พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แจ้ง ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาการร่วมทำบุญ

    เดิม ระยะเวลาการร่วมทำบุญ 26 สิงหาคม 2557
    สิ้นสุดการร่วมทำบุญ 10 ตุลาคม 2557 เวลา 12.00 น.



    เปลี่ยนเป็น ระยะเวลาการร่วมทำบุญ 26 สิงหาคม 2557
    สิ้นสุดการร่วมทำบุญ 9 ตุลาคม 2557 เวลา 12.00 น.





     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แจ้ง ขอเปลี่ยนแปลงระยะเวลาการร่วมทำบุญ

    เดิม ระยะเวลาการร่วมทำบุญ 26 สิงหาคม 2557
    สิ้นสุดการร่วมทำบุญ 10 ตุลาคม 2557 เวลา 12.00 น.



    เปลี่ยนเป็น ระยะเวลาการร่วมทำบุญ 26 สิงหาคม 2557
    สิ้นสุดการร่วมทำบุญ 9 ตุลาคม 2557 เวลา 12.00 น.



    [​IMG]

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 440198682.png
      440198682.png
      ขนาดไฟล์:
      547 KB
      เปิดดู:
      357
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เหลือเวลาอีกเพียงวันครึ่ง ที่จะได้มีโอกาสร่วมทำบุญ
    ขอเชิญร่วมทำบุญกฐินตกค้างพระราชทาน 3 จ.ชายแดนภาคใต้ จำนวน 110 วัด บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 044-0-19868-2 ชื่อบัญชี นายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์ บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาท่าดินแดง ครับ

    สิ้นสุดวันที่ 9 ตุลาคม 2557 เวลา 12.00 น. นี้ครับ

     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    25 เรื่องน่ารู้กับการลงทุนในช่วงอายุยังน้อย

    -http://money.kapook.com/view99429.html-


    [​IMG]

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    การลงทุนในขณะที่อายุยังน้อย กับเรื่องน่ารู้ก่อนตัดสินใจ หากอยากเริ่มต้นลงทุนลองมาดูเหตุผลที่ควรทำตั้งแต่อายุยังน้อยกันค่ะ

    การลงทุนในทุกอย่างล้วนเต็มไปด้วยความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนด้วยเงินหรือด้วยเรื่องที่ไม่มีเม็ดเงินเข้ามาเกี่ยวข้องก็ตาม ผลรับที่ได้กลับมาอาจเกินความคาดหมาย หรือต่ำกว่าที่หวังไว้ก็เป็นไปได้ทุกกรณี แต่ถึงอย่างนั้นเราก็เริ่มเห็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงกล้าที่จะลงทุนกันมากขึ้น และยิ่งมีคนประสบความสำเร็จกับการลงทุนในขณะที่ยังหนุ่มยังสาวให้เห็นเป็นตัวอย่าง ก็ยิ่งเป็นแรงบันดาลใจให้หลายคนอยากก้าวไปยืนอยู่ตรงจุดนั้นบ้าง แต่ก่อนลงทุนเพื่อให้เป็นคนอายุน้อยร้อยล้าน คงจะสร้างความมั่นใจให้คุณได้มากขึ้น หากได้ศึกษา 25 เรื่องน่ารู้กับการลงทุนในช่วงอายุน้อยทั้งหมดนี้ก่อน

    1. ลงทุนกับเงินฝากออมทรัพย์อาจไม่คุ้ม

    เริ่มแรกหลายคนอาจลองลงทุนเบา ๆ กับการฝากเงินไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ไปก่อน ซึ่งก็คงไม่ได้ให้ผลกำไรกับคุณมากมายเท่าไร เพราะแม้จะมีดอกเบี้ยให้ได้เก็บอยู่บ้าง แต่ก็เป็นอัตราดอกเบี้ยที่น้อยนิดเหลือเกิน แถมบัญชีออมทรัพย์โดยทั่วไปก็คงมีการเบิก-ถอนอยู่เรื่อย ๆ และอาจไม่ได้เป็นเงินก้อนโตอะไรด้วย ทว่าหากเรารู้จักเก็บออมทีละเล็กละน้อยก็อาจพอมีเงินเก็บส่วนตัวไว้เป็นทุนสำรองเหมือนกัน

    2. เก็บเงินกับบัญชีเงินฝากเกษียณ

    โครงการบัญชีเงินฝากเกษียณในหลาย ๆ ธนาคารให้ดอกเบี้ยและผลประโยชน์ที่คุ้มค่ามากพอให้เรายอมลงทุนไม่น้อย ฉะนั้นลองศึกษาเงื่อนไขและข้อกำหนดของบัญชีเงินฝากเกษียณเหล่านี้บ้างคงดี

    3. ภาวะเงินเฟ้อกับการลงทุน

    อัตราภาวะเงินเฟ้อโดยปกติจะอยู่ที่ราว ๆ 3% ต่อปี ซึ่งในช่วงที่เกิดภาวะเงินเฟ้อจะมีช่องทางลงทุนมากขึ้น เช่น ทองคำ เป็นต้น ฉะนั้นหากต้องการลงทุนก็ไม่ควรพลาดโอกาสช่วงนี้

    4. ความเสี่ยงของการลงทุน

    จงเรียนรู้ไว้เสมอว่า ไม่มีการลงทุนไหนจะได้ผลกำไรแบบเน้น ๆ ตลอดเวลา ดังนั้นก่อนตัดสินใจลงทุนกับอะไรก็ตาม พยายามไตร่ตรองให้รอบคอบที่สุด และเตรียมข้อมูลให้รอบด้านก่อนควักกระเป๋าลงทุนไป อย่างน้อยในช่วงขาลงก็อาจเจ็บตัวน้อยกว่า

    5. การลงทุนกับหลักทรัพย์ทั่วไป

    หลักทรัพย์และตราสารหนี้อย่างพวกหุ้น ธนบัตร ล้วนเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของการลงทุน และเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยงไม่มาก มีความสม่ำเสมอของผลกำไร อีกทั้งยังสามารถขายต่อได้แม้ยังไม่ครบกำหนดอายุของหลักทรัพย์

    6. ลงทุนกับหุ้นต้องดูให้ดี

    เมื่อคุณตัดสินใจซื้อหุ้น คุณจะได้ถือหุ้นเพียงเสี้ยวของเสี้ยวในบริษัทนั้น ๆ ทว่าคนที่ได้รับผลประโยชน์ไปเต็ม ๆ จะเป็นส่วนบริษัทเจ้าของหุ้นมากกว่า ฉะนั้นก็แปลได้ว่า การลงทุนกับหุ้น ผู้ลงทุนเป็นฝ่ายแบกรับความเสี่ยงที่มากกว่าอยู่แล้ว เพราะหุ้นนับเป็นการลงทุนที่หาความแน่นอนไม่ค่อยได้ วันดีคืนดีหุ้นอาจพุ่งพรวด เทขายได้กำไรกันรวยเละ แต่วันถัดมาหุ้นอาจดิ่งจนทำให้คุณขาดทุนก็ได้

    7. เช็กแนวโน้มหุ้นก่อนตัดสินใจซื้อ

    หุ้นเป็นการซื้อ-ขายในอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งแนวโน้มของหุ้นแต่ละตัวจะดีหรือดิ่งต้องดูจากการซื้อ-ขาย แลกเปลี่ยนกันในตลาดหุ้น โดยทุกวันจะมีการจัดอันดับหุ้นราคาดีให้เราได้เห็นในจอเทรดหุ้นของตลาดหุ้นอยู่แล้ว ทางที่ดีเราควรสำรวจตลาดหุ้นก่อนว่า แนวโน้มหุ้นตัวไหนน่าลงทุนด้วยมากที่สุด




    8. เก็บดอกเบี้ยจากการซื้อขายพันธบัตร

    เมื่อคุณตัดสินใจซื้อพันธบัตรที่ออกโดยรัฐบาล เท่ากับว่าคุณเป็นฝ่ายให้รัฐบาลกู้ยืมเงินตัวเองไป และนับจากนั้นก็รอให้ครบตามกำหนดเวลาในเงื่อนไขเพื่อรับอัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทน แต่หากต้องการซื้อ-ขาย เปลี่ยนมือพันธบัตรก่อนครบเวลาไถ่ถอน ก็สามารถนำพันธบัตรไปขาย ณ ตลาดรองของธนาคารต่าง ๆ ได้ ซึ่งเรตราคาในการซื้อ-ขายพันธบัตรก็ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจในช่วงเวลานั้น ๆ นับว่าการลงทุนกับพันธบัตรเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับนักลงทุนมือใหม่อยู่พอสมควร

    9. กระจายการลงทุนให้ทั่วถึง

    การลงทุนตูมใหญ่เพียงประเภทเดียวอาจเสี่ยงเกินไปในแง่ของธุรกิจ ดังนั้นหากอยากปกป้องตัวเองจากความล้มเหลวในการลงทุน คงดีกว่าหากจะกระจายการลงทุนไปในธุรกิจหลาย ๆ ประเภท โดยเลือกลงทุนในธุรกิจที่คุณมีความรู้และความถนัดมากพอสมควรด้วย

    10. ผลตอบแทนจะมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับเงินทุน

    การลงทุนจะให้ผลกำไรกับคุณมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความกล้าเสี่ยง และเม็ดเงินที่ลงทุนลงไป ทว่านี่ก็อาจยังไม่ใช่ข้อสรุปที่แน่นอนสำหรับการลงทุนนัก เพราะมีกรณีที่ลงทุนน้อยแต่ได้ผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำเหมือนกัน ดังนั้นผลกำไรสุทธิของคุณจะคุ้มกับการลงทุนหรือไม่ ปัจจุบันก็มีการคำนวณผลตอบแทนการลงทุนหรือ ROI (Return on Investment) ออกมาเป็นเครื่องมือวัดผลกำไรที่ได้ให้ได้ลองพิสูจน์กันชัด ๆ ด้วยนะคะ

    11. อย่าลืมคำนวณภาษี

    ภาษีจะเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตเราก็ต่อเมื่อเราเริ่มมีรายได้ ซึ่งก็แน่นอนว่าการลงทุนก็จัดเป็นรายได้อย่างหนึ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงภาษีได้พ้น อีกทั้งการลงทุนบางอย่างอาจมีค่าธรรมเนียมที่คาดไม่ถึงโผล่มาเพิ่มด้วย ฉะนั้นอย่าลืมคำนวณค่าใช้จ่ายส่วนนี้เผื่อไว้ด้วย

    12. หว่านโอกาสในกองทุนรวม

    หลายคนใช้วิธีกระจายเงินทุนไปกับกองทุนดัชนีหรือกองทุนรวมอื่น ๆ ซึ่งก็เหมือนลงทุนไปในตลาดทุนใหญ่ ๆ ที่มีความแน่นอนของผลตอบแทนที่ใช้ได้ เหมือนมีคนคอยช่วยบริหารความเสี่ยงไปด้วยกัน โอกาสเจ็บกับการลงทุนรูปแบบนี้อาจต่ำกว่าการลงทุนในแบบอื่น ๆ

    13. เลือกลงทุนที่ช่วยลดหย่อนภาษีได้ด้วย

    การลงทุนหลายอย่างสามารถช่วยลดหย่อนภาษีได้ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนทำประกันชีวิต (เลือกกรมธรรม์เงินออมด้วยก็จะดีมาก), การลงทุนกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพที่ทางบริษัทจะช่วยสมทบเงินเข้าไปด้วย, การลงทุนกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF), กองทุนหุ้นระยะยาว (LTF) รวมทั้งการทำบุญบริจาคที่มีหลักฐานชัดเจน สถานะสมรสและการเลี้ยงดูบิดา-มารดา ก็สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้เช่นกัน

    14. มีความคิดสร้างสรรค์

    มีเงินทุนมากมายแค่ไหนก็อาจไม่ช่วยให้เงินงอกเงยได้หากคุณขาดความคิดสร้างสรรค์ เพราะต้องยอมรับว่าตลาดตอนนี้ให้ความสำคัญกับไอเดียเจ๋ง ๆ มากกว่าเรื่องของราคาซะอีก ดังนั้นก้าวแรกของความสำเร็จในการลงทุนก็ต้องฉีกตัวเองให้แตกต่างจากตลาดโดยรวมซะก่อน

    15. เริ่มลงทุนตั้งแต่ยังมีไฟ ยังไงก็ได้เปรียบ

    ลงทุนตั้งแต่อายุยังอยู่ในช่วงเลข 2 ยังไงคุณก็ได้เปรียบมากกว่าคนที่ลงทุนในช่วงอายุที่มากกว่านี้ เพราะหากลงทุนซะตั้งแต่ตอนนี้ คุณจะมีช่วงเวลาได้ลองผิดลองถูก หรือเก็บเกี่ยวประสบการณ์บนเส้นทางธุรกิจได้มากกว่า และแม้จะล้มก็ยังมีเวลาลุกและสร้างอาณาจักรการเงินของตัวเองได้อีกครั้งและอีกครั้ง

    16. ตะครุบหุ้นขายดีอาจไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

    หุ้นตัวเด็ด ๆ อาจไม่ใช่ตั๋วเดินทางสู่ความร่ำรวยของทุกคน ซึ่งนั่นก็อาจไม่ใช่คุณด้วยที่จะซื้อหุ้นราคาดีแล้วทำเงินได้พุ่งกระฉูด ฉะนั้นขอย้ำกันอีกครั้งว่า ก่อนตัดสินใจซื้อหุ้นควรพิจารณาสถานการณ์ของหุ้นให้ดี เสริมข้อมูลของบริษัทนั้นให้แน่นเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจ และเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่พลาด

    17. จ้องความเคลื่อนไหวของหุ้นเท่าที่จำเป็น

    หากคุณเป็นนักลงทุนระยะสั้น ต้องการซื้อ-ขายหุ้นแบบไม่หวังผลกำไรที่ยั่งยืน การจ้องจอเทรดหุ้นแทบตลอดเวลาอาจช่วยให้คุณเทขายหุ้นได้ถูกจังหวะ แต่สำหรับคนที่หวังยืนหยัดอยู่ในตลาดหุ้นแบบยิงยาว การจดจ่ออยู่กับหุ้นเกือบทุกนาทีอาจปั่นหัวให้คุณเครียดมากกว่าจะช่วยให้ซื้อ-ขายหุ้นได้กำไรงามก็ได้ เนื่องจากการพิจารณาซื้อ-ขายหุ้นแบบจริงจัง อาจต้องดูภาพรวมของสถานการณ์ของบริษัทเจ้าของหุ้นอย่างลึกซึ้งร่วมด้วย

    18. อย่าลงทุนด้วยความรู้สึก

    ในสนามธุรกิจต้องการความเด็ดขาดและการตัดสินใจที่ยึดเอาผลประโยชน์เป็นใหญ่ ดังนั้นหากคุณยังลงทุนอยู่กับหลักทรัพย์เก่าอันคุ้นเคยแต่เริ่มไม่ให้ผลตอบแทนอย่างที่ควรจะเป็นแล้ว ยอมตัดใจเทขายหลักทรัพย์เหล่านี้้เพื่อนำเงินไปต่อยอดในด้านอื่น ๆ ดีกว่า



    19. ใส่ใจการขึ้น-ลงของหุ้นอย่างมีสติ

    สำหรับนักเล่นหุ้นมือใหม่ที่ยังระแวงกับราคาหุ้นที่ขึ้น-ลงอยู่ พยายามอย่าลากตัวเองเข้าไปปวดหัวกับอัตราการขึ้น-ลงของคุณแบบติดหนึบดีกว่า เพราะการที่ราคาของหุ้นดีหรือดิ่งเป็นคลื่นแบบนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติของตลาดหุ้น ฉะนั้นควรเล่นหุ้นอย่างมีสติและลองเช็กสถานการณ์ของหุ้นให้ดีก่อนตีโพยตีพาย

    20. ต้องการเงินด่วน อย่าเสี่ยงกับหุ้น

    ในกรณีที่ร้อนเงินและต้องการเงินก้อนอย่างปัจจุบันทันด่วนอย่าคิดจะมาเล่นหุ้นเลยค่ะ เพราะคงไม่มีใครดวงดีจับหุ้นได้ถูกตัว คืนกำไรให้การลงทุนแบบด่วนจี๋แน่ ๆ และในยามที่ร้อนรนอยากได้เงินแบบนี้ สติและสมาธิในการใคร่ครวญสถาการณ์ตลาดหุ้นของคุณอาจด้อยประสิทธิภาพลงไปด้วย

    21. ไม่มีใครคาดเดาตลาดได้

    เศรษฐกิจมีการผันผวนอยู่แทบทุกวินาที เป็นที่มาของคำว่า การลงทุนทุกชนิดมีความเสี่ยง ดังนั้นอย่าคาดหวังความแน่นอนในวงการนี้ และอย่าไปเชื่อคำทำนายทางธุรกิจจากใครด้วย เพราะคงไม่มีใครเดาเหตุการณ์ในอนาคตได้แน่

    22. บทเรียนทางธุรกิจที่ผ่านไปอาจไม่ซ้ำรอย

    บทเรียนในชีวิตยังพอนำกลับมาเป็นแนวทางในสถานการณ์ที่คล้ายกันได้ แต่กับเส้นทางการลงทุนและธุรกิจอาจไม่เป็นเช่นนั้น เนื่องจากมีปัจจัยหลายต่อหลายอย่างคอยผลักดันให้เศรษฐกิจเป็นไป และความเป็นไปที่ว่านั้นอาจไม่เคยซ้ำรอยเดิมเลยก็ได้ ฉะนั้นแม้จะเคยทำพลาดกับวิธีนี้มาเมื่อหลายปีก่อน แต่หากวันนี้ยังเลือกลงทุนในแบบเดิมก็อาจประสบผลสำเร็จอย่างงดงามก็ได้ ใครจะรู้

    23. ต้องกล้ายอมรับว่าตัวเองโง่ในบางครั้ง

    ความเชื่อมั่นว่าตัวเองฉลาดมากพอกับการลงทุนอาจช่วยสร้างความมั่นใจให้คุณได้ ซึ่งก็อาจต่อยอดไปถึงฝั่งฝันทางธุรกิจได้สำเร็จ แต่อย่าเผลอคิดว่าตัวเองรอบรู้และเจนโลกธุรกิจไปซะทุกเรื่องเด็ดขาด เพราะนั่นหมายถึงจุดเริ่มต้นของการพลาดพลั้งที่คุณเองก็อาจคาดไม่ถึง

    24. ควรมีผู้ช่วย

    นอกจากทำงานใหญ่ใจต้องนิ่งแล้ว การจะก้าวไปเป็นผู้บริหารเงินก้อนโตก็ควรต้องมีคนคอยช่วยดูแลในหลาย ๆ ด้าน ทั้งที่ปรึกษาการลงทุนที่มีความรู้และประสบการณ์มากกว่า นักวางแผนการเงินที่อาจช่วยจัดการเงินของคุณได้อย่างคุ้มค่ามากกว่าเจ้าของเงินเอง หรือแม้แต่นักกฎหมายที่จะมาช่วยดูในเรื่องของเอกสารสัญญาต่าง ๆ ว่าให้ประโยชน์หรือโทษกับเรากันแน่ ฉะนั้นจะรวยได้ก็ต้องไม่หัวเดียวกระเทียมลีบนะคะ

    25. เผื่อใจไว้เจ็บ

    เมื่อเริ่มลงทุนก็เหมือนหย่อนเท้าก้าวเข้าไปในความเสี่ยงอย่างเต็มตัว ซึ่งก็ไม่มีใครบอกได้ว่า จังหวะการลงทุนของเราจะดีไปได้ตลอด เส้นทางนี้จะทำเงินให้คุณอย่างล้นเหลือหรือฝืดเคือง ดังนั้นหากเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ด้านขาดทุนไว้บ้างก็อาจช่วยป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นได้


    ย้ำกันอีกครั้งว่าการลงทุนกับอะไรก็ตามควรต้องใช้ความคิดและเติมความรู้ให้แน่นก่อนตัดสินใจลงทุน รวมทั้งอย่าลงทุนกับสิ่งที่ใหญ่เกินตัว ค่อย ๆ เดินไปบนเส้นทางธุรกิจอย่างพอเพียงแต่เน้นกินอยู่กับมันยาว ๆ ไปจนกว่าจะสบโอกาสขยายธุรกิจก็น่าจะเวิร์กกว่านะคะ


    25 เรื่องน่ารู้กับการลงทุนในช่วงอายุยังน้อย
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันนี้ ผมโอนเงินร่วมทำบุญให้กับหลวงพี่นิล เพื่อทำบุญงานกฐินตกค้างพระราชทาน ปี 2557 จำนวน 81,000.-บาท เรียบร้อยแล้ว

    โมทนาบุญกับทุกๆท่านครับ


     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    บุญกฐินตกค้างพระราชทาน 3 จ.ชายแดนภาคใต้ ปี 2557




    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 012557.JPG
      012557.JPG
      ขนาดไฟล์:
      756.2 KB
      เปิดดู:
      43
    • 022557.JPG
      022557.JPG
      ขนาดไฟล์:
      713.2 KB
      เปิดดู:
      39
    • 032557.JPG
      032557.JPG
      ขนาดไฟล์:
      710.5 KB
      เปิดดู:
      43
    • 042557.JPG
      042557.JPG
      ขนาดไฟล์:
      694.8 KB
      เปิดดู:
      51
    • 052557.JPG
      052557.JPG
      ขนาดไฟล์:
      584 KB
      เปิดดู:
      45
    • 062557.JPG
      062557.JPG
      ขนาดไฟล์:
      897.1 KB
      เปิดดู:
      42
    • 072557.JPG
      072557.JPG
      ขนาดไฟล์:
      752.9 KB
      เปิดดู:
      38
    • 082557.JPG
      082557.JPG
      ขนาดไฟล์:
      716.5 KB
      เปิดดู:
      55
    • 092557.JPG
      092557.JPG
      ขนาดไฟล์:
      809.3 KB
      เปิดดู:
      37
    • 102557.JPG
      102557.JPG
      ขนาดไฟล์:
      706.7 KB
      เปิดดู:
      50
    • 112557.JPG
      112557.JPG
      ขนาดไฟล์:
      709.2 KB
      เปิดดู:
      39
    • 122557.JPG
      122557.JPG
      ขนาดไฟล์:
      655.5 KB
      เปิดดู:
      32
    • 132557.JPG
      132557.JPG
      ขนาดไฟล์:
      658 KB
      เปิดดู:
      39
    • 142557.JPG
      142557.JPG
      ขนาดไฟล์:
      747.4 KB
      เปิดดู:
      37
    • 152557.JPG
      152557.JPG
      ขนาดไฟล์:
      737.6 KB
      เปิดดู:
      35
    • 162557.JPG
      162557.JPG
      ขนาดไฟล์:
      759.7 KB
      เปิดดู:
      54
    • 172557.JPG
      172557.JPG
      ขนาดไฟล์:
      721.9 KB
      เปิดดู:
      36
    • 182557.JPG
      182557.JPG
      ขนาดไฟล์:
      449.6 KB
      เปิดดู:
      43
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    8 เคล็ดลับรวยไว ตั้งแต่อายุยังน้อย
    โพสต์เมื่อ : 6 ตุลาคม 2557 เวลา 18:15:06

    -http://money.kapook.com/view100640.html-


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    วิธีที่จะทำให้ตัวเองรวยตั้งแต่อายุยังน้อย กับการรู้คุณค่าของเงินทุกบาททุกสตางค์ ที่จะช่วยทำให้คุณกลายเป็นคนรวยอย่างที่ฝันได้ในไม่ช้า

    เชื่อว่าคงไม่มีใครที่ไม่อยากจะเป็นคนรวย หรืออย่างน้อย ๆ ในภายภาคหน้าอยากมีเงินเก็บที่สามารถทำอะไรก็ได้ตามความต้องการ แต่จะทำอย่างไรล่ะที่จะทำให้เป็นคนรวยและมีเงินมากขนาดนั้น เรื่องนี้ก็ขึ้นอยู่กับความคิดของแต่ละคนว่าจำกัดความกับคำว่ารวยมากน้อยแค่ไหน บางคนมีเงินเพียงไม่กี่บาทก็ถือว่ารวยแล้วเพราะสามารถใช้ชีวิติโดยไม่มีหนี้สิน แต่ถ้าบางคนที่ต้องการมีเงินเก็บและอยากเป็นมีเงินเก็บเยอะอย่างที่ฝันไว้ ก็มาดูกันเลยกับ 8 เคล็ดลับรวยไว ตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนี้ค่ะ

    1. ถ้าไม่มีงานทำก็รีบหางานซะ

    ถ้าใครที่อยากรวย อยากมีเงิน แน่นอนว่าหนทางเดียวที่จะทำได้ก็คือ หางานทำ หลังจากนั้น รายได้ต่าง ๆ ก็จะตามมาเอง แต่อย่าลืมว่าเมื่อหางานได้แล้วไม่ควรใช้เงินที่ได้มาแต่ละเดือนจนหมด แล้วจัดสรรปันส่วนให้รอบคอบ เก็บไว้สัก 25 % ของเงินเดือนก็ยังดี เท่านี้เราก็จะมีเงินเก็บเพิ่มมากขึ้น

    2. คำนวณรายจ่ายแต่ละอย่างให้ดี

    แน่นอนว่ามีเงินมากขึ้นก็ต้องมีร่ายจ่ายเพิ่มขึ้นตามมาด้วย และความต้องการของคนเราก็ย่อมมีมากขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นให้ควรระวังในเรื่องของการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น ควรคำนวณว่าสิ่งไหนที่จำเป็นต้องจ่ายก่อน ไม่ว่าจะเป็นบิลค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ต่าง ๆ และในเรื่องของการทำประกันสังคม หลายคนอาจเห็นว่าไม่สำคัญ แต่เราก็จำเป็นต้องทำประกันสังคมเอาไว้ รับรองว่าพอถึงเวลาเกษียณคุณจะได้รับประโยชน์จากเงินส่วนนี้แน่นอน ไม่ต้องเสียดายเงินในแต่ละเดือนนะคะ

    3. เริ่มเก็บเงินให้ได้ 25 % ของรายได้ในแต่ละเดือน

    คำนวณว่าในแต่ละเดือนของคุณมีรายจ่ายมากน้อยแค่ไหน จากนั้นพยายามที่ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยกับของไม่จำเป็น หรือของที่ไม่ใช้แล้วก็สามารถนำไปขายเป็นกำไรได้เช่นกัน โดยต้องคิดไว้ว่าควรเก็บเงินให้ได้ 25 % ของทุก ๆ เดือน เช่น เงินเดือน 2 หมื่น ก็แบ่งไว้เก็บสัก 5 พันบาท ถ้าหากทำอย่างนี้ได้ในแต่ละเดือน รับรองว่าจะมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นจนคุณคาดไม่ถึงเลยทีเดียว

    8 เคล็ดลับรวยไว ตั้งแต่อายุยังน้อย

    4. ตั้งเป้าหมายว่าต้องการนำเงินที่่ได้มาไปใช้ทำอะไร

    การที่มีเป้าหมายว่าต้องการทำอะไรจะช่วยให้เราสามารถเก็บเงินได้ง่ายขึ้น เช่น ถ้าคุณต้องการซื้อบ้าน หรือซื้อรถ ให้ตั้งเป้าไว้เลยว่าภายในกี่ปีต้องได้เงินเท่าไรถึงจะพอซื้อ เพราะการที่มีเป้าหมายก็เหมือนมีแรงบันดาลใจที่เราจะทำอะไรต่อไปในวันข้างหน้า แต่ถ้าคุณไม่มีเป้าหมายในการใช้เงิน เงินที่มีอยู่ในกระเป๋าก็จะหมดไปกับของที่ไม่จำเป็นที่คุณใช้จ่ายไปโดยไม่รู้ตัว

    5. เปลี่ยนความคิดในเรื่องของการใช้เงิน

    ถ้าคุณไม่ลงทุนลงแรง รับรองว่าไม่มีทางที่คุณจะมีเงินใช้ ให้ลองเปรียบเทียบกับตัวเองเป็นสินค้า เวลาที่คุณออกไปทำงานในแต่ละวันก็เหมือนกับคุณได้ขายสินค้าแล้วได้เงินมาใช้ การทำงานก็เหมือนกัน คุณออกไปทำงานก็ได้เงินเป็นผลตอบแทน ซึ่งสามารถนำมาเก็บไว้ต่อยอดเพื่อรอวันสุขสบายในอนาคต ยิ่งคุณทำงานหนักมากเท่าไรก็จะมีเงินเก็บเยอะและเกษียณตัวเองได้เร็วขึ้น

    6. ทำความเข้าใจว่าเงินจำนวนน้อยก็มีคุณค่า

    ยังมีหลายคนที่ยังไม่เข้าใจว่าเงินจำนวนน้อยมีค่ามากแค่ไหน และคิดอยากจะมีแต่เงินจำนวนมาก แต่ไม่คิดว่าเงินจำนวนมากที่ได้มานั้นก็มาจากที่เราเก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อย ๆ จนเกิดเป็นเงินก้อนขึ้นมา ดังนั้นไม่ควรมองข้ามเงินเพียงไม่กี่บาท ให้คิดว่าทุกบาททุกสตางค์มีค่า รับรองว่าจะมีเงินเก็บพอกพูนขึ้นอย่างแน่นอน

    7. ทุกบาททุกสตางค์ที่คุณเก็บคืออิสระในการใช้ชีวิต

    เงินไม่ว่าจะมากน้อยแค่ไหนถ้าคุณค่อย ๆ เก็บไปทีละนิดจะเพิ่มอิสระในชีวิตคุณ ทุกบาททุกสตางค์ที่เก็บจะมีประโยนชน์มากมายในวันข้างหน้า คุณจะมีอิสระที่ทำอะไรก็ได้ตามต้องการกับเงินที่เก็บไว้ ไม่ว่าจะเป็นไปเที่ยวต่างประเทศ ซื้อบ้าน ซื้อรถ หรือแม้กระทั่งออกจากงาน เพราะถ้าคุณคิดว่ามีเงินเก็บที่มากพอแล้ว สิ่งที่คุณอยากจะทำก็คงไม่ใช่แค่ความฝันอีกต่อไป

    8. อย่าหยุดที่จะพยายาม

    ถ้าคุณอยากที่จะรวยก็พยายามให้ถึงที่สุด แน่นอนว่าต้องมีอุปสรรคมากมายรอคุณอยู่ข้างหน้า ขอแค่อย่าท้อเป็นพอ ไม่ว่าเงินที่เก็บได้จะหมดไปกับอะไรก็ตาม เราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ดังนั้นพยายามต่อไปจนกว่าเป้าหมายที่คุณตั้งไว้จะสำเร็จ ไม่ช้าไม่เร็วคุณก็จะมีเงินอย่างที่ตั้งใจ


    ถ้าคุณอยากที่จะรวยและมีเงินเก็บไว้ใช้ในอนาคตก็ต้องพยายามกันมากหน่อย เพราะเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องของเวลา และการรู้จักคุณค่าของเงิน ควรรู้จักใช่จ่ายให้เป็นประโยชน์และรอบคอบอย่างที่สุด


    [​IMG]

    [​IMG]


    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ng52.png
      ng52.png
      ขนาดไฟล์:
      77.8 KB
      เปิดดู:
      365
    • ng53.png
      ng53.png
      ขนาดไฟล์:
      79 KB
      เปิดดู:
      332
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เมื่อแฟนที่จากไป 6 เดือน ยังเป็นห่วง และมาบอกลาครั้งสุดท้าย...


    -http://hilight.kapook.com/view/110092-



    เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณสมาชิกหมายเลข 1745208 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

    กลายเป็นเรื่องเศร้าที่เรียกน้ำตาจากชาวเน็ตและถูกส่งต่อพูดถึงกันอย่างกว้างขวาง สำหรับเรื่องราวความรัก ความห่วงใย ของ "คนที่จากไป" กับ "คนรัก" ที่ยังอยู่ แม้ว่าเขาและเธอมีอันต้องพรากจากกันไปกว่า 6 เดือนแล้ว แต่กลับมีคนเห็นว่าฝ่ายชายยังคงตามไปส่งแฟนสาวที่ทำงานในทุกเช้าเย็น...

    เรื่องราวข้างต้นนั้นบอกเล่าจาก คุณสมาชิกหมายเลข 1745208 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ผ่านกระทู้ "แฟนเสียไป 6 เดือนแล้วแต่มีคนเห็นว่าแฟนยังมารับมาส่งเราอยู่" เธอบอกว่าความรักครั้งนี้ได้มีการวางแผนการแต่งงานไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ทุกอย่างมีอันต้องจบลงเมื่อแฟนของเธอประสบอุบัติเหตุ และเรื่องทุกอย่างก็เกิดขึ้นอย่างไม่ทันตั้งตัว ดังข้อความต่อไปนี้

    "ก่อนอื่นต้องขออนุญาตบอกก่อนว่าควรใช้วิจารณญาณในการอ่าน เพราะเรื่องที่จะเล่ามันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อของแต่ละบุคคล..

    เรื่องราวมีอยู่ว่า..

    เรากับแฟนคบกันมาได้ 3 ปีแล้วค่ะ ด้วยความที่เราค่อนข้างโตกว่าแฟน และทำให้แฟนเปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดี มีความรับผิดชอบมากขึ้น ครอบครัวเขาเลยดูชอบเรามาก ช่วงที่คบกันเข้าปีที่ 2 เราเริ่มย้ายมาอยู่กับแฟนที่บ้านของเขาค่ะ ตั้งแต่ที่คบกันมาทะเลาะกันบ่อยมากค่ะ แทบจะทะเลาะกันทุกกวัน แต่พออีกวันก็จะหายโกรธหายงอนกันอย่างไม่มีเหตผล มันทำให้เรามั่นใจมากว่าไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ก็ไม่สามารถทำให้เราเลิกกัน

    การคบหาของเรากับแฟนเป็นที่ยอมรับของครอบครัวทั้งสองฝ่าย ผู้ใหญ่ของทั้งสองฝ่ายมาคุยกันเรื่องแต่งงาน แต่แฟนเราขอบวชในเดือนกรกฏาคมก่อน หลังจากนั้นจะแต่งงานตอนไหนก็ตามแต่ผู้ใหญ่เห็นสมควร ทุกอย่างถูกวางแพลนเอาไว้หมดแล้ว เราดีใจและตื่นเต้นมากค่ะ

    ..ก่อนวันเกิดเรา 2 วัน แฟนซื้อทองให้เป็นของขวัญวันเกิด ตอนนั้นดีใจมาก เพราะตั้งแต่คบกันมา แฟนไม่เคยให้ของขวัญวันเกิดเลย มีแต่ซื้อเค้กเป่าเทียน กินข้าวด้วยกันเฉย ๆ หลังจากวันนั้นแฟนก็ดูน่ารักเป็นพิเศษค่ะ มันบอกไม่ถูกเหมือนกันว่าทำไม แต่มันรู้สึกว่าเขาทำให้เรารู้สึกว่า อยากให้ถึงงานแต่งงานไวไวจัง จนกระทั่ง..เมื่อวันที่ 2 เมษายน เป็นวันเกิดพ่อเราค่ะ เราตกลงกับแฟนไว้ว่า วันนี้เราจะซื้อเค้กไปเซอร์ไพรส์พ่อของเรา และเขาก็บอกกับเราว่าจะไปให้คำสัญญากับพ่อเราว่าจะดูแลเราอย่างดีที่สุด และขอเราแต่งงานต่อหน้าพ่อ

    ..เมื่อประมาน 10 โมงเช้า ในขณะที่เรากำลังจะไปซื้อเค้กให้พ่อ เราก็ต้องมารู้ว่า แฟนได้รับอุบัติเหตุ (ขออนุญาตไม่บอกนะคะว่าอุบัติเหตุอะไร) เรารีบไปหาเขาที่โรงพยาบาล พอไปถึงเราก็เห็นเขานอนอยู่ที่พื้นหน้าห้องฉุกเฉิน โดยที่มีคนล้อมรอบเกือบ 10 คน อาของแฟนดึงเรามากอด ไม่ให้หันไปมอง เราได้แต่ช็อคและร้องไห้ค่ะ พอเขายกร่างแฟนเข้าห้องฉุกเฉินได้ไม่ถึง 5 นาที ก็มีเจ้าหน้าเดินมา วอรายงานความเคลื่อนไหว จุดนี้ทำให้เราช็อคจนเป็นลมไปเลยค่ะ เจ้าหน้าที่บอกว่า "ตอนนี้ยอดผู้เสียชีวิตมี 1 ราย เป็นเพศชาย เสียชีวิตก่อนมาถึงโรงพยาบาล หมอปล่อยแล้ว.." ตอนนั้นเหตุการณ์ในโรงพยาบาลวุ่นวายมากค่ะ (เรื่องที่เกิดเป็นอุบัติเหตุใหญ่ มีคนเจ็บและเสียชีวิตอยู่หลายคน) ได้ยินแต่เสียงคนเจ็บและเสียงคนร้องไห้โวยวาย ตอนนั้นทุกช่องทีวีรายงานข่าวอุบุติเหตุนี้หมด และทุกครั้งที่รายงานจะเอ่ยชื่อผู้เสียชีวิต ซึ่งแน่นอนค่ะ เราต้องได้ยินชื่อแฟนเราทุกครั้งที่ข่าวเสนอ มันเจ็บปวดจนทนฟังไม่ได้ ต้องวิ่งออกมาข้างนอกหรือปิดหูตลอด หัวใจมันแหลกสลายมาก มันบรรยายไม่ถูกมันยิ่งกว่าความเสียใจ เพราะเหตุการณ์ครั้งนั้นเราไม่ได้สูญเสียแค่แฟนไปคนเดียว..

    หลังจากวันนั้น..ก็จัดงานศพให้แฟนที่ต่างจังหวัดค่ะ สวด 3 คืนแล้วเผา ตลอดระยะเวลา 3 คืน ได้แต่ภาวนาขอให้เขาฟื้นขึ้นมา พยายามไม่ร้องไห้ พยายามเข้มแข็ง ไม่ให้เขาห่วง แอบไปเคาะโลงศพ นั่งพูดอยู่คนเดียวหลายครั้ง จิตใจตอนนั้นย่ำแย่มากค่ะ แต่คนที่แย่กว่าเราแน่นอน ต้องเป็นแม่ของเขา เราสงสารแม่แฟนมาก แต่ก็ไม่รู้ว่าต้องทำยังไงเพื่อบรรเทาความเศร้าเสียใจให้แม่ได้ เพราะเราเองก็เศร้าเหมือนกัน

    หลังจากเสร็จงานศพแฟน.. ก็กลับมากรุงเทพฯ กลับมาทำงานที่เดิม โดยที่ปกติทุกเช้า-เย็น แฟนจะคอยมารับ-มาส่ง ตอนนี้เรากลับไปอยู่ที่บ้านเราแล้วค่ะ เริ่มต้นใช้ชีวิตตัวคนเดียวมันเป็นอะไรที่ค่อนข้างทำใจได้ยาก แต่ด้วยเพราะครอบครัวและเพื่อนที่คอยอยู่ข้าง ๆ ก็ช่วยทำให้ลืมเรื่องราวร้าย ๆ ไปได้บ้าง แต่พอต้องอยู่คนเดียว ก็เป็นธรรมดาที่ต้องฟุ้งซ่านและร้องไห้อยู่บ่อยครั้ง ทุกอย่างเริ่มเป็นปกติของการใช้ชีวิต จนมีอยู่วันนึงพี่ร้านขายข้าวที่ข้าง ๆ ที่ทำงาน เริ่มมาพูดคุยกับเรา ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยคุยกันเลย เขาพยายามถามถึงแฟนเรา ซึ่งเราก็ไม่ได้รู้สึกผิดปกติอะไร เพราะตอนนั้นมันกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกคนจะพูดถึงเรื่องนี้ แต่เราเริ่มรู้สึกว่าพี่เขาถามถึงแฟนเราแปลก ๆ จนเราเริ่มสงสัยเลยถามว่าพี่เขาต้องการจะสื่ออะไร.. พี่เขาคงอึดอัดอยากจะพูดมานานเลยบอกกับเราว่า

    "ตั้งแต่เรากลับมาทำงานเนี่ยรู้ไหม ว่าเขาเห็นแฟนเรามารับมาส่งเหมือนเดิมเป็นปกติทุกวัน เมื่อเช้าก็เห็น.."

    ตอนนั้นอึ้งไปนิดนึงค่ะ แต่อีกใจก็คิดว่าเขาเอาความเสียใจเรามาล้อเล่นหรือเปล่า เลยแกล้งถามกลับไปว่าแฟนแต่งตัวยังไง.. เขาก็บอกว่า "เสื้อยืดคอวีสีฟ้าน้ำทะเล กางเกงยีนส์ รองเท้าเตะ" ตอนนั้นเริ่มเชื่อค่ะเพราะชุดที่แฟนใส่ตอนเสียคือชุดนี้ และพี่คนนี้ก็ไม่เคยเห็นแน่ ๆ เพราะเสื้อตัวนั้นแฟนเพิ่งใส่เป็นครั้งแรก เราเป็นคนซื้อให้แฟนก่อนหน้าที่เขาจะเสียแค่ไม่กี่วัน ตอนนั้นด้วยความคิดถึงแฟนก็เลยถามพี่เขาเยอะมาก พี่เขาบอกว่าเขาเป็นคนชอบนั่งสมาธิและจะเห็นอะไรแบบนี้บ่อย ๆ พี่เขาอธิบายต่อว่า ในตอนช้าเขาจะเห็นแฟนเราก็ต่อเมื่อเราเดินมาแล้วแฟนเราก็จะเดินตามหลังจนกระทั่งเราเดินเข้าที่ทำงานแฟนเราจะยืนมองอยู่ข้างหน้าแล้วค่อย ๆ หายไป ตอนเย็นก็จะเห็นว่าแฟนเรามายืนรอที่เสาไฟข้าง ๆ ที่ทำงาน (เป็นที่ประจำของแฟนในตอนที่เขายังอยู่เขาก็จะมายืนรอเราตรงนี้ค่ะ) พอเราเดินออกมาจากที่ทำงานจะกลับบ้าน แฟนเราก็จะเดินตามเราไป.. เราเลยถามพี่เขาว่าที่เห็นเนี่ยเห็นเป็นรูปร่างแบบไหน เป็นคนตัวเป็น ๆ หรือยังไง เขาก็บอกว่า "เห็นเป็นร่างโปร่งแสงเป็นลาง ๆ แต่ใบหน้าเรียบเฉยไม่มีเลือดไม่มีบาดแผลอะไรเป็นร่างปกติ"

    มีหลายครั้งที่แฟนเราไปเข้าฝันเขาให้มาสื่อกับเราและแม่ของแฟนว่าเป็นห่วงมาก แต่พี่เขากลัวถ้าเอามาเล่าให้ฟังแล้วเราจะไม่เชื่อ ด้วยความที่เราอยากเจอแฟนค่ะ อยากสื่อสารกับแฟน เลยขอร้องให้พี่เขาช่วยสื่อสารกับแฟนให้ได้ไหม พี่เขาดูหนักใจค่ะ เพราะการที่จะสื่ออะไรแบบนี้ได้ คนที่สื่อจะรู้สึกทรมานและร่างกายอ่อนแอ (อันนี้ไม่รู้ว่าจริงไหมเขาบอกมาแบบนี้) และถ้าสื่อให้ 1 คน วิญญาณอื่น ๆ ที่ต้องการสื่ออีกจะมาขอให้ช่วยซึ่งมันไม่ใช่เรื่องดีแน่ ๆ พี่เขาแนะนำว่าให้จุดธูปบอกเขาซะ ขอให้เขาไปเกิด บอกให้เขาหมดห่วง .. ในใจตอนนั้นคิดคัดค้านเขามากค่ะ เพราะเราอยากเจอแฟน อยากเห็นแฟน อยากสื่อสารกับแฟนได้ พยายามจะขอร้องให้เขาช่วยสื่อให้หลายครั้ง จนกลับมาคิดดูดี ๆ ว่า ถ้าเราทำแบบนั้นมันจะเป็นการทรมานแฟนเราหรือเปล่า จะทำให้แฟนเรามีห่วงและไม่สงบสุขหรือเปล่า เลยตัดใจค่ะ จุดธูปกลางแจ้งบอกแฟนว่า.. "ไม่ต้องห่วง ไม่ต้องมาคอยรับคอยส่งอีกแล้ว ไปเกิดได้แล้ว เราดูแลตัวเองได้ เราจะเข้มแข็ง ถึงแม้ว่ามันจะทำได้ยาก แต่เราจะทำมันให้ได้ เราจะทำอะไรด้วยตัวเองให้ได้ เราจะไม่งอแง และอ่อนแออีก ถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้วแต่เขาจะยังอยู่ในความทรงจำที่แสนดีของเราเสมอ.." พอพูดจบ ปักธูปลงพื้น..จู่ ๆ ฝนก็ตกลงมาอย่างไม่มีเค้า ตอนนั้นแอบคิดมโนไปเองว่าแฟนเราคงรับรู้แล้ว มันโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก แต่มันก็ใจหายอย่างบอกไม่ถูกอีกเหมือนกัน..

    หลังจากวันนั้นเราก็ฝันถึงแฟนค่ะ ฝันถึงชีวิตประจำวันของเรากับเขาที่อยู่ด้วยกัน กินด้วยกัน นอนด้วยกัน ก่อนนอนเรากับแฟนจะต้องจุ๊บกันและบอกรักกันทุกครั้ง แต่ในฝันตอนนั้นเหมือนเราเผลอหลับไปก่อน แล้วแฟนก้มาลูบหัวเราจูบที่หน้าผาก แล้วพูดว่า.. "เค้าไปก่อนนะ.." ตอนนั้นพอได้ยินแบบนั้นก็พยายามจะตื่น พอลุกขึ้นได้ก็ได้ยินเสียงประตูห้องปิดแบบเบา ๆ เรารีบลุกวิ่งไปที่ประตูทันที เห็นประตูปิดไว้ไม่สนิท (ก่อนนอนเรามั่นใจแล้วว่าเราล็อกประตูไว้) เลยวิ่งออกไปที่หน้าบ้าน แต่ก็ไม่เห็นอะไรไม่เจออะไรแล้ว ตอนนั้นน้ำตาไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว เราได้แต่มองไปรอบ ๆ เหมือนมองหาว่าเขาอยู่ที่ไหน จนแม่เราเดินตามออกมา แล้วกอดเราไว้ก่อนจะพูดว่า.. "เขาไปแล้ว เขาไปดีแล้ว.." มารู้ทีหลังว่าที่แม่พูดแบบนั้นเพราะแม่ฝันเห็นแฟนเราเหมือนกัน แม่ฝันว่าแฟนเรามาขอโทษที่ไม่ได้อยู่ดูแลเราเหมือนที่เคยให้สัญญากับแม่ไว้ แล้วก็มาบอกแม่เราว่าฝากดูแลเราด้วย เขาต้องไปแล้ว..

    ตอนนี้แฟนเราก็เสียไปได้ 6 เดือนกว่าแล้ว จริง ๆ ถ้าเขายังอยู่เดือนหน้าเราจะได้แต่งงานกัน เพราะฤกษ์ที่ผู้ใหญ่หามาให้คือวันที่ 2 พ.ย. 57

    น่าเสียดายที่เราไม่มีโอกาสได้ใส่ชุดเจ้าสาวแต่งงานกับเจ้าบ่าวคนนี้.. ตอนนี้ไม่ว่าเวลามันจะทำให้เราเข้มแข็งขึ้นแค่ไหน มันก็ไม่ได้ทำให้ความรักและความคิดถึงที่มีให้เขาลดลงเลย มันอาจจะเป็นเรื่องไม่ดีที่เราคอยไปโพสต์คิดถึงในเฟซเขาบ่อย ๆ ยังคงส่งไลน์บอกเล่าเรื่องราวในแต่ละวันให้เขารับรู้ ก่อนแฟนจะเสีย แฟนเคยพูดไว้ว่าเขาอยากเห็นเราใส่ชุดแต่งงานแล้วสวยที่สุดอยากให้เราลดน้ำหนัก ตอนที่แฟนบอกเราน้ำหนัก 68 กิโลกรัมค่ะ ตอนนั้นลดให้ตายยังไงน้ำหนักก็ไม่ลง แต่พอหลังจากเขาเสีย น้ำหนักเราลดฮวบไปเกือบ 20 กิโลกรัม..ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตรอมใจหรืออยากจะทำตามความตั้งใจของแฟน ตอนนี้น้ำหนักเราเหลือ 49 กิโลกรัมแล้ว น่าเสียดายที่แฟนเราไม่มีโอกาสได้เห็นเราตอนผอม ยังมีอะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่เรากับแฟนตั้งใจจะทำด้วยกันอีกเยอะเลยแต่มันก็คงไม่มีโอกาสอีกแล้ว เศร้า

    อยากฝากถึงคนที่มีความรักดี ๆ อยู่ตอนนี้นะคะ รักษามันไว้ดี ๆ และรีบทำในสิ่งที่อยากทำก่อนจะไม่มีโอกาสได้ทำเหมือนอย่างเรา.."
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มนุษย์ลุงอันลือลั่น! สู่อุทาหรณ์ “เหยื่อทาสอารมณ์“

    -http://news.sanook.com/1687061/%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B8%E0%B8%A9%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%A5%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B9%88%E0%B8%99-%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C-%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%93%E0%B9%8C/-


    [​IMG]


    มนุษย์ลุงอันลือลั่น! สู่อุทาหรณ์ “เหยื่อทาสอารมณ์“

    นำเสนอข่าวโดยทีมงาน Sanook.com

    ช่วงนี้เสพข่าวในรอบสัปดาห์ จนสัมผัสได้ถึงจิตใจของมนุษย์บางจำพวกที่ทำเสมือนดั่งว่า ตูเจ๋ง ตูเปรี้ยวมาก บนโลกใบนี้

    เอาแค่ในประเทศเรา หลายต่อหลายข่าว บ่งบอกว่าเวลานี้ คำว่า "มนุษย์เจ้าอารมณ์" มันได้เขี่ยคำว่า "เหตุผล" ทิ้งลงถังขยะซะอย่างนั้น

    จากข่าวฮอตฮิตติดโลกโซเชียลตลอด 2-3 วัน กับชายที่แสดงอารมณ์เกี้ยวกราด บนเครื่องบินของสายการชื่อดัง เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่เราเห็นได้จากข่าวว่าคำว่า "การใช้อารมณ์เหนือเหตุผล" มันเกิดอะไรกับชีวิตเขา?

    เอาละ แม้หลายคนจะมองว่า เฮ้ย! เรื่องนี้มันไกลตัว เราไม่มีทาง ที่จะทำให้สภาวะที่เรียกว่า "อารมณ์หลุด" แบบในข่าวเป็นแน่

    อย่าเพิ่งชะล่าใจ.... ข่าวที่มากมายในทำนองนี้ ที่นับวันยิ่งมากขึ้น และมากขึ้นในทุกวี่วัน คือสิ่งที่กำลังบอกว่า "สังคมไทยเราในเวลานี้" มันตัดสินกันด้วย "อารมณ์" แทบทั้งสิ้น

    เหตุการณ์จากข่าว หลายคนที่ได้ดูคลิป ทั้งคลิปเหตุการณ์บนเครื่องบิน ทั้งคลิปของชายคนนี้มาออกรายการดังทางช่อง3 แล้วได้แต่ส่ายหัวว่า "หมอนี่เป็นเอามาก"!

    ไหนจะเหตุการณ์ที่ "เมกะบางนา" ที่อยู่ดี ๆ สาวคนหนึ่ง ถูกชายจากที่ไหนก็ไม่รู้ มาสาวหมัดใส่ โชะ ๆ ๆ ในรถยนต์ของตัวเอง

    โดยหนุ่มคนดังกล่าวสารภาพหน้าตาเฉยว่า "เขาโมโหจนเกินจะควบคุมสติ" เมื่อคิดว่า สาวคนนี้ มาเฉี่ยวชนตัวเอง ย้ำนะครับว่าเขา "คิดว่า"!!!

    สภาวะ "อารมณ์หลุด" เช่นนี้ มีให้เห็นมากมายในโลกของข่าว และ โลกของโซเชียล ที่เวลานี้ไวปานจรวด

    นับวัน มันกำลังทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย และ ทุกอาชีพ ของทุกประเทศ

    จุดจบของเรื่องทางอารมณ์ มักลงเอยด้วยเรื่องร้าย ๆ เสมอ แน่นอนว่าจุดจบสุดท้ายนี่ถึงขั้น "เสียชีวิต" ซึ่งปลายทางนำมาซึ่งความเศร้าสลดของญาติมิตร

    ในทางกลับกัน หากเราลองมองย้อนกลับไป ถึงเรื่องราวที่ทำให้ มนุษย์ กลายเป็น "ทาสอารมณ์" สิ่งที่ต้องพานพบคือ เขาตกเป็นผู้ต้องหา หรือโดนสังคมตราหน้าว่าเลว ว่าชั่ว โดนต้นตอมันก็มาจาก "อารมณ์" ล้วนๆ

    ใน 2 เรื่องที่ยกตัวอย่างมา หากย้อนกลับไปได้ แล้วชาย 2 กรณีนี้ ฉุดคิดถึงเหตุและผลที่ตามมา ก่อนที่จะลงมือกระทำในสิ่งที่สังคมรังเกียจเช่นนี้ เชื่อว่า "เขาก็คงไม่ทำเช่นนี้แน่"

    แต่ในเมื่อ ตัวเองดันพลาดพลั้ง และ ได้กระทำในสิ่งที่ตนเองได้ตกเป็น "เหยื่อของทาสอารมณ์"

    ทางออกในเรื่องนี้ มันคงยากที่จะบอกว่าต้องทำเช่นไร และเพราะสุดท้ายแล้ว หากสภาวะจิตใจของคุณเป็นคนขี้โมโห ก้าวร้าว ไร้ซึ่งความยั้งคิด ให้รู้ไว้เลยว่า "คุณอาจเป็นเหยื่อของทาสอารมณ์" รายต่อไปก็เป็นได้

    เรื่องโดย : บ.ส้มซิ่ง
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • u29.png
      u29.png
      ขนาดไฟล์:
      512.7 KB
      เปิดดู:
      45
    • u30.png
      u30.png
      ขนาดไฟล์:
      64.6 KB
      เปิดดู:
      64
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    กาลามสูตร คือ พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตตนิคม แคว้นโกศล (เรียกอีกอย่างว่า เกสปุตตสูตร ก็มี[1]) กาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อที่พระพุทธองค์ทรงวางไว้ให้แก่พุทธศาสนิกชน ไม่ให้เชื่อสิ่งใด ๆ อย่างงมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ มีอยู่ 10 ประการ ได้แก่


    -http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3-

    กาลามสูตร

    มา อนุสฺสวเนน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการฟังตามๆ กันมา
    มา ปรมฺปราย - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการถือสืบๆ กันมา
    มา อิติกิราย - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเล่าลือ
    มา ปิฏกสมฺปทาเนน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการอ้างตำราหรือคัมภีร์
    มา ตกฺกเหตุ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเดาว่าเป็นเหตุผลกัน
    มา นยเหตุ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะการอนุมานคาดคะเน
    มา อาการปริวิตกฺเกน - อย่าปลงใจเชื่อ ด้วยการเดาจากอาการที่เห็น
    มา ทิฎฐินิชฺฌานกฺขนฺติยา - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะเข้ากันได้กับทฤษฎีที่พินิจไว้แล้ว
    มา ภพฺพรูปตา - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะผู้พูดมีลักษณะน่าเชื่อถือ
    มา สมโณ โน ครูติ - อย่าปลงใจเชื่อ เพราะนับถือว่า ท่านสมณะนี้ เป็นครูของเรา
    เมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า..ธรรมเหล่านั้นเป็นอกุศลหรือมีโทษเมื่อนั้นพึงละเสีย
    และเมื่อใดสอบสวนจนรู้ได้ด้วยตนเองว่า..ธรรมเหล่านั้นเป็นกุศลหรือไม่มีโทษ เมื่อนั้นพึงถือปฏิบัติ


    ที่มา: หนังสือ "พระไตรปิฎก ฉบับดับทุกข์" จัดพิมพ์โดย สำนักพิมพ์สุขภาพใจ (หน้า 41-42), หนังสือ "พระไตรปิฎกสำหรับประชาชน ย่อความจากพระไตรปิกฉบับบาลี 45 เล่ม" (หน้า 510) จัดทำโดย สุชีพ ุญญานุภาพ, หนังสือ "ธรรมาธิบาย หลักธรรมในพระไตรปิฎก" (หน้า 620 - 621) เรียบเรียงโดย อาจารย์ปัญญา ใช้บางยาง และคณะ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    6 ปัญหาระหว่างเพื่อนบ้าน กับทางออกด้านกฎหมาย


    -http://home.kapook.com/view102341.html-



    เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม

    มีปัญหากับเพื่อนบ้าน แก้ไขอย่างไรดี ลองมาดูวิธีแก้ปัญหากับเพื่อนบ้านตามกฎหมาย เพื่อช่วยเคลียร์ข้อพิพาทกันค่ะ

    หลายคนเกิดปัญหาขัดแย้งกับเพื่อนบ้านบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็ก ๆ หรือถึงขั้นฟ้องร้องกันเลยก็มี โดยเฉพาะเรื่องสำคัญเหล่านี้ ที่เป็นตัวต้นตอของปัญหาพิพาทระหว่างเพื่อนบ้านส่วนใหญ่ แต่หากมีปัญหาเกิดขึ้นแล้วจะแก้ไขได้อย่างไร วันนี้เรามีความรู้ทางด้านกฎหมาย จากเว็บไซต์ TerraBKK มาช่วยไขปัญหา ดังนี้

    1. ต้นไม้

    เมื่อรุกล้ำเขตแดนกรรมสิทธิ์คนอื่น เจ้าของต้องตัดทิ้ง แต่หากส่วนของรากรุกล้ำ เกิดปัญหาต่อโครงสร้างผู้ได้รับความเสียหายมีสิทธิเข้าตัดฟันต้นไม้ได้เลย และดอกผลที่ยื่นไปในแดนกรรมสิทธิ์ของคนอื่น ที่ยังไม่ร่วงหล่นถือเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของต้นไม้

    2. วิว

    บางท้องถิ่นซึ่งมีวิวทะเลหรือป่าเขาที่เป็นธรรมชาติ กฎหมายมักจะระบุห้ามปลูกต้นไม้สูงหรือสร้างสิ่งก่อสร้าง ซึ่งบังวิวของเพื่อนบ้าน กฎหมายอาจจะระบุให้สิทธิแก่เจ้าของบ้านที่ถูกบังวิวให้สามารถยื่นฟ้องร้องเพื่อรักษาสิทธิชมวิวของตนได้

    3. เสียง

    คือเหตุรำคาญ การกระทำใด ๆ อันเป็นเหตุให้เกิดกลิ่น แสง รังสี เสียง ความร้อน สิ่งมีพิษ ความสั่นสะเทือนฝุ่น ละออง เขม่า เถ้า หรือกรณีอื่นใด จนเป็นเหตุให้เสื่อมหรืออาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ สามารถแจ้งเจ้าพนักงานท้องถิ่นได้

    4. น้ำฝน

    จากหลังคาบ้านของเพื่อนบ้าน สามารถร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนและฟ้องร้องให้มีการรื้อถอนได้

    5. สัตว์เลี้ยง

    ก่อความรำคาญ มีสิทธิเรียกร้องเอาสินไหมทดแทนจากเจ้าของสัตว์ หรือคนรับเลี้ยงได้

    6. การจอดรถขวางหน้าบ้าน

    ถือว่าเป็นกระทำความผิดฐานก่อความเดือดร้อนรำคาญใจตามมาตรา 397 หมวดลหุโทษ


    ต้นไม้

    ปลูกต้นไม้อย่างไรไม่ให้เกิดความเสียหายแก่ที่ดินตนเองและผู้อื่นย่อมถือเป็นสิ่งสำคัญเช่นเดียวกัน กฎหมายจึงได้มีบทบัญญัติครอบคลุมถึงปัญหาเกี่ยวกับการปลูกต้นไม้ไว้ด้วย กล่าวคือ การปลูกต้นไม้หรือไม้ยืนต้นในริมเขตแดนแห่งกรรมสิทธิ์ อาจเกิดปัญหาการรุกล้ำเขตแดน เช่น กิ่งก้านใบ ดอกผล ราก เป็นต้น การรุกล้ำของต้นไม้ดังกล่าวมีประเด็นเงื่อนแง่ในด้านกฎหมาย ดังนี้

    1. ส่วนของกิ่งก้านใบหรือผลยื่นล่วงล้ำไปในที่ดินของผู้อื่น การปลูกต้นไม้ใกล้ชิดแนวเขตโดยไม่คำนึงถึงประเภทของต้นไม้นั้นว่าตามธรรมชาติและพันธุ์ไม้นั้นจะเติบโตได้เพียงไร เมื่อเกิดการยื่นรุกล้ำไปแล้วกฎหมายกำหนดให้ผู้ได้รับความเสียหายต้องแจ้งให้เจ้าของต้นไม้ตัดฟันไม่ให้เกิดการล่วงล้ำเสียก่อน หากไม่ตัดฟันต้นไม้ตามที่แจ้งจึงจะมีอำนาจเข้าตัดฟันต้นไม้และเรียกค่าเสียหายได้ กรณีเข้าไปตัดฟันเองโดยไม่แจ้งให้เจ้าของต้นไม้ทราบก่อนอาจมีความผิดตามกฎหมายอาญาข้อหาทำให้เสียทรัพย์ และข้อหาบุกรุก

    2. ส่วนของรากรุกล้ำ เกิดปัญหาเกี่ยวกับการทำลายโครงสร้าง เช่น ทำให้กำแพงพัง รากฐานบ้านพัง เป็นต้น กฎหมายกำหนดให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายมีสิทธิเข้าตัดฟันต้นไม้ได้เลย แต่อย่างไรก็ตามเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับคดีอาญาข้อหาทำให้เสียทรัพย์ และข้อหาบุกรุก ให้ยุ่งยากในทางปฏิบัติจึงควรบอกกล่าวให้เจ้าของต้นไม้ทราบก่อนด้วย

    3. ส่วนของดอกหรือผลต้นไม้ ถือเป็นดอกผลและผลประโยชน์ที่ผู้ปลูกต้องการแต่เนื่องด้วยต้นไม้ปลูกริมแนวเขตทำให้ดอกหรือผลต้นไม้ออกผลยื่นไปในแดนกรรมสิทธิ์ของคนอื่น ดังนั้นจึงมีประเด็นต้องพิจารณาต่อไปว่าดอกหรือผลดังกล่าวเป็นของใคร เจ้าของต้นไม้ก็ยืนยันว่าเป็นของตนเองเพราะทำการปลูกไว้ ส่วนเจ้าของที่ดินที่เสียหายก็อ้างว่าดอกหรือผลอยู่ในเขตที่ดินของตนจึงเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง โดยในประเด็นของดอกผลมีสิ่งที่ต้องควรพึงระวัง ดังนี้

    3.1 หากดอกหรือผลไม้ในส่วนที่ยื่นรุกล้ำไปในแนวเขตของผู้อื่นนั้นยังไม่หลุดจากขั้วต้นไม้ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้าของต้นไม้ เพราะเป็นดอกผลอันเกิดจากต้นไม้นั้นโดยตรง หากมีการเด็ดไปจากต้นผู้เอาไปมีความผิดอาญาข้อหาลักทรัพย์

    3.2 หากดอกหรือผลไม้ในส่วนที่ยื่นรุกล้ำมีการร่วงหล่นไปในที่ดินของผู้อื่นแล้ว การเอาไปไม่ผิดข้อหาลักทรัพย์ จึงมีนักกฎหมายบางคนหัวหมอบอกว่าต้องทำให้หล่นก่อนจะได้ไม่ผิด แต่ความจริงการทำให้หล่นก็อาจผิดฐานทำให้เสียทรัพย์และพยายามลักทรัพย์ได้เช่นเดียวกัน


    6 ปัญหาระหว่างเพื่อนบ้าน กับทางออกด้านกฎหมาย

    วิว

    ถ้าเพื่อนบ้านทำการต่อเติมบ้าน หรือปลูกต้นไม้ใหม่บังวิว โดยปกติคนเราไม่มีสิทธิในแสงแดด อากาศ และวิว ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งธรรมชาติที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ยกเว้นเฉพาะกรณีที่เพื่อนบ้านเจตนาทำสิ่งก่อสร้างขึ้นเพื่อแกล้งบังวิว หรือในกรณีที่กฎหมายท้องถิ่นระบุห้ามสร้างสิ่งก่อสร้าง ซึ่งเป็นการบังวิวของคนส่วนใหญ่ บางท้องถิ่นซึ่งมีวิวทะเลหรือป่าเขาที่เป็นธรรมชาติ กฎหมายมักจะระบุห้ามปลูกต้นไม้สูงหรือสร้างสิ่งก่อสร้าง ซึ่งบังวิวของเพื่อนบ้าน กฎหมายอาจจะระบุให้สิทธิแก่เจ้าของบ้านที่ถูกบังวิวให้สามารถยื่นฟ้องร้องเพื่อรักษาสิทธิชมวิวของตนได้


    เสียง

    พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 มีบทบัญญัติเกี่ยวกับการจัดการ ป้องกันและแก้ไขปัญหามลพิษที่เกี่ยวกับเหตุรำคาญด้านพิษทางเสียง ดังนี้

    มาตรา 25 ในกรณีที่มีเหตุอันอาจก่อให้เกิดความเดือดร้อน แก่ผู้ที่อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียง หรือผู้ที่ต้องประสบกับเหตุนั้น ดังต่อไปนี้ ให้ถือว่าเป็นเหตุรำคาญ (4) การกระทำใด ๆ อันเป็นเหตุให้เกิดกลิ่น แสง รังสี เสียง ความร้อน สิ่งมีพิษ ความสั่นสะเทือนฝุ่น ละออง เขม่า เถ้า หรือกรณีอื่นใด จนเป็นเหตุให้เสื่อมหรืออาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ

    มาตรา 26 ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจห้ามผู้ใดผู้หนึ่งมิให้ก่อเหตุรำคาญ ในที่ หรือทางสาธารณะหรือสถานที่เอกชนรวมทั้งการระงับเหตุรำคาญด้วย ตลอดทั้งการดูแล ปรับปรุง บำรุงรักษา บรรดาถนน ทางบก ทางน้ำรางระบายน้ำ คู คลอง และสถานที่ต่างๆ ในเขตของตนให้ปราศจากเหตุรำคาญในการนี้ ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจออกคำสั่งเป็นหนังสือเพื่อระงับ กำจัด และควบคุมเหตุรำคาญต่าง ๆ ได้

    มาตรา 27 ในกรณีที่มีเหตุรำคาญเกิดขึ้นหรืออาจเกิดขึ้นในที่หรือทางสาธารณะ ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นมีอำนาจ ออกคำสั่งเป็นหนังสือให้บุคคล ซึ่งเป็นต้นเหตุ หรือเกี่ยวข้องกับการก่อ หรืออาจก่อให้เกิดเหตุรำคาญนั้น ระงับ หรือป้องกันเหตุรำคาญภายในเวลาอันสมควร ตามที่ระบุไว้ในคำสั่ง และถ้าเห็นสมควรจะให้กระทำโดยวิธีใดเพื่อระงับหรือป้องกันเหตุรำคาญนั้น หรือสมควรกำหนดวิธีการเพื่อป้องกันมิให้เกิดขึ้นได้อีกในอนาคต ให้ระบุไว้ในคำสั่งในกรณีที่ปรากฎแก่เจ้าพนักงานท้องถิ่นว่าไม่มีการปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น และเหตุรำคาญที่เกิดขึ้นอาจเกิดอันตรายอย่างร้ายแรงต่อสุขภาพ ให้เจ้าพนักงานท้องถิ่นระงับเหตุนั้นและอาจจัดการตามความจำเป็นเพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุรำคาญนั้นขึ้นอีก โดยบุคคลซึ่งเป็นต้นเหตุหรือเกี่ยวข้องกับการก่อหรืออาจก่อให้เกิดเหตุรำคาญต้องเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายสำหรับการจัดการนั้น

    มาตรา 74 ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงานท้องถิ่น ตามมาตรา 27 วรรคหนึ่ง หรือมาตรา 28วรรคหนึ่งหรือวรรคสาม โดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร หรือขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานท้องถิ่นตามมาตรา 27 วรรคสอง หรือมาตรา 28 วรรคสอง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือน หรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


    ประมวลกฎหมายอาญา มีบทบัญญัติเกี่ยวกับกำกำหนดโทษผู้ก่อให้เกิดเสียง ดังนี้

    มาตรา 370 ผู้ใดส่งเสียงหรือทำให้เกิดเสียงหรือกระทำความอื้ออึงโดยไม่มีเหตุอันควรจนทำให้ประชาชนตกใจหรือเดือดร้อน ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 100 บาท

    มาตรา 372 การทะเลาะกันอื้ออึงในทางสาธารณะ หรือสาธารณสถานก็อาจทำให้ผู้ทะเลาะเบาะแว้งส่งเสียงดังอื้ออึง มีโทษปรับไม่เกิน 500 บาท

    มาตรา 376 ผู้ใดยิงปืนหรือใช้ดินระเบิดโดยใช่เหตุในเมือง หมู่บ้านหรือที่ชุมนุมชน ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 วัน หรือปรับไม่เกิน 500 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    เสียงดังที่มาจาก งานเลี้ยงดื่มสุรา เมาแล้วโวยวายเป็นประจำ ตามกฎหมายแล้วถือเป็นความผิดทางอาญาละหุโทษ ฐานส่งเสียง หรือทำให้เกิดเสียง เพื่อนบ้านมีสิทธิฟ้องร้องได้ ถ้าหมาของเพื่อนบ้านเห่าไม่หยุด ให้ขอความช่วยเหลือจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นที่ดูแลสัตว์ (animal control authorities) ถ้าเจ้าหน้าที่ไม่สามารถแก้ปัญหาให้ สุดท้ายสามารถยื่นฟ้องร้องเพื่อนบ้านเพื่อขออำนาจศาลสั่งแก้ปัญหาได้

    น้ำฝนจากหลังคาบ้านของเพื่อนบ้านไหลตกลงมาในบริเวณพื้นที่บ้านของเรา

    กฎหมายถือเป็นการละเมิดสิทธิแบบหนึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งผู้เสียหายมีสิทธิฟ้องร้องเรียกค่าสินไหมทดแทนและฟ้องร้องให้มีการรื้อถอนได้


    สัตว์เลี้ยงเพื่อนบ้านก่อความรำคาญ

    เช่น สุนัขหรือแมวเข้ามากัด เข้ามาทำลายสิ่งของในบ้าน ปัญหาการถ่ายอุจจาระ เข้ามาคุ้ยขยะ ทำความสกปรกให้เกิดขึ้น กฎหมายวางหลักเกณฑ์ไว้ว่า ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการกระทำของสัตว์ดังกล่าว มีสิทธิเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนจากเจ้าของสัตว์นั้น หรือจากบุคคลผู้รับเลี้ยงรับรักษาไว้แทนเจ้าของ ทั้งนี้ ผู้ได้รับความเสียหายจะทำร้ายสัตว์หรือฆ่าสัตว์เพื่อเป็นการแก้แค้นไม่ได้ เพราะอาจมีความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์และอาจถูกฟ้องร้องฐานละเมิดอีกด้วย


    การจอดรถขวางหน้าบ้าน

    การจอดรถขวางประตูบ้านของผู้อื่น เป็นการกระทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนรำคาญ เพราะไม่สามารถนำรถเข้าหรือออกจากบ้าน จะมาอ้างว่าถนนหน้าบ้านเป็นที่สาธารณะนั้นทำไม่ได้ เนื่องจากหากเจ้าของรถใช้สิทธิไปก่อความเดือดร้อนของผู้อื่นทั้งที่รู้แก่ใจถึงความเสียหาย จะถือว่า กระทำความผิดฐานก่อความเดือดร้อนรำคาญใจตามมาตรา 397 หมวดลหุโทษ

    ทั้งนี้ เมื่อเป็นความผิดกฎหมายอาญาแล้ว ตำรวจจะปัดไม่รับแจ้งความร้องทุกข์ไม่ได้ ถ้าปฏิเสธ อาจมีโทษฐานละเว้นหน้าที่โดยทุจริต เพราะความผิดฐานนี้ไม่จำเป็นต้องมีความเสียหายเกิดขึ้น แค่เกิดพฤติกรรมที่ทำให้ผู้อื่นเดือดร้อนรำคาญใจ ก็เป็นความผิดอาญาฐานนี้แล้ว


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก-http://terrabkk.com/news/6-%E0%B8%9B%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%8F%E0%B8%AB/-
    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ไปเที่ยวทั้งที มาลดหย่อนภาษีกันดีกว่า

    -http://money.sanook.com/226821/%E0%B9%84%E0%B8%9B%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B1%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5-%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2/-



    วันนี้ขอ Update เรื่องราวการลดหย่อนภาษีสำหรับคนชอบเที่ยวกันบ้างครับ แหม่.. พูดแบบนี้หลายๆคนคิดไปถึงเสียงยามราตรี ตึง ตึก ตึก โป๊ะ กันแน่เลย แต่ไม่ใช่ครับ เพราะมันคือการท่องเที่ยวไทย ไม่ไปไม่รู้ ต่างหากคร้าบบบ

    จากข่าวล่ามาเร็วเมื่อวันที่14 ตุลาคม 2557 นพ.ยงยุทธ มัยลาภ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเห็นชอบร่างพ.ร.ฎ.ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร และร่างกฎกระทรวงที่ออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร ซึ่งเป็นมาตรการทางภาษีเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวและจัดอบรมสัมมนาภายในประเทศ และช่วยฟื้นฟูการท่องเที่ยว

    ซึ่งสำหรับส่วนที่เกี่ยวข้องกับบุคคลธรรมดาอย่างเรานั้น กฎหมายระบุไว้ว่าจะยกเว้นเงินได้ในส่วนที่เป็น“ค่าบริการให้แก่ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ หรือที่ได้จ่ายเป็นค่าที่พักในโรงแรมให้ แก่ผู้ ประกอบธุรกิจโรงแรม” สำหรับการเดินทางท่องเที่ยวภายในประเทศ สามารถนำมาลดหย่อนภาษีตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่รวมกันแล้วไม่เกิน 15,000 บาท และจะมีผลบังคับใช้ ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2558

    โดยสำหรับการลดหย่อนภาษีในการท่องเที่ยวนี้ เคยมีใช้ มาแล้วในปี 2553 ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง และ @TAXBugnoms
    (https://www.facebook.com/TaxBugnoms) คาดว่าสำหรับปี 2557 – 2558 นี้ก็น่าจะเกิดจากเหตุผลเดียวกันครับ ซึ่งจากข่าววงในแบบสุดๆ เค้า (ใครสักคนหนึ่ง?) บอกกันไว้ว่ากฎหมายฉบับใหม่นี้จะใช้เงื่อนไขตามกฎหมายเดิม เอาล่ะ เรามาดูกันต่อเลยดีกว่าว่ามีเงื่อนไขอะไรกันบ้าง

    1. สำหรับคำว่า “ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยว” นั้น หมายความว่า ผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวที่ได้รับใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ และ “ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม” หมายความว่า ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรมที่ได้รับใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรมซึ่งแปลว่า ค่าเดินทาง เช่น น้ำมันรถ ค่าตั๋วรถทัวร์ ค่าตั๋วเครื่องบิน ที่เราจ่ายเองโดยไม่ผ่านผู้ประกอบการทั้งสองประเภทนี้ไม่สามารถนำมาใช้ได้นะครับ

    2. เป็นการจ่าย “ค่าบริการ” ให้แก่ผู้ประกอบการนำเที่ยวหรือที่ได้จ่ายเป็น”ค่าที่พักในโรงแรม”ให้แก่ผู้ประกอบการโรงแรมสำหรับการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ(ท่องเที่ยวต่างประเทศใช้ไม่ได้นะครับ) ตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่สูงสุดรวมกันไม่เกิน 15,000บาท

    3. ต้องมีหลักฐานการรับเงิน โดยระบุชื่อของเรา(ผู้ที่ต้องการรายจ่ายส่วนนี้มาลดภาษี) พร้อมทั้งระบุจำนวนเงิน วันเดือน ปี ที่จ่ายเงินให้ชัดเจน เช่น ใบกำกับภาษี หรือใบเสร็จรับเงิน
    และที่หลายคนกังวลว่าเอกสารจากตัวแทนรับจองโรงแรมต่างๆเช่น Agoda , Booking.com หรือเจ้าอื่นๆจะสามารถนำมาใช้ได้หรือไม่นั้น ถ้าหากอ้างอิงตามกฎหมายเดิมแล้ว จะพิจารณาจากเจ้าของธุรกิจที่จดทะเบียนกิจการในประเทศไทยเป็นหลักครับ ซึ่งสามารถตรวจสอบได้จากเวปไซด์กรมสรรพากรในหัวข้อ รายชื่อผู้ประกอบธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ ที่ผู้มีเงินได้มีสิทธิขอหักลดหย่อนภาษีค่าเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ และ ผู้ประกอบธุรกิจโรงแรม ที่ผู้มีเงินได้มีสิทธิขอหักลดหย่อนภาษีค่าเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ (สำหรับกฎหมายใหม่ที่จะออกนี้ ขอแนะนำให้รอUpdate รายชื่ออีกทีนะคร้าบบ)

    4 กฎหมายนี้ เมื่ออกแล้วมีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่31 ธันวาคม 2558 ซึ่งคาดว่าจะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับปี 2557-2558 ดังนั้นเริ่มเก็บใบเสร็จได้แล้วนะคร้าบบบ

    ลองคิดดูง่ายๆครับว่า ถ้าปีนี้เราจ่ายค่าท่องเที่ยวไปเต็มที่ 15,000 บาท นั้นแปลว่าเราสามารถลดหย่อนภาษีได้สูงสุดตามอัตราภาษีที่เราเสีย ตั้งแต่ 750 บาท (สำหรับฐานภาษีต่ำสุด 5 %)ไปจนถึง 5,250 บาท (สำหรับฐานภาษีสูงสุด35%) กันเลยทีเดียว ได้เที่ยวแล้วยังได้ประหยัดภาษีอีกด้วย คุ้มจริงๆ

    ดังนั้นสิ่งที่จะฝากไว้ก่อนจะจากกัน คือ อย่าลืมออกเที่ยวกันเยอะๆเพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย และเก็บใบเสร็จไว้เพื่อลดหย่อนภาษีที่ต้องจ่ายอีกทอดหนึ่งด้วยนะคร้าบบบ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ng54.png
      ng54.png
      ขนาดไฟล์:
      334 KB
      เปิดดู:
      87
    • ng55.png
      ng55.png
      ขนาดไฟล์:
      815.2 KB
      เปิดดู:
      88
    • ng56.png
      ng56.png
      ขนาดไฟล์:
      88.5 KB
      เปิดดู:
      83
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    มารยาททางสังคม : สิ่งที่ดูเล็กน้อยแต่สำคัญ

    โดย รองศาสตราจารย์ ดร.พรทิพย์ เกยุรานนท์

    -http://www.stou.ac.th/schools/shs/booklet/book55_3/easily.html-

    ก่อนที่จะกล่าวถึง “มารยาททางสังคม” ผู้เขียนขอให้มาทำความรู้จักกับคำว่า “มารยาท” ก่อนว่า คืออะไร “มารยาท” หรือ “มรรยาท” (etiquette or good manners) หมายถึง กิริยาวาจาที่ถือว่าสุภาพเรียบร้อย ถูกกาลเทศะ (อมรรัตน์ เทพกาปนาท, 2553) หรือก็คือ การแสดงออกที่มีแบบแผนในการประพฤติปฏิบัติโดยได้รับการอบรมให้งดงามตามความนิยมแห่งสังคมมารยาท ไม่ได้ติดตัวมาแต่เกิด แต่ได้มาจากสิ่งแวดล้อม มีการศึกษา อบรมเป็นสำคัญ ดูกิริยา ฟังวาจาของคนแล้ว พอคาดได้ว่าผู้นั้นได้รับการศึกษาอบรมมาอย่างไร พื้นฐานที่สำคัญที่สุดของมารยาท คือ ความสุภาพและสำรวม คนสุภาพจะเป็นคนที่มีจิตใจสูงเชื่อมั่นในตัวเอง เพราะคนที่มีอะไรในตัวเองแล้วจึงจะสุภาพอ่อนน้อมได้ ความสุภาพอ่อนน้อมมิได้เกิดจากความเกรงกลัว แต่ถือว่าเป็นความกล้า ส่วนความสำรวม คือ การเป็นคนมีสติ ไม่พูดไม่ทำอะไรที่เกินควร รู้จักการปฏิบัติที่พอเหมาะพองาม คิดดีแล้วจึงทำ คาดแล้วว่า การกระทำจะเป็นผลดีแก่ทุกฝ่าย มิใช่เฉพาะตัวคนเดียว (บ้านมหาดอทคอม, 2552) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่า มารยาทเป็นคุณลักษณะประจำตัวของบุคคล ได้แก่ การสัมมาคารวะ ความสุภาพ อ่อนน้อม ความมีวินัยและพฤติกรรมต่าง ๆ ที่ปรากฏแก่สายตาของผู้อื่น (http://management.aru.ac.th) จึงกล่าวได้ว่า มารยาทเป็นคุณลักษณะประจำตัวของบุคคลที่แสดงออกทั้งในด้านกิริยา วาจา ซึ่งมีแบบแผนในการประพฤติปฏิบัติ ที่ถือว่าสุภาพเรียบร้อย อ่อนน้อม มีความสำรวม ถูกกาลเทศะ และปฏิบัติสิ่งที่พอเหมาะพองาม

    มารยาทจึงเป็นสิ่งที่เราเคยชินกับการได้ยินมาตั้งแต่เด็ก ทั้งจากในบ้านที่คุณปู คุณย่า คุณตา คุณยาย บิดา มารดา และญาติผู้ใหญ่ที่เคารพรักพร่ำสอน ตลอดจนคุณครูและอาจารย์ในโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลจนถึงสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาที่ปลูกฝังเรา เพื่อให้เรามีมารยาททางสังคม รู้จักอะไรควรและไม่ควรกระทำ สามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นในสังคมได้ มารยาททางสังคมจึงเป็นกรอบหรือระเบียบแบบแผนที่ควรประพฤติหรือควรละเว้นในส่วนที่เกี่ยวกับผู้อื่น รวมทั้งชุมชนหรือคนหมู่มาก โดยเหตุที่มนุษย์เราไม่สามารถอยู่ลำพังคนเดียวในโลกได้ ต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้อื่นไม่มากก็น้อย ด้วยเหตุนี้ จึงต้องมีกฎกติกากำหนดแบบแผนในการอยู่ร่วมกัน ซึ่งทุกชาติทุกประเทศต่างก็มีแบบอย่างทางวัฒนธรรมที่เรียกกันว่า มารยาททางสังคมนี้ทั้งสิ้น เพียงแต่รายละเอียดอาจจะแตกต่างกันบ้าง อย่างไรก็ดี ด้วยความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีปัจจุบัน อาจทำให้คนสมัยนี้หันไปพึ่งพาเครื่องอำนวยความสะดวกต่างๆ และมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นน้อยลง อันเป็นเหตุให้ละเลยหรือเพิกเฉยต่อมารยาทที่พึงมีต่อกัน แต่สิ่งเหล่านี้ ก็ยังจำเป็นต่อการอยู่ร่วมกันในทุกสังคม (อมรรัตน์ เทพกาปนาท, 2553)

    ปัจจุบันด้วยพิษของโลกาภิวัฒน์และโลกของการแข่งขันและการทำงานให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคม ที่แย่งเวลาในการที่จะปลูกฝังสิ่งดีงามเหล่านี้ไป เกิดการหลงลืมคำว่า “มารยาท” และได้เกิดการทำสิ่งต่างๆ ที่ยึดตนเองเป็นหลัก โดยไม่ได้คำนึงถึงคนในสังคมรอบข้างว่าเขาจะรู้สึกอย่างไรกับสิ่งที่ตนเองกระทำ กล่าวง่ายๆ ว่า “ไม่เอาใจเขามาใส่ใจเรา เพราะไม่ใช่เรื่องของเรา เรื่องของเรา คือ เราต้องสบาย ต้องได้ ไม่ต้องเสีย หรือต้องสำเร็จ” จึงทำให้สังคมเกิดความสับสนว่า “สิ่งใดควรทำและสิ่งใดไม่ควรทำ” “สิ่งใดเหมาะสมหรือไม่เหมาะสม” “สิ่งใดถูกกาลเทศะหรือไม่ถูกกาลเทศะ” บางคนก็กล่าวไปจนถึงการมีสมบัติผู้ดี จึงทำให้เกิดความขัดแย้งกันในสังคม ความอคติต่อกันทำลายบรรยากาศดีๆ ของการอยู่ร่วมกันในสังคม ทำให้สังคมรอบข้างไม่น่าอยู่ แต่ถ้าทุกคนหันมาปรับปรุงบรรยากาศที่ดีในสังคมตั้งแต่หน่วยเล็กจนถึงหน่วยใหญ่ที่สุด จะทำให้สังคมนั้นๆ น่าอยู่มากขึ้น จะพบกับความถ้อยทีถ้อยอาศัย น้ำใจที่เอื้ออาทรกันและกัน การช่วยกัน/ ร่วมมือกันทำงาน และเกิดความสุขในการอยู่ร่วมกันในครอบครัวและการทำงาน

    ดังนั้น มาช่วยกันทำสิ่งที่หายไปนั้นกลับคืนมาสู่สังคมไทยกันเถอะ นั่นคือ “มารยาททางสังคม” ที่ดูเหมือนสิ่งที่ดูเล็กน้อย แต่มีความสำคัญที่ทำให้ครอบครัว หน่วยงาน และสังคมเราน่าอยู่ เพราะบุคคลเรานอกจากจะมีความสามารถในเชิงการทำงานที่ดีเยี่ยมแล้ว ยังต้องรู้จักรักษากิริยามารยาท และจะต้องรู้จักการสมาคมกับผู้อื่น จึงจะเป็นบุคคลที่มีเสน่ห์ เพิ่มความสนใจให้กับผู้พบเห็น (http://management.aru.ac.th) จึงนับได้ว่าบุคคลผู้นั้นเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จ ในการดำเนินชีวิตประจำวันและในการทำงาน เพราะคนมีมายาทนั้นไม่ได้วัดกันที่คุณจบวุฒิอะไรมา หรือมีดีกรีระดับใด หรือมีตำแหน่งหน้าที่อะไร หรือมาจากวงค์ตระกูลไหน หรือมีฐานะอย่างไร แต่วัดกันที่บุคลิกภาพของบุคคลที่แสดงออกมา โดยท่วงทีกริยามารยาทที่แสดงออกมาแล้วบุคคลอื่นรอบข้างเขารับได้หรือไม่ได้ บุคคลที่มีกริยามารยาทดีจะมีโอกาสได้รับความนิยมชมชอบและชื่นชมจากบุคคลรอบข้าง (อัจฉรา นวจินดา) แต่ถ้าบุคคลนั้นมีตำแหน่งหน้าที่สูง เป็นผู้บังคับบัญชา หรือมีความเก่งในหน้าที่การงาน แต่ไร้มารยาททางสังคม บุคคลนั้นก็ไม่น่าชื่นชมหรือน่านับถือ เพราะบุคคลนั้น ยังไม่รู้ว่าอะไรควรทำและไม่ควรทำ ยังนึกถึงแต่ผลประโยชน์ของตน หรือยึดตนเองหรือที่เรียกว่า “อัตตา” เป็นหลัก ยังไม่รู้จักให้เกียรติคนอื่น ลืมมองดูคนอื่นที่อยู่รอบข้างว่า ทุกคนมีความสำคัญในสังคมไม่ว่าเขาจะอยู่ในฐานะใดในสังคมก็ตาม เขาก็มีความเป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน จึงควรให้เกียรติไม่ว่าเขาจะมีฐานะด้อยกว่าตนก็ตาม หลายครั้งที่บุคคลเราเมื่อมีฐานะ มีหน้ามีตาในสังคม หรือมีอำนาจขึ้นมา มักจะลืมนึกถึงคนอื่นที่เขามีความเป็นมนุษย์เช่นตนเอง ที่มีความรู้สึกและมีความต้องการเช่นกัน แต่กลับแสดงอำนาจหรือมีกริยาที่แสดงท่าทีข่มคนอื่น เพื่อให้เขาดูด้อยกว่าตนเอง ซึ่งดูเหมือนจะดีที่สร้างสถานการณ์ที่เหนือกว่าบุคคลอื่น แต่สิ่งที่ทำไปนั้น กลับติดลบ เพราะสิ่งที่ทำไปไม่ได้ใจคนที่เห็นหรือคนที่ถูกกระทำ และบางครั้งกลับกลายเป็นการเอาคืน จึงทำให้บรรยากาศดีๆ ที่จะทำให้การอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขหายไป และถ้าเป็นหน่วยงานที่ต้องทำงานร่วมกันด้วยแล้ว ความร่วมมือในการทำงานจะหายไป ผลงานที่ได้อาจไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่ควรจะเป็น บางครั้งดูเหมือนประสบความสำเร็จดี แต่ถ้ามองลึกลงไปในรายละเอียดแล้วจริงๆ อาจไม่ได้ประสบความสำเร็จจริงๆ ก็ได้ เพราะคนอาจทำให้ด้วยหน้าที่ตามความจำเป็น หรือทำให้เพราะกลัวอำนาจของผู้มีอำนาจหน้าที่เหนือกว่า แต่ไม่ได้ใส่ใจกับงานที่ต้องทำ สิ่งที่ออกมาจึงไม่ได้มีประสิทธิภาพอย่างที่ควรจะเป็น เป็นการทำให้ผ่านๆ หรือพ้นๆ ตัวไปเท่านั้น และเมื่อวงจรนี้ยังคงอยู่ ไม่มีการปรับปรุง ผลกระทบที่สะสมนั้นสุกง่อม ก็จะแสดงออกมา และวันนั้นการแก้ไขก็จะยากขึ้น ส่งผลร้ายต่อตนเอง คนรอบข้าง หน่วยงาน และสังคมที่อยู่ แต่ก็ไม่มีอะไรที่สายเกินไปที่เราจะหันกลับมาและเอาใจใส่กับคนรอบข้างอย่างจริงใจ ด้วยมารยาททางสังคมที่ดีงามให้แก่กันและกัน จะทำให้สิ่งที่ดีๆ กลับมาสู่สังคมเรามากยิ่งขึ้น เกิดความรักและความสามัคคีกันในสังคม

    การที่จะทำให้ครอบครัว หน่วยงาน และสังคมน่าอยู่นั้น สิ่งที่ต้องปลูกฝังและฝึกฝนมาตั้งแต่เล็กจนโต ก็คือ การเป็นผู้มีมารยาท หรือบางคนโตแล้ว แต่ในวัยเด็กไม่ได้ถูกปลูกฝังมา ก็สามารถปรับหรือพัฒนาตนเองได้ ถ้าใจคิดที่จะทำให้ดีขึ้น เพราะมารยาทแสดงออกมาที่กิริยาท่าทางและการพูดจา อาศัยการบอกอย่างเดียวไม่ได้ ต้องฝึกเองจนเกิดขึ้นเป็นอัตโนมัติ คนดี มารยาทดีเท่ากัน แต่อาจไม่เหมือนกัน เพราะคนมีบุคลิกภาพต่างกัน การแสดงออกย่อมต่างกันด้วย มีตัวร่วม คือ แสดงออกมาแล้วเป็นผลดีแก่ตัว เพราะทำให้ผู้อื่นพอใจด้วยรู้สึกว่าได้รับเกียรติ เมื่อให้เกียรติแก่ผู้อื่น ตนเองก็จะเป็นผู้มีเกียรติด้วย สังคมใดมีคนแสดงมารยาทดีต่อกัน สังคมนั้นเป็นสังคมของผู้มีเกียรติ (อมร สังข์นาค) ดังนั้น มารยาทที่พบเห็นกันบ่อยๆ และควรรักษาไว้ในสังคมและปลูกฝังให้ลูกหลานคนไทยต่อไป เช่น

    1. มารยาทในการพูด

    มารยาทในการพูดที่ควรปฏิบัติ มีดังนี้
    1.1 คำกล่าว “ ขอบคุณ ” จะใช้เมื่อมีผู้อื่นให้สิ่งของ ให้ความช่วยเหลือ ให้บริการ หรือเอื้อเฟื้อทำสิ่งต่างๆ ให้ ไม่ว่าจะโดยหน้าที่ของเขา หรือมีน้ำใจหรือไม่ก็ตาม เช่น บริกรเสริฟน้ำให้ คนลุกให้นั่งหรือช่วยถือของให้บนรถประจำทาง คนช่วยหยิบของให้เวลาของหล่นลงพื้น พนักงานรักษาความปลอดภัยช่วยบอกทางในขณะจอดรถ หรือคนช่วยเปิดประตูให้ เป็นต้น การกล่าวคำขอบคุณนั้น ถ้ากล่าวกับผู้ที่อาวุโสกว่า หรือมีวัยเสมอกันจะใช้คำว่า “ขอบคุณ” หรือถ้ากล่าวกับคนอายุน้อยกว่าจะใช้คำว่า “ ขอบใจ ” ส่วนระดับของการขอบคุณนั้นจะใช้คำว่า “ขอบคุณ” “ขอบคุณมาก” “ขอบพระคุณมาก” “ขอบใจ” “ขอบใจมาก” ขึ้นอยู่กับความรู้สึกของผู้พูดต่อสิ่งที่ทำให้หรือได้รับ โดยเฉพาะคำว่า “ขอบพระคุณมาก” จะใช้กับผู้อาวุโส มิใช่แค่คำพูดเท่านั้น น้ำเสียงที่พูด กิริยา ท่าทางที่พูดจะบอกว่า ผู้นั้นพูดออกมาจากความรู้สึกที่อยู่ในใจจริงๆ หรือพูดออกมาตามหน้าที่ หรือตามสถานการณ์ที่บังคับที่ทำให้ต้องพูด ผู้ฟังจะรู้สึกได้ถึงสิ่งที่พูด และยิ่งยกมือไหว้พร้อมกับกล่าวคำขอบคุณกับผู้อาวุโสไปพร้อมกัน จะทำให้ดูอ่อนน้อม และได้รับความเมตตาจากผู้อาวุโสมากยิ่งขึ้น และการพูดขอบคุณแบบขอไปทีกับไม่พูดนั้น ผู้เขียนเห็นว่า การพูดก็ดีกว่าการไม่พูด เพราะแสดงถึงการมีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน ดีกว่าการไม่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน

    1.2 คำกล่าว “ ขอโทษ ” จะใช้เมื่อทำสิ่งที่ไม่ดี /สิ่งที่ผิด / สิ่งผิดพลาด/ สิ่งที่ไม่เหมาะสม/ การรบกวน/ การขัดจังหวะขณะพูดหรือทำงานเมื่อมีธุระด่วน/ การพูดจาหรือแสดงกิริยาที่ไม่ดีหรือไม่เหมาะสมต่อบุคคลอื่นทั้งที่ตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจก็ตาม เป็นต้น การกล่าวคำขอโทษนั้น จะใช้คำว่า “ขอโทษ” เมื่อผู้พูดรู้สึกสำนึกผิดในสิ่งที่ตนได้กระทำ/ พูด/ แสดงออกมา ถ้าพูดออกมาด้วยความรู้สึกผิด จะทำให้คำขอโทษนั้นมีความหมายที่ผู้ฟังหรือคนกระทำรู้สึกดีขึ้นและพร้อมที่จะให้อภัย และถ้าเขาให้อภัยแล้ว ผู้ที่ทำผิดต้องกล่าวคำขอบคุณที่เขาให้อภัยเราด้วย แต่ถ้ากล่าวคำขอโทษออกมาแบบเสียไม่ได้ หรือในท่าทีที่ไม่เหมาะสม คำขอโทษนั้นจะมีน้ำหนักน้อยที่อาจทำให้เขาอาจไม่ให้อภัยหรือให้อภัยตามมารยาทสังคมเท่านั้น แต่ในใจยังรู้สึกติดใจอยู่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบในอนาคตได้ที่อาจมีการเอาคืนในภายหลัง แต่การกล่าวคำว่าขอโทษแบบเสียไม่ได้ก็ยังดีกว่าการไม่ยอมกล่าวคำขอโทษออกมา เพราะย่อมแสดงถึงว่าเราลดตัวตนหรือทิฐิของเราลงมาในระดับหนึ่ง และยอมที่จะเปลี่ยนแปลงในอนาคต ถึงแม้ความรู้สึกสำนึกผิดจะช้าก็ตาม ในการกล่าวคำขอโทษนั้น ถ้ากล่าวกับผู้อาวุโสควรยกมือไหว้พร้อมกันไปด้วย จะทำให้ผู้อาวุโสที่เราขอโทษเขารู้สึกดี และบอกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตนของผู้นั้นด้วย จะทำให้ดูดีและน่ารักในสายตาผู้อาวุโสและสายตาของผู้ที่ได้พบเห็นหรืออยู่ในสถานการณ์นั้น

    1.3 คำพูดที่ใช้เมื่อสนทนาหรือกล่าวถึงผู้อื่นในลักษณะให้เกียรติ เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอย่างมาก ดังคำโบราณว่า “พูดดีเป็นศรีแก่ตัว” ก็แสดงว่า การพูดนั้นเป็นคุณแก่ผู้พูด คำพูดที่จะให้คุณ ก็คือ คำพูดดีๆ ที่พูดต่อกัน น้ำเสียงในการพูดให้น่าฟัง อ่อนโยน ใช้ภาษาที่เหมาะสม ถูกกาลเทศะ แสดงความให้เกียรติ รักษาน้ำใจผู้อื่น และไม่ควรพูดประชดประชันหรือซุบซิบนินทาผู้อื่นให้เสียหาย คำพูดดีๆ นั้นจะหมายรวมถึงการที่ไม่ดูหมิ่นเหยียดหยามผู้อื่น หรือยกตนข่มผู้อื่น หรือแสดงตนว่าอยู่เหนือคนอื่น หรือพูดไม่ถูกกาลเทศะ การพูดเหล่านี้นอกจะไม่ให้คุณแล้ว ยังแสดงถึงความไม่มีมารยาทในการพูด จะทำให้เกิดผลกระทบตามมากับผู้พูด ทำให้ผู้พูดขาดทุน เพราะขาดความน่ารัก ไม่ได้ใจผู้ฟัง และยังก่อให้เกิดความขัดแย้งกันตามมาด้วย การพูดที่ให้เกียรติผู้อื่นนั้น ไม่ใช่ให้เกียรติเฉพาะผู้อาวุโส/ ผู้ใหญ่เท่านั้น ต้องรวมไปถึงผู้ที่มีศักดิ์และสถานะเท่าเทียมกัน จนถึงผู้ที่มีศักดิ์หรือสถานภาพด้อยกว่าผู้พูดด้วย โดยเฉพาะถ้าผู้พูดเป็นผู้อาวุโสกว่าหรือเป็นผู้บังคับบัญชา ยิ่งต้องพูดดีและให้เกียรติกับผู้ที่ทำงานร่วมกันไม่ว่าเขาอยู่ในสถานภาพไหนก็ตาม จะทำให้ได้ใจผู้ฟัง และพร้อมที่จะให้ความร่วมมือในการทำงาน

    1.4 การทักทาย ในประเพณีไทยจะทักทายกันโดยการไหว้และกล่าวคำว่า “สวัสดี” ส่วนสากลเวลาพบกันจะทักทายกันโดยยื่นมือขวาจับกันและเขย่ามือเล็กน้อย และทักทายด้วยคำสวัสดีเป็นภาษาต่างประเทศและถามสารทุกข์สุกดิบระหว่างกัน

    1.5 การแนะนำบุคคลให้รู้จักกัน หลักโดยทั่วๆไปแล้ว จะแนะนำผู้อาวุโสมากก่อนผู้มีผู้อาวุโสน้อยกว่า หรือแนะนำผู้เป็นเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ หรือมีตำแหน่งระดับสูงกว่าก่อนผู้อื่น ถ้ามีสถานภาพเสมอกันก็ให้แนะนำตามความเหมาะสม อาจแนะนำผู้ที่มาก่อนก็ได้

    2. มารยาทในการรับประทานอาหาร

    การรับประทานอาหารเป็นส่วนหนึ่งที่บ่งบอกถึงการมีมารยาททางสังคมของบุคคลว่า บุคคลนั้นได้รับการอบรมมาดีหรือไม่ มารยาทในการรับประทานอาหาร ได้แก่ มารยาทในการตักอาหาร โดยเมื่อเริ่มรับประทานอาหารต้องรอให้ผู้ใหญ่ แขกผู้ใหญ่ หรือเจ้าภาพตักอาหารก่อน ควรใช้ช้อนกลางในการตักอาหารจากจานกับข้าวกลางเพื่อแบ่งอาหารใส่จานของตน ควรตักอาหารให้พอกับการรับประทาน ไม่ควรตักอาหารมาใส่จานของตนมากจนรับประทานไม่หมด ไม่ควรตักอาหารข้ามหน้าผู้อื่น การรับประทานอาหารควรจับช้อนและซ้อม และ/ หรือตะเกียบให้ถูกหลักการใช้ ไม่พูดในขณะเคี้ยวอาหารอยู่ในปาก เพราะอาจทำให้อาหารล่วงหล่นจากปากและสำลักอาหารได้ ไม่ควรเคี้ยวอาหารหรือซดน้ำแกงเสียงดัง ไม่ควรไอ จาม สั่งน้ำมูก หรือล้วงแคะ แกะเกาในขณะรับประทานอาหาร หากจำเป็นต้องใช้มือป้องปาก หรือใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากหรือเช็ดน้ำมูก หากมีอาหารที่ต้องคายออกให้ป้องปากและคายใส่กระดาษเช็ดปากที่รองรับอยู่ แล้วปิดให้มิดชิด ถ้าจะใช้ไม้จิ้มฟัน ควรใช้มือป้องปากไว้ขณะแคะ เป็นต้น

    3. มารยาทในการเดิน ยืน และนั่ง

    การเดิน ควรเดินด้วยอาการสำรวม และเมื่อเดินกับผู้ใหญ่ไม่ควรเดินนำหน้า ควรเดินตาม ยกเว้น ต้องนำทางผู้ใหญ่ และควรเดินเยื้องอยู่ด้านข้างใดข้างหนึ่งแล้วแต่สถานที่ ซึ่งปกติจะอยู่ด้านซ้ายมือของผู้ใหญ่ และห่างพอสมควร เมื่อเดินสวนทางกันควรเดินชิดซ้าย และถ้าสวนทางกับผู้ใหญ่ควรก้มตัวเมื่อเดินผ่าน ถ้าเป็นทางแคบควรหยุดให้ผู้ใหญ่ไปก่อน ถ้าผู้ใหญ่นั่งอยู่ ควรหลีกเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่น เป็นต้น ส่วนการยืนนั้น ไม่ควรยืนค้ำศีรษะผู้ใหญ่ และถ้ายืนอยู่กับผู้ใหญ่ต้องอยู่ในอาการสำรวม ไม่ยืนถ่างขา ไม่ยืนกอดอกหรือเอามือล้วงกระเป๋า เป็นต้น ส่วนการนั่ง ควรนั่งในท่าที่สบาย แต่อยู่ในอาการสำรวม ไม่ควรนั่งไขว่ห้าง นั่งถ่างขา นั่งโยกเก้าอี้ หรือนั่งประเจิดประเจ้อที่ทำให้ดูโป้ หรือไม่อยู่ในอาการสำรวม ไม่ควรเยียดขาหรือกระดิกเท้าขณะนั่งเวลานั่งกับผู้อื่นหรือในที่ระโหฐาน และไม่นั่งค้ำศีรษะผู้ใหญ่ เป็นต้น

    4. มารยาทในการไปชมมหรสพ การไปซื้อของ หรืออยู่ในที่สาธารณะ

    การไปชมมหรสพ เช่น คอนเสิร์ต หนังหรือละคร ฯลฯ หรือการไปซื้อของ ควรเข้าแถวซื้อตั๋ว/ ซื้อของตามลาดับก่อน-หลัง ไม่แทรกหรือตัดแถวผู้อื่น ในขณะชมมหรสพไม่ควรลุกจากที่นั่งโดยไม่จำเป็น ไม่ควรส่งเสียงรบกวนผู้อื่นโดยการสนทนากันดังๆ วิพากษ์วิจารณ์การแสดง หรือแสดงอาการสนุกสนาน เป่าปาก ตบมือจนเกินกว่าเหตุ ไม่ควรเกี้ยวพาราสี หรือกอดจับต้องกันเมื่ออยู่ในโรงมหรสพ (อมรรัตน์ เทพกาปนาท, 2553) หรือเมื่ออยู่ในที่สาธารณะ

    5. มารยาทในการแต่งกาย

    การแต่งกายแสดงถึงขนบธรรมเนียม ประเพณีและวัฒนธรรม แล้วยังแสดงถึงอุปนิสัยใจคอ จิตใจ รสนิยม ตลอดจนการศึกษาและฐานะของแต่ละบุคคลได้เป็นอย่างดี การแต่งกายของผู้ที่อยู่ในสังคมจึงเป็นสิ่งจำเป็นและมีหลักสำคัญที่ควรปฏิบัติ (http://web.eng.nu.ac.th ) ดังนี้

    5.1 ความสะอาด ต้องเอาใส่เป็นพิเศษ โดยเริ่มต้นด้วยเครื่องแต่งกาย ได้แก่ เสื้อผ้า ถุงเท้า รองเท้า เครื่องประดับ กระเป๋าถือ ต้องสะอาดหมด ใช้เครื่องสำอางค์แต่พอควรและร่างกาย ก็ต้องสะอาดทุกส่วนตั้งแต่ ผม ปาก ฟัน หน้าตา มือ แขน ลำตัว ขาและเท้าตลอดจนถึงเล็บ รวมไปถึงกลิ่นตัวที่ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ ต้องอาบน้ำฟอกสบู่ให้หมดกลิ่นตัว ถ้าทำได้ทุกส่วน ก็ถือว่าสะอาด
    5.2 ความสุภาพเรียบร้อย โดยเครื่องแต่งกายนั้นต้องอยู่ในลักษณะสุภาพเรียบร้อย ไม่รุ่มร่ามหรือรัดตัวจนเกินไป ไม่ใช้สีฉูดฉาด ควรแต่งให้เข้ากับสังคมนั้น ความสุภาพเรียบร้อยนั้นรวมไปถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ เครื่องประดับและการแต่งหน้าแต่งผมด้วย
    5.3 ความถูกต้องกาลเทศะ โดยการแต่งกายควรให้ถูกกาลเทศะ เป็นเรื่องสำคัญมาก ผู้มีมารยาทดีย่อมต้องเอาใจใส่ เพราะการแต่งกายให้ถูกกาลเทศะ หมายถึง การเลือกแต่งกายให้ถูกต้องเหมาะสมกับเวลายุคสมัยนิยม สถานที่ และงานที่จะไป เช่น งานศพก็ควรใส่สีดำ งานมงคลก็ควรใส่สีสดใส หรือไปงานที่เป็นทางการควรดูว่าเป็นงานลักษณะใด เช่น ไปประชุม หรือไปศึกษาดูงาน ควรแต่งกายให้สุภาพตามประเพณีนิยม ฯลฯ เพื่อให้สมเกียรติกับงานที่ไป

    6. มารยาทในการรักษาเวลา

    การนัดหมายกับผู้อื่นในการทำงาน การประชุม การไปเที่ยว จะต้องตรงเวลาและรักษาเวลาให้ดี ถ้ามีเหตุจำเป็นไม่สามารถทำได้ต้องรีบแจ้งหรือบอกผู้ที่เรานัดหมายก่อนล่วงหน้าหรือเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าไม่แจ้งและคนที่นัดรอเก้อ จะถือว่าเป็นคนไม่ตรงต่อเวลา และไม่มีมารยาททางสังคม การรักษาเวลาถือเป็นการให้เกียรติต่อกันที่มีความสำคัญมากพอๆ กับการรักษาคำพูด (เรียนต่อต่างประเทศ : Hotcourses Thailand)

    7. มารยาทในที่ประชุม

    มารยาทในที่ประชุมเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงการให้เกียรติกัน และเคารพในการแสดงความคิดเห็นของกันและกัน มารยาทที่ต้องรักษาไว้ เช่น การตรงต่อเวลาในการเข้าประชุม การขออนุญาตที่ประชุมเมื่อเข้าประชุมสายหรือการออกจากห้องประชุมก่อนกำหนด การยกมือขวาขึ้นเพื่อขอแสดงความคิดเห็นหรือต้องการถาม การเปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมประชุมได้แสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผย การเป็นผู้ฟังที่ดี รู้จักอดทนฟังเรื่องราวที่ผู้อื่นกำลังแสดงความคิดเห็นให้จบก่อนว่าเขาต้องการแสดงความคิดเห็นหรือบอกอะไร ไม่พูดแทรกหรือตัดบทไม่ให้พูดขณะที่ผู้อื่นกำลังแสดงความคิดเห็น การไม่พูดกวนหรือต่อเรื่องให้ยาวออกนอกประเด็นจากเรื่องที่ประชุม การเคารพกฎ กติกาของที่ประชุม การเคารพมติของที่ประชุม การไม่คุยเรื่องส่วนตัว คุยเสียงดัง หรือวิพากษ์วิจารณ์หรือนินทาผู้อื่นในขณะประชุม การพูดในที่ประชุมควรใช้เหตุผล หลักการ และความจริง ไม่ใช้อารมณ์ โดยเฉพาะอารมณ์ที่จะเอาชนะ มีอัตตาสูง หรือต้องการพูดปกป้องตนเองก่อนที่จะฟังเรื่องราวให้จบ จะทำให้ที่ประชุมปั่นป่วน ไร้ระเบียบ และทำให้การประชุมนั้นไม่มีประสิทธิภาพ ฯลฯ

    มารยาททางสังคมยังมีอีกหลายด้านที่เราควรยึดในการปฏิบัติ เช่น การรู้จักเกรงใจในเรื่องการขอความช่วยเหลือ การขอยืมของ การสั่งงาน การไปพบ/การไปเยี่ยม/การใช้โทรศัพท์ติดต่อในเวลาส่วนตัวหรือที่บ้าน เป็นต้น การไม่ถือวิสาสะในเรื่อง การเข้าห้องผู้อื่นโดยไม่เคาะประตู การหยิบหรือใช้หรือเข้าไปสำรวจบ้านหรือห้องของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต การเปิดจดหมายหรืออิเมลของคนอื่นออกอ่านโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นต้น การให้เกียรติผู้อื่น ด้วยวาจาและท่าทาง การใช้โทรศัพท์ การนอน การช่วยเหลือผู้อื่น การเล่นกีฬาหรือเกมต่างๆ เป็นต้น ซึ่งผู้อ่านสามารถศึกษาจากหนังสือ หรือเว็บไซต์ต่างๆ เพิ่มเติมได้ ดังนั้น การที่มนุษย์เราอยู่ในสังคมเดียวกันจะต้องเคารพกฎ กติกา ขนบธรรมเนียมประเพณี และบรรทัดฐานของสังคมที่เราอยู่ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตและทำงานอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข มารยาททางสังคมจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นที่ทำให้คนเรารู้สึกดีต่อกัน สิ่งที่ดูเล็กน้อยแต่สำคัญ เพราะการมีมารยาทดีเปรียบเสมือนมีอาภรณ์ประดับกายที่งดงาม เป็นที่ชื่นชนและยอมรับของบุคคลรอบข้าง ผู้ที่มีมารยาทดี มักประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงาน เนื่องจากได้รับการยอมรับและเชื่อถือทางสังคม การมีมารยาทดีจึงเปรียบเสมือนในเบิกทางไปสู่ความสำเร็จ (อัจฉรา นวจินดา) จึงควรส่งเสริมให้สังคมเรารักษามารยาททางสังคมกันเถอะ

    ................................................



    เอกสารอ้างอิง

    บ้านมหาดอทคอม. (พ.ค. 2552). “มารยาทในสังคม”. ค้นคืนวันที่ 11 พฤษภาคม 2555 จาก มารยาทในสังคม
    อัจฉรา นวจินดา . “มารยาทในสังคม”. ค้นคืนวันที่ 13 พฤษภาคม 2555 จาก pirun.ku.ac.th/~agrpct/envelop/character3.doc
    อมร สังข์นาค. “วิถีธรรมวิถีไทย” ”. ค้นคืนวันที่ 11 พฤษภาคม 2555 จาก http://www.nayoktech.ac.th/~amon/in11_2.html
    อมรรัตน์ เทพกำปนาท. (มิถุนายน 2553). เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับมารยาททางสังคม.: ค้นคืนวันที่ 12 พฤษภาคม 2555 จาก http://www.m-culture.go.th/detail_page.php?sub_id=1715
    OKnation,
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การเคารพนับถือกฎหมาย (Obedience to Law)

    -https://www.facebook.com/permalink.php?story_fbid=499321586829011&id=473834066044430-



    การเคารพนับถือกฎหมาย (Obedience to Law) และ

    ท่าที่ของคนที่เกี่ยวกับแนวคิดเรื่องการเคารพนับถือกฎหมาย (Obedience to Law) คือ
    การเคารพนับถือกฎหมายและเหตุผลในเชิงหลักการที่เข้ามารองรับหลักที่ว่าต้องเคารพกฎหมาย

    1.การเคารพนับถือกฎหมาย (Obedience to Law)
    มีสุภาษิตกฎหมายลาตินอยู่บทหนึ่งว่า “การเชื่อฟังกฎหมาย คือ แก่นสาระสำคัญแห่งกฎหมาย” (Obedientia est legis essential Obedience is the essence of Law)
    เมื่อพิจารณาถึงสุภาษิตดังกล่าวแล้ว สาระสำคัญแห่งความเป็นกฎหมายนั้นอยู่ที่สภาพบังคับของกฎหมายหรือธรรมชาติของการที่กำหนดให้ผู้คนทั่วไปต้องคารพเชื่อฟังกฎหมาย หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งว่ากฎหมายและการเคารพเชื่อฟังกฎหมายเป็นสิ่งที่ต้องเกิดคู่กันเสมอไม่อาจแยกออกจากกันได้
    แต่อย่างไรก็ตาม ข้อสรุปหรือสาระสำคัญดังกล่าวไม่ได้ให้เหตุผลว่า “ทำไมเราจึงต้องเคารพกฎหมาย” นอกจากคำตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า “เพราะมันคือกฎหมายเท่านั้น” อีกครั้งที่ไม่ได้ช่วยให้เกิดความกระจ่างเลยว่า “อะไรคือความสัมพันธ์ระหว่างประเด็นการเคารพเชื่อฟังกฎหมายและธรรมชาติของกฎหมาย”
    ประเด็นคำถามที่น่าศึกษาต่อมา คือ การเคารพเชื่อฟังต่อกฎหมายเป็นพันธะหน้าที่ทางศีลธรรม
    (Moral duty) หรือไม่เชื่อว่าผู้คนส่วนใหญ่ในสังคมคงต้องยอมรับเห็นด้วยว่าเป็นพันธะเชิงศีลธรรมของสมาชิกในชุมชนที่ ต้องผูกมัดตัวต่อกฎหมายทำนองเดียวกับพันธะทางศีลธรรมในการรักษาคำมั่นสัญญาในทรรศนะนี้บางครั้งก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของความคิดหรือข้อสรุป “เรื่องหลักนิติศาสตร์ธรรมหรือหลักนิติธรรม” (The Rule of Law) ในสังคม
    ประเด็นที่น่าสนใจต่อมาแนวคิดดังกล่าวข้างต้นนี้ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์ความคิดของมนุษย์ ชาติมาเป็นเวลาช้านานแล้วเกือบ 2,000 ปี มีที่มา คือ
    1.1โสเกรตีส (Socrates) ปรัชญาเมธีผู้ยิ่งใหญ่ของกรีกได้ยืนยันในหลักการดังกล่าว โดยมอบ
    ชีวิตตัวเองให้แก่รัฐสมัยนั้นเพื่อพิสูจน์ความเชื่อของตนต่อความสมบูรณ์ ศักดิ์สิทธิ์ของหลักการนี้
    1.2เซนต์ พอล (St. Paul) ได้จารึกไว้แก่พสกนิกรที่เป็นคริสเตียนทั้งหลายในกรุงโรม ยืนยันถึง
    พันธะทางศาสนาที่ทุกคนต้องเคารพเชื่อฟังต่อกฎหมายของฝ่ายอาณาจักร (Secular Law)
    1.3เซนต์ โทมัส อไควนัท (St.Thomas Aquinas) ประกาศว่ากฎหมายของมนุษย์ (Human
    law) ควรต้องได้รับการเคารพเชื่อฟัง เว้นแต่กฎหมายนั้นจะขัดต่อกฎหมายธรรมชาติ
    1.4เบนแธม (Bentham) ผู้ปฏิเสธกฎหมายธรรมชาติและสนับสนุนข้อสรุปว่า กฎหมายทุกฉบับ
    ควรอยู่ภายใต้การวิพากษ์วิจารณ์โดยคำนึงถึงหลักอรรถประโยชน์เป็นสำคัญ ก็ยืนยันว่าภายใต้รัฐบาลแห่งกฎหมาย สิ่งที่เป็นเสมือนภาษิตในใจของประชาชนที่ดี คือ “เคารพเชื่อฟังกฎหมายสม่ำเสมอ ตรวจสอบวิจารณ์กฎหมายโดยเสรี”
    2.เหตุผลในเชิงหลักการที่เข้ามารองรับหลักที่ว่าต้องเคารพกฎหมาย
    ถ้าเริ่มพิจารณาที่เหตุผลส่วนตัวของแต่ละบุคคลในการปฏิบัติตามกฎหมายดูเหมือนมีคำตอบ หลายแง่หลายมุมทั้งในแง่เหตุผลและในแง่จิตวิทยา นับแต่ความคร้าน (Indolence) ความเคารพ (Deference) ความเห็นตาม (Sympathy) ความกลัว (Fear) และความคิดรอบคอบ (เหตุผล = Reason) อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาลึก ๆ ลงสู่เหตุผลพื้นฐานของการต้องเคารพเชื่อฟังกฎหมาย พบว่ามีเหตุผลในเชิงหลักการหลาย ๆ ประการที่วางอยู่เบื้องหลังข้อสรุป ดังนี้ คือ
    2.1 ในแง่สิทธิเสรีภาพ
    การถือว่าทุกคนต้องเคารพกฎหมายต้องยอมรับก่อนในขั้นแรกว่าเป็นการมองในแง่อุดมคติ จึงจะสามารถเชื่อมโยงเข้าสู่นัยสิทธิเสรีภาพได้ เพราะการเคารพเชื่อฟังกฎหมายนั้นจริง ๆ แล้วเมื่อวิเคราะห์ลึก ๆ จะเห็นว่า “เป็นไปเพื่อค้ำประกันผลประโยชน์ของทุกคน” ทั้งนี้เพราะทุกคนมีความเสมอภาคกันภายในกฎหมาย ดังนั้นการเคารพเชื่อฟังกฎหมายจึงเป็นเรื่องภาระหน้าที่ ในทางนิติปรัชญาจึงถือว่าการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายเป็นเสมือนสิ่งที่ก่อให้เกิดเสรีภาพ แต่อย่างไรก็ตามนั้นจะต้องพิจารณาพันธะในการปฏิบัติตามกฎหมาย
    เซอร์ พอล วิโนกราดอฟ (Sir Paul Vinogradoff) ได้อธิบายเหตุผลในแง่ดังกล่าว ว่าการเคารพเชื่อฟังกฎหมายสืบแต่ความสำคัญของกฎหมายเอง กล่าวคือ เป็นความจำเป็นของสังคมที่ต้องมีกฎหมายใช้บังคับแก่สมาชิกทั้งหลายในสังคม เพื่อความสงบเรียบร้อยหรือประโยชน์สุขร่วมของสังคม โดยเฉพาะในนิติรัฐซึ่งถือว่ากฎหมายเป็นใหญ่และมีความสำคัญเหนือสิ่งใด เป็นสิ่งสำคัญยิ่งที่ราษฎรทั้งหลายต้องยอมรับนับถือกฎหมาย และรัฐเองต้องอยู่ภายในขอบเขตของกฎหมายที่ให้อำนาจไว้เพื่อเป็นการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของราษฎรมิให้รัฐใช้อำนาจเกินขอบเขต
    2.2 ในแง่สัญญาประชาคม (Social Contract) ตรงที่ต้องทำความเข้าใจทฤษฎีสัญญาประชาคมก่อนว่าทฤษฎีสัญญาประชาคม นั้นหมายถึงการบุคคลเข้ามาอยู่ในสัญญาประชาคมก็คือเสมือนกับได้ทำข้อตกลงเป็นสัญญาว่าอยู่ในสังคมร่วมกัน จะเคารพกติกาบ้านเมืองจะปฏิบัติตามคำสั่งของบ้านเมือง ซึ่งเราอาจมองได้ 2 ลักษณะ คือ
    1)เป็นสัญญาที่มอบอำนาจให้รัฐโดยเด็ดขาด
    2)การมอบอำนาจให้รัฐนั้นมันมีเงื่อนไขว่ารัฐไม่ต้องกระทำที่เป็นการมิชอบถ้ารัฐกระทำการมิชอบประชาชน สามารถยกเลิกสัญญาได้
    ในแง่นี้การเอาสัญญาประชาคมมารับรองจะอยู่ใน ลักษณะที่ 1 คือ เป็นสัญญาที่มอบอำนาจให้รัฐโดยเด็ดขาด ในแง่นี้ โสเกรติส ถูกตัดสินพิพากษาประหารชีวิตโดยข้อหาก่ออาชญากรรมอุกฉกรรจ์ด้วยการปฏิเสธพระผู้เป็นเจ้าสร้าง พระองค์ใหม่ขึ้น และทำความเสื่อมเสียฉ้อฉลต่อศีลธรรมของหนุ่มสาวกรีกยุคนั้น ในระหว่างการรอประหารชีวิตด้วยการให้กินยาพิษฆ่าตัวตาย มิตรสหายของ โสเกรติส ได้พยายามชักชวนให้เขาหลบหนีการลงโทษ แต่ โสกราตีส กลับปฏิเสธโดยโต้แย้งว่าเขาได้อุทิศชีวิตของเขาทั้งหมดเพื่อสอนถึงความสำคัญของเรื่องความยุติธรรมและการเคารพต่อกฎหมายของรัฐ ดังนั้น แม้เขาจะยืนยันว่าเขาบริสุทธิ์ แต่การที่เขาได้ดำรงอยู่ในสังคมนั้นก็เสมือนว่าเขาได้ทำข้อตกลงที่จะเคารพเชื่อฟังกฎหมาย ดังนั้น เมื่อกฎหมายสั่งอย่างไรเขาก็ต้องปฏิบัติตามกฎหมายแม้ผลลัพธ์ของกฎหมายนั้นจะทำให้เขาได้รับอันตรายก็ตาม
    แนวคิดของ โสเกรติส นั้นสรุปได้ว่า โสเกรติส มองว่าพันธะในการที่การเคารพเชื่อฟังกฎหมายเป็นสิ่งสมบูรณ์ ทุกคนต้องยอมรับแม้จะเป็นผลร้ายแก่ตัวเองก็ตามนอกจากนั้นเขายังพยายามอ้างว่ารัฐเปรียบเสมือนพ่อแม่ที่เขาต้องเคารพเชื่อฟัง เราเคารพเชื่อฟังพ่อแม่ฉันท์ใดเราก็ต้องเคารพรัฐฉันท์นั้น พ่อแม่จะปฏิบัติต่อลูกอย่างไรแม้ไม่ถูกต้องลูกก็ไม่มีสิทธิที่จะแก้แค้นหรือตอบโต้รัฐเช่นเดียวกัน รัฐจะกระทำต่อพลเมืองอย่างไรพลเมืองก็ไม่มีสิทธิตอบโต้การปฏิเสธรัฐปฏิเสธกฎหมายทำได้อย่างเดียว คือ ออกไปเสียจากสังคมนั้น ๆ เท่านั้น
    2.3 หลักความเที่ยงธรรม (ความชอบธรรม) (Fairness) ถือว่าการที่มนุษย์อยู่สังคมมนุษย์ย่อมจะได้รับความสงบสุข เพราะคนในสังคมปฏิบัติตามกฎหมาย ดังนั้น เมื่อคนอื่นปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยเพื่อประโยชน์แก่คนอื่นในสังคม ดังคำกล่าวที่ว่า การใช้สิทธิเสรีภาพนั้นต้องไม่กระทบกระเทือนสิทธิของผู้อื่น เมื่อเป็นเช่นนั้นต่างคนต่างก็ต้องเคารพกฎหมายเพื่อมิให้การใช้สิทธิของตนไปกระทบกระเทือนบุคคลอื่นแม้
    เหตุผลในเชิงหลักการข้างต้นดังกล่าวที่รองรับการเคารพเชื่อฟังกฎหมาย แต่ทว่าหากเราลองมองสำรวจรอบ ๆ ตัว เราจะพบว่ามีคนอยู่ไม่น้อยที่เป็นคนดี บริสุทธิ์ ซึ่งละเมิดฝ่าฝืนกฎหมาย โดยพวกเขากลับไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องผิด บกพร่องทางศีลธรรมอะไรในการกระทำดังกล่าว
    ตัวอย่าง เราอาจพบได้ในผู้ฝ่าฝืนกฎจราจรที่ขับขี่รถเกินอัตราความเร็วที่กฎหมายกำหนด, นักธุรกิจที่ทำสัญญาอย่างไม่เป็นการกันเองเพื่อหลีกเลี่ยงภาษีที่เขาเห็นว่าสูงเกินความจำเป็นหรือในสังคม ร่วมสมัยก็ปรากฏนักวิจารณ์สังคม นักทำกิจกรรมเพื่อสังคม นักอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นจำนวนไม่น้อยที่ฝ่าฝืนกฎหมายบ้านเมืองอย่างเปิดเผยและจงใจ เพื่อคัดค้านสิ่งที่เขาเห็นว่าไม่ถูกต้องโดยไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจว่าตนกำลังละเมิดพันธะทางศีลธรรมที่ตนมี อยู่ต่อกฎหมายตรงกันข้ามกลับมีความรู้สึกว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกต้องมากกว่า และการกระทำดังกล่าวจากมโนธรรมบริสุทธิ์ของตนเองข้อเท็จจริงเหล่านี้จึงดูเหมือนต้องการคำอธิบายที่ละเอียดอ่อนและลึกซึ้งมาก
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ตัวระยำ และบัดซบมาก


    --------------------------------------------------

    รวบแล้ว เจ๊โอปอล พระหาเด็กชายจัดเซ็กส์หมู่คากุฎิ

    -http://hilight.kapook.com/view/110500-

    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ข่าวสด



    รวบแล้ว พระโอปอล หรือ เจ๊โอปอล พระข่มขืนเด็ก จัดเซ็กส์หมู่ในกุฏิ ด้านมูลนิธิพิทักษ์เด็กเยาวชนและสตรีเตรียมพาผู้เสียหายถูกล่อลวงขายบริการ มาแจ้งความเพิ่มเติม

    จากกรณีที่ตำรวจสืบสวนภาค 5 ได้รวบตัว 5 เจ้าอาวาสวัดดังใน จ.เชียงใหม่ และ จ.ลำพูน ที่ร่วมเครือข่ายพระค้ามนุษย์ นำเด็กอายุต่ำกว่า 15 ปี มาเพื่อแสวงหาประโยชน์ทางเพศ เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2557 โดยตำรวจได้แจ้งข้อหากระทำชำเราหรือกระทำอนาจารเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี โดยเด็กจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม และยังมีพระบัณฑิตา ซึ่งมีฉายาว่า พระโอปอล อยู่ในก๊วนจัดหาเด็กให้กับพระสงฆ์ และรับซื้อเด็กมาร่วมเซ็กส์หมู่ด้วย โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2556 พระโอปอล ซึ่งสังกัดวัดดังในเมืองเชียงใหม่ ได้ร่วมกับ พระอึ่งอ่าง เป็นธุระจัดหาเด็กชายไปส่งให้กับ เจ้าอาวาสวัด อ.เชียงดาว เชียงใหม่ จนเจ้าอาวาสถูกจับกุมด้วย ต่อมาพระโอปอล หรือ เจ๊โอปอล ก็ได้หลบหนีประกันตัว และถูกออกหมายจับในเวลาต่อมานั้น

    คืบหน้าล่าสุด เมื่อเวลา 09.30 น. วันนี้ (31 ตุลาคม 2557) ผู้สื่อข่าวมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจกองบังคับการสืบสวนภาค 5 ได้รับแจ้งจากมูลนิธิพิทักษ์เด็กเยาวชนและสตรีว่า ได้พบเห็นพระโอปอลกำลังออกมาหาซื้อดอกไม้บริเวณตลาดต้นลำไย โดยนุ่งห่มแบบพระสงฆ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้นำกำลังไปจับกุมพร้อมหมายจับได้ที่ตลาดต้นลำไย ก่อนคุมตัวมาสอบปากคำที่ กองสืบสวนภาค 5

    สำหรับการจับกุมพระโอปอลในครั้งนี้ เป็นไปตามหมายจับของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ที่ จ.323/2557 ลงวันที่ 29 กรกฎาคม 2557 ต้องหากระทำความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี ซี่งมิใช่ภริยาหรือสามีของตน โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม, กระทำอนาจารเด็กอายุไม่เกินสิบห้าปี โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม

    ทั้งนี้จากคำให้การของเด็กผู้เสียหายในคดีดังกล่าว ทราบว่าเมื่อประมาณเดือนตุลาคม 2556 พระลูกวัดแห่งหนึ่งใน จ.เชียงใหม่ ได้พาเด็กชายอายุประมาณ 14-16 ปี ไปส่งให้กับพระโอปอล ซึ่งบวชและจำพรรษาอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในอำเภอแม่ริม เชียงใหม่ โดยพระโอปอลได้ทำการล่วงละเมิดทางเพศเด็กชาย ในลักษณะเซ็กส์หมู่ภายในกุฏิ

    จากการสืบสวนเบื้องต้นทราบว่า พระสงฆ์กลุ่มนี้ได้ล่อลวงเด็กมาละเมิดทางเพศโดยตลอดไม่น้อยกว่า 150 รายแล้ว และพระสงฆ์ระดับเจ้าอาวาส ก็ถูกจับมาแล้วหลายรูป ส่วนพระโอปอลนั้นถูกจับเมื่อปี 2556 ในข้อหาธุระจัดหาเด็ก และได้หนีประกันไป และยังกลับมาก่อเหตุล่อลวงเด็ก จัดหาเด็กให้กับพระสงฆ์ระดับเจ้าอาวาสอีกบ่อยครั้ง กระทั่งมาถูกจับในครั้งนี้

    อย่างไรก็ตาม ยังมีเด็กผู้เสียหายอีกหลายคนที่ถูกล่อลวงขายบริการ ซึ่งทางมูลนิธิฯ จะได้ตรวจสอบและนำมาแจ้งความเพิ่มเติมต่อไป


    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก-http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRReE5EYzBOVGd5T0E9PQ==&subcatid=-
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทำอย่างไรเมื่อเป็นหนี้นอกระบบจนล้นพ้นตัว


    -http://money.sanook.com/227669/%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%84%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B8%88%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B8%B1%E0%B8%A7/-


    ปัญหาหนี้นอกระบบ เป็นปัญหาที่มีมานานและไม่สามารถแก้ไขได้อย่างง่ายดายรวดเร็วตราบที่คนยังมีปัญหาพื้นฐาน คือ รายได้ ไม่พอกับรายจ่าย ส่วนรากลึกของปัญหาค่อนข้างจะซับซ้อนลงไปไม่ว่าจะเป็นเรื่องโอกาสในการสร้างรายได้ ขาดปัจจัยพื้นฐานในการประกอบอาชีพ หรือแม้กระทั่งบางคนติดการพนันจึงต้องไปกู้นอกระบบก็มี ฯลฯ

    แต่ประเด็นหนี้นอกระบบถูกหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นสำคัญอีกครั้ง แม้จะมีความพยายามแก้ปัญหามาโดยตลอดทุกยุคทุกสมัย เมื่อมีเหตุการณ์ความรุนแรง ทั้งที่ลูกหนี้กระทำกับตัวเอง หรือ เจ้าหนี้กระทำกับลูกหนี้ จนกระทั่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันได้สั่งการให้ส่วนราชการมีการบูรณาการหน่วยงานที่เกี่ยวข้องให้แก้ไขปัญหาดังกล่าวขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

    กรณีที่ลูกหนี้มีการกระทำรุนแรงต่อตัวเองไม่ว่า จุดไฟเผาตัวเอง หรือ ผูกคอตาย ก็ตาม ทำให้เกิดความสงสัย ว่า กลไกต่างๆที่รัฐบาลพยายามจะแก้ไขปัญหาเรื่องหนี้นอกระบบมีปัญหาหรือไม่อย่างไร หรือ ลูกหนี้ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่ามีกลไก ของทางการที่พร้อมจะเข้ามาแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้

    ที่ผ่านมา การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบ ทางการได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมา เพื่อเข้ามาดูแลแก้ไขอย่างเป็นระบบ ไม่ว่าจะไกล่เกลี่ยหนี้ กับเจ้าหนี้ที่คิดดอกเบี้ยโหด หรือ คิดดอกเบี้ยเกินกว่ากฎหมายกำหนด และ มีการดึงลูกหนี้นอกระบบเข้ามาในระบบโดยให้ธนาคารรัฐไม่ว่า ธ.ก.ส.หรือออมสิน เข้ามาดำเนินการ พร้อมกับ ส่งเสริมอาชีพเพื่อให้เกิดการสร้างรายได้ เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาซ้ำรอยของลูกหนี้รายเดิมขึ้นมาอีก

    อย่างไรก็ตาม ในเรื่องของหนี้นอกระบบนั้น ยังมีผู้ที่ไม่เข้าใจในกลไกว่า เหตุใดการไปกู้ยืมเงินกับนายทุนแล้ว ไฉนหนี้เหล่านั้นถึงได้งอกงามใช้หนี้อย่างไรก็ไม่รู้จบรู้สิ้นเสียที่....?

    ในเรื่องนี้ ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือ ศคง. ให้ข้อมูลความรู้ที่เป็นประโยชน์ยิ่ง รวมถึงเสนอแนะว่า หากเป็นหนี้นอกระบบจำนวนมากมายแล้วจะมีหน่วยงานไหนบ้างที่สามารถช่วยเหลือแก้ไขหาทางออกในเรื่องดังกล่าวได้

    ลักษณะกลโกงการเงินนอกระบบ
    เงินกู้นอกระบบ/เงินกู้โดยตรง

    ผู้ให้บริการเงินกู้นอกระบบมักเป็นผู้ให้กู้ที่ไม่อยู่ในระบบสถาบันการเงิน ส่วนมากจะคิดดอกเบี้ยในอัตราที่สูงกว่าสถาบันการเงินกำหนด โดยจะบอกตัวเลขดอกเบี้ยหรือเงินคืนน้อย ๆ เพื่อดึงดูดผู้กู้

    นอกจากนี้ผู้ให้กู้บางรายยังบังคับให้ลูกหนี้เซ็นสัญญาเงินกู้ที่ไม่ได้กรอกข้อความ หรือระบุจำนวนเงินกู้เกินจริง เช่น กู้ 10,000 บาท แต่ให้กรอกตัวเลขสูงถึง 30,000 บาท แต่ที่น่ากลัวคือ การทวงหนี้ด้วยวิธีที่โหดร้ายหรือผิดกฎหมาย เช่น ขู่กรรโชก ประจาน หรือทำร้ายร่างกาย
    [​IMG]

    ข้อสังเกต
    จำนวนจ่ายคืนหรือดอกเบี้ยที่นายทุนเงินกู้แจ้งต่อผู้กู้นั้น มักจะเป็นจำนวนจ่ายคืนหรือดอกเบี้ยต่อวันเพื่อให้ผู้กู้รู้สึกว่าเป็นจำนวนเงินน้อย แต่เมื่อคำนวณเงินที่ต้องจ่ายคืนเทียบกับเงินต้นแล้วจะพบว่าดอกเบี้ยที่นายทุนเงินกู้เรียกเก็บ จะสูงกว่าสถาบันการเงินที่มีทางการกำกับดูแลเป็นจำนวนมาก

    สัญญาอำพรางเงินกู้ (หลีกเลี่ยงการให้กู้โดยตรง)
    นายทุนเงินกู้จะให้ผู้กู้ใช้บัตรผ่อนสินค้าหรือบัตรเครดิตซื้อสินค้าที่มีมูลค่าแพงว่าเงินกู้ เช่น ต้องการกู้เงิน 20,000 จะให้ซื้อสินค้ามูลค่า 26,000 บาท เมื่อได้สินค้านายทุนเงินกู้จะให้ผู้กู้นำสินค้านั้นมาแลกกับเงินกู้จำนวน 20,000 บาท แล้วผู้กู้จะต้องรับผิดชอบชำระค่าสินค้ากับบริษัทบัตรผ่อนสินค้าหรือบัตรเครดิตพร้อมทั้งดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ

    ข้อสังเกต
    นายทุนเงินกู้ไม่ต้องรับความเสี่ยงในการปล่อยกู้เงินในครั้งนี้ เพราะทันทีที่จ่ายเงินให้กับผู้กู้ไป นายทุนเงินกู้จะได้รับสินค้าที่มีมูลค่าสูงกว่าเงินที่จ่ายให้ผู้กู้ไป

    [​IMG]

    วิธีป้องกันกลโกงการเงินนอกระบบ /เงินกู้นอกระบบ

    0วางแผนรายรับรายจ่ายล่วงหน้าและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันปัญหาเงินไม่พอใช้ซึ่งอาจนำไปสู่การก่อหนี้
    0ประเมินความสามารถในการชำระหนี้ของตนเองก่อนก่อหนี้
    0ศึกษารายละเอียดของผู้ให้กู้ เพื่อป้องกันการถูกเอารัดเอาเปรียบหรือการทวงหนี้โหด
    0เลือกกู้เงินในระบบ เพราะมีสัญญาการกู้เงินที่ชัดเจนและเป็นธรรมมากกว่า
    0หากจำเป็นต้องกู้เงินนอกระบบ ให้ศึกษาเงื่อนไข รายละเอียดสัญญาให้ดีก่อนเซ็นสัญญา


    สิ่งที่ควรทำเมื่อตกเป็นเหยื่อกลโกงการเงินนอกระบบ/เงินกู้นอกระบบ

    หนี้นอกระบบส่วนมากเป็นหนี้ที่ผู้กู้ต้องรับภาระดอกเบี้ยค่อนข้างสูง ผู้กู้จึงควรหาแหล่งเงินกู้ในระบบที่มีดอกเบี้ยถูกกว่ามาชำระคืน แต่หากไม่สามารถกู้ยืมในระบบได้ ผู้กู้อาจต้องยอมขายทรัพย์สินบางส่วนเพื่อนำมาชำระหนี้ แก้ไขปัญหาดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจนไม่สามารถชำระคืนได้ หากตกเป็นเหยื่อเงินกู้นอกระบบ สามารถขอรับคำปรึกษาได้ดังนี้

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    ทั้งนี้ ในส่วนของศูนย์ดำรงธรรม กระทรวงมหาดไทย นายกรัฐมนตรีได้ออกคำสั่งให้เข้ามาแก้ไขปัญหาในเรื่องหนี้นอกระบบอย่างจริงจัง ซึ่ง ศูนย์ดำรงธรรมมีอยู่ทุกจังหวัด ดังนั้น ลูกหนี้เงินกู้นอกระบบสามารถเข้ามาปรึกษา นำข้อเท็จจริงมาหาทางออกในเรื่องดังกล่าวได้

    หรือใครที่มีเพื่อน ญาติพี่น้อง ที่กำลังประสบปัญหาในเรื่องหนี้นอกระบบก็ช่วยกันแนะนำเข้าไปใช้บริการ เพื่อหาทางออกที่ดีกว่า อย่าปล่อยให้เขาจมอยู่กับปัญหาคิดว่าไม่มีทางออกจนต้องใช้วิธีการจบชีวิตเพื่อหนีปัญหาอีกเลย เพราะการหาทางออกแบบนั้นใช่ว่าปัญหาจะหมดไปอาจทิ้งปัญหาไว้ให้กับคนที่อยู่ข้างหลังต้องตามแก้อีกเช่นเดิม...

    ขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบบางส่วนจาก ศคง. -http://www.1213.or.th/-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • n1.png
      n1.png
      ขนาดไฟล์:
      726.1 KB
      เปิดดู:
      80
    • n2.png
      n2.png
      ขนาดไฟล์:
      76.6 KB
      เปิดดู:
      91
    • n3.jpg
      n3.jpg
      ขนาดไฟล์:
      29.5 KB
      เปิดดู:
      2,560
    • n4.png
      n4.png
      ขนาดไฟล์:
      185.9 KB
      เปิดดู:
      81
    • n5.jpg
      n5.jpg
      ขนาดไฟล์:
      84.4 KB
      เปิดดู:
      1,155
    • n6.png
      n6.png
      ขนาดไฟล์:
      370.6 KB
      เปิดดู:
      93
    • n7.jpg
      n7.jpg
      ขนาดไฟล์:
      25.1 KB
      เปิดดู:
      438
    • n8.jpg
      n8.jpg
      ขนาดไฟล์:
      16.4 KB
      เปิดดู:
      314
    • n9.jpg
      n9.jpg
      ขนาดไฟล์:
      21 KB
      เปิดดู:
      398
    • n10.png
      n10.png
      ขนาดไฟล์:
      332.8 KB
      เปิดดู:
      93

แชร์หน้านี้

Loading...