พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ภู ริ ทั ต ช า ด ก

    -http://www.dhammathai.org/chadok/legend06.php-

    พระราชาพระองค์หนึ่ง พระนามว่า "พรหมทัต" ครอง ราชสมบัติอยู่ที่เมืองพาราณสี พระโอรสทรงดำรง ตำแหน่งอุปราช อยู่ต่อมาพระราชาทรงระแวงว่า พระโอรสจะคิดขบถ แย่งราชสมบัติ จึงมีโองการให้ พระโอรสออกไปอยู่ให้ไกลเสียจากเมือง จนกว่าพระราชา จะสิ้นพระชนม์จึงให้กลับมารับราชสมบัติ พระโอรสก็ปฏิบัติ ตามบัญชา เสด็จไปบวชอยู่ที่บริเวณแม่น้ำชื่อว่า "ยุมนา" มีนางนาคตนหนึ่งสามีตาย ต้องอยู่แต่เพียงลำพัง เกิดความ ว้าเหว่จนไม่อาจทนอยู่ในนาคพิภพได้ จึงขึ้น มาจากน้ำ ท่องเที่ยวไปตามริมฝั่งมาจนถึงศาลาที่พักของพระราชบุตร นางนาคประสงค์จะลองใจดูว่า นักบวชผู้พำนักอยู่ในศาลานี้ จะเป็นผู้ที่บวชด้วยใจเลื่อมใสอย่างแท้จริงหรือไม่ จึงจัดประดับ ประดาที่นอนในศาลานั้นด้วยดอกไม้หอม และของทิพย์จาก เมืองนาค

    ครั้นพระราชบุตรกลับมา เห็นที่นอนจัดงดงาม น่าสบายก็ยินดีประทับนอนด้วยความสุขสบายตลอดคืน รุ่งเช้าก็ออกจากศาลาไป นางนาคก็แอบดู พบว่าที่นอน มีรอยคนนอน จึงรู้ว่านักบวชผู้นี้มิได้บวชด้วยความศรัธรา เต็มเปี่ยม ยังคงยินดีในของสวยงาม ตามวิสัยคนมีกิเลส จึงจัดเตรียมที่นอนไว้ดังเดิมอีก ในวันที่สาม พระราชบุตรมีความสงสัยว่า ใครเป็นผู้จัด ที่นอนอันสวยงามไว้ จึงไม่เสด็จออกไปป่า แต่แอบดูอยู่บริเวณ ศาลานั่นเอง เมื่อนางนาคเข้ามาตกแต่งที่นอน พระราชบุตร จึงไต่ถามนางว่า นางเป็นใครมาจากไหน นางนาคตอบว่า นางเป็นนาคชื่อมาณวิกา นางว้าเหว่าที่สามีตาย จึงออกมา ท่องเที่ยวไป พระราชบุตรมีความยินดีจึงบอกแก่นางว่า หากนางพึงพอใจจะอยู่ที่นี่ พระราชบุตรก็จะอยู่ด้วยกับนาง นางนาคมาณวิกาก็ยินดี ทั้งสองจึงอยู่ด้วยกันฉันสามีภรรยา

    จนนางนาคประสูติโอรสองค์หนึ่ง ชื่อว่า "สาครพรหมทัต" ต่อมาก็ประสูติพระธิดาชื่อว่า "สมุทรชา" ครั้นเมื่อพระเจ้าพรหมทัตสวรรคต บรรดาเสนาอำมาตย์ ทั้งหลายไม่มีผู้ใดทราบว่าพระราชบุตรประทับ อยู่ ณ ที่ใด บังเอิญพรานป่าผู้หนึ่งเข้ามาแจ้งข่าวว่า ตนได้เคยเที่ยวไปแถบ แม่น้ำยมุนา และได้พบพระราชบุตรประทับอยู่บริเวณนั้นอำมาตย์ จึงได้จัดกระบวนไปเชิญเสด็จพระราชบุตรกลับมาครองเมือง พระราชบุตรทรงถามนางนาคมาณวิกาว่า จะไปอยู่ เมืองพาราณสีด้วยกันหรือไม่ นางนาคทูลว่า "วิสัยนาค นั้นโกรธง่ายและมีฤทธิ์ร้าย หากหม่อมฉันเข้าไปอยู่ในวัง แล้วมีผู้ใดทำให้โกรธ เพียงหม่อมฉัน ถลึงตามอง ผู้นั้นก็จะ มอดไหม้ไป พระองค์พาโอรสธิดากลับไปเถิด ส่วนหม่อมฉัน ขอทูลลากลับไปอยู่เมืองนาค ตามเดิม" พระราชบุตรจึงพา โอรสธิดากลับไปพาราณสีอภิเษกเป็นพระราชา อยู่มาวันหนึ่ง ขณะที่โอรสธิดาเล่นน้ำอยู่ในสระ เกิดตกใจกลัวเต่า ตัวหนึ่ง พระบิดาจึงให้คนจับเต่านั้นไป ทิ้งที่วันน้ำวนในแม่น้ำ ยมุนา เต่าจมลงไปถึงเมืองนาค เมื่อถูกพวกนาคจับไว้ เต่าก็ออก อุบาย บอกแก่ นาคว่า "เราเป็นทูตของพระราชาพาราณสี พระองค์ ให้เรามาเฝ้าท้าวธตรฐ พระราชทานพระธิดาให้เป็นพระชายา ของท้าวธตรฐ เมืองพาราณสีกับนาคพิภพจะได้เป็นไมตรีกัน"

    ท้าวธตรฐทรงทราบก็ยินดี สั่งให้นาค 4 ตนเป็นทูตนำ บรรณาการไปถวายพระราชาพาราณสีและขอรับตัว พระธิดามาเมืองนาค พระราชาทรงแปลกพระทัย จึงตรัสกับ นาคว่า "มนุษย์กับนาคนั้นต่างเผ่าพันธุ์กัน จะแต่งงานกัน นั้นย่อมเป็นไปไม่ได้" เหล่านาคได้ฟังดังนั้น จึงกลับไปกราบทูลท้าวธตรฐว่า พระราชาพาราณสีทรงดูหมิ่นว่านาคเป็นเผ่าพันธุ์งู ไม่คู่ควรกับพระธิดา ท้าวธตรฐทรงพิโรธ ตรัสสั่งให้ฝูงนาค ขึ้นไปเมืองมนุษย์ ไปเที่ยวแผ่พังพานแสดง อิทธิฤทธิ์อำนาจ ตามที่ต่างๆ แต่มิให้ทำอันตรายชาวเมือง ชาวเมืองพากันเกรงกบัวนาคจนไม่เป็นอันทำมาหากิน ในที่สุดพระราชาก็จำพระทัยส่ง นางสมุทรชา ให้ไปเป็นชายา ท้าวธตรฐ นางสมุทรชาไปอยู่เมืองนาคโดยไม่รู้ว่าเป็นเมืองนาค เพราะท้าวธตรฐให้เหล่า บริวารแปลงกายเป็นมนุษย์ทั้งหมด นางอยู่นาคพิภพด้วยความสุขสบาย จนมีโอรส 4 องค์ ชื่อว่า สุทัศนะ ทัตตะ สุโภคะ และ อริฏฐะ อยู่มาวันหนึ่ง อริฏฐะได้ฟังนาคเพื่อนเล่นบอกว่า พระมารดาของตนไม่ใช่นาค จึงทดลองดูโดยเนรมิต กายกลับเป็นงู ขณะที่กำลังกินนมแม่อยู่ นางสมุทรชาเห็นลูก กลายเป็นงูก็ตกพระทัย ปัดอริฏฐะตกจากตัก เล็บของนาง ไปข่วนเอานัยน์ตาอรฏฐะบอกไปข้างหนึ่ง ตั้งแต่นั้นมา นางจึงรู้ว่าได้ลงมาอยู่เมืองนาค

    ครั้นเมื่อพระโอรสทั้ง 4 เติบโตขึ้น ท้าวธตรฐก็ทรงแบ่งสมบัติ ให้ครอบครองคนละเขต ทัตตะผู้เป็นโอรส องค์ที่สองนั้น มาเฝ้าพระบิามารดาอยู่เป็นประจำ ทัตตะเป็นผู้มีปัญญา เฉลียวฉลาดได้ช่วยพระบิดาแก้ไข ปัญหาต่างๆอยู่เป็นนิตย์ แม้ปัญหาที่เกิดขึ้นกับเทวดา ทัตตะก็แก้ไขได้จึงได้รับการยกย่อง สรรเสริญว่า เป็นผู้ปรีชาสามารถ ได้รับขนานนามว่า ภูริทัตต์ คือ ทัตตะผู้เรืองปัญญา ภูริทัตต์ได้เคยไปเห็นเทวโลก ว่าเป็นที่น่ารื่นรมย์จึงตั้งใจว่า จะรักษาอุโบสถศีลเพื่อจะได้ไปเกิดใน เทวโลก จึงทูล ขออนุญาตพระบิดา ก็ได้รับอนุญาต แต่ท้าวธตรฐสั่งว่า มิให้ออกไปรักษาอุโบสถนอก เขตเมืองนาค เพราะอาจ เป็นอันตราย ครั้นเมื่อรักษาศีลอยู่ในเมืองนาค ภูริทัตต์ รำคาญว่าพวกฝูงนาคบริวาร ได้ห้อมล้อม ปรนนิบัติเฉพาะในตอนเช้าเท่านั้น ตั้งแต่นั้นมา ภูริทัตต์ก็ขึ้นไปรักษาอุโบสถศีลอยู่ที่จอมปลวก ใกล้ต้นไทรริมแม่น้ำยมุนา ภูริทัตต์ตั้งจิต อธิษฐานว่า แม้ผู้ใดจะต้องการหนัง เอ็น กระดูก เลือดเนื้อของตน ก็จะยอมบริจาคให้ ขอเพียงให้ได้ รักษาศีลให้บริสุทธิ์

    ครั้งนั้นมีนายพรานชื่อ เนสาท ออกเที่ยวล่าสัตว์ เผอิญได้ พบภูริทัตต์เข้า สอบถามรู้ว่าเป็นโอรสของ ราชาแห่งนาค ภูริทัตต์เห็นว่าเนสาทเป็นพรานมีใจบาปหยาบช้า อาจเป็น อันตรายแก่ตน จึงบอกแก่ พรานเนสาทว่า "เราจะพาท่าน กับลูกชาย ไปอยู่เมืองนาคของเรา ท่านทั้งสองจะมีความสุข สบายในเมือง นาคนั้น" พรานเนสาทลงไปอยู่เมืองนาค ได้ไม่นาน เกิดคิดถึงเมืองมนุษย์จึงปรารภกับภูริทัตต์ว่า "ข้าพเจ้าอยากจะกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้อง แล้วจะออกบวช รักษาศีลอย่างท่านบ้าง" ภูริทัตต์รู้ด้วยปัญญาว่าพรานจะเป็นอันตรายแก่ตน แต่ก็ไม่ทราบจะทำอย่างไรดี จึงต้องพาพรานกลับไป เมืองมนุษย์ พรานพ่อลูกก็ออกล่าสัตว์ต่อไปตามเดิม มีพญาครุฑตนหนึ่งอาศัยอยู่บนต้นงิ้ว ทางมหาสมุทรด้านใต้ วันหนึ่งขณะออกไปจับนาคมากิน นาคเอาหางพันกิ่งไทรที่อยู่ ท้ายศาลาพระฤาษี จนต้นไทรถอนรากติดมาด้วย ครั้นครุฑ ฉีกท้องนาคกินมันเหลว แล้วทิ้งร่างนาคลงไป จึงเห็นว่า มีต้นไทรติดมาด้วย ครุฑรู้สึกว่าได้ทำผิด คือถอนเอา ต้นไทรที่พระฤาษี เคยอาศัยร่มเงา จึงแปลงกายเป็นหนุ่ม น้อยไปถามพระฤาษีว่า เมื่อต้นไทรถูกถอนเช่นนี้ กรรมจะตก อยู่กับใคร พระฤาษีตอบว่า "ทั้งครุฑและนาคต่างก็ไม่มี เจตนาจะถอนต้นไทรนั้น กรรมจึงไม่มีแก่ผู้ใดทั้งสิ้น"

    ครุฑดีใจจึงบอกกับพระฤาษีว่าตนคือครุฑ เมื่อพระฤาษี ช่วยแก้ปัญหาให้ตนสบายใจขึ้นก็จะสอนมนต์ชื่อ อาลัมพายน์ อันเป็นมนต์สำหรับครุฑใช้จับนาค ให้แก่พระฤาษี อยู่มาวันหนึ่ง มีพราหมณ์ซึ่งเป็นหนี้ชาวเมืองมากมาย จนคิด ฆ่าตัวตาย จึงเข้าไปในป่า เผอิญได้พบพระฤาษี จึงเปลี่ยนใจ อยู่ปรนนิบัติพระฤาษีจนพระฤาษีพอใจ สอนมนต์อาลัมพายน์ ให้แก่พราหมณ์นั้น พราหมณ์เห็นทางจะเลี้ยงตนได้ จึงลา พระฤาษีไป เดินสาธยายมนต์ไปด้วย นาคที่ขึ้นมาเล่นน้ำ ได้ยินมนต์ก็ตกใจ นึกว่าครุฑมา ก็พากันหนีลงน้ำไปหมด ลืมดวงแก้วสารพักนึกเอาไว้บนฝั่ง พราหมณ์หยิบ ดวงแก้วนั้นไป ฝ่ายพรานเนสาทก็เที่ยวล่าสัตว์อยู่ เห็นพราหมณ์เดินถือ ดวงแก้วมา จำได้ว่าเหมือนดวงแก้วที่ภูริทัตต์ เคยให้ดู จึงออกปากขอ และบอกแก่พราหมณ์ว่า หากพราหมณ์ ต้องการอะไรก็จะหามาแลกเปลี่ยน พราหมณ์บอกว่าต้องการ รู้ที่อยู่ของนาค เพราะตนมีมนต์จับนาค พรานเนสาทจึงพา ไปบริเวณที่รู้ว่า ภูริทัตต์เคยรักษาศีลอยู่ เพราะความโลภ อยากได้ดวงแก้ว

    โสมทัตผู้เป็นลูกชาย เกิดความละอายใจที่บิดาไม่ซื่อสัตย์ คิดทำร้ายมิตร คือภูริทัตต์ จึงหลบหนีไป ระหว่างทาง เมื่อไปถึงที่ภูริทัตต์รักษาศีลอยู่ ภูริทัตต์ลืมตาขึ้นดูก็รู้ว่า พราหมณ์คิดทำร้ายตน แต่หากจะตอบโต้ ถ้าพราหมณ์เป็น อันตรายไป ศีลของตนก็จะขาด ภูริทัตต์ปรารถนาจะรักษาศีล ให้บริสุทธิ์จึงหลับตาเสีย ขดกายแน่นิ่งไม่เคลื่อนไหว พราหมณ์ก็ร่ายมนต์อาลัมพายน์ เข้าไปจับภูริทัตต์ไว้กด ศีรษะอ้า ปากออก เขย่าให้สำรอกอาหารออกมา และทำร้าย จนภูริทัตต์เจ็บปวดแทบสิ้นชีวิต แต่ก็มิได้โต้ตอบ พราหมณ์จับ ภูริทัตต์ใส่ย่ามตาข่าย แล้วนำไปออกแสดงให้ประชาชนดูเพื่อหาเงิน พราหมณ์บังคับให้ภูริทัตต์แสดงฤทธิ์ต่างๆ ให้เนรมิตตัวให้ ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ให้ขด ให้คลาย แผ่พังพาน ให้ทำสีกายเป็น สีต่างๆ พ่นไฟ พ่นควัน พ่นน้ำ ภูริทัตต์ก็ยอมทุกอย่าง ชาวบ้าน ที่มาดูเวทนาสงสาร จึงให้ ข้าวของเงินทอง พราหมณ์ก็ยิ่งโลภ พาภูริทัตต์ไปเที่ยวแสดง จนมาถึงเมืองพาราณสี จึงกราบทูล พระราชาว่าจะให้นาคแสดงฤทธิ์ถวายให้ทอดพระเนตร

    ขณะนั้นสมุทรชา ผิดสังเกตที่ภูริทัตต์หายไป ไม่มาเฝ้า จึงถามหา ในที่สุดก็ทราบว่า ภูริทัตต์หายไป พี่น้องของภูริทัตต์ จึงทูลว่าจะออกติดตาม สุทัศนะจะไปโลกมนุษย์ สุโภคะไป ป่าหิมพานต์ อริฏฐะไป เทวโลกส่วนนางอัจจิมุข ผู้เป็นน้องสาว ต่างแม่ของภูริทัตต์ของตามไปกับสุทัศนะพี่ชายใหญ่ด้วย เมื่อติดตามมาถึงเมืองพาราณสี สุทัศนะก็ได้ข่าวว่ามีนาค ถูกจับมาแสดงให้คนดู จึงตามไปจนถึงบริเวณที่แสดง ภูริทัตต์เห็นพี่ชาย จึงเลื้อยไข้าไปหาซบหัวร้องไห้อยู่ที่เท้า ของสุทัศนะแล้วจึงเลื้อยกลับไปเข้าที่ขัง ของตนตามเดิม พราหมณ์จึงบอกกับสุทัศนะว่า "ท่านไม่ต้องกลัว ถึงนาคจะ กัดท่านไม่ช้าก็จะหาย" สุทัศนะตอบว่า "เราไม่กลัวดอก นาคนี้ไม่มีพิษ ถึงกัดก็ไม่มีอันตราย" พราหมณ์หาว่าสุทัศนะ ดูหมิ่นว่าตน เอานาคไม่มีพิษมาแสดง จึงเกิดการโต้เถียงกันขึ้น สุทัศนะจึงท้าว่า "เขียดตัวน้อยของเรานั้นยังมีพิษมากกว่า นาคของท่านเสียอีก จะเอามาลองฤทธิ์กันดูก็ได้" พราหมณ์ กล่าวว่าหากจะให้สู้กัน ก็ต้องมีเดิมพันจึงจะสมควร สุทัศนะจึง ทูลขอพระราชาพาราณสีให้เป็นผู้ประกันให้ตน โดยกล่าวว่า พระราชาจะได้ทอด พระเนตรการต่อสู้ระหว่างนาคกับเขียด เป็นการตอบแทน พระราชาก็ทรงยอมตกลงประกันให้แก่ สุทัศนะ สุทัศนะเรียก นางอัจจิมุข ออกมาจากมวยผมให้คายพิษ ลงบนฝ่ามือ 3 หยด แล้วทูลว่า "พิษของเขียดน้อยนี้แรงนัก เพราะนางเป็นธิดาท้าวธตรฐ ราชาแห่งนาค หากพิษนี้หยดลง บนพื้นดิน พืชพันธุ์ไม้จะตายหมด หากโยนขึ้นไปในอากาศ ฝนจะไม่ตกไป 7 ปี ถ้าหยดลงในน้ำสัตว์น้ำจะตายหมด" พระราชาไม่ทราบจะทำอย่างไรดี สุทัศนะจึงทูลขอให้ ขุดบ่อ 3 บ่อบ่อแรกใส่ยาพิษ บ่อที่สองใส่โคมัย บ่อที่สามใส่ยาทิพย์ แล้วจึงหยดพิษลงในบ่อแรก ก็เกิดควันลุกจนเป็นเปลวไฟ ลามไปติดบ่อที่สองและสาม จนกระทั่งยาทิพย์ไหม้หมด ไฟจึงดับ พราหมณ์ตัวร้าย ซึ่งยืนอยู่ข้างบ่อ ถูกไอพิษจนผิวหนังลอก กลายเป็นขี้เรื้อน ด่างไปทั้งตัว จึงร้องขึ้นว่า "ข้าพเจ้ากลัวแล้ว ข้าพเจ้าจะ ปล่อยนาคนั้นให้เป็นอิสระ" ภูริทัตต์ได้ยินดังนั้น ก็เลื้อยออกมาจากที่ขัง เนรมิตกาย เป็นมนุษย์ พระราชาจึงตรัสถามความเป็นมา ภูริทัตต์จึงตอบว่า "ข้าพเจ้าและพี่น้องเป็นโอรสธิดาของท้าวธตรฐราชาแห่งนาคกับ นางสมุทรชา ข้าพเจ้ายอมถูกจับมา ยอมให้พราหมณ์ทำร้ายจน บอบช้ำ เพราะปราถนาจะรักษาศีล บัดนี้ข้าพเจ้าเป็น อิสระแล้ว จึงขอลากลับไปเมืองนาคตามเดิม" พระราชาทรงดีพระทัยเพราะทราบว่าภูริทัตต์เป็นโอรสของ นางสมุทรชา น้องสาวของพระองค์ที่บิดายกให้แก่ราชานาคไป จึงเล่าให้ภูริทัตต์และพี่น้องทราบว่า เมื่อนางสมุทรชาไปสู่ เมืองนาคแล้ว พระบิดาก็เสียพระทัย จึงสละราชสมบัติ ออกบวช พระองค์จึงได้ครองเมืองพาราณสีต่อมา

    พระราชาประสงค์จะให้ นางสมุทรชาและบรรดาโอรสได้ไป เฝ้าพระบิดา จะได้ทรงดีพระทัย สุทัศนะทูลพระราชาว่า "ข้าพเจ้าจะ กลับไปทูลให้พระมารดาทราบ ขอให้พระองค์ ไปรออยู่ที่อาศรมของพระอัยกาเถิด ข้าพเจ้าจะพา พระมารดาและพี่น้องตามไปภายหลัง" ทางฝ่ายพรานเนสาท ผู้ทำร้ายภูริทัตต์เพราะหวังดวงแก้ว สารพัดนึก เมื่อตอนที่พราหมณ์โยนดวงแก้วให้ นั้น รับไม่ทัน ดวงแก้วจึงตกลงบนพื้นและแทรกธรณีกลับไปสู่เมืองนาค พรานเนสาทจึงสูญเสียดวงแก้ว สูญเสียลูกชาย และเสียไมตรี กับภูริทัตต์ เที่ยวซัดเซพเนจรไป ครั้นได้ข่าวว่าพราหมณ์ผู้จับ นาคกลายเป็น โรคเรื้อนเพราะพิษนาค ก็ตกใจกลัว ปราถนา จะล้างบาป จึงไปยังริมน้ำยมุนา ประกาศว่า "ข้าพเจ้าได้ ทำร้ายมิตร คือ ภูริทัตต์ ข้าพเจ้าปราถนาจะล้างบาป" พรานกล่าวประกาศอยู่ หลายครั้ง เผอิญขณะนั้น สุโภคะกำลังเที่ยวตามหาภูริทัตต์อยู่ ได้ยินเข้าจึงโกรธแค้น เอาหางพันขาพราน ลากลงน้ำให้จมแล้ว ลากขึ้นมาบนดินไม่ให้ถึงตาย ทำอยู่เช่นนั้นหลายครั้งพราน จึงร้องถามว่า "นี่ตัวอะไรกัน ทำไมมาทำร้าย เราอยู่เช่นนี้ ทรมาณเราเล่นทำไม" สุโภคะตอบว่าตนเป็นลูกราชานาค พรานจึงรู้ว่าเป็นน้องภูริทัตต์ ก็อ้อนวอนขอให้ปล่อยและกล่าว แก่สุโภคะว่า "ท่านรู้หรือไม่ เราเป็นพราหมณ์ ท่านไม่ควร ฆ่าพราหมณ์ เพราะพราหมณ์เป็นผู้บูชาไฟ เป็นผู้ทรงเวทย์ และเลี้ยงชีพด้วยการขอ ท่านไม่ควรทำร้ายเรา" สุโภคะไม่ทราบจะตัดสินใจอย่างไร จึงพาพรานเนสาทลงไป เมืองนาค คิดจะไปขอถามความเห็นจากพี่น้อง เมื่อไปถึงประตู เมืองนาค ก็พบอริฏฐะนั่งรออยู่ อริฏฐะนั้นเป็นผู้เลื่อมใสพราหมณ์ ครั้นรู้ว่าพี่ชายจับพราหมณ์มา จึงกล่าวสรรเสริญคุณของพราหมณ์ สรรเสริญความยิ่งใหญ่แห่งพรหม และกล่าวว่าพราหมณ์เป็นบุคคล ที่ไม่สมควรจะถูกฆ่า ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ การฆ่าพราหมณ์ซึ่ง เป็นผู้บูชาไฟนั้นจะทำ ให้เกิดความเสียหายใหญ่หลวง สุโภคะกำลังลังเลใจ ไม่ทราบจะทำอย่างไร พอดีภูริทัตต์กลับมาถึง ได้ยินคำของอริฏฐะจึงคิดว่า อริฏฐะ นั้นเป็นผู้เลื่อมใสพราหมณ์ และการบูชายัญของพราหมณ์ จำเป็นที่จะต้องกล่าววาจาหักล้าง มิให้ผู้ใด คล้อยตามในทางที่ผิด

    ภูริทัตต์จึงกล่าวชี้แจงแสดง ความเป็นจริง และในที่สุดได้กล่าวว่า "การบูชาไฟนั้น หาได้เป็น การบูชาสูงสุดไม่ หากเป็นเช่นนั้น คนเผาถ่าน คนเผาศพ ก็สมควรจะได้รับยกย่องว่าเป็นผู้บูชา ไฟยิ่งกว่าพราหมณ์ หากการบูชาไฟเป็นสูงสุด การเผาบ้านเมืองก็คงได้บุญสูงสุด แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ หากการบูชายัญจะเป็นบุญสูงสุดจริง พราหมณ์ก็น่าจะเผาตนเองถวายเป็นเครื่องบูชา แต่พราหมณ์กลับ บูชาด้วยชีวิตของผู้อื่น เหตุใดจึงไม่เผาตนเองเล่า" อริฏฐะกล่าวว่า พรหมเป็นผู้ทรงคุณยิ่งใหญ่ เป็นผู้สร้างโลก ภูริทัตต์ตอบว่า "หากพรหมสร้างโลกจริง ไฉนจึงสร้างให้โลก มีความทุกข์ ทำไมไม่สร้างให้โลกมีแต่ความสุข ทำไมพรหม ไม่สร้างให้ทุกคนมีความ เท่าเทียมกัน เหตุใดจึงแบ่งคนเป็น ชั้นวรรณะ คนที่อยู่ในวรรณะต่ำ เช่น ศูทร จะไม่มีโอกาสมี ความสุข เท่าเทียมผู้อื่นได้เลย พราหมณ์ต่างหากที่พยายาม ยกย่องวรรณะของตนขึ้นสูง และเหยียดหยามผู้อื่นให้ต่ำกว่า โดยอ้างว่าพราหมณ์เป็นผู้รับใช้พรหม เช่นนี้จะถือว่าพราหมณ์ ทรงคุณยิ่งใหญ่ได้อย่างไร" ภูริทัตต์กล่าววาจาหักล้างอริฏฐะด้วยความเป็นจริง ซิ่งอริฏฐะ ไม่อาจโต้เถียงได้ ในที่สุดภูริทัตต์จึงสั่งให้ นำพรานเนสาทไปเสีย จากเมืองนาค แต่ไม่ให้ทำอันตรายอย่างใด จากนั้นภูริทัตต์ก็พา พี่น้องและนางสมุทรชาผู้เป็นมารดา กลับไปเมืองมนุษย์ เพื่อไป เฝ้าพระบิดา พระเชษฐาของนางที่รอคอยอยู่แล้ว เมื่อญาติพี่น้องทั้งหลายพากันแยกย้ายกลับบ้านเมือง ภูริทัตต์ขออยู่ที่ศาลากับพระอัยกา บำเพ็ญเพียร รักษาอุโบสถศีล ด้วยความสงบ ดังที่ได้เคยตั้งปณิธานไว้ว่า "ข้าพเจ้าจะมั่นคงในการ รักษาศีลให้บริสุทธิ์ จะไม่ให้ศีลต้องมัวหมอง ไม่ว่าจะต้องเผชิญความ ทุกข์ยากอย่างไร ข้าพเจ้าจะอดทน อดกลั้น ตั้งมั่นอยู่ ในศีลตลอดไป"



    คติธรรม : บำเพ็ญศีลบารมี

    "ความโลภนั้นเป็นสิ่งชั่วร้ายเช่นเดียวกับการเนรคุณ แต่ความอดทนย่อมประเสริฐยิ่งนักแล้ว"



    ----------------------------------------------
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    พระพุทธเจ้าสอนให้แบ่งเงินเป็น 4 ส่วนคือ

    1. ใช้หนี้เก่า

    2. ใช้หนี้ใหม่

    3. ฝังไว้

    4. ทิ้งเหว



    ใช้หนี้เก่า คือ ให้พ่อแม่ ท่านให้กำเนิดและเลี้ยงเรามา เราเป็นหนี้บุญคุณท่าน ต้องตอบแทน


    ใช้หนี้ใหม่ คือ ให้ลูก ลูกเป็นเจ้าหนี้ที่เราสร้างขึ้นมาทีหลัง เป็นเจ้าหนี้ใหม่ ที่เราต้องชดใช้


    ฝังไว้ คือ ทำบุญ เพื่อฝังไว้เป็นอริยะทรัพย์ สำหรับใช้ในการเดินทางไปใน สังสารวัฏ


    ทิ้งเหว คือ เที่ยวกินใช้ไป พระองค์ทรงเปรียบท้องคนเราเป็นเหวลึก กินเข้าไปเท่าไหร่ก็ไม่เคยเต็ม
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ''วิเคราะห์การให้ทานของพระเวสสันดร ในมิลินทปัญหา''

    -http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=1004&articlegroup_id=154-

    ดร.ประพันธ์ ศุภษร (2552)

    ๑.๑ ประเด็นปัญหาเรื่องการให้ทานของพระเวสสันดร
    พระเวสสันดรบำเพ็ญทานบารมีโดยบริจาคพระโอรสพระธิดา และพระชายา ให้แก่พราหมณ์ชูชกเพื่อนำไปเป็นทาสรับใช้ ในทางพระพุทธศาสนาถือว่าเป็นการให้ทานระดับกลางคือขั้นอุปทานบารมี ซึ่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลายนิยมกระทำและบัณฑิตก็สรรเสริญการกระทำเช่นนี้ เพราะผลของการกระทำอย่างนี้จะเป็นปัจจัยให้ได้สัมโพธิญาณซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อชาวโลกอย่างมหาศาล แต่ในทางสังคมของฆราวาสถือว่าเป็นสิ่งที่กระทำได้ยากอย่างยิ่ง และถูกมองว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เพราะนำความทุกข์มาให้บุตรธิดาและพระชายาของตน และขัดกับจริยธรรมในฐานะของบิดาที่ต้องดูแลบุตรธิดาและภรรยาให้มีความสุข
    ประเด็นดังกล่าวนี้พระยามิลินท์กษัตริย์แห่งโยนกได้ตั้งข้อสงสัยและถามพระนาคเสนเมื่อประมาณ ๒,๐๔๖ ปีมาแล้ว ข้อสงสัย ประเด็นคำถามและคำตอบของนักปราชญ์ทั้งสองได้ดำเนินไปอย่างดุเดือดชนิดที่ฝ่ายหนึ่งเอาเกียรติยศและศักดิ์ศรีของความเป็นพระราชามาเป็นเดิมพัน และอีกฝ่ายหนึ่งก็เอาความมั่นคงของพระพุทธศาสนาเป็นประกัน แม้ว่าเรื่องนี้จะผ่านมาแล้วสองพันกว่าปีก็ตาม แต่ยังดูเหมือนว่าคุกรุ่นอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้เนื่องจากว่าเป็นประเด็นเกี่ยวกับจริยธรรมซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงกับวิถีชีวิตมนุษย์ในสังคม โดยเฉพาะการทำหน้าที่ของบิดามารดาต่อบุตรธิดา สามีต่อภรรยาเพื่อแลกกับอุดมการณ์สูงสุดคือสัมโพธิญาณ โดยพระยามิลินท์สวมบทบาทของสังคมผู้ครองเรือน ส่วนพระนาคเสนสวมบทบาทตัวแทนทางศาสนาที่จะต้องตอบปัญหาให้กระจ่าง ไม่ทิ้งหลักพุทธธรรม และไม่สร้างปัญหาสังคมภายหลัง เพราะถ้าพระนาคเสนตอบปัญหานี้ผิดจากแนวพุทธศาสนา นั่นก็แสดงว่าปริยัติธรรมถูกท้าทายต่อการพิสูจน์จากกระแสสังคม จะส่งผลต่อการปฏิบัติศาสนา ปฏิเวธธรรมก็จะเปล่าประโยชน์ แต่เหตุการณ์นี้ได้ผ่านบทพิสูจน์ไปได้ด้วยดี วีรธรรมของนักปราชญ์ทั้งสองที่ได้ทำไว้ยังอยู่ในความทรงจำของชาวพุทธตลอดมา
    อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเรื่องนี้จะผ่านมานานแล้ว แต่ก็ยังมีชาวพุทธจำนวนมากที่ยังกังขาและตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลาว่าเป็นการกระทำไม่ถูกต้อง และเมื่อผนวกกับเรื่องสิทธิมนุษยชนแล้วยิ่งมีประเด็นให้ถกเถียงอีกมากมาย ผู้เขียนคิดว่าถ้าได้นำเรื่องนี้มาอภิปรายกันอีกครั้งหนึ่งในแง่วิชาการน่าจะเป็นประโยชน์ต่อสังคมและเป็นการปกป้องพระพุทธศาสนา ช่วยให้ชาวพุทธทั้งหลายได้มองเห็นคุณค่าของการให้ทานของพระเวสสันดร ตลอดจนวีรธรรมที่พระนาคเสนและพระยามิลินท์ได้กระทำไว้ซึ่งเป็นความพยายามอย่างยิ่งที่จะปกป้องพระพุทธศาสนาให้คงอยู่คู่โลกต่อไป
    การให้ทานถือว่าเป็นการบำเพ็ญบารมีอย่างหนึ่งในบรรดาบารมี ๑๐ อย่างในพระพุทธศาสนา พระโพธิสัตว์ทั้งหลายล้วนบำเพ็ญทานบารมีเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะบำเพ็ญบารมีอย่างอื่น เพราะทานบารมีเริ่มจากการสละสิ่งของภายนอกจนกระทั่งสละสิ่งของภายใน จากสิ่งของที่หยาบจนถึงขั้นละเอียดถึงขนาดสละได้แม้กระทั่งชีวิตของตน ทั้งนี้เพื่อให้บารมีสมบูรณ์และที่สำคัญเพื่อให้ได้มาซึ่งสัพพัญญุตญาณ อันเป็นเป้าหมายหลักของพระโพธิสัตว์นั่นเอง[๑]
    การให้ทานของคนทั่วไปนั้นถือเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ผู้ดำรงชีวิตอยู่ในสังคม เป็นการให้ทานที่สละได้ไม่ยากนักเพราะสิ่งของที่ให้ทานนั้นไม่ใหญ่โตและมีค่าน้อย แต่การให้ทานของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายโดยเฉพาะพระเวสสันดรที่ยอมสละพระชายา พระโอรสและพระธิดาเพื่อให้เป็นทาสแก่พราหมณ์ชูชกนั้นเป็นสิ่งที่กระทำได้ยากยิ่ง เพราะนอกจากจะสูญเสียสิ่งอันเป็นที่รักแล้ว พราหมณ์เฒ่ายังแสดงอำนาจบาทใหญ่เฆี่ยนตีพระโอรสและพระธิดาต่อหน้าต่อตาอย่างไร้ความปราณี ซึ่งสถานการณ์อย่างนี้ย่อมสร้างความเจ็บปวดรวดร้าวทางจิตใจของผู้เป็นบิดาอย่างมาก ถ้าเป็นสามัญชนคงกระทำได้ยากหรืออาจทำไม่ได้เลย แต่พระเวสสันดรได้ผ่านการทดสอบและพิสูจน์ถึงความมีพระทัยแน่วแน่มั่นคงในการให้ทานอย่างดีเยี่ยมจนประสบความสำเร็จมาแล้ว
    แม้ว่าการกระทำของพระเวสสันดรจะได้รับการยอมรับว่าเป็นการกระทำที่บัณฑิตสรรเสริญ เป็นแบบอย่างที่ดีในแง่ของศาสนาก็ตาม แต่ในทางสังคมของฆราวาสและสามัญสำนึกของบิดามารดาโดยทั่วไปแล้วกลับมองว่าเป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องเพราะนำความทุกข์มาให้บุตรธิดาซึ่งไม่รู้เห็นและไม่เข้าใจอุดมการณ์ของบิดา ยิ่งไปกว่านั้น บทบาทของพระเวสสันดรในฐานะบิดาที่ต้องดูแลบุตรธิดาให้มีความสุขและหน้าที่ในความเป็นสามีที่พึงปฏิบัติต่อภรรยาก็ถูกละเลยไป สายใยแห่งความสัมพันธ์ทางครอบครัวถูกตัดขาด ภาพลักษณ์ของสถาบันครอบครัวไม่มั่นคงขาดความอุ่นเช่นนี้แล้ว นักการศาสนาจะกล่าวได้อย่างไรว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องเหมาะสม เป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคมควรกระทำตาม
    เวสสันดรชาดกเป็นชาดกหนึ่งในทศชาติว่าด้วยการบำเพ็ญทานบารมีของพระเวสสันดร ซึ่งเป็นชาติสุดท้ายก่อนจะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ เนื้อความของเวสสันดรชาดก กล่าวถึงการบริจาคทานของพระเวสสันดร จนในที่สุดต้องถูกไล่ออกจากพระราชวังไปอยู่ป่าและในที่นั้นพระองค์ก็ได้พระโอรสและพระชายแก่พราหมณ์และพระอินทร์ที่มาขอ อันเป็นการบำเพ็ญทานที่ทำได้ยากยิ่ง และเป็นที่มาของคติโพธิสัตว์ที่ว่า ถ้าหากจะบำเพ็ญเพียรเพื่อความเป็นพระโพธิสัตว์ต้องสามารถสละได้ทุกสิ่งโดยไม่เว้นแม้กระทั้งชีวิตของตนเองก็ให้ได้
    เวสสันดรชาดก มีอิทธิพลต่อสังคมไทยแทบทุกภาคของเมืองไทย จะเห็นได้จากการนิยมนำเอาเรื่องพระเวสสันดรมาเทศน์และเรียกชื่อว่า เทศน์มหาชาติบ้าง เทศน์ผเวสบ้าง ตามแต่ละท้องถิ่น มีคตินิยมอย่างหนึ่งว่า ถ้าหากใครได้ฟังการเทศน์เรื่องพระเวสสันดรชาดกจบได้ภายในวันเดียวจะมีผลานิสงส์มากมาย
    พระมหาสง่า ไชยวงศ์ กล่าวถึงอิทธิพลของพระเวสสันดรชาดกต่อสังคมไทยและการให้ทานตามคติแห่งพระเวสสันดร ว่า
    ในช่วงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีการสอนเรื่องการสร้างบุญกุศลในทางศาสนาที่ได้บุญมาก คือการบริจาคทาน… การทำทานในสังคมไทย ส่วนหนึ่งมาจากการสอนเรื่องชาดกในพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นเรื่องการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ ชาดกได้เข้ามามีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของคนไทยมาหลายยุค หลายสมัย นับแต่ผู้นำประเทศจนถึงชาวบ้านธรรมดา เพราะเป็นเรื่องที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ และมีตัวอย่างให้เป็นเป็นรูปธรรมอย่างชัดเจน เช่น ภาพสลักต่างๆ หรือภาพปั้นโบราณที่เล่าเรื่องราว ซึ่งนักโบราณคดีได้สันนิษฐานจากลักษณะทางประติมาณวิทยาว่า เป็นชาดกในพระพุทธศาสนา
    จริยธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของเรื่อง (เวสสันดรชาดก) อยู่ที่เน้นให้เห็นอานุภาพของความเสียสละ ไม่เห็นแก่ตัว ปลูกฝังนิสัยเรื่องความเมตตากรุณาต่อกัน เห็นใจกัน ผู้รับฟังก็จะมีนิสัยโน้มเอียงไปทางพระเวสสันดร เพราะต้องการเอาอย่าง เมื่อเป็นเช่นนี้ ความโลภ ความเห็นแก่ตัวก็จะน้อยลง รักที่จะเสียสละเอื้อเฟื้อกัน มีการปลูกฝังให้เห็นภาพ และปรารถนาสังคมในอุดมคติอย่างในสมัยพระอริยเมตไตรย์ โดยใช้การสร้างแรงจูงใจว่า แม้ไม่ได้ทำทาน แต่ใครก็ตามที่ตังใจฟังธรรมเวสสันดร ตั้งแต่ต้นจนจบ ๑๓ กัณฑ์ก็สามารถปรารถนาพระนิพพาน หรือไปเกิดในสมัยพระศรีอริยเมตไตรย์ได้เช่นกัน[๒]
    นอกจากจริยธรรมที่ปรากฏในพระเวสสันดรชาดก ซึ่งเน้นที่ความเสียสละเพื่อประโยชน์แก่ส่วนรวม คนไทยยังได้นำหลักจริยธรรมเหล่านี้มาปฏิบัติและจากลักษณะของความเป็นคนใจบุญสุนทานนี่เอง เชื่อว่า พระเวสสันดรชาดกน่าจะมีอิทธิพลต่อลักษณะนิสัยในความเป็นผู้มักให้ทานและความเป็นผู้มีใจโอบอ้อมอารี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ซึ่งในเรื่องนี้ พระมหาบุญทัน อานนฺโท กล่าวว่า
    ๑. เวสสันดรชาดกเป็นพระพุทธวจนะที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระภิกษุสงฆ์พุทธบริษัท ณ นิโครธาราม ในกรุงกบิลพัสดุ์ และเมื่อผู้ใดได้สดับก็ย่อมเกิดสิริสวัสดิมงคล เป็นกุศลบุญราศี
    ๒. บุคคลสดับเวสสันดรชาดกอันประดับด้วยพระคาถาหนึ่งพัน ในวันและราตรีเดียวให้จบและให้บูชาด้วยประทีป ธูป เทียน ธงฉัตร สารพัดดอกไม้ ดอกบัว ดอกผักตบ เป็นต้น ให้ครบจำนวนถ้วนสิ่งละพัน ด้วยอานิสงส์นั้นจะชักนำให้สมมโนรถตามปรารถนา ผู้มั่งมุ่งหมายใครจะพบศาสนาพระศรีอริยเมตไตรย[๓]
    อิทธิพลของความเชื่อเกี่ยวกับการบำเพ็ญทานบารมี สืบเนื่องจากสุโขทัยจนถึงอยุธยาและรัตนโกสินทร์ คตินิยมการทำบุญตามพระเวสสันดรโพธิสัตว์ก็ยังคงอยู่เสมอ และการฟังเทศน์มหาชาติไม่ได้จำกัดอยู่แค่ประชาชนเท่านั้น แม้องค์พระมหากษัตริย์ก็มีพิธีเทศน์ตามพิธีหลวง และนอกจากนั้น ยังมีพระมหากษัตริย์บางพระองค์ถือคติตามพระเวสสันดรโพธิสัตว์และได้ถวายทานดุจว่าบำเพ็ญบารมีเพื่อโพธิญาณ
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ''วิเคราะห์การให้ทานของพระเวสสันดร ในมิลินทปัญหา''

    -http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=1004&articlegroup_id=154-

    ดร.ประพันธ์ ศุภษร (2552)

    เพื่อความเข้าใจถูกต้องร่วมกันและเป็นประโยชน์ทางด้านการศึกษาของชาวพุทธ ผู้เขียนจึงได้ศึกษาวิเคราะห์เรื่องนี้โดยได้ตั้งวัตถุประสงค์ในการศึกษา ดังนี้
    ๑.๒ วัตถุประสงค์ในการศึกษา การวิเคราะห์ประเด็นเรื่องการให้ทานของพระเวสสันดรครั้งนี้ เพื่อศึกษาเกณฑ์ตัดสินด้านพุทธจริยศาสตร์เกี่ยวกับการให้ทานของพระเวสสันดรว่าถูกต้องเหมาะสมหรือไม่
    ๑.๓ ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ ผู้เขียนได้ตั้งความคาดหวังจากงานวิเคราะห์ครั้งนี้ โดยหวังว่าจะเกิดประโยชน์ คือ ทำให้ทราบเกณฑ์ตัดสินด้านพุทธจริยศาสตร์เกี่ยวกับการให้ทานของพระเวสสันดรว่าถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ อันจะนำไปสู่การประยุกต์ใช้ในสังคมต่อไป
    ๑.๔ วิธีการดำเนินการวิจัย งานวิจัยนี้มีกรอบการศึกษาวิจัยเฉพาะเชิงเอกสาร(Documentary Research) โดยศึกษาค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับการให้ทานจากเอกสารข้อมูลขั้นปฐมภูมิ(Primary Sources)ได้แก่คัมภีร์สำคัญของพระพุทธศาสนาคือพระวินัยปิฎก(Vinaya Pitaka) พระสุตตันตปิฎก(Suttanta Pitaka) และพระอภิธรรมปิฎก และศึกษาค้นคว้าข้อมูล แนวการอธิบายพุทธจริยศาสตร์เกี่ยวกับการให้ทาน และประเด็นที่เกี่ยวข้องอื่นๆ จากเอกสารขั้นทุติยภูมิ(Secondary Sources) ได้แก่ คัมภีร์อรรถกถา เอกสารงานวิจัย วิทยานิพนธ์ หนังสือ ตำราและผลงานทางวิชาการของนักการศาสนาและนักวิชาการทั่วไปทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ อันเป็นวรรณกรรมที่มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับงานวิจัยฉบับนี้
    หลังจากค้นคว้าข้อมูลได้แล้วก็จะเก็บรวบรวมและจัดลำดับข้อมูลจากที่ได้ศึกษาค้นคว้า นำข้อมูลที่ได้มาศึกษาวิเคราะห์ในเชิงสังคมศาสตร์ พิสูจน์ทดสอบตามที่ได้ตั้งสมมติฐานเอาไว้ สุดท้ายก็จะได้สรุปผลการวิเคราะห์วิจัยและนำเสนอข้อมูลจากเอกสารที่ได้ศึกษาค้นคว้าต่อไป
    อนึ่ง งานวิจัยนี้เนื่องจากจำกัดด้วยเรื่องเวลาจึงอาจมีข้อบกพร่องอยู่มาก ผู้วิจัยจึงขอน้อมรับคำติชมจากครูอาจารย์ผู้เป็นปราชญ์ทั้งหลายได้กรุณาชี้แนะในส่วนที่บกพร่อง เพื่อจะได้นำไปปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ต่อไป






    ส่วนที่ ๒. หลักคำสอนเรื่องทานในพระพุทธศาสนา


    ๒.๑ หลักคำสอน ๒ ระดับ



    พระพุทธศาสนามีหลักคำสอนที่มุ่งให้มนุษย์พึงปฏิบัติเพื่อความสุขแก่ตนเองและผู้อื่น ตามแนวทางแห่งอริยมรรคซึ่งเป็นหนทางสายเดียวเพื่อการเข้าถึงเป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพานอันเป็นบรมสุข และเป็นอุดมคติของชีวิตตามหลักพุทธธรรม โดยแบ่งคำสอนออกเป็น ๒ ประเภท คือ
    ๑) คำสอนแนวสัจธรรมสำหรับสอนกลุ่มอนาคาริก
    ๒) คำสอนแนวศีลธรรมสำหรับสอนกลุ่มอาคาริก
    ๑. คำสอนแนวสัจธรรม พระพุทธองค์ทรงสอนกลุ่มที่เป็นอนาคาริก เช่นพระปัญจวัคคีย์ด้วยการให้หลีกจากการทรมานตน และการเติมกามสุขให้แก่ชีวิตจนเกิดความมัวเมา แล้วสอนให้ปฏิบัติตามมัชฌิมาปฏิปทาคือทางเดินชีวิตอันประเสริฐเพื่อความพ้นทุกข์อันประกอบด้วยสัมมาทิฏฐิเป็นต้น[๔]
    ๒. คำสอนแนวศีลธรรม พระองค์ทรงสอนกลุ่มอาคาริกคือชนผู้ครองเรือน โดยปรับระดับคำสอนจากแนวสัจจธรรมซึ่งเป็นนามธรรมมาเป็นรูปธรรม โดยทรงสอนอนุปุพพิกถาแก่ยสกุลบุตร บิดามารดาและภรรยาของเขา ตลอดทั้งเพื่อน ๕๔ คน จนกระทั่งท่านเหล่านั้นได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ เนื้อหาในอนุปุพพีกถาได้กล่าวถึงทาน ศีล สวรรค์ โทษของกาม และอานิสงส์ของการออกบวช ทั้งนี้เพื่อเป็นการฟอกจิตของผู้ที่เคยครองเรือนให้สามารถขจัดความห่วงใยเรื่องทรัพย์สินก่อน จากนั้นจึงสอนเรื่องศีล สวรรค์ โทษของกามและการออกกจากกามเป็นลำดับไป แม้ในที่แห่งอื่นพระองค์ก็ทรงสอนในลักษณะเดียวกัน[๕] ดังเช่นในบุญกิริยาวัตถุสูตร พระพุทธองค์ก็ได้ตรัสสอนเรื่องทานมัย ศีลมัย และภาวนามัย[๖]
    คำสอนทั้งสองแนวดังกล่าวนี้พระพุทธองค์ทรงปรับประยุกต์ให้เข้ากับจริตของบุคคล เข้ากับปัญหาชีวิตของเขาจึงจะแก้ปัญหาชีวิตของเขาได้ เปรียบเหมือนนายแพทย์ผู้รักษาคนไข้รู้จักโรคของคนไข้แล้วเยียวยา อาการป่วยจึงจะหาย
    ๒.๒ ความหมายและคำสอนเรื่องทาน ที่ปรากฏในพระไตรปิฎก อรรถกถา
    คำว่า ทาน หมายถึงการให้ การเสียสละวัตถุสิ่งของ ๆ ตนเพื่อประโยชน์แก่คนอื่น เป็นการให้ที่ประกอบด้วยเจตนาดี การให้ปัจจัย ๔ เพื่อประโยชน์แก่การดำเนินชีวิต การให้พระสงฆ์เพื่อต้องการบุญและบำรุงศาสนา ความหมายของทานครอบคลุมทั้งผู้ให้ ผู้รับ และสิ่งของที่ให้ทุกอย่าง และทานก็รวมอยู่ในคำสอนแนวศีลธรรม
    คำสอนแนวศีลธรรมซึ่งมีความสำคัญต่อบุคคลทั้งในระดับปัจเจกและสังคม โดยพระองค์ตรัสว่า “คนผู้หวังประโยชน์ควรศึกษาบุญนี้ที่ให้ผลอันเลิศ อำนวยความสุขให้ คือ ควรบำเพ็ญทาน ควรประพฤติธรรมเสมอต้นเสมอปลาย (ธรรมจริยสมจริยา) ควรเจริญเมตตาภาวนา บัณฑิตครั้นเจริญธรรม ๓ ประการนี้ที่เป็นเหตุให้เกิดความสุขแล้ว ย่อมเข้าถึงโลกที่เป็นสุข ที่ไม่มีการเบียดเบียน[๗] ทานมีความสัมพันธ์โดยความเป็นธรรมที่มีอุปการะแก่กันระหว่างศีลและภาวนา มีคำแสดงลำดับความสัมพันธ์ของทาน ศีล และภาวนาไว้ว่า ทานมีอุปการะมากแก่ศีลและทำได้ง่าย เพราะฉะนั้นทานจึงเป็นเบื้องต้นแห่งศีล ทานอันศีลกำหนด จึงมีผลมาก มีอานิสงส์มาก ดังนั้น ศีลจึงอยู่ในลำดับต่อจากทาน
    นี้แสดงให้เห็นว่าทานเป็นการทำบุญที่สำคัญประการแรกสำหรับคฤหัสถ์ ทั้งนี้เนื่องจากคฤหัสถ์ยังต้องดำรงชีวิตอยู่ในสังคมและอาศัยปัจจัย ๔ เป็นเครื่องเลี้ยงชีวิต ปัจจัยเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการมีชีวิต เมื่อทุกคนต้องการปัจจัย ๔ เพื่อการดำรงชีวิตเช่นเดียวกัน การขวนขวายเพื่อการได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องกระทำอยู่เสมอ เพราะเมื่อชีวิตยังดำเนินไปตราบใด ความจำเป็นที่จะใช้ปัจจัยเหล่านี้ก็ยังมีอยู่ตราบนั้น เมื่อเงื่อนไขของการมีชีวิตขึ้นอยู่กับความต้องการทางวัตถุ การแสวงหาความมั่นคงแก่ชีวิตเพื่อชีวิตที่ดี มีความสุขสบายตลอดไปจึงเป็นอุดมคติของการมีชีวิตในปัจจุบันชาติ ซึ่งกรณีนี้เห็นได้ชัดเจนในสังคมที่ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลกระแสวัตถุนิยมดังเช่นในปัจจุบัน
    มองในระดับสังคม ทานเป็นกลไกลควบคุมสังคมให้ดำเนินไปด้วยความสงบเรียบร้อย ส่วนในระดับปัจเจกบุคคล ทานนอกจากจะเป็นข้อปฏิบัติทางกาย วาจาแล้ว ยังส่งผลถึงสภาวะแห่งจิตใจของผู้ให้ทาน กล่าวคือผู้ให้ย่อมได้รับความสุข ความอิ่มเอิบ ความสบายใจ ขจัดความตระหนี่ ความเห็นแก่ตัว ความอิจฉาริษยา และความโลภในทรัพย์สินของผู้อื่น เมื่อหมั่นให้ทานเป็นนิตย์ สิ่งเหล่านี้จะถูกขจัดออกไปและในที่สุดก็จะเป็นผู้ยินดีในการให้ มีสีหน้าและผิวพรรณผ่องใสดังที่เรียกว่าอิ่มบุญ การให้ทานจึงเป็นการพัฒนาจิตใจส่วนปัจเจกบุคคลให้เบาบางจากอกุศลธรรมทั้งหลาย และเป็นทางเพื่อการปฏิบัติบุญกิริยาขั้นอื่น ๆ ต่อไป
    นอกจากนี้ ทานยังมีความสำคัญและเป็นหลักธรรมประการแรกในหลักคำสอนอื่นๆ ทั้งนี้ เพื่อการขัดเกลาและบรรเทาความตระหนี่ ความยึดติดในวัตถุ ความโลภ ความโกรธ และความหลงอันเป็นกิเลสอย่างหยาบให้เบาบางก่อนจะปฏิบัติธรรมในระดับอื่น ๆ เช่น บุญกิริยาวัตถุ ๓[๘] ซึ่งประกอบด้วยทานมัยเป็นอันดับแรก จากนั้นจึงเป็นเรื่องของศีลและภาวนาต่อไปจนถึงทิฏฐุชุกรรม สังคหวัตถุ ๔ ก็เริ่มจากทาน จากนั้นจึงเป็นความเป็นผู้มีวาจาน่ารัก การประพฤติสิ่งที่เป็นประโยชน์และความเป็นผู้มีตนสม่ำเสมอ[๙] อนุปุพพีกถา ก็ประกอบด้วย ทานกถา สีลกถา สัคคกถา กามาทีนวกถา เนกขัมมานิสังสกถา ธรรมหมวดนี้ พระพุทธองค์ทรงแสดงแก่คฤหัสถ์เป็นประการแรก ก่อนจะแสดงหลักธรรมประการอื่น ๆ เหตุผลก็คือเพื่อเป็นการปูพื้นฐานจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมที่ง่ายที่สุดไปสู่สิ่งที่เป็นนามธรรมยากขึ้นไปตามลำดับ มีข้อความกล่าวไว้ในอัมพัฏฐสูตรดังนี้ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแสดงอนุปุพพิกถาแก่พราหมณ์โปกขรสาติ ครั้นแสดงจบแล้วทรงทราบว่ามีจิตคล่อง มีจิตอ่อน มีจิตปราศจากนิวรณ์ มีจิตสูง มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค จนกระทั่งพราหมณ์ได้ดวงตาเห็นธรรมอันปราศจากธุลี ปราศจากมลทินได้เกิดขึ้นแล้วแก่พราหมณ์โปกขรสาติว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลล้วนมีความดับไปเป็นธรรมดา ณ ที่นั่งนั้นแล เหมือนผ้าที่สะอาดปราศจากมลทิน ควรที่จะรับน้ำย้อมเป็นอย่างดี ฉะนั้น[๑๐] แม้ในบารมี ๑๐ ก็ประกอบด้วยทานบารมีเป็นข้อแรก จากนั้นจึงเป็น ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตาและ อุเบกขาบารมี
    ในอรรถกถาแห่งขุททกนิกาย จริยาปิฎกกล่าวถึงลักษณะของทานในประการอื่นๆ โดยลักษณะแห่งการบำเพ็ญบารมีไว้ว่า ทานจะชื่อว่าบริสุทธิ์ผ่องแผ้วเพราะปราศจากความกำหนดไทยธรรมและปฏิคาหกเป็นต้น อันกิเลสทั้งหลาย มีตัณหา มานะ ทิฏฐิ เป็นต้น ไม่เข้าไปกระทบ และกล่าวว่าสิ่งที่เป็นปฏิปักข์ต่อการให้ทานคือความตระหนี่ ความโลภ ความโกรธ ความหลง เพราะทานประกอบด้วยคุณคืออโลภะ อโทสะ อโมหะ ในไทยธรรม ปฏิคาหกและผลของทาน ส่วนข้อปฏิบัติของการให้ทาน คือการทำความอนุเคราะห์สัตว์ทั้งหลายโดยส่วนมาก ด้วยการสละเครื่องอุปกรณ์ความสุข ร่างกายและชีวิต ด้วยการกำจัดภัย และการชี้แจงธรรม[๑๑]
    กล่าวโดยสรุป การให้ทานเป็นการบำเพ็ญบุญหรือการทำความดีสำหรับคฤหัสถ์หรือผู้ครองเรือนประการหนึ่ง ตามหลักบุญกิริยาวัตถุ ทายกผู้ต้องการบำเพ็ญบุญต้องเริ่มจากการให้ทาน เพื่อดำเนินไปสู่ศีล และภาวนาในที่สุด การให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญภาวนาตามหลักบุญกิริยาวัตถุจึงเป็นการพัฒนาจิตใจอย่างเป็นขั้นตอน มีความสัมพันธ์สืบเนื่องกันจากระดับที่บุคคลสามารถทำได้โดยง่าย ไปถึงระดับที่ต้องอาศัยความเพียรอย่างแรงกล้า บุคคลผู้สามารถเจริญสมาธิภาวนาจนใจสงบแน่วแน่ควรแก่การงานนั้น จิตใจของบุคคลนั้น ต้องได้รับการฝึกฝนในขั้นการให้ทาน และการรักษาศีลเพื่อขจัดความโลภ ความโกรธ และความหลงอันเป็นรากเหง้าของอกุศลมาเป็นอย่างดี ซึ่งถ้าบุคคลไม่สามารถชำระศีลอันเป็นการบำเพ็ญเพียรทางกายให้บริสุทธิ์ ก็ไม่อาจจะยังสมาธิภาวนาให้เกิดและไม่อาจจะบรรลุฌาน วิปัสสนา (ญาณ) มรรคและผลใด ๆ ได้
    ทานในระดับปัจเจกบุคคล จึงเป็นไปเพื่อขจัดความโลภ ความโกรธ และความหลงอันเป็นเหตุเกิดแห่งอกุศลมูล ส่วนทานในระดับสังคม เป็นหลักปฏิบัติการฝึกจิตใจให้มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ รู้จักการแบ่งปัน ไม่แก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น ไม่ก่อให้เกิดการทะเลาะวิวาท เป็นเหตุสร้างความบาดหมางให้แก่คนในสังคม เมื่อทุกคนรู้จักการให้แก่ผู้อื่น ผู้ให้ย่อมเป็นที่รัก และทุกคนจะรู้สึกถึงความปลอดภัยในชีวิต การงาน และการใช้ชีวิตที่ไม่ต้องหวาดระแวง ย่อมนำมาซึ่งความสุขทั้งต่อตนเองและสังคม นอกจากทานในระดับสังคมหรือประโยชน์ต่อผู้อื่นแล้ว ในระดับที่สูงขึ้นไป สำหรับผู้ที่มีความเสียสละเพื่อสังคมอย่างยอดเยี่ยม ทานยังเป็นคุณธรรมสำหรับการสร้างบารมีเพื่อการบรรลุคุณธรรมในระดับที่สูงขึ้นไป ดังเช่น ทานอุปบารมีที่พระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญมาเมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นพระเวสสันดร ได้ทรงให้พระนางมัทรีผู้เป็นมเหสี กัณหา และชาลีบุตรธิดาเป็นทานแก่ชูชก ซึ่งเป็นทานที่กระทำได้ยากยิ่ง ทานจึงมีความสำคัญทั้งในระดับปัจเจกบุคคล และในระดับสังคม
    ๒.๓ ประเภทของทาน
    ประเภทของทานตามหลักพระพุทธศาสนาอาจแบ่งได้ ๔ ประเภท คือ
    ๒.๓.๑ ประเภทที่จัดตามปฏิคาหก มี ๒ ได้แก่
    ๑) ปาฏิปุคคลิกทาน การให้ทานเจาะจงผู้รับ
    ๒) สังฆทาน การให้ทานแก่สงฆ์ มุ่งที่หมู่คณะ
    ๒.๓.๒ ประเภทที่จัดตามสิ่งของที่ให้ทาน มี ๓ ได้แก่
    ๑) อามิสทาน การให้ทานด้วยสิ่งของ
    ๒) ธรรมทาน การให้ทานด้วยการแนะนำศิลปวิทยา รวมถึงให้ธรรมเป็นทาน
    ๓) อภัยทาน การให้ทานโดยการให้อภัย
    ๒.๓.๓ ประเภทที่จัดตามเป้าหมายในการให้ทาน มี ๒ ได้แก่
    ๑) วัฏฏทาน หรือวัฏฏคามีทาน การให้ทานที่ปรารถนามนุษย์สมบัติและสวรรค์สมบัติ
    ๒) วิวัฏฏทาน หรือวิวัฏฏคามีทาน การให้ทานที่ปรารถนาออกจากทุกข์ในสังสารวัฏ
    ๒.๓.๔ ประเภทที่จัดตามลักษณะและวิธีการให้ทาน มี ๓ ได้แก่
    ๑) ทานทาส การให้ทานโดยที่ผู้ให้ยังเป็นถูกกิเลสครอบงำ และให้ในสิ่งที่เลวแก่คนอื่น
    ๒) ทานสหาย การให้ทานที่เสมอกับสิ่งที่ตนมี
    ๓) ทานบดี การให้ทานที่ประณีตกว่าสิ่งที่ตนมี
    กล่าวโดยสรุป ทานประเภทแรกมุ่งถึงบุคคลผู้จะรับทานโดยมีขอบเขตกว้างแคบต่างกัน ประเภทที่สองมุ่งกล่าวถึงสิ่งของที่จะให้ทานซึ่งมีทั้งให้วัตถุและให้ธรรม ประเภทที่สามมุ่งถึงเป้าหมายของการให้ทาน ส่วนประเภทที่สี่มุ่งถึงบุคคลผู้ให้ทานโดยจัดตามสภาพของจิตใจที่ยังมีกิเลสมากน้อยต่างกัน มองโดยสรุปก็มีเพียงสามประเภทเท่านั้น คือผู้ให้ทาน ผู้รับทาน วัตถุทาน ส่วนเป้าหมายทานนั้นขึ้นอยู่กับผู้ให้ทานเป็นสำคัญ เพราะกระบวนการให้ทานบุคคลผู้ให้ย่อมแสดงบทบาทสำคัญกว่าองค์ประกอบอย่างอื่น ในที่นี้จะไม่ขอกล่าวรายละเอียด เพราะจะทำให้ประเด็นกว้างเกินไป ผู้เขียนจึงงดการอธิบายประเภทของทานไว้เพียงเท่านี้ก่อน ผู้สนใจรายละเอียดเอียดเกี่ยวกับประเภทของของทานโปรดศึกษาได้จากในทักขิณาวิภังคสูตร [๑๒] ศึกษาความหมายของทานและประเภทของทานในคัมภีร์มังคลัตถทีป[๑๓] ในทุติยทานสูตร[๑๔] ในทานสูตร[๑๕] คัมภีร์ปรมัตถทีปนี อรรถกถาแห่งขุททกนิกาย จริยาปิฎก[๑๖] ขุททกนิกาย ธรรมบท[๑๗]ในทานวรรคแห่งอังคุตตรนิกาย”[๑๘] ศึกษาอภัยทานในอรรถกถาแห่งขุททกนิกาย จริยาปิฎก[๑๙]
    ๒.๔ องค์ประกอบของทาน
    โดยทั่วไป องค์ประกอบของทาน มี ๓ ส่วนคือ ผู้ให้ทาน ผู้รับทาน และวัตถุทาน โดยเรียกตามภาษาพระว่า ทายก คือ ผู้ให้ทาน ๒) ปฏิคาหก คือ ผู้รับทาน ๓) ไทยธรรรม คือ วัตถุที่ให้ทาน[๒๐] หากขาดส่วนใดส่วนหนึ่งการให้ทานย่อมไม่ครบองค์ประกอบ และการวินิจฉัยคุณค่าของทานยึดเอาองค์ประกอบหลักทั้ง ๓ เหล่านี้เป็นเกณฑ์
    ๒.๔.๑ องค์ประกอบของทายก มี ๓ ประการคือ
    ๑. บุพพเจตนา หมายถึงทายกย่อมเป็นผู้ยินดี ก่อนที่จะให้ทานล่วงหน้า ๑ เดือนหรือ ๑๕ วัน ว่า เราจักให้ทาน เจตนาในส่วนนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เกิดความคิดเช่นนี้ จนถึงขณะจัดแจงเครื่องอุปกรณ์สำหรับให้ทานก่อนมุญจนเจตนา ทายกย่อมมีจิตยินดีในขณะนั้นว่า เราจักฝังขุมทรัพย์อันเป็นเหตุแห่งสมบัติที่สามารถจะติดตามเราไปได้
    ๒. มุญจนเจตนา หมายถึง ขณะที่ให้ทาน ย่อมมีใจยินดีในทานที่ตนกำลังให้นั้น เจตนาในขณะกำลังให้นี้ เกิดขึ้นเมื่อทายกบรรจงวางไทยธรรมในมือของทักขิไณยบุคคล ทำจิตให้เลื่อมใสว่า เรากำลังทำการถือเอาสิ่งที่เป็นแก่นสาร มีสาระจากทรัพย์ที่ไม่มีสาระไม่มีแก่นสาร
    ๓. อปราปรเจตนา หมายถึงหลังจากให้ทานแล้ว ทายกย่อมยินดีเสมอ ๆ เมื่อระลึกถึงทานที่ตนได้ให้แล้ว เจตนาในส่วนนี้ เกิดขึ้นหลังจากทายกบริจาคไทยธรรมแก่ทักขิไณยบุคคลแล้ว มีจิตใจชื่นบาน เกิดปีติโสมนัสว่า ทานที่ชื่อว่าบัณฑิตบัญญัติไว้ เราก็ได้ปฏิบัติตามแล้ว ทานของเราสำเร็จประโยชน์ด้วยดีแล้ว
    สิ่งสำคัญประการหนึ่งก็คือ เจตนาทั้ง ๓ ประการนี้ จะบริบูรณ์ครบองค์ได้เมื่อทายกนั้นประกอบด้วยสัมมาทิฏฐิ มีความเชื่อในกรรมและผลของกรรม คือเชื่อว่าทานเป็นความดี พระพุทธเจ้าเป็นต้นทรงบัญญัติไว้ ทานที่ทำแล้วมีผล บุญกรรมที่บุคคลบำเพ็ญแล้วย่อมมีผล
    ๒.๔.๒ องค์ประกอบของปฏิคาหก มี ๓ ประการคือ
    ๑. เป็นผู้ปราศราคะหรือเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อกำจัดราคะ
    ๒. เป็นผู้ปราศโทสะหรือเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อกำจัดโทสะ
    ๓. เป็นผู้ปราศโมหะหรือเป็นผู้ปฏิบัติเพื่อกำจัดโมหะ
    องค์ของปฏิคาหกทั้ง ๓ ประการนี้ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะพระอรหันต์เท่านั้นว่าเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยองค์ของปฏิคาหก แม้ทานที่ถวายแก่พระอนาคามี พระสกทาคามี พระโสดาบัน กระทั่งสามเณรผู้รับใช้ ถึงบวชในวันนั้น ก็ชื่อว่า บวชเพื่อโสดาปัตติมรรค ฉะนั้น ทานที่ถวายแก่สามเณรก็ถือได้ว่าถวายแก่ท่านผู้ปฏิบัติเพื่อกำจัดราคะ โทสะ โมหะเช่นกัน ทานที่ประกอบด้วยองค์ ๖ คือ องค์ของทายก ๓ และปฏิคาหก ๓ เหล่านี้นับว่ามีผลมาก มีอานิสงส์มาก
    ๒.๔.๓ องค์ประกอบของวัตถุทาน มี ๓ คือ
    ๑) เป็นของสะอาด ได้มาโดยบริสุทธิ์
    ๒) เป็นของประณีต
    ๓) เป็นของที่เหมาะสม สมควรแก่ผู้รับ
    สิ่งที่ควรเน้นเป็นพิเศษในที่นี้คือ จาคเจตนา คือเจตนาเป็นเหตุให้บริจาคทาน บุคคลเมื่อจะให้ทานต้องประกอบด้วยเจตนาที่มีศรัทธา มีหิริจึงให้ทาน และทานที่ให้นั้นเป็นทานที่ไม่มีโทษ จาคเจตนาเหล่านี้จึงเรียกว่าเป็นทาน เจตนาเป็นเหตุบริจาคทานแก่ผู้อื่น ซึ่งมีปัญญาเครื่องรู้ดีเป็นเบื้องหน้า ประกอบด้วยวัตถุ ๑๐ มี ข้าวเป็นต้นชื่อว่าทาน หรือความไม่โลภ ที่ประกอบด้วยเจตนาเป็นเหตุให้บริจาคทานนั้น ก็เรียกว่า ทานเช่นกัน [๒๑] ทานที่ทายกเป็นผู้มีสัมมาทิฏฐิ คือเป็นผู้มีความเชื่อว่า ทานที่ทายกให้แล้วย่อมมีผล ทานเป็นความดี ท่านผู้รู้มีพระพุทธเจ้าเป็นต้น สรรเสริญไว้และบัญญัติไว้แล้ว ทานในส่วนนี้ จึงหมายเอาเจตนาเป็นเหตุให้คนบริจาคทาน ซึ่งเป็นไปทางใจ (เจตสิกทาน) ลักษณะของทานที่มุ่งเจตนาเป็นหลักนี้ เป็นเกณฑ์หลักสำหรับตัดสินค่าทางจริยะของทานประการหนึ่ง ซึ่งจะกล่าวโดยละเอียดอีกครั้งหนึ่งในเกณฑ์ตัดสินเรื่องทาน
    ประการต่อมา คือ วิรัติ คือการงดเว้น ได้ชื่อว่าทาน เพราะเมื่อบุคคลประกอบด้วยวิรัติ ย่อมจะงดเว้นจากเจตนาแห่งบุคคลผู้ทุศีล ได้แก่ ความกลัว และความขลาดเป็นต้น ข้อนี้ จะเห็นได้จากการให้อภัยแก่บุคคลอื่น เป็นต้น วิรัติมี ๓ อย่างคือ ๑) สัมปัตตวิรัติ งดเว้นสิ่งที่มาถึงเข้าโดยมิได้สมาทาน สมาทานวิรัติงดเว้นเพราะการสมาทาน และสมุจเฉทวิรัติงดเว้นโดยสิ้นเชิง[๒๒]วิรัติประการสุดท้ายนี้เป็นวิรัติของพระอริยสาวกผู้ได้สำเร็จอริยมรรคและอริยผลแล้ว เพราะภัยและเวรทั้ง ๕ ของพระอริยสาวกเป็นอันสงบแล้ว ตั้งแต่วิรัตินั้นประกอบพร้อมด้วยอริยมรรคกล่าวคือการบรรลุมรรคผล
    ประการสุดท้ายคือ ไทยธรรม ได้ชื่อว่าทาน เพราะบุคคลเมื่อจะให้ก็ย่อมให้ข้าวและน้ำเป็นต้นเป็นทาน เมื่อหมายถึงวัตถุสำหรับให้ทาน จึงเรียกว่าวัตถุนั้นว่า เป็นไทยธรรม
    ทานมี ๓ อย่างดังที่กล่าวมาแล้ว แต่โดยเนื้อความมีเพียง ๒ อย่างคือ ธรรมที่เกี่ยวเนื่องทางใจ (เจตสิกธรรม) และไทยธรรม เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว ในมังคลัตถทีปนี หมายความเฉพาะจาคเจตนาเท่านั้นว่าเป็นทาน
    ๒.๕ เหตุเกิดแห่งทาน ลักษณะเฉพาะและวิธีการให้ทาน
    การให้ทานเป็นพิธีกรรมที่ผนวกอยู่กับประเพณีพิธีกรรมทางศาสนา และขนบธรรมเนียม จารีตประเพณีทางสังคมจากคติความเชื่ออื่น ๆ นอกเหนือจากศาสนา ซึ่งแต่ละท้องถิ่นมีคติความเชื่อต่างกัน แต่โดยเนื้อหาสาระแล้ว ทานย่อมมีคุณค่า และมีเป้าหมายร่วมกัน ต่างกันแต่เพียงเหตุปัจจัยที่มาเท่านั้น
    ในทานูปปปัตติสูตร พระองค์ตรัสเหตุที่ทำให้คนให้ทานเพราะเขาปรารถนามนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ พรหมสมบัติ การที่เขาปรารถนาอย่างนั้นเพราะเขาเห็นกษัตริย์ พราหมณ์ คหบดีผู้พรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ได้ฟังเรื่องสวรรค์ ๖ ชั้นและพรหมชั้นสูง[๒๓] คนบางกลุ่มก็ให้ทานเพราะความกลัว เพราะหวังผลตอบแทนทางด้านโลกธรรม[๒๔] บางคนให้ทานเพราะนึกว่าเป็นบุพการีชนคือให้เพื่อรักษาวงศ์ตระกูลดั้งเดิม บางคนให้ทานเพราะต้องการเข้าถึงสุคติภพ บางคนให้ทานเพราะต้องการอบรมจิตให้เบิกบาน และบางคนให้ทานเพื่อประดับปรุงแต่งจิต [๒๕] แต่อย่างไรก็ตาม ความปรารถนาเหล่านี้ จะสำเร็จได้ก็ด้วยจิตที่บริสุทธิ์ แต่จิตอธิษฐานภาวนาที่น้อมไปเพื่อสิ่งเหล่านี้ จัดว่ายังเป็นไปเพื่อโลกียะสมบัติ
    กล่าวโดยสรุป เหตุแห่งการให้ทานมี ๕ ระดับ คือ
    ๑) การให้เพราะถึงแก่อคติอย่างใดอย่างหนึ่งจัดอยู่ในระดับที่ไม่ดีนัก
    ๒) การให้ตามประเพณีเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของวงศ์สกุล จัดอยู่ในระดับปานกลางแต่โอกาสที่จะผิดพลาดมีมากเนื่องจากเป็นการยึดถือตามประเพณี
    ๓) เป็นการให้เพราะหวังสภาวะที่ดีขึ้นหรืออุปธิอยู่ในระดับกลาง
    ๔) เป็นการให้เพราะเห็นว่าการให้นั้นเป็นสิ่งที่ดี ข้อนี้จัดอยู่ในเกณฑ์ดี
    ๕) เป็นการให้ทานในฝ่ายดีกว่าทุกข้อ เพราะเป็นการให้ทานเพื่อพัฒนาจิตใจ
    ส่วนลักษณะของการให้หรือวิธีการให้ทานนั้น พระพุทธองค์ตรัสไว้ทั้งในฝ่ายดีและในฝ่ายที่ไม่ดี ลักษณะและวิธีการให้ทานในฝ่ายดี คือ ทายกย่อมให้แก่ผู้มาสู่ถิ่นของตน ผู้เตรียมจะไป ให้ทานสมัยข้าวแพง ให้ข้าวใหม่แก่ผู้มีศีล และให้ผลไม้ใหม่แก่ผู้มีศีล[๒๖] วิธีการการให้โดยเน้นที่ทายก คือให้โดยเคารพอ่อนน้อม ให้ด้วยมือตนเอง ให้ของไม่เป็นเดน เห็นผลที่จะมาถึงให้ [๒๗]
    ในสัปปุริสทาน พระองค์ทรงแสดงลักษณะและวิธีการให้ทานโดยแยกเป็นสิ่งที่ให้ ปฏิคาหกผู้รับทานและเจตนาของทายกผู้ให้ทานรวมเป็น ๘ ประการ ๑)ให้ของที่สะอาด ๒)ให้ของประณีต ๓) ให้เหมาะสมกับกาละ ๔) ให้ของสมควร เป็นประโยชน์ ๕) พิจารณาก่อนแล้วจึงให้ เลือกให้ในบุญญเขตที่ดี ๖) ให้อย่างสม่ำเสมอ เป็นนิจทาน ๗) เมื่อให้ ทำจิตให้ผ่องใส ๘) ครั้นให้แล้ว จิตใจเบิกบาน[๒๘]
    ทรงสรุปผลของทานที่กระทำดีแล้วว่าสัตบุรุษครั้นให้ทานด้วยศรัทธาแล้วย่อมเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมากและเป็นผู้มีรูปสวยงาม น่าดู น่าเลื่อมใส ประกอบด้วยผิวพรรณงามยิ่งนัก ในที่ที่ทานนั้นเผล็ดผล (บังเกิดขึ้น) …เป็นผู้มีบุตรภรรยา ทาส คนใช้หรือคนงาน เป็นผู้เชื่อฟัง เงี่ยโสตลงสดับคำสั่งตั้งใจใคร่รู้ ในที่ที่ทานนั้นเผล็ดผล …ย่อมเป็นผู้มีความต้องการที่เกิดขึ้นตามกาลบริบูรณ์ ในที่ ที่ทานนั้นเผล็ดผล …เป็นผู้มีจิตน้อมไปเพื่อบริโภคกามคุณ ๕ สูงยิ่งขึ้น ในที่ ที่ทานนั้นเผล็ดผล …เป็นผู้มีโภคทรัพย์ไม่มีภยันตรายมาแต่ที่ไหนๆคือ จากไฟ จากน้ำ จากพระราชา จากโจร จากคนไม่เป็นที่รัก หรือจากทายาทในที่ที่ทานนั้นเผล็ดผล[๒๙]
    ส่วนลักษณะของการให้ทานที่ไม่ดีโดยรูปแบบและวิธีการให้ทานนั้น พึงศึกษาได้จากลักษณะที่ตรงกันข้ามที่กล่าวมาในฝ่ายข้างดี ในอสัปปุริสทานสูตร[๓๐]


    ๒.๖ การบำเพ็ญทานบารมี
    เพื่อให้ประเด็นที่จะอภิปรายชัดเจนขึ้นในที่นี้จึงมาศึกษา บารมี ในพระไตรปิฎก คัมภีร์ปกรณ์พิเศษ อรรถกถา และคัมภีร์อื่น ๆ ทั้งความหมายในคัมภีร์เหล่านั้นก็ย่อมจะแตกต่างกันไป ในที่นี้จะกล่าวเฉพาะความหมายของคำว่า บารมี ที่เกี่ยวข้องกับทานบารมีที่ต้องการศึกษาในบทความนี้
    บารมี คือคุณความดีที่ควรบำเพ็ญมี ๑๐ อย่าง ได้แก่ ทานบารมี ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิฏฐาน เมตตา อุเบกขา คุณความดีที่ได้บำเพ็ญมา คุณสมบัติที่ทำให้ยิ่งใหญ่[๓๑]
    พระธรรมปาละให้ความหมายว่า บารมีคือคุณธรรมทั้งหลาย มีทานเป็นต้น กำหนดด้วยความเป็นผู้ฉลาดในอุบาย คือกรุณาอันตัณหา มานะ และทิฏฐิไม่เข้าไปกำจัด[๓๒]
    พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ให้ความหมายไว้ว่า ปฏิปทาอันยวดยิ่ง, คุณธรรมที่ประพฤติฏิบัติอย่างยิ่งยวดคือความดีที่บำเพ็ญอย่างพิเศษ เพื่อบรรลุซึ่งจุดหมายอันสูง เช่น ความเป็นพระพุทธเจ้า และความเป็นมหาสาวกเป็นต้น[๓๓]
    และได้อธิบายโดยศัพท์ความว่า คำว่าบารมีนั้น โดยตัวศัพท์แปลว่า ความจบถ้วน ภาวะที่ยอดยิ่ง สุดยอด เต็มเปี่ยม หมายถึงคุณความดีที่บำเพ็ญอย่างยอดยิ่งของพระโพธิสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นมหาโพธิสัตว์ (ท่านผู้มุ่งต่อการตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) ปัจเจกพุทธเจ้า (ท่านผู้มุ่งต่อการตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า) หรือสาวกโพธิสัตว์ (ท่านผู้มุ่งต่อการตรัสรู้เป็นพระอรหันตสาวก) ก็ตาม แต่โดยทั่วไป จะหมายถึงมหาโพธิสัตว์ คือท่านผู้มุ่งต่อการตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    การให้ทานที่เป็นการบำเพ็ญทานบารมี จะต้องเป็นการให้ทานที่ต้องสั่งสมสืบเนื่องโดยตลอดโดยไม่ขาดสาย เป็นการบำเพ็ญที่เกิดจากการอธิษฐานจิต มีการทำอภินิหาร เพื่อมุ่งหวังพระสัพพัญญุตญาณในอนาคตกาล แล้วปฏิบัติตามความตั้งใจจนกว่าจะบรรลุถึงจุดหมายปลายทาง
    โดยสรุป ลักษณะของการบำเพ็ญทานบารมี มีดังนี้
    ๑. ให้แก่คนหรือสัตว์ เพื่อประโยชน์แก่เขาในชีวิตที่เป็นจริง
    ๒. ให้ด้วยจิตใจเสียสละแท้จริง โดยไม่หวังอะไรตอบแทน
    ๓. การให้นั้น เป็นส่วนหนึ่งของการก้าวไปในกระบวนการฝึกฝนพัฒนาตนให้ปัญญาเจริญสมบูรณ์ เพื่อจะได้บำเพ็ญประโยชน์สุขแก่สรรพสัตว์ได้บริบูรณ์
    ๔. ผู้ให้จะเป็นใครก็ได้ ไม่ว่าจนมี ใหญ่โตหรือต่ำต้อย ข้อสำคัญอยู่ที่ว่า
    ความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวมุ่งแน่วแน่ไปในกระบวนการศึกษาพัฒนาตน
    ความหมายของทานบารมีมักจะพบในชาดกเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะในอรรถกถาชาดก สุเมธดาบสโพธิสัตว์ ได้เลือกทานบารมีเป็นประการแรกก่อนจะบำเพ็ญสีลบารมี และบารมีประการอื่น ๆ ต่อไป ดังปรากฏข้อความว่า
    ... พระโพธิสัตว์ ลุกขึ้นจากที่ประทับ ในเวลาที่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายหลีกไปแล้ว ประทับนั่งคู้บัลลังก์บนกองดอกไม้ด้วยความดำริว่า เราจักพิจารณา (เลือกเฟ้น) บารมีทั้งหลาย
    ... พระโพธิสัตว์ ตกลงพระทัยดังนี้ว่า เราจะต้องเป็นพระพุทธเจ้าอย่างแน่นอน เพื่อจะไตร่ตรองถึงธรรมทั้งหลาย ที่เป็นเครื่องกระทำความเป็นพระพุทธเจ้า จึงพิจารณาธรรมธาตุทั้งสิ้นตามลำดับว่า ธรรมที่เป็นเครื่องกระทำความเป็นพระพุทธเจ้ามีอยู่ ณ ที่ไหนหนอแล อยู่เบื้องบนหรือเบื้องล่าง อยู่ในทิศ หรือทิศเฉียงทั้งหลาย ได้ทอดพระเนตรเห็นทานบารมี อันเป็นบารมีประการแรกที่พระโพธิสัตว์องค์ก่อน ๆ ได้ประพฤติปฏิบัติกันมาแล้ว จึงแนะนำตนเองดังนี้ว่า ดูก่อนสุเมธบัณฑิต ท่านควรบำเพ็ญทานบารมีเป็นประการแรกให้บริบูรณ์นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เปรียบเสมือนหม้อน้ำที่คว่ำ ย่อมหลั่งน้ำออกจนหมดไม่มีเหลือ ท่านก็จักต้องไม่แลเหลียวถึงทรัพย์สมบัติ ยศฐาบรรดาศักดิ์ บุตร ภรรยา หรืออวัยวะน้อยใหญ่ ให้ทานแก่ผู้ขอทั้งหลายที่พบเข้า ทำให้ถึงที่สุดตามที่คนเหล่านั้นต้องการโดยไม่ให้เหลือ นั่งที่โคนต้นโพธิแล้วจะต้องเป็นพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์นั้นจึงอธิษฐานทานบารมีเป็นประการแรกอย่างหนักแน่น
    ... พระโพธิสัตว์พิจารณาเห็นบารมี ๑๐ อุปปารมี ๑๐ และปรมัตถปารมี ๑๐ อย่างนี้ว่า การบริจาคข้าวของเครื่องใช้ทั่วไป ชื่อ ทานปารมี การบริจาคอวัยวะ ชื่อว่า ทานอุปปารมี การบริจาคชีวิต ชื่อว่า ทานปรมัตถปารมี.[๓๔]
    การที่พระโพธิสัตว์เลือกทานบารมีเป็นประการแรกนั้น ย่อมแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการให้ทาน เนื่องจากการให้ทานนี้เป็นธรรมที่ตรงข้ามกับความโลภ และมัจฉริยะ (ความตระหนี่) เมื่อบุคคลให้ทานย่อมสามารถขจัดความโลภ ความตระหนี่ในใจตนเอง ไม่ยืดมั่นถือมั่น ไม่ยึดติดกับวัตถุ หรือแม้กระทั้งบุตร ธิดา และภรรยา สามี ซึ่งเป็นสิ่งที่จะต้องละให้ได้ในระดับเริ่มต้นก่อนที่จะบำเพ็ญบารมีในขั้นอื่น ๆ ที่สูงขึ้นไป ทานบารมีนี้มี ๓ ระดับคือ ระดับบารมี ระดับอุปบารมี และระดับ ปรมัตถบารมี
    ๑) ทานบารมี ได้แก่ ทานที่บำเพ็ญด้วยการสละทรัพย์ ในขุททกนิกาย จริยาปิฎก กล่าวถึงการบำเพ็ญทานบารมีของมหาโควินทพราหมณ์โพธิสัตว์ที่ได้บริจาคมหาทานร้อยล้านแสนโกฏิ เพื่อพระสัพพัญญุตญาณ[๓๕]
    ๒) ทานอุปบารมี ได้แก่ ทานที่บำเพ็ญด้วยการสละอวัยวะ เช่นดวงตา และโลหิต ในการบำเพ็ญทานอุปบารมีนี้ ในขุททกนิกาย จริยาปิฎก กล่าวถึงพระจริยาของพระเจ้าสีวีราชโพธิสัตว์ที่ให้ทานพระเนตรข้างหนึ่งแก่ท้าวสักกะ การให้ทานครั้งนี้ก็เพื่อสัพพัญญุตญาณ[๓๖]
    ๓) ทานปรมัตถบารมี ได้แก่ ทานที่บำเพ็ญด้วยการสละชีวิต ในสสปัณฑิตจริยา กล่าวถึงการบำเพ็ญทานปรมัตถปารมีของสสบัณฑิตพระโพธิสัตว์ที่อุทิศร่างกายให้เป็นทานแก่พราหมณ์ [๓๗]
    การให้ทานของพระโพธิสัตว์นี้ถือว่าเป็นการกระทำที่ทำได้ยาก เพราะไม่มีความเสียดายในสิ่งที่ตนให้ มีจิตยินดีและมองเห็นประโยชน์ต่อสรรพสัตว์จึงได้ให้ทาน โดยเฉพาะทานในระดับที่สองคือทานอุปบารมี และปรมัตถบารมียิ่งเป็นทานที่ทำได้ยาก เพราะมีการสละอวัยวะบางส่วน เช่น ตา เป็นต้น หรือการบริจาคอวัยวะให้กับผู้ที่ต้องการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะเพื่อให้ใช้งานได้ตามปกติ โดยความสมัครใจ มิใช่การแลกเปลี่ยน เหล่านี้จัดเป็นทานอุปบารมี
    ส่วนการบำเพ็ญปรมัตถบารมี เป็นการบำเพ็ญทานขั้นสูงสุดในบรรดาการบำเพ็ญบารมีด้วยการให้ทาน เนื่องจากการบำเพ็ญปรมัตถบารมีนี้ ต้องสละชีวิตของตนเพื่อผู้อื่น การยอมสละชีวิตของตนเพื่อผู้อื่นในสังคมปัจจุบันนี้ อาจจะทำได้โดยการยอมตายเพื่อผู้มีพระคุณ และผู้ที่เป็นที่รักของตน แต่การบำเพ็ญปรมัตถบารมี จะต้องเป็นการสละชีวิตที่ตนเองยินดี พร้อมใจ ไม่ถูกบังคับ และสละได้กับทุกคน ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู และต้องทำไปเพื่อมุ่งหวังพระสัพพัญญุตญาณเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น
    ๒.๗ เป้าหมายของการให้ทาน
    เป้าหมายของการให้ทานในพระพุทธศาสนา แบ่งได้ ๓ ระดับคือ
    ๒.๗.๑ เป้าหมายระดับต้น คือสิ่งที่บุคคลพึงมี พึงได้ในปัจจุบัน กล่าวคือประโยชน์ที่จะได้รับในชาตินี้ เช่น ทรัพย์สิน เงินทอง สุขภาพอนามัย ความมีศิลปวิทยา ยศฐาบรรดาศักดิ์ ญาติมิตรสหายและ ความผาสุกอย่างอื่นที่มนุษย์พึงมีพึงได้ทั้งที่เป็นรูปธรรมและนามธรรม
    สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องของโลกธรรมที่จำเป็นสำหรับฆราวาสวิสัย แม้จะเป็นเรื่องของวัตถุ แต่ความสุขที่เกิดจากวัตถุเหล่านี้ก็เป็นหนทางแห่งการแสวงหาความสุขที่ดี ละเอียดและเป็นบรมสุขในระดับต่อไปได้ เพราะถ้าหากบุคคลไม่ได้รับความสุขหรืออานิสงส์แห่งการทำบุญให้ทาน หรือการกระทำของตน ความพยายามเพื่อไปสู่สภาวะที่สูงกว่าที่เป็นอยู่ย่อมไม่อาจจะเกิดขึ้นได้
    ๒.๗.๒ เป้าหมายระดับกลาง เป็นจุดหมายที่สูงขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง เป็นประโยชน์ในด้านในหรือประโยชน์ด้านคุณค่าของชีวิต เป็นหลักประกันชีวิตเมื่อละโลกนี้ไปแล้ว ได้แก่ ความเจริญงอกงามแห่งชีวิตจิตใจ สัมปรายิกัตถะประโยชน์ ๔ ประการ ประกอบด้วยศรัทธา เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อตามหลักพระพุทธศาสนา ถึงพร้อมด้วยศีล คือรักษากายวาจาเรียบร้อย ถึงพร้อมด้วยการบริจาค คือสละแบ่งปัน และถึงพร้อมด้วยปัญญา รู้จักบาปบุญคุณโทษ
    ทานในระดับนี้ อยู่ในระดับที่สูงกว่าระดับวัตถุหรือความสุขทางร่างกาย กล่าวคือเป็นจุดหมายที่เน้นเรื่องของจิตใจ เป็นการพัฒนาจิตใจเพื่อไปสู่ระดับที่สูงขึ้น เพราะนอกจากทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียงเกียรติยศในโลกปัจจุบันนี้แล้ว ทานในระดับนี้ จะเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อการเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์อันเป็นสัมปรายภพ
    ๒.๗.๓ เป้าหมายขั้นสูงสุด คือประโยชน์สูงสุดในทางพระพุทธศาสนา กล่าวคือความเป็นผู้รู้แจ้งสภาวะของสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริง อยู่จบพรหมจรรย์ ไม่มีกิจที่จะต้องทำอีกต่อไปแล้ว การดำเนินชีวิตเพื่อเข้าถึงจุดหมายขั้นนี้ ก็คือการดำเนินตามทางสายกลางที่เรียกว่า มัชฌิมาปฏิปทา อันเป็นทางสายกลางระหว่างความหลงมัวเมาในกามสุข และการปฏิบัติตนให้ลำบากโดยเปล่าประโยชน์
    ทานในกระบวนการพัฒนาตามหลักอริยมรรค ๘ นี้ ปรากฏอยู่ ๒ ระดับคือ ในระดับปัญญา กล่าวคือสัมมาทิฏฐิ ที่หมายถึงความรู้ในสิ่งที่เป็นกุศลและกุศลมูล กับอกุศลและอกุศลมูลและเห็นไตรลักษณ์ ความรู้ว่า ทานที่บุคคลให้แล้วย่อมมีผล (สัมมาทิฏฐิกะ) เป็นต้นและรู้ว่าการปฏิบัติตามบุญญกิริยานั้นซึ่งถือว่าเป็นความไม่ประมาทและบุคคลสามารถยึดประโยชน์ทั้ง ๒ ไว้ได้ด้วยบุญกิริยากล่าวคือทาน ศีล และภาวนา จึงเป็นสัมมาทิฏฐิอันเป็นส่วนปัญญาในกระบวนการพัฒนาตามขั้นตอนของมรรคและเป็นความรู้ชอบตามหลักพุทธจริยศาสตร์
    ทานระดับปัญญากล่าวคือสัมมาทิฏฐิที่หมายถึงเห็นไตรลักษณ์ ปรากฏอย่างชัดเจนในเวลามสูตรเริ่มจากการจำแนกผลแห่งทานจากระดับพื้นฐานไปถึงระดับสูงที่สุด ซึ่งทานในระดับสูงสุดและมีผลมากที่สุดคือทานที่บุคคลเจริญอนิจจสัญญา และทานดังกล่าวนี้เองเป็นทานในระดับที่เป็นสัมมาทิฏฐิเพราะมองเห็นไตรลักษณ์และปฏิจจสมุปบาทดังความว่า
    …ทานที่บุคคลเชื้อเชิญท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิผู้เดียวบริโภคมีผลมากกว่าทานที่เวลามพราหมณ์ให้แล้ว ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิร้อยทานบริโภค มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิผู้เดียวบริโภค ฯลฯ…ทานที่บุคคลเชื้อเชิญให้ท่านผู้ถึงพร้อมด้วยทิฏฐิผู้เดียวบริโภค มีผลมากกว่ามหาทานที่เวลามพราหมณ์ให้แล้ว ... ทานที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม มีผลมากกว่าทานที่บุคคลมีจิตเลื่อมใสสมาทานสิกขาบท คือ งดเว้นจากปาณาติบาต ... และทานที่บุคคลเจริญอนิจจสัญญาแม้เพียงเวลาลัดนิ้วมือ มีผลมากกว่าทานที่บุคคลเจริญเมตตาจิตโดยที่สุดแม้เพียงเวลาสูดดมของหอม [๓๘]
    อีกระดับหนึ่งคือในระดับของศีลหรือการกระทำทางกาย วาจา ได้แก่ การเจรจาชอบ การกระทำชอบ และการเลี้ยงชีพชอบ ทานในระดับนี้เป็นวิรัติทานกล่าวคือให้ทานด้วยเจตนาเป็นเหตุงดเว้นจากการกระทำชั่วทางกาย ทางวาจา หรือเรียกว่าสมาทานวิรัติ
    สรุป : หลักคำสอนเรื่องทานในพระพุทธศาสนา
    พระพุทธศาสนามีแนวคำสอน ๒ ระดับ คือ คำสอนแนวสัจธรรมและคำสอนแนวศีลธรรม ส่วนเรื่องทานรวมอยู่ในคำสอนแนวศีลธรรม ซึ่งมีที่มาหลายพระสูตร โดยส่วนมากพระองค์สอนเรื่องทานแก่กลุ่มอาคาริกคือผู้ครองเรือนเพื่อฟอกจิตให้สะอาดก่อนแสดงอริยสัจ
    ประเภทของทานนั้นจำแนกเป็นประเภทใหญ่ ๆ ๔ ประเภท โดยจัดแบ่งตามผู้รับ จัดตามสิ่งของที่ให้ทาน จัดตามเป้าหมายและจัดตามลักษณะวิธีการให้ทาน ส่วนองค์ประกอบของทานมี ๓ คือผู้รับทาน ผู้ให้ทานและวัตถุทาน ผู้รับทานนั้นไม่มีขอบเขตประมาณ ขึ้นอยู่กับผู้ให้ทานเป็นสำคัญว่าจะเลือกเฟ้นให้อย่างไร สำหรับวัตถุทานต้องประกอบด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์และสร้างสรรค์ มิใช่ให้สิ่งทำลาย โดยความสำคัญคือ ให้ด้วยเจตนาบริสุทธิ์
    เหตุที่ทำให้บุคคลต้องทำบุญให้ทานโดยหลักก็คือเพื่อต้องการมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติและนิพพานสมบัติ เมื่อต้องการสิ่งเหล่านี้จึงได้เกิดมีพระโพธิสัตว์บำเพ็ญทานในขั้นต่าง ๆ ตั้งแต่ระดับทานบารมี อุปทานบารมีและปรมัตถทานบารมี พระพุทธองค์ทรงแสดงทานกถาแก่มนุษย์ทั้งหลายเพื่อจะให้บรรลุประโยชน์เหล่านี้กล่าวคือประโยชน์ในปัจจุบัน ประโยชน์ในอนาคต และปรมัตถประโยชน์โดยจัดทรงแสดงทานมัยเป็นอันดับแรก เพื่ออบรมศีล และเจริญปัญญา ดำเนินชีวิตอย่างผาสุกและถึงเป้าหมายคือความพ้นทุกข์ต่อไป
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ''วิเคราะห์การให้ทานของพระเวสสันดร ในมิลินทปัญหา''

    -http://www.mcu.ac.th/site/articlecontent_desc.php?article_id=1004&articlegroup_id=154-

    ดร.ประพันธ์ ศุภษร (2552)


    ส่วนที่ ๓ วิเคราะห์การให้ทานของพระเวสสันดร
    ในหัวข้อที่ ๑ -๒ เราได้ทราบความหมายและความสำคัญของทาน ประเภท และความเป้าหมายของทานมาแล้ว ในข้อนี้จะได้วิเคราะห์ถึงทานของพระเวสสันดร อันเป็นประเด็นหลักในบทความนี้ โดยผู้เขียนได้ตั้งประเด็นไว้ ๒ ประเด็น ดังนี้
    ๑. การให้ทานบุตรธิดาและภรรยาเป็นทานของพระเวสสันดรถูก ผิด ควรหรือไม่ควร
    ๒. วิธีการให้ทานกับเป้าหมายในการให้ทานมีความสัมพันธ์กันหรือไม่
    ๓.๑ ประเด็นเชิงจริยธรรมในการให้ทาน
    ก่อนที่จะวิเคราะห์ปัญหาดังกล่าว ควรทราบประเด็นทางจริยธรรมในการให้ทานก่อน ทั้งนี้เพื่อความเข้าใจถูกต้องร่วมกัน
    หลักจริยธรรมในพระพุทธศาสนามีอิทธิพลทางความคิด ความเชื่อ ค่านิยมและการปฏิบัติของคนไทยดังที่กล่าวแล้ว นอกจากอิทธิพลทางความคิด ความเชื่อ และค่านิยมที่มีต่อบุคคลแล้ว หลักจริยธรรมในพระพุทธศาสนายังมีสถานะเป็นปทัฏฐานทางจริยะ กล่าวคือมาตรการตัดสินการกระทำของคนในสังคมไทย การกระทำที่กล่าวว่า ดี ชั่ว ถูก ผิด ควร ไม่ควร จึงอ้างอิงจากเกณฑ์ตัดสินค่าทางจริยะในพระพุทธศาสนาทั้งสิ้น ในบางครั้ง เราอาจจะเห็นความไม่สอดคล้องของเกณฑ์ระหว่างเจตน์จำนงของสังคมและเกณฑ์ตัดสินของพระพุทธศาสนา เช่น การดื่มสุราและของมึนเมา ในทางสังคมไม่ได้กล่าวว่าเป็นความผิดแต่ประการใด ส่วนในทางศาสนานั้น มีข้อห้ามและกล่าวกระทำนั้นว่า เป็นการผิดศีล คือ หลักที่พึงปฏิบัติเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคม
    ในการศึกษาประเด็นเชิงจริยธรรมในการให้ทานของพระเวสสันดร เป็นการศึกษาวิเคราะห์โดยใช้เกณฑ์ตัดสินคุณค่าเชิงจริยธรรมโดยทั่วไป คือใช้เกณฑ์หลักและเกณฑ์รองตามที่พระธรรมปิฎกกล่าวไว้ และได้นำมาอ้างไว้พร้อมทั้งแสดงเหตุผลสนับสนุนในการใช้เกณฑ์ดังกล่าวนี้ไว้แล้วในตอนที่ว่าด้วยเกณฑ์ตัดสินค่าทางจริยธรรมในการให้ทาน การใช้เกณฑ์หลักและเกณฑ์รองในกรณีทั้ง ๓ เพื่อตอบคำถามที่ว่า
    ๓.๒ การให้ทานบุตร ธิดา และภรรยาของพระเวสสันดร ถูก ผิด ควรหรือไม่
    ในคัมภีร์มิลินทปัญหาซึ่งเป็นการถาม-ตอบระหว่างพระเจ้ามิลินท์กับพระนาคเสนเถระ ได้มีกล่าวโต้แย้งถึงประเด็นเชิงจริยธรรมในการให้ทานของพระเวสสันดร ดังนี้
    พระเจ้ามิลินท์ได้ตรัสถามพระนาคเสนว่า พระโพธิสัตว์ทั้งหลายในกาลก่อนได้บริจาคบุตรและภรรยาให้เป็นทานเหมือนกันทุกพระองค์หรือไม่ หรือว่าบริจาคเฉพาะพระเวสสันดรพระองค์เดียว
    พระนาคเสนถวายพระพรว่า พระโพธิสัตว์ทั้งหลายบริจาคบุตรและภรรยาให้เป็นทาน เป็นประเพณีสืบมาทุกพระองค์
    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า พระเวสสันดรโพธิสัตว์ บริจาคบุตรและภรรยาให้เป็นทานนั้น บุตรและภรรยายินดีกับการให้ทานของพระองค์หรือไม่
    พระนาคเสน ถวายวิสัชนาว่า ภรรยานั้นย่อมยินดีด้วย แต่บุตรนั้นไม่อาจเลื่อมใสยินดี เพราะยังเป็นเด็กอยู่ไม่รู้เดียงสา จึงร้องไห้รำพันเพ้อไปต่าง ๆ แต่เมื่อบุตรนั้นเป็นผู้ใหญ่อาจรู้เหตุผลได้แล้ว ก็จะยินดีอนุโมทนาไม่ร้องไห้ร่ำไร
    ทานที่บุคคลทั่วไปกระทำตามได้ยาก
    พระเจ้ามิลินท์ ตรัสถามวิธีการให้ทานของพระเวสสันดรซึ่งไม่เห็นแก่ความเป็นพ่อ แม่ ลูกและดูเหมือนเป็นการกระทำที่มนุษย์ทั่วไปกระทำได้ยาก ๗ ประการ ความว่า
    ๑) พระเวสสันดรทรงบริจาคพระโอรสพระธิดาอันเป็นที่รักยิ่งให้เป็นทานแก่พราหมณ์ ซึ่งจะพาไปเป็นทาส
    ๒) เมื่อพราหมณ์เอาเครือเถาผูกข้อพระกรพระโอรสทั้งสองแล้วโบยตีต้อนไปต่อหน้า พระองค์ทรงอดกลั้นความวิหิงสาได้ ดำรงพระทัยในอุเบกขา โดยไม่ทรงห้ามพราหมณ์
    ๓) เมื่อพระโอรสทั้งสองดิ้นหลุดจากเครื่องผูกในมือพราหมณ์ด้วยกำลังตน แล้วพากันวิ่งเข้ามาวิงวอนให้ช่วย พระองค์ก็ไม่ทรงช่วยเหลือประการใด กลับประทับนิ่งเฉยดูเหมือนว่าจะจับตัวส่งคืนให้แก่พราหมณ์ผู้หยาบช้า ใจบาป
    ๔) เมื่อทั้งสองพระโอรสร้องไห้รำพันว่า ข้าแต่พระบิดา พราหมณ์ชรานี้เห็นจะเป็นยักษ์ปลอมแปลงมา เขาจักนำเอาลูกยาทั้งสองนี้ไปเคี้ยวกินเป็นอาหาร พระโพธิสัตว์ได้สวนาการก็ทรงนิ่งเฉยอยู่มิได้ตรัสประการใด แม้แต่จะปลอบว่าเจ้าทั้งสองอย่ากลัวเลยก็หามิได้
    ๕) เมื่อพระชาลีกุมารกลิ้งเกลือกซบอยู่แทบพระบาทแล้วทูลวิงวอนว่า ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์จงให้พระนางน้องกัณหาอยู่เถิด ลูกจะไปกับด้วยยักษ์แต่ผู้เดียว ยอมให้ยักษ์เคี้ยวกินเป็นอาหาร พระองค์ก็มิได้ทรงรับและไม่ตรัสเจรจาแต่ประการใด
    ๖) เมื่อพระชาลีไปทูลว่า ข้าแต่พระบิดา เฒ่าชราผูกมัดลูกแน่นหนาตึงนัก เหตุไฉนทูลกระหม่อมแก้วไม่ห้ามพราหมณ์ ยอมให้พราหมณ์ใจดุร้ายอำมหิตเป็นมหายักษ์พาลูกรักไปในไพรวันอันเปล่าเปลียว พระองค์ก็มิได้แลเหลียวทรงกรุณาพระโอรส
    ๗) เมื่อพระชาลีร้องไห้ด้วยเสียงอันน่าสังเวชควรที่จะกรุณา พราหมณ์ฉุดลากพาไปต่อหน้าพระที่นั่ง พระองค์มีพระหฤทัยดุจหนึ่งว่าจะแตกสลาย
    พระเวสสันดรเป็นมนุษย์มีพระหฤทัย ปรารถนาจะทรงสร้างกุศลบำเพ็ญบารมี ด้วยหวังพระโพธิญาณ บริจาคพระโอรสและพระชายาให้เป็นทานอันเป็นเครื่องก่อความลำบากยากเข็ญให้ผู้อื่นเช่นนี้ เป็นการสมควรหรือ
    พระนาคเสน ได้ถวายวิสัชนาว่า พระเวสสันดรทรงกระทำกรรมซึ่งยากที่ผู้อื่นจะทำได้นั้นเที่ยงแท้จะแปรผันผิดเพี้ยนไปหามิได้ กิตติศัพท์ของพระองค์ย่อมฟุ้งขจรตลอดไปในเทวดาและมนุษย์ทั่วหมื่นโลกธาตุ เทวดา อสูร สุบรรณนาคกับสมเด็จอัมรินทราธิราชและยักษ์ทั้งหลายก็ซ้องสาธุการสรรเสริญ ต่างพากันขนพองสยองเกล้าทุกแหล่งหล้า กิตติศัพท์ของพระองค์ย่อมระบือลือเลื่องมาโดยลำดับ ตราบเท่าจนทุกวันนี้ ที่เราทั้งสองนำเอามานั่งซักไซ้ไต่ถามกันอยู่เช่นนี้ จะว่าทานนั้นเป็นอันประองค์ให้ด้วยดีหรือชั่วช้าประการใดเล่า
    อานิสงส์ ๑๐ แห่งทานบารมีของพระเวสสันดร
    กิตติศัพท์ที่เล่าลือกันนั้น แสดงให้เห็นปรากฏอานิสงส์ ๑๐ ประการของพระโพธิสัตว์ผู้เป็นนักปราชญ์อย่างเอก และพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ อานิสงส์ ๑๐ ประการนั้นคือ
    ๑) ได้ให้ทานในเขตอันเลิศ (อเคธตา) ๒) ไม่มีความอาลัยในของที่รัก (นิราลยตา)
    ๓) บริจาคได้ (จาโค) ๔) สละได้ (ปหานํ)
    ๕) ไม่คิดหวนเสียดาย (อปุนราวตฺติตา) ๖) ความเป็นทานสุขุม (สุขุมตา)
    ๗) ความเป็นทานใหญ่ (มหนฺตตา) ๘) ความเป็นทานอันบุคคลรู้ได้ยาก (ทุรนุโพธตา)
    ๙) ความเป็นทานอันบุคคลได้โดยยาก (ทุลฺลภตา)
    ๑๐) ความเป็นทานไม่มีใครจะให้เสมอเทียมได้ (อสทิสตา)
    พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่า ทานที่บริจาคยังผู้อื่นให้ได้รับความทุกข์เป็นการเดือดร้อน จะให้ผลเป็นสุข ส่งให้เกิดในสวรรค์ได้ละหรือ
    พระนาคเสนถวายวิสัชนาว่า มหาบพิตรตรัสอะไร ชื่อว่าทานของพระโพธิสัตว์นั้น จะไม่มีผล อย่าพึงกล่าวเลย
    ถ้ามีสมณะและพราหมณ์ผู้มีศีลมีจิตเป็นกุศลเป็นง่อยเปลี้ยเสียขา หรือป่วยไข้ได้ทุกข์อาพาธ ครอบงำเป็นประการใดก็ดี จะเดินไปไหนก็ไม่ได้ ในขณะนั้นมีบุรุษผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้ปรารถนาบุญกุศล พึงยกเอาสมณะและพราหมณ์นั้นขึ้นสู่ยาน นำไปส่งให้ถึงสถานอันสุขสบาย ตามที่สมณะและพราหมณ์นั้นมุ่งหมายปรารถนาจะไป บุรุษนั้นจะได้กุศลผลบุญที่เป็นความสุขและจะได้ไปบังเกิดในสุคติภพบ้างหรือว่าหามิได้
    พระเจ้ามิลินท์ ตรัสว่า บุรุษผู้ส่งสมณะและพราหมณ์เห็นปานนั้น จะพึงได้ยวดยานคานหามอันเป็นทิพย์ และจะได้รถรัตน์หัตถีและม้าและยานพาหนะ ที่จะไปในทางบกและทางน้ำทุกประการ เมื่อไปทางบกจะได้ยานทางบก เมื่อไปทางน้ำจะได้ยานทางน้ำ เมื่อไปเกิดในเทวโลกก็ได้ยานในเทวโลก เมื่อมาบังเกิดในมนุษยโลก ก็จะได้ยานในมนุษยโลก จะได้ยานอันสมควรแก่กำเนิดของตนทุกชาติทุกภพไป ไม่เลือกว่าเกิดในที่ใดจะมีแต่ความสุขสำราญเสมอไป และเมื่อจะบังเกิดนั้นก็จะเกิดแต่ในสุคติภาพเท่านั้น ที่จะต้องไปทุคติหามิได้ และกุศลนั้นจะอุปถัมภ์เป็นดังยานพาแล่นเลี้ยวไปสู่เมืองแก้ว อันกล่าวแล้วคือพระอมตมหานฤพาน อันเป็นที่เกษมศานต์
    พระนาคเสนถวายพระพรว่า ถ้าบุรุษที่ยกเอาสมณพราหมณ์ที่อาพาธหนักขึ้นสู่ยาน แล้วนำไปให้ถึงสถานอันสบายได้ผลเป็นสุข กุศลนั้นนำไปบังเกิดในสวรรค์ได้แล้ว ทานที่ให้ด้วยก่อทุกข์แก่ผู้อื่น ก็มีผลเป็นสุขให้เกิดในสวรรค์ได้เหมือนกัน พระเวสสันดรโพธิสัตว์นั้น ถึงจะให้สองพระโอรสได้รับทุกข์ ด้วยพราหมณ์ทำเข็ญผูกรัดด้วยเถาวัลย์ ก็จะได้เสวยวิบากผลเป็นสุข เหมือนบุรุษที่ส่งสมณพราหมณ์ผู้อาพาธนั้น
    พระนาคเสน ถวายพระพรอีกว่า ถ้าพระมหากษัตริย์เก็บส่วยเร่งรัดรีดจากราษฎรด้วยพระราชอาญา ได้ทรัพย์มาบริจาคก็ได้ผล คือยศและสุขอันเลิศเห็นปานนั้น ไฉนทานของพระโพธิสัตว์ที่บริจาคด้วยให้สองพระโอรสต้องลำบากจักไม่มีผลเล่า ทานนั้นจะให้สุขเป็นผลและพาไปเกิดในสวรรค์ได้โดยแท้
    พระเจ้ามิลินท์ ตรัสว่า พระเวสสันดรบริจาคพระชายาของพระองค์ เพื่อให้เป็นภรรยาของผู้อื่น และบริจาคพระโอรสทั้งสองให้เป็นทาสผู้อื่นนั้น ชื่อว่าเป็นทานที่พระองค์บริจาคยิ่งเกิน บัณฑิตทั้งหลายในโลกย่อมพากันติเตียนนินทา จะได้สรรเสริญหามิได้ ฯลฯ คนที่ให้ทานมิได้เหลียวหลังคิดดูทุนทรัพย์ ก็ต้องตกอับถึงความสิ้นสมบัติ ไม่มีโภคทรัพย์จะใช้สอย ทานที่พระเวสสันดรบริจาค บัณฑิตย่อมติเตียนนินทาว่า เป็นทานที่ให้ยิ่งเกิน เปรียบเหมือนเกวียนที่บรรทุกหนักเกินไปเพลาก็หักได้ฉันนั้น จะพึงหวังผลอะไรในทานนั้นเล่า
    พระนาคเสนจึงถวายพระพรว่า ทานให้เกินไปนั้น บัณฑิตในโลกจะไม่ติเตียนนินทา ย่อมจะพากันเชยชมสรรเสริญ ผู้ที่ให้ทานเช่นนี้ ย่อมถึงกิตติศัพท์เลื่องลือไปในโลก เปรียบเหมือนคนปล้ำ จะปล้ำสู้เขาได้ ผลักไสให้อีกฝ่ายหนึ่งล้ม ก็เพราะมีกำลังยิ่งกว่า ฯลฯ ทานที่ให้ยิ่งเกินไปนั้น เป็นปราชญ์ทั้งหลาย ก็สรรเสริญ กิตติศัพท์เลื่องลือกระฉ่อนไปทั่วโลก พระเวสสันดรให้ทานอันยิ่งเกินนั้นแล้ว ได้รับความเลื่องลือกระฉ่อนทั่วไป อันเทวดาและมนุษย์นาครุฑทั้งหลายสรรเสริญแล้วในหมื่นโลกธาตุ ในปัจฉิมชาติที่สุดได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นองค์พระพุทธเจ้าอันเลิศในโลกนี้ ก็เพราะบริจาคทานยิ่งเกินนั้น
    ต่อจากนั้น พระนาคเสนจึงทูลถามพระเจ้ามิลินท์ว่า การให้ทานในโลกนี้โดยอนุมานมีกำหนดอยู่หรือหามิได้
    พระเจ้ามิลินท์จึงตรัสว่า การให้ทานว่าโดยอนุมานจะมีกำหนดเขตไว้อย่างไรก็หามิได้ สุดแต่ว่าที่มีจิตเลื่อมใส บางคนก็ให้ข้าวน้ำ บางคนก็ให้ผ้านุ่งผ้าห่ม บางคนก็ให้ที่นอนและเสื่อสาดอาสนะ บางคนก็ให้ทาสหญิงชาย เรือกสวนไร่นา สัตว์สองเท้า สัตว์สี่เท้า บางคนก็ให้ทรัพย์ ร้อยหนึ่ง พันหนึ่ง หรือเป็นอันมาก ที่ให้ราชสมบัติให้ชีวิตก็มี มีต่างกันเช่นนี้แล
    พระนาคเสนถวายพระพรว่า ถ้าบุคคลจะให้ชีวิตของผู้อื่นก็ได้ ทำไมบพิตรจึงติเตียนพระเวสสันดรว่า ให้พระโอรสและพระชายา โดยความคิดของชาวโลกตามปรกติ เมื่อบิดาเป็นหนี้เขาก็ดี ยากจนไม่มีอะไรจะเลี้ยงชีวิตก็ดี บิดาจะให้บุตรรับใช้หนี้แทนหรือขายบุตรเลี้ยงชีวิตจะได้หรือหามิได้
    พระเจ้ามิลินท์ตรัสว่า บิดาจะให้บุตรรับใช้หนี้แทนหรือขายเลี้ยงชีวิตได้อยู่ ไม่มีใครติเตียน
    พระนาคเสนถวายพระพรว่า พระเวสสันดรโพธิสัตว์ปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณ แต่ยังไม่ได้ เวลานั้นพระองค์ก็ขัดสนจนทรัพย์ จะเอาพระโอรสและพระชายาให้ทานซื้อเอาพระสัพพัญญุตญาณ ทำไมบพิตรจึงไม่เลื่อมใส
    พระเจ้ามิลินท์ตรัสว่า โยมนี้ไม่ได้ติเตียนทานของพระเวสสันดร แต่ติเตียน(วิธีการ)ตรงที่ว่าพระเวสสันดรให้โอรสและพระชายาต่างหาก ที่ถูกเมื่อยาจกมาขอโอรสและพระชายา พระเวสสันดรปรารถนาสัพพัญญุตญาณ ควรจะให้ตัวเองแลจะดีกว่าให้พระโอรสและพระชายา
    พระนาคเสนถวายพระพรว่า เขาขอพระโอรสและพระชายาไพล่ไปให้ตัวเองนั้น จะเป็นกรรมอันนักปราชญ์ผู้เป็นสัตบุรุษจะพึงทำนั้นหามิได้ เขาขอสิ่งใดก็ต้องให้สิ่งนั้นจึงเป็นกรรมของสัตบุรุษ ถ้ามีคนมาขอน้ำจะให้ข้าวจะนับว่าได้ทำกิจธุระให้เขาได้ละหรือ
    พระนาคเสนถวายพระพรว่า ถ้าพราหมณ์นั้นพึงขอตัวพระองค์เองแล้ว พระองค์จะเสียดายหรือห่วงใยประการใดก็หาไม่ จะบริจาคให้ทีเดียว ไม่ต้องรอให้ขอถึงสองครั้ง แม้ถ้าพยัคฆ์หรือสุนัขบ้าน สุนัขจิ้งจอก จะเข้าไปขอพระองค์เอาไปกินเป็นอาหาร พระองค์จะไม่รอช้า จะบริจาคให้ในทันที พระกายของพระเวสสันดรโพธิสัตว์นี้ เป็นสาธารณ์ทั่วไปแก่สัตว์เป็นอันมาก มีครุวนาเหมือนชิ้นเนื้อชิ้นเดียวที่ทั่วไปแก่สัตว์เป็นอันมากฉะนั้น ... ด้วยพระองค์มั่นหมายในพระทัยว่า พระองค์ปฏิบัติดังนั้น จักได้บรรลุแก่พระโพธิญาณ
    อนึ่ง พระเวสสันดรโพธิสัตว์นั้นเป็นผู้แสวงหาโพธิญาณ จึงบริจาคทรัพย์และข้าวเปลือกยานพาหนะ ทาสหญิง ทาสชาย และสมบัติทั้งหลายสิ้นทั้งมวล ตลอดจนพระโอรส พระชายา หนังเนื้อโลหิต หัวใจ และชีวิตของพระองค์เป็นที่สุด ให้ทานได้ทั้งภายในทั้งภายนอก เพื่อได้ความยินดีเลื่อมใสในพระพุทธคุณและธรรมคุณแลกเอาพระโพธิญาณ ... แม้พระโพธิสัตว์ทั้งหลายแต่ปางก่อน หรือจะมีมาภายหลัง พระองค์ก็ทรงพยายามแสวงหาโพธิญาณเช่นนี้ทุก ๆ พระองค์
    พระเวสสันดรโพธิสัตว์ ทรงดำริว่า พราหมณ์ขอสิ่งใดควรเราจะให้สิ่งนั้น จึงจะได้ชื่อว่า ทำกิจธุระให้สมความประสงค์ของพราหมณ์ พระองค์จึงบริจาคพระโอรสและพระชายาให้เป็นทาน พระองค์จะมีพระหฤทัยคิดจะให้พระโอรสและพระชายาได้รับความลำบากแล้วบริจาคไปก็หาไม่ หรือจะเป็นผู้มักมากบริจาคไปก็หาไม่ หรือบริจาคให้ไปด้วยทรงดำริว่า เราไม่อาจเลี้ยงดูก็หาไม่ หรือพระองค์เกลียดชังไม่รักใคร่ ประสงค์จะไล่ส่งไปเสียให้พ้นหูพ้นตาก็หาไม่ พระโอรสและพระชายานั้น เป็นที่รักใครพอพระทัยของพระองค์เสมอด้วยชีวิต พระองค์บริจาคให้ด้วยรักใคร่ ปรารถนาพระสัพพัญญุตญาณ อันเป็นรัตนะอย่างประเสริฐโดยแท้ทีเดียว เมื่อพระองค์ตรัสรู้ อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์ตรัสไว้ว่า พระโอรสทั้งสอง เราจะได้เกลียดชังก็หาไม่ พระนางมัทรีเทวีเล่า ใช่ว่าเราจะไม่รักเมื่อไร แต่เรารักพระสัพพัญญุตญาณเป็นที่ยิ่ง เพราะฉะนั้น เราจึงบริจาคของที่รักให้เป็นทาน
    พระนาคเสนถวายพระพรถึงความรักของพระเวสสันดรว่า พระเวสสันดรครั้นให้ทานแล้ว มีจิตผ่องแผ้วในทาน แต่ด้วยความสงสารสองพระโอรส จึงเข้าไปสู่บรรณศาลา ตรอมพระหฤทัยทรงพระกรรแสงเศร้าโศกเป็นกำลัง จนพระหฤทัยร้อนรน พระนาสิกไม่พอจะหายใจ ต้องปล่อยให้ลมอัสสาสะ ปัสสาสะออกทางช่องพระโอษฐ์ พระอัสสุธาราก็กระเซ็นเป็นโลหิต พระเวสสันดรบรมกษัตริย์หวังจะมิให้ทานบารมีเสื่อม จึงสู้ทนยาก บริจาคพระโอรสและพระชายาให้เป็นทาน
    เหตุผลที่พระเวสสันดรให้ทานพระโอรสทั้งสองอีกประการหนึ่งคือ พระเวสสันดรพิจารณาเห็นอานิสงส์ ๒ ประการ คือ
    ๑) ทานบารมีของพระองค์จักไม่เสื่อมไป
    ๒) พระโอรสทั้งสองพระองค์อยู่ในป่าต้องเสวยมูลผลาเป็นภักษาหาร ได้รับความทุกข์ยากลำบาก เมื่อให้พราหมณ์แล้ว พราหมณ์จักพาไปกรุงพิชัยเชตุดร สมเด็จพระอัยกาจักไถ่ไว้เลี้ยงให้เป็นสุขสำราญ และบุคคลเหล่าอื่นที่จะมีใครสามารถเอาพระโอรสของพระองค์ไปใช้เป็นทาสนั้นหามิได้ เมื่อพราหมณ์พาสองพระองค์ไป พระอัยกาจะไถ่เอาไว้ อันนั้น แลจักเป็นเหตุให้มารับพระองค์กลับยังพระนคร[๓๙]
    เหตุผลประการหลังนี้ ผู้เขียนมองว่าเป็นการลดคุณค่าของอุปทานบารมีของพระเวสสันดร เพราะถ้ารู้อยู่แก่ใจว่าพระโอรสและพระธิดาจะต้องได้รับการไถ่ตัวจากพระอัยกา ความยิ่งใหญ่แห่งบารมีครั้งนี้จะกลายเป็นเรื่องธรรมดา ข้อความดังกล่าวนี้จึงไม่น่าจะเป็นความคิดของพระเวสสันดร แต่น่าจะเป็นความคิดของพระอาจารย์รุ่นหลังที่สืบทอดคัมภีร์มิลินท์แทรกความคิดเข้าไว้ เพราะเมื่อแทรกเข้ามาดังกล่าวทำให้ข้อความนี้ไปตัดประเด็นเป้าหมายสัพพัญญุตญาณของพระเวสสันดรทันที แล้วจะอ้างได้อย่างไรว่าพระองค์หวังโพธิญาณ จะดูเป็นการลวงชาวโลกมากกว่า ดังนั้นผู้เขียนจึงไม่เห็นด้วยกับประเด็นนี้
    จากการโต้แย้งในเรื่องการบำเพ็ญทานบารมีของพระเวสสันดรโพธิสัตว์ ระหว่างพระนาคเสนเถระและพระเจ้ามิลินท์ที่ยกมานี้ สามารถนำมาพิจารณาประเด็นทางจริยธรรมในการให้ทาน ดังนี้
    ๓.๓ วิธีการให้ทานกับเป้าหมายในการให้ทานมีความสัมพันธ์กันหรือไม่
    วิเคราะห์เกณฑ์หลัก-เกณฑ์รอง
    การที่พระเวสสันดรหวังโพธิญาณตามคติแห่งพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ประเด็นนี้ แสดงถึงจุดมุ่งหมายหรืออุดมคติของชีวิตที่แต่ละบุคคลมีแตกต่างกันไป การให้ทานหรือการกระทำบุญด้วยวิธีการต่าง ๆ เพื่อการบรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดด้วยวิธีการที่ไม่เบียดเบียนผู้อื่นก็ไม่ถือว่าเป็นการผิดเช่นเดียวกัน เจตนา และเป้าหมายเป็นสิ่งที่บัณฑิตทั่วไปยอมรับและเห็นดีด้วย แต่การให้ลูกและภรรยาแก่ผู้อื่น นับเป็นวิธีการที่สังคมยอมรับไม่ได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมที่เน้นเสรีภาพปัจเจกชนและสิทธิมนุษยชนเป็นที่ตั้งดังเช่นสังคมไทยปัจจุบันพยายามจะเป็น การกระทำดังกล่าวจึงก่อให้เกิดการติเตียนและมีข้อโต้แย้งเกี่ยวกับปัญหาสิทธิมนุษยชนที่ว่า การให้ทานดังกล่าวเป็นการเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น และเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ แต่นั้นก็ยังไม่ใช่ปัญหาที่จะพิจารณาในตอนนี้ แต่เราจะพิจารณาว่า การมอบลูกและภรรยาให้เป็นทาสของผู้อื่น เป็นการกระทำที่สมควรหรือไม่ในกรอบและเกณฑ์ตัดสินตามหลักพระพุทธศาสนา ไม่ใช่กรอบและกฎเกณฑ์ตามแนวคิดตะวันตก
    เมื่อว่าโดยเกณฑ์หลักคือเจตนานั้น พระเวสสันดรมิได้มีจุดหมายในการที่จะให้พระโอรสและพระธิดาได้รับความลำบากแต่ประการใด เจตนาในการให้ก็มิได้เกิดจากอกุศลมูล คือโลภะ โทสะ และโมหะ มิได้ให้เพราะอยากได้ทรัพย์สิน เงินทอง หรือเพื่อการได้เกิดในสวรรค์วิมานใด มิได้ให้ด้วยความโกรธ หรือไม่ต้องการรับผิดชอบ และมิได้ให้ด้วยความลุ่มหลง เจตนาในการให้ครั้งนี้จึงบริสุทธิ์ในเบื้องต้นแต่จะให้ ขณะที่ให้ และหลังจากให้แล้ว ถึงแม้จะเกิดความเสียใจบ้างแต่ภายหลังก็อนุโมทนาในกุศลเจตนาของพระองค์
    อนึ่ง การหวังพระสัมโพธิญาณมิใช่เพื่อประโยชน์แก่พระองค์ ถึงแม้ว่าการบรรลุถึงบรมสุขจะเป็นเป้าหมายในการกระทำก็ตาม แต่ผลที่ได้จากการบรรลุสัมโพธิญาณนั้นก็เพื่อช่วยเหลือสัตว์ที่ยังอยู่ในวัฏฏสังสาร ได้รู้จักแนวทางและพยายามปฏิบัติตามแนวเพื่อให้ได้พบกับความสุขเช่นเดียวกัน จะเห็นได้ว่าตลอดเวลา ๔๕ พรรษา พระพุทธองค์มิได้ทรงวางเฉย แต่ทรงสั่งสอนประชาชนให้รู้จักผิดชอบชั่วดี และเข้าถึงบรมสุขมิใช่น้อย คนไทยเองก็ได้รับอานิสงส์จากความหวังและจุดมุ่งหมายของพระองค์ในครั้งนั้นด้วย ด้วยการพิจารณาตามเจตนาอันเป็นเกณฑ์หลัก การให้ทานของพระเวสสันดรจึงไม่ผิด และควรแก่การกระทำ
    มองในแง่ของสภาวะจิต การกระทำครั้งนี้ส่งผลต่อสภาวะจิต คือยังกุศลให้เกิด บรรเทาอกุศลให้เบาบาง จะพบว่าหลังจากให้ทานแล้ว พระเวสสันดรเกิดความสงสารเพราะเห็นการกระทำของชูชกที่ทำกับบุตรผู้เป็นที่รัก ทรงกรรแสงเพราะเสียพระทัยและเศร้าสลดในการกระทำของพราหมณ์ชูชก แต่ไม่ได้ทรงเสียพระทัยในการให้ทานของพระองค์ เพราะพระองค์ไม่ได้มีมิจฉาทิฏฐิในการให้ทานโดยไม่ยั้งคิดหรือให้ทุกสิ่งที่ตนต้องการจะให้โดยมุ่งตนเป็นที่ตั้งในการให้ทาน แต่เป็นการสละทุกสิ่งที่เป็นการยึดติด ยึดมั่นด้วยอัตตวาทุปทาน ซึ่งแม้กระทั่งชีวิตเป็นที่สุด พระองค์ก็ทรงประทานแม้หากมีผู้ร้องขอ ดังนั้น ในที่สุดพระองค์จึงเป็นผู้นิ่ง และปลอบโยนให้พระนางมัทรีจนพระนางร่วมอนุโมทนาในกุศลเจตนาของพระองค์
    การกล่าวว่าเป็นการกระทำผิดหรือไม่นั้น ถ้าหากอาศัยการอนุโมทนาของพระนางมัทรีผู้เป็นแม่ การวินิจฉัยย่อมเป็นอันจบ เพราะไม่มีใครยอมรับได้ว่า ผู้เป็นแม่จะสามารถสลัดความผูกพันที่มีต่อลูกได้โดยง่าย ดังนั้น การอนุโมทนาแห่งพระนางมัทรีจึงเป็นการเน้นย้ำได้ว่า การกระทำของพระเวสสันดรส่งผลต่อการบรรเทาอกุศลธรรม และยังกุศลธรรมให้เกิดอย่างแน่นอน ความที่พระองค์กรรแสง จึงไม่ใช่เหตุที่จะถือเป็นประเด็นหลักว่าพระองค์ทรงเสียพระทัยในการกระทำที่ผิดพลาดของพระองค์หรือไม่ แต่เมื่อมุ่งถึงสัมโพธิญาณเป็นที่ตั้ง และการให้ทานดังกล่าวก็ดำเนินไปสู่เป้าหมายคือสัมโพธิญาณอันเป็นความดีสูงสุด การกระทำใด ๆ ที่นำไปสู่ความสำเร็จดังกล่าว ย่อมดีโดยสภาวะ และถ้าหากนำห่างจากเป้าหมายสูงสุดจึงจะกล่าวได้ว่า การกระทำนั้นเป็นการกระทำที่ไม่ดี
    เมื่อกล่าวโดยเกณฑ์หลักที่สอง กล่าวคือสภาวธรรมที่ส่งผลต่อจิตใจจากการให้ทานของพระเวสสันดร ย่อมบริสุทธิ์โดยส่วนเดียว นอกเสียจากมีหลักฐานปรากฏว่า พระสมณโคดมผู้ศากยบุตร ไม่ได้บรรลุสัมมาสัมโพธิญาณอันเป็นเป้าหมายสูงสุดที่พระองค์ตั้งไว้ การวินิจฉัยว่า การให้ทานของพระเวสสันดรในครั้งนี้เป็นการกระทำที่ผิดจึงอาจจะมีนัยให้พิจารณากันต่อไป
    อีกประการหนึ่ง วิธีการที่พระองค์กระทำ โดยการให้ลูก และภรรยาแก่ผู้อื่นนั้น เป็นวิธีการที่ดี ที่ถูกต้องหรือไม่ ถ้ากล่าวโดยสิทธิอันชอบธรรม ลูกและภรรยาย่อมมีสิทธิในชีวิตของตนในความเป็นมนุษย์เสมอกัน และในการให้ลูกและภรรยาของพระองค์นั้น ทรงขออนุญาตและกล่าวถึงเหตุผลของการกระทำของพระองค์ให้ลูกทั้งสองและภรรยาฟัง จนเป็นที่เข้าใจ และยอมรับในการกระทำของพระองค์ จึงไม่อาจจะกล่าวได้ว่าพระองค์ทรงกระทำโดยพลการและไม่ได้รับความยินยอม เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนดังที่เข้าใจกัน โดยเกณฑ์รองข้อนี้ การให้ทานลูกและภรรยาเพื่อการได้มาซึ่งสัมโพธิญาณ จึงเป็นการกระทำที่ดี ควรกระทำ
    ซึ่งประเด็นปัญหานี้พระเจ้ามิลินท์ก็ได้ถามพระนาคเสนเถระ ว่าเป็นการให้ทานที่ทำให้คนอื่นลำบาก จะเป็นการสมควรละหรือ
    พระนาคเสนเถระวินิจฉัยว่า พระเวสสันดรโพธิสัตว์ทรงกระทำกรรมซึ่งยากที่ผู้อื่นจะทำได้ การให้ทานของพระองค์มีผลเที่ยงแท้กิตติศัพท์ของพระองค์ย่อมฟุ้งขจรตลอดไตรภพ ย่อมระบือลือเลื่องมาโดยลำดับ ตราบเท่าจนทุกวันนี้ อันแสดงให้เห็นว่าพระองค์กระทำถูกต้องน่าสรรเสริญ
    นอกจากนี้พระนาคเสนเถระย้อนถามว่าหากมีสมณพราหมณ์ผู้มีศีลมีจิตเป็นกุศลแต่ขาพิการจะเดินไปไหนก็ไม่ได้ มีบุรุษผู้ปรารถนาบุญกุศลยกเอาสมณพราหมณ์นั้นขึ้นสู่ยาน นำไปส่งให้ถึงสถานอันสุขสบาย ตามที่สมณพราหมณ์ต้องการ บุรุษนั้นจะได้กุศลผลบุญที่เป็นความสุขและจะได้ไปบังเกิดในสุคติภพหรือไม่
    พระเจ้ามิลินท์ ตรัสตอบทันทีว่า ต้องได้แน่นอนทั้งสมบัติที่เป็นของมนุษย์และสมบัติที่เป็นทิพย์ไม่ว่าเขาจะไปทางไหนย่อมได้รับความสะดวกสบาย ไม่มีปัญหาในเรื่องพาหนะสำหรับเดินทาง ทั้งในโลกนี้และโลกหน้า
    พระนาคเสนได้จังหวะดีจึงถวายพระพรว่าเช่นเดียวกันนั้นแหละมหาบพิตร พระเวสสันดรโพธิสัตว์นั้น ถึงจะให้สองพระโอรสได้รับทุกข์ ด้วยพราหมณ์ทำเข็ญผูกรัดด้วยเถาวัลย์ ก็จะได้เสวยวิบากผลเป็นสุข เหมือนบุรุษที่ส่งสมณพราหมณ์ผู้อาพาธนั้น
    เมื่อพิจารณาถึงผลของการกระทำ การกระทำดั่งกล่าวมีผลคือการบรรลุสัมโพธิญาณอันเป็นประโยชน์แก่คนเป็นอันมาก ผลในที่นี้จึงทำให้การกระทำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ควรกระทำ
    วิธีการดังกล่าวทำให้สังคมยอมรับได้หรือไม่นั้น ต้องพิจารณาดูว่า ผู้ที่ยอมรับหรือไม่ยอมรับนั้นเป็นบัณฑิตหรือพาลชน และใช้เกณฑ์อะไรสำหรับตัดสิน มีอยู่ไม่น้อยที่ใช้อารมณ์และความรู้สึกส่วนตนเป็นเครื่องตัดสินการกระทำ เช่น เพราะรักจึงเห็นว่าเป็นการไม่สมควร แต่พระพุทธองค์ใช้เกณฑ์คือเจตนาที่ตั้งใจจะบำเพ็ญเพียร บำเพ็ญปรมัตถบารมีเพื่อการบรรลุสัมโพธิญาณเพื่อช่วยเหลือคนเป็นจำนวนมาก ซึ่งก็คือผลที่จะเกิดแก่สังคม อันเป็นประโยชน์ของมหาชนในภายหน้าเป็นเกณฑ์หลักในการตัดสิน ถึงแม้วิธีการจะเป็นสิ่งที่คนทั่วไปมักจะกล่าวว่าเป็นการไม่สมควรก็ตาม
    การใช้เกณฑ์ในการตัดสินนั้น จึงอยู่ที่ว่า เกณฑ์ตัดสินที่ดีนั้น ต้องมีแนวโน้มไปสู่ความจริงสูงสุด และเข้าไปใกล้ต่อจุดมุ่งหมายสูงสุดอันเป็นอันติมสัจจะซึ่งในทางพระพุทธศาสนาหมายถึงพระนิพพานนั่นเอง ซึ่งในกรณีของพระพุทธเจ้าคือการบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ และนอกจากนั้น เกณฑ์ที่ยังต้องนำไปสู่สิ่งสูงสุดอันเป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่น แต่ถ้าหากเกณฑ์ดังกล่าว มีแนวโน้มที่จะขัดขวาง หรือออกห่างจากความจริงสูงสุดและนำไปเพื่อประโยชน์ในฐานะที่เป็นเพียงเครื่องมือ ไม่อาจจะนำไปสู่สิ่งสูงสุดได้ เกณฑ์ดังกล่าวนั้นก็ไม่ใช่เกณฑ์ที่ดี
    ถ้าเอาเกณฑ์หลักมาตัดสิน ก็ต้องตั้งคำถามว่า พระเวสสันดรกระทำไปเพราะความอยากได้ลาภ อยากได้ยศ อยากได้สุข หรืออยากได้สรรเสริญหรือก็ไม่ใช่ พระองค์กระทำไปเพราะประสงค์จะประทุษร้ายบุตรธิดาของตนหรือไม่ใช่ หรือว่าพระองค์กระทำไปเพราะความหลงหรือ ก็ไม่ใช่เมื่อพระองค์กระทำลงไปแล้ว สภาพจิตของพระองค์เสื่อมลงหรือไม่ ก็ไม่มี แม้ตอนแรกพระองค์จะโกรธที่เห็นชูชกตีบุตรต่อหน้า แต่ด้วยความฉลาด (กุศล) พระองค์ก็ระงับความโกรธด้วยสติทันที มีแต่ความเบิกบานใจ ความยินดีที่ได้กระทำปุตตทาน
    การให้หลักเกณฑ์แรกตัดสินการกระทำของพระเวสสันดร จึงมีความชอบธรรม
    ส่วนหลักตัดสินในประเด็นที่สอง พระเวสสันดรมีมโนธรรม คือความรับผิดชอบชั่วดีในการกระทำนั้นหรือไม่ พระองค์กระทำไปด้วยความรู้ว่า เป็นสิ่งที่ดีเลิศ เพราะจะนำมาซึ่งประโยชน์แก่สรรพสัตว์ และพระองค์เองหรือนักปราชญ์ก็ไม่ได้ติเตียนการกระทำนั้น จะติเตียนพระองค์ก็มีแต่เฉพาะนักคิดประดิษฐ์วาทะเพื่อลวงโลก
    กรณีที่กล่าวว่า ไม่เป็นการล่วงละเมิดสิทธิเด็กหรือ ถ้าจะดูที่จารีต หรือประเพณีก็เป็นหลักปฏิบัติของผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์ทั้งหลายที่จะต้องกระทำเช่นนี้ และที่บุตรธิดาคร่ำครวญนั้น ก็เพราะความที่ยังเป็นเด็กอยู่ หากบุตรธิดารู้ความและทราบประโยชน์ที่พระบิดากระทำลงไปนั้น ก็จะมีความยินดี และจะไม่รำพันบ่นเพ้อเลย
    ๓.๔ ทัศนะเกี่ยวกับการให้ทานของพระเวสสันดรของนักปราชญ์ไทย
    การให้ทานของพระเวสสันดรนี้นับเป็นทานที่นักปราชญ์พุทธศาสนาให้ความสนใจ เพราะถือว่าการให้ทานนี้เป็นแบบอย่างที่พระโพธิสัตว์ทำสืบต่อกันมา และเกี่ยวข้องกับจริยธรรม เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของชาวพุทธโดยตรง ดังนั้นจึงได้รวบรวมทัศนะของนักปราชญ์ฝ่ายพุทธมารวมไว้เพื่อเป็นพิจารณาเป็นแนวศึกษาวิเคราะห์ร่วมกัน ดังนี้
    ๑. สมเด็จพระเทพพระรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชนิพนธ์ วิทยานิพนธ์เรื่อง ทศบารมีในพุทธศาสนาเถรวาท โดยในการศึกษาวิเคราะห์การให้ทานอันเป็นทานบารมีของพระเวสสันดรในจริยาปิฎก ทรงมีพระราชวินิจฉัยดังนี้
    การที่พระเวสสันดรพระราชทานกัณหา ชาลีและพระนางมัทรีแก่ผู้มาขอ ก็ดูเป็นการเห็นแก่ตัวที่ตัดสินยกชีวิตของผู้อื่นให้แก่ผู้รับที่ไม่เหมาะสม เพื่อตนเองจะได้บรรลุพระโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต อย่างไรก็ตาม เราสามารถพิจารณาเรื่องในนี้ในทัศนคติของบุคคลในสมัยหลังพุทธกาล ซึ่งยึดถืออุดมคติของวิถีชีวิตชั้นสูง การบรรลุพระโพธิญาณเป็นพระพุทธเจ้านั้น เป็นภาวะที่มีค่าสูงสุดที่มนุษย์จะพึงได้ ภาวะนี้จักนำประโยชน์อันยิ่งใหญ่มาสู่สรรพสัตว์ เหมือนกับเช่นการสละราชสมบัติของเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วเสด็จออกบรรพชาจนได้ตรัสรู้ ได้นำประโยชน์ยิ่งใหญ่มาสู่มนุษยโลก นับประมาณมิได้ ตั้งแต่สมัยพุทธกาลจนถึงปัจจุบันและต่อไปในอนาคต ถ้าพระพุทธองค์ทรงเลือกราชสมบัติ ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน พระบิดามารดา พระโอรส และพระมเหสี โลกก็จะไม่ได้รับประโยชน์จากพุทธศาสนา[๔๐]
    ๒. จำนงค์ ทองประเสริฐ กล่าวถึงประเด็นการให้ทานของพระเวสสันดรว่าเป็นการละเมิดหรือทำลายสิทธิมนุษยชนและเป็นอัตนิยมหรือไม่ ในการบรรยายเกี่ยวกับปรัชญาทางพุทธศาสนาว่า
    พระเวสสันดรก่อนที่จะยกลูกให้ก็เกลี้ยกล่อมลูกเสียก่อน อ้างเหตุผลให้ลูกเห็นว่าพ่อให้ไปนี้ไม่ใช่พ่อเกลียด ให้ไปทั้งๆ ที่พ่อรัก แต่ว่าสิ่งที่พ่อรักมากกว่านั้นก็คือการเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ต้องการที่จะช่วยชาวโลกให้พ้นทุกข์ แม้ชีวิตของพระองค์ก็ยังยอมเสียสละได้ แล้วทำไมลูกพระองค์จึงจะเสียสละไม่ได้ แล้วก็บอกว่า ลูกนี้เหมือนกับสำเภาทองที่จะทำให้พ่อนี้ข้ามพ้นจากห้วงสังสารวัฏ ถาหากว่าพ่อจะข้ามทะเลมหาสมุทร ถ้าพ่อไม่มีพาหนะ มีเรือ พ่อจะข้ามไปได้อย่างไร และพาหนะคือเรือก็จะนำไปสู่ฝั่งแห่งอมตมหานิพพานนั้นก็คือลูกเท่านั้น ลูกนี้เหมือนกับสำเภาทองที่จะทำให้พ่อไปถึงฝั่งอมตมหานิพพาน ถ้าขาดลูกเสียแล้ว พ่อไปไม่ถึงหรอก นี่พ่อชี้ให้เห็นว่าลูกมีความสำคัญต่อพระโพธิญาณเพียงใด ชี้ให้เห็นว่าลูกนี้มีความสำคัญต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ได้บำเพ็ญบารมีมา ลูกนี้เป็นลูกที่รักของพ่อ จนกระทั่งกัณหา-ชาลีมองเห็นซึ้งเหมือนกันว่า ที่พ่อให้ไปนี้ไม่ใช่เพราะพ่อเกลียด
    พระนางมัทรีมีสติฟื้นขึ้นมาแล้ว จึงได้เจรจากันด้วยเหตุผลให้เข้าใจ ซึ่งพระเวสสันดรก็ชี้แจงให้ฟัง พระนางมัทรีก็ไม่ขัดข้องอะไร และพลอยทรงเห็นว่าพระเวสสันดรทำนั้นถูกต้องแล้ว
    กรณีการยกพระนางพระนางมัทรีให้เป็นทานเป็นการไม่เคารพในสิทธิมนุษยชนหรือไม่ มีการวินิจฉัยดังนี้
    ความจริง พระนางมัทรีเป็นชายาของพระเวสสันดรหรือว่าเป็นภริยาของพระเวสสันดร ตามหลักของศาสนาพราหมณ์หรือคติของอินเดียนั้น เขาถือว่า สตรีนี้เป็นทรัพย์สมบัติอย่างหนึ่งเท่านั้น ไม่สามารถที่จะปกครองตัวเองได้ เพราะฉะนั้น เมื่อเราเป็นของอะไร เราต้องการให้อะไรแก่ใคร เราก็ให้ได้ นี่ว่าโดยสิทธิ
    การที่พระเวสสันดรยกพระนางมัทรีให้แก่พราหมณ์นั้น พระองค์ก็ขออนุญาตความเห็นชอบจากพระนางมัทรีเสียก่อน เพื่อเห็นแก่การบำเพ็ญบารมี พระนางมัทรีก็ยอม[๔๑]
    มองในแง่สิทธิมนุษยชน พระเวสสันดรก็ไม่ได้บังคับขู่เข็ญ พระองค์ทรงขอความเห็นชอบจากพระนางมัทรีเสียก่อนแล้วจึงได้ยกให้ แต่ว่าโดยความเชื่อ พระเวสสันดรก็มีสิทธิที่จะให้ลูกให้เมียแก่ใครก็ได้ แต่ถ้ามองในแง่ของปรัชญาแล้วก็ชี้ให้เห็นว่าพระเวสสันดรเป็นผู้ที่เห็นแก่ประโยชน์แก่คนหมู่มากมากกว่าประโยชน์ส่วนตน[๔๒] ตามคตินิยมในการบำเพ็ญทานบารมีของพระโพธิสัตว์
    การวินิจฉัยด้วยเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ผ่านมา เป็นการกระทำตามกรอบแห่งเกณฑ์วินิจฉัยคุณค่าการกระทำตามหลักพุทธจริยศาสตร์ ไม่ได้พิจารณาโดยกรอบแห่งสิทธิมนุษยชนตามกฎเกณฑ์ที่สังคมโลกบัญญัติขึ้น แท้จริง การกล่าวถึงเจตน์จำนง วิธีการ ผลและเป้าหมายของการกระทำระหว่างปัจเจกบุคคลและสังคมโดยรวมนั้น พระพุทธศาสนาไม่ได้ละเลยที่จะนำมาเป็นประเด็นในการพิจารณา ดังจะเห็นได้จากเกณฑ์หลักและเกณฑ์รองซึ่งส่วนใหญ่เป็นเรื่องที่อาศัยเจตน์จำนงร่วมของสังคมเป็นเกณฑ์ตัดสิน
    เมื่อกล่าวโดยกรอบของพระพุทธศาสนา การกระทำที่ดีคือการกระทำที่เป็นวิถีทางไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือพระนิพพาน และการกระทำที่ไม่ดี คือการกระทำที่ขัดขวางต่อการบรรลุเป้าหมายสูงสุดดังกล่าว การให้ทานของพระเวสสันดร เป็นสิ่งที่ดี นั่นเพราะการให้ทานนั้น นำไปสู่ความดีสูงสุดกล่าวคือสัมมาสัมโพธิญาณ เมื่อการกระทำที่ดี ที่ถูกคือการกระทำที่เป็นวิธีการ แนวทาง หรือวิถีทางไปสู่เป้าหมายสูงสุด และการให้ทานของพระเวสสันดรนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดดังกล่าวได้จริง ดังนั้น การให้ทานของพระเวสสันดรจึงถูก
    วิธีการที่ทรงกระทำก็คือการเสียสละสรรพสิ่งที่เป็นเหตุแห่งความยึดติด มีความโลภเป็นต้นสิ่งเหล่านี้เป็นเหตุแห่งการก่อภาวะความมีตัวตนและการเข้าไปยึดติดในสภาวะเหล่านี้เป็นสิ่งขัดขวางต่อการเข้าถึงพระนิพพาน ภาวะดังกล่าวนี้ในพระพุทธศาสนาเรียกว่า อัตตวาทุปาทาน การเข้าถึงพระนิพพานหรือสัมมาสัมโพธิญาณอันเป็นปรมัตถธรรม จำเป็นต้องบรรเทาและกำจัดอัตตวาทุปาทานอันเป็นสิ่งขัดขวางเหล่านี้ให้ได้ โดยวิธีการใด ๆ ก็ตาม
    เมื่อว่าโดยธรรมชาติมนุษย์ ความรัก ความห่วงแหน และความเป็นเจ้าของมักจะมีมาก เมื่อเห็นว่าสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีคุณค่าต่อตนเองมากและนั่นเป็นเหตุแห่งการยึดติด ยึดมั่นมากขึ้น และความทุกข์ย่อมเกิดเพราะเหตุแห่งความรัก โดยนัยนี้ พระพุทธศาสนาดูเหมือนมองโลกและชีวิตในแง่ร้ายทุกสิ่งไป แต่ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่า ตนเองไม่เคยต้องทุกข์เพราะไม่อาจทำอะไรได้อย่างที่ใจหวัง หรือไม่ได้อย่างที่หวังไว้ว่าคนอื่นจะทำตามที่เราต้องการ พระพุทธศาสนาไม่ได้ปฏิเสธหรือกล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลว่าเป็นสิ่งที่ชั่วช้า เลวทราม ตรงกันข้าม พระพุทธศาสนาสอนเรื่องความเป็นผู้ซื่อตรง ซื่อสัตย์และความรักต่อภริยา สามีและบุตรธิดาไว้โดยละเอียด แต่การกระทำเหล่านั้นเป็นเรื่องของโลกียวิสัยเป็นเหตุแห่งทุกข์ ถึงแม้จะมีความสุขบ้างนั่นเพราะมีเหตุที่กระทำให้เกิดผลเช่นนั้น การที่สามีทุบตีภรรยา การที่ภรรยาหึงหวงสามีจบลงด้วยการทำลายชีวิตหรือ การหย่าร้าง ครอบครัวแตกแยกสร้างปัญหาให้สังคม เหล่านี้ล้วนเกิดจากการไม่สามารถประคับประคองเหตุแห่งความสุขให้อยู่ตลอดไปได้ ความเบื่อหน่าย ความไม่อิ่มเต็มในกามคุณ และการยึดถือตนเองเป็นใหญ่เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นปัญหาเมื่อความรัก ความสิเน่หา และความพึงพอใจที่มีต่อกันสิ้นสุดลง การที่สามีทุบตีภริยาด้วยแรงโทสะ หรือภริยาหึงหวงสามีด้วยแรงแห่งความปรารถนาครอบครองเป็นธรรมชาติของมนุษย์ การแสดงพฤติกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ เกิดจากอกุศลธรรมและจบลงด้วยผลแห่งอกุศลกรรมที่ได้ก่อขึ้นคือความยุ่งยาก สับสน วุ่นวาย ความรักและการหวงแหนโดยความเป็นตัวตนจึงนำไปสู่เป้าหมายต่าง ๆ เหล่านี้ เมื่อกล่าวถึงการให้ทานของพระเวสสันดร การวินิจฉัยโดยความเป็นตัวตนจึงถูกโยงให้เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย ดังนั้น การวินิจฉัยว่า การให้ทานตามแบบของพระเวสสันดรเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง และไม่ควรทำจึงดูไม่ขัดกับบริบทของสังคมในปัจจุบันโดยเฉพาะประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชน
    การกล่าวถึงประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชน ตามกรอบของสังคมโลกไม่ได้อยู่ในขอบเขตของการวิจัยในครั้งนี้ ดังนั้น กฎเกณฑ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับสิทธิ และเสรีภาพส่วนบุคคลจึงไม่ถูกหยิบยกขึ้นมาพิจารณาร่วมกับเกณฑ์ตัดสินคุณค่าที่ได้กระทำมาแล้ว แต่การละเลยที่จะกล่าวถึงสิทธิมนุษยชนในกรอบแห่งพระพุทธศาสนาไม่อาจจะหลีกเลี่ยงได้ เนื่องจากเป้าหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนาคือการเข้าถึงพระนิพพาน ดังนั้น บทบัญญัติต่าง ๆ ในพระพุทธศาสนาจึงต้องเอื้อต้องการเข้าถึงเป้าหมายสูงสุดดังกล่าว ทั้งเรื่องสิทธิ เสรีภาพในการพัฒนาตนเองของปัจเจกชนก็อยู่ในส่วนหนึ่งในพระพุทธศาสนาที่ไม่ควรจะละเลย และเป็นที่แน่นอนว่า ประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชนจะต้องเป็นไปตามระบบพุทธจริยศาสตร์นั่นคือมุ่งไปสู่เป้าหมายสูงสุด และนั่นหมายถึง ต้องยอมรับได้ว่า การกระทำใด ๆ ที่พระพุทธศาสนามีทัศนะว่าดี ในประเด็นของสิทธิมนุษยชนเมื่อพิจารณาและวินิจฉัยถึงที่สุดแล้วต้องยอมรับได้เช่นเดียวกัน
    พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) กล่าวถึงสิทธิและเสรีภาพในมุมมองของพระพุทธศาสนาไว้ว่า “ตามหลักพุทธศาสนา คนทุกคนเท่าเทียมกันในข้อที่ว่า คนทั้งปวงตกอยู่ในอำนาจกฎธรรมชาติเดียวกัน ทุกคนต้องเกิด แก่ เจ็บตาย ทุกคนต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรม ทุกคนต้องได้รับผลกรรมที่ตนหว่านพืชไว้ และโลกย่อมหมุนไปตามกรรมที่ ทุก ๆ คนได้ช่วยกันก่อขึ้น”
    ส่วนเสน่ห์ จามริก ให้แนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนในกรอบของพระพุทธศาสนา โดยลักษณะพื้นฐานของสิทธิและเสรีภาพในชีวิตเบื้องต้น โดยสรุป ดังนี้
    พระพุทธศาสนาถือว่า ชีวิตเป็นสิ่งที่ขึ้นอยู่กับภาวะผันผวนทางกายภาพจากการเกิดขึ้นของชีวิต พุทธศาสนามองเห็นสองด้านคือ ด้านบุคคลและด้านสังคมซึ่งมีส่วนพัวพันกันอยู่เป็นประจำในกระบวนการกลับกลายและการเปลี่ยนแปลง และมองไปที่คนเหนือสิ่งอื่นใดที่จะเป็นผู้ให้คำตอบที่แท้จริง และในบั้นปลายแก่ปัญหาทั้งหลาย นั่นคือ การหลุดพ้นและเสรีภาพที่แท้คือ การหลุดพ้นและเสรีภาพที่มาจากภายในของคนและในความสัมพันธ์ต่อเพื่อนมนุษย์ของตนนั่นเอง
    พระพุทธศาสนากล่าวถึงมนุษย์ในฐานะที่เป็นเวไนยสัตว์ นั่นคือผู้ที่สามารถจะแนะนำไปสู่เสรีภาพและความหลุดพ้นได้โดยตนเอง และตถาคตเป็นเพียงผู้บอกเท่านั้น ดังนั้น พระพุทธศาสนาจึงเชื่อในศักยภาพของมนุษย์ที่จะพัฒนาตนเองไปสู่ความมีอิสรภาพ และความสุขอย่างสมบูรณ์แบบ ตามหลักพระพุทธศาสนา และความมีอิสรภาพในการพัฒนาตนเองและการช่วยเอื้อโอกาสในการพัฒนาตนเองนั่นเอง เป็นรากฐานของพุทธจริยธรรม [๔๓]
    วิธีการปฏิบัติในการพัฒนาตนเองไปสู่ความมีอิสรภาพ และความสุขอย่างสมบูรณ์แบบก็คือการกระทำใด ๆ ที่เกิดจากกุศลเจตนากล่าวคือ ไม่ประกอบด้วยความโลภ ความโกรธ และความหลง อันจะเป็นการหาผลประโยชน์ให้แก่ตนเองและทำให้ผู้อื่นสูญเสียประโยชน์และสิทธิเสรีภาพที่ควรจะพึงมี พึงได้ การกระทำดังกล่าวจึงจะเรียกได้ว่าเป็นการกระทำที่ดีและเป็นการพัฒนาตนเองไปสู่เป้าหมายที่ดี ความเป็นไปเหล่านี้ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) กล่าวว่า เป็นกฎแห่งธรรม นั่นคือข้อกำหนดของจริธรรมที่เกิดจากกฎแห่งธรรม[๔๔] ซึ่งผลที่ได้นี้ไม่ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์หรือบุคคลกลุ่มหนึ่งกลุ่มใดเป็นผู้หยิบยื่นให้ แต่ผลที่จะพึงได้รับจะเป็นไปตามกระบวนธรรม กล่าวคือเมื่อการกระทำของตนเป็นไปโดยชอบธรรมกล่าวคือมีเจตนาที่ดี เป็นกุศล การกระทำของผู้นั้นย่อมไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น ผู้ที่พัฒนาตนเองตามกฎแห่งธรรมย่อมจะเข้าถึงความเป็นผู้มีอิสรภาพ เสรีภาพและความสุขแบบสมบูรณ์ได้โดยไม่เบียดเบียนผู้อื่น
    พระพุทธศาสนาจึงมองมนุษย์ในลักษณะที่เป็นการมองจากภายใน ไม่ใช่พฤติกรรมหรือสิ่งที่เห็นได้จากการกระทำในภายนอก ชีวิตของมนุษย์จึงเป็นไปตามเหตุปัจจัยตามสัจธรรม มนุษย์มีสิทธิและเสรีภาพอย่างเสมอภาคในการเข้าถึงจุดหมายแห่งตนอย่างเท่าเทียมกัน ดังนั้น บุคคลในทัศนะของพระพุทธศาสนา จึงไม่เป็นเพียงมรรควิธีหรือเครื่องมือของใคร แต่มนุษย์มีความเท่าเทียมกันในศักดิ์ศรีและสิทธิที่จะบรรลุถึงการหลุดพ้นหรือเสรีภาพ [๔๕]
    ส่วนลักษณะที่บุคคลต้องมีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นนั้น พระพุทธศาสนาเน้นความจำเป็นที่จะต้องมีการพัฒนากลไกควบคุมภายใน ความสามารถในการควบคุมภายตนเองเป็นเงื่อนปัจจัยสำคัญยิ่งยวดต่อการที่จะคิดค้นสร้างกลไกภายนอกและสถาบันอันอาจจำเป็นต้องมีขึ้น เสรีภาพจึงไม่ใช่เป็นเพียงสิ่ง ๆ หนึ่งเท่านั้น หากแต่เป็นกระบวนการชีวิตแบบรับรู้ซึ่งช่วยขยายขอบเขตความคิดและจิตใจของบุคคลให้กว้างขวางยิ่งขึ้นอยู่เสมอ [๔๖]
    ตามหลักสิทธิมนุษยชนในกรอบแห่งพระพุทธศาสนา ทุกคนมีสิทธิและเสรีภาพที่จะพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นผู้มีอิสรภาพและความสุขอย่างสมบูรณ์แบบอย่างเสมอภาค และเท่าเทียมกัน ถึงแม้ว่ามนุษย์ทุกคนที่เกิดมาจะไม่มีความเป็นเสรีและความสมบูรณ์ในฐานะหรือสรรพสิ่งอื่น ๆ อย่างเท่าเทียมกันโดยปริมาณ แต่ในความเป็นมนุษย์ทุกคนย่อมมีสิทธิและเสรีภาพโดยตนเองและมีสิทธิที่จะพัฒนาตนเองไปสู่เป้าหมายสูงสุดตามกฎแห่งธรรม เมื่อกล่าวในระดับสังคมก็คือความเป็นผู้มีอิสรภาพและความสุขที่ไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่น นั่นคือไม่เป็นการขัดขวางการเข้าถึงจุดหมายในการพัฒนาตนเองของแต่ละบุคคล สิ่งที่กำหนดเงื่อนไขก็คือกฎแห่งธรรมอันมีความเป็นจริงและเป็นอยู่เองโดยสภาวะไม่มีผู้ให้และไม่มีผู้รับ และเมื่อบุคคลถือกฎเดียวกันก็จะไม่มีผู้ใดต้องสูญเสียสิทธิในการเข้าถึงจุดหมายปลายทางที่สมบูรณ์แบบ
    นี้คือ แนวคิดเรื่องสิทธิมนุษยชนในกรอบของพระพุทธศาสนาซึ่งโดยหลักการทั่วไป การพัฒนาใด ๆ ย่อมนำไปสู่ความเป็นอิสรภาพและความสุขที่สมบูรณ์แบบอันเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตมนุษย์ด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อกล่าวในกรอบของพระพุทธศาสนา ในเชิงจริยศาสตร์ การกระทำ ใด ๆ ที่กล่าวว่าดี คือการกระทำที่นำไปสู่เป้าหมายสูงสุดอันเป็นบรมสุข ส่วนการกระทำที่ไม่ดี คือการกระทำที่นำห่างไปจากเป้าหมายสูงสุด และการให้ของพระเวสสันดรนำไปสู่เป้าหมายคือการบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณอันเป็นเป้าหมายสูงสุด ดังนั้น การกระทำของพระเวสสันดรจึงกล่าวได้ว่าเป็นการกระทำที่ดีตามหลักพุทธจริยศาสตร์ ส่วนการกระทำดังกล่าวจะดีหรือไม่ในกรอบแห่งสิทธิมนุษยชนตามแนวคิดของสังคมโลกและสังคมไทยปัจจุบัน ไม่อยู่ในแนววินิจฉัยในงานวิจัยครั้ง ขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยของผู้รู้ที่จะพึงกระทำด้วยความแยบคายต่อไป
    อีกประเด็นหนึ่งที่ไม่ควรละเลยคือ เกณฑ์ตัดสินคุณค่าเชิงจริยธรรมในพระพุทธศาสนาเป็นเกณฑ์ที่แน่นอนตายตัว เป็นจริงโดยสภาวะตามธรรมนิยาม และการพัฒนาตนเองตามหลักศีลธรรม เป็นไปตามหลักกรรมนิยามและจิตนิยาม ความดีและชั่วในพระพุทธศาสนา เป็นจริงโดยธรรม เหนือบทบัญญัติของสังคม เกณฑ์ตัดสินที่ดีต้องนำไปสู่ความดีสูงสุด ดังนั้น การกระทำใด ๆ ที่สอดคล้องกับความเป็นจริงข้อนี้ กล่าวได้ว่าการกระทำนั้นดี และตรงข้ามกับการกระทำนี้ ถือว่าเป็นการกระทำที่ไม่ดี การที่พระเวสสันดรบริจาคลูกและภริยาให้เป็นทานนั้น ถูกเพราะสอดคล้องกับความดีโดยธรรม ไม่ใช่เพราะใครเป็นผู้กระทำ ดังนั้น จึงควรคำนึงว่า ไม่ว่าคัมภีร์จะถูกแต่งขึ้นภายหลังในบริบทของสังคมใด ๆ ก็ตาม คัมภีร์นั้น อาจจะถือเอาแนวคิดของคนในสังคมเป็นเกณฑ์ร่วมในการให้คุณค่าทางจริยะร่วมด้วย แต่โดยหลักการที่แท้จริง ความดีสูงสุดย่อมไม่ถูกลบล้างโดยความเห็นและการกระทำของปัจเจกบุคคลที่ยังยึดถือในภาวะแห่งตัวตน (อัตตวาทุปาทาน) และสังคมที่ใช้ผลประโยชน์เป็นเครื่องต่อรองและวัดคุณค่าของสรรพสิ่ง
    ส่วนที่ ๔ บทสรุป จากการศึกษาวิเคราะห์ที่กล่าวมาสรุปได้ดังนี้
    การให้ทานของพระเวสสันดรดังกล่าว เป็นสิ่งที่ควรกระทำ ไม่ว่าจะโดยใช้เกณฑ์หลักคือเจตนาหรือความเป็นเหตุเป็นผลของสภาวธรรม และเกณฑ์รองกล่าวคือมโนธรรม การยอมรับของคนผู้เป็นบัณฑิต และผลที่ได้อันเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม วิธีการและเป้าหมายในการกระทำเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และเป็นวิธีการที่ดีเพราะนำไปสู่ความจริงสูงสุดหรืออันติมสัจจะกล่าวคือการเข้าถึงสัมโพธิญาณ เข้าถึงพระนิพพานอันเป็นบรมสุข เป็นที่สุดแห่งทุกข์ ตามหลักพุทธจริยศาสตร์
    พระเวสสันดรกระทำทานก็หวังผลเช่นกันแต่เป็นผลประโยชน์แก่ประชาราษฎรของพระองค์ และมิตรประเทศ หวังที่จะช่วยเหลือเขาให้พ้นจากความเดือดร้อน และ ที่ต้องกระทำนั้นยังเป็นหน้าที่โดยตรงของผู้นำที่มีจิตประกอบด้วยเมตตาธรรม ถ้าผู้นำขาดคุณธรรม (ทาน) เสียแล้ว มวลประชาราษฎร์และประเทศชาติคงไปไม่รอดอย่างแน่นอน บางครั้งพระองค์กระทำทานจนตัวเองได้รับความเดือดร้อน เพราะมีคนอีกจำนวนหนึ่งยอมรับไม่ได้
    เหตุผลต่าง ๆ ในการบำเพ็ญทานบารมีของพระเวสสันดรโพธิสัตว์ตามที่กล่าวมาแสดงให้เห็นได้ชัดเจนว่า การมอบลูกและภรรยาให้แก่ผู้อื่นของพระเวสสันดร เป็นคติแห่งการบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ เพื่อการตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณอันเป็นอุดมคติสูงสุดของชีวิตและการให้ทานดังกล่าวนี้ก็มีธรรมเนียมปฏิบัติเฉพาะของผู้บำเพ็ญเพียรเพื่อเข้าถึงความเป็นพระพุทธเจ้า ธรรมเนียมดังกล่าวนี้ ถึงแม้จะเข้าข่ายเป็นการกระทำผิดสิทธิมนุษยชนหรือเป็นการเห็นแก่ตัว แต่เมื่อพิจารณาในบริบทของพระโพธิสัตว์ การกระทำดังกล่าวจัดว่าเป็นการกระทำที่ถูกต้อง และควรแก่การกระทำ

    ส่วนที่ ๕ หนังสืออ้างอิง
    มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาเตปิฏกํ. กรุงเทพมหานคร
    : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๐๐.
    ________. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. กรุงเทพมหานคร :
    โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
    ________. อรรถกถาภาษาบาลี ฉบับมหาจุฬาฯ. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ
    ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕.
    ________. มิลินฺทปญฺหปกรณํ. ฉบับมหาจุฬาฯ. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์วิญญาณ. ๒๕๔๐.
    ________. มิลินฺทปญฺหอฏฐกถา. ฉบับมหาจุฬาฯ. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์วิญญาณ. ๒๕๔๑.
    ________. มิลินฺทปญฺหฏีกา. ฉบับมหาจุฬาฯ. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์วิญญาณ. ๒๕๔๑.
    มหามกุฏราชวิทยาลัย. ธมฺมปทฏฺฐกถา ปญฺจโม ภาโค. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกุฎราช
    วิทยาลัย. ๒๕๓๑.
    คณะกรรมการแผนกตำรา มหามกุฏราชวิทยาลัย. มังคลัตถทีปนี แปล เล่ม ๒. พิมพ์ครั้งที่ ๑๗.
    กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย, ๒๕๓๔
    _________. มังคลัตถทีปนี แปล เล่ม ๓. พิมพ์ครั้งที่ ๑๗. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกุฎ
    ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๔
    _________. มงฺคลตฺถทีปนี ปฐโม -ทุติโย ภาโค. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกุฎ
    ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๔.
    _________. มงฺคลตฺถทีปนี. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย. ๒๕๓๔
    กันต์ วฑฺมนวํโส (มโนวัฒนันท์), พระมหา. “การศึกษาเปรียบเทียบแนวความคิดเรื่องเกณฑ์
    ตัดสินทางจริยธรรมในจริยศาสตร์ของค้านท์กับในพุทธจริยศาสตร์ตามทรรศนะของพระ
    เทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต)”. วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาปรัชญา
    บัณฑิตวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๕.
    กีรติ บุญเจือ. จริยศาสตร์สำหรับผู้เริ่มเรียน. (พิมพ์ครั้งที่ ๔). กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ไทย
    วัฒนาพานิช, ๒๕๓๔.
    จำนงค์ ทองประเสริฐ. ปรัชญาประยุกต์ ชุดอินเดีย. กรุงเทพฯ: ต้นอ้อ แกรมมี จำกัด, ๒๕๓๙.
    จำนงค์ อดิวัฒนสิทธิ์. พื้นฐานทางจริยธรรมของพระพุทธศาสนา. ใน รวบรวมบทความทางวิชาการ พระพุทธศาสนาและปรัชญา (หน้า ๔๑-๕๐). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณ
    ราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐.
    ชยติลเลเก,เค.เอ็น. จริยศาสตร์แนวพุทธ. พิมพ์ครั้งที่ ๓. สุเชาวน์ พลอยชุม, ผู้เรียบเรียง.
    กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย. ๒๕๓๗.
    ชัชชัย คุ้มทวีพร,ผศ. จริยศาสตร์: ทฤษฎีและการวิเคราะห์ปัญหาจริยธรรม. พิมพ์ครั้งที่ ๒.
    กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์เจนเดอร์เพรส. ๒๕๔๑.
    เทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, สมเด็จพระ. ทศบารมีในพุทธศาสนาเถรวาท. พระราช
    วิทยานิพนธ์ ปริญญาอักษรศาสตร์มหาบัณฑิต, ภาควิชา ภาษาตะวันออก
    บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๔.
    เทพเวที (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) พระ. พุทธศาสนาในฐานะเป็นรากฐานของวิทยาศาสตร์.
    กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๓๕
    _________. เทคโนโลยีกับศาสนาและเกณฑ์วินิจฉัยความหมายและคุณค่าของพุทธธรรม.
    กรุงเทพมหานคร: หจก. ภาพพิมพ์. ๒๕๓๔.
    _________. พระพุทธศาสนากับสังคมไทย. (พิมพ์ครั้งที่ ๒). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์เรือน
    แก้วการพิมพ์. ๒๕๓๒.
    ธรรมปิฎก(ป.อ.ปยุตฺโต) ,พระ. ไตรภูมิพระร่วง อิทธิพลต่อสังคมไทย. (พิมพ์ครั้งที่ ๕).
    กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ มูลนิธิโกมลคีมทอง. ๒๕๔๓.
    _________. เพื่อชุมชนแห่งการศึกษาและบรรยากาศแห่งวิชาการ. กรุงเทพมหานคร: บริษัท
    สหธรรมิก จำกัด. ๒๕๔๓
    _________. พุทธธรรม. ฉบับปรับปรุงและขยายความ. พิมพ์ครั้งที่ ๘. กรุงเทพมหานคร:
    โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๔๒.
    _________. พระพุทธศาสนา พัฒนาคนและสังคม. กรุงเทพมหานคร:โรงพิมพ์ส่วนท้องถิ่น
    กรมการปกครอง. ๒๕๔๐.
    ธูปทอง กว้างสวาสดิ์. “การศึกษาเชิงวิจารณ์หลักมหสุขของ จอห์น สจ๊วตมิลล์”. วิทยานิพนธ์
    ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต, ภาควิชาปรัชญา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย
    เชียงใหม่. ๒๕๓๑
    นัยนา เกิดวิชัย. “ความสัมพันธ์ระหว่างความคิดเรื่องบุญกับนิพพานในพุทธปรัชญา
    เถรวาท”. วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตร์มหาบัณฑิต, ภาควิชาปรัชญา
    บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ๒๕๓๙.
    เนื่องน้อย บุณยเนตร. จริยศาสตร์ตะวันตก: ค้านท์ มิลล์ ฮอบส์ รอลส์ ชาร์ทร์. กรุงเทพมหานคร:
    สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย, ๒๕๓๙.
    บุญทัน อานนฺโท, พระมหา. “การศึกษาเชิงวิเคราะห์เรื่องเวสสันดรชาดก ศึกษาเฉพาะทานบารมี”.
    วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาปรัชญา บัณฑิตวิทยาลัย
    มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๔๐.
    ปรีชา ช้างขวัญยืน. “การศึกษาจริยศาสตร์สังคมในพุทธศาสนาในเชิงวิจารณ์”. วิทยานิพนธ์
    ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต, แผนกวิชาปรัชญา บัณฑิตวิทยาลัย
    จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. ๒๕๒๐.
    พุทธทาสภิกขุ. บำเพ็ญบารมี. กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์ธรรมสภา. ๒๕๔๓.
    ไพฑูรย์ อุทัยคาม, พระมหา. “การศึกษาแนวคิดเรื่องทานตามหลักพุทธจริยศาสตร์กับความเข้าใจเรื่อง
    ทานของชาวไทยพุทธ: ศึกษาเฉพาะกรณีในกรุงเทพมหานคร.” วิทยานิพนธ์ปริญญา
    อักษรศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาจริยศาสตร์ศึกษา, บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยมหิดล
    ๒๕๔๔.
    ไพรัชน์ เขียนวงศ์. พุทธจริยศาสตร์เถรวาทเป็นอัตนิยมหรือไม่. วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษร
    ศาสตรมหาบัณฑิต, บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. ๒๕๓๙.
    ไพลิน เตชะวิวัฒนาการ. “การศึกษาเปรียบเทียบเกณฑ์ตัดสินความดีในพุทธปรัชญาเถรวาทกับใน
    ปรัชญาของคานท์”. วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต, ภาควิชาปรัชญา
    บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย. ๒๕๓๓.
    ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕. (พิมพ์ครั้งที่ ๖).
    กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์อักษรเจริญทัศน์. ๒๕๓๙.
    วิทย์ วิศทเวทย์. จริยศาสตร์เบื้องต้น. (พิมพ์ครั้งที่ ๘). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์
    อักษรเจริญทัศน์. ๒๕๒๖.
    สง่า ไชยวงศ์, พระมหา. “การศึกษาวิเคราะห์เรื่องทานในพระพุทธศาสนา”. วิทยานิพนธ์
    ปริญญาศิลปศาสตร์มหาบัณฑิต, สาขาวิชาปรัชญา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย
    เชียงใหม่. ๒๕๔๑.
    สมภาร พรมทา. พุทธศาสนากับปัญหาจริยศาสตร์ โสเภณี ทำแท้งและการุณยฆาต.
    กรุงเทพมหานคร: สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ๒๕๔๑.
    เสน่ห์ จามริก. พุทธศาสนากับสิทธิมนุษยชน. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์
    มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ๒๕๓๑.
    สุพจน์ จิตสุทธิญาณ. “เกณฑ์ตัดสินความดีของพุทธศาสนา”. วิทยานิพนธ์ปริญญาอักษรศาสตร
    มหาบัณฑิต, ภาควิชาปรัชญา บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ๒๕๑๙.
    Medis, N.K.G. The Question of King Milinda an Abridgement of the Milindapanha.
    Kandy : Buddhist Publication Society, 2001.

    [๑] ดูรายละเอียดจากสุเมธกถา ใน ขุ.พุทธ. ๓๓/๑-๑๘๗/๔๔๗–๔๖๖ และ ขุ.ชา.อ.๑/๓-๑๑๓.
    [๒] พระมหาสง่า ไชยวงศ์, “การศึกษาวิเคราะห์เรื่องทานในพระพุทธศาสนา”. วิทยานิพนธ์ปริญญาศิลป ศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาวิชาปรัชญา บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. ๒๕๔๑, หน้า ๕๐-๕๕.
    [๓] พระมหาบุญทัน อานนฺโท, : “การศึกษาเชิงวิเคราะห์เรื่องเวสสันดรชาดก ศึกษาเฉพาะทานบารมี”. วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรมหาบัณฑิต, สาขาปรัชญา บัณฑิตวิทยาลัย มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ๒๕๔๐.๗๗.
    [๔] ดูรายละเอียดเพิ่มเติมจาก วิ.ม.(ไทย) ๔/๑๓/๒๐
    [๕] ดูรายละเอียดเพิ่มเติมจาก วิ.ม.(ไทย) ๔/๒๖/๓๒.
    [๖] ขุ.อิติ. ๒๕/๖๐/๓๓๖
    [๗] ขุ.อิติ. ๒๕/๖๐/๓๓๖.
    [๘] อง.อฏฐก. (ไทย) ๒๓/๓๖/๒๙๔.
    [๙] อง.จตุกก.๒๑/๓๒/๔๒-๔๓.
    [๑๐] ที.สี.๙/๒๙๘/๑๕๓.
    [๑๑] ขุ.จริยา.อ. ๙/๖๑๖-๖๑๘.
    [๑๒] ม.อุ.๑๔/๓๗๙–๓๘๐/๔๔๙–๔๕๐.
    [๑๓] มงฺคลตฺถทีปนี.๒/๑, ๓๖-๓๗.
    [๑๔] องฺ. อฏฺฐก.๒๓/๓๒/๒๖๘
    [๑๕] ขุ.อิติ. ๒๕/๙๘/๓๘๘
    [๑๖] ขุ.จริยา.อ. ๙/๖๒๑
    [๑๗] ขุ. ธ. ๒๕/๓๖๔/๙๒
    [๑๘] อัง.ทุก. ๒๐/๑๔๒/๑๒๒
    [๑๙] ขุ.จริยา.อ. ๙/๒๖๑
    [๒๐] อัง.ติก. ๒๐/๔๑/๒๐๒ ในสัมมุขีภาวสูตร
    [๒๑] มงฺคลตฺถทีปนี ทุติโย ภาโค, ๒๕๓๔:๔
    [๒๒] มังคลัตถทีปนี (แปล). ๓/๑๗๔.
    [๒๓] อัง.ติก.๒๓/๓๕/๓๗๑-๓๗๓.
    [๒๔] องฺ.อฏฺฐก.๒๓/๓๑/๒๖๘ ปฐมทานสูตร
    [๒๕] องฺ. อฏฺฐก. ๒๓/๓๓/๒๖๙ ทานวัตถุสูตร
    [๒๖] อัง.ปัญจก.๒๒/๓๖/๔๕ กาลทานสูตร
    [๒๗] อัง.ปัญจก.๒๒/๑๔๗/๑๙๗ อสัปปุริสทานสูตร
    [๒๘] อัง.อัฏฐก.๒๓/๓๗/๒๗๖ และดูเพิ่มเติมในสัปปุริสทานสูตร
    [๒๙] อัง.ปัญจก.๒๒/๑๔๘/๑๙๗-๑๙๘
    [๓๐] อัง.ปัญจก.๒๒/๑๔๗/๑๙๗
    [๓๑] ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕. พิมพ์ครั้งที่ ๖. (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์อักษรเจริญทัศน์. ๒๕๓๙), หน้า ๓๐๓.
    [๓๒] ขุ.จริยา.อ.๙/๕๗๐
    [๓๓] พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม. (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๘) หน้า ๒๘๔.
    [๓๔] ขุ. ชา. อ. ๑/๒๖-๔๐.
    [๓๕] ขุ.จริยา.๓๓/๓๗-๓๙/๕๔๗
    [๓๖] ขุ.จริยา. ๓๓/๕๑-๖๖/๕๔๙-๕๕๑
    [๓๗] ขุ.จริยา.๓๓/๑๒๕-๑๔๓/๕๕๘-๕๖๐
    [๓๘] อัง.นวก.๒๓/๒๐/๔๔๘-๔๔๙
    [๓๙] มิลินท.๑/๒๘๕-๒๙๕
    [๔๐] สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี, “ทศบารมีในพุทธศาสนาเถรวาท”. พระราช
    วิทยานิพนธ์ ปริญญาอักษรศาสตร์มหาบัณฑิต, (ภาควิชา ภาษาตะวันออก บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๔), หน้า ๖๐.
    [๔๑] จำนงค์ ทองประเสริฐ, ๒๑๙-๒๒๒
    [๔๒] เรื่องเดียวกัน.
    [๔๓] พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), ๒๕๓๑ก: ๘
    [๔๔] พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ๒๕๓๑ข: ๙
    [๔๕] เสน่ห์ จามริก, พุทธศาสนากับสิทธิมนุษยชน. (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. ๒๕๓๑), หน้า ๓๗-๓๘.
    [๔๖] เรื่องเดียวกัน, หน้า ๓๙.
    (ที่มา: -)
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ธรรมะวันหยุด


    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแนวทางดำเนินชีวิตด้วยเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อให้ประชาชนมีสติปัญญา ประกอบสัมมาชีพ พึ่งพาตนเองได้ และอยู่อย่างมีความสุข ต้องขยันหมั่นเพียรแสวงหาทรัพย์ ต้องรู้จักจ่ายใช้สอยทรัพย์ให้เป็นประโยชน์โดยยึดหลักธรรม 4 ประการ คือ

    1.ใช้หนี้เก่า

    2.ให้เขากู้

    3.ฝังไว้

    4.ทิ้งลงเหว

    มีนกแขกเต้าฝูงหนึ่งอาศัยอยู่ในป่า ทุกวันบินไปกินข้าวของชาวนา ตัวอื่นๆ กินข้าวแล้วบินกลับไป แต่มีนกแขกเต้าตัวหนึ่ง เวลากลับมักคาบเอารวงข้าวไปวันละ 3 รวง ชาวนาเกิดสงสัยจึงดักจับนกตัวนั้นมาถามว่า เจ้ากินอิ่มแล้วทำไมต้องคาบรวงข้าวไปอีกวันละ 3 รวง

    นกแขกเต้าตอบว่า ที่คาบไปวันละ 3 รวงนั้น รวงหนึ่งเอาไปใช้หนี้เก่า รวงหนึ่งเอาไปให้เขากู้ รวงหนึ่งเอาไปฝังไว้ ชาวนาต้องการรู้ขอให้นกแขกเต้าอธิบาย

    นกแขกเต้าอธิบาย รวงหนึ่งเอาไปใช้หนี้เก่า คือ เอาไปให้พ่อแม่กิน เพราะพ่อแม่เป็นผู้มีบุญคุณ เป็นผู้ให้กำเนิดเลี้ยงดูให้เติบโต เมื่อท่านแก่แล้วเป็นหน้าที่ของลูกต้องเลี้ยงดูตอบแทน

    ชาวนาสาธุการ นกตัวนี้ดีเหลือเกิน มีความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อแม่

    อีกรวงหนึ่งเอาไปให้เขากู้ คือ เอาไปให้ลูกหลานกิน เราเป็นผู้ให้กำเนิดมา เป็นภาระหน้าที่จะต้องเลี้ยงดูเขาให้ดี ให้มีสุขภาพแข็งแรง ต่อไปเขาเติบโตขึ้นมา ทำมาหากินได้แล้วจะเลี้ยงดูเราตอบแทน เปรียบเหมือนเอาไปให้เขากู้ ชาวนาให้สาธุการ นกตัวนี้ดี มีเมตตากรุณา กินอิ่มแล้วนึกถึงลูกหลาน

    อีกรวงหนึ่งเอาไปฝังไว้ คือ เอาไปฝากเพื่อนนกด้วยกัน บางตัวเป็นนกที่แก่ชรา บินไปหากินไม่ไหว บางตัวเป็นนกพิการปีกหักขาหัก ต้องอดอยาก ข้าพเจ้าเกิดความสงสารจึงคาบเอารวงข้าวไปฝากนกพวกนี้ เท่ากับว่าได้ฝังไว้ เป็นบุญกุศลในภายภาคหน้า

    ชาวนาสาธุการ นกนี้ใจบุญ ตัวเองกินอิ่มแล้วยังเอื้อเฟื้อต่อเพื่อนนกด้วยกันอีก

    พวกข้าพเจ้าพากันมากินรวงข้าว ของท่าน เปรียบเหมือนกับการทิ้งลงเหวคือท้อง ใส่ลงไปเท่าไรก็ไม่เต็ม ต้องใส่ทุกวัน ไม่เช่นนั้นจะต้องเป็นทุกข์เพราะความหิว ดังภาษิตว่า ความหิวเป็นโรคอย่างยิ่ง

    ชาวนาเกิดศรัทธาเลื่อมใสยกนาข้าวให้ 100 ไร่ แต่นกแขกเต้ารู้จักเพียงพอ ขอเพียง 50 ไร่เท่านั้น

    การปฏิบัติตามแนวทางความพอเพียง ยึดความประหยัด ตัดทอน ค่าใช้จ่ายในทุกด้าน ลดละความฟุ่มเฟือยในการดำรงชีพอย่างจริง จัง

    ดังพระราชดำรัสที่ว่า..ความเป็นอยู่ที่ต้องไม่ฟุ้งเฟ้อ ต้องประหยัดไปในทางที่ถูกต้อง ยึดถือการประกอบอาชีพด้วยความถูกต้องสุจริตแม้ว่าจะตกอยู่ในภาวะขาดแคลนในการดำรงชีพก็ตาม ดังพระราชดำรัสที่ว่า....ความเจริญของคนทั้งหลายย่อมเกิดมาจากการประพฤติชอบ และการหาเลี้ยงชีพของตนเป็นหลักสำคัญ


    พระเทพคุณาภรณ์ (โสภณ โสภณจิตฺโต ป.ธ. 9)

    เจ้าอาวาสวัดเทวราชกุญชร วรวิหาร / -www.watdevaraj.com-
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เทวโลก 6 ชั้น, พรหมโลก 20 ชั้น สวรรค์ชั้นไหนชื่ออะไรมาทำความรู้จักกัน

    -http://www.unzeen.com/article/347/-


    สวรรค์ หรือ เทวโลก คือภพภูมิอันเป็นที่อยู่ของเทวดา เป็นโลกที่อยู่อาศัยของกายละเอียด เป็นภพภูมิอันมีแต่ความสุข สมบูรณ์ด้วยทิพยสมบัติต่างๆ ซึ่งมีอยู่ 6 ชั้น ผู้ที่จะไปจุติบนสวรรค์ได้นั้นจะต้องเป็นผู้ที่ประกอบบุญกุศลอันดีงาม พรหมโลก นั้นเป็นภพภูมิที่อยู่ของผู้ที่เจริญสมาธิจนได้ ฌาณ ซึ่งมีอยู่อีก 20 ชั้น

    สวรรค์ หรือ เทวโลก มี 6 ชั้น ซึ่งเรียกว่า ฉกามาพจร มีดังนี้

    1. จาตุมหาราชิกา มีท้าวมหาราชทั้ง 4 เป็นผู้ปกครอง คือ
    -1. ท้าวธตรฐ ปกครองเทวดา 3 พวก ได้แก่ คนธรรพ์ วิทยาธร กุมภัณฑ์
    -2. ท้าววิรุฬหก ปกครองพวกครุฑ
    -3. ท้าววิรูปักษ์ ปกครองพวกนาค
    -4. ท้าวเวสสุวรรณ ปกครองพวกยักษ์

    2. ดาวดึงส์ มีพระอินทร์ เป็นผู้ปกครอง
    3. ยามา มีท้าวสุยามเทวราช เป็นผู้ปกครอง
    4. ดุสิต มีท้าวสันดุสิตเทวราช เป็นผู้ปกครอง
    5. นิมมานรดี มีท้าวสุนิมมิตเทวราช เป็นผู้ปกครอง
    6. ปรนิมมิตวสวัตดี มีท้าวปรนิมมิตวสวัตตีมาราธิราช เป็นผู้ปกครอง

    พรหมโลกมีทั้งหมด 20 ชั้น แบ่งเป็น รูปพรหม 16 ชั้น และ อรูปพรหม 4 ชั้น

    รูปพรหม 16 ชั้น

    1. พรหมปาริสัชชาภูมิ
    2. พรหมปุโรหิตาภูมิ
    3. มหาพรหมาภูมิ
    4. ปริตตาภาภูมิ
    5. อัปปมาณาภาภูมิ
    6. อาภัสราภูมิ
    7. ปริตตสุภาภูมิ
    8. อัปปมาณสุภาภูมิ
    9. สุภกิณหาภูมิ
    10. เวหัปผลาภูมิ
    11. อสัญญีสัตตาภูมิ
    12. อวิหาสุทธาวาสพรหมภูมิ
    13. อตัปปาสุทธาวาสพรหมภูมิ
    14. สุทัสสาสุทธาวาสพรหมภูมิ
    15. สุทัสสีสุทธาวาสพรหมภูมิ
    16. อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมภูมิ

    อรูปพรหม 4 ชั้น

    1. อากาสานัญจายตนภูมิ
    2. วิญญาณัญจายตนภูมิ
    3. อากิญจัญญายตนภูมิ
    4. เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    รายจ่าย ลงทุนอะไร ที่หักภาษีได้บ้าง?

    -http://money.sanook.com/224113/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%88%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A2-%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%A3-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%87/-


    ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีแล้ว เหลืออีก 2 เดือนเศษก็จะหมดปี สำหรับมนุษย์เงินเดือน มนุษย์ลูกจ้าง ก็คงฝันหวานถึงวันหยุดยาว เงินโบนัส(หากมี)และโอกาสใช้จ่ายเงินกับช่วงเทศกาลวันส่งท้ายปีและรับปีใหม่กันแล้ว

    แต่หลังจากนั้น มนุษย์เงินเดือนผู้มีรายได้ทั้งหลาย ต้องไม่ลืมว่า จะต้องเตรียมยื่นแบบเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดากันด้วย ซึ่งตามปรกติ กรมสรรพากรจะกำหนดให้ยื่นแบบตั้งแต่ต้นปี คือวันที่1 มกราคม จนไปถึงสิ้นเดือน มีนาคมของทุกปี

    ทั้งนี้คนที่มีรายได้ต้องมีหน้าที่ยื่นแบบเพื่อเสียภาษีประจำปีด้วย ดังนั้น ในช่วงสุดท้ายของปี หากใครจะลงทุนหรือบริหารการเงินอย่างไรเพื่อให้ได้ประโยชน์สามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุด วันนี้ sanook money จะรวบรวมข้อมูลมาให้เป็นแนวทางเบื้องต้นว่า แต่ละคนสามารถหักค่าใช้จ่ายจากอะไรได้บ้าง โดยเฉพาะการลงทุนอะไรที่สามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายในการเสียภาษีได้บ้าง รับรองว่าหลายคนจะได้รับเงินภาษีคืนอย่างแน่นอน.....


    [​IMG]


    เริ่มต้นจากการหักค่าใช้จ่ายส่วนตัวและค่าใช่จ่ายในครอบครัว
    กรณีคนโสด สามารถหักค่าใช้จ่ายส่วนตัวได้ 30,000 บาท
    กรณีสมรส หากคู่สมรสไม่มีรายได้และไม่ได้แยกยื่นภาษีสามารถหักค่าใช้จ่ายได้อีก 30,000 บาท
    และหากมีบุตร สามารถหักค่าใช้จ่ายได้อีกคนละ 15,000 บาท(รวมบุตรบุตรธรรม) สามารถหักได้รวมกันแล้วไม่เกิน 3 คน โดยบุตรต้องมีอายุ ต่ำกว่า 25 ปี และหากกำลังศึกษาอยู่ในประเทศสามารถหักเพิ่มเติมได้อีกคนละ 2,000 บาท
    นอกจากนี้หากใครมีบิดา มารดาอายุ 60 ปี ขึ้นไป ต้องเลี้ยงดูสามารถหักค่าใช้จ่าย ได้อีกคนละ 30,000 บาท นอกจากนี้เบี้ยประกันสุขภาพของบิดามารดา ยังนำมาหักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาทอีกด้วย
    และใครมีภาระต้องอุปการคนพิการ หรือ ทุพพลภาพ ยังสามารถหักค่าใช้จ่ายได้อีกคนละ 60,000 บาท

    การหักค่าใช่จ่ายจากรายจ่ายเพื่อเข้ากองทุนต่างๆ
    ปรกติคนทำงานกรณีลูกจ้างหรือพนักงานบริษัท จะถูกหักเงินเข้ากองทุนประกันสังคมในทุกเดือน ซึ่ง ค่าใช้จ่ายเหล่านี้สามารถนำมาหักภาษีได้ทั้งหมด และ
    หากใครที่สมัครกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ สามารถนำเงินที่ส่งเข้ากองทุนฯมาหักภาษีได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 500,000 บาท
    ส่วนข้าราชการซึ่งสมัครกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการหรือ กบข. ก็เช่นกันกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพสามารถนำเงินส่งกองทุนมาหักค่าใช้จ่ายได้ตามจริงแต่ไม่เกิน 500,000 บาทเช่นกัน

    การหักค่าใช้จ่ายจากการลงทุนเพื่อสร้างอนาคต หรือ การสร้างหลักประกันในอนาคต

    กรณีนี้ ใครที่มองเห็นเงินก้อน หรือ คาดว่าได้โบนัสก้อนงามในปีนี้แน่ๆวางแผนได้เลยครับว่าจะลงทุนในการลงทุนประเภทนี้เท่าไรอย่างไร เพราะสามารถนำมาหักภาษีได้มากโขทีเดียว
    ประกันฯ โดยเบี้ยประกันชีวิต และ เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญสามารถ หักได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เฉพาะกรมธรรม์ประกันชีวิตมีกำหนดเวลาตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป
    เงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ หรือ RMF หักได้ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้ และเมื่อรวมกับเงินสะสมกองทุนสำรองเลี้ยงชีพและกองทุน กบข. (ถ้ามี) หรือกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชนแล้วไม่เกิน 500,000 บาท

    เงินค่าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF หักได้ในอัตราไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 500,000 บาท



    ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคารที่อยู่อาศัย สามารถนำดอกเบี้ยเงินกู้มาหักภาษีได้ตามจำนวนเงินที่ได้จ่ายไปจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาท ส่วนกรณีมีคนกู้ร่วมก็สามารถนำไปเฉลี่ยกัน โดยเพดานคือรวมกันแล้วไม่เกิน100,000 บาทเช่นกัน

    หลังจากหักค่าลดหย่อนเหล่านั้นแล้ว หากใครที่สนับสนุนทางด้านการศึกษายังมีสิทธิทางภาษีโดย เงินสนับสนุนเพื่อการศึกษา มีสิทธิหักลดหย่อนได้ 2 เท่าของจำนวนเงินที่ได้จ่ายไปจริง แต่ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินคงเหลือหลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว

    นอกจากนี้ยังมีในส่วนของการบริจาคเพื่อการกุศลต่างๆที่สามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้อีกซึ่งสามารถติดตามรายระเอียดตามที่มีการประกาศโดยกรมสรรพากรอีกด้วย ทั้งนี้เงินบริจากที่เราคุ้นเคยอย่างเช่น
    การบริจาคเงินให้แก่วัดวาอาราม สภากาชาดไทย สถานพยาบาล และสถานศึกษาของทางราชการ หรือองค์การของรัฐบาล สถานศึกษาเอกชน สถานสาธารณกุศล และกองทุนสวัสดิการภายในส่วนราชการ โดยองค์การสถานสาธารณกุศลตามที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษาจะสามารถนำมาหักค่าใช้จ่ายได้ด้วยเช่นกัน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ng57.png
      ng57.png
      ขนาดไฟล์:
      576.2 KB
      เปิดดู:
      50
    • ng58  -jpg.jpg
      ng58 -jpg.jpg
      ขนาดไฟล์:
      64.4 KB
      เปิดดู:
      57
    • ng58.png
      ng58.png
      ขนาดไฟล์:
      220.2 KB
      เปิดดู:
      93
    • ng59.png
      ng59.png
      ขนาดไฟล์:
      299.6 KB
      เปิดดู:
      82
    • ng60.png
      ng60.png
      ขนาดไฟล์:
      274.3 KB
      เปิดดู:
      60
    • ng61.png
      ng61.png
      ขนาดไฟล์:
      343.1 KB
      เปิดดู:
      60
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    บ้านผมถูกไฟไหม้วอดเพราะโคมลอย อุทาหรณ์สุดสลดรับลอยกระทง

    -http://hilight.kapook.com/view/110577-


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

    เผยประสบการณ์สุดเลวร้ายของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของการลอยโคม บ้านถูกไฟไหม้วอดทั้งหลัง สูญเสียคนที่รักจากไฟไหม้เพราะโคมลอยที่จับมือใครดมไม่ได้

    แต่เดิมแล้วการลอยโคมเป็นประเพณีที่นิยมกันทางภาคเหนือ โดยชาวบ้านเชื่อว่าการปล่อยโคมลอยเป็นการลอยเคราะห์ลอยโศก สิ่งที่ไม่ดีไม่งามในชีวิตออกไป แต่ปัจจุบันดูเหมือนว่าการลอยโคมจะไม่ได้พบเห็นในเทศกาลวันงานประเพณีของชาวเหนือเท่านั้น แต่โคมลอยนั้นกลายเป็นกิจกรรมที่ผู้คนทั่วทุกภาคของไทยทำกันเป็นปกติกันไปแล้ว ไม่ว่าจะในเทศกาลลอยกระทง ปีใหม่ หรือเทศกาลอื่น ๆ โดยมีความเชื่อที่ไม่ต่างกันนั่นคือลอยเคราะห์ลอยโศก ส่วนผลพลอยได้ก็คงเป็นความสนุกสนานที่ได้ปล่อยโคมลอยแต่งแต้มแสงสว่างให้ท้องฟ้ายามค่ำคืน

    แต่ถึงแม้การลอยโคมจะเป็นที่นิยมของคนไทยทุกภาคมากเพียงใด ทุก ๆ ปีก็มักจะมีคำเตือนเกี่ยวกับอันตรายของโคมลอยออกมาอยู่เสมอ เพราะการลอยโคมนั้นเกี่ยวข้องกับการจุดไฟ จึงเสี่ยงที่จะพลาดตกใส่บ้านของประชาชนจนนำมาซึ่งเหตุเพลิงไหม้ได้ทุกเวลา และที่ผ่านมาก็เกิดเหตุไฟไหม้เพราะโคมลอยมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน

    อย่างไรก็ดี หากใครกำลังคิดที่จะไปลอยโคมกันในเทศกาลลอยกระทงหรือปีใหม่ที่ใกล้จะมาถึงนี้ วันนี้กระปุกดอทคอมขอนำกระทู้จากพันทิปของคุณสมาชิกหมายเลข 925292 ที่เคยมีประสบการณ์บ้านแถวท่าน้ำนนท์ของเขาถูกไฟไหม้วอดทั้งหลังจากโคมลอยของใครสักคนซึ่งไม่สามารถเอาผิดกับใครได้เลย มาฝากกัน เพื่อให้ทุกท่านลองตระหนักถึงผลร้ายที่อาจจะเกิดขึ้นจากการลอยเคราะห์ลอยโศกผ่านโคมลอยกันค่ะ

    "ตอนนั้นผมเรียนอยู่ ม.4 บ้านของผมถูกไฟไหม้เมื่อประมาณ 7-8 ปีที่แล้วในคืนวันลอยกระทงครับ เนื่องจากโคมลอยมาตกใส่หลังคา คือบ้านมีลักษณะเป็นเต้นท์ผ้ายาง เรียงต่อ ๆ กันหลายหลังครับ ก็ถือว่าใหญ่พอสมควรเพราะว่าเป็นร้านขายเฟอร์นิเจอร์ แต่ว่าภายในก็มีการโบกปูนทำเป็นห้อง ๆ สำหรับออฟฟิศและอยู่อาศัยแน่นหนา ภายในก็จะมีเฟอร์นิเจอร์มากมาย ตั้งแต่โซฟา ตู้ โต๊ะ เตียง ที่นอน ฯลฯ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้และที่นอนกาบมะพร้าวครับ(เป็นเชื้อเพลิงอย่างดี) ทีนี้ตอนที่โคมลอยมาตก ให้จินตนาการว่ายางโดนเผาครับ มันจะหยด เลยลุกลามรวดเร็วมาก จนไม่สามารถควบคุมเพลิงไว้ได้ เสียหายทั้งหมด เหลือเพียงแค่ตู้เซฟ กับรถครับที่ไม่ถูกเผา นี่คือเรื่องย่อ แต่ผมจะขอเล่าถึงเหตุการณ์อย่างละเอียดนะครับ เพื่อสะท้อนจิตใจของผมและครอบครัวว่ามันเป็นอย่างไร ณ ตอนนั้น

    เรื่องมีอยู่ว่าผมออกไปงานวันลอยกระทงกับเพื่อนที่ศาลากลางครับ (อ้อ! ลืมบอกว่าบ้านของผมอยู่แถวท่าน้ำนนท์) ก็ไปช่วยแม่เพื่อนขายกระทง เพราะเราว่าง ๆ กะว่าเสร็จงานจะได้ลอยกระทงกับเพื่อนด้วย กว่าจะแยกกัน กลับมาถึงบ้านตัวเองก็เที่ยงคืนกว่าครับ วันนั้นบอกตรง ๆ ว่าเพลียแล้วคิดว่าคงหลับยาวแน่ ๆ หลังจากผ่านมาทั้งวัน พอกลับมาถึงเตรียมตัวจะนอน แม่ก็มาทักครับ แกยังไม่หลับ ก็บอกผมว่าอยากลอยกระทง พาไปลอยกระทงตอนนี้ได้ไหม ? เพราะแม่ตัดผมตัดเล็บน้อง ๆ ใส่กระทงไว้ (ตามความเชื่อของแม่) แต่ยังไม่ได้เอาไปลอย เพราะน้องยังเล็ก ไม่อยากพาออกไปตอนคนเยอะ ๆ กลัวว่าจะอันตราย ตอนนั้นน้องยังแบเบาะครับ ส่วนอีกคนอยู่อนุบาล ผมโตมากเพราะคนละพ่อ // ดูแกไม่สบายใจครับ ถ้าไม่เอาไปลอย แกตั้งใจไว้แล้ว ก็ไม่อยากเอาเศษผมกับเล็บน้องไปทิ้ง ด้วยว่าท่าน้ำมันไม่ได้ไกลมากด้วย ผมเลยพาแม่เดินออกมากันสองคนที่ท่าน้ำนนท์

    ตอนนั้นคนซาหมดแล้วครับ หลังจากลอยกระทงเสร็จ เราก็แวะทานก๋วยเตี๋ยวกัน ใช้เวลาอยู่พักหนึ่ง จากนั้นในขณะที่กำลังเดินกลับบ้าน ก็เห็นมีคนวิ่งแตกตื่นแล้วตะโกนว่าไฟไหม้ ๆ ตอนนั้นยังไม่ได้คิดอะไร แต่ก็ตกใจ เลยมองตาม ก็เห็นฟ้าบริเวณนั้นเป็นสีแดงครับ แม่ก็บอกว่าทางนั้นมันแถวบ้านเราเลย ใจไม่ดีเนอะ ผมก็บอกแม่ว่าอย่าคิดมาก แล้วก็พากันรีบเดินกลับอย่างไว สักพักก็มีคนขี่จักรยานวิ่งสวนมาครับ แล้วตะโกนเหมือนกันว่าไฟไหม้ ๆ เราเลยโบกให้เขาหยุดแล้วถามว่าไฟไหม้ที่ไหน ? พอเขาตอบว่าร้านเฟอร์นิเจอร์เท่านั้นแหละครับ แม่กรี๊ดเลย แล้ววิ่งนำผมไปอย่างเร็ว

    แม่กรี๊ดว่าลูกกู ๆ ! (ขออภัยถ้าไม่สุภาพนะครับ) ผมรีบวิ่งตามแม่ไป จับมือ แล้วบอกใจเย็น ๆ ตอนนั้นทำอะไรไม่ถูก ได้แค่วิ่งไปให้เร็วที่สุดที่จะทำได้ ประคองแม่ด้วย กลัวแม่จะล้ม เพราะแม่ดูสติแตกแล้ว เราก็กลัวมาก ในใจยังคิดว่าหวังว่าคงยังไม่น่าจะใหญ่โต แต่เปล่าเลยครับ ผิดคาด พอใกล้ถึงบ้านเราก็เห็นคนเป็นร้อย (ไม่เว่อร์นะครับ) มุงรอบบ้านเรา พร้อมกับรถดับเพลิงอีก 3 คัน กำลังฉีดน้ำ ตอนนั้นไฟมันท่วมจนพีคมากแล้ว รัศมีสูงประมาณตึก 3 ชั้น (นี่คือมองจากไกล ๆ นะครับ ยังไม่ถึง) ตอนนั้นเข่าอ่อน เราสองคนแม่ลูกวิ่งแทรกผลักคนอื่นออกหมดเลย แม่ก็ตะโกนหาน้องเหมือนคนสติแตก ผมก็ด้วยครับ คุมอะไรไม่อยู่เลย จนกระทั่งชาวบ้านรั้งเราทั้งคู่ไว้แล้วบอกว่า เด็ก ๆ ออกมากันหมดแล้ว เราถึงหยุดแล้วมันตื้อไปหมด ถามชาวบ้านว่าคนในบ้านอยู่ตรงไหนกัน ก็มีคนพาเราไปเจอน้อง ๆ กับพ่อเลี้ยงครับ นั่งอยู่ริมฟุตบาตไกล ๆ มือนึงอุ้มคนเล็ก อีกมือจับคนโต มันทั้งโล่งใจทั้งเศร้าใจ หลายอารมณ์มาก สงบใจได้ไม่ทันถึงนาทีก็ต้องเหลียวกลับไปมองครับ ว่าไฟยังไหม้อยู่

    เรากลับไปถามหาสมาชิกในครอบครัวคนอื่น ๆ จากชาวบ้านครับ ว่าใครอยู่ไหนบ้าง ? เพราะอยู่กันเยอะ มีครอบครัวลุงด้วย มีลูก ๆ แล้วก็คนงานอีกหลายคน ก็ทำให้รู้ว่าตอนนี้ทุกคนออกมาแล้ว แต่เห็นว่ามีคนแก่ติดอยู่ !! ตอนนั้นหัวใจมันระเบิดเลยครับ นึกได้ว่ามีคุณตาอยู่ด้วย เวลานั้นมันคิดอะไรไม่ทันครับ แล้วทั้งหมดที่เล่าก็รวดเร็วมาก คุณตาของผมเป็นอัมพฤกษ์ด้วย ขยับได้แค่ครึ่งตัวด้านขวา ฉะนั้นแกไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แน่ พอแม่ได้ยินอย่างนั้นก็กรี๊ดอีกรอบครับ ทีนี้จะวิ่งฝ่าไฟเข้าไป แกตะโกนเรียกคุณตาว่าพ่อ ๆ ! ผมนี่กอดแม่แน่นเลย แม่ดื้อจะลุยเข้าไปให้ได้ ซึ่งผมมองด้วยสายตาแล้วมันไม่ทันจริง ๆ ครับ ไฟสูงมาก แม้จะยังมีหลายส่วนยังไม่ถูกเผา แต่ว่าข้างในมันต้องเหมือนเขาวงกตไฟแน่ ๆ เพราะตู้ เตียง วางเรียงกั้นเป็นทางเดินไว้ แม่ไม่ไหวแน่ถ้าเข้าไป ตัวผมเองก็ด้วย แม่กรี๊ด ๆ ทั้งดิ้นทั้งทุบให้ผมปล่อย ร้องไห้สติแตก ผมก็ไม่ต่างกัน แต่ผมเสียแม่ไปไม่ได้ อยากเข้าไปช่วยตา แต่ต้องตัดใจ ตอนนั้นเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายมาก เพราะต้องประคองแม่ไว้ ในขณะที่จิตใจของตัวเองก็แย่พอกัน

    อยู่ ๆ ลุงของผมก็วิ่งมาจากอีกทางครับ แกวิ่งฝ่าคนเข้ามาพร้อมกับชาวบ้านที่อาสา แล้วอ้อมไปหลังบ้าน ซึ่งเป็นซอกแคบ ๆ ติดกับบ้านคนอื่น พอให้เดินได้แทรกเขาไปได้ พวกเขาเอาค้อนทุบ ๆ ๆ ๆ กำแพงจนแตกในที่สุด พอกำแพงแตกเท่านั้นแหละครับ ไฟพุ่งฟู่ ๆ ๆ ออกมาจากช่องเลย แต่ยังพอมองเห็นว่าข้างในยังไม่ไหม้หมดครับ พวกเขาก็เข้าไปในตัวบ้าน สักพักลุงก็แบกคุณตาอย่างทุลักทุเล พยายามจะออกมาจากกำแพงแตก ๆ ผมกับแม่ก็ทำได้แค่ภาวนาครับ เข้าไปช่วยไม่ได้จริง ๆ เพราะไฟพวยพุ่งออกมาเป็นระยะ สุดท้ายลุงก็ร้องขอความช่วยเหลือ จนอาสารุดเข้าไปแทน แล้วลุงก็วิ่งหนีออกมาพร้อมกับเนื้อตัวที่ไหม้พองและเยิ้มรุนแรงจากการถูกเผา ลุงไหว้แม่แล้วบอกว่าพี่ไม่ไหวจริง ๆ คือทุกคนเข้าใจ แล้วหันกลับไปมองที่เดิม ก็เห็นพี่อาสาแบกคุณตาขี่หลังครับ ดูทุลักทุเลเหมือนกัน เนื่องจากทางแคบและลึกกว่าจะออกมาได้ แล้วคุณตาก็ค่อนข้างตัวใหญ่ ประกอบกับพื้นตรงนั้นเป็นดินโคลนครับ ชุ่มไปด้วยน้ำจากรถดับเพลิงด้วย พี่คนนั้นเลยลื่นหงายหลัง และทำคุณตาหัวฟาดกับพื้น พอพี่เขาลุกได้ก็ไหว้คุณตาบอกว่าผมขอโทษ ผมไม่ไหว ๆ แล้ววิ่งออกมาเลยครับ ตอนนั้นคุณตาตะโกนไล่หลังมาว่าไอ้หนุ่ม อย่าทิ้งตา ๆ คือบอกตรง ๆ ว่าใจจะสลายที่ทำอะไรไม่ได้เลย // พี่อาสาวิ่งออกมาทั้งกราบทั้งไหว้พวกเราครับ ตอนนี้ทั้งตัวพี่เขาเองก็ชุ่มไปด้วยแผลไฟไหม้ครับ เราเข้าใจว่าทุกคนทำสุดความสามารถแล้ว เราสงสารเขาด้วยซ้ำที่เข้าไปเสียงให้ มองกลับไปคือเห็นไฟมันพุ่ง ๆ มาลนคุณตาครับ ในลักษณะที่แกนอนดิ้น ๆ เหมือนจะขาดใจ ทำได้แค่พยายามสาดน้ำเข้าไปให้ไฟมันดับบ้าง แล้วก็หาทางจะเข้าไปช่วยต่อ เสียงแกแผ่วลง ๆ ไฟก็ยังคงสูงและลามอยู่อย่างนั้น มันโหดร้ายมากที่เราทำได้แค่ไม่หลบตา มองดูแกอย่างนั้น พยายามกันอยู่นานกว่าจะสามารถกลับไปช่วยแกได้อีก พอหามคุณตาออกมาได้ก็สายไปแล้วครับ แกไปแล้ว

    หลังจากนั้นก็มีรถพยาบาลมาพาคุณตาไปครับ พร้อมกับยืนยันว่าไม่สามารถช่วยแก เราให้ลุงกับพี่อาสาไปกับรถพยาบาลเพราะแผลมันแย่มากครับ // ถึงตอนนี้ไฟก็ยังคงไหม้อยู่ เราเดินหาสมาชิกคนอื่นที่เหลือแล้วพากันมองไฟลุกต่อไปครับ ตัดใจแล้ว ทีมกู้ภัยบอกว่าดับไม่ได้แล้วครับ ตอนนี้เน้นสกัดไม่ให้ลามไปบ้านอื่น ใช่ครับ ในสายตาเรามันก็ดูจะไม่เหลืออะไรให้หวังแล้ว ชาวบ้านมองเราด้วยความสงสาร หาน้ำหาผ้าห่มมาให้ เรากอดกันร้องไห้มองดูไฟเผาทุกอย่าง จนมันแผ่วลง ๆ แล้วในที่สุดก็ดับครับ

    เวลาประมาณตีห้า บ้านที่เคยมีตอนนี้เหลือแค่ซากตะโกครับ เจ้าหน้าที่เข้าตรวจสอบและแจ้งว่า พบอีกหนึ่งศพ เป็นเถ้ากระดูกในตัวบ้าน ทราบภายหลังว่าเป็นพี่คนงานที่น่าสงสารอีกคนที่เราคุ้นเคยดีครับ แกเป็นคนพิการ หูหนวกเป็นใบ้ คืนนั้นมีงานฉลอง พี่เขาก็คงจะเมาด้วยแล้วคงไม่ได้ยินด้วยว่าเกิดอะไรขึ้นกว่าจะรู้ตัวก็คงสาย นอกจากนี้ยังพบว่ามีโครงเสาเหล็กของเต้นท์ทับหน้าอกแกด้วย สะเทือนใจมากครับ แล้วก็เลยพบหลักฐานของเหตุเพลิงไหม้นี้ ว่าคือซากของโคมลอย ตกอยู่บริเวณที่นอนห้องผม และเป็นห้องต้นเพลิง // เรื่องนี้ขนลุกมากครับ ทำให้ย้อนคิดไปว่าถ้าแม่ไม่ชวนผมออกมา ตอนนี้ผมคงไม่รอด

    หลังจากที่เจ้าหน้าที่เช็กทุกอย่าง เราจึงมีโอกาสเดินสำรวจรอบ ๆ มันน่าเศร้าใจมากครับที่เห็นทุกอย่างเป็นเศษเถ้าถ่าน มันหมดแล้วจริง ๆ ผมไม่แน่ใจว่าตอนนั้นเราสูญไปเท่าไหร่ แต่มันหนักหนาจริง ๆ ไม่มีที่ซุกหัวนอน จนต้องไปอาศัยชาวบ้านแถวนั้นอยู่พักใหญ่ ทุกท่านใจดีกับเรามากจริง ๆ สภาพเราตอนนั้นมันแย่ที่สุด แต่ละคนเลอะเขม่า หัวฟู รุงรัง คราบน้ำตาเปรอะเหมือนคนบ้า กว่าจะคิดว่าชีวิตมันต้องดำเนินยังไงต่อไปมันใช้เวลามากครับ

    ตอนนี้ครอบครัวเราผ่านจุดนั้นมาแล้ว ค่อย ๆ เริ่มกันใหม่ และมันคงไม่มีทางลืมง่าย ๆ เราไม่ได้รับอะไรนอกจากการช่วยเหลือเล็กน้อยจากทางรัฐ เพราะเราทำประกันไม่ได้ครับ ตัวบ้านมันไม่ได้มาตรฐาน (เรื่องนี้ผมไม่แน่ใจรายละเอียด เพราะตอนนั้นยังเด็ก อยากให้ข้ามไปนะครับ) สำหรับทั้งหมดที่ผมเขียนมานี้ ผมอาจจะเขียนน่าเบื่อ ยืดเยื้อ แต่ผมเขียนด้วยความรู้สึกที่มันเจ็บปวดจริง ๆ มันโหดเกินไปจริง ๆ เชื่อไหมครับ ? ว่าพวกเราไม่ได้คิดจะโทษใครเลย กลับโทษตัวเองในหลาย ๆ เรื่อง เพราะเราไม่รู้จะโทษใคร แล้วไม่รู้ว่าโทษแล้วจะได้อะไร ตอนนี้เมื่อมองกลับไป สำหรับผมมันเป็นบทเรียนราคาแพงมาก ผมคิดว่ากว่าจะผ่านมาได้ ทุกคนเข้มแข็งขึ้นมาก ผมคิดว่าผมโตขึ้นเยอะจากเรื่องนี้ เพราะมันทำให้ชีวิตผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงจนถึงปัจจุบัน

    อย่างไรก็ตาม ผมอยากฝากเป็นสิ่งเตือนใจถึงทุกท่านในสังคมนะครับ กรุณาเถอะครับ อย่าให้ใครต้องเจอเรื่องราวแบบนี้เลย ตัวผมเองก็ไม่เคยลอยโคมสักครั้งในชีวิต ผมเลยรู้สึกว่ามันก็ตลกดีที่กลับเป็นฝ่ายมาโดน // สำหรับประเพณี มันเป็นสิ่งสวยงามครับ ผมไม่ขอร้องให้หยุด แต่ผมอยากถามว่า มีสักกี่คนครับ ? ที่คิดว่าหลังจากที่เราลอยความทุกข์ของตนไปกับโคมไฟแล้ว หลังจากนั้นมันจะเป็นอย่างไรต่อ ? มันจะลอยขึ้นไปสู่ฟากฟ้าไม่รู้ดับ หรือหวังว่ามันคงค่อย ๆ มอดและล่วงลงอย่างสงบ ? หรือเราจะให้ใครเก็บมันหลังจากนั้น ? // ผมเชื่อว่าทุกท่านปล่อยโคมด้วยเจตนาอันดีครับ ฉะนั้นผมก็หวังเช่นกันว่าเมื่อท่านได้อ่านเรื่องจริงของผมแล้ว อาจเป็นอุทาหรณ์ที่ท่านจะสามารถนำไปเล่าต่อ ๆ กันได้ // ประเพณีที่สวยงาม ผมเชื่อว่ามันจะยังคงสวยงาม หากผู้ที่สานต่อมีความเข้าใจ และสืบสานคงไว้ให้เหมาะสมตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง ไม่จำเป็นต้องเลิก แต่ขอให้สานต่ออย่างประณีต อย่าทำไปด้วยฉาบฉวย ขอเท่านี้แหละครับ

    ขอบคุณที่อดทนอ่านจนจบครับ :")"
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    25 วิธีเด็ด ! ตรวจเช็คบ้านก่อนโอน จะได้ไม่โดนหลอก

    -http://home.sanook.com/1153/25-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%94-%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%AD%E0%B8%99-%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%81/-


    Sanook! Home มีเพื่อนที่เพิ่งเซ็นโอนบ้านไป แต่ผลปรากฏว่าโอนไปตั้งแต่ต้นปี ผ่านไปจนเกือบครึ่งปียังไม่ได้เข้าอยู่ เพราะบ้านมีความเสียหายที่ต้องซ่อมแซมมาอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้เพื่อนเลยนั่งกุมขมับ เรื่องนี้จึงเป็นบทเรียนว่าก่อนเซ็นโอนบ้านกับหมู่บ้านใดก็ตาม เราต้องตรวจบ้านอย่างละเอียด ด้วยความเป็นห่วง จึงนำวิธีตรวจรับบ้านมาให้ลูกบ้านสนุก โฮมเก็บเอาไว้เป็นความรู้ค่ะ

    เรื่องน้ำ
    1.เปิดก๊อกน้ำทุกจุด ทุกตัวในบ้าน ดูว่าน้ำรั่วหรือไม่ หรือเมื่อปิดก๊อกน้ำแล้ว มิเตอร์ยังวิ่งอยู่แสดงว่ามีจุดที่น้ำรั่ว
    2.เทน้ำลงบนทุกจุดที่มีทางระบายน้ำเพื่อดูการทำงานของท่อระบายน้ำ
    3.เปิดน้ำแล้วดูการทำงานของปั๊มน้ำว่าทำงานปกติไหม และน้ำแรงแค่ไหน
    4.ในห้องน้ำต้องมีของให้ครบทั้งอ่างล้างหน้า ก๊อกน้ำ ชักโครก สายชำระ ที่ใส่กระดาษทิชชู ที่แขวนผ้าเช็ดตัว ก๊อกน้ำและฝักบัว ฝาปิดท่อน้ำแบบกันกลิ่น

    เรื่องไฟฟ้า
    5.เปิด-ปิดไฟทุกดวงในบ้านว่าดวงไหนติด ดวงไหนไม่ติด หากไม่ติดให้รีบแจ้งทันที หรืออยากจะย้ายไฟดวงไหนให้แจ้ง และจดเอาไว้
    6.ใช้ไขควงวัดไฟจิ้มไปที่น็อตของปลั๊กไฟ เพื่อตรวจสอบว่าไฟรั่วหรือเปล่า จากนั้นเปิดปลั๊กไฟเพื่อดูการเดินสายไฟว่ามี 3 เส้นหรือไม่ ต้องมีสายดินด้วย แล้วเอาไดร์ทเป่าผมลองเสียบแล้วดูว่ามีปลั๊กไฟอันไหนบ้างที่ใช้ไม่ได้
    7.ในห้องน้ำต้องมีการเดินสายไฟสำหรับติดเครื่องทำน้ำอุ่นให้ หรือถ้าจะติดเครื่องทำน้ำร้อนที่อ่างอาบน้ำต้องให้ช่างเดินไฟไว้ให้เรียบร้อย แล้วก็ให้เดินเหมือนเดินไฟในบ้านคือมีสายดินด้วย และต้องมีเบรกเกอร์ติดแยกไว้ต่างหาก
    8.ปีนหลังคาขึ้นไปดูใต้ฝ้าว่ามีการร้อยสายไฟใส่ท่อไว้ให้เรียบร้อยหรือเปล่า ก่อนขึ้นไปเปิดใต้ฝ้าต้องปิด Main Breaker ก่อน เหตุที่ใต้ฝ้าต้องร้อยสายไฟใส่ท่อเพราะเผื่อเวลาฝนตก หลังคารั่ว น้ำโดนสายไฟแล้วจะเป็นอันตรายกับบ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านได้
    9.ปิดไฟทุกดวงในบ้าน แล้วดูว่ามิเตอร์ไฟวิ่งไหม ถ้ามิเตอร์วิ่งแสดงว่าไฟรั่ว ต้องตรวจหาและแก้ไขทันที
    10.สายดินของ Main Breaker ต้องฝังลึกประมาณ 2 เมตร ลองเช็คดูแล้วให้เขาฝังให้ใหม่ หรือเสียเงินฝังเองก็ได้
    11.ให้เปลี่ยนหลอดไฟทุกดวงในบ้านเป็นหลอดประหยัดไฟแทน เพราะจะประหยัดเงินของเราลงได้เยอะ
    12.ปลั๊กไฟนอกอาคารต้องมีตัวกั้นน้ำเพราะถ้าฝนตกจะได้ไม่เป็นอันตราย
    13.กระดิ่งหน้าบ้านต้องเดินสายไฟ 3 เส้นเหมือนกัน ควรมียางกันน้ำ หรือมีกล่องครอบกันน้ำ
    14.ควรติดไฟไว้รอบๆ บ้าน และเลือกติดเป็นสวิทซ์เปิดไฟ

    งานพื้น
    15.เดินลากเท้าเปล่าไปกับพื้นดูว่าปูพื้นเรียบร้อยไหม จากนั้นใส่ถุงเท้าเดินอีกรอบจะได้รู้ว่ามีรอยหรือเปล่า และตามร่องที่ปูสะอาดไหม
    16.ใช้เหรียญบ้านเคาะที่พื้นดูว่ามีเสียงพื้นโป่งหรือเปล่า หากมีให้เอากระดาษกาวแปะทำเครื่องหมายไว้
    17.ให้เอาลูกแก้ววางบนพื้น และห่างกันประมาณ 10 ซม.แล้วดูว่าลูกแก้วไหลไปทางไหน ถ้าไหลไปรวมกันแสดงว่าพื้นเป็นหลุม แต่หากจุดไหนไม่มีลูกแก้วอยู่แสดงว่าพื้นปูด

    งานกำแพง
    18.เช็คดูว่ากำแพงสะอาดไหม วอลเปเปอร์ที่ติดไว้เรียบเสมอกันหรือเปล่า ทำโดยใช้หน้าแนบติดกับกำแพง และดูว่ามีจุดไหนโป่งหรือเปล่า
    19.ตรวจความตรงของขอบบัวติดผนังโดยใช้ไม้บรรทัดวางกับพื้นแล้วเลื่อนไปเรื่อยๆ หากมีช่วงที่โป่งหรือเว้าตัวของขอบบัว เราจะเห็นช่องระหว่างไม้บรรทัด
    20.เช็คสีนอกอาคาร ดูว่ามีรอยรั่ว หรือร้าวไหม ถ้ามีให้แก้ไขด่วน
    21.ประตู หน้าต่าง ต้องลองเปิดดูว่ามีการทรุดตัวไหม ลองปิดประตูแล้วเอาไฟฉายส่องดูว่ามีแสงลอดไหม รวมทั้งเมื่อล็อคประตูแล้วให้เอากุญแจลองไขดูทุกดอก
    22.ประตูรั้วหน้าบ้านลงล็อคดีหรือเปล่า ใช้งานได้จริงไหม ใส่แม่กุญแจได้หรือเปล่า

    งานใต้หลังคา
    23.ควรตรวจในช่วงหน้าฝนเพื่อดูการรั่วซึม โดยขึ้นไปให้เหยียบที่โครงเหล็กของหลังคาแทนเหยียบบนฝ้า เพราะอาจเกิดอันตรายได้ จากนั้นใช้ไฟฉายส่อง ถ้ามีแสงลอดออกมาจากด้านนอกแสดงว่าหลังคารั่ว ต้องให้ทางโครงการมาซ่อมให้ทันที
    24.ฉนวนกันความร้อนใต้หลังคาหากฉีกขาดต้องให้ทางโครงการมาซ่อมให้
    25.สายไฟต้องร้อยอยู่ใต้โครงเหล็กหลังคา ไม่ใช่ร้อยอยู่เหนือโครงเหล็ก เพราะหากเกิดไฟช็ออตในขณะที่เราปีนขึ้นไป จะเกิดอันตรายได้
    เห็นไหมคะ การตรวจเช็คก่อนเซ็นโอนบ้านมีหลายข้อที่คนซื้อบ้านควรรู้ และที่สำคัญเมื่อพบความชำรุด ความเสียหายต่างๆ แล้วต้องรีบแจ้งให้ทางโครงการแก้ไข โดยมีการลงรายละเอียด เขียนไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและวันที่ เพียงเท่านี้ลูกบ้าน Sanook! Home ก็จะได้เป็นเจ้าของบ้านแบบมีความสุขกันถ้วนหน้า

    ขอบคุณข้อมูลจาก-www.pantip.com-
    Pantip - Learn, Share & Fun
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จัดพอร์ตลงทุน

    -http://money.sanook.com/228577/%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99/-


    ทุกท่านเข้าใจกันดีอยู่แล้วว่าการออมเงินไว้ในธนาคารเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนโดยไม่มีความเสี่ยง เนื่องจากมี พรบ คุ้มครองเงินฝากอยู่

    แต่อัตราผลตอบแทนของเงินฝากปัจจุบันนั้นน้อยมากจนน่าใจหาย น้อยกว่าอัตราเงินเฟ้อในแต่ละปีเสียอีก นั่นหมายถึงว่า มูลค่าเงินของเราลดลงกว่าเดิมทุกปี พูดง่ายๆคือ ยิ่งฝากนานยิ่งจนลง

    หากจินตนาการไม่ออกว่าภาวะเงินเฟ้อร้ายแรงแค่ไหน ให้นึกถึงประโยค "มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท" จะเห็นได้ว่าในอดีตเงินบาทมีค่าใหญ่พอควรถึงขนาดต้องค่อยๆ บรรจบทีละสลึงมาให้ครบ แต่ในปัจจุบันเหรียญสลึงช่างด้อยค่าจนแทบจะหายไปจากตลาดแล้ว ถึงบรรจบให้ครบบาทได้ก็จริง(จะได้สี่เหรียญเล็กๆ) แต่เอาไปซื้อของก็อาจจะถูกร้านค้าปฎิเสธได้ บาทนึงสมัยนี้แทบซื้ออะไรไม่ได้เลย (ซึ่งปัจจุบันสำนวนนี้อาจจะปรับเปลี่ยนจากใช้กับเงินมาใช้กับทองแทนก็ยังพอได้อยู่)

    กลายเป็นว่าสิ่งที่ดูเหมือนไม่มีความเสี่ยง ก็มีความเสี่ยงอยู่ดี เนื่องจากค่าเงินที่เล็กลงทุกวันๆ

    แล้วเราควรจะจัดสรรเงินออมของเราต่อไปอย่างไรดี ให้งอกเงยขึ้นเรื่อยๆ แทนที่จะด้อยค่าลง...การ์ตูนตอนนี้มีคำตอบจ้า ^^
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ng62.png
      ng62.png
      ขนาดไฟล์:
      328 KB
      เปิดดู:
      200
    • ng63.png
      ng63.png
      ขนาดไฟล์:
      632.1 KB
      เปิดดู:
      68
    • ng64.png
      ng64.png
      ขนาดไฟล์:
      485 KB
      เปิดดู:
      67
    • ng65.png
      ng65.png
      ขนาดไฟล์:
      760.1 KB
      เปิดดู:
      60
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    จับแก๊งสกิมเมอร์ชาวจีน คาโรงแรมย่านเยาวราช
    โดย ทีมข่าวอาชญากรรม

    -http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9570000127554-

    [​IMG]

    [​IMG]
    นายจง เซี่ยวผิง นายหยาง ไห่ฉาง น.ส.หวง จือหง และ 4.นายหลิว กังโจว ผู้ต้องหาชาวจีน




    ปอศ.จับแก๊งสกิมเมอร์สัญชาติจีน 4 รายคาโรงแรมย่านเยาวราช หลังได้รับการประสานจากแบงก์กสิกรไทยว่ามีคนร้ายตระเวนกดเงินตามตู้เอทีเอ็ม ทั้งหมดให้การรับสารภาพ แต่อ้างว่าจะได้ค่าตอบแทนเป็นงินสดร้อยละ 10 จากขบวนการใหญ่อยู่ที่มณฑลเจียงซู ประเทศจีน

    วันนี้ (5 พ.ย.) ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) พ.ต.อ.ธงชัย วงศ์ศรีวัฒนกุล รรท.ผบก.ปอศ. พ.ต.อ.กิตติ สะเภาทอง รอง ผบก.ปอศ. พ.ต.ท.จักรกริช เสริบุตร รอง ผกก.5 บก.ปอศ. และพ.ต.ต.ชยานนท์ ทองแถม สว.กก 5.บก.ปอศ. ร่วมกันแถลงผลการจับกุม 1. นายจง เซี่ยวผิง (Mr. Zhong xiaoping) อายุ 46 ปี 2. นายหยาง ไห่ฉาง ( Mr. Yang haichang) อายุ 37 ปี 3. น.ส.หวง จือหง (Ms.Huang zhihong) อายุ 29 ปี และ 4. นายหลิว กังโจว (Mr.Lui ganzhou) อายุ 38 ปี ซึ่งผู้ต้องหาทั้งหมดเป็นชาวจีน พร้อมของกลาง บัตรเอทีเอ็มปลอม 65 ใบ กระดาษจดบันทึกและจดรหัสถอนเงินของบัตรต่างๆ 17 แผ่น สมุดจดรหัสบัตรฯ 1 เล่ม เครื่องอ่านคัดลอกและบันทึกข้อมูลบัตรฯ(เครื่องสกิมเมอร์) 1 ชุด โน้ตบุ๊ก 1 เครื่อง อุปกรณ์ติดตั้งกล้องขนาดเล็กพร้อมวงจรไฟฟ้า 2 ชุด และโทรศัพท์มือถือ 5 เครื่อง โดยจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้งหมดได้ที่โรงแรมแห่งหนึ่งย่านถนนเยาวราช แขวงและเขตสัมพันธวงศ์ เมื่อเวลา 08.30 น.ที่ผ่านมา

    พ.ต.อ.ธงชัยกล่าวว่า การจับกุมครั้งนี้เนื่องจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.5 บก.ปอศ. รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ธนาคารกสิกรไทยว่ามีกลุ่มชาวจีนใช้บัตรเอทีเอ็มปลอม ตระเวนถอนเงินสดจากตู้กดเงินในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าข้อมูลในบัตรเอทีเอ็มปลอมที่คนร้ายนำไปกดนั้น เป็นข้อมูลบัตรของธนาคารในประเทศอเมริกา คูเวต บาห์เรน อินเดีย ออสเตรเลีย ดูไบ ยุโรป ฯลฯ ซึ่งอาจจะเป็นกลุ่มเดียวกับที่นำเครื่องคัดลอกข้อมูล (สกิมเมอร์)ไปติดตามตู้ถอนเงินในประเทศไทย ต่อมาเจ้าหน้าที่จึงติดตามจับกุมเพื่อขยายผลกระทั่งทราบว่ากลุ่มคนร้ายที่ก่อเหตุดังกล่าว หนีไปกบดานอยู่ในย่านเยาวราช จึงเฝ้าติดตามกระทั่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้ง 4 ราย

    จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่ากระทำการดังกล่าวจริง โดยจะนำบัตรเอทีเอ็มปลอมซึ่งรับมาจากนายจีจา ชาวจีน ไปผลัดกันตระเวนกดเงินตามตู้กดเงินในพื้นที่กรุงเทพฯ จริง หากดำเนินการสำเร็จจะได้ค่าตอบแทนเป็นงินสด ร้อยละ 10 ของเงินที่สามารถกดมาได้ โดยจะมีหัวหน้าขบวนการใหญ่อยู่ที่มณฑลเจียงซู ประเทศจีนเป็นผู้คอยสั่งการอีกทอดหนึ่ง

    รายงานข่าวแจ้งว่า จากแนวทางการสืบสวน เจ้าหน้าที่ยังไม่ปักใจเชื่อในคำให้การของผู้ต้องหาว่ามีหัวหน้าขบวนการใหญ่อยู่ในประเทศจีน เนื่องจากหลักฐานที่พบมีทั้งบัตรเอทีเอ็มปลอม เครื่องคัดลอกข้อมูล (เครื่องสกิมเมอร์) และยังพบว่ามีอุปกรณ์ติดตั้งกล้องขนาดเล็กพร้อมต่อวงจรไฟฟ้าอีกด้วย ถือว่าครบทั้งกระบวนการในการลักลอบกดเงินจากตู้เรียบร้อยแล้ว โดยเชื่อว่าน่าจะนำเงินที่กดได้มาแบ่งกันเองไม่ได้ส่งต่อให้หัวหน้าใหญ่ตามที่อ้าง ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจจะสืบสวนเพิ่มเติมว่ามีการนำเครื่องสกิมเมอร์ไปติดตั้งที่ใด หรือมีบุคคลใดเข้ามาเกี่ยวข้องอีกหรือไม่ เพื่อติดตามจับกุมต่อไป

    เบื้องต้นเจ้าหน้าที่แจ้งข้อหาร่วมกันใช้และมีไว้เพื่อนำออกใช้ซึ่งบัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอมโดยมิชอบ, ร่วมกันปลอมแปลงบัตรอิเล็กทรอนิกส์ และร่วมกันทำเครื่องมือหรือวัตถุสำหรับปลอมหรือแปลงบัตรอิเล็กทรินิกส์ ก่อนนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดส่งพนักงานสอบสวน กก.5 บก.ปอศ.เพื่อดำเนินคดีต่อไป
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทาน ศีล ภาวนา
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • z28.png
      z28.png
      ขนาดไฟล์:
      1.5 MB
      เปิดดู:
      50
    • z29.png
      z29.png
      ขนาดไฟล์:
      1.7 MB
      เปิดดู:
      442
    • z30.png
      z30.png
      ขนาดไฟล์:
      1.8 MB
      เปิดดู:
      415
    • z31.png
      z31.png
      ขนาดไฟล์:
      1.8 MB
      เปิดดู:
      69
    • z32.png
      z32.png
      ขนาดไฟล์:
      1.8 MB
      เปิดดู:
      385
    • z33.png
      z33.png
      ขนาดไฟล์:
      1.8 MB
      เปิดดู:
      68
    • z34.png
      z34.png
      ขนาดไฟล์:
      1.8 MB
      เปิดดู:
      416
    • z35.png
      z35.png
      ขนาดไฟล์:
      1.6 MB
      เปิดดู:
      387
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .



    เนื้อหาคำอธิบาย บารมี ๓๐ ทัศ

    -https://www.facebook.com/TaraManeeNakra/posts/679477598746834?stream_ref=5-


    พระพุทธเจ้า ประกอบด้วยพระมหากรุณา ยังบารมีทั้งหลายให้เต็ม เพื่อประโยชน์แก่สรรพสัตว์ ทั้งหลาย การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ก่อนการตรัสรู้เป็นพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าในชาตินั้น ๆ บารมีที่บำเพ็ญนั้นคือ ทานบารมี ศีลบารมี เนกขัมมบารมี ปัญญาบารมี วิริยบารมี ขันติบารมี สัจจบารมี อธิษฐานบารมี เมตตาบารมี และอุเบกขาบารมี รวมเรียกว่าบารมี ๓๐ (๓ x ๑๐) โดยแบ่งเป็นบารมีชั้นธรรมดา ๑๐ (บารมี) บารมี ชั้นกลาง ๑๐ (อุปบารมี) และ บารมีชั้นสูง ๑๐ (ปรมัตถบารมี) รวมเป็นบารมี ๓๐ ประการ ในอรรถกถาจริยาปิฎกพระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๓ ได้จัดชาดกเรื่องต่างๆ ลงในบารมีทั้ง ๓๐ ประการ มีนัยโดยสังเขปที่น่าศึกษา ดังนี้

    ๑. ทานบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญทานบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป ็นพระเจ้าสีวิราช (๒๗/๔๙๙) ทรงบำเพ็ญทานอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเวสส ันดร (๒๘/๕๔๗) และทรงบำเพ็ญทานปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นก ระต่ายป่าสสบัณฑิต (๒๗/๓๑๖)

    ๒. ศีลบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญศีลบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป ็นพญาช้างฉัตทันต์เลี้ยงมารดา (๒๗/๗๒) ทรงบำเพ็ญศีลอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญานาคภ ูริทัต (๒๘/๕๔๓)

    ๓. เนกขัมมบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญเนกขัมมบารมีในขณะที่เสวยพระชา ติเป็นอโยฆรราชกุมาร (๒๗/๕๑๐) ทรงบำเพ็ญเนกขัมมอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นหัต ถิปาลกุมาร (๒๗/๕๐๙) และทรงบำเพ็ญเนกขัมมปรมัตถบารมี ในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าจูฬสุตโสม (๒๗/๕๒๗)

    ๔. ปัญญาบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญปัญญาบารมีในขณะที่เสวยพระชาติ เป็นสัมภวกุมาร (๒๗/๕๑๕) ทรงบำเพ็ญปัญญาอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นอำมาต ย์วิธุรบัญฑิต (๒๘/๕๔๖) และทรงบำเพ็ญปัญญาปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็ นเสนกบัณฑิต (๒๗/๔๐๒)

    ๕. วิริยบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญวิริยบารมีในขณะที่เสวยพระชาติ เป็นพญากปิ (๒๗/๕๑๖) ทรงบำเพ็ญวิริยอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพระเจ ้าสีลวมหาราช (๒๗/๕๑) และทรงบำเพ็ญวิริยปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็ นพระมหาชนก (๒๘/๕๓๙)

    ๖. ขันติบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญขันติบารมีในขณะที่เสวยพระชาติ เป็นจูฬธัมมปาลราชกุมาร (๒๗/๓๕๘) ทรงบำเพ็ญขันติอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นธัมมิ กเทพบุตร (๒๗/๔๕๗) และทรงบำเพ็ญขันติปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็ นขันติวาทีดาบส (๒๗/๓๑๓)

    ๗. สัจจบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญสัจจบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเ ป็นวัฏฏกะ (ลูกนกคุ่ม (๒๗/๓๕) ทรงบำเพ็ญสัจจอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญาปลา ช่อน (๒๗/๗๕) และทรงบำเพ็ญสัจจปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็น พระเจ้ามหาสุตโสม (๒๘/๕๓๗)

    ๘. อธิษฐานบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญอธิษฐานบารมีในขณะที่เสวยพระชา ติเป็นพญากุกกุระ (๒๗/๒๒) ทรงบำเพ็ญอธิษฐานอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นมาต ังคบัณฑิต (๒๗/๔๙๗) และทรงบำเพ็ญอธิษฐานปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเ ป็นพระเตมิยราชกุมาร (๒๘/๕๓๘)

    ๙. เมตตาบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญเมตตาบารมีในขณะที่เสวยพระชาติ เป็นสุวรรณสามดาบส (๒๘/๕๔๐) ทรงบำเพ็ญเมตตาอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นกัณหา ทีปายนดาบส (๒๗/๔๔๔) และทรงบำเพ็ญเมตตาปรมัตถบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็ นพระเจ้าเอกราช

    ๑๐. อุเบกขาบารมี พระโพธิสัตว์ทรงบำเพ็ญอุเบกขาบารมีในขณะที่เสวยพระชา ติเป็นกัจฉปบัณฑิต (๒๗/๒๗๓) ทรงบำเพ็ญอุเบกขาอุปบารมีในขณะที่เสวยพระชาติเป็นพญา มหิส (๒๗/๒๗๘) และทรงบำเพ็ญอุเบกขาปรมัตถบารมีใน ขณะที่เสวยพระชาติเ ป็นโลมหังสบัณฑิต (๒๗/๙๔) หมายเหตุ เลขหน้าเป็นลำดับเล่มพระไตรปิฎก เลขหลังเป็นลำดับชาดก เช่น (๒๗/๒๗๓) หมายถึง พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๗ ชาดกเรื่องที่ ๒๗๓)

    การบำเพ็ญบารมีของพระโพธิสัตว์ในชาติหนึ่ง ๆ มิใช่ว่าจะทรงบำเพ็ญบารมีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น ทรงบำเพ็ญทานบารมี หรือทรงบำเพ็ญศีลบารมีอย่างเดียวเท่านั้น แต่ในชาติเดียวกันนั้น ได้บำเพ็ญบารมีหลายอย่างควบคู่กันไป แต่อาจเด่นเพียงบารมีเดียว ที่เหลือนอกนั้นเป็นบารมีระดับรอง ๆ ลงไป เช่น ในชาติที่เป็นพระเวสสันดรทรงบำเพ็ญบารมีครบทั้ง ๑๐ บารมี
     

แชร์หน้านี้

Loading...