้อมูล แต่แอบฉกมือถือ (มีคลิป)

    -http://hilight.kapook.com/view/122828-



    คนร้ายหลอกเป็นผู้จัดการ KFC โลตัส นครราชสีมา ทำทีให้กรอกข้อมูล แต่แอบปัดกระดาษตก พอเหยื่อก้มเก็บ ก็แอบฉกมือถือ ใช้เวลาก่อเหตุเพียง 3 นาทีเท่านั้น

    ภัยสังคมในปัจจุบันมีรูปแบบใหม่ ๆ มาหลอกลวงเหยื่อให้ตกหลุมพรางเพียบ และนี่ก็คือเหตุการณ์หนึ่งที่คุณ sss_cool สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม เจ้าของกระทู้ได้นำมาเตือนทุก ๆ คน

    โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งเธอระบุว่า เธอโดนหลอกขโมยมือถือจากคนร้ายที่หลอกเป็นผู้จัดการร้านเคเอฟซี โดยผู้จัดการร้ายทำทีมาขอสัมภาษณ์ จากนั้นแกล้งทำกระดาษตก และอาศัยจังหวะนั้นขโมยมือถือไป

    ทั้งนี้จากคลิปจะเห็นได้ว่า มีชาวร่างท้วนสวมเสื้อเชิ้ตเดินเข้ามาในร้าน ก่อนที่จะหยุดอยู่ตรงหน้าผู้หญิงคนหนึ่ง โดยทำทีเป็นสนทนาและให้กรอกข้อมูล อ้างตัวเองว่าเป็นพนักงานเคเอฟซี จากนั้นก็มองซ้ายมองขวา ทำทียื่นเอกสารให้หญิงดังกล่าวกรอกข้อมูล แต่กลับปัดกระดาษนั้นลงจากโต๊ะ (ในคลิปเห็นได้ว่าโยนกระดาษลงโต๊ะ) จังหวะที่ลูกค้าก้มลมไปหยิบกระดาษ ก็คว้ามือถือ สนทนาอีกเล็กน้อยก็ลุกออกไป โดยใช้เวลาปฏิบัติการทั้งหมดเพียง 3 นาทีกว่า ๆ เท่านั้น



    ส่วนเจ้าของกระทู้โพสต์ข้อความบอกเล่าไว้ดังนี้..

    "ไม่คิดว่าจะโดนกับตัว เจอเข้ากับตัวถึงกับอึ้งทำอะไรไม่ถูก หมดกำลังใจไปเลย ฝากแชร์ด้วยนะคะ ขอบคุณทุกท่านค่ะ ^_^

    เหตุเกิดภายในร้าน KFC ห้างโลตัส โคราช (ลองฟังเสียงพนักงาน KFC สาขานี้ คุยกันนะคะ ถึงแม้ตำรวจพาไปเอาภาพจากกล้องวงจรปิดค่ะ)

    คนร้ายอ้างตัวว่าเป็น ผู้จัดการ KFC เข้ามาขอสัมภาษณ์ แล้วให้กรอกแบบสอบถาม เพื่อจะนำไปปรับปรุงบริการ จากนั้นก็แกล้งทำกระดาษเอกสารตกฝั่งเรานั่ง เพื่อหลอกให้เราเก็บ พอได้จังหวะก็รีบคว้ามือถือ แล้วรีบเดินออกจากร้าน ทำทีว่าจะไปเอาน้ำให้เราทานเป็นการตอบแทน

    เราเห็นแค่ตอนเค้ามานั่ง ไม่ได้เห็นว่าเค้าแต่งกายภาพรวมยังไง ดูลุย ๆ แต่ลักษณะงานในร้านก็ไม่ได้สบาย เลยไม่เอะใจมาก แค่สอบถามคงไม่มีอะไร

    มือถือที่โดนขโมย เป็น Galaxy Note 3 เลขอีมี่ (IMEI) 359092055075596 เครื่องสีขาว (ฝาหลังสีขาว)

    แจ้งความแล้วค่ะ แต่เอามาลง youtube และ พันทิป เพื่อสืบหาคนร้าย เผื่อมีใครพบเบาะแส ฝากแชร์ใน Facebook ด้วยนะคะ

    ดูแล้วคงไปทำกับคนอื่นๆ อีก อาจตระเวนไปตามห้าง กทม. หรือ ต่างจังหวัด ระวังค่ะ ! ปกติเป็นคนระวัง ไม่ถือมือถือเดินให้คนอื่นมองเห็น เวลาเดินก็จะระวังหน้า หลัง ถือกระเป๋าระมัดระวัง แต่มิจฉาชีพ หารูปแบบใหม่ ๆ มาเรื่อย ๆ ตอนนี้กลายเป็นไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าไปเลยค่ะ ไม่กล้าให้ใครเข้าใกล้ เจอแบบนี้เลยเหมือนหมดกำลังใจ คิดในแง่ดีว่ากระเป๋าเงินยังอยู่ บัตรยังอยู่ อย่างน้อยเราก็ไม่ได้รับอันตราย"

    [​IMG]


    https://www.youtube.com/watch?v=wQs7HX2qpDQ
    -https://www.youtube.com/watch?v=wQs7HX2qpDQ-
    ระวังภัย!! ภาพคนร้ายหลอกขโมยมือถือ ใน KFC ห้างดังโลตัส นครราชสีมา...อ่านรายละเอียดด้านล่าง
    เผยแพร่เมื่อ 3 ก.ค. 2015

    กำลังใช้เน็ตจากมือถืออยู่ คนร้ายอ้างตัวว่าเป็น ผจก.ร้าน KFC อยู่ๆ ก็มานั่งแล้วแกล้งสัมภาษณ์เกี่ยวกับบริการ­ของ KFC แล้วทำเป็นให้กรอกแบบสอบถาม พอได้จังหวะก็แกล้งทำกระดาษเอกสารหล่นลงพื­้นให้เราเก็บ (จะทำตกฝั่งเรานั่ง โดยมารยาทแล้วเราจะก้มเก็บให้) จากนั้นจะใช้ความรวดเร็วในการคว้ามือถือ แล้วรีบลุกหนี ทำเป็นว่าจะไปเอาเครื่องดื่มมาให้เราทาน เพื่อเป็นการตอบแทน... กรุณาแชร์ VDO นี้ให้เพื่อนๆ ทราบ เพราะคนร้ายอาจเดินสายไปทำแบบนี้ที่ ห้างสรรพสินค้าอื่นๆ ใน กทม. หรือ ต่างจังหวัด ...แจ้งเบาะแสได้ที่ jyoucony@gmail.com


    ภาพจาก Jyouwatch
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หลวงพ่อฤาษีลิงดำ สำนักพระยายม1
    https://www.youtube.com/watch?v=TpnkNGMu010
    -https://www.youtube.com/watch?v=TpnkNGMu010-

    สำนักพระยายมราช 2
    https://www.youtube.com/watch?v=0wTXETfaGD8
    -https://www.youtube.com/watch?v=0wTXETfaGD8-






    เมื่อพระไปพบพญายมราช ตอนที่ 1
    https://www.youtube.com/watch?v=c-J6z-3khmo
    -https://www.youtube.com/watch?v=c-J6z-3khmo-


    เมื่อพระไปพบพญายมราช ตอนที่ 2
    https://www.youtube.com/watch?v=NS1QqJR8xUQ
    -https://www.youtube.com/watch?v=NS1QqJR8xUQ-


    เมื่อพระไปพบพญายมราช ตอนที่ 3
    https://www.youtube.com/watch?v=epc69AFbfX4
    -https://www.youtube.com/watch?v=epc69AFbfX4-


    เมื่อพระไปพบพญายมราช ตอนที่ 4
    https://www.youtube.com/watch?v=tXvAO9CAjyo
    -https://www.youtube.com/watch?v=tXvAO9CAjyo-


    เมื่อพระไปพบพญายมราช ตอนที่ 5
    https://www.youtube.com/watch?v=RnT0C7O8nL4
    -https://www.youtube.com/watch?v=RnT0C7O8nL4-


    เมื่อพระไปพบพญายมราช ตอนที่ 6
    https://www.youtube.com/watch?v=jIksA205ws0
    -https://www.youtube.com/watch?v=jIksA205ws0-


    เมื่อพระไปพบพญายมราช ตอนที่ 7
    https://www.youtube.com/watch?v=um5xU8QkmRU
    -https://www.youtube.com/watch?v=um5xU8QkmRU-


    เมื่อพระไปพบพญายมราช ตอนที่ 8
    https://www.youtube.com/watch?v=98T7yV9tK6o
    -https://www.youtube.com/watch?v=98T7yV9tK6o-


    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หนี้บัตรเครดิต...เรื่องสำคัญที่คนใช้บัตรเครดิตต้องเข้าใจ
    โพสต์เมื่อ : 2 กรกฎาคม 2558 เวลา 11:12:09

    หนี้บัตรเครดิต...เรื่องสำคัญที่คนใช้บัตรเครดิตต้องเข้าใจ
    -http://money.kapook.com/view123030.html-


    หนี้บัตรเครดิต เป็นแล้วสิ่งที่จะตามมาหลังจากนี้คืออะไร ผลกระทบจากการผิดนัดชำระหนี้จะร้ายแรงแค่ไหน ติดตามได้จากบทความนี้

    หนี้บัตรเครดิต ที่หลายคนก่อไว้มาจากเหตุผลแตกต่างกันออกไป บางคนเกิดจากการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือยเกินฐานะความจำเป็น อยากได้สิ่งของราคาแพงแต่ไม่มีเงิน จึงต้องนำเงินในอนาคตมาใช้ แต่บางคนก็ต้องแบกรับภาระหลายทางไหนจะค่าเทอมลูก ค่าบ้าน ค่ารถ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ดังนั้นภาระความจำเป็นของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน แต่ทุกสาเหตุนำไปสู่ผลลัพธ์เดียวกันคือ การเป็นหนี้ ด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ย่ำแย่บวกกับอัตราดอกเบี้ยบัตรเครดิตที่สุดโหดทำให้หลายคนเกิดอาการเบี้ยวหนี้ พอเป็นหนี้แล้วไม่จ่ายหนี้ เจ้าหนี้เขาก็ทวง พอทวงไม่ได้ก็ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกันไป แต่มนุษย์เงินเดือนอย่างเรา ๆ จะเอาเวลาไหนไปศึกษากฎหมายบัตรเครดิต วันนี้กระปุกดอทคอมจึงนำข้อควรรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ หนี้บัตรเครดิต มาบอกให้ทำความเข้าใจไว้ เพื่อเป็นแนวทางในการป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าหนี้ ว่าแล้วก็ไปเริ่มกันเลย

    หากถูกเจ้าหนี้ฟ้องร้อง คดีที่เกี่ยวกับหนี้บัตรเครดิต ถือเป็นคดีประเภทใด

    ในกรณีที่คุณเป็นหนี้บัตรเครดิตตามกฎหมายจะถือเป็น คดีแพ่ง ส่วนโทษในคดีแพ่งจะมีเพียงการชำระหนี้และชดใช้ค่าเสียหายเท่านั้น

    หากถูกฟ้องจะต้องขึ้นศาลอะไร ที่ไหน

    กรณีที่เป็นคดีเกี่ยวกับหนี้บัตรเครดิตจะเข้าข่ายคดีเกี่ยวกับหนี้เหนือบุคคล ซึ่งสถานที่ที่เจ้าหนี้สามารถยื่นฟ้องลูกหนี้ ได้แก่ 1. ศาลที่จำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ในเขตศาล 2. ศาลที่มูลคดีเกิด (ที่ตั้งของสถาบันการเงินที่ลูกหนี้ได้ไปรับบัตรเครดิต)

    ส่วนการจะฟ้องที่ศาลใดจะต้องพิจารณาหลักเกณฑ์ดังนี้

    1. ดูประเภทของคดีก่อนว่าอยู่ในอำนาจของศาลใด

    2. ดูทุนทรัพย์ของคดีว่าอยู่ในอำนาจศาลจังหวัดหรือศาลแขวง

    เช่น ศาลจังหวัด จะพิจารณาคดีแพ่งที่มีจำนวนทุนทรัพย์หรือราคาที่พิพาทเกินกว่า 300,000 บาท

    ส่วนศาลแขวง จะพิจารณาคดีที่มีจำนวนทุนทรัพย์ หรือราคาทรัพย์สินที่พิพาทไม่เกิน 300,000 บาท

    คดีบัตรเครดิตจะเริ่มนับอายุความตั้งแต่เมื่อใดและมีอายุความกี่ปี

    ในคดีบัตรเครดิตโดยทั่วไปเมื่อเจ้าหนี้ได้แจ้งกำหนดการชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้ทราบแล้ว เมื่อถึงกำหนดลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามกำหนด อายุความจะเริ่มนับทันทีในวันถัดไป ส่วนคดีหนี้บัตรเครดิตจะมีอายุความทั้งสิ้น 2 ปี

    เจ้าหนี้สามารถยึดทรัพย์สินของลูกหนี้ได้หรือไม่

    คำตอบคือ ได้ โดยเมื่อศาลมีคำพิพากษาให้เจ้าหนี้ชนะคดี หากลูกหนี้ไม่ชำระคืนตามคำพิพากษาภายใน 30 วัน เจ้าหนี้มีสิทธิ์ยึดทรัพย์หรืออายัดสิทธิ์เรียกร้องของลูกหนี้ได้ โดยศาลจะตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีเพื่อออกหมายยึดและอายัดต่อไป ดังนี้

    1. ทรัพย์สินที่เป็นข้าวของเครื่องใช้ในครัวเรือน ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต เช่น โต๊ะกินข้าว เก้าอี้ โทรทัศน์ เครื่องครัว มูลค่ารวมกัน 50,000 บาทแรก ห้ามเจ้าหนี้ยึด แต่ถ้าเป็นสร้อย แหวน นาฬิกา ของเหล่านี้แม้เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของลูกหนี้ แต่เจ้าหนี้ก็มีสิทธิ์ยึดได้เพราะไม่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต

    2. ทรัพย์สินที่เป็นเครื่องมือทำมาหากินของลูกหนี้ เช่น คอมพิวเตอร์ เครื่องถ่ายเอกสาร (ถ้าประกอบธุรกิจรับถ่ายเอกสาร) ถ้ามูลค่ารวมกัน 100,000 บาทแรก ห้ามเจ้าหนี้ยึด ในกรณีที่เครื่องมือประกอบอาชีพมีราคาสูงกว่า 100,000 บาท และจำเป็นต้องใช้จริง ๆ ก็สามารถขอต่อศาลได้

    ข้อควรรู้ หากมีเจ้าหนี้หลายราย ทรัพย์ใดถูกยึดไปแล้ว ห้ามเจ้าหนี้รายอื่นมายึดซ้ำ เจ้าหนี้รายใดยึดก่อนก็ได้สิทธิ์ก่อน



    เจ้าหนี้สามารถทำเรื่องขออายัดเงินเดือนของลูกหนี้ได้หรือไม่

    ข้อนี้อาจะยาวเสียหน่อย แต่คนที่เป็นหนี้บัตรเครดิตควรจะทราบไว้เพื่อเป็นแนวทางในการบริหารจัดการรายได้ให้เพียงพอต่อการใช้จ่ายในชีวิตประจำวันกรณีที่ลูกหนี้ถูกเจ้าหนี้ทำเรื่องขออายัดเงินเดือนครับ ถ้าลูกหนี้เพิกเฉยไม่ยอมติดต่อเจ้าหนี้ ไม่ยอมใช้หนี้ หรือตกลงเรื่องการจ่ายเงินไม่ได้ ทนายของฝ่ายเจ้าหนี้ก็อาจจะทำเรื่องขอยึดทรัพย์ หรืออายัดเงินเดือนได้

    สำหรับเกณฑ์การอายัดเงินเดือนของกรมบังคับคดี หากลูกหนี้เป็นข้าราชการ/ลูกจ้างประจำของข้าราชการจะไม่ถูกอายัดเงินเดือน หากลูกหนี้เป็นพนักงานรัฐวิสาหกิจทุกแห่ง หรือเป็นพนักงานบริษัท ฯลฯ จะถูกอายัดเงินเดือน โดยมีหลักเกณฑ์ดังนี้

    1. อายัดเงินเดือนไม่เกิน 30 %

    ลูกหนี้เงินเดือนไม่ถึง 10,000 บาท (อายัดไม่ได้)

    ลูกหนี้เงินเดือนเกิน 10,000 บาท อายัดได้ 30 % แต่จะต้องเหลือเงินให้ลูกหนี้ใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 10,000 บาท

    หากลูกหนี้มีค่าใช้จ่ายจำเป็นอื่น ๆ เช่น ค่าเลี้ยงดูบุตร ค่ารักษาพยาบาล สามารถนำหลักฐานไปขอลดหย่อนที่กรมบังคับคดีเพื่อให้ลดเปอร์เซ็นต์การอายัดเงินเดือนได้

    2. เงินโบนัส จะถูกอายัดไม่เกิน 50 %

    3. เงินตอบแทนการออกจากงาน จะถูกอายัด 100 %

    4. เงินค่าตอบแทนต่าง ๆ ค่าสวัสดิการต่าง ๆ เช่น ค่าน้ำมัน ค่าที่พัก ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าตำแหน่ง เจ้าหนี้จะสืบทราบและทำการร้องขอต่อศาลว่าจะอายัดเท่าไร

    5. บัญชีเงินฝาก (อายัดได้)

    6. เงิน กบข. (อายัดไม่ได้)

    7. เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ทำกับบริษัท (อายัดไม่ได้) (พ.ร.บ. กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ)

    แต่ถ้าทำกองทุนต่าง ๆ กับธนาคารต้องดูตามหลักเกณฑ์ของกองทุนว่าเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้หรือไม่ และมีข้อห้ามการบังคับคดีหรือไม่ ถ้าเป็นทรัพย์สินของลูกหนี้ และไม่มีข้อห้ามก็จะอายัดได้

    8. เงินค่าวิทยฐานะ (ค่าตำแหน่งทางวิชาการ) ถ้าเป็นข้าราชการจะไม่ถูกอายัด แต่ถ้าเป็นสังกัดเอกชนจะถูกอายัด เพราะถือว่าเป็นเงินเดือน

    9. หุ้น กรมบังคับคดีสามารถยึดใบหุ้นเพื่อขายทอดตลาดได้ หรือถ้ามีเงินปันผล ก็จะทำเรื่องอายัดเงินปันผลได้

    10. เงินสหกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการหรือพนักงานบริษัท หากเจ้าหนี้สืบทราบว่าเป็นสมาชิกสหกรณ์ใด สามารถอายัดเงินปันผล เงินเฉลี่ยคืน เงินค่าหุ้นสหกรณ์ได้

    11. ร่วมทุนกับผู้อื่นเปิดบริษัท หากผู้ร่วมลงทุนมีปัญหาถูกอายัดทรัพย์ กรมบังคับคดีจะอายัดเฉพาะส่วนที่เป็นทรัพย์สินของผู้ถูกอายัดเท่านั้น ไม่ได้อายัดทั้งหมด อาจดูเฉพาะส่วนของเงินปันผล ใบหุ้น ฯลฯ ของผู้ถูกอายัด

    การถูกอายัดเงินเดือน กรมบังคับคดีจะอายัด 30% จากเงินเดือนเต็ม ก่อนหักภาษีและประกันสังคม

    กรณีคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรสกันถูกต้องตามกฎหมาย เจ้าหนี้สามารถยึดทรัพย์สินภายในบ้านได้หรือไม่

    ถ้าเป็นกรณีที่เป็นสามีภรรยาโดยถูกต้องตามกฎหมาย ให้ถือว่าทรัพย์สินภายในบ้านเป็นสินสมรส เจ้าหนี้มีสิทธิ์นำชี้แถลงยืนยันต่อ เจ้าพนักงานบังคับคดี พร้อมนำส่งเอกสารประกอบการยึดทรัพย์ได้ หากทรัพย์ภายในบ้านเป็นสินสมรสจริง



    ในกรณีที่ลูกหนี้เสียชีวิตใครจะเป็นผู้รับผิดชอบภาระหนี้สินดังกล่าว

    หลายคนอาจสงสัยว่าหากเจ้าหนี้เสียชีวิตลง ใครจะต้องเป็นผู้รับผิดชอบหนี้สินที่ผู้ตายได้ก่อไว้ก่อนเสียชีวิต เรื่องนี้มีคำตอบครับ ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกฎหมายเกี่ยวกับหนี้สินกันก่อนซึ่งตามกฎหมายระบุไว้ว่า "หนี้" ถ้าคนไหนก่อคนนั้นก็ต้องเป็นคนรับผิดชอบครับ คนอื่นไม่เกี่ยว ดังนั้นชัดเจนแล้วว่า คนอื่นที่เกี่ยวข้องกับผู้ตายไม่ต้องเป็นกังวลไปนะครับว่าจะโดนทวงหนี้ แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่า ความเป็นหนี้จะสิ้นสุดลงตามการตายของลูกหนี้ คนมีหนี้ก็ต้องใช้หนี้กันไป โดยกฎหมายระบุไว้ว่า เมื่อลูกหนี้ได้เสียชีวิตลง เจ้าหนี้ก็จะต้องไปทวงหนี้เอาจากกองมรดกของลูกหนี้เท่านั้นครับ แต่ถ้าหากลูกหนี้ไม่มีมรดกก่อนตายก็จบครับเป็นอันว่า “เจ้าหนี้ก็ไม่ได้รับชำระหนี้คืนเลย”

    ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ดูเหมือนลูกหนี้จะเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ฝ่ายเดียว แต่อย่าเพิ่งหมดกำลังใจไป ในทางปฏิบัติแล้วยังพอมีหนทางที่ลูกหนี้จะสามารถเจรจากับเจ้าหนี้เพื่อแบ่งเบาภาระหนี้ได้ซึ่งกระปุกดอทคอมขอยกมา 3 วิธี ได้แก่ การประนอมหนี้ การโอนหนี้บัตรเครดิต และการปรับโครงสร้างหนี้

    การประนอมหนี้

    การประนอมหนี้ คือ การที่เจ้าหนี้ยินยอมลดจำนวนหนี้สินลง หรืออาจจะยืดระยะเวลาการชำระหนี้ให้ เพื่อให้ลูกหนี้ได้ผ่อนชำระในจำนวนเงินที่น้อยลงสมกับสถานะทางการเงินปัจจุบันของลูกหนี้ ส่วนจำนวนหนี้ที่ยอมลดให้จะมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการต่อรองระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ แม้ว่าบางครั้งเจ้าหนี้จะได้รับการชำระหนี้ไม่สูงแต่ถือว่าดีกว่าไปฟ้องร้อง ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายทางศาล และเป็นการรักษาชื่อเสียงของเจ้าหนี้ว่าเจ้าหนี้รายนั้นไม่ใช่เจ้าหนี้หน้าเลือด

    การโอนหนี้บัตรเครดิต

    ส่วนใหญ่เวลาคนเป็นหนี้บัตรเครดิตมักเกิดจากหนี้จากบัตรเครดิตหลาย ๆ ใบ ทำให้ต้องชำระหนี้หลายช่องทางพ่วงด้วยอัตราดอกเบี้ยตามจำนวนบัตรที่ถือ ซึ่งภาระเรื่องดอกเบี้ยนี่แหละที่เป็นตัวการใหญ่ของปัญหาหนี้บัตรเครดิต ดังนั้นจึงมีหลายสถาบันการเงินที่รับโอนหนี้ ซึ่งการโอนหนี้ก็คือ การถ่ายโอนหนี้ค้างชำระจากสถาบันการเงินเดิมไปรวมไว้ยังสถาบันการเงินแห่งใหม่ ซึ่งลูกหนี้จะสะดวกในการรวมชำระหนี้ให้เป็นแห่งเดียว และจะทำให้ดอกเบี้ยลดลง ง่ายต่อการชำระหนี้มากขึ้น

    ลูกหนี้สามารถเลือกผ่อนชำระได้นานขึ้นทำให้มีเวลาในการตั้งตัวและหาเงินมาใช้หนี้ รวมไปถึงช่วยลดภาระการชำระหนี้ต่อเดือน เช่น การผ่อนบัตรเครดิต ต้องชำระขั้นต่ำ 10% ของยอดคงค้าง ถ้าโอนหนี้แล้ว ลูกหนี้สามารถเลือกผ่อนได้น้อยลงขึ้นอยู่กับจำนวนเดือนที่เลือกผ่อนชำระกับทางสถาบันการเงิน

    การปรับโครงสร้างหนี้

    เป็นอีกหนึ่งวิธีการที่ช่วยบรรเทาภาระหนี้สิน เนื่องจากโครงสร้างหนี้ของลูกหนี้ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ทางการเงินของลูกหนี้ในเวลาปัจจุบัน การปรับโครงสร้างหนี้มีหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นขอขยายเวลาชำระหนี้ออกไปโดยผ่อนค่างวดน้อยลง อัตราดอกเบี้ยคงเดิม, ขอจ่ายดอกเบี้ยแต่เพียงอย่างเดียวสักระยะหนึ่ง หลังจากนั้นจึงขอจ่ายเป็นค่างวดตามเงื่อนไขเดิม พร้อมกับขยายระยะเวลาการกู้ออกไป เป็นต้น ดังนั้นพูดได้ว่าการปรับโครงสร้างหนี้ทำให้ลูกหนี้สามารถที่จะชำระหนี้ได้โดยที่ไม่ต้องไปขึ้นศาล และไม่ต้องถูกฟ้องล้มละลาย แต่ทั้งนี้การปรับโครงสร้างหนี้เป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกันทั้งสองฝ่ายระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ เพื่อให้ได้รับประโยชน์ร่วมกัน

    การไม่มีหนี้เป็นลาภอันประเสริฐ เป็นประโยคที่ใช้ได้จริงกับผู้คนในยุควัตถุนิยมอย่างเช่นในปัจจุบัน ซึ่งจะว่าไปการมีบัตรเครดิตก็ไม่ใช่เรื่องผิดแต่อย่างใด หากเรารู้จักการบริหารจัดการอย่างเป็นระบบและรู้จักคำว่า พอเพียง ไม่ใช้จ่ายเกินตัว ก็สามารถมีบัตรเครดิตได้ ดังนั้นจึงอยากจะฝากข้อคิดถึงผู้ที่เป็นหนี้ทุกประเภทว่าจะใช้จ่ายอะไรก็ตาม ขอให้นึกถึงความจำเป็นและศักยภาพในการชำระหนี้ของเราเป็นหลัก เพราะถ้าทำตามความต้องการของตัวเองมากจนเกินไปอาจก่อให้เกิดหนี้สินพะรุงพะรังจนเราไม่สามารถใช้หนี้ได้หมด และอาจโดนฟ้องร้องจนเป็นเหตุให้เสียทรัพย์สินตามมาก็เป็นได้


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    กรมบังคับคดี, ชมรมหนี้บัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล, lukkid.com, บริษัท สำนักงานจรัสทนายความและการบัญชี จำกัด, บริษัท พัฒนกิจ บัญชี ภาษีและฝึกอบรม จำกัด, บริษัท อาณาจักรกฎหมาย จำกัด
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อีกราย ! คลิปคนขับวีโก้โชว์กร่าง เบียดเลนไม่พอยังควงปืนขู่อีกด้วย

    -http://hilight.kapook.com/view/123180-

    แชร์ว่อนเน็ต คลิปคนขับรถกระบะวีโก้โชว์กร่างกลางถนน บึ่งรถเบียดเลนยังไม่พอ เปิดกระจกควงปืนขู่อีกด้วย

    วันที่ 12 กรกฎาคม 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในสังคมออนไลน์ได้มีการเผยแพร่คลิปวิดีโอ ความยาว 1.03 นาที พร้อมระบุข้อความว่า คลิปคนขับสันดานแย่ ๆ วีโก้เบียดเลนส์ โชว์ปืนขู่ โดยเหตุการณ์นี้เกิดเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2558 บริเวณจุดตัดถนนเลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา กับถนนเกษตรนวมินทร์ ตามภาพในวิดีโอจะเห็นรถกระบะวีโก้สีขาววิ่งเข้ามาเบียดในช่องเลนทางซ้ายมือสุดของถนนที่ถูกตีเป็นเส้นทึบกว้างมาก จนทำให้รถคันที่ขับมาถูกเลนต้องชะลอความเร็วลง เมื่อรถกระบะวีโก้ขับแซงขึ้นหน้าไปได้แล้ว ก็ได้เปิดกระจกรถ พร้อมชักอาวุธออกมาควงในลักษณะขู่ คนขับรถที่ขับมาถูกเลน แล้วรีบปิดกระจกบึ่งรถออกไปทันที่

    ทั้งนี้หลังจากคลิปดังกล่าวมีการเผยแพร่ออกไป สังคมออนไลน์ได้มีการตำหนิคนขับรถวีโก้คันดังกล่าวเป็นจำนวนมาก บางส่วนก็ออกมาตัดพ้อว่าทำไมปัจจุบันการพกพาอาวุธปืนถึงเป็นเรื่องที่สามารถทำได้ง่ายดาย

    นอกจากนี้ยังมีส่วนหนึ่งบอกว่าแยกดังกล่าวเป็นแยกที่มีคนขับรถในลักษณะเห็นแก่ตัวโดยการขับเข้ามาเบียดโดยไม่ต้องรอคิวเป็นประจำ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเช้า

    [​IMG]


    https://www.youtube.com/watch?v=qwRiUzqp2IU
    -https://www.youtube.com/watch?v=qwRiUzqp2IU-
    คลิปขับรถสันดานแย่ๆ....วีโก้เบียดเลน โชว์ปืนขู่..!!

    ภาพจาก II โซเชียล คลิป II สมาชิกเว็บไซต์ยูทูบดอทคอม
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตำรวจแบบนี้ น่าจะให้ออกจากราชการ

    ทำให้ตำรวจที่ดี มีมลทินไปด้วย

    ไม่รู้ว่า มันทำอะไรให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยบ้าง

    คงไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ รอกินเงินภาษีอากรไปวันๆ

    บัดซบจริงๆ



    -----------------------------------------------------------

    พระวัดเบญฯ แฉตำรวจใจเหี้ยม สะใจทหารพรานคู่อริโดนระเบิดตาย

    -http://hilight.kapook.com/view/123501-

    [​IMG]

    พระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท วัดเบญจมบพิตร โพสต์แฉตำรวจใต้ สะใจทหารพรานคู่อริโดนระเบิดตาย พอเรื่องแดงไปไหว้ขอโทษท่านรอง ถาม ตำรวจแบบนี้ยังอยากให้เขากินภาษีอยู่อีกหรือ

    วันที่ 17 กรกฎาคม 2558 ในเฟซบุ๊ก Aphichat Promjan ซึ่งเป็นเฟซบุ๊กส่วนตัวของ พระมหาอภิชาติ ปุณฺณจนฺโท วัดเบญจมบพิตร ได้โพสต์ข้อความพร้อมภาพแสดงความคิดเห็นต่อกรณี บทสนทนาไลน์ของตำรวจนายหนึ่งในสังกัด สภ.ธารโต จังหวัดยะลา หลุดออกมา ข้อความแฉชัดว่าตำรวจนายนี้แสดงอาการสะใจเมื่อได้ทราบข่าวว่าทหารพรานนายหนึ่งซึ่งเคยเป็นคู่อรืกัน ถูกกับระเบิดเสียชีวิต และระบุว่าพอไลน์หลุดออกมา ตำรวจนายนี้ก็รีบไปไหว้ขอโทษท่านรอง ผบ.ฉก.ทพ.33 คงกลัวภัยจะมาถึงตัว และทิ้งคำถามว่า ตำรวจแบบนี้คนไทยยังอยากให้กินภาษีกันอยู่อีกหรือ

    [​IMG]

    ทั้งนี้ จากการสำรวจดูเฟซบุ๊กดังกล่าว พบว่าพระมหาอภิชาติมักโพสต์แสดงทรรศนะเรื่องข่าวสารบ้านเมืองอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นข่าวในหรือต่างประเทศก็ตาม

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ภาพจาก เฟซบุ๊ก Aphichat Promjan
    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก แนวหน้า
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    หมายเลขโทรศัพท์สำนักงานเขต กทม.

    -http://www.fire2fight.com/viewpage.php?page_id=8-

    หมายเลขโทรศัพท์
    สำนักงานเขต กทม.
    ศาลาว่าการกรุงเทพ 1 (เสาชิงช้า) 0-2221-2141
    ศาลาว่าการกรุงเทพ 2 (ดินแดง) 0-2246-0301
    สำนักงานเขตคลองเตย 0-2240-2121
    สำนักงานเขตคลองสาน 0-2437-2342
    สำนักงานเขตคลองสามวา 0-2548-0321
    สำนักงานเขตคันนายาว 0-2510-2690
    สำนักงานเขตจตุจักร 0-2513-3444
    สำนักงานเขตจอมทอง 0-2427-1171
    สำนักงานเขตดอนเมือง 0-2565-9424
    สำนักงานเขตดินแดง 0-2245-1612
    สำนักงานเขตดุสิต 0-2243-5311
    สำนักงานเขตตลิ่งชัน 0-2424-1742
    สำนักงานเขตทวีวัฒนา 0-2441-4973
    สำนักงานเขตทุ่งครุ 0-2464-1689-92
    สำนักงานเขตธนบุรี 0-2465-0025
    สำนักงานเขตบางกอกน้อย 0-2424-0747
    สำนักงานเขตบางกอกใหญ่ 0-2457-0069
    สำนักงานเขตบางกะปิ 0-2375-5574
    สำนักงานเขตบางขุนเทียน 0-2415-1522
    สำนักงานเขตบางเขน 0-2521-0932
    สำนักงานเขตบางคอแหลม 0-2291-3800
    สำนักงานเขตบางแค 0-2867-1635
    สำนักงานเขตบางซื่อ 0-2586-9972
    สำนักงานเขตบางนา 0-2397-3695
    สำนักงานเขตบางบอน 0-2450-3201
    สำนักงานเขตบางพลัด 0-2424-3777
    สำนักงานเขตบางรัก 0-2236-1396
    สำนักงานเขตบึงกุ่ม 0-2374-6000
    สำนักงานเขตปทุมวัน 0-2215-9167
    สำนักงานเขตประเวศ 0-2328-7149
    สำนักงานเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย 0-2282-4902
    สำนักงานเขตพญาไท 0-2619-6060
    สำนักงานเขตพระโขนง 0-2311-3099
    สำนักงานเขตพระนคร 0-2628-9068
    สำนักงานเขตภาษีเจริญ 0-2413-0565
    สำนักงานเขตมีนบุรี 0-2540-7160
    สำนักงานเขตยานนาวา 0-2294-5172
    สำนักงานเขตราชเทวี 0-2354-4201
    สำนักงานเขตราษฎร์บูรณะ 0-2427-4727
    สำนักงานเขตลาดกระบัง 0-2326-9149
    สำนักงานเขตลาดพร้าว 0-2530-6641
    สำนักงานเขตวังทองหลาง 0-2530-1740
    สำนักงานเขตวัฒนา 0-2381-8930
    สำนักงานเขตสวนหลวง 0-2322-6688
    สำนักงานเขตสะพานสูง 0-2372-2918
    สำนักงานเขตสัมพันธวงศ์ 0-2233-1224
    สำนักงานเขตสาทร 0-2212-8112
    สำนักงานเขตสายไหม 0-2533-3686
    สำนักงานเขตหนองแขม 0-2421-0939
    สำนักงานเขตหนองจอก 0-2543-2373
    สำนักงานเขตหลักสี่ 0-2982-2080
    สำนักงานเขตห้วยขวาง 0-2277-9100


    หมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน หมายเลขโทรศัพท์

    -http://www.fire2fight.com/viewpage.php?page_id=7-

    หมายเลขฉุกเฉิน
    ศูนย์ดับเพลิงกรุงเทพมหานคร 199
    หน่วยแพทย์กู้ชีพ กทม. 1555

    แจ้งเหตุร้าย
    กองปราบปราม 1195
    ตำรวจทางหลวง 1193
    สายด่วนกรมทางหลวง 1586
    ตำรวจท่องเที่ยว 1155
    ศูนย์นเรนทร 1669

    ศูนย์รับแจ้งอุบัติเหตุ 24 ชม.
    มูลนิธิร่วมกตัญญู 0-2751-0951-3
    ศูนย์วิทยุกรุงธน 0-2451-7228-9
    ศูนย์วิทยุปอเต็กตึ๊ง 24 ชม. 0-2226-4444-8
    ศูนย์วิทยุรามา 0-2354-6999
    ศูนย์ส่งกลับและรถพยาบาลกรมตำรวจ 1691
    ศูนย์เอราวัณ กทม. (ศูนย์รับแจ้งเหตุ) 1646
    ศูนย์ควบคุมระบบการจราจรบนทางด่วน 1543
    ศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร 1197
    ศูนย์คุ้มครองผู้โดยสารสาธารณะ กรมการขนส่งทางบก 1584
    ศูนย์จราจรอุบัติเหตุ จส.100 1137
    สถานีวิทยุชุมชน ร่วมด้วยช่วยกัน (FM 96) 1677
    สถานีวิทยุ สวพ. 91 1644

    ฉุกเฉินชีวิตและสุขภาพ
    ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ 1860
    ศูนย์บริการข่าวอากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา 1182
    ศูนย์ปลอดภัยทางน้ำ แก้ไขชื่อเป็น เหตุด่วนทางน้ำ ศูนย์ปลอดภัยทางน้ำ 1199
    สายด่วนกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 1784
    อุบัติเหตุทางน้ำ กองบัญชาการตำรวจ 1196
    ศูนย์ประชาบดี1300
    ศูนย์ปรึกษาปัญหาชีวิต (สมาคมสะมาริตันส์แห่งประเทศไทย) 0-2713-6793
    ฮอทไลน์คลายเครียด (กรมสุขภาพจิต) 1667
    ศูนย์ดำรงธรรม 1567
    ศูนย์บริการข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน 1111
    ศูนย์พิทักษ์สิทธิเด็กและครอบครัว กระทรวงศึกษาธิการ 1579
    ศูนย์รับแจ้งข่าวยาเสพติด (สนง.ตำรวจแห่งชาติ) 1688
    ศูนย์สวัสดิภาพเด็ก เยาวชนและสตรี 0-2282-3892
    สายด่วนบัตรทอง 1330
    สายด่วนผู้บริโภคกับ อย. 1556
    สายด่วนร้องทุกข์ สคบ. 1166

    แจ้งบัตร ATM - บัตรเครดิตหาย
    ธนาคารกรุงเทพ 1333
    ธนาคารกรุงไทย 1551
    ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 1572
    ธนาคารกสิกรไทย 0-2888-8888
    ธนาคารซิตี้แบงก์ 1588
    ธนาคารทหารไทย 1558
    ธนาคารไทยธนาคาร 0-2626-7777
    ธนาคารไทยพาณิชย์ 0-2777-7777
    ธนาคารธนชาต 1770
    ธนาคารนครหลวงไทย 0-2828-8000
    ธนาคารยูโอบี จำกัด (มหาชน) 0-2285-1555
    ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด (ไทย) 1595
    ธนาคารออมสิน 0-2299-8555
    ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 0-2202-2000
    ธนาคารฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น 0-2614-4800
    สอบถามข้อมูลอายัดบัตร ATM - บัตรเครดิต 1188
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การนับเวลาเกิดแบบโหราศาสตร์ไทย
    -http://horoscope.sanook.com/85741/-

    เคยเกิดความสงสัยเกี่ยวกับเวลาเกิดกันบ้างไหม? เวลาไปดูดวงหมอดูถามว่าเกิดวันไหน เวลาไหน บางคนก็จะเกิดปัญหาเวลาไม่ตรงตามตำรา เพราะการนับเวลาของไทยกับเวลาของสากลนั้นต่างกัน

    จึงทำให้บางครั้งเราเองก็เกิดความไม่มั่นใจว่าคำทำนายนั้นจะใช่คำทายของเราจริงหรือไม่เนื่องจากความไม่แน่ใจในเวลาเกิดของตนเอง ถ้าอย่างนั้นลองมาเช็คกันดูหน่อยดีกว่าว่า การแบ่งช่วงเวลาตามตำราของไทยนั้นเป็นอย่างไรกัน

    ตามความเชื่อโบราณของไทยนั้น การเปลี่ยนวันใหม่ให้เริ่มที่ 06.00 น. คำว่า "กลางวัน" ให้เริ่มตั้งแต่ 06.00 น.-17.59 น. (ก่อน 6 โมงเย็น) ส่วน "กลางคืน" ให้เริ่มตั้งแต่ 18.00 น.-05.59 น. (ก่อน 6 โมงเช้า)

    ขอบคุณข้อมูลจาก -https://www.pinterest.com/pin/13581236346746748/-

    สำหรับการนับเวลาเกิดตามแบบไทยจะนับเริ่มต้นวันที่ 06.00 - 05.59 น. ของอีกวันเป็นวันเดียวกัน ดังต่อไปนี้

    เกิดวันอาทิตย์
    วันอาทิตย์เวลา 6.00 (6 โมงเช้า) - เช้าวันจันทร์เวลา 5.59 (ตี5.59นาที) นับเป็นวันอาทิตย์

    เกิดวันจันทร์
    วันจันทร์เวลา 6.00 (6 โมงเช้า) - เช้าวันอังคาร เวลา 5.59 (ตี5.59นาที) นับเป็นวันจันทร์

    เกิดวันอังคาร
    วันอังคารเวลา 6.00 (6 โมงเช้า) - เช้าวันพุธ เวลา 5.59 (ตี5.59นาที) นับเป็นอังคาร

    เกิดวันพุธ
    วันพุธเวลา 6.00 (6 โมงเช้า) - เย็นวันพุธเวลา 17.59 (5โมง.59นาที) นับเป็นพุธกลางวัน

    เกิดวันพุธ
    วันพุธเวลา 18.00 (6 โมงเย็น) - เช้าวันพฤหัส เวลา 5.59 (ตี5.59นาที) นับเป็นพุธกลางคืน

    เกิดวันพฤหัส
    วันพฤหัสเวลา 6.00 (6 โมงเช้า) - เช้าวันศุกร์เวลา 5.59 (ตี5.59นาที) นับเป็นวันพฤหัส

    เกิดวันศุกร์
    วันศุกร์เวลา 6.00 (6 โมงเช้า) - เช้าวันเสาร์เวลา 5.59 (ตี5.59นาที) นับเป็นวันศุกร์

    เกิดวันเสาร์
    วันเสาร์เวลา 6.00 (6 โมงเช้า) - เช้าวันอาทิตย์เวลา 5.59 (ตี5.59นาที) นับเป็นวันเสาร์

    เมื่อรู้เวลาเกิดของตัวเองแล้วก็ลองนำมาเทียบดูว่าคุณตรงกับวันไหนคราวหน้าจะได้ไม่พลาดอีกนะคะ…

    ขอบคุณข้อมูลจาก : Thaiza
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การไฟฟ้าฯ เตือนอย่าหลงเชื่อคนเก็บค่าเปลี่ยนมิเตอร์

    -http://hilight.kapook.com/view/123865-

    การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เตือน ประชาชนอย่าหลงเชื่อคนเรียกเก็บเงินค่าเปลี่ยนมิเตอร์

    เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2558 การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) เตือนผู้ใช้ไฟฟ้าอย่าหลงเชื่อบุคคลเรียกเก็บเงินค่าเปลี่ยนมิเตอร์ที่ครบกำหนดการใช้งาน ซึ่งเป็นงานบริการของการไฟฟ้านครหลวงที่มอบให้แก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น หากพบว่ามีการขอเรียกเก็บเงินให้โทรแจ้งการไฟฟ้านครหลวงเขตใกล้บ้าน หรือ MEA Call Center โทร. 1130 ได้ทันที

    นายชาญ ปัทมะวิภาค ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรการไฟฟ้านครหลวง เปิดเผยว่า การไฟฟ้านครหลวงมีความห่วงใยประชาชนจากการเผยแพร่ข่าวการมีบุคคลขอเรียกเก็บเงินค่าเปลี่ยนมิเตอร์ที่ครบกำหนดการใช้งาน การไฟฟ้านครหลวงขอแจ้งให้ทราบว่า จะดำเนินการเปลี่ยนมิเตอร์ที่ครบกำหนดการใช้งานให้แก่ประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น หากพบบุคคลเรียกเก็บเงินค่าเปลี่ยนมิเตอร์ ขอให้ผู้ใช้ไฟฟ้าอย่าหลงเชื่อชำระเงินให้กับบุคคลดังกล่าว และแจ้งข้อมูลการเรียกเก็บเงินค่าเปลี่ยนมิเตอร์ได้ที่การไฟฟ้านครหลวงเขตใกล้บ้าน หรือที่ศูนย์บริการข้อมูลผู้ใช้ไฟฟ้า โทร. 1130 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง


    สำนักข่าว ไอเอ็นเอ็น
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรื่องพระวังหน้า ที่ผ่านมา
    ผมไปดูตามเว็บฯต่างๆ ตามเฟสฯต่างๆ

    เห็นลงโชว์กัน โชว์เก๊ ซ๊ะเยอะมาก
    มีพิมพ์พิเศษอีกเยอะ
    พิมพ์พิเศษแถมเก๊ก็มาก


    ประเภทที่ไม่ฟังอะไรเลย
    ต้องปล่อยไป

    ให้โชว์เก๊ แถมให้บอกกันต่อๆไปว่า พิมพ์พิเศษ อีกต่างๆ
    ให้คนที่เชื่อ ไปหาห้อยคอ
    หากคนที่เชื่อนำไปห้อยคอ เพราะความเชื่อที่ผิด แล้วองค์พระไม่สามารถคุ้มครองได้
    คนที่โชว์เก๊ ก็รับผิดชอบในชิวิตผู้ที่เชื่อไปเอง

    แถมเจอเรื่อง "มุสาวาส" อีกเรื่อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2015
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ชุดที่มีพลอย หรือ พลอยอัด หรือ กระจกอัด ติดตามองค์พระ
    ถ้าเป็นของแท้ๆ (พระวังหลวง) จะเป็นรุ่นที่สร้างในปี 2451
    แต่ก็ยังบอกกันว่า สมเด็จโตสร้าง

    สมเด็จโตฯท่านจะสร้างอย่างไร ท่านไม่ใช่ช่าง
    ภาระกิจของสมเด็จโตฯก็มีมาก

    แถมบางรุ่นที่เห็น ที่เป็นพระวังหน้า ที่สมเด็จโตฯท่านไม่ได้อธิษฐานจิต
    แต่ไปบอกว่า สมเด็จโตฯอธิษฐานจิต

    พวกที่ไม่เชื่อ และ บางพวกที่ต่อต้าน
    คงจะปล่อยให้ เข้ารก เข้าพง เข้าป่า ไม่ต้องออกมาอีกเลย
    น่าจะดี

    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ฉันนะ ประวัติพระผู้ดื้อดึงว่านอนสอนยาก ผู้กลายเป็นพระอรหันต์
    -http://hilight.kapook.com/view/123766-

    พระฉันนะ ประวัติพระภิกษุผู้ว่ายากสอนยาก ที่เกิดวันเดียวกับพระพุทธเจ้า ผู้ดื้อดึง ถือทิฐิยกตนข่มผู้อื่น แต่สุดท้ายกลับใจจนเป็นพระอรหันต์ได้สำเร็จ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่น้อย

    ประวัติของพระภิกษุที่บรรลุธรรมถึงขั้นพระอรหันต์ในพุทธศาสนามีหลายองค์ด้วยกัน แต่ไม่ใช่ว่าพระอรหันต์ทุกองค์จะประพฤติปฏิบัติตนเป็นผู้กระทำความดีมาตลอด ดังเช่น พระฉันนะ หรือนายฉันนะ ผู้ที่เกิดวันเดียวกับพระพุทธเจ้า หรือเป็นสหชาติของพระพุทธเจ้า พระฉันนะขึ้นชื่อว่าเป็นพระภิกษุผู้ว่ายากสอนยาก มีประวัติแบบต้นร้ายปลายดี โดยแต่เดิมเป็นผู้ที่ดื้อดึงไม่สนใจคำเตือนของผู้อื่นและยกตนข่มผู้อื่น ไม่สนใจธรรมะ แต่สุดท้ายก็สามารถกลับใจและบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้สำเร็จ ถือว่าประวัติของพระฉันนะเป็นข้อคิดที่เตือนสติของสาธุชนได้อย่างดี ซึ่งกระปุกดอทคอมก็ได้หยิบเอาประวัติและข้อคิดดี ๆ ของพระฉันนะมาฝากไว้ ให้ได้เรียนรู้กันค่ะ

    ประวัติพระฉันนะ หรือนายฉันนะ

    พระฉันนะ ก่อนบวชมีชื่อว่า นายฉันนะ ในอดีตชาติเคยสร้างบุญบารมีร่วมกับพระพุทธเจ้าสมัยเป็นพระโพธิสัตว์มาหลายชาติ ทำให้ผลบุญที่สะสมมา ส่งผลให้นายฉันนะได้เกิดเป็น 1 ใน 7 สหชาติ หรือผู้ที่เกิดวันเดียวกับพระพุทธเจ้า โดยสหชาติทั้ง 7 ประกอบด้วย 1. พระนางพิมพา 2. พระอานนท์ 3. นายฉันนะ 4. กาฬุทายี 5. ม้ากัณฐกะ 6. ต้นศรีมหาโพธิ์ และ 7. ขุมทรัพย์ทั้งสี่

    โดยประวัติของพระฉันนะจะแบ่งเป็น 3 ช่วง ดังนี้

    1. นายฉันนะ คนสนิทของพระพุทธเจ้า (ก่อนออกบวช)

    นายฉันนะ ถือเป็นผู้หนึ่งที่มีบทบาทสำคัญและใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้าสมัยที่ยังเป็นเจ้าชายสิทธัตถะอย่างมาก เพราะนอกจากนายฉันนะจะเป็นสหชาติแล้ว นายฉันนะยังเติบโตมาพร้อมกับเจ้าชายสิทธัตถะ รวมทั้งเป็นอำมาตย์และเป็นสารถี มีหน้าที่ขับรถม้าทรงของเจ้าชายสิทธัตถะ และสิ่งที่ทำให้นายฉันนะยึดตนเหนือกว่าผู้อื่นนั่นก็คือ เรื่องราวตอนที่นายฉันนะขับรถม้าพาเจ้าชายสิทธัตถะไปนอกพระราชวัง ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะพบกับเทวทูตทั้ง 4 คือ คนแก่, คนเจ็บ, คนตาย และสมณะ ที่เทวดานิรมิตขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลทำให้เจ้าชายสิทธัตถะที่ทรงเห็นแต่ความสุขเกิดความเบื่อหน่ายและต้องการหาทางพ้นทุกข์

    อีกบทบาทสำคัญของนายฉันนะ นั่นก็คือ เรื่องราวในคืนวันประสูติของพระราหุล ซึ่งเป็นบุตรชายของเจ้าชายสิทธัตถะ ถือกำเนิดขึ้น ทำให้เจ้าชายสิทธัตถะ รู้สึกเหมือนมีบ่วงพันธนาการและต้องการหลดพ้นจากวัฏฏะสงสาร จึงปลุกนายฉันนะให้เตรียมม้ากัณฐกะออกไปจากวังจนถึงแม่น้ำอโนมา ทรงปลงพระโมลี ปลงผม แล้วสั่งให้นายฉันนะนำเสื้อผ้าและม้ากัณฐกะกลับวังพร้อมแจ้งข่าวต่อพระเจ้าสุทโธทนะว่า พระองค์ออกผนวชแล้ว

    2. นายฉันนะบวช เป็นพระภิกษุที่ขึ้นชื่อเรื่องความดื้อดึง

    หลังจากที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้บำเพ็ญพระบารมีได้ระยะหนึ่ง ก็ได้กลับมาอบรมสั่งสอนพระประยูรญาติที่พระราชวัง ซึ่งทำให้พระประยูรญาติหลายพระองค์เกิดความเลื่อมใสขอบวชตาม ซึ่งนายฉันนะก็ขอบวชด้วยเป็นพระฉันนะ แต่ด้วยความที่พระฉันนะถือตนเองว่าเป็นผู้ที่ใกล้ชิดสนิทกับพระพุทธเจ้า จึงเกิดความลำพอง เย่อหยิ่ง มีทิฏฐิมานะ ทำให้พระฉันนะไม่บำเพ็ญธรรม วัน ๆ ก็ทำตัวเตร็ดเตร่เดินเข้าไปใกล้ เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าและทำตัวกร่างกับพระภิกษุรูปอื่น ๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งพระอัครสาวกทั้ง 2 คือพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตร

    พระสารีบุตรเมื่อเห็นพฤติกรรมของพระฉันนะ ก็ได้กล่าวตักเตือน แต่พระฉันนะไม่ฟังและได้โต้เถียงกลับอย่างไม่ยำเกรงพร้อมยกตนเองว่าเป็นผู้ที่ทำให้พระพุทธเจ้าออกผนวช ทำให้พระสารีบุตรเงียบ แต่ที่เงียบไม่ใช่เพราะกลัวพระฉันนะ แต่เป็นเพราะเห็นว่าพระฉันนะเป็นผู้ที่เตือนยาก

    หลังจากนั้นพระฉันนะก็ยังทำพฤติกรรมเช่นเดิมจนทำให้พระโมคคัลลานะตักเตือน แต่พระฉันนะก็ไม่ฟังและโต้เถียงอีกตามเคย จนกระทั่งพระโมคคัลลานะเอ่ยปากตักเตือนเป็นครั้งที่ 2 อย่างกัลยาณมิตรที่มีความหวังดีว่า ไม่ควรใช้ชีวิตด้วยความประมาท แต่พระฉันนะสวนกลับ ว่า ท่านเป็นใครถึงได้มาเตือนข้าพเจ้า และบอกว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่พาพระพุทธองค์ออกผนวชนะ ไม่ใช่ท่าน เพราะฉะนั้นท่านไม่ต้องมาเตือนข้าพเจ้า ซึ่งนั่นทำให้พระอานนท์ได้ฟังคำที่พระฉันนะโต้ปากกับพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตรทั้งหมดไม่อาจนิ่งเฉยได้ จึงไปกราบทูลต่อพระพุทธเจ้า เรื่องที่พระฉันนะเป็นพระที่ดื้อดึงสอนยาก พระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะเตือนด้วยความหวังดีก็ไม่ฟัง

    เมื่อพระพุทธเจ้าได้ฟังเรื่องราวจากพระอานนท์ก็ได้เรียกพระฉันนะมาตักเตือนอบรมว่า การคบกัลยาณมิตรที่ดีเป็นบุญสูง เมื่อกัลยาณมิตรเป็นมิตรที่คอยตักเตือนก็เป็นเรื่องที่ดี ควรคบหาด้วย ส่วนมิตรที่ไม่ดีก็ควรถอยห่าง ซึ่งพระฉันนะก็ก้มหน้ารับฟัง แต่พอลับหลังพระพุทธเจ้าก็ทำตัวกร่างและไม่สนใจคำตักเตือนของภิกษุรูปอื่นเช่นเดิม เพราะพระฉันนะเชื่อฟังพระพุทธเจ้าแค่องค์เดียว ซึ่งพระพุทธเจ้าได้เรียกพระฉันนะมาตักเตือนถึง 3 ครั้ง ก็เลิกเตือนเพราะอาจารย์ที่นี่จะเตือนลูกศิษย์ไม่เกิน 3 ครั้ง หากเกิน 3 ครั้งถือว่าเลิกเตือน เพราะนั่นหมายความว่าเป็นผู้ที่หนาแน่นอยู่ด้วยกิเลส

    3. พระฉันนะถูกลงโทษด้วยการพรหมทัณฑ์ หลังพระพุทธเจ้าดับขันธ์ กระทั่งบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์

    พระฉันนะยังคงทำพฤติกรรมแบบเดิม ๆ จนกระทั่งถึงเวลาที่พระพุทธเจ้าทรงดับขันธ์ ได้ทรงตรัสกับพระอานนท์ก่อนปรินิพพานว่า ขณะที่พระพุทธเจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ พระฉันนะจะไม่เชื่อฟัง แต่หลังจากที่พระพุทธเจ้าทรงดับขันธ์ปรินิพพานไปแล้ว ให้พระภิกษุสงฆ์ทุกรูปทำพรหมทัณฑ์พระฉันนะ นั่นก็คือการที่พระภิกษุไม่ต้องเสวนา ไม่ต้องพูดคุย ไม่ต้องสั่งสอนพระฉันนะ หากพระฉันนะอยากทำอะไรก็ให้ทำไป ซึ่งเวลานั้นพระฉันนะ อยู่ที่วัดโฆสิตาราม นครโกสัมพี

    หลังจากที่พระพุทธองค์ทรงดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว พระภิกษุสงฆ์ทุกองค์ก็ประชุมกัน โดยมีพระอานนท์เป็นประธานในการประชุม และได้ถ่ายทอดคำสั่งของพระพุทธเจ้าที่มีต่อพระฉันนะให้ทุกคนได้รับรู้ และให้พระทั้งหมดจำนวน 500 รูป เดินทางไปที่วัดโฆสิตาราม นครโกสัมพี และเริ่มการลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ โดยการไม่สุงสิง ไม่ใส่ใจ ไม่ทำสังฆกรรมด้วย ไม่พูดคุยด้วย ถ้าไม่จำเป็น ไม่คบค้าสมาคม จนกว่าพระฉันนะจะเปลี่ยนพฤติกรรม

    จากนั้นเมื่อพระภิกษุทั้งหมดเดินทางไปถึง ได้เรียกพระฉันนะมานั่งท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์ ซึ่งเมื่อพระฉันนะอยู่ต่อหน้าที่ประชุมสงฆ์มาก ๆ ก็ไม่กล้าอวดดี ซึ่งเมื่อพระอานนท์กล่าวว่า จะทำการลงพรหมทัณฑ์พระฉันนะ พร้อมอธิบายความหมายให้พระฉันนะได้ฟัง ก็ทำให้พระฉันนะสลบหมดสติสลับกับฟื้นถึง 3 ครั้ง

    จากการที่พระฉันนะถูกลงพรหมทัณฑ์ ทำให้พระฉันนะแยกตัวออกจากหมู่สงฆ์และเข้าป่าไปทำสมาธิค้นหาตัวเอง ซึ่งระหว่างนั้นทำให้พระฉันนะเกิดนิมิตเห็นภาพตนเองขณะที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพอยู่ แต่ตนเองก็ไม่ฟังคำตักเตือน

    ซึ่งตอนนี้ตนเองก็อายุ 80 ปีแล้ว ที่ผ่านมามัวแต่ทำอะไรอยู่ พระฉันนะได้เฝ้าถามตัวเองไปมาจนสามารถคิดได้และสามารถบรรลุหลักธรรมถึงขั้นอรหันต์ได้ จากนั้นพระฉันนะจึงกลับไปพบพระอานนท์และขอให้พระอานนท์เลิกลงพรหมทัณฑ์ ซึ่งพระอานนท์ได้ตอบกลับว่า เมื่อพระฉันนะบรรลุถึงอรหันต์แล้วการลงพรหมทัณฑ์ก็จะยกเลิกไปเอง

    หลังจากได้ทราบประวัติของพระฉันนะ ซึ่งตอนแรกแม้จะปฏิบัติตนดื้อดึง ไม่ฟังคำตักเตือนแต่สุดท้ายก็สามารถลดทิฐิในใจลงได้ไปแล้วนั้น ทำให้รู้ว่าการทำตนเป็นคนว่ายาก สอนยากจะเป็นคนที่อยู่ลำบาก ดังนั้นจึงควรประพฤติตนให้ว่าง่าย สอนง่าย เปิดใจรับคำสอนและคำตักเตือนดี ๆ ก็จะเป็นที่รักคนผู้อื่นได้ไม่ยาก


    ภาพจาก DrSomchaiV, atom.rmutphysics.com
    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจากgotoknow.org, เฟซบุ๊ก ธรรมะจากเพื่อนร่วมบุญ
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    11-พระอนุรุทธเถระ
    เอตทัคคะในทางผู้มีทิพยจักษุญาณ
    -http://www.84000.org/one/1/11.html-
    พระอนุรุทธะ เป็นพระราชโอรสของพระเจ้าอมิโตทนะ ผู้เป็นพระเจ้าอาของพระบรม
    ศาสดา มีพระเชษฐา (พี่ชาย) พระนามว่า เจ้าชายมหานามะ มีพระกนิษฐภคินี (น้องสาว) พระ
    นามว่า พระนางโรหิณี รวมเป็น ๓ พระองค์ด้วยกัน เมื่อพระบรมศาสดาตรัสรู้แล้วเสร็จมาโปรด
    พระประยูรญาติศากยวงศ์ ณ กรุงกบิลพัสดุ์ ได้มีศากยกุมารผู้มีชื่อเสียงออกบวชติดตามพระบรม
    ศาสดาหลายพระองค์

    พี่ชายชวนบวช
    ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ เสด็จจาริกไปสู่มหาชนบท ประทับอยู่ที่อนุปิยอัมพวัน แขวง
    เมืองพาราณสี ครั้งนั้น เข้าศากยพระนามว่าเจ้าชายมหานามะ ผู้เป็นพระเชษฐา ได้ปรึกษากับเจ้า
    ชายอนุรุทธะพระอนุชาว่า:-
    “ในตระกูลของเรานี้ ยังไม่มีผู้ใดออกบวชตามเสด็จพระบรมศาสดาเลย เราสองคนพี่
    น้องนี้ ควรที่คนใดคนหนึ่งน่าจะออกบวช น้องจะบวชเองหรือจะให้พี่บวช ขอให้น้องเป็นผู้เลือก
    ตามความสมัครใจ ถ้าไม่มีใครบวชเลย ก็ดูเป็นการไม่สมควรอย่างยิ่ง”
    เนื่องจากอนุรุทธกุมารนั้น เป็นพระโอรสองค์เล็ก พระเจ้าอมิโตทนะ พระบิดาและพระ
    มารดามีความรักทะนุถนอมเป็นอย่างมาก เป็นกษัตริย์สุขุมมาลชาติ มีบุญมาก หมู่พระประยูร
    ญาติทั้งหลายต่างก็โปรดปรานเอาอกเอาใจตั้งแต่แรกประสูติจนเจริญวัยสู่วัยหนุ่ม เมื่อได้ฟังเจ้าพี่
    มหานามะตรัสถึงเรื่องการบรรพชาอย่างนั้น จึงกราบทูลถามว่า
    “เสด็จพี่ ที่เรียกว่าบรรพชานั้น คืออะไร”
    “ที่เรียกบรรพชาก็คือการปลงพระเกศาและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสต์ บรรทมเหนือ
    พื้นดิน และบิณฑบาตเลี้ยงชีพตามกิจของสมณะ”
    “เสด็จพี่ หม่อมฉันไม่เคยทุกข์ยากลำบากอย่างนั้น ขอให้เสร็จพี่บวชเองเถิด”
    “อนุรุทธะ ถ้าอย่างนั้น เจ้าก็ต้องศึกษาเรื่องการงาน และการครองเรือนให้เข้าใจเป็น
    อย่างดี”

    ไม่รู้จักคำว่า “ไม่มี”
    แท้ที่จริง เจ้าชายอนุรุทธะ ได้รับการเอาอกเอาใจจากพระประยูรญาติดังกล่าว จน
    กระทั่งไม่ทราบเรื่องการงาน และการดำเนินชีวิตของฆราวาสเลย ยิ่งไปกว่านั้นแม้แต่คำว่า “ไม่
    มี” ก็ไม่เคยได้ยินนับตั้งแต่ประสูติมา ดังมีเรื่องเล่าว่า.....
    ครั้งหนึ่ง เจ้าชายอนุรุทธะ พร้อมด้วยพระสหายชวนกันไปเล่นตีคลี โดยมีการตกลงกัน
    ว่า “ถ้าใครเล่นแพ้ต้องนำขนมมาเลี้ยงเพื่อน” ในการเล่นนั้นเจ้าชายอนุรุทธะ แพ้ถึง ๓ ครั้ง ใน
    แต่ละครั้งให้คนรับใช้ไปนำขนมจากเสด็จแม่มาเลี้ยงเพื่อนตามที่ตกลงกัน ในครั้งที่ ๔
    เจ้าชายอนุรุทธะ ก็เล่นแพ้อีก และก็ใช้ให้คนไปนำขนมมาจากพระมารดาอีก พระมารดาตรัสสั่ง
    คนรับใช้มาบอกว่า “ขนมไม่มี” เจ้าชายอนุรุทธะ ไม่รู้ความหมายของคำว่า “ไม่มี” เข้าใจไปว่า
    คำนั้นเป็นชื่อของขนมชนิดหนึ่ง จึงส่งคนรับใช้ให้ไปกราบทูลแก่เสด็จแม่ว่า “ขนมไม่มีก็เอามา
    เถอะ”
    พระมารดา เข้าพระทัยทันทีว่า พระโอรสของพระองค์นั้นไม่เคยได้ยินค่ำว่า “ไม่มี” ดัง
    นั้น จึงดำริที่จะให้โอรสของตนทราบความหมายของคำว่า “ไม่มี” นั้นว่าเป็นอย่างไร จึงนำถาด
    เปล่ามาทำความสะอาดแล้วปิดฝาด้วยถาดอีกใบหนึ่ง ส่งให้คนรับใช้นำไปให้พระโอรส ใน
    ระหว่างทางที่คนรับใช้ถือถาดเปล่าเดินไปนั้น เทวดาที่สิงสถิตอยู่ที่ซุ้มประตูคิดว่า
    “เจ้าชายอนุรุทธะ นี้ ได้สร้างบุญบารมีมาแต่ชาติปางก่อน ครั้งที่เกิดเป็นอันนภารบุรุษ ได้ถวาย
    อาหารที่ตนกำลังจะบริโภคแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่าอริฏฐะ แล้วได้ตั้งความปรารถนา
    ว่า “ถ้าได้เกิดใหม่ ขออย่าให้ได้ยินคำว่า “ไม่มี” กับทั้งสถานที่เกิดของอาหาร ก็ขออย่าได้พานพบ
    เลย” ดังนั้น ถ้าเจ้าชายอนุรุทธะได้รู้จักคำว่า ไม่มี แล้วเราต้องถูกเทพยาดาผู้มีอำนาจเหนือกว่าลง
    โทษแน่” จึงเนรมิตขนมทิพย์จนเต็มถาด เจ้าอนุรุทธะและพระสหายได้เสวยขนมทิพย์มีรสโอชา
    ยิ่งนัก ซึ่งพวกไม่เคยได้เสวยมาก่อน จึงกลับไปต่อว่าพระมารดาว่า:-
    “ข้าแต่เสด็จแม่ ทำไมเสด็จแม่เพิ่งจะมารักลูกวันนี้เอง วันอื่น ๆ ไม่เห็นเสด็จแม่ทำขนม
    ไม่มีให้ลูกเสวยเลย ตั้งแต่นี้ไป ลูกขอเสวยแต่ขนมไม่มีเพียงอย่างเดียว ขนมชนิดอื่นไม่ต้องทำให้
    อีก”
    นับแต่บัดนั้นเมื่อเจ้าชายอนุรุทธะ ขอเสวยขนม พระมารดาก็จะนำถาดมาทำความ
    สะอาดแล้วปิดฝาด้วยถาดอีกใบหนึ่งส่งไปให้ทุกครั้ง ด้วยเหตุนี้ เมื่อเจ้าพี่มหานามะ บอกให้ศึกษา
    เรื่องการงานการครองเรือน เจ้าชายอนุรุทธะ จึงทูลถามเจ้าพี่ว่า:-
    “การงานที่ว่านั้น คืออะไร ?"

    เรียนเรื่องการทำนา
    เจ้าชายมหานามะ ได้สดับคำถามของพระอนุชาดังนั้น จึงได้ยกเอาเรื่องการทำนาขึ้นมา
    สอน เริ่มด้วยการไถ การหว่าน การดูแลรักษา ตลอดจนการเก็บเกี่ยว การนวด และการนำเข้า
    เก็บในยุ้งฉาง อย่างนี้แหละ เรียกว่า “การงาน”
    “เสด็จพี่ การงานนี้จะสิ้นสุดเมื่อไร ?”
    “ไม่มีวันสิ้นสุด เมื่อถึงฤดูกาลก็ต้องทำอย่างนี้ตลอดไป วนเวียนหาที่สุดมิได้
    เจ้าชายอนุรุทธะ นั้นจะรู้เรื่องการทำนาได้อย่างไร ในเมื่อครั้งหนึ่งเคยนั่งสนทนากับพระ
    สหายและตั้งปัญหาถามกันว่า:-
    “ภัตตาหารที่เราเสวยกันทุกวันนี้ เกิดที่ไหน ?”
    “เกิดในฉาง” เจ้าชายกิมพิละตอบ เพราะเคยเห็นคนนำข้าวออกจากฉาง
    “เกิดในหม้อ” เจ้าชายภัททิยะตอบ เพราะเคยเห็นคดข้าวออกจากหม้อ
    “เกิดในชาม” เจ้าชายอนุรุทธะตอบ เพราะทุกครั้งจะเสวยภัตตาหาร ก็จะเห็นข้าวอยู่ใน
    ชามเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงเข้าใจอย่างนั้น

    เมื่อใดฟังเจ้าพี่มหานามะ สอนถึงเรื่องการงาน ดังนี้แล้ว จึงเกิดการท้อแท้ขึ้นมา และ
    การงานนั้นก็ไม่มีที่สิ้นสุด จึงกราบทูลเจ้าพี่มหานามะว่า “ถ้าเช่นนั้นขอให้เสด็จพี่อยู่ครองเรือน
    เถิด หม่อมฉันจักบวชเอง ถึงแม้การบวชจะลำบากกว่าการเป็นอยู่ในฆราวาสนี้ ก็ยังมีภาระที่
    น้อยกว่า และมีวันสิ้นสุด”

    ตายดีกว่าถ้าไม่ได้บวช
    เมื่อตกลงกันเช่นนี้แล้ว เจ้าชายอนุรุทธะจึงเข้าไปเฝ้าพระมารดา กราบทูลให้ทรงทราบ
    เรื่องที่ตกลงกับเจ้าพี่มหามานะ แล้ว กราบทูลขอลาบวชตามเสด็จพระบรมศาสดา พระมารดาได้
    ฟังก็ตกพระทัยตรัสห้ามไว้ถึง ๓ ครั้ง แต่พระโอรสก็ยืนยันจะบวชให้ได้ ถ้าไม่ทรงอนุญาต
    ก็จะขออดอาหารจนตาย และก็เริ่มไม่เสวยอาหารตั้งแต่บัดนั้น ในที่สุดพระมารดาเห็นว่าการ
    บวชยังมีโอกาสได้เห็นโอรสดีกว่าปล่อยให้ตาย อนึ่ง อนุรุทธะนั้น เมื่อบวชแล้วได้รับความ
    ลำบากก็คงอยู่ได้ไม่นานก็จะสึกออกมาเอง
    พระมารดาจึงตกลงอนุญาตให้บวช แต่มีข้อแม้ว่า ถ้าเจ้าชายภัททิยะพระสหายออกบวช
    ด้วยจึงจะให้บวช เจ้าชายอนุรุทธะดีใจรีบไปชวนเจ้าชายภัททิยะให้บวชด้วยกันโดยกล่าวว่า
    “การบวชของเราเนื่องด้วยท่าน ถ้าท่านบวชเราจึงจะได้บวช” อ้อนวอนอยู่ถึง ๗ วัน
    เจ้าชายภัททิยะจึงยอมบวชด้วย
    ในครั้งนั้น เจ้าชายศากยะ ๕ พระองค์ เจ้าชายภัททิยะ เจ้าชายอนุรุทธะ เจ้าชายอานนท์
    เจ้าชายภัคคุ และ เจ้าชายกิมพิละ และเจ้าชายฝ่ายโกลิยะ ๑ พระองค์ คือ เจ้าชายเทวทัต พร้อม
    ด้วยอำมาตย์ช่างกัลบกอีก ๑ คน ชื่อ อุบาลี รวมเป็น ๗ เสด็จออกเดินทางไปเฝ้าพระบรมศาสดาที่
    อนุปิยอัมพวัน เมืองพาราณสี ในระหว่างทางเจ้าชายทั้ง ๖ ได้เปลื้องเครื่องประดับอันมีค่าส่ง
    มอบให้อุบาลีช่างกัลบกที่ติดตามไปด้วย พร้อมทั้งตรัสสั่งว่า:-
    “ท่านจงนำเครื่องประดับเหล่านี้ไปจำหน่ายขายเลี้ยงชีพเถิด”



    -------------------------------------------------------------------

    11-พระอนุรุทธเถระ
    เอตทัคคะในทางผู้มีทิพยจักษุญาณ
    -http://www.84000.org/one/1/11.html-

    อุบาลี รับเครื่องประดับเหล่านั้นแล้วแยกทางกลับสู่พระนครกบิลพัสดุ์ พลางคิดขึ้นมา
    ว่า “ธรรมดาเจ้าศากยะทั้งหลายนั้นดุร้ายนักถ้าเห็นเรานำเครื่องประดับกลับไปก็จะพากันเข้าใจว่า
    เราทำอันตรายพระราชกุมารแล้ว นำเครื่องประดับมาก็จะลงอาญาเราจนถึงชีวิต อนึ่งเล่า เจ้าชาย
    ศากยกุมารเหล่านี้ ยังละเสียซึ่งสมบัติอันมีค่าออกบวชโดยมิมีเยื่อใย ตัวเรามีอะไรนักหนาจึงจะ
    มารับเอาสิ่งของที่เขาทิ้งดุจก้อนเขฬะนำไปดำรงชีพได้”
    เมื่อคิดดังนั้นแล้ว จึงแก้ห่อนำเครื่องประดับทั้งหลายเหล่านั้นแขวนไว้กับต้นไม้แล้ว
    กล่าวว่า “ผู้ใดปรารถนาก็จงถือเอาตามความประสงค์เถิด เราอนุญาตให้แล้ว” จากนั้นก็ออกเดิน
    ทางติดตามเจ้าชายทั้ง ๖ พระองค์ ไปทันที่อนุปิยอัมพวัน กราบทูลแจ้งความประสงค์ขอบวชด้วย

    ให้อุบาลีกัลบกบวชก่อน
    เจ้าชายอนุรุทธะ เมื่อทราบความประสงค์ของอุบาลีเช่นนั้น จึงกราบทูลพระบรมศาสดา
    ว่า “ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์เป็นกษัตริย์ มีขัตติยมานะแรงกล้า ขอพระองค์ประทาน
    การบรรพชาแก่อุบาลี ผู้เป็นอำมาตย์รับใช้ปวงข้าพระองค์ก่อนเถิด เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะ
    ได้แสดงคารวะกราบไหว้ อุบาลี ตามประเพณีนิยมของพระพุทธสาวก จะได้ปลดเปลื้อง
    ขัตติยมานะให้หมดสิ้นไปจากสันดาน”
    พระพุทธองค์ตรัสอนุโมทนา แล้วประทานการบรรพชาแก่อุบาลีก่อนตามประสงค์
    แล้วประทานการบรรพชาแก่กษัตริย์ทั้ง ๖ พระองค์ภายหลัง เมื่อบรรพชาอุปสมบทเป็นพระภิกษุ
    ในพระพุทธศาสนาแล้ว
    พระภัททิยะ ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ พร้อมไตรวิชาภายในพรรษานั้น
    พระอนุรุทธะ ได้สำเร็จทิพยจักษุญาณก่อนแล้วภายหลังได้ฟังพระธรรมเทศนา
    มหาปุริสวิตกสูตร ก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
    พระอานนท์ ได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคลชั้นโสดาบัน
    พระภัคคุ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
    พระกิมพิละ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
    พระเทวทัต ได้บรรลุธรรมชั้นฤทธิ์ปุถุชนอันเป็นโลกิยะ
    พระอุบาลี ศึกษาพุทธพจน์แล้ว เจริญวิปัสสนากรรมฐาน
    ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ภายในพรรษานั้น

    พระอนุรุทธะ เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้เรียนกรรมฐานจากพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรแล้ว
    เข้าไปสู่ป่าปาจีนวังสมฤคทายวัน ขณะเจริญสมณธรรมอยู่นั้นได้ตรึกถึงมหาปุริสวิตก ๗ ประการ
    คือ:-
    ๑ ธรรมนี้ของผู้มีความปรารถนาน้อย ไม่ใช่ของผู้มีความปรารถนาใหญ่
    ๒ ธรรมนี้ของผู้สันโดษ ยินดีด้วยของที่มีอยู่ ไม่ใช่ของผู้ไม่สันโดษ
    ๓ ธรรมนี้ของผู้สงัดแล้ว ไม่ใช่ของผู้ยินดีในหมู่
    ๔ ธรรมนี้ของผู้ปรารภความเพียร ไม่ใช่ของผู้เกียจคร้าน
    ๕ ธรรมนี้ของผู้มีสติตั้งมั่น ไม่ใช่ของผู้มีสติหลง
    ๖ ธรรมนี้ของผู้มีใจตั้งมั่น ไม่ใช่ของผู้มีใจไม่ตั้งมั่น
    ๗ ธรรมนี้ของผู้มีปัญญา ไม่ใช่ของผู้มีปัญญาทราม

    เมื่อพระเถระตรึกอยู่อย่างนี้ พระบรมศาสดาเสด็จไปยังที่อยู่ของพระเถระ ทราบว่าเธอ
    กำลังตรึกอยู่อย่างนั้น ทรงอนุโมทนาว่า ดีล่ะ ดีล่ะ แล้วทรงแนะให้ตรึกในข้อที่ ๘ ว่า
    ๘ ธรรมนี้ของผู้ยินดีในธรรมที่ไม่เนิ่นช้า ไม่ใช่ของผู้ยินดีในธรรมที่เนิ่นช้า

    ได้รับยกย่องผู้มีทิพยจักษุญาณ
    ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ตรัสสอนพระเถระแล้ว ได้เสด็จกลับสู่ที่ประทับ ส่วน
    พระอนุรุทธะ ได้บำเพ็ญสมณธรรมต่อไป ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ตั้งแต่นั้นมา ท่านได้ตรวจดู
    สัตว์โลกด้วยทิพยจักษุญาณเสมอ ยกเว้นขณะกำลังฉันภัตตาหารเท่านั้น
    ด้วยเหตุนี้ พระบรมศาสดา ได้ตรัสยกย่องชมเชยท่านในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่า
    ภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้มีทิพยจักษุญาณ

    ปฐมเหตุประเพณีการทอดผ้าบังสุกุล-ผ้าป่า
    สมัยหนึ่งท่านพระอนุรุทธเถระ จำพรรษาอยู่ที่เวฬุวันเมืองราชคฤห์ จีวรที่ท่านใช้อยู่นั้น
    เก่ามาก ท่านจึงแสวงหาผ้าบังสุกุล (ผ้าเปื้อนฝุ่น) ตามกองขยะ กองหยากเยื่อเพื่อนำมาทำจีวร
    ครั้งนั้น อดีตภรรยาเก่าของท่านชื่อ ชาลินี ซึ่งจุติได้เกิดเป็นเทพธิดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เห็น
    พระเถระแสวงหาผ้าอยู่เช่นนั้นก็เกิดศรัทธาเลื่อมใส จึงนำผ้าทิพย์มาจากสวรรค์ลงมายังโลก
    มนุษย์ และคิดว่า “ถ้าเราจะนำเข้าไปถวายโดยตรง พระเถระก็คงไม่รับแน่” จึงหาอุบายซุกผ้าผืน
    นั้นในกองขยะกองหยากเยื่อ มีชายผ้าโผล่ออกมาเพื่อให้พระเถระได้เห็น ในทางที่พระเถระ
    กำลังเดินมุ่งหน้าไปทางนั้น พระเถระเห็นชายผ้าผืนนั้นแล้วถึงออกมาพิจารณาเป็นผ้าบังสุกุลและ
    คิดว่า “ผ้าผืนนี้เป็นผ้าบังสุกุลที่มีคุณค่ายิ่งนัก” แล้วนำกลับไปสู่อาราม เพื่อจัดการทำจีวร

    พระพุทธองค์ช่วยเย็บจีวร
    ในการทำจีวรของท่านนั้นเป็นงานที่ยิ่งใหญ่มาก ทั้งนี้ก็เพราะว่าพระบรมศาสดาทรงพา
    พระมหาสาวกเป็นจำนวนมากมาร่วมทำจีวร โดยพระองค์เองทรงร้อยเข็ม พระมหากัสสปะนั่ง
    อยู่ช่วงต้น พระสารีบุตรนั่งอยู่ตรงกลาง พระอานนท์นั่งอยู่ช่วงปลายสุด ทั้ง ๓ ท่านนี้ช่วยกันเย็บ
    จีวร ส่วนพระภิกษุสงฆ์ที่เหลือก็ช่วยกันกรอด้าย พระมหาโมคคัลลานะ กับนางเทพธิดาชาลินี
    ช่วยกันไปชักชวนอุบาสกอุบาสิกาในหมู่บ้าน ให้นำภัตตาหารมาถวายพระบรมศาสดาและพระ
    ภิกษุสงฆ์ประมาณ ๕๐๐ รูป การเย็บจีวรของพระอนุรุทธะสำเร็จลงด้วยดีภายในวันเดียวเท่านั้น
    อนึ่ง กิริยาที่นางเทพธิดาชาลินี นำผ้าไปวางซุกไว้ในกองขยะกองหยากเยื่อ ในลักษณะ
    ทอดผ้าบังสุกุลนั้น พุทธบริษัทได้ถือเป็นแบบอย่างในการทอดผ้าบังสุกุล และทอดผ้าป่าใน
    ปัจจุบันนี้
    พระอนุรุทธเถระ ดำรงชนมายุมาถึงหลังพุทธปรินิพพาน ในวันที่พระบรมศาสดา
    นิพพานนั้น ท่านก็ร่วมอยู่เฝ้าแวดล้อม ณ สาลวโนทยานนั้นด้วย และท่านยังได้ร่วมทำกิจพระ
    ศาสนาครั้งสำคัญ ในการทำปฐมสังคายนากัลป์คณะสงฆ์โดยมีพระมหากัสสปเถระเป็นประธาน
    พระอุบาลีเถระวิสัชนาพระวินัย และพระอานนท์เถระวิสัชนาพระสูตรและพระอภิธรรม
    ท่านพระอนุรุทธเถระ ดำรงอายุสังขาร โดยสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธ์ เข้าสู่
    นิพพาน ณ ภายใต้ร่มกอไผ่ ในหมู่บ้านเวฬุวะ แคว้นวัชชี
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ประวัติพระอนุรุทธเถระ
    -http://www.dharma-gateway.com/…/great_monk/pra-anurootta.htm
    -

    เอตทัคคะผู้เลิศกว่าพวกภิกษุผู้มีทิพยจักษุ ฯ

    พระอนุรุทธเถระผู้ได้รับการแต่งตั้งจากพระบรมศาสดา ให้เป็นยอดของภิกษุทั้งหลายผู้มีจักษุทิพย์ ควรจะได้ทราบว่าการที่พระอนุรุทธเถระเป็นผู้เลิศเช่นนั้น เพราะเป็นผู้มีความชำนาญที่ได้สั่งสมไว้แล้วในเวลาที่ผ่านมา อรรถกถากล่าวว่า พระเถระนั้น ตลอดทั้งกลางวัน และกลางคืน ได้เจริญอาโลกกสิณตรวจดูเหล่าสัตว์ด้วยทิพยจักษุอย่างเดียว เว้นแต่ช่วงเวลาฉันเท่านั้น ดังนั้น พระเถระนี้จึงชื่อว่าเป็นยอดของภิกษุทั้งหลายผู้มีทิพยจักษุ เพราะเป็นผู้มีความชำนาญอันสะสมไว้ตลอดวันและคืน ไม่เพียงเท่านั้น แต่ยังเนื่องจากท่านได้ตั้งปรารถนาไว้ตลอดแสนกัป ตามเรื่องที่จะกล่าวตามลำดับดังต่อไปดังนี้

    ความปรารถนาในอดีต

    กระทำมหาทานแด่พระปทุมุตตระพุทธเจ้า

    ได้ยินว่า ครั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ พระอนุรุทธเถระนั้นบังเกิดในสกุลคฤหบดีผู้มหาศาล ครั้นเมื่อเจริญวัยแล้ว อยู่มาวันหนึ่งวันหนึ่งได้ไปยังพระวิหารที่พระพุทธปทุมุตตระประทับอยู่ และฟังธรรมอยู่แถวท้ายหมู่พุทธบริษัทในวิหารนั้น ได้เห็นภิกษุรูปหนึ่งที่พระศาสดาทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่งเป็นยอดของภิกษุผู้มีทิพยจักษุ ท่านจึงปรารถนาที่จะได้เป็นอย่างภิกษุนี้ในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาลเช่นนั้นบ้าง

    ดังนั้นท่านจึงนิมนต์พระพระปทุมุตตระพุทธเจ้า และทำการถวายมหาทานอยู่ ๗ วัน แล้วท่านจึงหมอบลงแทบพระบาทของพระศาสดา แสดงความปรารถนาว่า ด้วยผลแห่งการถวายทานสักการะนี้ ข้าพระองค์ไม่ปรารถนาสมบัติอื่นใด เพียงแต่ในอนาคตกาล ขอข้าพระองค์พึงได้ตำแหน่งเอตทัคคะนั้นในศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล เหมือน ภิกษุที่พระองค์ทรงสถาปนาไว้ในตำแหน่ง ในวันสุดท้าย ๗ วัน นับแต่วันนี้

    พระศาสดาทรงตรวจดูอนาคตกาลด้วยพุทธญาณ ทรงเห็นว่าความปรารถนาของกุลบุตรนี้จักสำเร็จ จึงทรงพยากรณ์ว่ากุลบุตรผู้เจริญ ในที่สุดแห่งแสนกัปในอนาคต พระพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม จักทรงอุบัติขึ้น ท่านจักมีชื่อว่าอนุรุทธ ท่านจักเป็นยอดของภิกษุผู้มีทิพยจักษุ ในศาสนาของพระโคดมพุทธเจ้าดังนี้ ครั้นเมื่อทรงพยากรณ์แล้ว ทรงกระทำอนุโมทนาแล้วเสด็จกลับไป

    ตั้งแต่นั้นมา ตราบที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ท่านก็ได้กระทำแต่กรรมที่ดีมาโดยตลอด ครั้นเมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว เมื่อเจดีย์ทองประมาณ ๗ โยชน์สร้างสำเร็จแล้ว ท่านจึงเข้าไปหาเหล่าภิกษุสงฆ์ แล้วถามภิกษุสงฆ์เหล่านั้นว่า ทำบุญด้วยอะไรจึงจะทำให้ได้ทิพยจักษุ ภิกษุสงฆ์บอกว่าควรทำบุญด้วยประทีป ท่านจึงให้สร้างต้นประทีปหลายพันต้น และสร้างประทีปบริวาร ด้วยถ้วยกระเบื้องและถาดสัมริด นับจำนวนไม่ได้ ถวายเป็นพุทธบูชา และอธิษฐานว่า ผลบุญนี้จงเป็นปัจจัยให้เกิดทิพยจักษุญาณ ท่านกระทำเช่นนี้จนตลอดชีวิต เมื่อหมดอายุขัยแล้ว ก็ท่องเที่ยวไปในภูมิเทวดาและภูมิมนุษย์ทั้งหลาย วนเวียนอยู่เช่นนั้นตลอดแสนกัป

    บุรพกรรมในสมัยพระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ครั้งที่ท่านเกิดในสมัยของพระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน ครั้งนั้นท่านถวายประทีป แก่พระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เข้าฌานอยู่ที่ควงไม้ พระองค์ทรงรับแล้วห้อยไว้ที่ต้นไม้ ท่านได้ถวายไส้ตะเกียงน้ำมันพันหนึ่ง แด่พระพุทธองค์ด้วย ประทีปนั้นลุกโพลงอยู่ ๗ วันแล้วดับไปเอง อานิสงส์ครั้งนั้นท่านได้กล่าวว่า จะนับจะประมาณมิได้ อาทิเช่น

    เมื่อท่านเกิดเป็นเทวดา วิมานของท่านก็มีรัศมีรุ่งโรจน์ สว่างไสว ท่านได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์อยู่ ๒๘ ชาติ ท่านมีจักษุอันเป็นทิพย์สามารถมองเห็นได้ไกลหนึ่งโยชน์ ทั้งกลางวันและกลางคืน ท่านมีรัศมีกายแผ่ออกไปจากร่างประมาณโยชน์หนึ่ง ท่านได้เกิดเป็นจอมเทวดาเสวยราชสมบัติในเทวโลก ๓๐ กัป

    บุรพกรรมในสมัยพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ครั้นสมัยในกาลแห่งพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านเกิดในเรือนคฤหบดีใกล้กรุงพาราณสี เมื่อพระศาสดาปรินิพพาน มหาชนได้สร้างพระเจดีย์ประมาณ ๑ โยชน์สำเร็จแล้ว ท่านก็ให้สร้างภาชนะสำริดจำนวนมาก บรรจุเนยใสจนเต็ม แล้ววางไส้ตะเกียงห่างกัน ๑ องคุลี ในภาชนะดังกล่าววางล้อมพระเจดีย์ให้เรียงชิดกันแล้วจุดไฟขึ้นถวายเป็นพุทธบูชา แล้วให้สร้างภาชนะสำริดที่ใหญ่กว่าใส่เนยใสเต็ม จุดไส้ตะเกียงพันดวงรอบ ๆ ขอบปากภาชนะสำริดนั้น แล้วให้จุดไฟขึ้น ท่านเทินภาชนะสำริดไว้บนศีรษะ เดินประทักษิณเวียนบูชาเจดีย์ระยะทางโดยรอบประมาณ ๑ โยชน์ ตลอดคืนจนถึงเช้ารุ่ง เขาแต่กรรมดีจนตลอดชีวิต ครั้นสิ้นชีวิตแล้วบังเกิดในเทวโลก

    ถวายภัตแด่พระอุปริฎฐะปัจเจกพุทธเจ้า

    ขอจงอย่าได้ยินคำว่า ‘ ไม่มี ’

    ในสมัยที่พระพุทธเจ้ายังไม่อุบัติขึ้น เขาถือปฏิสนธิในนครพาราณสีนั้นอีก ในเรือนของตระกูลยาจกเข็ญใจ เขาได้มีชื่อว่า อันนภาระ เป็นคนหาบหญ้า อาศัยอยู่กับสุมนเศรษฐี ผู้ซึ่งให้มหาทานที่ประตูบ้านแก่คนกำพร้า คนเดินทาง วณิพกและยกจก ทุกวัน ๆ

    วันหนึ่ง พระปัจเจกพุทธเจ้า นามว่าอุปริฎฐะเข้านิโรธสมบัติ ที่ภูเขาคันธมาทน์ ออกจากสมาบัตินั้นแล้ว พิจารณาว่า วันนี้ ควรจะทำการอนุเคราะห์ใคร ธรรมดาพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้อนุเคราะห์คนเข็ญใจ ท่านจึงคิดว่าวันนี้เราควรทำการอนุเคราะห์นายอันนภาระ ท่านทราบว่า นายอันนภาระจะออกจากป่ากลับมายังบ้านตน ท่านจึงเหาะจากภูเขาคันธมาทน์ มายืนอยู่ที่หน้านายอันนภาระที่ประตูบ้านนั่นเอง

    นายอันนภาระเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้าทรงถือบาตรเปล่าจึงนิมนต์ว่าโปรดรออยู่ที่นี้ก่อนเถิดขอรับ แล้วรีบไปถามภรรยาว่า อาหารที่ท่านเตรียมไว้สำหรับเรามีหรือไม่ นางตอบว่า มี เขาจึงไปรับบาตรจากพระปัจเจกพุทธเจ้ามา แล้วกล่าวว่า ด้วยเหตุที่เราไม่ได้ทำกรรมที่ดีไว้ในชาติก่อน เราก็ต้องเป็นลูกจ้างเขาอยู่เช่นนี้ ครั้นเมื่อเราปรารถนาจะทำบุญ แต่ก็ขาดของที่จะทำบุญ ครั้นเมื่อมีของที่จะทำบุญก็หาพระผู้สมควรรับไทยธรรมนั้นไม่ได้ มาวันนี้เราพบพระอุปริฏฐปัจเจกพุทธเจ้าเข้าพอดี และของที่จะทำบุญก็มีอยู่ ท่านจงใส่อาหารที่เป็นส่วนของฉันลงในบาตรนี้ หญิงผู้เป็นภรรยาก็คิดว่า เมื่อใดสามีของเราให้อาหารซึ่งเป็นส่วนของเขา เมื่อนั้นเราก็ควรมีส่วนในทานนี้เช่นกัน คิดดังนั้นแล้วจึงวางอาหารที่เป็นส่วนของตนลงในบาตรถวายแก่อุปริฏฐปัจเจกพุทธเจ้าด้วย นายอันนภาระนำบาตรอันบรรจุภัตตาหารมาถวายพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วกล่าวว่า ขอให้พวกข้าพเจ้าพ้นจากความอยู่อย่างลำบากเช่นนี้เถิด ขอข้าพเจ้าจงอย่าได้สดับคำว่า ‘ ไม่มี ’

    พระปัจเจกพุทธเจ้า อนุโมทนาว่า จงสำเร็จอย่างนั้นเถิด เขาจึงปูลาดผ้าห่มของตนลง แล้วนิมนต์พระปัจจเจกพุทธเจ้าเพื่อทรงฉันภัตตาหาร พระปัจเจกพุทธเจ้าทรงนั่ง ณ อาสนะนั้นแล้ว ทรงพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญา แล้วจึงทรงฉัน เมื่อฉันเสร็จแล้ว นายอันนภาระจึงถวายน้ำสำหรับล้างบาตร ครั้นเสร็จภัตตกิจแล้ว พระปัจเจกพุทธเจ้าทรงกระทำอนุโมทนาว่าสิ่งที่ท่านต้องการแล้ว ปรารถนาแล้วจงสำเร็จทันที

    เทวดาที่สิงอยู่ที่ฉัตรของสุมนเศรษฐีเห็นดังนั้นจึงกล่าวสาธุการขึ้น ๓ ครั้ง สุมนเศรษฐีได้ยินเทพยดาประจำฉัตรกล่าวอนุโมทนา จึงคิดว่า เราให้ทานตลอดเวลามากตั้งเท่าไหร่ ก็ยังไม่อาจทำให้เทวดาให้สาธุการ นายอันนภาระที่อาศัยเราอยู่นี้ ถวายบิณฑบาตเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ก็ทำให้เทวดาให้สาธุการได้ เนื่องเพราะเขาได้ทำบุญกับบุคคลผู้ที่สมควรเป็นปฏิคาหก เราพึงให้ทรัพย์แก่นายอันนภาระนั้น แล้วทำให้บุญนั้นเป็นของของเราจึงจะดี

    คิดดังนั้นแล้วจึงเรียกนายอันนภาระมาแล้วถามว่าวันนี้เจ้าให้ทานอะไร ๆ แก่ใครหรือ นายอันนภาระตอบว่า ข้าพเจ้าถวายภัตตาหารแก่พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าอุปริฎฐะเศรษฐีกล่าวว่า เจ้าจงรับกหาปณะไปแล้วให้บุญนั้นแก่เราเถอะ นายอันนภาระตอบว่าให้ไม่ได้หรอกนายท่าน เศรษฐีเพิ่มทรัพย์ขึ้นจนถึงพันกหาปณะ นายอันนภาระก็ยังกล่าวว่า แม้ถึงพันกหาปณะก็ยังให้ไม่ได้ เศรษฐีกล่าวอ้อนวอนขอให้ส่วนบุญแก่ฉันเถอะ นายอันภาระกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าส่วนบุญนั้น ควรให้หรือไม่ควรให้ แต่ข้าพเจ้าจะถามพระปัจเจกพุทธเจ้าดู ถ้าควรให้ก็จะให้ ถ้าไม่ควรให้ก็จะไม่ให้

    แล้วนายอันนภาระจึงเดินไปถามพระปัจเจกพุทธเจ้าว่า สุมนเศรษฐีให้ทรัพย์แก่ข้าพเจ้าพันหนึ่ง แล้วขอส่วนบุญในบิณฑบาตที่ถวายแก่ท่าน ข้าพเจ้าควรจะให้หรือไม่ให้ พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่า เราจะเปรียบให้ท่านฟัง ในบ้านตำบลนี้มีร้อยเรือน เราจุดประทีปไว้ในเรือนหลังหนึ่งเท่านั้น เรือนอื่นเอาตะเกียงของตนมาต่อไฟถือไป แสงของประทีปดวงเดิมยังมีอยู่หรือไม่นายอันนภาระกล่าวว่า แสงประทีปก็จะสว่างขึ้นไปอีก พระปัจเจกพุทธเจ้ากล่าวว่าฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อท่านให้ส่วนบุญแก่คนอื่น พันคนหรือแสนคนก็ตาม ให้แก่คนเท่าใด บุญก็เพิ่มขึ้นแก่ตนเท่านั้น ดังนี้

    นายอันนภาระกราบพระปัจเจกพุทธเจ้าแล้วกลับไปยังสำนักของสุมนเศรษฐีกล่าวว่า ขอท่านจงรับส่วนบุญในบิณฑบาตทานเถิด เศรษฐีกล่าวว่า เชิญท่านรับทรัพย์พันกหาปณะไปเถิด นายอันนภาระกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ขายบิณฑบาตทาน แต่ข้าพเจ้าให้ส่วนบุญแก่ท่านด้วยศรัทธา เศรษฐีกล่าวว่า ท่านให้ส่วนบุญแก่เราด้วยศรัทธา แต่เราบูชาคุณของท่าน ฉันให้พันกหาปณะนี้ จงรับไปเถิด นายอันนภาระจึงถือเอาทรัพย์พันกหาปณะไป เศรษฐีกล่าวว่า ตั้งแต่นี้ไปท่านไม่ต้องงานให้เหน็ดเหนื่อย ท่านจงปลูกเรือนอยู่ใกล้ถนนเถิด ถ้าท่านต้องการสิ่งใดฉันจะมอบสิ่งนั้นให้ ท่านจงมานำเอาไปเถอะ

    ปกติแล้วบิณฑบาตที่บุคคลใดถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ออกจากนิโรธสมาบัติ บุคคลนั้นย่อมได้รับผลบุญในวันนั้นนั่นเอง เพราะฉะนั้นสุมนเศรษฐีในครั้งก่อนที่ไปเฝ้าพระราชา ก็ไม่เคยชวนนายอันนภาระไปด้วย แต่ในวันนั้นได้ชวนนายอันนภาระไปด้วย ในวันนั้นพระราชาไม่มองดูเศรษฐีเลย ทรงมองแต่นายอันนภาระเท่านั้น เศรษฐีจึงทูลถามว่า เหตุไฉนพระองค์จึงทรงมองดูแต่บุรุษผู้นี้ พระราชาตรัสว่า เรามองดูเขาเพราะไม่เคยเห็นเขาเข้าเฝ้าในวันอื่น ๆ เขาชื่ออะไร เศรษฐีทูลว่า ชื่อนายอันนภาระ แล้วเศรษฐีก็ได้เล่าเรื่องที่เขาไม่บริโภคอาหารของตน แต่ถวายแด่พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าอุปริฎฐะ แล้วเขาได้แบ่งส่วนบุญให้ เขาได้ทรัพย์พันกหาปณะจากตนเพื่อบูชาบุญนั้น พระราชาตรัสว่า เขาก็ควรจะได้จากเราบ้าง เราเองก็ควรทำการบูชาบุญนั้น แล้วจึงพระราชทานทรัพย์พันกหาปณะให้นายอันนภาระ แล้วตรัสสั่งให้พนักงานสำรวจดูบริเวณที่จะปลูกเรือนที่นายอันนภาระจะอยู่

    เมื่อพนักงานกำลังจัดแจงแผ้วถางที่สำหรับเรือนนั้นก็ได้พบขุมทรัพย์ชื่อปิงคละ ในที่นั้นตั้งเรียงกัน จึงมากราบทูลพระราชา ๆ สั่งให้ไปขุดขึ้นมา เมื่อพนักงานเหล่านั้นกำลังขุดอยู่ ขุมทรัพย์ก็กลับจมลงไป พนักงานเหล่านั้นไปกราบทูลพระราชาอีก พระราชาตรัสว่า ทรัพย์นั้นเป็นของนายอันนภาระ จงไปขุดเพื่อนายอันนภาระ พนักงานก็ไปขุดตามคำสั่ง ขุมทรัพย์ก็ผุดขึ้น พนักงานเหล่านั้นขนทรัพย์มากองไว้ในพระราชวัง พระราชาประชุมอำมาตย์ทั้งหลายแล้วตรัสถามว่า ในเมืองนี้ใครมีทรัพย์มีถึงเท่านี้บ้าง อำมาตย์ทูลว่า ไม่มีใครมี พระราชาตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น นายอันนภาระนี้จงชื่อว่า ธนเศรษฐีในพระนครนี้ เขาได้ฉัตรประจำตำแหน่งเศรษฐีในวันนั้นนั่นเอง

    กำเนิดเป็นเจ้าอนุรุทธศากยะในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า

    ตั้งแต่วันนั้น เขากระทำแต่กรรมอันดีงามจนตลอดชีวิตจุติจากภพนั้นไปเกิดในเทวโลก เวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์เป็นเวลานาน ครั้งที่พระศาสดาของพวกเราทรงอุบัติ เขาก็มาถือปฏิสนธิเป็น เจ้าอนุรุทธ พระโอรสแห่งเจ้าอมิโตทนะศากยะ ผู้เป็นพระอนุชาแห่งพระพุทธบิดา คือพระเจ้าสุทโธทนศากยะ แห่งกรุงกบิลพัสดุ์ เจ้าอนุรุทธเป็นน้องชายของเจ้ามหานามะศากยะ ท่านทรงเป็นสุขุมาลชาติอย่างยิ่ง เป็นผู้มีบุญมาก ทรงมีโภคะสมบูรณ์ ไม่เคยทรงสดับคำว่า “ไม่มี ” มีเรื่องเล่าว่า

    ทรงโปรดขนมชื่อว่า “ไม่มี”

    วันหนึ่งเมื่อท่านพร้อมกับพระญาติ ๕ พระองค์ทรงเล่นกีฬาลูกขลุบอยู่ เจ้าอนุรุทธทรงแพ้พนันขนมแล้ว จึงให้มหาดเล็กไปกราบทูลพระมารดาเพื่อให้ส่งขนมมาเป็นค่าที่แพ้พนัน พระมารดาของท่านก็ทรงจัดขนมส่งไป ศากยราชทั้งหกเสวยแล้วทรงเล่นกันอีก เจ้าอนุรุทธก็เป็นฝ่ายแพ้ร่ำไป ส่วนพระมารดาต้องส่งขนมไปถึง ๓ ครั้ง ในวาระที่ ๔ จึงทรงให้ไปแจ้งว่า “ขนมไม่มี” พระกุมารทรงคิดว่า “ขนมชื่อนี้ คงเป็นขนมประหลาดชนิดหนึ่ง ” เพราะไม่เคยทรงได้ยินคำว่า “ไม่มี ” จึงส่งคนไปทูลพระมารดาว่า “ให้นำขนมไม่มี นั่นแหละมาเถิด”

    ฝ่ายพระมารดาของท่าน เมื่อมหาดเล็กทูลว่า “เจ้าอนุรุทธขอให้ทรงประทานขนมชื่อ ‘ไม่มี’ ไปถวาย” จึงทรงพระดำริว่า “ลูกของเราไม่เคยได้ยินคำว่า ‘ ไม่มี ’ เราจะสอนลูกเราให้รู้คำนั้นด้วยอุบายนี้” จึงทรงปิดถาดทองคำเปล่าด้วยถาดทองคำอีกใบหนึ่งแล้วส่งไป

    ด้วยผลแห่งอธิษฐานในคราวที่เจ้าอนุรุทธศากยะเกิดเป็นนายอันนภาระ ได้ถวายภัตตาหารแด่พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่าอุปริฏฐะ และทำความปรารถนาไว้ว่า ‘ ขอข้าพเจ้าจงอย่าได้สดับคำว่า ‘ ไม่มี ’ จึงทำให้ถาดนั้นให้เต็มด้วยขนมทิพย์ เมื่อถาดนั้นพอเขาวางลงที่สนามเล่นขลุบแล้วเปิดขึ้น กลิ่นขนมก็ตั้งตลบไปทั่วทั้งพระนคร พอกษัตริย์ทั้งหกหยิบชิ้นขนมเข้าไปในพระโอฐเท่านั้น โอชะก็แผ่ซ่านไปทั่วประสาทรับรสทั้งเจ็ดพัน

    พระกุมารนั้นทรงพระดำริว่า “พระมารดาคงจะไม่รักเรา, พระมารดาจึงไม่ทรงปรุงขนมชื่อไม่มีนี้ประทานเรามาก่อน, ตั้งแต่นี้ไป เราจะไม่กินขนมอื่น” แล้วเสด็จไปสู่ตำหนัก ทูลถามพระมารดาว่า “เจ้าแม่ หม่อมฉันเป็นที่รักของเจ้าแม่หรือไม่เป็นที่รัก ?”

    เจ้าย่อมเป็นที่รักยิ่งของแม่ เสมือนนัยน์ตาของคนมีตาข้างเดียว และเหมือนดวงใจของแม่ ฉะนั้น

    เมื่อเช่นนั้น เหตุไร เจ้าแม่จึงไม่เคยทรงปรุงขนมไม่มี ประทานแก่หม่อมฉันเล่า เจ้าแม่

    พระนางรับสั่งถามมหาดเล็กคนสนิทว่า “ขนมอะไร ๆ มีอยู่ในถาดหรือ”

    มหาดเล็กทูลว่า “ มีขนมเกิดขึ้นเองอยู่เต็มถาด, ขนมเช่นนี้ กระหม่อมฉันก็ยังไม่เคยเห็น”

    พระนางทรงพระดำริว่า “บุตรของเราคงเป็นผู้มีบุญ บุญนั้นคงทำให้มีขนมเต็มถาด”

    พระโอรสจึงทูลพระมารดาว่า “เจ้าแม่ ตั้งแต่นี้ไป หม่อมฉันจะไม่เสวยขนมอื่น ขอเจ้าแม่พึงปรุงแต่งขนมไม่มีอย่างเดียว”

    ตั้งแต่นั้นมา เมื่อพระกุมารทูลขอขนม พระนางก็ทรงครอบถาดเปล่านั่นด้วยถาดอื่น ส่งไปประทานพระกุมารนั้น ขนมทิพย์ก็เกิดขึ้นถวายพระกุมารนั้นตลอดเวลาที่ท่านเป็นฆราวาส

    เกิดร่วมสมัยกับพระโพธิสัตว์

    ก่อนที่ท่านจะเกิดมาในสมัยพระสมณโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้านี้ ท่านได้เกิดร่วมชาติกับพระโพธิสัตว์อยู่หลายชาติ ดังที่ปรากฎในชาดกต่าง ๆ เช่น

    เกิดเป็นปัญจสิขเทพบุตร พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นท้าววาสวะ ใน สุธาโภชนชาดก

    เกิดเป็นท้าวสักกเทวราช พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็นวิธูรบัณฑิต ใน จตุโปสถชาดก

    เกิดเป็น ๗ พี่น้อง ร่วมกับพระพุทธองค์ ใน ภิสชาดก

    เกิดเป็น ปัพพตดาบส พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็น สรภังคดาบสโพธิสัตว์ ใน สรภังคชาดก

    เกิดเป็น ท้าวสักกเทวราช พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็น พระราชา ใน มณิโจรชาดก

    เกิดเป็น ปัญจาลจันทกุมาร พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็น มโหสถบัณฑิต ใน มโหสถบัณฑิตชาดก

    เกิดเป็น นายสารถี พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็น พระเจ้ากุรุราชโพธิสัตว์ ใน กุรุธรรมชาดก

    เกิดเป็น ปัพพตดาบส พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็น สรภังคดาบส ใน อินทริยชาดก

    เกิดเป็น ท้าวสักกเทวราช พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็น อกิตติบัณฑิต ใน อกิตติชาดก

    เกิดเป็น ท้าวสักกเทวราช พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็น พระเจ้าสีวิราช ใน สีวิราชชาดก

    เกิดเป็น ท้าวสักกเทวราช พระพุทธองค์เสวยพระชาติเป็น พระจันทกุมาร ใน จันทกุมารชาดก

    พระบรมศาสดาทรงอุบัติ

    ส่วนพระโพธิสัตว์ของเราจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิต มาถือปฏิสนธิในครรภ์ของอัครมเหสีของพระเจ้าสุทโธทนมหาราช ทรงเจริญวัยโดยลำดับ ทรงครองเรือนอยู่ ๒๙ ปี แล้วทรงเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงแทงตลอดพระสัพพัญญุตญาณโดยลำดับ ทรงยับยั้งที่โพธิมัณฑสถาน ๗ สัปดาห์ ประกาศพระธรรมจักร ณ ป่าอิสิปตนมิคทายวัน ทรงกระทำการอนุเคราะห์โลก ครั้นเมื่อพระเจ้าสุทโธทนทรงสดับข่าวว่าพระบรมศาสดามายังกรุงราชคฤห์ จึงทรงรับสั่งให้อำมาตย์กาฬุทายี ไปนิมนต์พระบรมศาสดา อำมาตย์กาฬุทายีก็ได้บวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา แล้วพระกาฬุทายีเถระทูลวิงวอนให้เสด็จไปโปรดพระพุทธบิดายัง ณ กรุงกบิลพัสดุ์ ในครั้งนั้นทรงทำพระธรรมเทศนาอันวิจิตรแก่พระพุทธบิดาและพระประยูรญาติ เมื่อทรงอนุเคราะห์พระญาติแล้ว ทรงให้ราหุลกุมารบรรพชาแล้ว ไม่นานนัก ก็เสด็จจากกรุงกบิลพัสดุ์ไปจาริกในมัลลรัฐแล้วเสด็จกลับมายังอนุปิยอัมพวัน

    ขัติยศากยกุมารออกบวชตามเสด็จ

    สมัยนั้น พระเจ้าสุทโธทนมหาราช ทรงประชุมศากยะสกุลทั้งหลาย ตรัสให้แต่ละตระกูลในศากยราชวงศ์ส่งขัตติยกุมารออกบวชตามเสด็จ ในครั้งนั้นเล่ากันว่า ขัตติยกุมารถึงพันองค์จึงออกผนวชโดยพระดำรัสครั้งเดียวเท่านั้น เมื่อขัตติยกุมารโดยมากเหล่านั้นผนวชแล้ว เหล่าพระญาติเห็นศากยะ ๖ พระองค์นี้ คือ ภัททิยราชา อนุรุทธ อานันทะ ภคุ กิมพิละ เทวทัต ยังมิได้ผนวชจึงสนทนากันว่า

    “พวกเรายังให้ลูก ๆ ของตนบวชได้ ศากยะทั้ง ๖ นี้ มิใช่พระญาติหรือจึงมิได้ทรงผนวช”

    เมื่อเป็นดังนั้นเจ้ามหานามศากยะจึงเข้าไปหาเจ้าอนุรุทธศากยะผู้เป็นน้อง และกล่าวว่า บัดนี้ ศากยะกุมารที่มีชื่อเสียงเป็นอันมากได้ออกผนวชตามเสด็จ แต่ผู้ออกบวชจากตระกูลของเรายังไม่มี น้องจักบวช หรือว่า พี่จักบวช”

    พระอนุรุทธราชกุมารจึงทูลถามว่า “การบวชนี้เป็นอย่างไร ? ”

    เจ้ามหานามจึงตรัสว่า “ผู้บวช ก็ต้องโกนผมและหนวด ต้องนุ่งห่มผ้ากาสายะ ต้องนอนบนเครื่องลาดด้วยไม้ หรือบนเตียงที่ถักด้วยหวาย เที่ยวบิณฑบาตอยู่ นี้ชื่อว่าการบวช”

    เจ้าอนุรุทธศากยะจึงทูลว่า “เจ้าพี่ หม่อมฉันเป็นสุขุมาลชาติ หม่อมฉันจักไม่สามารถบวชได้”

    เจ้าอนุรุทธกุมารนั้น ทรงเป็นกษัตริย์ผู้สุขุมาล มีโภคะสมบูรณ์ แม้คำว่า“ไม่มี ” ก็ไม่เคยได้ยิน จึงไม่ยินดีในการบวช

    เจ้ามหานามจึงตรัสว่า “อย่างนั้น ท่านจงเรียนรู้การงานสำหรับอยู่เป็นฆราวาสเถิด ในระหว่างเราทั้งสองจะไม่บวชเลยสักคนก็เป็นเรื่องไม่ควร”

    อนุรุทธกุมารผู้ซึ่งไม่รู้แม้กระทั่งว่าอาหารที่ตนบริโภคนั้นเกิดขึ้นที่ไหน ได้มาอย่างไร จะรู้จักการงานได้อย่างไร ?

    เจ้าศากยะทั้ง ๓ สนทนากันถึงที่เกิดแห่งข้าว

    ก็วันหนึ่ง ยุวกษัตริย์ ๓ องค์ คือ เจ้ากิมพิละ เจ้าอนุรุทธ และเจ้าภัททิยะ ทรงสนทนากันด้วยเรื่องว่า “ ข้าวที่เราบริโภคเกิดขึ้นที่ไหน ?”

    กิมพิลกุมาร รับสั่งว่า “เกิดขึ้นในฉาง”

    ครั้งนั้นภัททิยกุมาร ตรัสค้านกิมพิลกุมารนั้นว่า “ท่านยังไม่ทราบที่เกิดแห่งข้าว ชื่อว่าข้าว ย่อมเกิดขึ้นที่หม้อข้าว”

    เจ้าอนุรุทธตรัสแย้งว่า “ ถึงท่านทั้งสองก็ยังไม่ทรงทราบ ธรรมดาข้าว ย่อมเกิดขึ้นในถาดทองคำประมาณศอกกำ”

    ได้ยินว่า บรรดากษัตริย์ ๓ องค์นั้น วันหนึ่ง กิมพิลกุมาร ทรงเห็นเขาขนข้าวเปลือกลงจากฉาง ก็เข้าพระทัยว่าข้าวเปลือกเหล่านี้เกิดขึ้นในฉางนั่นเอง

    ฝ่ายพระภัททิยกุมาร ทรงเห็นเขาคดข้าวออกจากหม้อข้าวก็เข้าพระทัยว่า ข้าวเกิดขึ้นในหม้อข้าวนั่นเอง

    ส่วนอนุรุทธกุมาร ยังไม่เคยทรงเห็นคนซ้อมข้าว คนหุงข้าว หรือคนคดข้าว ทรงเห็นแต่ข้าวที่เขาคดแล้วตั้งไว้ เฉพาะพระพักตร์เท่านั้น ท่านจึงทรงเข้าพระทัยว่า “ภัตเกิดในถาด ในเวลาที่ต้องการบริโภค”

    ยุวกษัตริย์ทั้ง ๓ พระองค์นั้น ย่อมไม่ทรงทราบแม้ที่เกิดแห่งข้าวตามเรื่องที่เล่ามาข้างต้น เพราะฉะนั้น อนุรุทธกุมารนี้จึงทูลถามว่า “การทำงานนี้เป็นอย่างไร ?

    เจ้ามหานามศากยะ จึงสอนเรื่องการครองเรือนแก่อนุรุทธกุมารผู้น้องว่า ผู้อยู่ครองเรือน ชั้นต้นต้องให้ไถนา ครั้นแล้วให้หว่าน ให้ไขน้ำเข้า ครั้นไขน้ำเข้ามากเกินไป ต้องให้ระบายน้ำออก ครั้นให้ระบายน้ำออกแล้ว ต้องให้ถอนหญ้า ครั้นแล้วต้องให้เกี่ยว ให้ขน ให้ตั้งลอม ให้นวด ให้สงฟางออก ให้ฝัดข้าวลีบออก ให้โปรยละออง ให้ขนขึ้นฉาง ครั้นถึงฤดูฝนก็ต้องทำอย่างนี้อีก เป็นอย่างนี้ทุกปี

    ครั้นอนุรุทธกุมารได้ทรงฟังกิจการที่ฆราวาสจะพึงทำเป็นประจำทุกปีเช่นนั้น ทรงมองไม่เห็นว่า การงานสำหรับเพศฆราวาสทั้งหลายจะมีที่สิ้นสุดเมื่อไร จึงทูลให้เจ้ามหานามทรงครองฆราวาส ส่วนตนเองจะเป็นผู้ออกบวช

    เจ้าอนุรุทธศากยะขออนุญาตจากพระราชมารดา

    เจ้าอนุรุทธศากยะจึงเข้าไปหาพระราชมารดา แล้วกล่าวขออนุญาตที่จะออกบวช พระราชมารดาไม่ทรงยินยอม ท่านได้กล่าวอ้อนวอนถึง ๓ ครั้ง พระราชมารดาของอนุรุทธศากยะทรงคิดว่า พระเจ้าภัททิยศากยะ ผู้ทรงเป็นพระสหายสนิทของอนุรุทธศากยะนี้ ทรงครองราชสมบัติเป็นราชาของพวกศากยะ พระองค์คงจะไม่อาจสละราชสมบัติออกทรงผนวชเป็นแน่ จึงได้กล่าวกะอนุรุทธศากยะว่า ถ้าพระเจ้าภัททิยศากยะทรงผนวช เจ้าก็ออกบวชได้

    ลำดับนั้น อนุรุทธศากยะจึงเสด็จไปเข้าไปเฝ้าพระเจ้าภัททิยศากยะ แล้วได้ทูลว่า การบวชของเรานั้นขึ้นอยู่กับตัวท่าน

    พระเจ้าภัททิยศากยะตรัสว่า ไม่ว่าการบวชของท่านจะขึ้นอยู่กับตัวเราหรือไม่ก็ตาม ท่านจงบวชตามสบายเถิด

    อนุรุทธศากยะได้ยินดังนั้นจึงกล่าวว่า ถ้าเช่นนั้นเราทั้งสองจะออกบวชด้วยกัน

    พระเจ้าภัททิยศากยะตรัสว่า เราไม่สามารถออกบวชได้ ถ้ามีสิ่งอื่นใดที่เราสามารถจะทำให้ท่านได้ เราจะทำสิ่งนั้นให้แก่ท่าน ท่านจงบวชเองเถิด

    อนุรุทธศากยะตรัสว่า ก็พระมารดาได้ตั้งเงื่อนไขกับเราว่า ถ้าท่านบวชด้วย พระมารดาก็จะยอมให้เราบวช ก็ท่านพูดเมื่อครู่นี้ว่า เราจงบวชตามความสบาย ดังนั้นเมื่อท่านยอมให้เราบวช ท่านก็ต้องบวชด้วย

    ในสมัยนั้น คนทั้งหลายเป็นผู้มีความสัตย์ ดังนั้นพระเจ้าภัททิยศากยะได้ต่อรองว่า จงรออยู่สัก ๗ ปีเถิด เมื่อครบ ๗ ปีแล้ว เราทั้งสองจึงจะออกบวชด้วยกัน ฝ่ายเจ้าอนุรุทธก็ไม่ยินยอม การต่อรองได้ดำเนินไปโดยลดระยะเวลาลงเรื่อย ๆ จนถึง ๗ วัน เจ้าอนุรุทธจึงยินยอม

    อุบาลีออกบวชพร้อมด้วยศากยะทั้งหก

    แต่นั้น กษัตริย์ทั้งหกองค์นี้ คือ ภัททิยศากยราช อนุรุทธ อานนท์ กคุ กิมพิละ และเทวทัต พร้อมกับนายภูษามาลา ชื่อ อุบาลี ได้เสด็จออกจากเมืองโดยทำเสมือนหนึ่งว่าจะเสด็จไปประพาสอุทยาน เมื่อออกนอกแดนที่เหล่าศากยะทั้ง ๖ ปกครองแล้ว ก็ทรงส่งทหารมหาดเล็กให้กลับพระนคร แล้วเสด็จต่อไปเข้าสู่แดนของศากยะราชพระองค์อื่น กษัตริย์ ๖ พระองค์ก็ทรงเปลื้องอาภรณ์ของตนออกทำเป็นห่อ แล้วรับสั่งให้นายอุบาลีกลับไปพร้อมกับนำเครื่องประดับเหล่านั้นไปเพื่อเลี้ยงชีพ ฝ่ายอุบาลีภูษามาลาไปได้หน่อยหนึ่งก็กลับ โดยคิดว่า

    “พวกเจ้าศากยะราชโหดร้ายนัก ถ้าเรากลับไปพร้อมเครื่องประดับเช่นนี้ เจ้าศากยราชเหล่านั้นก็จะฆ่าเราเสีย ด้วยเข้าพระทัยว่า พระกุมารทั้งหลายถูกเจ้าคนนี้ปลงพระชนม์เสียแล้ว แล้วก็คิดต่อไปว่า ศากยกุมารเหล่านี้ทรงสละสมบัติ ทิ้งอาภรณ์อันหาค่ามิได้เหล่านี้ราวกับถ่มน้ำลายทิ้ง เพื่อออกผนวช ก็ทำไมเราจึงจะทำเช่นนั้นบ้างไม่ได้เล่า ? ”

    ครั้นคิดดังนี้แล้ว จึงแก้ห่อเครื่องประดับนั้น เอาอาภรณ์เหล่านั้นแขวนไว้บนต้นไม้แล้ว กล่าวว่า “ ใครต้องการก็จงเอาไปเถิด ” แล้วหันกลับเดินไปสู่สำนักของศากยกุมารเหล่านั้น ศากยกุมารเหล่านั้นเห็น อุบาลีภูษามาลากลับมาจึงตรัสถามถึงเหตุที่กลับมา นายภูษามาลาก็กราบทูลให้ทรงทราบ

    ศากยะทั้งหกบรรลุคุณพิเศษ

    ลำดับนั้น ศากยกุมารเหล่านั้น ทรงพาอุบาลีภูษามาลา ไปสู่สำนักพระศาสดาถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว กราบทูลว่า

    “พระพุทธเจ้าข้า พวกหม่อมฉันเป็นเจ้าศากยะยังมีมานะ ความถือตัวอยู่ อุบาลีผู้นี้เป็น นายภูษามาลา เป็นผู้รับใช้ของหม่อมฉันมานาน ขอพระผู้มีพระภาคจงให้อุบาลีผู้เป็นภูษามาลานี้บวชก่อนเถิด พวกหม่อมฉันจักทำการอภิวาท การลุกรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรม แก่อุบาลีผู้เป็นภูษามาลานี้ เมื่อเป็นอย่างนี้ ความถือตัวว่าเป็นศากยะ ของพวกหม่อมฉันผู้เป็นศากยะจักเสื่อมคลายลง”

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคโปรดให้อุบาลีผู้เป็นภูษามาลาบวชก่อน ให้ ศากยกุมารเหล่านั้นผนวชต่อภายหลัง ฯ

    ท่านพระภัททิยะได้เป็นพระอรหัตถ์เตวิชโช โดยระหว่างพรรษานั้นนั่นเอง ท่านพระอนุรุทธเป็นผู้มีจักษุเป็นทิพย์ แต่ยังไม่บรลุพระอรหัตผล ท่านพระอานนท์ได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล พระภคุเถระและพระกิมพิลเถระ ภายหลังเจริญวิปัสสนาได้บรรลุพระอรหัต พระเทวทัตได้บรรลุฤทธิ์อันเป็นของปุถุชน

    พระเถระบวชแล้ว เป็นผู้ได้สมาบัติในภายในพรรษาก่อนเพื่อน ได้ทิพยจักษุฌาน ต่อมาท่านได้เกิดความไม่ก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม จึงไปยังสำนักของพระสารีบุตรเถระ แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า

    ท่านพระสารีบุตร (๑) ผมตรวจดูตลอดพันโลกด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ (๒) ก็ผมปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน ตั้งสติไม่หลงลืม กายสงบระงับไม่ระส่ำระสาย จิตตั้งมั่นเป็นเอกัคคตา (๓) เหตุใดเล่า จิตของผมจึงยังไม่พ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น

    ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า การที่ท่านคิดอย่างนี้ว่า

    (๑) เราตรวจดูตลอดพันโลกด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ดังนี้ เป็นเพราะ มานะ ของท่านยังมีอยู่

    (๒) การที่ท่านคิดอย่างนี้ว่า ก็เราปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อนตั้งสติมั่นไม่หลงลืม กายสงบระงับไม่ระส่ำระสาย จิตตั้งมั่นเป็นเอกัคคตาดังนี้ เป็นเพราะ อุทธัจจะ ของท่านยังมีอยู่

    (๓) ถึงการที่ท่านคิดอย่างนี้ว่า เออก็ไฉนเล่าจิตของเรายังไม่พ้นจากอาสวะเพราะไม่ถือมั่น ดังนี้ ก็เป็นเพราะ กุกกุจจะ ของท่านยังมีอยู่

    ท่านจงละธรรม ๓ อย่างนี้ ไม่ใส่ใจธรรม ๓ อย่างนี้ แล้วน้อมจิตไปในอมตธาตุครั้งนั้นแล

    พระเถระบอกกรรมฐานแก่ท่านด้วยประการเช่นนี้ ท่านรับกรรมฐานแล้ว ไปทูลลาพระศาสดาแล้วเดินทางไปบำเพ็ญสมณธรรม ณ ปาจีนวังสทายวัน แคว้นเจติยะ ยับยั้งอยู่ด้วยการจงกรมเป็นเวลาครึ่งเดือน ท่านลำบากกาย เพราะกรากกรำด้วยกำลังความเพียร นั่งอยู่ภายใต้พุ่มไม่พุ่มหนึ่ง แล้วก็ตรึกแล้วถึงมหาปริวิตก ๗ ประการ คือ

    ธรรมนี้เป็นธรรมของบุคคลผู้มีความปรารถนาน้อย มิใช่ของบุคคลผู้มีความปรารถนามาก

    ธรรมนี้เป็นธรรมของบุคคลผู้สันโดษ มิใช่ของบุคคลผู้ไม่สันโดษ

    ธรรมนี้เป็นธรรมของบุคคลผู้สงัด มิใช่ของบุคคลผู้ยินดีในการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ

    ธรรมนี้เป็นธรรมของบุคคลผู้ปรารภความเพียร มิใช่ของบุคคลผู้เกียจคร้าน

    ธรรมนี้เป็นธรรมของบุคคลผู้มีสติตั้งมั่น มิใช่ของบุคคลผู้มีสติหลงลืม

    ธรรมนี้เป็นธรรมของบุคคลผู้มีจิตมั่นคง มิใช่ของบุคคลผู้มีจิตไม่มั่นคง

    ธรรมนี้เป็นธรรมของบุคคลผู้มีปัญญา มิใช่ของบุคคลผู้มีปัญญาทราม ฯ

    ในครั้งนั้น ท่านได้มีความปริวิตกว่า มหาปุริสวิตกข้อที่ ๘ เป็นเช่นไรหนอ พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกทางใจของท่านพระอนุรุทธแล้ว เสด็จจาก เภสกลามิคทายวัน แขวงสุงสุมารคิระ แคว้นภัคคชนบท ไปปรากฏเฉพาะหน้าท่านอนุรุทธที่วิหารปาจีนวังสทายวัน แล้วทรงตรัสให้พระอนุรุทธเถระตรึกใน มหาปุริสวิตกข้อที่ ๘ ที่ว่า

    ธรรมนี้เป็นธรรมของบุคคลผู้ชอบใจในธรรมที่ไม่ทำให้เนิ่นช้า ผู้ยินดีในธรรมที่ไม่ทำให้เนิ่นช้า มิใช่ของบุคคลผู้ชอบใจในธรรมที่ทำให้เนิ่นช้า ผู้ยินดีในธรรมที่ทำให้เนิ่นช้า

    แล้วตรัสมหาอริยวงสปฏิปทา ประดับไปด้วยความสันโดษด้วยปัจจัย ๔ และมีภาวนาเป็นที่มายินดี และทรงตรัสให้พระอนุรุทธเถระอยู่จำพรรษาที่วิหารปาจีนวังสทายวัน แคว้นเจดีย์นี้ต่อไปอีก แล้วเสด็จเหาะไปปรากฏที่ป่าเภสกลามิคทายวันแขวงเมืองสุงสุมารคิระ แคว้นภัคคะ ท่านพระอนุรุทธอยู่จำพรรษาที่วิหารปาจีนวังสทายวัน แคว้นเจดีย์นครนั้นต่อไปอีก ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธหลีกออกจากหมู่อยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียรมีใจเด็ดเดี่ยว ไม่นานนัก ท่านก็ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งในจำนวนพระอรหันต์ทั้งหลาย

    ต่อมาภายหลัง พระศาสดาประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงสถาปนาท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะว่า อนุรุทธเป็นยอดของเหล่าภิกษุสาวก ผู้มีทิพยจักขุ

    พระอนุรุทธเถระกับการบัญญัติสิกขาบทบางข้อ

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธเดินทางไปพระนครสาวัตถี ในโกศลชนบท ได้ไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ณ เวลาเย็น ในสมัยนั้น ในหมู่บ้านนั้นมีสตรีผู้หนึ่งชื่อ นางคันธคันธินี จัดเรือนพักสำหรับอาคันตุกะไว้ เป็นสถานที่อันนางจัดสร้างไว้เพราะความเป็นผู้ประสงค์บุญ ท่านพระอนุรุทธฟังคำของพวกชาวบ้านว่า มีเรือนพักกันเขาจัดไว้ ณ ที่นั้น จึงเข้าไปหานางคันธคันธินี แล้วได้ขอพักแรมในเรือนพักสักคืนหนึ่ง นางคันธคันธินีก็นิมนต์ท่านพักแรม

    ต่อมามีพวกคนเดินทางกลุ่มอื่นเข้าไปหานางคันธคันธินี แล้วได้ขอพักแรมในเรือนพักสักคืนหนึ่งเช่นกัน นางจึงกล่าวว่า มีพระสมณะเข้าไปพักแรมอยู่ก่อนแล้ว ถ้าพระสมณะนั้นอนุญาตก็พักแรมได้ คนเดินทางพวกนั้น จึงพากันเข้าไปหาท่านพระอนุรุทธแล้ว ได้ขอพักแรมคืนในเรือนพักสักคืนหนึ่ง พระเถระก็อนุญาต

    อันที่จริง นางคันธคันธินีนั้นเมื่อได้เห็นพระเถระก็ได้มีจิตปฏิพัทธ์ ดังนั้น นางจึงเข้าไปหาท่านพระอนุรุทธ แล้วได้กล่าวว่า พระคุณเจ้าอาศัยปะปนกับคนพวกนี้จะพักผ่อนไม่สบาย ดิฉันจะจัดเตียงถวายพระคุณเจ้าให้พักข้างใน ท่านพระอนุรุทธรับด้วยดุษณีภาพ

    ครั้นแล้ว นางได้จัดเตียงที่มีอยู่ข้างในถวายท่านพระอนุรุทธ แล้วประดับตกแต่งร่างกายให้หอม เข้าไปหาท่านพระอนุรุทธ แล้วได้กล่าวเกี้ยวพาราสีพระเถระ ท่านพระอนุรุทธมิได้โต้ตอบ ท่านได้นิ่งเสีย

    นางได้พยายามเกี้ยวพาราสีท่านพระเถระถึง ๓ ครั้ง ในครั้งที่ ๓ นางได้ขอให้พระเถระรับเอานางเป็นภรรยาและปกครองทรัพย์สมบัติทั้งหมด

    แม้ครั้งที่ ๓ ท่านพระอนุรุทธก็ได้นิ่งเสีย

    นางเห็นดังนั้น นางจึงได้เปลื้องผ้าออกแล้ว เดินบ้าง ยืนบ้าง นั่งบ้าง นอนบ้าง เบื้องหน้าท่านพระอนุรุทธ ฝ่ายท่านพระอนุรุทธ สำรวมอินทรีย์ ไม่แลดู ไม่ปราศรัยกับนาง

    นางเห็นพระเถระสำรวมกาย วาจา ใจ ได้เช่นนั้นจึงอุทานว่า น่าอัศจรรย์นัก คนเป็นอันมากยอมให้ทรัพย์เรา ๑๐๐ กษาปณ์บ้าง ๑๐๐๐ กษาปณ์บ้าง ส่วนพระสมณะรูปนี้ เราวิงวอนด้วยตนเองยังไม่ปรารถนาจะรับปกครองเราและสมบัติทั้งหมด แล้วจึงนุ่งผ้า ซบศีรษะลงที่เท้าของท่านพระอนุรุทธ แล้วได้กล่าวคำขอขมาต่อท่าน

    ท่านพระอนุรุทธก็ยกโทษให้ ครั้นรุ่งเช้า นางได้ถวายภัตตาหารแด่พระเถระ ครั้นเสร็จภัตตกิจแล้วจึงแสดงธรรมให้นางฟัง นางจึงเกิดความเลื่อมใส ขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทั้งพระธรรม และภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอเป็นอุบาสิกาผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต

    ต่อจากนั้น ท่านพระอนุรุทธเดินทางไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ได้เล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายฟัง บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนท่านพระอนุรุทธจึงได้สำเร็จการนอนร่วมกับมาตุคามเล่า

    ครั้นแล้วภิกษุเหล่านั้นได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค

    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามท่านพระอนุรุทธว่า ดูกรอนุรุทธ ข่าวว่า เธอสำเร็จการนอนร่วมกับมาตุคาม จริงหรือ?

    ท่านพระอนุรุทธทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรอนุรุทธ ไฉนเธอจึงได้สำเร็จการนอนร่วมกับมาตุคามเล่า การกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว

    แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทขึ้นว่า อนึ่ง ภิกษุใดสำเร็จการนอนร่วมกับมาตุคาม เป็นปาจิตตีย์

    พระอนุรุทธเถระกับนางชาลินีเทพธิดา

    สมัยหนึ่ง ท่านพระอนุรุทธพำนักอยู่ในป่าแห่งหนึ่งในแคว้นโกศล ครั้งนั้น นางเทพธิดาในสวรรค์ดาชั้นดาวดึงส์องค์หนึ่งชื่อชาลินี ในอดีตเคยเป็นภรรยาเก่าของท่านพระอนุรุทธ นางยังคงมีความเสน่หาอาลัยในพระมหาเถระอยู่ นางเข้าไปหาท่านถึงที่อยู่ตามเวลา ปัดกวาดบริเวณ เข้าไปตั้งน้ำล้างหน้า ไม้สีฟัน น้ำฉันน้ำใช้ให้พระเถระใช้สอยโดยไม่นึก

    ครั้นแล้วได้กล่าวกับท่าน ให้นึกถึงความสุขอันน่าใคร่ทั้งหลายทั้งปวงบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ที่ท่านเคยอยู่ในกาลก่อน พรั่งพร้อมด้วยหมู่เทวดาแวดล้อมเป็นบริวาร เพื่อให้ท่านได้ตั้งจิตไปเกิดในภูมิเทวดาอีก

    ลำดับนั้น พระเถระได้ให้คำตอบแก่เทพธิดาว่า นางเทพธิดาผู้เขลา ท่านไม่รู้แจ้งถึงคำของพระอรหันต์ว่าสังขารทั้งปวงไม่เที่ยง มีอันเกิดขึ้นและเสื่อมไปเป็นธรรมดา บังเกิดขึ้นแล้วย่อมเสื่อมไป การเข้าไประงับสังขารเหล่านั้นเสียได้ ย่อมเป็นสุข บัดนี้ การเกิดในภพใหม่ ไม่ว่าในภูมิใด ๆ ของท่านไม่มีต่อไปอีกแล้ว

    นางเทพธิดาได้ฟังดังนั้น หมดความหวัง แล้วกลับไปยังวิมาน

    พระพุทธเจ้าและพระสาวกช่วยพระอนุรุทธเถระทำจีวร

    นางชาลินีเทพธิดาถวายผ้าบังสุกุล

    ในวันหนึ่ง พระเถระมีจีวรเก่าแล้ว จึงได้เที่ยวแสวงหาผ้าบังสุกุลที่เขาทิ้งแล้วในที่ทั้งหลายเช่นตามกองขยะเป็นต้น นางชาลินีเทพธิดานั้น เห็นพระเถระเที่ยวแสวงหาผ้าบังสุกุลอยู่ จึงถือผ้าทิพย์ ๓ ผืน ยาว ๑๓ ศอก กว้าง ๔ ศอก แล้วคิดว่าถ้าเราจักถวายท่านตรง ๆ ท่านคงไม่รับ จึงซุกผ้าไว้บนกองขยะแห่งหนึ่งให้โผล่มาเพียงชายผ้าเท่านั้น เมื่อพระเถระเห็นชายผ้าของท่อนผ้าเหล่านั้นแล้ว จึงดึงชายผ้านั้นออกมาเห็นเป็นผ้าบังสุกุลจึงถือเอา แล้วกลับไป

    หมายเหตุ บางตำรากล่าวว่า วิธีการที่นางเทพธิดาชาลินี นำผ้าไปวางซุกไว้ในกองขยะ ในลักษณะทอดผ้าบังสุกุลนั้น พุทธบริษัทได้ถือเป็นแบบอย่างในการทอดผ้าบังสุกุล และทอดผ้าป่าในปัจจุบันนี้

    พระศาสดาทรงช่วยทำจีวร

    ครั้นในวันทำจีวรของพระเถระนั้น พระศาสดามีภิกษุ ๕๐๐ รูปเป็นบริวาร เสด็จไปที่พระวิหารประทับนั่งแล้ว แม้พระอสีติมหาสาวกทั้ง ๘๐ รูปก็นั่งอยู่ด้วย พระมหากัสสปเถระนั่งแล้วตอนต้น เพื่อเย็บจีวร พระสารีบุตรเถระนั่งในท่ามกลาง พระอานนเถระนั่งในท้ายที่สุด ภิกษุสงฆ์กรอด้าย พระศาสดาทรงร้อยด้ายนั้นในรูเข็ม พระมหาโมคคลัลานเถระ เป็นผู้จัดหาวัตถุที่พระสงฆ์ต้องการ แม้เหล่าเทพธิดาประจำบ้านก็เข้าไปสู่ภายในบ้านแล้ว ชักชวนให้เจ้าบ้านมาถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ในครั้งนั้นภัตตาหารอันมีข้าวยาคูของควรเคี้ยว ต่างทั้งหลายมีปริมาณเป็นอันมาก จนภิกษุทั้งหลายฉันไม่หมด เหลือกองอยู่เป็นอันมาก

    พระขีณาสพไม่พูดเกี่ยวกับปัจจัย

    ภิกษุทั้งหลายโพนทะนาว่า “หมู่ภิกษุมีเพียงเท่านี้ เพราะเหตุใดจึงมีผู้นำภัตตาหารมาถวายมากมายจนเหลือมากมายปานนี้ พระอนุรุธเถระเห็นจะประสงค์ให้เขารู้ว่าญาติและอุปัฏฐากของตนมีมาก”

    ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพูดเรื่องอะไรกัน?”

    เมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลเรื่องที่ตนโจษจันอยู่ พระบรมศาสดาจึงตรัสถามว่า “ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอสำคัญว่าอนุรุทธเป็นผู้ขอให้นำของเหล่านี้มาหรือ?”

    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า “อย่างนั้น พระเจ้าข้า”

    พระศาสดาตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย อนุรุทธผู้บุตรของเรา ไม่กล่าวถ้อยคำเห็นปานนั้น แม้ พระขีณาสพทั้งหลาย ก็ย่อมไม่กล่าวเรื่องเกี่ยวกับปัจจัย บิณฑบาตเหล่านี้ เกิดด้วยอานุภาพของเทวดา”

    พระอนุรุทธเถระบำเพ็ญเพียรโดยถือเอาการไม่นอนเป็นวัตร

    ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วข้างต้นว่าพระเถระนั้น ตลอดทั้งกลางวัน และกลางคืน ได้เจริญอาโลกกสิณตรวจดูเหล่าสัตว์ด้วยทิพยจักษุอย่างเดียว เว้นแต่ช่วงเวลาฉันเท่านั้น บางอาจารย์กล่าวว่า พระเถระเป็นผู้ถือการนั่งเป็นวัตร ๕๕ ปี เบื้องต้นไม่ได้หลับ ๒๕ ปี ต่อแต่นั้นจึงได้หลับในเวลาปัจฉิมยาม เพราะร่างกายอ่อนเปลี้ย

    บทบาทพระอนุรุทธเถระเมื่อครั้งพุทธปรินิพพาน

    ตามพระบาลีได้กล่าวถึงบทบาทของพระอนุรุทธเถระเมื่อคราวครั้งพุทธปรินิพพานไว้ว่า เมื่อพระบรมศาสดาได้ทรงมีปัจฉิมวาจาแก่เหล่าภิกษุทั้งมวลแล้ว ทรงเข้าปฐมฌาน ออกจากปฐมฌานแล้ว ทรงเข้าฌานสูงขึ้นไปเป็นลำดับ จนถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ ด้วยเหตุว่าผู้ที่เข้าถึงสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัตินั้นลมหายใจก็จะหมดไป ทำให้ไม่ทราบว่าทรงปรินิพพานแล้วหรือยัง เมื่อเทพดาและมนุษย์เห็นความไม่เป็นไปของลมอัสสาสปัสสาสะ จึงได้ร้องขึ้นพร้อมกัน ด้วยเข้าใจว่าพระศาสดาปรินิพพานเสียแล้ว ฝ่ายพระอานนทเถระ ถามพระอนุรุทธเถระว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้วหรือ พระอนุรุทธตอบว่า พระตถาคตยังไม่ปรินิพพาน แต่พระองค์ทรงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ การที่พระอนุรุทธเถระทราบดังนั้นก็เป็นด้วยพระเถระท่านเข้าสมาบัตินั้น ๆ พร้อมกับพระศาสดาที่เดียว และเมื่อท่านทราบว่าพระพุทธองค์ทรงเข้านิโรธสมาบัติ จึงทราบว่ายังทรงไม่ปรินิพพาน เพราะเหตุว่า การสิ้นชีวิตภายในนิโรธสมาบัติ ย่อมไม่มี

    ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคทรงออกจากสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติแล้ว ทรงเข้าเนวสัญญานาสัญญายตนะ และทรงถอยออกจากฌานลงเป็นลำดับจนถึงจตุตถฌาน พระผู้มีพระภาคเจ้าออกจาจตุตถฌาน หยั่งลงสู่ภวังคจิต แล้วปรินิพพานในขณะนั้นนั่นเอง

    ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว ท่านพระอนุรุทธ จึงได้แจ้งแก่หมู่พระภิกษุและเหล่ากษัตริย์ทั้งปวงที่เฝ้าอยู่ ว่าพระบรมศาสดาได้เสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว บรรดาภิกษุทั้งหลาย นั้น ภิกษุเหล่าใดที่ยังไม่บรรลุพระอรหัตผลก็ร้องไห้คร่ำครวญอยู่ ส่วนภิกษุเหล่าใดที่บรรลุอรหัตผลแล้ว ก็ได้ธรรมสังเวช

    ครั้งนั้น ท่านพระอนุรุทธจึงได้เตือนให้ภิกษุทั้งหลายอย่าได้เศร้าโศก อย่าร่ำไรไปเลย พึงรำลึกถึงพระดำรัสของพระพุทธองค์ในเรื่องความไม่เที่ยงแห่งสังขารทั้งหลาย และยังบอกด้วยว่า เหล่าเทวดาจะตำหนิเอาว่า ตัวของพระภิกษุทั้งหลายเองก็ยังไม่อาจอดกลั้นความเศร้าโศกได้ และจะปลอบโยนผู้อื่นได้อย่างไร

    จากนั้น ท่านพระอนุรุทธและท่านพระอานนท์ เห็นเป็นเวลาใกล้รุ่งแล้ว ท่านทั้งสองจึงแสดงธรรมีกถาตลอดราตรีที่ยังเหลืออยู่นั้น รุ่งเช้าท่านพระอนุรุทธสั่งท่านพระอานนท์ให้ไปแจ้งแก่เจ้ามัลละเมืองกุสินาราว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จปรินิพพานแล้ว

    นอกจากนั้นในระหว่างเตรียมพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพอยู่นั้น เมื่อเกิดเหตุผิดปกติเกิดขึ้น พวกเจ้ามัลละกษัตริย์ก็มักจะเรียนถามสาเหตุกับพระเถระ ด้วยว่าพระเถระผู้เดียวปรากฏว่าเป็นผู้มีทิพยจักษุเพราะฉะนั้น แม้จะมีพระเถระองค์อื่น ๆ ที่มีอายุกว่า แต่พวกเจ้ามัลละเหล่านั้น ก็เรียนถามเฉพาะพระเถระ ด้วยเห็นว่า ท่านพระอนุรุทธเถระนี้สามารถตอบได้ชัดเจน เช่นเมื่อมัลลปาโมกข์ ๘ องค์ จะยกพระสรีระพระผู้มีพระภาคขึ้นเพื่อแห่ไปทางทิศทักษิณแห่งพระนคร แล้วเชิญไปภายนอกพระนคร ถวายพระเพลิงพระสรีระพระผู้มีพระภาคทางทิศทักษิณแห่งพระนคร แต่ก็ยกพระพุทธสรีระไม่ขึ้น จึงได้ถามพระเถระ พระเถระจึงแจ้งว่า

    เหล่าเทวดาประสงค์จะให้เชิญพระพุทธสรีระไปทางทิศอุดรแห่งพระนคร แล้วแห่เข้าไปสู่พระนครโดยทวารทิศอุดร เชิญไปท่ามกลางพระนคร แล้วออกโดยทวารทิศบูรพา แล้วถวายพระเพลิงพระสรีระพระผู้มีพระภาค ที่มกุฏพันธนเจดีย์ของพวกเจ้ามัลละ ทางทิศบูรพาแห่งพระนคร

    อีกครั้งหนึ่งเมื่อครั้งจะจุดไฟถวายพระเพลิง มัลลปาโมกข์ ๔ องค์ผู้มีหน้าที่ถวายพระเพลิง ก็ลงมือจุดไฟเพื่อถวายพระเพลิง แต่พยายามอย่างไรไฟก็ไม่ติด เหล่ามัลลกษัตริย์จึงเรียนถามพระอนุรุทธเถระ พระเถระจึงตอบว่า เหล่าเทวดาประสงค์จะให้คอยพระมหากัสสปเถระที่กำลังเดินทางมา เพื่อให้พระมหากัสสปเถระกระทำความเคารพพระพุทธสรีระด้วยตนเองเสียก่อน ดังนี้เป็นต้น

    รับมอบหมายให้บริหารคัมภีร์อังคุตตรนิกายเมื่อครั้งปฐมสังคายนา

    หลังจากที่พระพุทธองค์ได้ทรงดับขันธปรินิพพานแล้ว พระมหากัสสปเถระก็ดำริที่จะทำสังคายนาพระธรรม จึงได้อาราธนาพระอรหันต์ ๕๐๐ รูป เพื่อทำปฐมสังคายนาที่ ปากถ้ำสัตตบรรณ ข้างภูเขาเวภารบรรพต กรุงราชคฤห์

    ในการสังคายนานั้น มีพระมหากัสสปะเถระเป็นประธาน มีหน้าที่ซักถามเกี่ยวกับพระธรรมวินัย โดย พระอุบาลี เป็นผู้ชี้แจงเกี่ยวกับข้อบัญญัติพระวินัย และ พระอานนท์ เป็นผู้ชี้แจงเกี่ยวกับพระสูตร และพระอภิธรรม

    ในการสังคายนา เหล่าพระสงฆ์มีมติให้สังคายนาสุตตันตปิฎกก่อน โดยเริ่มจาก สังคายนาทีฆนิกาย สังคายนามัชฌิมนิกาย สังคายนาสังยุตตนิกาย สังคายนาอังคุตตรนิกาย ไปตามลำดับ

    ครั้นสังคายนาทีฆนิกายแล้ว พระธรรมสังคาหกเถระกล่าวว่า นิกายนี้ชื่อทีฆนิกาย แล้วมอบท่านพระอานนท์ ให้ไปสอนลูกศิษย์ของท่าน

    ต่อจากการสังคายนาคัมภีร์ทีฆนิกายนั้น พระธรรมสังคาหกเถระ ทั้งหลายได้สังคายนามัชฌิมนิกาย แล้วมอบแก่ศิษย์ของพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระว่า ท่านทั้งหลายจงบริหารคัมภีร์มัชฌิมนิกายนี้

    ต่อจากการสังคายนาคัมภีร์มัชฌิมนิกายนั้น พระธรรมสังคาหกเถระ ทั้งหลายได้สังคายนาสังยุตตนิกาย แล้วมอบแก่พระมหากัสสปเถระ ให้ไปสอนลูกศิษย์ของท่าน

    ต่อจากการสังคายนาคัมภีร์สังยุตตนิกายนั้น พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้สังคายนาอังคุตตรนิกาย แล้วมอบแก่พระอนุรุทธเถระให้ไปสอนลูกศิษย์ของท่าน

    พระอนุรุทธเถระปรินิพพาน

    ท่านพระอนุรุทธเถระ ดำรงอายุสังขาร โดยสมควรแก่กาลเวลาแล้วก็ดับขันธ์ เข้าสู่นิพพาน ณ ภายใต้ร่มกอไผ่ ในหมู่บ้านเวฬุวะ แคว้นวัชชี
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    “เคปเลอร์-452บี” ดาวเคราะห์ใหม่เกือบจะเป็นแฝดโลก
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

    -http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9580000083849-

    24 กรกฎาคม 2558 13:18 น. (แก้ไขล่าสุด 24 กรกฎาคม 2558 15:36 น.) <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="750"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="750"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">าภพวาดจำลองความใกล้ เคียงกันระหว่างโลก (ซ้าย) ที่โคจรรอบดาวอาทิตย์อายุ 4.6 พันล้านปี และเคปเลอร์-452บี ที่โคจรรอบดาวฤกษ์อายุ 6 พันล้านปี และยังอยู่ในขอบเขตที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ (NASA/Ames/JPL-Caltech/T. Pyle via AP) </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> นักวิทย์อเมริกันค้นพบดาวเคราะห์ “เคปเลอร์-452บี” เกือบจะเป็นแฝดโลก ขนาดโตกว่าแค่ 60% โคจรรอบดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์ และเป็นดาวฤกษ์ที่มีอายุและอุณหภูมิใกล้เคียงศูนย์กลางระบบสุริยะ อีกทั้งดาวเคราะห์ดังกล่าวยังอยู่ในโซนที่น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้

    รอยเตอร์รายงานว่านักวิทยาศาสตร์ในสหรัฐฯ อาศัยข้อมูลจากกล้องอวกาศเคปเลอร์ (Kepler) ขององค์การบริหารการบินอวกาศสหรัฐฯ (นาซา) ค้นพบดาวเคราะห์ชื่อ “เคปเลอร์-452บี” (Kepler-452b) โคจรรอบดาวฤกษ์อายุประมาณ 6 พันล้านปี ที่อยู่ห่างจากโลก 1,400 ปีแสง ในทิศทางกลุ่มดาวหงส์ (Cygnus) ขณะที่ดวงอาทิตย์ของเรามีอายุประมาณ 4.6 พันล้านปี

    ด้าน จอน เจนกินส์ (Jon Jenkins) จากศูนย์วิจัยเอมส์ (Ames Research Center) ในมอฟเฟตต์ฟิล์ด แคลฟอร์เนีย ที่ทำงานร่วมกับนาซา เผยว่า การค้นพบครั้งนี้เป็นสิงที่ใกล้เคียงดาวเคราะห์คล้ายโลกมากที่สุด และเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นเมื่อพิจารณาว่าดาวเคราะห์ที่พบนั้นใช้เวลานาน 6 พันล้านปีในขอบเขตที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ (habitable zones) ซึ่งเป็นช่วงเวลาและโอกาสที่เหมาะสมที่จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่บนพื้นผิวดาว เคราะห์หรือในมหาสมุทร เมื่อมีองค์ประกอบและปัจจัยที่จำเป็นสำหรับสิ่งมีชีวิตปรากฏบนดาวเคราะห์ดัง กล่าว

    ตำแหน่งของเคปเลอร์-452บีอยู่ห่างจากดาวฤกษ์ใกล้เคียงกับระยะที่โลก อยู่ห่างจากโลก และยังใช้เวลาโคจรครบรอบดาวฤกษ์ของตัวเอง 385 วัน ใกล้เคียงโลกที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ 365 วัน ซึ่งที่ระยะดังกล่าวอุณหภูมิพื้นผิวเหมาะสมให้เกิดน้ำในรูปของเหลว ซึ่งเป็นปัจจัยที่เชื่อว่าจำเป็นต่อสิ่งมีชีวิต

    แม้ก่อนหน้านี้นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบดาวเคราะห์ขนาดใกล้เคียงโลกที่ โคจรรอบดาวฤกษ์ในบริเวณที่เรียกว่า “ขอบเขตที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้” แต่ดาวฤกษ์เหล่านั้นเย็นกว่าและเล็กกว่าดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นดาวฤกษ์สีเหลืองในกลุ่ม G2

    “เรามองได้ว่าเคปเลอร์-452บีนั้นเป็นญาติของโลกที่แก่กว่าและใหญ่ กว่า ซึ่งให้โอกาสเราในการทำความเข้าใจและมองสะท้อนถึงวิวัฒนาการสิ่งแวดล้อมของ โลกในวันข้างหน้า” เจนเกนส์หัวหน้าทีมการค้นพบครั้งนี้ให้ความเห็น

    ด้าน เจฟฟ์ คัฟลิน (Jeff Coughlin) นักวิทยาศาสตร์ในโครงการเคปเลอร์จากสถาบันเซติ (SETI Institute) ในเมาท์วิว แคลิฟอร์เนีย กล่าวว่าเป็นความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ในการค้นพบดาวเคราะห์คล้ายโลกทั้งขนาด และอุณหภูมิรอบดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์

    จากขนาดของเคปเลอร์-452บี นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าดาวเคราะห์ดวงนี้จะเป็นดาวเคราะห์หินเหมือนโลก โดยอาศัยทฤษฎีที่อิงการวิเคราะห์เชิงสถิติและการสร้างแบบจำลองทาง คอมพิวเตอร์ ไม่ใช่อ้างอิงจากหลักฐานโดยตรง ซึ่งเจนกินส์เชื่อมั่นว่าด้วยรัศมีที่มากกว่าโลก 60% นั้น ทำให้ดาวเคราะห์ดวงนี้เป็นมากกว่าแค่ “มีโอกาสเป็นดาวเคราะห์หิน”

    หากเป็นดาวเคราะห์หินจริง เจนกินส์คาดว่าเคปเลอร์-452บีน่าจะมีมวลมากกว่าโลก 5 เท่า และมีแรงโน้มถ่วงแรงกว่าบนพื้นผิวโลก 2 เท่า และมีชั้นบรรยากาศหนา มีท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆและมีภูเขาไฟที่ยังตื่นตัวอยู่

    เมื่อรวมเคปเลอร์-452บี กล้องเคปเลอร์ได้ค้นพบดาวเคราะห์ที่ได้รับการยืนยันแล้ว 1,030 ดวง และได้จำแนกว่าที่ดาวเคราะห์ประมาณ 4,700 ดวง โดยรายการ “ว่าที่ดาวเคราะห์” ที่มีโอกาสเป็นดาวเคราะห์นั้นมีว่าที่แฝดของโลกอีก 11 ดวง โดยในจำนวนนั้น 9 ดวงโคจรรอบดาวฤกษ์คล้ายดวงอาทิตย์

    อย่างไรก็ตาม กล้องเคปเลอร์ไม่สามารถส่องเห็นดาวเคราะห์ได้โดยตรง แต่อาศัยการวัดการเปลี่ยนแปลงแสงเป็นช่วงนาทีของดาวฤกษ์เป้าหมาย จากนั้นวิเคราะห์ด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ซับซ้อน และตามมาด้วยการตรวจสอบของกล้องโทรทรรศน์บนพื้นโลก แล้วประเมินว่าแสงที่หรี่ลงนั้นเป็นผลจากดาวเคราะห์ “ผ่านหน้า” ดาวฤกษ์แม่หรือไม่

    นาซาได้ส่งกล้องเคปเลอร์ขึ้นไปตั้งแต่ปี 2009 เพื่อสำรวจดาวฤกษ์ใกล้ๆ สำหรับค้นหาว่ามีดาวเคราะห์คล้ายโลกอยู่ร่วมกาแล็กซีเดียวกันหรือไม่ แต่ด้วยการทำงานของระบบที่ล้มเหลวทำให้ภารกิจตามล่าดาวเคราะห์ซึ่งเป็น ภารกิจหลักยุติลงในปี 2013 แต่กล้องเคปเลอร์ยังคงถูกใช้งานเพื่อสังเกตการณ์ด้านอื่น

    ส่วนการศึกษาว่าดาวเคราะห์เคปเลอร์-452บีมีชั้นบรรยากาศอย่างที่คาด ไว้หรือไม่นั้น จอห์น กรันส์ฟิล์ด (John Grunsfeld) ผู้ช่วยผู้อำนวยการนาซากล่าวว่าต้องรอกล้องโทรทรรศน์อวกาศรุ่นใหม่ที่มี ประสิทธิภาพและความไวมากกว่านี้

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="750"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="750"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ภาพวาดจำลองลักษณะ ของดาวเคปเลอร์-452บี โคจรรอบดาวฤกษ์ (วงกลมสว่าง) ที่มีอายุประมาณ 6 พันล้านปีใกล้เคียงดวงอาทิตย์ (REUTERS/NASA/Ames/JPL-Caltech/T. Pyle/Handout)</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <center>[​IMG] </center> นับจากเดือน ม.ค.2015 จนถึงเดือน ก.ค.นักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าที่ดาวเคราะห์เพิ่ม 521 ดวง รวมค้นพบว่าที่ดาวเคราะห์แล้วทั้งหมด 4,696 ดวง และว่าที่ดาวเคราะห์ยังถูกค้นพบเรื่อยๆ ในภาพจุดสีน้ำเงินเป็นว่าที่ดาวเคราะห์ที่พบก่อนหน้านี้ ส่วนจุดสีเหลืองเป็นว่าที่ดาวเคราะห์ที่พบใหม่ ในจำนวนนี้มีบางส่วนเป็นว่าที่ดาวเคราะห์ที่มีขนาดใกล้เคียงโลก และมีคาบวงโคจรยาว ซึ่งมีโอกาสที่จะเป็นดาวเคราะห์หินและมีน้ำในรูปของเหลวที่พื้นผิว (NASA Ames/W. Stenzel)

    <center>[​IMG] </center> ภาพ 12 ว่าที่ดาวเคราะห์ใหม่ที่เล็กกว่า “ขนาดสองเท่าของโลก” และโคจรอยู่ในงานขอบเขตที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ ซึ่งเป็นระยะที่น้ำในรูปของเหลวสามารถอยู่บนพื้นผิวของดาวเคราะห์ที่กำลัง โคจรได้ สีเขียวอ่อนเป็นบริเวณที่ประมาณอย่างเคร่งครัดสำหรับขอบเขตที่สิ่งมีชีวิต อาศัยอยู่ได้ ส่วนบริเวณสีเขียวเข้มเป็นบริเวณที่ประมาณแบบต่ำสุดสำหรับขอบเขตที่สิ่งมี ชีวิตอาศัยอยู่ได้ แกนตั้งแสดงถึงอุณหภูมิพื้นผิวของดาวฤกษ์ ส่วนแกนนอนแสดงถึงพลังงานที่ดาวเคราะห์ได้รับจากดาวแม่ สำหรับวงกลมเปิดสีเหลืองแสดงถึงว่าที่ดาวเคราะห์ที่ค้นพบใหม่ วงกลมเปิดสีน้ำเงินคือว่าที่ดาวเคราะห์ที่ค้นพบก่อนหน้านี้ ส่วนวงกลมทึบเป็นดาวเคราะห์ที่ได้รับการยืนยันแล้ว และเคปเลอร์-452บีดาวเคราะห์ที่เพิ่งได้รับการยืนยันล่าสุดเป็นวงกลมทึบสี เหลือง ซึ่งโคจรรอบดาวฤกษ์ที่มีความใกล้เคียงดวงอาทิตย์ และมีความใกล้เคียงโลกทั้งขนาดและอุณหภูมิ (NASA Ames/W. Stenzel)

    <center>[​IMG]</center>ภาพ เปรียบเทียบขนาดของระบบดาวฤกษ์เคปเบอร์-452 กับระบบดาวฤกษ์เคปเลอร์-186 และระบบสุริยะ โดยระบบเคปเลอร์-186 นั้นเป็นเหมือนระบบสุริยะย่อส่วนที่มีขนาดไม่เกินวงโคจรของดาวพุธ ขอบเขตที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ของเคปเลอร์-186 เล็กมากเมื่อเทียบกับเคปเลอร์-452 หรือระบบสุริยะ เนื่องจากเคปเลอร์-186 เป็นดาวฤกษ์ที่เล็กกว่าและเย็นกว่ามาก ส่วนขนาดของขอบเขตที่สิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้ของเคปเลอร์-452 นั้นใกล้เคียงระบบสุริยะ แต่ค่อนข้างใหญ่กว่าเนื่องจากเคปเลอร์-452 แก่กว่าดวงอาทิตย์ ทั้งยังใหญ่กว่าและสว่างกว่า ส่วนดาวเคราะห์เคปเลอร์-452บีก็ใกล้เคียงกับโลก และยังใช้เวลาโคจรรอบดาวฤกษ์ 385 วันใกล้เคียงโลก (Ames/JPL-CalTech/R. Hurt)

    สำหรับการค้นพบนี้จะตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารดิแอสโทรนิมิคัลเจอร์นัล (The Astronomical Journal) </td></tr></tbody></table>
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2015
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมไปเห็นที่ลงโชว์พระวังหน้ากันว่า รูปนี้ เป็นรุ่นนี้ รุ่นนั้น

    แต่เห็นแล้วก็เหนื่อยใจ เรียนกันโดยไม่รู้ว่า พระวังหน้า ดูอย่างไร

    ปล่อยไปครับ แล้วแต่ "วาสนา" และ "บารมี" ของแต่ละคน อย่างที่ผมเคยบอกไว้ในกระทู้พระวังหน้าฯนี้
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมขอตัดสินใจอีกครั้งว่า จะนำเรื่อง 2 เรื่อง (แต่จะมีหลายๆตอน) นำมาลงให้ชมดีหรือไม่ 2 เรื่องที่ว่าก็คือ


    1."เก๊สนิท ศิษย์ส่ายหน้า"

    ตอน พิมพ์พระสมเด็จ พิมพ์พิเศษ ลั่นล้า



    2."เก๊สนิท ศิษย์ส่ายหน้า"
    ตอน ชุดพระกริ่งปวเรศ ชุดพิเศษ ลั้นลา


    ขอตัดสินใจก่อนครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...