พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เงินทองต้องรู้ : 'กลโกง' เก่า..เล่าย้ำ
    : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล

    -http://www.komchadluek.net/detail/20140530/185572.html-

    วันที่ 24 พฤษภาคม ที่ผ่านมา ตำรวจภูธรภาค 8 แถลงข่าวจับกุมแก๊งสกิมเมอร์ชาวฝรั่งเศส ขณะใช้บัตรเอทีเอ็มปลอมกดเงินสดที่ตู้เอทีเอ็ม ได้ของกลางเป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ 71 ใบ เป็นบัตรอิเล็กทรอนิกส์ของธนาคารต่างๆ ทั้งของไทยและต่างประเทศ

    เบื้องต้นผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่า เป็นแก๊งสกิมเมอร์ที่ใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ปลอม กดเงินตามตู้เอทีเอ็มต่างๆ ตามแหล่งท่องเที่ยวของไทยและเอเชีย เนื่องจากระบบป้องกันข้อมูลบัตรอิเล็กทรอนิกส์ง่ายต่อการปลอมแปลง

    ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก ระหว่างนั่งคุยกับผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ผู้บริหารรายนี้ก็บ่นให้ฟังว่า เพิ่งจะโทรศัพท์ยกเลิกบัตรเครดิต หลังจากได้รับแจ้งจากสถาบันการเงินเจ้าของบัตรว่า บัตรของเธอสุ่มเสี่ยงต่อการถูกโจรกรรมข้อมูล และอาจจะถูกนำไปใช้โดยอาชญากร ถามว่ามีอะไรบอกเหตุ เธอเล่าว่า ก็ไม่รู้เหมือนกัน เพราะที่ผ่านมาไม่เคยซื้อของออนไลน์ ไม่เคยให้ข้อมูลแก่แหล่งที่ไม่แน่ใจหรือพิจารณาแล้วว่า มีความเสี่ยง เรียกว่า การใช้งานทุกครั้งเป็นไปอย่างรอบคอบ แต่ก็ยังเข้าข่ายจะเกิดปัญหาจนได้

    สุดท้ายต้องยกเลิกบัตรเก่า และรอสถาบันการเงินส่งบัตรใบใหม่มาให้

    ถึงแม้ “เจ้าของบัตร” จะเข้มงวดแค่ไหน และสถาบันการเงินจะพยายามทั้งป้องกันและปราบปราม แต่ดูเหมือนกับอาชญากรจะมีวิธีการที่ซับซ้อนมากขึ้น การแชร์แล้วแชร์อีกเพื่อบอกกล่าวถึงวิธีป้องกัน รวมถึงวิธีการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์อย่างปลอดภัย ก็กลายเป็นอีกเรื่องที่ต้องบอกกล่าวซ้ำๆ ล่าสุดผู้ให้บริการบัตรอิเล็กทรอนิกส์อย่าง “มาสเตอร์การ์ด” ก็ออกมาให้คำแนะนำ (ซ้ำๆ) ถึง 7 ขั้นตอนง่ายๆ ในการป้องกันการโจรกรรมและปลอมแปลง

    ถึงเป็นเรื่องซ้ำๆ เป็นเรื่องง่ายๆ แต่เชื่อเถอะว่า เป็นเรื่องที่หลายคนมองข้าม

    คำแนะนำข้อแรก คือ เซ็นชื่อบนบัตรของคุณ โดยคุณควรจะต้องเซ็นลายมือชื่อบนบัตรใหม่ทันทีที่คุณได้รับมา ทั้งนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้บุคคลอื่นเซ็นแทนในกรณีที่บัตรสูญหายหรือถูกขโมยแล้วอาจนำไปรูดซื้อสินค้า สอง - ให้ระวังผู้ไม่หวังดีมาหลอกล้วงข้อมูล อย่าตอบอีเมลหรือข้อความทางโทรศัพท์ที่น่าสงสัย โดยเฉพาะกรณีที่ขอให้คุณบอกข้อมูลส่วนตัว เพราะนั่นอาจเป็นแผนของแก๊งมิจฉาชีพที่จ้องจะขโมยข้อมูลของคุณ

    สาม - หาข้อมูลก่อนเสมอ ก่อนที่จะซื้อสินค้าหรือบริการใดๆ ควรค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทที่เราไม่คุ้นเคย โดยการค้นหาจากอินเทอร์เน็ต สอบถามเพื่อนๆ หรือโทรสอบถามสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคที่หมายเลข 1166 ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าเราซื้อสินค้าหรือบริการกับบริษัทที่มีชื่อเสียงไว้ใจได้เท่านั้น
    สี่ - ป้องกันข้อมูลของตัวเอง โดยเก็บรักษาข้อมูลบัตรในโทรศัพท์ด้วยวิธีที่ปลอดภัยรัดกุม ต้องแน่ใจว่าข้อมูลนั้นสามารถเข้าถึงได้โดยใช้รหัสผ่านหรือรหัสลับเท่านั้น วิธีนี้จะช่วยปกป้องข้อมูลในกรณีที่มือถือสูญหายหรือถูกขโมย

    ห้า - ตรวจสอบซ้ำ หมั่นตรวจสอบบัตรเป็นระยะๆ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีบัตรใบไหนหายไป หลายคนมักคิดว่าบัตรต่างๆ ยังคงอยู่ในที่ของมัน แต่เพื่อความแน่ใจ ก็ควรตรวจสอบเสมอว่า บัตรทุกใบอยู่ในสถานที่ที่ปลอดภัย หก - ตรวจทานอย่างละเอียด ตรวจทานใบแจ้งหนี้บัตรเครดิตอย่างละเอียดทุกครั้ง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีรายการที่น่าสงสัยพ่วงมาด้วย ตรวจสอบค่าใช้จ่ายทุกรายการที่ไม่คุ้นเคย โดยไล่เลียงดูในรายละเอียดของใบแจ้งหนี้ที่ได้รับ

    สุดท้าย - ฉีกเอกสารก่อนทิ้ง ถ้าเราได้รับใบแจ้งยอดบัญชี หรือข้อมูลบัตรที่เป็นเอกสาร ควรฉีกเอกสารเหล่านั้นก่อนทิ้งลงถังขยะ ทั้งนี้ เพื่อรักษาข้อมูลสำคัญให้ปลอดภัย หลังจากที่เอกสารพวกนั้นหลุดจากมือไปแล้ว

    มาสเตอร์การ์ดยังแนะนำเรื่องการช็อปปิ้งออนไลน์อย่างไรให้ปลอดภัย โดยอ้างถึงรายงานการศึกษาพฤติกรรมการซื้อสินค้าออนไลน์ของมาสเตอร์การ์ด โดยระบุว่า คนไทยเป็นหนึ่งในผู้ที่นิยมซื้อสินค้าออนไลน์มากที่สุด นอกจากมาตรการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดที่มาสเตอร์การ์ดนำมาใช้ในกระบวนการซื้อขายสินค้าออนไลน์แล้ว ลูกค้าสามารถป้องกันตัวเองได้ โดยข้อแรก - ต้องรู้จักร้านค้าที่จะซื้อสินค้าหรือบริการนั้นดีพอ ตรวจสอบชื่อเสียงเรียงนามของผู้ขาย โดยหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทนั้นให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ สอบถามจากเพื่อนๆ ตรวจสอบกับ สคบ. และดูว่ามีเว็บไซต์ที่ลูกค้ารายอื่นๆ แสดงความเห็นไว้หรือไม่ พึงระวังร้านค้าออนไลน์ที่เสนอราคาถูกเกินไป เพราะร้านพวกนี้มีแนวโน้มที่จะหลอกลวงลูกค้า

    สอง - ตรวจสอบมาตรการรักษาความปลอดภัย ถ้าต้องให้หมายเลขบัตรเครดิตทางออนไลน์ ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าการเชื่อมต่อของเรามีความปลอดภัย เบราว์เซอร์ส่วนใหญ่จะแสดงไอคอนพิเศษ เช่น รูปกุญแจเพื่อแสดงว่าเว็บไซต์นั้นมีความปลอดภัย นอกจากนี้ บนเว็บไซต์ของร้านค้าจำนวนมาก ยังแจ้งให้ทราบกรณีมีข้อควรระวังด้านความปลอดภัย ดังนั้น ควรมองหา คำแนะนำนี้ ถ้าหาไม่พบ ก็ควรสอบถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย

    สาม - ป้องกันอีเมลของตัวเอง อีเมลไม่ถือเป็นรูปแบบของการสื่อสารที่มีความปลอดภัย ดังนั้น เพื่อปกป้องหมายเลขบัญชีและหลีกเลี่ยงการโจรกรรมข้อมูลบัตรเครดิต ไม่ควรส่งหมายเลขบัญชีหรือข้อมูลทางการเงินอื่นๆ ทางอีเมล สุดท้าย - ป้องกัน PIN และหมายเลขบัญชีของตัวเอง อย่าไว้ใจพนักงานขายสินค้าหรือบริการออนไลน์ ทางโทรศัพท์ หรือใครก็ตามที่ไม่รู้จัก ถ้าข้อเสนอฟังดูดีเกินจริง ควรสละสิทธิ์นั้น การให้หมายเลขบัตรสำหรับชำระเงินก็ต่อเมื่อตัดสินใจซื้อสินค้าหรือบริการนั้นแล้ว หรือหากได้เริ่มต้นเจรจาต่อรอง ก็ไม่ควรเปิดเผยรหัส PIN หรือรหัสผ่านเข้าบัญชีใดๆ แก่ร้านค้าออนไลน์ ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม และไม่ควรใช้หมายเลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือ PIN เป็นรหัสผ่าน

    ส่วนถ้าหากสงสัยว่า โดนโจรกรรมหรือปลอมแปลง สิ่งที่ต้องทำ ก็คือ โทรหาธนาคารหรือสถาบันการเงินที่ออกบัตรให้ทันที บัตรอาจถูกยกเลิกและผู้ออกบัตรจะออกบัตรใหม่ให้ แต่ควรตรวจสอบที่อยู่ให้ถูกต้องก่อนสิ้นสุดขั้นตอนนี้

    อย่าไปบ่น อย่าไปท้อ โลกมันก็ซับซ้อนแบบนี้นั่นแหละ

    ----------------------------

    (เงินทองต้องรู้ : 'กลโกง' เก่า..เล่าย้ำ : โดย...ขวัญชนก วุฒิกุล)
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    'ปฏิรูป ปริวรรต' : คำวัด โดยพระธรรมกิตติวงศ์

    -http://www.komchadluek.net/detail/20140530/185594.html-


    ก่อนหน้านี้กระแสการปฏิรูปล่าสุดที่กลายเป็นกระแสอันเชี่ยวกรากในขณะนี้นั้น นับได้จากการจัดตั้งสภาปฏิรูปการเมือง เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๖ ของรัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร การปฏิเสธการเข้าร่วมของพรรคประชาธิปัตย์ ตามด้วยการเรียกร้องอย่างคู่ขนานให้มีการปฏิรูปประเทศไทยของขบวนการภาคประชาชน

    การโต้ตอบรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์นอกสภาต่อกรณี พ.ร.บ.นิรโทษกรรมและการแก้ไขรัฐธรรมนูญ การโหมกระหน่ำโดยคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (หรือ กปปส. ภายใต้การนำของอดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ และการสมทบกับแกนนำอดีตพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และองค์กรในเครือข่าย)

    “ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง” หรือจะ “เลือกตั้งก่อนการปฏิรูป” เป็นข้อถกเถียงที่ไม่สามารถหาข้อยุติได้ ในที่สุดจึงกลายเป็นเหตุหนึ่งของ "ปฏิวัติรัฐประหาร" เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๗

    ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.ในฐานะหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ชี้แจงว่า จะทำงานไปช่วงเวลาหนึ่ง ปรองดองสมานฉันท์ ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง ขอทุกฝ่ายมาช่วยปฏิรูปเพื่อพี่น้องประชาชน แก้ไขปัญหาของกระทรวง ทบวง กรมด้วย ให้ทุกฝ่ายเตรียมเรื่องปฏิรูปมาเสนอ เพื่อใช้วิธีพิเศษผลักดันเรื่องต่างๆ ออกไปให้เร็วที่สุด และคณะรักษาความสงบแห่งชาติจะรักษาเกียรติยศศักดิ์ศรีของข้าราชการให้พ้นจากการครอบงำ เลือกข้างไม่ได้ อยากให้เป็นครั้งสุดท้ายของการยึดอำนาจ จะช่วยกำกับดูแลเรื่องต่างๆ ให้มีผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม

    สำหรับคำว่า "ปฏิรูป" (อ่านว่า ปะ-ติ-รูบ หรือ ปะ-ติ-รู-ปะ) พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดราชโอสาราม ได้อธิบายความหมายคำว่า คำเดิม หมายถึง เหมาะสม สมควร เป็นไปได้ เช่น ปฏิรูปเทสะ หมายถึง สถานที่เหมาะสม ปฏิรูปการี หมายถึง ผู้ทำเหมาะสม

    ปฏิรูป เมื่ออยู่หลังคำมคธอื่นๆ (เข้าสมาส) แปลว่า เทียม ไม่แท้ ปลอม เหมือน คล้าย เช่น มิตรปฏิรูป หมายถึง มิตรเทียม สัทธรรมปฏิรูป หมายถึง สัทธรรมเทียม

    ปฏิรูป ถูกนำมาใช้ในคำไทยในความหมายว่า ปรับปรุง ปรับเปลี่ยน ทำให้สมควร ทำให้เหมาะสม เช่น ปฏิรูปการศึกษา ปฏิรูปการเมือง ปฏิรูประบบราชการ

    ส่วนคำว่า "ปริวรรต" (อ่านว่า ปะ-ริ-วัด) เจ้าคุณทองดีได้ให้ความหมายไว้ว่า หมุนเวียน หมุนกลับ หวนกลับ แปรเปลี่ยน พลิกแพลง แปล (หนังสือ) ใช้ว่า ปริวัตร ก็มี

    ปริวรรต ในคำวัด นิยมหมายถึงการแปลหนังสือ คือ ถ่ายทอดวาม และเปลี่ยนถ่ายอักษร จากภาษาหนึ่งสู่ภาษาหนึ่ง เช่นใช้ว่า ปริวรรตอักษรขอม ปริวรรตคำบาลีเป็นคำไทย ปริวรรตเป็นภาลี ปริวรรตเป็นไทย เป็นต้น

    ปริวรรต ในคำไทยใช้ในความหมายว่า หมุนเวียน เปลี่ยนไป เช่นใช้ว่า ปริวรรเงินตรา ปริวรรตอุตสาหกรรม
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    งานพระราชทานเพลิงสรีระสังขาร หลวงปู่สุภา กันตสีโล พระอริยสงฆ์ 5 แผ่นดิน ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2557 ณ วัดคอนสวรรค์ อ.วาริชภูมิ จ.สกุลนคร

    พระอาจารย์นิล เป็นประธานกองบุญในการตั้งโรงทานเลี้ยงพระสงฆ์และญาติธรรมที่เดินทางมากราบสรีระสังขารหลวงปู่สุภาฯ

    ขอบคุณภาพและข้อมูลจากพี่แอ๊ว

    สำหรับท่านใดมีความประงค์ที่จะร่วมทำบุญ แจ้งผมผ่านPMได้ครับ

    โมทนา สาธุครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 71852.jpg
      71852.jpg
      ขนาดไฟล์:
      67.2 KB
      เปิดดู:
      78
    • 71853.jpg
      71853.jpg
      ขนาดไฟล์:
      151.9 KB
      เปิดดู:
      57
    • 71854.jpg
      71854.jpg
      ขนาดไฟล์:
      252.3 KB
      เปิดดู:
      52
    • 71858.jpg
      71858.jpg
      ขนาดไฟล์:
      174.5 KB
      เปิดดู:
      55
    • 71877.jpg
      71877.jpg
      ขนาดไฟล์:
      114.7 KB
      เปิดดู:
      55
    • 71878.jpg
      71878.jpg
      ขนาดไฟล์:
      149 KB
      เปิดดู:
      45
    • 72175.jpg
      72175.jpg
      ขนาดไฟล์:
      255.7 KB
      เปิดดู:
      46
    • 72176.jpg
      72176.jpg
      ขนาดไฟล์:
      184.1 KB
      เปิดดู:
      53
    • 72177.jpg
      72177.jpg
      ขนาดไฟล์:
      177 KB
      เปิดดู:
      44
    • 72178.jpg
      72178.jpg
      ขนาดไฟล์:
      193.6 KB
      เปิดดู:
      52
    • 72179.jpg
      72179.jpg
      ขนาดไฟล์:
      194.7 KB
      เปิดดู:
      66
    • 72180.jpg
      72180.jpg
      ขนาดไฟล์:
      266.6 KB
      เปิดดู:
      55
    • 72182.jpg
      72182.jpg
      ขนาดไฟล์:
      112.8 KB
      เปิดดู:
      49
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ยกเลิกสิทธิลดหย่อนภาษีและปฏิรูป LTFและ RMF จริงหรือ?
    LTFและRMF ยกเลิกสิทธิลดหย่อนภาษีจริงหรือ

    -http://money.kapook.com/view89762.html-

    เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก TaxBugnoms , ทวิตเตอร์ @TAXBugnoms

    ยกเลิกลดหย่อนกองทุนรวม LTFและRMF จริงหรือไม่ กรมสรรพากรจะทำการปฏิรูปการเก็บภาษีกองทุนรวม LTFและRMF อย่างไร มาดูกัน

    จากกรณีที่เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2557 นายสุทธิชัย สังขมณี อธิบดีกรมสรรพากร เปิดเผยว่า ได้เตรียมเสนอต่อ คสช. ให้มีการปฏิรูปภาษีใหม่ทั้งระบบ เนื่องจากการปฏิรูปที่ผ่านมาไม่ได้แก้ปัญหารอบด้าน ทำให้ส่งผลต่อการจัดเก็บภาษี และหนึ่งในข้อเสนอดังกล่าวคือ ทบทวนสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี ของกองทุน LTFและRMF พร้อมทั้งมีการศึกษาว่าค่าลดหย่อนทั้งหมด ผู้ได้ประโยชน์คือกลุ่มใดมากที่สุด … ว่าแต่ กองทุน LTFและRMF คืออะไร? ใครได้ประโยชน์จาก LTFและRMF กันแน่? วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการลงทุนคืออะไร? วันนี้กระปุกดอทคอม ได้รับการเอื้อเฟื้อข้อมูลจาก @TAXBugnoms ที่อนุญาตให้นำข้อมูลเรื่อง “เค้าจะปฏิรูป LTFและRMF จริง ๆ หรอครับ” มาเผยแพร่ให้ได้อ่านกัน รายละเอียดเป็นอย่างไรไปดูกันเลยค่ะ

    เค้าจะปฏิรูป LTFและRMF จริง ๆ หรอครับ

    จากข่าวล่ามาเร็วล่าสุดเมื่อวันก่อน เป็นข่าวที่มีหัวข้อสั้น ๆ แต่สั่นสะท้านทุกวงการลดหย่อนภาษีว่า.. “คลังเลิกลดหย่อน LTF-RMF เสนอลดภาษีบุคคลธรรมดา” เพื่อ “ปฏิรูปภาษี” โดยยกเลิกสิทธิลดหย่อนภาษีกองทุนรวม LTFและRMF ดังนั้นบทความพิเศษตอนนี้ @TAXBugnoms อยากจะขอแชร์ข้อมูลดี ๆ แนวคิดใส ๆ และแถลงไขความเข้าใจผิดที่อาจจะเกิดขึ้น เพราะมีหลายคนหลังไมค์มาถามว่า “ตกลงมันเกิดอะไรกันแน่?”

    อันดับแรก! เรามาทำความเข้าใจกันอีกครั้งนะครับว่า “แรกเริ่มเดิมทีกองทุนรวมเฉพาะ LTF เท่านั้นที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีในปี 2559 เป็นปีสุดท้าย” แต่สำหรับข่าวล่ามาเร็วนี้เข้าใจว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงปฏิรูปทั้ง LTFและRMF ไปพร้อม ๆ กันเลย เนื่องจากเหตุผลว่า “ประชาชนที่มีรายได้น้อยและปานกลางได้รับประโยชน์จริง ๆ หรือไม่” หรือพูดอีกแง่หนึ่งก็คือกลัวว่าสิทธิประโยชน์นี้จะเอื้อประโยชน์ให้ “คนที่มีรายได้มาก” มีโอกาสลดหย่อนภาษีมากกว่า “คนที่มีรายได้น้อย” เอ่อ… ว่าแต่คนแบบไหนเรียกว่ารายได้มากหรือรายได้น้อยกันละเนี่ย

    ใครได้ประโยชน์จาก LTFและRMF กันแน่

    จากการค้นคว้าวิจัยด้วยตัวเอง (ฟังดูอนาถพิลึกนะครับ TwT) พบว่ามีกลุ่มคนอยู่ 4 ประเภท ที่เกี่ยวข้องกับการซื้อกองทุน LTF และ RMF เพื่อประหยัดภาษี อันได้แก่

    1. คนที่ไม่สามารถซื้อ LTF/RMF เพื่อประหยัดภาษีได้ : คนกลุ่มนี้เรียกว่าผู้มีรายได้น้อยอย่างแท้จริง เนื่องจากลำพังจะยาไส้ยังไม่มีปัญหา แล้วจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อกองทุนเพื่อประหยัดภาษีกันละโว้ยยย (โทษครับ อินไปหน่อย)

    2. คนที่ซื้อ LTF/RMF เพื่อลดหย่อนภาษีบ้างตามอัธยาศัย : คนกลุ่มนี้ได้วางแผนการเงินโดยแบ่งเงินออม หรือรายได้บางส่วนมาซื้อกองทุนไม่ว่าจะเป็นเพื่อการลงทุนหรือประหยัดภาษี แต่ไม่ได้ใช้สิทธิเต็มทั้งจำนวน

    3. คนที่ซื้อ LTF/RMF เพื่อลดหย่อนภาษีเต็มจำนวน : คนกลุ่มนี้มีการวางแผนการเงินที่เรียกได้ว่ายอดเยี่ยม ถ้าเป็นเกมส์ก็เรียกได้ว่าเก็บทุกเม็ด อารมณ์ประมาณเล่นคุกกี้รันแล้วเก็บเพชรได้ทุกเม็ด และคนกลุ่มนี้เองแหละที่จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย

    4. คนที่ชีวิตนี้ไม่คิดจะซื้อ LTF/RMF : คนกลุ่มนี้ไม่มีผลใด ๆ ชั้นไม่ซื้อซักอย่าง LTF หรือ RMF ช่างแมร่งงงงง /ฝากออมทรัพย์โลด

    หากเราเปรียบเทียบข้อมูลง่าย ๆ เราจะเห็นว่า กลุ่มที่ได้รับประโยชน์ที่สุดคือกลุ่มที่ 3 นั่นคือได้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเต็มเพดานที่กฎหมายอนุญาต แต่สิ่งหนึ่งที่เห็นได้จากการแบ่งประเภทนี้คือ เราไม่รู้เลยว่าคนกลุ่มไหนคือคนรวยหรือคนจน เพราะมันมาจากอุปนิสัยในการใช้เงินและการวางแผนทางการเงินของแต่ละบุคคลมากกว่า


    [​IMG]



    [​IMG]

    จากรูปประกอบข้างบนจะเห็นได้ว่า คนที่มีโอกาสประหยัดภาษีได้มากนั้น คือ กลุ่มคนที่มีรายได้สูง จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า “ผู้ที่มีรายได้สูงกว่า ย่อมมีโอกาสมากกว่า” เพราะหลักเกณฑ์ในการซื้อกองทุน LTFและRMF นั้นอ้างอิงกับรายได้ที่เกิดขึ้นในระหว่างปี

    แต่รูปประกอบด้านล่างนั้น คือการใช้สิทธิลดหย่อนภาษีตามความเป็นจริง เนื่องจากบางคนอาจจะมีรายได้สูงแต่ใช้สิทธิลดหย่อนและในขณะเดียวกันก็อาจจะมีบางคนไม่ได้ใช้สิทธิ์ ดังนั้นคำถามหนึ่งที่ทางสรรพากรอาจจะต้องพิจารณาคือ คนที่มีรายได้สูงนั้น ใช่คนกลุ่มเดียวกันกับคนที่ได้ใช้สิทธิลดหย่อนภาษีอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยหรือไม่ และที่สำคัญก็คือ ผู้ที่มีรายได้สูงนั้น เราจะนิยามได้อย่างไร ดังนั้น คำกล่าวที่ว่า “เอื้อประโยชน์คนรวย” อาจจะไม่ได้เป็นจริง หากเรื่องนี้ยังไม่ได้รับการพิสูจน์จากข้อเท็จจริงที่ตรวจสอบได้

    วัตถุประสงค์ที่แท้จริงของการลงทุนคืออะไร

    เนื่องจาก LTFและRMF นั้นเป็นกองทุนมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการลงทุนและการออมระยะยาว โดย LTF จะเน้นเพื่อส่งเสริมและพัฒนาตลาดหุ้นไทย เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ลงทุน และเสถียรภาพให้มากขึ้น ส่วน RMF มีวัตถุประสงค์เพื่อสะสมเงินไว้ใช้หลังวัยเกษียณและความมั่นคงของชีวิตหลังเกษียณ

    อีกข้อหนึ่ง คือ ปัจจุบันระบบประกันสังคมและการบริการด้านสาธารณสุขยังมีไม่พอเพียงต่อความต้องการของประชาชน รวมถึงสวัสดิการต่าง ๆ สำหรับผู้สูงอายุ โดยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุไว้ว่าคนไทยจำนวน 62% นั้นไม่เคยคิดถึงวันเกษียณ และไม่เคยวางแผนใด ๆ ทางการเงินเลย (โอ้ววแม่เจ้า)

    ณ จุดนี้ เราคงต้องถามตัวเองว่า วัตถุประสงค์ในการลงทุนของเรานั้นคืออะไร? หากเรามองว่าเป็นการลงทุนระยะยาวหรือเพื่อเกษียณ เราก็นั่งหน้ามนยิ้มแป้นลงทุนต่อไปให้สบายใจ เพราะถึงไม่ลดหย่อนภาษีเราก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าเรามองว่าเป็นการลงทุนเพื่อ “ลดภาษี” เป็นหลัก เราอาจจะต้องถามตัวเองต่อไปอีกสองข้อว่า “ทุกวันนี้เราลงทุนโดยรู้ความเสี่ยงหรือไม่” และ “เรามีหนทางอื่นในการลงทุนแล้วหรือยัง”

    แล้วอนาคตตรูจะเป็นอย่างไร?

    บอกตรง ๆ ว่า งานนี้มีหนาว เพราะหลังจากปี 2559 จำนวนคนซื้อที่จำนวนลดลงในแต่ละปี อาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดทุนอย่างแน่นอน โดยข้อมูลจากเฟซบุ๊กส่วนตัว คุณวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บลจ.บัวหลวง ได้ให้ข้อมูลจำนวนเงินลงทุนและสัดส่วนของกองทุน LTFและRMF ไว้ดังนี้


    [​IMG]

    ตัวเลขข้างต้นแสดงให้เห็นว่า หากยกเลิกกองทุน น่าจะมีผลกระทบไม่น้อยต่อตลาดกองทุนรวม และอาจจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นโดยรวมหรือไม่ อันนี้ @TAXBugnoms คงตอบไม่ได้เช่นเดียวกันครับ แต่เท่าที่ลองสอบถามเพื่อน ๆ พี่ ๆ น้อง ๆ ผู้เชี่ยวชาญในวงการ มักจะได้รับคำตอบพร้อมรอยยิ้มว่า “ตก” หรือไม่ก็ “ตกหนักแน่” เพราะหลาย ๆ คนมองว่า คนส่วนใหญ่ซื้อเพราะต้องการผลประโยชน์ทางภาษีมากกว่าลงทุน เนื่องจาก (ความคิดเห็นส่วนตัว) สามารถลงทุนในหุ้นได้ผลตอบแทนมากกว่า หรือว่าสามารถเลือกลงทุนในกองทุนรวมอื่น ๆ ที่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าได้

    แต่อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้เป็นเพียงข่าวสารและข้อเสนอที่ทางกรมสรรพากรแจ้งต่อทาง คสช. ไว้ ซึ่งเราทุกคนก็ต้องติดตามดูกันต่อไปว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ตอนนี้ขอให้ทุกคนอย่าเพิ่งตื่นตระหนกตกใจกันไปจนรีบขายตั้งแต่ปีนี้นะครับ (ย้ำอีกครั้งว่าปี 2559 นะครับที่หมดสิทธิ์)

    สุดท้ายนี้ ผมคาดว่าคงมีหลักการและแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น แต่สิ่งที่ผมขออนุญาตเตือนใจอีกครั้งหนึ่ง คือ ถึงแม้ว่าจะมีสิทธิประโยชน์ทางภาษีหรือไม่ก็ตาม แต่เราทุกคนควรจะสนใจการลงทุนเป็นหลักเพื่ออนาคตในวันหน้า และเพื่อที่จะได้ลัลล้ายามเกษียณนะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ng04.png
      ng04.png
      ขนาดไฟล์:
      292.2 KB
      เปิดดู:
      45
    • ng05.png
      ng05.png
      ขนาดไฟล์:
      90 KB
      เปิดดู:
      43
    • ng06.png
      ng06.png
      ขนาดไฟล์:
      264 KB
      เปิดดู:
      62
    • ng07.png
      ng07.png
      ขนาดไฟล์:
      257.3 KB
      เปิดดู:
      52
    • ng08.png
      ng08.png
      ขนาดไฟล์:
      156.2 KB
      เปิดดู:
      52
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    8 นิสัยการเงินที่มีผลต่อสุขภาพ มาจัดการกันเถอะ

    -http://money.kapook.com/view89563.html-

    เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณข้อมูลจาก คุณหมอแมว

    เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ก็มีผลต่อสุขภาพของคนเราอยู่เหมือนกัน นิสัยการเงินเหล่านี้ คือสิ่งที่มีผลต่อสุขภาพของคุณ ดังนั้นลองมาจัดการนิสัยการเงินเพื่อสุขภาพที่ดีกันดีกว่า

    การใช้เงินของคนส่วนใหญ่ มักจะเน้นไปที่สิ่งของที่จับต้องได้อย่างเป็นรูปธรรมมากกว่า เช่น อุปกรณ์ไอที, ไอโฟน, ไอแพด, กล้องถ่ายรูป, เสื้อผ้า เป็นต้น แต่ทว่ากลับมองข้ามความสำคัญของการใช้เงินเพื่อซื้อสุขภาพร่างกายที่ดี ที่แข็งแรง เพื่อต่อยอดในการใช้ร่างกายทำงานหาเงิน ดังนั้น คุณหมอแมว จึงอนุญาตให้กระปุกดอทคอมนำความรู้ดี ๆ เกี่ยวกับการนิสัยการเงินที่มีผลต่อสุขภาพมาฝากกัน ลองไปอ่านแล้วเปลี่ยนนิสัยการเงินของคุณดูนะคะ


    8 อุปนิสัยทางการเงินที่คุณควรจัดการเพื่อสุขภาพ โดย คุณหมอแมว


    1. ควบคุมเงินที่ใช้ซื้อสินค้าวิตามินอาหารเสริม

    พูดในแง่รวม ๆ วิตามินและอาหารเสริมที่มีผลดีต่อร่างกายมีจำกัด ในปัจจุบันมีงานวิจัยที่ออกมาใหม่ ๆ และตั้งข้อสงสัยถึงประโยชน์ของวิตามินอาหารเสริม

    อาหารเสริมหลายชนิดที่เดิมเคยเป็นที่นิยมและเชื่อว่ามีประโยชน์ เมื่อเวลาผ่านไปกลับพบว่าไม่ได้มีประโยชน์ หนำซ้ำยังอาจจะก่อเกิดโทษได้อีกด้วย (อย่างใบแปะก๊วยที่ไปพบว่าอาจจะทำให้เลือดออกมากขึ้น เบต้าแคโรทีน ที่พบว่าอาจจะทำให้คนที่สูบบุหรี่เป็นมะเร็งมากขึ้น และวิตามินอี ที่สงสัยกันว่าการกินมาก ๆ อาจจะเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากขึ้น หรือสมุนไพร ที่หลาย ๆ ชนิดกินเข้าไปแล้วเกิดตับอักเสบได้)

    หากจะกินวิตามินเสริม แนะนำว่าปรึกษาแพทย์ก่อน แต่หากเป็นคนที่กินอาหารได้ปกติ แนะนำว่าพยายามปรับการกินให้หลากหลาย และเก็บเงินตรงนี้เอาไปทำอย่างอื่นจะดีกว่า


    2. ออกกำลังแบบ Dollar Cost Average

    Dollar Cost Average ในทางการเงิน คือการเลือกหาหุ้นหรือการลงทุนที่พื้นฐานดี จากนั้นลงเงินไปเรื่อย ๆ เป็นประจำ โดยไม่ต้องสนใจว่าหุ้นจะขึ้นจะลง ... ถ้าเรามั่นใจว่าเลือกถูกตัวแล้วพื้นฐานดีจริงมันก็จะให้กำไรเราในระยะยาวเอง

    หลักการนี้นำมาปรับกับการออกกำลังกายก็คือ หาวิธีออกกำลังกายที่ใช่กับตัวเรา เหมาะกับสไตล์ของเรา จากนั้นออกกำลังเรื่อย ๆ เป็นระยะ ไม่ต้องหักโหมมาก แต่ว่าทำอย่างสม่ำเสมอ ช่วงไหนว่างมากมีกำลังก็ออกมากอีกหน่อย ช่วงไหนเหนื่อยเพลียจากการทำงาน (ที่ไม่ถึงกับป่วย) ก็ออกลดลงอีกนิด แต่อย่าหยุดออกกำลังกาย ในระยะยาวสุขภาพจะดีกว่าการไปออกกำลังกายตอนแก่ (เปลี่ยนคำว่าออกกำลังกายเป็นรักษาสุขภาพก็ได้เหมือนกัน)


    3. ระวังอุบัติเหตุทางสุขภาพด้วยประกันสุขภาพ ... แบบเชิงรุก

    ปัจจุบันมีประกันสุขภาพหลายชนิด ทางเลือกที่ดีที่สุดคือ ตรวจสอบว่าคุณมีสิทธิการรักษาในแบบใด ประกันสังคม สวัสดิการ สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า(บัตรทอง) ราชการ ... จากนั้นลองคิดดูว่าคุณสามารถรับได้กับระดับการรักษาในโรงพยาบาลที่คุณมีสิทธิแค่ไหน (พอใจกับหมอไหม พอใจกับยาหรือไม่ พอใจกับการรอคอยหรือไม่)

    หากไม่พอใจหรือคิดว่าอยากจะเสริม เช่น จะใช้ประกันภัยเฉพาะเวลาตรวจเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องรอคิวนาน หรือใช้ประกันสุขภาพเพื่อร่วมกับสิทธิการรักษาปกติเพื่อลดค่าใช้จ่ายค่าห้อง ก็ไปซื้อประกันอีกที

    ทั้งนี้เวลาจะซื้อก็ให้ประเมินสิทธิการรักษาของคุณกับสิ่งที่คุณต้องการ จากนั้นติดต่อตัวแทนประกันและแจ้งเขาไปเพื่อให้เขาเลือกประกันที่ตรงกับเรามากที่สุดมาให้เราดู ... อย่ารอให้ตัวแทนประกันมาหาเอง เพราะคนที่มาเสนอขายให้เรา เขามักจะมีประกันที่เขาต้องการขายให้เราอยู่แล้วซึ่งอาจจะไม่ดีสำหรับเรา


    4. เลือกใช้ยาที่ผลิตในประเทศ ในบางโรคที่ไม่ซีเรียส

    สำหรับการป่วยที่ไม่หนักหนามาก อาจจะให้แพทย์เลือกยาที่ผลิตในประเทศแทนการใช้ยาตัวของแท้ เนื่องจากราคายาอาจจะต่างกันได้ 5-10 เท่า ในคุณภาพและผลข้างเคียงที่ต่างกันเพียงเล็กน้อย


    5. อาหารเพื่อสุขภาพควรเลือกแบบสายกลาง

    สูตรอาหารแบบสุดขั้วที่ออกมากันมากมาย บางแบบมีการให้กินน้ำมันพืชบางชนิดมากแบบสุด ๆ บางแบบมีการให้กินอาหารโปรตีนมากสุด บ้างก็ให้กินอาหารที่ผ่านความร้อนน้อย ๆ หรือกินดิบ ๆ ฯลฯ

    อาหารในกลุ่มพวกนี้ นอกจากจะไม่มีงานวิจัยชัดเจนว่าช่วยให้อายุยืนยาว ยังเป็นอาหารที่มีราคาแพงกว่าปกติและเสียเวลาเตรียมมากกว่าปกติ ... ซึ่งทำให้เราอาจจะต้องเสียเงินเกินความจำเป็นโดยอาจจะไม่ได้สุขภาพดีขึ้นเท่าไหร่


    6. ตรวจสอบสุขภาพของคุณอย่างสม่ำเสมอ และพอดี

    ผมเคยเจอทั้งคนที่ไม่ยอมตรวจสอบสุขภาพของตนเองเลยจนกว่าจะแย่ และเคยเจอทั้งคนที่ตรวจเลือดตรวจเอ็กซ์เรย์ถี่ระดับ 1-2 เดือนต่อครั้ง

    การไม่ตรวจเลย จะทำให้เมื่อคุณป่วย คุณก็จะป่วยอย่างที่ไม่มีการวางแผนไว้ก่อน การตรวจถี่เกินไป จะทำให้ได้ข้อมูลที่ไม่จำเป็นมากเกินไป และเสียค่าใช้จ่ายไปกับสิ่งที่ไม่จำเป็นได้มาก โรคส่วนใหญ่ที่ไม่ร้ายแรง

    การตรวจประจำปี ปีละครั้งก็เพียงพอแล้ว (และบางครั้งการตรวจบางชนิดอาจจะเว้นได้นานถึง 2-3 ปี)


    7. อย่าหลอกตัวเอง

    ผมพบคนที่ป่วยเป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือแม้แต่มะเร็ง ที่เมื่อตรวจพบในตอนแรกที่เป็นไม่มากแล้วปฏิเสธการตรวจต่อเนื่องหรือรับการรักษา บ้างเห็นว่าตนเองยังมีอาการปกติ บ้างเชื่อว่าหมอมักจะบอกให้โอเว่อร์ไว้เพื่อจะได้รักษาหรือขายยา ทำให้สุดท้ายไม่ตรวจต่อหรือไม่สนใจรักษา เมื่อมารักษาอีกครั้งตอนที่มีอาการมากก็สายเกินไปเสียแล้ว

    การรักษาตนเองตั้งแต่ค้นพบโรคแต่แรก ใช้เงินน้อยกว่าการรอให้เป็นมาก ๆ แล้วมาไล่แก้ไล่รักษาหลายสิบเท่าครับ


    8. ตัดค่าใช้จ่ายสินค้าที่ทำลายสุขภาพลง

    เครื่องดื่มแอลกอฮอล์และบุหรี่คือสินค้าที่ทำลายสุขภาพอย่างหนัก ซึ่งนอกจากทำลายสุขภาพ มันยังกินเงินของเราอย่างมหาศาลอีกด้วย

    หากปกติเราสูบบุหรี่วันละซอง ในหนึ่งปี เราจะใช้เงินไปทั้งสิ้น 18,250 บาท (คิดที่บุหรี่ซองละ 50)
    หากดื่มเบียร์วันละกระป๋อง ในหนึ่งปี เราจะใช้เงินไปทั้งสิ้นราว 10,950 บาท (คิดที่เบียร์ กระป๋องละ 30)
    รวมเป็นเงิน 29,200 บาท ... ซึ่งหากนำเงินจำนวนนี้ไปซื้อกองทุนตราสารหนี้ ซึ่งมีอัตราผลตอบแทน 3% ต่อปี คุณจะได้เงินเพิ่มมาอีก 876 บาท เป็น 30,076 บาท

    นี่ยังไม่นับถึงเงินที่คุณไม่ต้องเสียเพิ่มไปกับการเป็นโรคมะเร็ง ถุงลมโป่งพอ หรือตับแข็ง ไขมันเกาะตับอีกด้วย

    จะเห็นว่าเรื่องสุขภาพ หากเรามองให้เป็นเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เพื่อวางแผนในชีวิตก็สามารถทำได้ ปรับเปลี่ยนอุปนิสัยและแนวคิดทางการเงินเพื่อสุขภาพของคุณในวันหน้านะครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ng15.png
      ng15.png
      ขนาดไฟล์:
      74.2 KB
      เปิดดู:
      65
    • ng16.png
      ng16.png
      ขนาดไฟล์:
      80 KB
      เปิดดู:
      34
    • ng17.png
      ng17.png
      ขนาดไฟล์:
      66.5 KB
      เปิดดู:
      49
    • ng18.png
      ng18.png
      ขนาดไฟล์:
      68.6 KB
      เปิดดู:
      43
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เงินเดือน 15,000 บาท เก็บลงทุนอย่างไรให้รวยระเบิด

    -http://money.kapook.com/view89420.html-

    เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณข้อมูลจาก Panphol.com

    เงินเดือนของคุณตอนนี้เท่าไหร่ ?

    คุณเก็บเงินในแต่ละเดือนกี่เปอร์เซ็นต์ ไว้ใช้จ่ายกี่เปอร์เซ็นต์ มีไว้ลงทุนหรือไม่ ?

    หากคุณตกงานกะทันหันจะมีเงินไว้ใช้จ่ายหรือไม่ ?

    ต้องเก็บเงินเท่าไหร่จึงจะทำให้วัยเกษียณมีเงินเพียงพอกับค่าใช้จ่าย ?

    เงินเดือน 15,000 บาท เก็บแบบไหน ทำอย่างไรจึงจะรวย ?

    นี่คือคำถามเบื้องต้นที่มนุษย์เงินเดือนอย่างเราต้องคิดและบริหารการเงินในกระเป๋าในแต่ละเดือน แต่บางคนอ่านแล้วก็อาจฉุกคิดในใจว่า ทุกวันนี้ใช้หนี้ยังไม่พอเลย แล้วจะเอาที่ไหนมาเก็บ ?

    เกี่ยวกับเรื่องนี้เรามีคำแนะนำจาก คุณพรพรหม ภักตร์เปี่ยม ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์หุ้นปันผล Value Investor ปัจจุบันเป็นที่ปรึกษาด้านการออม การลงทุน หุ้น LTF RMF มาฝาก โดยคุณพรพรหมเขียนบทความแนะนำ “เงินเดือน 15,000 บาท เก็บลงทุนไงให้รวยระเบิด” ว่า “มีหนี้ จงใช้หนี้ก่อน หลังจากนั้นอย่าเพิ่งเก็บเงิน ให้บริหารต้นทุนให้ได้ก่อน” ส่วนวิธีการบริหารเงินนั้น ลองไปอ่านบทความเรื่องนี้กัน ซึ่งคุณพรพรหมได้อนุญาตให้กระปุกดอทคอมนำมาเผยแพร่ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้มนุษย์เงินเดือน ที่ต้องการเก็บเงินได้อ่านกัน


    เงินเดือน 15,000 บาท เก็บลงทุนไงให้รวยระเบิด

    ผมเองก็เริ่มจากเงินเดือน 9,000 บาท ช่วงนั้นยังเป็นหนี้อยู่มากเหมือนกัน จำได้เลยว่าสมัยนั้นมีบัตร EASY BUY ที่จ่ายเท่าไหร่ก็ไม่หมดสักที เพราะไปจัด SONY T1 มา 20,000 เศษ ใช้หนี้อยู่พักใหญ่ จนมีเงินพิเศษจำนวนหนึ่งจึงนำไปชำระทั้งหมด และหักบัตรนั้นทิ้งทันที บอกกับตัวเองว่า “แบบนี้ไม่เอาอีกแล้ว” ฉะนั้น มีหนี้ จงใช้หนี้ก่อน ถ้าหนี้นั้นไม่ใช่ทรัพย์สินที่จะสร้างรายได้ในอนาคต จัดการมันซะ และ ควรทำมันพร้อมกับความต้องการที่ฟุ้งเฟ้อ อย่างไม่มีเหตุผล

    ผมไม่รู้ว่าท่านมีหนี้เท่าไหร่ แต่ถ้าท่านมีเงินเดือน 15,000 ต้องบังคับให้ตัวเองใช้หนี้ต่อเดือนคิดเป็น 70% ของรายได้ หรือ 10,500 บาท ต่อเดือน เลข 70% เป็นตัวเลขที่ผมชอบ หากเกินนี้เกรงว่าท่านจะไม่มีกินเอาเท่านี้ล่ะพอแล้ว (หรือใครใจหินจะลองสัก 80% ก็ได้) ส่วน 30% ที่เหลือเชื่อผมท่านอยู่ได้ และผมทำมาแล้ว ในช่วงที่ได้เงินเดือน 15,000 ครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน พอขยับฐานเงินเดือน มันก็มีสิ่งที่อยากได้เหมือนคนอื่นเค้าหลายอย่าง และอันดับต้น ๆ ก็คือ โทรศัพท์มือถือ จึงหันไปพึ่งบริการของบัตรเครดิตตอนนั้นเงินเดือน 15,000 ทำได้พอดีเลย แต่วงเงินที่ได้ประมาณ 30,000 บาท ก็จัดเต็มไป บางยอดเป็นเงินผ่อน แต่บางยอดกดเงินสดมาใช้เพราะอยากป๋าบ้าง อะไรบ้าง มันจะไม่สนุกก็ตอนบิลเรียกเก็บนี่ล่ะเล่นเอาหน้ามืด ผมเลือกที่จะจ่ายขั้นต่ำเพราะยังมีเรื่องที่ใช้จ่ายอีกเยอะแยะ หมุนไปได้หลายเดือนหลอกตัวเองไปสักพัก ก็ได้สติว่าจ่าย 2,000 แต่มันมีดอกเบี้ยเพิ่มมาอีกบานตะไท จึงเลือกตัดค่าใช้จ่าย ปกติ 15,000 ต่อเดือนแทบไม่พอกิน เพราะกินข้าววันละ 2 มือ (เช้ากินกับที่บ้าน) มื้อละ 30 + ค่าเดินทางวันละ 120 โดยประมาณ (บ้านอยู่พระราม 2 ทำงาน บางกะปิ)


    สรุปค่าใช้จ่ายพื้นฐาน

    ค่าข้าว 60*30 บาท = 1800 บาท

    ค่าเดินทางไม่รวมอาทิตย์ 26*120 = 3120 บาท

    บวกใช้หนี้ 2,000 บาท

    รวมทั้งหมดแล้วเดือนนึงต้องจ่ายประมาณ 6,920 บาท ก็น่าจะเหลือประมาณ 9000 บาท เอาไว้เหลือออม ใช่มะ แต่จริงแล้วไม่เหลือแฮะ สาเหตุมาจาก

    1. เมื่อวงเงินเครดิตเหลือ ก็จะถูกดึงเอามาใช้เนื่องจาก เหตุผล “จำเป็น” ?

    2. มีค่าใช้จ่ายแฝงอยู่มาก จนไม่รู้ว่ามันหายไปไหน ซึ่งสรุปให้สั้น ๆ เรียกมันว่า “ค่าใช้จ่ายทางสังคม” ซึ่งค่าใช้จ่ายพวกนี้แหละที่มากกว่า “รายจ่ายประจำ”

    ฉะนั้นถ้าจะลดหนี้จงหยุด “ความอยาก” และ รีบใช้หนี้ให้เร็วที่สุด

    เหลือแค่เฉพาะอยู่ได้ ส่วนไอ้ที่อยากได้เอาไว้ทีหลัง

    -----------------> ขอขีดเส้นใต้ตรงนี้ ถ้าคิดว่าทำไม่ได้ไม่ต้องอ่านต่อ <------------------

    หากเคลียหนี้ได้แล้ว ท่านจะเหมือนมนุษย์ผู้เอาชนะได้ทุกสิ่ง เพราะท่านชนะตัวเองไปเรียบร้อยแล้ว ความภูมิใจจะทวีคูณ ไม่ต่างจากการควบคุมอาหาร สิ่งที่จะได้ตามมาคือ วินัยทางการเงินที่เข้มแข็ง ท่านจะรู้จักใช้เงินอย่างรู้คุณค่ามากขึ้น ย้ำว่า "รู้คุณค่ามากขึ้น" แต่ไม่ใช่ตระหนี่ขี้เหนียว

    หากท่านเคลียหนี้ได้แล้ว เราจะกลับเข้าสู่สังคมอีกครั้ง ปล่อยให้มีค่าใช้จ่ายทางสังคมบ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วสุขภาพจิตท่านจะแย่เอาได้เหมือนกัน อย่าบีบคั้นตัวเองมากไป เอาให้พอดี หลังจากนี้ อย่าเพิ่งคิดจะเก็บก่อน "เพราะการเก็บก่อน เป็นวิธีหักดิบที่ทำได้ยาก" ต้องบริหารต้นทุนให้ได้ก่อน โดยแยกค่าใช้จ่ายเป็น 5 เรื่องหลักต่อเดือน ดังนี้

    1. เพื่อให้พอดำเนินชีวิตได้ 5,000 บาท คิดเป็น 33.33% ของรายได้

    2. เพื่อให้สิ่งที่อยากได้ แต่เป็นประโยชน์ในการสร้างรายได้ในอนาคต 1,000 บาท คิดเป็น 6.6% ของรายได้

    3. เพื่อให้สิ่งที่ทำให้อยู่ในสังคมได้ 1,000 บาท คิดเป็น 6.6% ของรายได้

    4. เพื่อการศึกษาเรื่องเฉพาะที่จะสร้างเงินได้ในอนาคต 1,000 บาท คิดเป็น 6.6% ของรายได้

    5. เพื่อการลงทุน 7,000 บาท คิดเป็น 46.66% ของรายได้

    หากได้เงินเพิ่ม ท่านก็เอา % ของแต่ละเรื่องไปคูณเงินเดือน ก็จะได้ตัวเลขที่ต้องจัดสรรในแต่ละเดือน

    ข้อ 2 ถึง ข้อ 4 ให้นำเอาไปฝากออมทรัพย์ที่ดอกเบี้ยสูง 3% หรือ กองทุนตราสารหนี้ T+1 ผลตอบแทน 2.8% เพื่อพักเงิน

    ข้อ 5 นำไปลงทุนที่ได้ผลตอบแทนดี และ รับความเสี่ยงได้ ไม่แนะนำให้ลง LTF เพราะเงินเดือนประมาณนี้ ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีแน่นอน หลังหักลดหย่อนค่าใช้จ่ายส่วนตัว และ อื่น ๆ แล้ว แนะนำให้ไปลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ณ ทีนี้ขอยกตัวอย่างเป็น BGH ซึ่งมีทิศทางการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง หากไม่กล้าใจไม่ถึง ให้ลงเรียนหรือหาหนังสือมาอ่าน "ความรู้จะทำให้มั่นใจ"


    [​IMG]

    เมื่อลองคำนวณด้วย DCA ย้อนหลัง 3 ปี จะเห็นว่าเราออมเงินไปทั้งหมด 252,000 บาท เกิดเป็นผลกำไรทั้งหมด 216,393.69 บาท (+86%) รวมแล้วมีเงินในมือทั้งหมด 468,393.69 บาท

    3 ปี นอกจากจะได้เงินเก็บในหุ้น 468,393.69 บาท แล้ว ยังได้เงินจากข้อ 2 และ ข้อ 3 ที่ไม่ได้นำไปใช้​(ไม่รวมผลตอบแทนเงินฝาก) อีก 72,000 บาท เงินจำนวนนี้ ซื้อไรดี ^^


    [​IMG]

    แต่เมื่อลองดูย้อนหลัง 5 ปี จะเห็นว่าเราออมเงินไปทั้งหมด 420,000 บาท เกิดผลกำไรทั้งหมด 1,133,300.93 บาท รวมแล้วมีเงินในมือทั้งหมด 1,553,300.93 อุแม้เจ้า

    5 ปี นอกจากจะได้เงินเก็บในหุ้น 1,553,300.93 บาท แล้ว ยังได้เงินจากข้อ 2 และ ข้อ 3 ที่ไม่ได้นำไปใช้​(ไม่รวมผลตอบแทนเงินฝาก) อีก 120,000 บาท เงินจำนวนนี้ ซื้อไรดี ^^

    แน่นอนว่าปัจจุบันผมมีเงิน 1 ล้านบาท แต่เป็นล้านบาท ที่สะสมมาจาก เงินเดือน งานพิเศษ รับเขียนเว็บไซต์ เขียนโปรแกรม ค่าสมาชิกเว็บและจากกำไรหุ้น ช่วงปี 2008 2009 2010 ชีวิตผมเองก็ไม่ได้ โรยด้วยดอกกุหลาบ ปี 2011 ต้องแยกกับภรรยา ทำให้ต้องแบ่งทรัพย์สินและกลับมาเริ่มลงทุนใหม่ในช่วงปี 2012 แต่ก็โชคดีที่ตอนนั้นยังมีหุ้นหลายตัว Under Value อยู่มาก ทำให้กลับมาได้ในปี 2013 ขอขอบพระคุณ คุณพ่อ คุณแม่ และ คุณลูก ที่ให้กำลังใจมาตลอด

    ผมเชื่อว่าหากท่านตั้งใจจริงก็ทำได้ เจอกันที่ความสำเร็จในปี 2015 เมื่อ AEC พร้อม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ng10.png
      ng10.png
      ขนาดไฟล์:
      87.2 KB
      เปิดดู:
      56
    • ng11.png
      ng11.png
      ขนาดไฟล์:
      74 KB
      เปิดดู:
      56
    • ng12.png
      ng12.png
      ขนาดไฟล์:
      274.6 KB
      เปิดดู:
      55
    • ng13.png
      ng13.png
      ขนาดไฟล์:
      186.6 KB
      เปิดดู:
      55
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    บุพกรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พระพุฒโฆษาจารย์ ผู้รจนาคัมภีร์วิสุทธิมรรค ได้นำมาเขียน
    สรุปไว้ในผลงานของท่านว่า "ขึ้นชื่อว่าผลกรรมแล้วไม่มีใคร
    สามารถห้ามได้ นั้นก็ หมายความว่า คนเราเมื่อทำอะไรลงไปแล้ว
    ไม่ว่าดีหรือชั่วก็ตาม ถึงคราวที่ความดีความชั่ว จะให้ผลนั้นย่อม
    ไม่มีใครห้ามได้ แม้พระพุทธเจ้า ของเราเองก็ทรงห้ามไม่ได้"
    ความจริงข้อนี้ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏกเล่มที่ 32 (ขุททกนิกาย อปทาน)
    ซึ่งในพระไตร ปิฏกเล่มนี้ มีกล่าวไว้ว่า ...

    พระพุทธเจ้าได้ตรัสเล่าถึงกรรมเก่าที่มาให้ผลแก่พระองค์ กรรมเก่า
    ที่ตรัสเล่านั้นเป็นกรรมเก่าที่ทำไว้ในอดีตชาติ เมื่อครั้งยังเป็นปุถุชน
    แล้วมาให้ผลใน ชาติปัจจุบันถึงแม้ว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
    ก็ยังไม่พ้นไปจากผลของ กรรมเก่านั้นซึ่งนำมาสรุปกล่าวได้ดังนี้

    กรรมเก่าอย่างแรก คือ กล่าวตู่ผู้มีศีลด้วยเรื่องไม่จริง
    พระองค์ตรัสเล่าว่า เป็นกรรมเก่าทำไว้ในหลายชาติในอดีตดังนี้
    ในชาติหนึ่ง พระองค์เกิดเป็นนักเลง ชื่อ "ปุนาลิ" ได้กล่าวตู่ (ใส่ร้าย)
    พระปัจเจกพุทธเจ้าพระนามว่า "สุรภี" ว่าทำผู้หญิงท้อง ตายจากชาตินั้น
    บาปกรรมส่งผลให้ ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เสวยทุกขเวทนา
    อย่างแสนสาหัส เกิดมาในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
    เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ ก็ส่งผลให้พระองค์มาถูกนางสุนทริกา
    กล่าวตู่ว่าพระองค์ได้ร่วมรักกับนางจนตั้งครรภ์

    ต่อมาในชาติหนึ่ง มีพระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก พระองค์ได้ทรง
    กล่าวตู่พระเถระชื่อ "นันทะ" พระสาวกองค์หนึ่ง ของพระพุทธเจ้า
    ด้วยเรื่องทำนองเดียวกัน ตายจากชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิด
    อยู่ในนรกนานนับหมื่นปี เกิดมาในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
    เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ส่งผลให้พระองค์ถูก นางจิญจมาณวิกา
    กล่าวตู่ว่าพระองค์ได้ร่วมรักกับนางจนนางตั้งครรภ์อีกเช่นกัน

    กรรมเก่าอย่างที่สอง คือ ฆ่าน้องชายต่างมารดา
    พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นลูกเศรษฐี
    บิดาของพระองค์มีภรรยาหลายคน ภรรยาคนหนึ่ง มีลูกชายพระองค์
    เกรงว่าทรัพย์สมบัติส่วนหนึ่งจะถูกแบ่งไปให้แก่น้องชายต่างมารดานั้น
    จึงลวงน้องชายไปฆ่าที่ซอกเขา แล้วเอาหินทับไว้ ตายจากชาตินั้น
    บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานปี เกิดมาในชาตินี้แม้จะได้
    ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่ก็ส่งผลให้
    พระองค์ถูกพระเทวทัตกลิ้งหินกระทบนิ้ว พระบาทจนห้อพระโลหิต

    กรรมเก่าอย่างที่สาม คือ จุดไฟดักทางพระปัจเจกพุทธเจ้า
    พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นเด็กแสนซน
    วันหนึ่งขณะเล่นอยู่กับเพื่อนเด็ก เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่ง
    กำลังเดินมา จึงชวนกันจุดไฟดักทางเพื่อมิให้พระพุทธเจ้าผ่านไปได้
    ตายจากชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน
    เกิดมาในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว เศษกรรมยัง
    หลงเหลืออยู่ก็ ส่งผลให้พระองค์ถูกไฟไหม้ที่พระบาท

    กรรมเก่าอย่างที่สี่ คือ ไสช้างจับพระปัจเจกพระพุทธเจ้า
    พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต คราวที่โลกว่างจากพระพุทธเจ้า
    มีพระปัจเจกพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก พระองค์เกิดเป็นควาญช้าง
    วันหนึ่งเห็นพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปหนึ่งบิณฑบาตแล้วเกลียดจึงไสช้าง
    ให้จับพระปัจเจกพุทธเจ้ารูปนั้น ตายจาก ชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้
    ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เกิดมาในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็น
    พระพุทธเจ้า เศษกรรมที่ยังหลงเหลือ อยู่ส่งผลให้พระองค์ถูก
    พระเทวทัตยุยงพระเจ้าอชาตศัตรู ให้ปล่อยช้างนาฬาคีรีมาแทงพระองค์

    กรรมเก่าอย่างที่ห้า คือ นำทหารออกศึก
    พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นแม่ทัพนำทหาร
    ออกรบฆ่าข้าศึกตายเป็นจำนวนมากด้วยหอก ตายจาก ชาตินั้น บาปกรรม
    ส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรกนานแสนนาน เสวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส
    เกิดมาในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจ้า เศษกรรมที่ยังหลงเหลืออยู่
    ก็ส่งผลให้พระองค์ถูกพระเทวทัตชักชวนนายขมังธนูผู้ดุร้ายมาฆ่า

    กรรมเก่าอย่างที่หก คือ เห็นคนฆ่าปลาแล้วชอบใจ
    พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็น
    ลูกชาวประมง อาศัยอยู่ในหมู่บ้านชาวประมง เห็นชาวประมง
    ฆ่าปลา แล้วเกิดความสนุกยินดีสนุกสนาน มาเกิดในชาตินี้
    แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้่าแล้ว บาปกรรมก็ยังส่งผล
    ให้พระองค์รู้สึกปวดพระเศียรเมื่อคราวที่พวกเจ้าศากยะ
    พระประยูรญาติของพระองค์ ถูกพระเจ้าวิฑูฑภะกษัตริย์
    แห่งแคว้นโกศลยกทัพบุกสังหาร

    กรรมอย่างที่เจ็ด คือ ด่าพระสาวกของพระพุทธเจ้า
    พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นคน
    ปากกล้าด่าว่าพระสาวกของพระพุทธเจ้าผุสสะ (พระพุทธเจ้า
    พระองค์ที่ 17 ในจำนวนพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ที่ปรากฏ
    พระนามในคัมภีร์พระพุทธศาสนา) และพูดแดกดันทำนองว่า
    ให้ท่านเหล่านั้นได้ฉันแต่ข้าวชนิดเลว อย่าให้ได้ฉันข้าวดีๆ
    อย่างข้าวสาลีเลย ตายจากชาตินั้นบาปกรรมส่งผลให้ไปเกิด
    อยู่ในนรกนานแสนนาน
    มาเกิดในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้่าแล้ว บาปกรรม
    ก็ยังส่งผลให้พระองค์ได้รับนิมนต์จากพราหมณ์เวรัญชาให้ไป
    จำพรรษาในเมืองเวรัญชา ครั้นพระองค์เสด็จไปถึงก็เกิด
    ข้าวยากหมากแพง ทำให้พระองค์ต้องเสวยข้าวชนิดเลว(ข้าวแดง)
    อยู่นานถึง 3 เดือน

    กรรมอย่างที่แปด คือ มีส่วนร่วมในการจัดมวยปล้ำ
    พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นคนจัด
    มวยปล้ำ มาเกิดในชาตินี้ แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
    บาป กรรมยังส่งผลให้พระองค์มีโรคประจำตัวพระองค์คือ
    ปวดพระปฤษฏางค์ (ปวดหลัง)

    กรรมอย่างที่เก้า คือ เป็นหมอยารักษาคนไข้ตาย
    พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นหมอยา
    รับรักษาลูกชายเศรษฐี โดยวิธีให้ถ่ายยา จนลูกชายเศรษฐีตาย
    ตายจากชาตินั้น บาปกรรมส่งผลให้ไปเกิดอยู่ในนรก มาเกิด
    ในชาตินี้แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วเศษกรรมที่ยัง
    หลงเหลืออยู่ก็ส่งผลให้พระองค์เกิดพระโรคปักขันทิกาพาธ
    (โรคท้องร่วง) หลัีงจากเสวยสุกรมัททวะก่อนเสด็จดับขันธ
    ปรินิพพาน

    กรรมอย่างที่สิบ คือ เยาะเย้ยพระพุทธเจ้า
    พระองค์ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีต พระองค์เกิดเป็นชายหนุ่ม
    ชื่อ "โชติปาละ" วันหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้ากัสสปะ (พระพุทธเจ้า
    พระองค์ที่ 26 ในจำนวนพระพุทธเจ้า 28 พระองค์ที่ปรากฏพระนาม
    ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา) แล้วกราบทูลทำนองเย้ยหยันว่า ทำไมจึง
    ได้ตรัสรู้ช้าต้องบำเพ็ญเพียรอยู่นานกว่าจะตรัสรู้ได้ มาเกิดในชาตินี้
    ซึ่งแน่นอนว่าพระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแน่ แต่ด้วยผล
    กรรมนั้น จึงส่งผลให้พระองค์หลงทางในการแสวงหาโมกธรรม
    จนต้องบำเพ็ญทุกขรกิริยา อันทำให้พระองค์ต้องประสบกับทุกข์
    ทรมานอย่างแสนสาหัสกว่าจะตรัสรู้ได้

    ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ คือกรรมเก่าที่ไม่ดีของพระพุทธเจ้า
    ที่พระองค์ตรัสเล่าไว้อย่างเปิดเผย พระไตรปิฏกบอกว่า
    พระองค์ตรัสเล่า ให้พระสาวกจำนวนมากที่มาเฝ้าพระองค์
    ฟังขณะที่ประทับนั่งอยู่บนพื้นหินแก้ว ในละแวกป่าใกล้
    สระอโนดาตเชิงป่าหิมพานต์

    ณ ที่นั้นนอกจากจะได้ตรัสถึงกรรมเก่าที่ไม่ดีแล้วพระองค์
    ก็ทรง ตรัสถึงกรรมเก่าที่ดีซึ่งเป็นปัจจัยให้พระองค์ได้มาตรัสรู้
    เป็นพระพุทธเจ้าไว้ด้วย นั่นคือ ถวายผ้าเก่าแก่พระ พระองค์
    ตรัสเล่าว่า ในชาติหนึ่งในอดีตนั้นพระองค์เกิดเป็นคนยากจน
    เห็นพระสาวกของพระพุทธเจ้ารูปหนึ่งซึ่งถืออยู่ป่า เป็นวัตร
    แล้วเลื่อมใสจึงถวายผ้าห่มเก่าผืนเดียวที่ตัวเองมีอยู่แก่ท่าน
    พร้อมกันนั้นก็ได้ฟังเรื่องราวของพระพุทธเจ้า จากพระสาวก
    รูปนั้นแล้วเกิดเลื่อมใสยิ่งขึ้นจึงตั้งจิตปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า
    เป็นครั้งแรกการเริ่มต้นปรารถนา แต่ครั้งนั้นของพระองค์ส่งผลให้
    ทำความดีมาอย่างต่อเนื่องจนมาได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในชาตินี้

    เรื่องราวที่กล่าวมานี้ย่อมชี้ให้เห็นว่ากรรมที่ทำแล้วไม่ว่าดีหรือชั่ว
    ก็ตามย่อมคอยโอกาสให้ผลอยู่ตลอดเวลา ตราบที่ผู้ทำกรรม
    ยังเวียนวายตายเกิดแม้ชาติสุดท้ายจะได้บรรลุอรหัตผลแล้ว
    แต่โดยเหตุที่ยังมีชีวิตอยู่ซึ่งชีวิต นี้เกิดมาจากกรรมเก่าฉะนั้น
    ยังคงต้องได้รับผลอยู่ดี

    พระพุทธเจ้าของเราเองก็เช่นกัน แม้จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว
    แต่กรรมเก่าก็ยังหาโอกาสให้ผลอยู่เป็นระยะกรรมเก่าบางอย่างก็ให้ผลมาแล้ว
    แต่ ยังมีเศษเหลืออยู่ แต่กรรมเก่าบางอย่างก็ยังมิได้ให้ผลมาเลยและมาให้ผล
    เต็มในชาตินี้ เห็นไหมว่ากรรมยิ่งใหญ่ขนาดไหน
    พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้เราเข้าใจ ให้ถูกต้องและการแก้กรรมที่ดีนั้นก็คือ
    ไม่ทำความชั่วทำแต่ความดีแล้วจิตของเราก็จะพบกับความสุขสมบูรณ์แล.
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีการทำบุญ ให้ได้ผลบุญมาก

    ซึ่งปัจจุบันนี้ เราๆ ท่านๆ ทำบุญแล้ว ไม่มีใครที่ได้บุญเต็ม 100% เท่าที่ได้ทำบุญไป

    ผมมาแนะนำเทคนิคในการทำบุญ หากทำได้ บุญที่ท่านได้ทำ ท่านจะได้อนิสงค์มากกว่าที่เคยได้มา

    ติดตามอ่านกันได้

    โมทนา สาธุครับ
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การรักษาศีล 5

    -http://www.sil5.net/index.asp?autherid=14&ContentID=10000024&title=%A1%D2%C3%C3%D1%A1%C9%D2%C8%D5%C5+5&bttcol=False-

    ศีล ( Morality ) คือ ความปกติ และการรักษาศีลก็คือ ความตั้งใจรักษาปกติของตน อันเป็นหลักปฏิบัติที่ไม่ทำให้เดือดร้อน
    แก่ตนเองและผู้อื่น และเป็นหลักแห่งความประพฤติที่จะทำให้เกิดความสะอาดทางกาย และวาจา ศีลมีหลายประเภท เช่น ศีล 5, ศีล 8, ศีล 10 ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ปฏิบัติ แต่ศีลที่ควรกระทำเพื่อให้เกิดความปกติในสังคมก็คือ ศีล 5 เพราะสะดวก
    และง่ายที่จะปฏิบัติ มีดังนี้ คือ


    • พึงละเว้นจากการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต

    • พึงละเว้นจากการลักขโมย ฉ้อฉล

    • พึงละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม

    • พึงละเว้นจากการพูดเท็จ

    • พึงละเว้นจากการดื่มเครื่องดองของเมา


    ศีลทั้ง 5 ข้อนี้ เป็นหลักจำเป็นในสังคมมนุษย์ที่จะต้องปฏิบัติเพื่อให้เกิดความปกติ ทั้งในตนเองและสังคม เพราะช่วยควบคุม
    ความประพฤติมิให้พลาดถลำลงในความชั่วอย่างใดอย่างหนึ่ง จึงจัดอยู่ในระดับศีลธรรมอันเป็นมูลฐานที่จะนำไปสู่ความสงบ
    ของจิตใจ ถ้าหากความสะอาดทางกายและวาจาไม่มีแล้ว เราก็ไม่สามารถทำจิตใจให้สงบได้

    สรุปได้ว่า ทางสายกลางข้อ 3-4-5 เป็นการปฏิบัติทางศีลเพื่อให้เกิดความปกติทางกายและวาจาเท่านั้น



    เบญจศีล

    ในการอยู่ร่วมกันในสังคมนั้น จำเป็นที่แต่ละคน ซึ่งเป็นสมาชิกของสังคมจะต้องทำตนให้เป็นคนเต็มคน ที่เรียกว่าเป็นมนุษย์ หรือเป็นคน 100% เพื่อให้การอยู่ร่วมกันดำเนินไปด้วยความเรียบร้อย มีความสงบสุข เกิดศานติสุข ไม่มีเวรภัยต่อกันและกันหลักธรรมที่จะทำคนให้เป็นให้เต็มคนอันยังผลให้การอยู่ร่วมกันมีความสุขมีความสงบสุขนั้นก็คือ เบญจศีลเบญจธรรม อันได้แก่

    ตอนที่ ๑ เนื้อความและความหมาย

    เบญจศีล แปลว่า ศีล ๕ ได้แก่..

    ๑.ปาณาติปาตา เวรมณี เจตนาเป็นเครืองงดเว้นจากการฆ่า การเบียดเบียน การทำร้ายร่างกายคนและสัตว์ แล้วมีจิตใจประกอบด้วยเมตตากรุณา มีความปรารถนาดี และสงสารเห็นอกเห็นใจผู้อื่นสัตว์อื่น

    ๒.อทินนาทานา เวรมณี เจตนาเป็นเครืองงดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยอาการแห่งขโมยหรือโจร อันได้แก่ ลัก ฉก ชิง วิ่งราว ขู่กรรโชก ขู่เข็ญ ปล้น จี้ ตู่ ฉ้อโกง หลอก ลวง ปลอม ตระบัด เบียดบัง สับเปลี่ยน ลักลอบ ยักยอก และรับสินบน แล้วเป็นผู้มีความขยันประกอบสัมมาชีพ บริจาคทาน และเคารพในกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของผู้อื่น

    ๓.กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
    บุคคลต้องห้ามสำหรับฝ่ายชาย คือ
    (๑) ภรรยาคนอื่น
    (๒) ผู้หญิงที่ยังอยู่ในความอุปการะของผู้อื่น (ต้องพึ่งพาอาศัยผู้อื่นอยู่)
    (๓) ผู้หญิงที่จารีตต้องห้าม (แม่ ย่า ยาย พี่สาว น้องสาว ลูกสาว ชี หญิงผู้เยาว์

    บุคคลที่ต้องห้ามสำหรับฝ่ายหญิง คือ
    (๑) สามีคนอื่น
    (๒) ชายจารีตต้องห้าม (พ่อ ปู่ ตา พี่ชาย น้องชาย ลูกชาย พระภิกษุ สามเณร ชายผู้เยาว์)

    ทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงไม่ใช่เฉพาะ ห้ามแต่ร่วมสังวาสเท่านั้น แม้แต่การเคล้าคลึง การพูดเกี้ยวพาราสี หรือการแสดงอาการ ปฏิพัทธ์แม้แต่ด้วยสายตาเนตรสบเนตร เป็นต้น ก็ชื่อว่า การละเมิดศีลข้อนี้แล้ว เมื่อไม่ล่วงละเมิดศีลข้อนี้แล้วเป็นผู้สำสวมในกามยินดีแต่ในภรรยาของตนเท่านั้น (สทารสันโดษ) จงรักภักดีแต่ในสามีของตน (ปติวัตร) ถ้ายังไม่ได้แต่งงานก็ต้องมีกามสังวร ตั้งตนอยู่ในขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงาม มีวัฒนธรรมอันดีชนิดที่ว่า "เข้าตามตรอกออกตามประตู"

    ๔.มุสาวาทา เวรมณี เจตนาเป็นเครืองงดเว้นจากการพูดเท็จ อันได้แก่คำปด ทวนสาบาน ทำเล่ห์กระเท่ห์ มารยา ทำกิเลส เสริมความสำรวมคำพูดเสียดแทง สับปลับ ผิดสัญยา เสียสัตย์ และคืนคำ แล้ว เป็นผู้รักสัจจะจะพูดแต่คำสัตย์จริงด้วยความจริงใจและปรารถนาดี มุ่งหวังดีต่อผู้ฟัง

    ๕.สุราเมรยะมัชชะปมาทัฏฐานา เวรมณี เจตนาเป็นเครืองงเว้นจากการดื่มน้ำเมาอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท อันได้แก่ น้ำสุรา เมรัย เครื่องดื่มมึนเมาอื่น ๆ และการเสพยาเสพติดอื่นๆ เช่น ฝิ่น เฮโรอีน กัญชา ยาบ้า หรือแม้แต่บุหรี่ แล้วเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะในการประกอบกิจการทั้งปวง และเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิตในการงาน ในวัย ในเพศ

    ผู้จะเป็นคนเต็มคน คือ 100% จะต้องเป็นผู้มีการดำเนินชีวิตประจำวันที่ประกอบด้วยเบญจศีลเบญจธรรมทั้ง ๕ ประเด็นดังกล่าวแล้ว ถ้าขาด ๑ ประเด็นก็เป็นคนเพียง ๘๐ % หรือขาด ๒ ประเด็นก็เป็นคนเพียง ๖๐ % เป็น นับว่าเป็นหลักการขั้นพื้นฐานที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอน มุ่งเน้นให้พุทธศาสนิกชนได้ประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อความเป็นมนุษย์อันจะได้เป็นสมาชิกที่ของสังคม ความสงบสุขในสังคมแต่ละวันจะเกิดขึ้นได้ก็อาศัยหลักมนุษยธรรม หรือ แต่ละคนเป็นคนเต็มคนนั่นเอง


    อธิบายเบญจศีลอย่างย่อ ๆ

    เบญจ แปลว่า ๕ ศีล แปลว่า ปกติ เบญจศีล จึงแปลว่า ปกติ ๕ อย่าง แปลว่า ตัด ก็ได้ เพราะตัด จากความชั่ว หรือมนุษยธรรมก็เรียก แปลว่า ธรรมสำหรับมนุษย์ หมายความว่า ธรรมที่ทำคนให้เป็นคนที่ควรแก่การเคารพนับถือความหมายของเบญจศีล
    ความเป็นปกติของคน คือความเรียบร้อยสวยงามคนที่ไม่เรียบร้อยจะเป็นที่สวยงามไปไม่ได้ ได้แก่คนที่ผิดปกตินั้นเอง คนที่ไม่ปกตินั้นก็เป็นที่ผิดแปลกไปจากคนอื่น ๆ เช่น
    - ปกติคนเราจะต้องไม่ฆ่ากัน ไม่ทำร้ายร่างกายกันเพราะคนก็ดี สัตว์ก็ดีต่างก็รักชีวิตของตนด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ประสงค์จะให้ใครมาฆ่าแกง หรือมาทำร้ายร่างกายตน หรือทรมานตนให้ได้รับความลำบาก คนที่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตของคนอื่น สัตว์อื่น จึงชื่อว่าคนผิดคน คือผิดปกติของคน
    - ปกติคนเราจะต้องไม่ขโมยทรัพย์สมบัติของกันและกันเพราะใคร ๆ ก็ย่อมรัก ย่อมหวงแหนในทรัพย์สินของตน ไม่ประสงค์จะให้ใครมาเบียดเบียนและล่วงเกินในทรัพย์สินของตน คนที่ขโมยทรัพย์ของผู้อื่น จึงชื่อว่าทำผิดปกติของคนปกติของคนเราจะต้องไม่ล่วงละเมิดประเวณีของกันและกัน เพราะลูกใคร เมียใคร สามีใคร ใคร ๆ เขาก็หวง ไม่ประสงค์จะให้ใครมารับแกขมเหงน้ำใจ ลูกเมียสามีเปรียบเหมือนทรัพย์อันมีค่าของเขา คนที่รับแก ข่มเหงล่วงเกินผู้อื่น จึงชื่อว่าเป็นเป็นผู้ทำผิดปกติของคน
    -ปกติของคนเราจะต้องไม่โกหกหลอกลวงกัน เพราะทุกคนไม่พึงปรารถนาจะให้ใครมาโกหกหลอกลวงตน ไม่ปรารถนาจะให้ใครมาหักรานประโยชน์ของตน ปรารถนาแต่ความสัตย์ความจริงด้วยกันทั้งสิ้น คนที่โกหกหลอกลวงผู้อื่นจึงชื่อว่าทำผิดปกติของคน
    -ปกติของคนเราจะต้องรักษากายวาจาให้เรียบร้อย บำบัดทุกข์บำรุงสุขให้แก่ร่างกายของตน ไม่ปรารถนาจะให้ร่างกายได้รับความลำบากด้วยทุกขเวทนาต่าง ๆ ทั้งพยายามเสริมสร้างร่างกายให้เจริญด้วยกำลังและสมบูรณ์ด้วยสติปัญญา จึงต้องงดเว้นจากการทำร้ายร่างกายตนเอง ด้วยการไม่ทำตนให้ผิดปกติ
    คนที่ดื่มสุรา เมรัย และเสพของมึนเมาต่าง ๆ เช่น กัญชาและเฮโรอีน เป็นต้นจนกลายเป็นคนติดยาเสพติดให้โทษ เป็นคนขาดสติสัมปชัญญะ ตกอยู่ในฐานะแห่งความเป็นผู้ประมาท ชื่อว่าเป็นผู้ทำร้างร่างกายตนเอง จึงจัดว่าเป็นคนทำผิดปกติ

    ศีล ๕ ประการนี้ ท่านเรียกว่า มนุษยธรรม แปลว่า ธรรมสำหรับมนุษย์ ธรรมทำให้คนเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์,เป็นธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะ ผู้ที่จะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่สมบูรณ์ด้วยมนุษยธรรมนี้มาก่อน การเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นเรื่องที่ยากแท้ ดังพระพุทธดำรัสว่า"กิจฺโฉ มนุสฺสปฏิลาโภ การได้อัตภาพมาเป็นมนุษย์เป็นเรื่องยาก" เมื่อเราได้อัตภาพเกิดมาเป็นมนุษย์แล้วอย่างนี้ ไม่พยายามรักษาสภาพปกติไว้ ก็จะกลายเป็นผู้ทำลายปกติของตนเอง
    ผู้ที่ล่วงละเมิดศีล จึงชื่อว่าเป็นผู้ทำลายมนุษยธรรม ผู้ที่ทำลายมนุษย์ธรรมชื่อว่าเป็นผู้ทำลายปกติของตนเองด้วยประการฉะนี้

    ตอนที่ ๒ วิรัติ คือการงดเว้น

    การรักษาศีล คือ การรักษากายวาจาให้เรียบร้อยเป็นปกติ, การปฏิบัติธรรม คือ การฝึกฝนอบรมจิตใจให้งดงาม, คนดีมีศีลธรรม คือ คนที่มีกายวาจาเรียบร้อยและมีจิตใจงดงาม
    การรักษาศีลนั้นมี ๓ วิธี เรียกว่า วิรัติ คือ การงดเว้น ได้แก่

    ๑.สมาทานวิรัติ การงดเว้นด้วยการสมาทาน
    ๒.สัมปัตตวิรัติ การงดเว้นในขณะเผชิญหน้า
    ๓.สมุจเฉทวิรัติ การงดเว้นโดยเด็ดขาด

    การที่จะรักษาศีลให้บริสุทธิ์หมดจดเรียบร้อย ต้องประกอบด้วยวิรัติ ๓ อย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้

    สมาทานวิรัติ ได้แก่การเปล่งวาจาขอสมาทานศีลจากพระภิกษุ สาม เณร หรือ จากบุคคลผู้มีศีลโดยการเปล่งวาจาขอสมาทานเป็นข้อ ๆ ไปดังนี้

    ๑.ปาณาติปาตา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขา บท คือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ด้วยตนเอง และการใช้ให้คนอื่นฆ่า
    ในสิกขาบทนี้ เป็นทั้งสาหัตถิกประโยค เพราะลงมือฆ่าด้วยตนเอง, เป็นทั้งอาณัติก ประโยค เพราะใช้ให้คนอื่นฆ่า

    ๒.อะทินนาทานา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ข้าพเจ้าขอสมา ทานสิกขาบท คือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการลักทรัพย์ด้วยตนเอง และใช้ให้คนอื่นลัก
    ในสิกขาบทนี้ คำว่า "ทรัพย์" หมายเอาทั้งสวิญญาณกทรัพย์ ทรัพยที่มีวิญญาณครอง เช่น คน สัตว์ และ วิญญาณฏทรัพย์ ทรัพย์ที่ไม่มีวิญญาณครอง ได้แก่ วัตถุสิ่งของต่าง ๆ และหมายความรวมไปถึงสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ได้และอสังหาริมทรัพย์ ทรัพย์ที่เคลื่อนที่ไม่ได้ในสิกขาบทนี้ เป็นทั้งสาหัตถิกประโยค เพราะลักด้วยตนเอง, เป็นทั้งอาณัติกประโยค เพราะใช้ให้คนอื่นลัก

    ๓.กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ข้าพเจ้าขอสมา ทานสิกขาบท คือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
    ในสิกขาบทนี้ คำว่า "การประพฤติผิดในกาม" หมายถึงการร่วมประ เวณีในบุรุษและสตรีที่ไม่ใช่สามี-ภรรยาคู่ครองของตนเอง เช่น มารดาบิดาล่วงละเมิดกับบุตรธิดาของตนเอง หรือพี่ชายพี่สาวล่วงละเมิดกับน้องชายน้องสาวของตนเอง ก็เป็นการผิดประเวณีทั้งสิ้น
    สิกขาบทนี้ เป็น สาหัตถิกประโยค เพราะผิดประเวณีด้วยตนเองอย่างเดียว ไม่เป็นอาณัติกประโยค เพราะใช้ให้คนอื่นผิดประเวณี

    ๔.มุสาวาทา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการพูดปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และ พูดเพ้อเจ้อ
    ในสิกขาบทนี้ คำว่า "มุสาวาท" หมายความรวมไปถึง วจีทุจริต ๔ ประการ คือ การปด พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ และ พูดเพ้อเจ้อ การพูดปด ได้แก่ การพูดเท็จ หรือพูดให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ซึ่งเรียกว่า มุสาวาท
    การพูดคำหยาบ ได้แก่ การด่าว่าคนอื่นให้ได้รับความอับอาย เรีบกว่า ผรุสวาจา
    การพูดเพ้อเจ้อ ได้แก่ การพูดให้ไขว้เขว เหลวไหลไร้สาระ ทำให้เสียประโยชน์ของผู้อื่น เรียกว่า สัมผัปปลาปะสิกขาบทนี้ เป็นสาหัตถิกประโยค เพราะพูดด้วยตนเองอย่างเดียว ไม่เป็นอาณัติกประโยค เพราะให้ใช้คนอื่นพูด

    ๕.สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาทในสิกขาบทนี้ คำว่า "สุราและเมรัย" หมายถึง สุรา ๕ อย่าง และ เมรัย ๕ อย่าง ได้แก่

    สุรา ๕ อย่าง ได้แก่

    ๑.ปิฏฐสุรา สุราทำด้วยแป้ง
    ๒.ปูวสุรา สุราทำด้วยขนม
    ๓.โอทนสุรา สุราทำด้วยข้าวสุก
    ๔.กิณณะปกะขิตตา สุราที่หมักเชื้อ
    ๕.สัมภาระสังยุตตา สุราที่ปรุงด้วยเครื่องเทศต่าง ๆ

    เมรัย ๕ อย่าง ได้แก่

    ๑.ปุปผาสโว น้ำดองดอกไม้
    ๒.ผลาสโว น้ำดองผลไม้
    ๓.มธวาสโว น้ำดองน้ำผึ้ง หรือน้ำดองน้ำหวาน
    ๔.คุฬาสโว น้ำดองน้ำอ้อย
    ๕.สัมภาระสังยุตโต น้ำดองที่ปรุงด้วยเครื่องเทศต่าง ๆ

    สิกขาบทนี้ เป็นสาหัตถิกประโยคเพราะดื่มหรือเสพด้วยตนเอง ไม่เป็นอาณัติกประโยค เพราะใช้ให้ผู้อื่นดื่มหรือเสพ

    สัมปัตตวิรัติ ได้แก่การงดเว้นในขณะเมื่อเผชิญหน้ากับเหตุการณ์นั้น ๆ เช่น เกิดมีการต่อสู้กันขึ้น มีช่องทางพอที่จะฆ่าเขาได้ แต่ระลึกถึงศีลจึงไม่ฆ่า มีช่องทางพอที่จะโกงเขาได้แต่ไม่โกง มีช่องทางพอที่จะล่วงประเวณีได้แต่ไม่ล่วงประเวณี มีเหตุที่จะต้องให้โกหกเขาได้แต่ไม่โกหก มีโอกาสที่จะดื่มน้ำเมาได้ แต่ไม่ดื่มเพราะคำนึงถึงศีลดังกล่าวแล้ว อย่างนี้เป็นต้น เรียกว่า สัมปัตตวิรัติ แปลว่า งดเว้นได้ในขณะประจวบเข้าเฉพาะหน้า จัดเป็นผู้รักษาศีลเช่นเดียวกัน

    สมุจเฉทวิรัติ ได้แก่ การงดเว้นโดยเด็ดขาด แม้อันตรายจะเข้ามาถึงชีวิตตนเอง ก็ไม่ล่วงละเมิดศีล เป็นวิรัติของพระอริยบุคคล ตัวอย่างเช่น ในกรณีที่ถูกบังคับให้ฆ่าคนอื่น ถ้าไม่ทำตนเองก็จะถูกฆ่า ก็ไม่ยอมฆ่าคนอื่นโดยเด็ดขาด ยอมให้เขาฆ่าตนเองดีกว่าที่จะล่วงละเมิดศีล ดังนี้เป็นต้น


    ตอนที่ ๓ องค์แห่งศีล ๕

    ในสิกขาบททั้ง ๕ นั้น ในแต่ละสิกขาบทมีองค์ประกอบต่าง ๆ กัน เมื่อครบองค์ศีลจึงขาด ถ้าไม่ครบองค์ศีลยังไม่ขาด เป็นแต่เพียงด่างพร้อยหรือบกพร่องไปบ้างเท่านั้น องค์แห่งศีลทั้ง ๕ นั้นมีดังต่อไปนี้

    สิกขาบทที่ ๑

    ปาณาติปาตา เวรมณี แปลว่า เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วง หมายถึง เว้นจากการฆ่าสัตว์ สิกขาบทที่ ๑ นี้มีองค์ ๕ คือ


    ๑.สัตว์นั้นมีชีวิต
    ๒.รู้อยู่ว่าสัตว์นั้นมีชีวิต
    ๓.มีเจตนาจะฆ่าสัตว์นั้น
    ๔.พยายามฆ่าสัตว์นั้น
    ๕.สัตว์นั้นตายด้วยความพยายามนั้น

    การฆ่าที่ประกอบไปด้วยองค์ ๕ นี้ ไม่ว่าจะฆ่าเองหรือใช้ให้คนอื่นฆ่าก็ตาม ยุยงให้สัตว์อื่นฆ่ากันก็ตาม เช่น จัดให้จิ้งหรีดกัดกันจนตายไป เป็นต้น ศีลก็ขาดทั้งนั้น
    สิกขาบทที่ ๑
    ปาณาติปาตา เวรมณี แปลว่า เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการทำสัตว์มีชีวิตให้ตกล่วง หมายถึง เว้นจากการฆ่าสัตว์
    คำว่า"สัตว์"ในสิกขาบทที่ ๑ นี้ ท่านประสงค์เอาทั้งมนุษย์ชาย-หญิงทุกวัย จนที่สุดแม้กระทั่งที่ยังอยู่ในครรภ์ และสัตว์ดิรัจฉานทุกชนิด

    สิกขาบทที่ ๑ นี้มีข้อห้ามไว้ ๓ ประการ ได้แก่

    ๑.การฆ่า
    ๒.การทำร้ายร่างกาย
    ๓.การทรกรรม

    ในสิกขาบทที่ ๑ นี้ เป็นทั้งสาหัตถิกประโยค เพราะลงมือฆ่าด้วยตนเอง, เป็นทั้งอาณัติกประโยค เพราะใช้ให้คนอื่นฆ่า
    การฆ่าโดยตรงศีลขาด, ส่วนการทำร้ายร่างกาย และการทรกรรม (ทรมาน) สัตว์ รวมเรียกว่า อนุโลมการฆ่า ศีลไม่ขาด เป็นแต่เพียงด่างพร้อยหรือศีลทะลุก็เรียก


    การฆ่า
    การฆ่า หมายถึง การทำให้ตาย แบ่งเป็น ๒ อย่าง ได้แก่


    ๑.ฆ่ามนุษย์
    ๒.ฆ่าสัตว์ดิรัจฉาน


    การทำร้ายร่างกาย
    การทำร้างร่ายกายนี้ ทางฝ่ายศาสนาถือเป็น "บุพพประโยคของการฆ่า" แบ่งออกเป็น ๓ สถาน ได้แก่

    ๑.การทำให้พิการ ได้แก่ การทำให้อวัยวะบางส่วนเสีย เช่น การทำให้ตาเสีย การทำให้แขนหรือขาเสีย เป็นต้น
    ๒.การทำให้เสียโฉม ได้แก่ การทำร้างร่างกายให้เสียรูปเสียงาม แต่ไม่ถึงกับให้พิการ เช่น
    ๓.การทำให้เจ็บลำบาก ได้แก่ การทำร้างร่างกายซึ่งไม่ถึงกับเสียโฉม แต่เสียความสำราญ เช่น ชกต่อย เฆี่ยนตี


    การทรกรรม
    ทรกรรม หมายถึง "การประพฤติเหี้ยมโหดแก่สัตว์โดยไม่ปรานี" จัดเป็น ๕ อย่าง ได้แก่

    ๑.ใช้การ ได้แก่ การใช้สัตว์เป็นพาหนะ อย่างไม่ปรานี มีแต่ใช้ ปล่อยให้อดอยาก ซูบผอม ไม่ให้พักผ่อนตามกาล หรือใช้เกินกำลังของสัตว์
    ๒.กักขัง ได้แก่ การเลี้ยงสัตว์ไว้ในกรงที่คับแคบเกินไป หรือผูกไว้เพื่อดูชมเล่น แต่ผู้เลี้ยงกักขัง หรือผูกมัดไว้จนไม่สามารถจะผลัดเปลี่ยนอิริยาบถได้ หรือไม่ปรนเปรอเลี้ยงดูให้สัตว์ได้รับความสุขพอสมควร ปล่อยให้อดอยาก เป็นต้น
    ๓.นำไป ได้แก่ การนำไปผิดอิริยาบถของสัตว์ สัตว์นั้นย่อมได้รับความลำบาก เช่น ผูกขาไก่หิ้วไป
    ๔.เล่นสนุก ได้แก่การนำสัตว์มาเล่นเพื่อความสนุก เช่นเอาประทัดผูกหางสุนัขแล้วจุดไฟ
    ๕.ผจญสัตว์ ได้แก่ การเอาสัตว์ให้ชนกันหรือกัดกัน เช่น ชนโค ชนไก่ กัดปลา เป็นต้น


    สิกขาบทที่ ๒

    อทินนาทานา เวรมณี เวรมณี แปลว่า "เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เจ้าของเขาไม่ได้ให้ด้วยอาการเป็นโจร"
    สิ่งของที่เจ้าของไม่ให้ได้ในที่นี้ หมายถึงสิ่งของ ๒ อย่าง คือ

    ๑.สิ่งของที่มีเจ้าของ ทั้งที่มีวิญญาณ ซึ่งเรียกว่า สวิญญาณกทรัพย์ และที่ไม่มีวิญญาณ เรียกว่า อวิญญาณกทรัพย์
    ๒.สิ่งของที่ไม่ใช่ของใคร แต่มีผู้รักษาหวงแหน เช่น สิ่งของที่เป็นของสงฆ์ ของสโมสร ของส่วนรวม เป็นต้น

    ในสิกขาบทที่ ๒ นี้ จึงมีข้อห้ามเป็น ๓ อย่าง ได้แก่

    ๑.โจรกรรม
    ๒.ความเลี้ยงชีพอนุโลมโจรกรรม
    ๓.กิริยาเป็นฉายาโจรกรรม

    ๑.โจรกรรม
    โจรกรรม ได้แก่ "กิริยาที่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ด้วยอาการเป็นโจร" มี ๑๔ ประเภท ได้แก่
    ๑.ลัก ได้แก่"กิริยาที่ถือเอาสิ่งของด้วยอาการเป็นโจรในเวลาที่เงียบไม่ให้เจ้าของรู้" มี ๓ ลักษณะ คือ
    ก.เมื่อเจ้าของเขาเผลอก็หยิบเอาสิ่งของนั้นไป เรียกว่า "ขโมย"
    ข.เวลาสงัดคนแอบเข้าไปในเรือนแล้วหยิบเอาสิ่งของของเขาเรียกว่า"ย่องเบา"
    ค.งัดหรือเจาะประตู-หน้าต่างที่ปิดอยู่แล้วถือเอาสิ่งของของเขาเรียกว่า "ตัดช่อง"
    ๒.ฉก ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาสิ่งของในเวลาที่เจ้าของเขาเผลอ เช่น
    วิ่งราว หมายถึง เจ้าของเขาเผลอก็เข้าแย่งเอาแล้ววิ่งหนีไป หรือ
    ตีชิง หมายถึง ตีเจ้าของให้เจ็บแล้วถือเอาสิ่งของ
    ๓.กรรโชก ได้แก่ กิริยาที่แสดงอำนาจให้เจ้าของตกใจกลัวแล้วยอมให้สิ่งของ
    ๔.ปล้น ได้แก่ กิริยาที่ยกพวกตั้งแต่ ๒ คนขึ้นไปข่มขู่เจ้าทรัพย์แล้วถือเอาสิ่งของของคนอื่นไป
    ๕.ตู่ ได้แก่ กิริยาที่ร้องเอาสิ่งของขงอผู้อื่นซึ่งมิได้ตกอยู่ในมือตนเอง
    ๖.ฉ้อ ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาสิ่งของของผู้อื่นที่ตกอยู่ในมือตนเอง
    ๗.หลอก ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาสิ่งของของผู้อื่นโดยการพูดจาหลอกลวงหรือโกหกเอา (ปั้นเรื่องขึ้นให้เจ้าทรัพย์หลงเชื่อแล้วจึงถือเอาทรัพย์ของเขาไป)
    ๘.ลวง ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาสิ่งของของผู้อื่นด้วยการแสดงของอย่างใดอย่างหนึ่งให้เขาเข้าใจผิด (ใช้เพทุบายลวงให้เขาหลงเชื่อ)
    ๙.ปลอม ได้แก่ กิริยาที่ทำของไม่แท้ให้เห็นว่าเป็นของแท้ขึ้นเปลี่ยนเอาสิ่งของดีหรือ ของแท้ของเขาไป (ทำของปลอมขึ้นเปลี่ยนเอาของแท้ของเขา)
    ๑๐.ตระบัด ได้แก่ กิริยาที่ยืมสิ่งของของเขาไปแล้วถือเอาเป็นของตนเอง ไม่ส่งคืน (การยืมของเขาแล้วไม่ส่งคืนเจ้าของเดิม โดยยึดถือเอาเป็นของตัวเองไป)
    ๑๑.เบียดบัง ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาเศษ เช่น เก็บเงินค่าเช่าได้มาก แต่ให้เจ้าของแต่เพียงน้อย ๆ(กินเศษกินเลยเล็ก ๆ น้อย ๆ)
    ๑๒.สัปเปลี่ยน ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาสิ่งของของตนที่เลวเข้าไปไว้แทน แล้วเอาของที่ดีของผู้อื่นไปเสีย (เอาของที่ไม่ดีไปเปลี่ยนเอาของที่ดีของเขา)
    ๑๓.ลักลอบ ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาสิ่งของต้องพิกัดซ่อนเข้ามาโดยไม่เสียภาษี, ค้าของหนีภาษี, ลักลอบขนของหนีภาษี เป็นต้น)
    ๑๔.ยักยอก ได้แก่ กิริยาที่ยักยอกทรัพย์ของตนที่จะต้องถูกยึดไปไว้เสียในที่อื่น (การใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต)

    ๒.ความเลี้ยงชีพอนุโลมโจรกรรม
    ความเลี้ยงชีพอนุโลมโจรกรรม ได้แก่ กิริยาที่แสวงหาพัสดุในทางที่ไม่บริสุทธิ์ แต่ไม่นับเข้าในอาการโจรกรรม แบ่งเป็น ๓ ประเภท ได้แก่
    ๑.สมโจร ได้แก่ กิริยาที่อุดหนุนโจรกรรมโดยนัย เช่น รับซื้อของโจร คือเป็นผู้รับซื้อสิ่งของที่ผู้อื่นโจรกรรมได้มา
    ๒.ปอกลอก ได้แก่ กิริยาที่คบคนด้วยอาการไม่ซื่อสัตย์ มุ่งหมายจะเอาทรัพย์สมบัติของ เขาฝ่ายเดียว เมื่อเขาสิ้นตัวแล้วทิ้งเขาเสีย (คบกับคนอื่นโดยหวังผลประโยชน์ตนฝ่ายเดียว)
    ๓.รับสินบน ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาทรัพย์ที่เขาให้ เพื่อช่วยทำธุระให้แก่เขาในทางที่ผิด

    ๓.กิริยาเป็นฉายาโจรกรรม
    กิริยาเป็นฉายาโจรกรรม ได้แก่ กิริยาที่ทำทรัพย์พัสดุของผู้อื่นให้สูญและเป็นสินที่ใช้ตกอยู่แก่ตน มี ๒ ประเภท ได้แก่
    ๑.ผลาญ ได้แก่ กิริยาที่ทำอันตรายเสียหายแก่ทรัพย์สินพัสดุของผู้อื่น เช่น แกล้งเผาสวนยาง เผาบ้านของเขา เป็นต้น
    ๒.หยิบฉวย ได้แก่ กิริยาที่ถือเอาทรัพย์พัสดุของผู้อื่นด้วยความมักง่าย เช่น บุตรหลานประพฤติตนเป็นคนพาลนำเอาทรัพย์สินของพ่อ-แม่ ปู่-ย่า ตา-ยายไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นต้น

    สิกขาบทที่ ๒ นี้มีองค์ ๕ คือ


    ๑.ของนั้นมีเจ้าของหวงแหน
    ๒.รู้อยู่ว่าของนั้นมีเจ้าของหวงแหน
    ๓.มีเจตนาจะถือเอาสิ่งนั้น
    ๔.พยายามถือเอาสิ่งนั้น
    ๕.ได้ของนั้นมาด้วยความพยายามนั้น

    สิกขาบทที่ ๓

    กาเมสุ มิจฉาจารา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
    คำว่า"กาม"ในทีนี้ ได้แก่ กิริยาที่รักใคร่กันในทางประเวณี ซึ่งทั้งชายและ หญิงต่างก็เป็นวัตถุต้องห้ามของกันและกัน

    หญิงที่ต้องห้ามในสิกขาบทนี้มี ๔ จำพวก คือ

    ๑.ภรรยาผู้อื่น ได้แก่ หญิง ๔ จำพวก ได้แก่


    ก.หญิงที่แต่งงานแล้ว
    ข.หญิงที่ไม่ได้แต่งงานแต่อยู่กินด้วยกันกับชายโดยอาการเปิดเผย
    ค.หญิงผู้รับสิ่งของมีทรัพย์เนต้นของชาย แล้วยอมอยู่กับเขา
    ง.หญิงที่ชายเลี้ยงเป็นภรรยา


    ๒.หญิงที่อยู่ในความพิทักษ์รักษาของเขา ได้แก่ หญิงที่ พ่อ แม่ ญาติ พี่น้อง รักษา

    ๓.หญิงที่จารีตห้าม ได้แก่ หญิง ๓ จำพวก คือ

    ก.หญิงที่อยู่ในพิทักษ์รักษาของตัวเอง และ ผู้ที่เป็นเหล่ากอของตนเอง
    ข.หญิงที่อยู่ใต้พระบัญญัติในพระศาสนา เช่น ภิกษุณี ชี เป็นต้น
    ค.หญิงที่กฏหมายบ้านเมืองห้ามและลงโทษแก่ชายผู้สมสู่ด้วย

    ชายที่ต้องห้ามในสิกขาบทที่ ๓
    ชายก็เป็นวัตถุต้องห้ามสำหรับหญิงเหมือนกัน ท่านกล่าวแสดงไว้ ๒ จำพวก คือ

    ๑.ชายอื่นนอกจากสามี เป็นวัตถุต้องห้ามสำหรับหญิงที่มีสามี
    ๒.ชายที่จารีตห้าม เช่น พระภิกษุ สามเณร เป็นต้น เป็นวัตถุต้องห้ามสำหรับหญิงทั้งปวง

    ในสิกขาบทนี้ คำว่า "การประพฤติผิดในกาม"หมายถึง การร่วมประเวณีในบุรุษและสตรีที่ไม่ใช่สามี-ภรรยาคู่ครองของตนเอง เช่น มารดาบิดาล่วงละเมิดกับบุตรธิดาของตนเอง หรือพี่ชายพี่สาวล่วงละเมิดกับน้องชายน้องสาวของตนเอง ก็เป็นการผิดประเวณีทั้งสิ้น

    สิกขาบทที่ ๔

    มุสาวาทา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ แปลว่า "ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากมุสาวาท"
    คำว่า "มุสาวาทา เวรมณี" แปลว่า เว้นจากมุสาวาท, ความเท็จ ชื่อว่า มุสา, กิริยาที่พูด หรือแสดงอาการมุสา ชื่อว่า มุสาวาท ในสิกขาบทที่ ๔ นี้

    ในสิกขาบทที่ ๔ มีข้อห้ามเป็น ๓ อย่าง ได้แก่

    ๑.มุสา กล่าวเท็จ
    ๒.อนุโลมมุสา กล่าววาจาที่เป็นตามมุสา
    ๓.ปฏิสสวะ รับแล้วไม่ทำตามรับ

    ๑.มุสา มีลักษณะ ดังนี้

    ๑.เรื่องที่กล่าวนั้นไม่เป็นความจริง ๒.ผู้กล่าวจงใจ
    ๓.กล่าวให้คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ๔.ผู้ฟังเข้าใจผิด

    การแสดงมุสานี้ไม่เฉพาะแต่ทางวาจาอย่างเดียวเท่านั้น แม้ทางกายก็อาจเป็นไปได้ เช่น เขียนหนังสือมุสาเขา แสดงอาการ หรือ สั่นศีรษะ ที่ทำให้เขาเข้าใจผิดจากความเป็นจริง


    มุสามี ๗ ประเภท ได้แก่

    ๑.ปด ได้แก่ มุสาจัง ๆไม่อาศัยมูลเลย ท่านแสดงตัวอย่างไว้ ๔ อย่าง ได้แก่
    ก.ส่อเสียด หมายถึง ปดเพื่อจะให้เขาแตกแยกกัน
    ข.หลอก หมายถึง ปดเพื่อจะโกงเขา
    ค.ยอ หมายถึง ปดเพื่อจะยกย่อง
    ง.กลับคำ หมายถึง พูดแล้วไม่ทำตามรับ
    ๒.ทนสาบาน ได้แก่ กิริยาที่เลี่ยงสัตย์ว่าจะพูดตามเป็นจริง แต่ไม่ได้ตั้งใจจริงอย่างนั้น มีปดเป็นบริวาร, หมายถึง สาบานเพื่อหวังผลประโยชน์อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เป็นพยานทนสาบานแล้วเบิกความเท็จในศาล เป็นต้น
    ๓.ทำเล่ห์กระเท่ห์ ได้แก่ กิริยาที่อวดอ้างความศักดิ์สิทธิ์อันไม่เป็นจริง เช่น อวดรู้วิชาว่าคงกระพัน หรือพูดมุสาด้วยการใช้เพทุบาย ไม่พูดตรง ๆ
    ๔.มารยา ได้แก่ กิริยาที่แสดงอาการให้เขาเห็นผิดจากที่เป็นจริง เช่น คนไม่มีศีลแต่ทำทีให้เขาห็นว่าเป็นคนมีศีล, หรือเจ็บเล็กน้อยแต่ทำทีเป็นเจ็บปวดเสียมากมาย เป็นต้น
    ๕.ทำเลส ได้แก่ การพูดมุสาเล่นสำนวน คือ อยากจะพูดเท็จแต่ทำเป็นเลสเล่นสำนวนให้ผู้ฟังนำไปคิด
    ๖.เสริมความ ได้แก่ พูดมุสาอาศัยมูลเดิม แต่เสริมความให้มากกว่าที่เป็นจริง หรือเรื่องจริงมีนิดหน่อยแต่กลับพูดขยายความออกเสียยกใหญ่จนเกินความจริงไป เช่น พูดพรรณนาถึงสรรพ คุณยาให้เกินกว่าทั่วยาจะรักษาโรคได้
    ๗.อำความ ได้แก่ พูดมุสาเดิม แต่ตัดความที่ไม่ประสงค์จะให้รู้เสีย เพื่อทำความเข้าใจกลายไปเป็นอย่างอื่น (หมายถึง เรื่องจริงนั้นมีมาก แต่กลับพูดให้เห็นเป็นเรื่องเพียงเล็กน้อย)

    ๒.อนุโลมมุสา
    อนุโลมมุสากำหนดรู้ได้ด้วยลักษณะ ๒ อย่าง ได้แก่


    ๑.วัตถุที่จะกล่าวนั้นไม่เป็นความจริง
    ๒.ผู้กล่าวไม่จงใจกล่าวให้ผู้ฟังเข้าใจผิด มี ๒ ประเภท ได้แก่
    ก.เสียดแทง ได้แก่ กิริยาที่ว่าให้ผู้อื่นเจ็บใจ เช่น พูดประชด ด่า
    ข.สับปรับได้แก่พูดปดด้วยความคะนองวาจาแต่ผู้พูดไม่ตั้งใจจะให้เขาเข้าใจผิด


    คำพูดที่จริงที่ไม่สมควรพูด


    คำพูดที่จริง แต่ให้โทษแก่ผู้อื่นและผู้พูดเอง เป็นคำพูดที่มุ่งหมายอย่างนั้น ซึ่งคำพูดนั้นมีมูลเหตุมาจากมุสาจึงจัดเข้าในอนุโลมมุสา ได้แก่


    ๑.คำส่อเสียด ได้แก่ คำพูดที่ได้ยินข้างหนึ่งติเตียนข้างหนึ่งแล้วเก็บไปบอกยุยงเขา เป็นเหตุให้เขาแตกแยกกัน
    ๒.คำเสียดแทง ได้แก่ การพูดให้เขาเจ็บใจ อ้างวัตถุที่เป็นจริงอย่างนั้นขึ้นพูด เป็นเหตุให้ผู้ที่ต้องถูกว่านั้นเจ็บใจ

    ๓.ปฏิสสวะ
    ปฏิสสวะ ได้แก่ กิริยาที่รับคำผู้อื่นด้วยเจตนาที่บริสุทธิ์คิดจะทำตามที่รับปากไว้จริง ๆ แต่ภายหลังกลับไม่ได้ทำตามที่รับปากไว้นั้น

    ปฏิสสวะนี้มี ๓ ประเภท ได้แก่


    ๑.ผิดสัญญา ได้แก่ การที่ทั้งสองฝ่ายทำสัญญากันว่าจะทำเช่นนั้นเช่นนี้ แต่ภายหลังกลับไม่ได้ทำตามที่สัญญานั้น
    ๒.เสียสัตย์ ได้แก่ กิริยาที่ให้สัตย์แก่เขาฝ่ายเดียวว่าตนเองจะทำหรือไม่ทำเช่นนั้น เช่นนี้ แต่ภายหลังกลับไม่ทำตามคำพูดนั้น
    ๓.คืนคำ ได้แก่ การที่รับปากว่าจะทำหรือไม่ทำสั่งนั้นสิ่งนี้โดยมีไม่สัญญา แต่ภาย หลังกัลบไม่ทำตามนั้น

    ปฏิสสวะ เป็นเหตุให้ผู้ประพฤติเสียชื่อเสียง จึงควรจะละเสีย ส่วนการ"ถอนคำ" ไม่นับเป็นปฏิสสวะ


    ยถาสัญญา
    การพูดมุสาที่ไม่ผิดศีล เรียกว่า "ยถาสัญญา" คือ คำพูดที่บุคคลพูดตามความสำคัญ หรือพูดตามโวหารที่ตนเองจำได้ และผู้พูดมีเจตนาบริสุทธิ์ ไม่มีเจตนาที่จะพูดให้ผิดไปจากความเป็นจริง มี ๔ ลักษณะ ได้แก่


    ๑.โวหาร ได้แก่ ถ้อยคำที่ใช้กันเป็นธรรมเนียม เช่น คำลงท้ายของจดหมายซึ่งแสดงความอ่อนน้อมว่า ขอแสดงความนับถืออย่างยิ่ง เป็นต้น
    ๒.นิยาย ได้แก่ เรื่องที่เปรียบเทียบเพื่อให้ได้ใจความเป็นสุภาษิต เช่น นิยายที่จินตกวีแต่งขึ้น
    ๓.สำคัญผิด ได้แก่ กิริยาที่ผู้พูดสำคัญผิดและพูดออกไปตามความสำคัญผิดนั้น เช่น วันนี้เป็นวันอังคาร เมื่อมีผู้ถามว่าวันนี้เป็นวันอะไร ? ผู้พูดสำคัญว่าเป็นวันพุธ จึงตอบไปว่า "วันพุธ" เช่นนี้ต้น
    ๔.พลั้ง ได้แก่ กิริยาที่ผู้พูดตั้งใจจะพูดอย่างหนึ่งแต่พูดออกไปอีกอย่างหนึ่ง และการพูดเช่นนี้เมื่อพูดออกไปแล้วควรบอกใหม่ทันที เช่น ถูกถามว่า "ไปไหนมา ?" ก็รีบตอบเลยทันทีว่า "เปล่า…! ไปธุระมานิดหน่อย" คำว่า "เปล่า" นั้นเป็นคำพูดพลั้งหรือพูดด้วยความเคยชิน โดยไม่มีเจตนาจะพูดให้เขาเข้าใจผิด



    สิกขาบทที่ ๕

    สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวรมณี สิกขาปะทัง สะมาทิยามิ แปลว่า ข้าพเจ้าขอสมาทานสิกขาบท คือ เจตนาเป็นเครื่องงดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท


    ความหมายของ "สุรา และ เมรัย"
    น้ำเมาที่เป็นของหมักดอง เช่น กระแช่ น้ำตาลเมาต่าง ๆ ชื่อว่า"เมรัย", เมรัยนั้นที่เขากลั่นอีกชั้นหนึ่งเพื่อให้รสเข้มข้นขึ้น เช่น เหล้าชนิดต่าง ๆ ชื่อว่า "สุรา"


    ในสิกขาบทนี้ คำว่า"สุราและเมรัย" หมายเอา สุรา ๕ อย่าง และ เมรัย ๕ อย่างซึ่งจะขอกล่าวตามลำดับต่อไป


    สุรา ๕ อย่าง ได้แก่


    ๑.ปิฏฐสุรา สุราทำด้วยแป้ง
    ๒.ปูวสุรา สุราทำด้วยขนม
    ๓.โอทนสุรา สุราทำด้วยข้าวสุก
    ๔.กิณณะปกะขิตตา สุราที่หมักเชื้อ
    ๕.สัมภาระสังยุตตา สุราที่ปรุงด้วยเครื่องเทศต่าง ๆ

    เมรัย ๕ อย่าง ได้แก่


    ๑.ปุปผาสโว น้ำดองดอกไม้
    ๒.ผลาสโว น้ำดองผลไม้
    ๓.มธวาสโว น้ำดองน้ำผึ้งหรือน้ำดองน้ำหวาน
    ๔.คุฬาสโว น้ำดองน้ำอ้อย
    ๕.สัมภาระสังยุตโต น้ำดองที่ปรุงด้วยเครื่องเทศต่าง ๆ

    สิกขาบทนี้ เป็นสาหัตถิกประโยคเพราะดื่มหรือเสพด้วยตนเองเท่านั้น ไม่เป็นอาณัติกประโยค เพราะใช้ให้ผู้อื่นดื่มหรือเสพ

    สิ่งมึนเมาที่อนุโลมเข้ากับสุราและเมรัย

    การสูบ ฉีด หรือเสพ ยาเสพติดให้โทษ เช่น กัญชา เฮโรอีน มอร์ฟีน ฝิ่น ทินเนอร์ ฯลฯ เข้าไปในร่างกาย ซึ่งไม่ใมช่การดื่มกินเข้าไปเหมือนสุราและเมรัย ก็จัดว่าผิดศีลข้อที่ ๕ เหมือนกัน เพราะสิ่งเสพติดเหล่านี้ แม้จะไม่ได้ดิ่มกินทางปากก็ตามที แต่ก็สำเร็จเป็นการทำให้มีนเมา ทำให้ไม่สามารถควบคุมสติและควบคุมตนเองได้ เช่นเดียวกับหารดิ่มกินสุราเมรัย ซ้ำยังมีโทษร้ายแรงยิ่งกว่าสุราเมรัยเสียอีก
    ยาเสพติด เช่น กัญชา เฮโรอีน มอร์ฟีน ฝิ่น ทินเนอร์ เป็นต้นนั้น ถึงแม้ว่าไม่มีในครั้งพุทธกาล และพระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงห้ามไว้ก็ตามที แต่ก็อนุโลมเข้ากันได้กับสุราเมรัยและของมึนเมาอย่างอื่นอีก เพราะอาศัยหลักฐานคือ มหาปเทส ๔ ที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้เป็นหลัก เพราะฉะนั้นยาเสพติดทุกชนิดที่อนุโลมเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร จึงทำให้ผู้ที่สูบ เสพ หรือ ฉีด สิ่งเสพติดให้โทษทุกชนิดผิดศีลข้อที่ ๕ ด้วย

    มหาปเทสนั้นมี ๔ ประการ ได้แก่.-

    ๑. สิ่งใดไม่ได้ทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากับสิ่งไม่ควร(อกัปปิยะ) ขัดต่อสิ่งที่ควร (กัปปิยะ) สิ่งนั้นไม่ควร
    ๒. สิ่งใดไม่ได้ทรงห้ามไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากันกับสิ่งที่ควร(กัปปิยะ) ขัดต่อสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควร
    ๓. สิ่งใดที่ไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าไม่ควร แต่เข้ากับสิ่งที่ไม่ควร(อกัปปิยะ) ขัดต่อสิ่งที่ควร(กัปปิยะ) สิ่งนั้นไม่ควร.
    ๔.สิ่งใดที่ไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ว่าควร แต่เข้ากับสิ่งที่ควร(กัปิยะ)ขัดกันกับสิ่งที่ไม่ควร (อกัปปิยะ) สิ่งนั้นควร


    สุรา และ เมรัย และสิ่งเสพติดให้โทษทั้งหมดนั้น ย่อมทำให้ผู้ที่ดื่มมึนเมาเสียสติ เป็นบ่อเกิดแห่งความประมาท เลินเล่อเผลอสติ ขาดความยั้งคิด ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำทุกอย่างได้ทั้งหมด ไม่มีความละอาย และเป็นเหตุให้ทำความชั่วอย่างอื่นได้อีกมากมาย สร้างความปั่นป่วนให้สังคม การดื่มสุราเมรัย และหรือเสพยาเสพติดให้โทษ เป็นอบายมุข เป็นหนทางแห่งหายนะ ฉะนั้นน้ำเมาคือสุราเมรัยจึงได้ชื่อว่า "เป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อานิสงส์ของการรักษาศีล 5 ของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ

    -http://www.onab.go.th/index.php?option=com_content&view=article&id=1489:-5---&catid=61:2009-06-12-17-56-15&Itemid=246-

    คำว่า ศีล ได้แก่สภาพเช่นไร ศีลอย่างแท้จริงเป็นไปด้วยความมีสติ รู้สิ่งที่ควรหรือไม่ควร ระวังการระบายออกทางทวารทั้งสาม คอยบังคับกาย วาจา ใจ ให้เป็นไปในขอบเขตของศีลที่เป็นสภาพปกติ ศีลที่เกิดจากการรักษามีสภาพปกติไม่คะนองทางกาย วาจา ใจ ให้เป็นที่เกลียด นอกจากความปกติงดงามทางกาย วาจา ใจ ของผู้มีศีลว่าเป็นศีล เป็นธรรม

    เราควรรักษาศีล 5

    1. สิ่งที่มีชีวิต เป็นสิ่งที่มีคุณค่า จึงไม่ควรเบียดเบียน ข่มเหง และทำลายคุณค่าแห่งความเป็นอยู่ของเขาให้ตกไป
    2. สิ่งของของใคร ๆ ก็รักและสงวน ไม่ควรทำลาย ฉกลัก ปล้น จี้ เป็นต้นอันเป็นการทำลายสมบัติและทำลายจิตใจกัน
    3. ลูก หลาน สามี ภรรยา ใคร ๆ ก็รักสงวนอย่างยิ่ง ไม่ปรารถนาให้ใครมาอาจเอื้อม ล่วงเกิน เป็นการทำลายจิตใจของผู้อื่นอย่างหนัก และเป็นบาปไม่มีประมาณ
    4. มุสา การโกหกพกลม เป็นสิ่งทำลายความเชื่อถือของผู้อื่นให้ขาดสะบั้นลงอย่างไม่มีดี แม้เดรัจฉานก็ไม่พอใจคำหลอกลวง จึงไม่ควรโกหกหลอกลวงให้ผู้อื่นเสียหาย
    5. สุรา ยาเสพติด เป็นของมึนเมาและให้โทษ ดื่มเข้าไปย่อมทำให้คนดี ๆ กลายเป็นคนบ้าได้ ลดคุณค่าลงโดยลำดับ ผู้ต้องการเป็นคนดีมีสติปกครองตัว อย่างมนุษย์จึงไม่ควรดื่มสุรา เครื่องทำลายสุขภาพทางร่างกายและใจอย่างยิ่ง เป็นการทำลายตัวเอง และผู้อื่นไปด้วยในขณะเดียวกัน

    อานิสงส์ของการรักษาศีล 5

    1. ทำให้อายุยืน ปราศจากโรคภัยเบียดเบียน
    2. ทรัพย์สมบัติที่อยู่ในความปกครอง มีความปลอดภัยจากโจรผู้ร้ายมาราวี เบียดเบียนทำลาย
    3. ระหว่างลูก หลาน สามี ภริยา อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ไม่มีผู้คอยล่วงล้ำกล้ำกรายต่างครองกันอยู่ด้วยความเป็นสุข
    4. พูดอะไร มีผู้เคารพเชื่อถือ คำพูดมีเสน่ห์เป็นที่จับใจไพเราะ ด้วยสัตย์ด้วยศีล
    5. เป็นผู้มีสติปัญญาดีและเฉลียวฉลาด ไม่หลงหน้าหลงหลัง จับโน่นชนนี่เหมือนคนบ้าคนบอหาสติไม่ได้ ผู้มีศีล เป็นผู้ปลูกและส่งเสริมสุขบนหัวใจคนและสัตว์ทั่วโลกให้ มีแต่ความอบอุ่นไม่เป็นระแวงสงสัย ผู้ไม่มีศีลเป็นผู้ทำลายหัวใจคนและสัตว์ ให้ได้รับความทุกข์เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า

    ศีล นั้นอยู่ที่ไหน มีตัวตนเป็นอย่างไร ใครเป็นผู้รักษาแล้วก็รู้ว่า ผู้นั้นเป็นตัวศีล ศีลก็อยู่ที่ตนนี้ เจตนาเป็นตัวศีล เจตนา คือ จิตใจ คนเราถ้าจิตไม่มี ก็ไม่เรียกว่าตน มีแต่กายจะทำอะไรได้ ร่างกายกับจิตต้องอาศัยซึ่งกันและกัน เมื่อจิตไม่เป็นศีล กายก็ประพฤติไปต่าง ๆ ผู้มีศีลแล้วไม่มีโทษ จะเป็นปกติแนบเนียนไม่หวั่นไหว ไม่มีเรื่องหลงหาหลงขอคนที่หา คนที่ขอ ต้องเป็นทุกข์ ขอเท่าไรยิ่งไม่มี ยิ่งอดอยาก ยากเข็ญยิ่งไม่มี

    กายกับจิต เราได้มาแล้ว มีอยู่แล้ว ได้จากบิดามารดาพร้อมบริบูรณ์แล้ว จะทำให้เป็นศีลก็รีบทำ ศีลมีอยู่ที่เรานี้แล้ว รักษาได้ไม่มีกาล ได้ผลไม่มีกาล

    ผู้มีศีล ย่อมเป็นผู้องอาจกล้าหาญ ผู้มีศีล ย่อมมีความสุข ผู้จักมั่งคั่งบริบูรณ์ สมบูรณ์ ไม่อด ไม่อยาก ไม่จน ก็เพราะรักษาศีลได้สมบูรณ์ จิตดวงเดียว เป็นศีลเป็นสมาธิ เป็นปัญญา

    ผู้มีศีลแท้ เป็นผู้หมดเวรหมดภัย

    ที่มา : คติธรรม คำสอน ของ องค์ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถร
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ คือ สิ่งอันเป็นที่ตั้งแห่งการทำบุญ หรือกล่าวอย่างง่ายๆว่า การกระทำที่เกิดเป็นบุญ เป็นกุศล แก่ผู้กระทำดังต่อไปนี้

    -http://www.dhammakaya.org/dhamma/boon01.php-

    ๑. บุญสำเร็จได้ด้วยการบริจาคทาน (ทานมัย) คือการเสียสละนับแต่ทรัพย์ สิ่งของ เงินทอง ตลอดจนกำลังกาย สติปัญญา ความรู้ความสามารถ เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้อื่นโดยส่วนรวม รวมถึงการละกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ออกจากจิตใจ จนถึงการสละชีวิตอันเป็นสิ่งมีค่าที่สุดเพื่อการปฏิบัติธรรม

    ๒. บุญสำเร็จได้ด้วยการรักษาศีล (สีลมัย) คือการตั้งใจรักษาศีล และการปฏิบัติตนไม่ให้ละเมิดศีล ไม่ว่าจะเป็นศีล ๕ หรือศีล ๘ ของอุบาสกอุบาสิกา ศีล ๑๐ ของสามเณร หรือ ๒๒๗ ข้อของพระภิกษุ เพื่อรักษากาย วาจา และใจ ให้บริสุทธิ์สะอาด พ้นจากกายทุจริต ๔ ประการ คือ ละเว้นจากการฆ่าสัตว์ ละเว้นจากการลักทรัพย์ ละเว้นจากการประพฤติผิดในกาม และเสพสิ่งเสพติดมึนเมา อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท วจีทุจริต ๔ ประการ คือไม่พูดส่อเสียด ไม่พูดปด ไม่พูดเพ้อเจ้อ และไม่พูดคำหยาบ มโนทุจริต ๓ ประการ คือ ไม่หลงงมงาย ไม่พยาบาท ไม่หลงผิดจากทำนองคลองธรรม

    ๓. บุญสำเร็จได้ด้วยการภาวนา (ภาวนามัย ) คือการอบรมจิตใจในการละกิเลส ตั้งแต่ขั้นหยาบไป จนถึงกิเลสอย่างละเอียด ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นโดยใช้สมาธิปัญญา รู้ทางเจริญและทางเสื่อม จนเข้าใจอริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และมรรค เป็นทางไปสู่ความพ้นทุกข์ บรรลุมรรค ผล นิพพานได้ในที่สุด

    ๔. บุญสำเร็จได้ด้วยการประพฤติอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่ (อปจายนมัย) คือการให้ความเคารพ ผู้ใหญ่และผู้มีพระคุณ ๓ ประเภท คือ ผู้มี วัยวุฒิ ได้แก่พ่อแม่ ญาติพี่น้องและผู้สูงอายุ ผู้มี คุณวุฒิ หรือคุณสมบัติ ได้แก่ ครูบาอาจารย์ พระภิกษุสงฆ์ และผู้มี ชาติวุฒิ ได้แก่พระมหากษัตริย์ และเชื้อพระวงศ์

    ๕. บุญสำเร็จได้ด้วยการขวนขวายในกิจการที่ชอบ (เวยยาวัจจมัย) คือ การกระทำสิ่งที่เป็นคุณงามความดี ที่เกิดประโยชน์ต่อคนส่วนรวม โดยเฉพาะทางพระพุทธศาสนา เช่น การชักนำบุคคลให้มาประพฤติปฏิบัติธรรม มีทาน ศีล ภาวนา เป็นต้น ในฝ่ายสัมมาทิฎฐิ

    ๖. บุญสำเร็จได้ด้วยการให้ส่วนบุญ (ปัตติทานมัย) คือ การอุทิศส่วนบุญกุศลที่ได้กระทำไว้ ให้แก่สรรพสัตว์ทั้งปวง การบอกให้ผู้อื่นได้ร่วมอนุโมทนาด้วย ทั้งมนุษย์และอมนุษย์ ได้ทราบข่าวการบุญการกุศลที่เราได้กระทำไป

    ๗. บุญสำเร็จได้ด้วยการอนุโมทนา (ปัตตานุโมทนามัย) คือ การได้ร่วมอนุโมทนา เช่น กล่าวว่า “สาธุ” เพื่อเป็นการยินดี ยอมรับความดี และขอมีส่วนร่วมในความดีของบุคคลอื่น ถึงแม้ว่าเราไม่มีโอกาสได้กระทำ ก็ขอให้ได้มีโอกาสได้แสดงการรับรู้ด้วยใจปีติยินดีในบุญกุศลนั้น ผลบุญก็จะเกิดแก่บุคคลที่ได้อนุโมทนาบุญนั้นเองด้วย

    ๘. บุญสำเร็จได้ด้วยการฟังธรรม (ธัมมัสสวนมัย) คือ การตั้งใจฟังธรรมที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อน หรือที่เคยฟังแล้วก็รับฟังเพื่อได้รับความกระจ่างมากขึ้น บรรเทาความสงสัยและทำความเห็นให้ถูกต้องยิ่งขึ้น จนเกิดปัญญาหรือความรู้ก็พยายามนำเอาความรู้และธรรมะนั้นนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ สู่หนทางเจริญต่อไป

    ๙. บุญสำเร็จด้วยการแสดงธรรม (ธัมมเทสนามัย) คือ การแสดงธรรมไม่ว่าจะเป็นรูปของการกระทำ หรือการประพฤติปฏิบัติด้วยกาย วาจา ใจ ในทางที่ชอบ ตามรอยบาทองค์พระศาสดา ให้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่บุคคลอื่น หรือการนำธรรมไปขัดเกลากิเลสอุปนิสัยเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้อื่น ให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา มาประพฤติปฏิบัติธรรมต่อไป

    ๑๐. บุญสำเร็จได้ด้วยการทำความเห็นให้ตรง (ทิฏฐชุกัมม์) คือ ความเข้าใจในเรื่อง บาป บุญ คุณ โทษ สิ่งที่เป็นแก่นสารสาระหรือที่ไม่ใช่แก่นสารสาระ ทางเจริญทางเสื่อม สิ่งอันควรประพฤติสิ่งอันควรละเว้น ตลอดจนการกระทำความคิดความเห็นให้เป็นสัมมาทิฏฐิอยู่เสมอ

    บุญกิริยาวัตถุทั้ง ๑๐ ประการนี้ ผู้ใดได้ปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่งหรือยิ่งมากจนครบ ๑๐ ประการแล้ว ผลบุญย่อมเกิดแก่ผู้ได้กระทำมากตามบุญที่ได้กระทำ ยิ่งได้มีการเตรียมกาย วาจา ใจ ให้สะอาดบริสุทธิ์ ตั้งใจจรดเข้าสู่ศูนย์กลางกาย หยุดในหยุด เข้าไปแล้วก็ยิ่งได้รับบุญมหาศาลตามความละเอียดประณีตที่เข้าถึงยิ่งๆ ขึ้นไป

    ที่มา -http://www.dhammakaya.org/dhamma/boon01.php-
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    การทำบุญให้ได้ผลมาก

    -http://www.dhammajak.net/ruendham/book/p6-06.php-


    ในการทำบุญ เราจะได้ยินบ่อย ๆ ว่าไม่มีเงินจะทำบุญ แต่พระพุทธเจ้าสอนว่า “ เมื่อจิตเลื่อมใสแล้ว การทำบุญชื่อว่าน้อยไม่มี “ ท่านเปรียบว่า คนจนทำบุญ 1 บาท มีผลบุญเท่ากับทำบุญ 1000 บาท ดังนั้น จำนวนเงินจึงไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ แต่การทำบุญเราทำให้ได้ผลมากได้ ท่านเรียกว่า ทำด้วยมหากุศลจิต ประกอบด้วยเหตุดังนี้ คือ

    1. มีเจตนาในกาลทั้ง 3 ดี ไม่ปล่อยให้อกุศลแทรกเข้ามาเจตนาทั้ง 3 กาล คือ ก่อนทำ กำลังทำ และหลังทำ เช่น

    สวดมนต์ เริ่มตั้งต้นสวด ใจไม่ไปอยู่ที่อื่น จดจ่ออยู่ที่ธูปเทียน การกราบ การกล่าวบูชา ไปจนเสร็จกระบวนการ

    จะตักบาตร ก่อนทำก็คือช่วงเริ่มปรุงอาหาร อย่าปรุงอาหารไป หงุดหงิดไป ร้อนใจไป ให้ปรุงอาหารอย่างสงบ ไม่คิดฟุ้งซ่าน รู้ว่ากำลังทำอาหารเพื่อไปตักบาตรทำบุญ เสร็จแล้วจบอธิษฐานเรียบร้อย ไปยืนรอพระ ถ้าคิดว่าอธิษฐานไม่ยาวนัก จะจบตอนพระมาก็ได้ แต่ถ้าให้พระคอยนาน จบไม่เสร็จเสียที จะไม่งาม

    กำลังทำคือ กำลังใส่บาตร ก็สงบจิตใจ หูตาไม่ต้องไปแคะว่า คนอื่นเขาใส่อะไรมาแล้วในบาตรมั่ง ให้วุ่นไป สงบเข้าไว้โยม

    หลังทำ คือ ตักบาตรเสร็จก็ให้นึกถึงบุญว่าได้ทำบุญมา แต่จิตคนเรามักคอยไปคิดเรื่องอื่น ๆ ต่อทันที ทำให้กิจหลังทำนี่ไม่ค่อยได้ทำ เราจึงดึงไว้โดยการกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้ผู้อื่นจะได้มี “ เจตนาหลังทำ “ ทำให้จิตมีเจตนาครบ 3 กาลได้สำเร็จ

    นอกจากนี้ ท่านสอนว่า “ เจตนาหลังทำ “ ยังมีอีกแบบหนึ่ง คือ หลังจากทำไปแล้วนาน ๆ เช่น อาทิตย์หนึ่ง เดือนหนึ่ง เป็นต้น เอามาระลึกขึ้นอีกก็เป็นบุญอีก คือ ทำให้จิตใจผ่องใส บริสุทธิ์ มีความอิ่มในบุญเหมือนได้ทำบุญนั้นอีกครั้ง จึงมีอุบายบางอย่างสำหรับในเรื่องนี้ เช่น อาจจะมีภาพถ่ายงานบุญเก็บไว้ ต่อ ๆ มาก็เอามาเปิดดู อิ่มใจ เหมือนได้ไปทำบุญอย่างในภาพนั้นอีก ทำให้ใจเราได้ใกล้ชิดอยู่กับบุญ ทำให้เป็นสุข

    2. มีปัญญา ข้อนี้คือ มีปัญญารู้ว่ากรรมนี้มีผล ที่เรากระทำการตักบาตรนี้เป็นสิ่งดีและมีผล รู้ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ถ้าไม่มีปัญญา ก็คือ เขาบอกให้ตักบาตรก็ตักไปตามประเพณี ไม่รู้ว่าเพื่ออะไร เรียกว่าไม่มีปัญญา

    3. ไม่ต้องมีคนมาชวน การทำบุญใด ๆ ถ้าลุกขึ้นมาทำเองโดยไม่ต้องมีใครชวน หรือมีคนชวนก็ได้ แต่ไม่ใช่ชวนยาก ท่านว่าบุญแรง แม้แต่การชวนตัวเองคือ นึกอยากทำบุญปั๊บก็ทำเลย บุญแรง แต่ถ้าเรียกตัวเอง เฮ้ย ตื่น ๆ อีกครึ่งชั่วโมง เรียกใหม่ เฮ้ย ตื่น ๆ จนพระกลับวัดหมดแล้ว วิ่งตามชายผ้าเหลืองไปใส่บาตรในวัด อันนี้ปริมาณบุญก็คงลดตาม เหมือนน้ำลดยามเดือนแรม แต่ก็เอาเถอะ ดีกว่าไม่เคยใส่บาตรเลยตั้งเยอะ

    เมื่อครบ 3 อย่าง คือ เจตนาดีทั้ง 3 กาล มีปํญญา ไม่ต้องมีใครชวนแล้ว ก็จะมีผลมาก ท่านเรียกว่า อานิสงส์คือ ผลที่น่าสรรเสริญ การให้ที่มีอานิสงส์มาก คือ การให้ที่คิดว่าทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิตให้ดี เป็นเครื่องขัดเกลากิเลส
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    บุญกุศลแบบไหนได้อานิสงส์สูงสุด

    -http://thammawairun.blogspot.com/p/blog-page_28.html-


    มีหลายท่านถามกระผมกันมากทีเดียว เกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ว่าทำบุญ หรือทำทาน แบบไหนได้บุญเยอะที่สุด หรือ ทำแบบไหนได้ผลบุญมากที่สุด จริงๆแล้ว เราควรทำบุญ ทำทานทุกครั้งที่มีโอกาสนะครับ ไม่ควรเลือกว่าทำอะไร ทำกับใคร ทำกับพระ-เณร รูปไหน องค์ไหน เพราะจิตจะเกิดกิเลส( ความอยาก ) กลายเป็นความโลภไป ทำให้ได้อานิสงส์ ผลบุญไม่เต็มที่นะครับ

    กระผมจะอธิบายในเรื่องของอานิสงส์ในการทำบุญ

    ทำทานแบบไหนที่ได้ผลบุญ น้อยที่สุดไปจนถึงสูงที่สุดนะครับ

    โดยแบ่งเป็น 3 รูปแบบดังนี้

    " ทาน ศีล ภาวนา "

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ว่า แม้วัตถุทานจะบริสุทธิ์ดี เจตนาในการทำทานจะบริสุทธิ์ดี จะทำให้ทานนั้นมีผลมากหรือน้อย ย่อมขึ้นอยู่กับเนื้อนาบุญเป็นลำดับต่อไปนี้นะครับ

    ทาน

    ๑ . ทำทานแก่สัตว์เดรัจฉาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่มนุษย์ แม้จะเป็นมนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมเลยก็ตาม ทั้งนี้เพราะสัตว์ย่อมมีวาสนาบารมีน้อยกว่ามนุษย์และสัตว์ไม่ใช่เนื้อนาบุญที่ดี

    ๒ . ให้ทานแก่มนุษย์ที่ไม่มีศีล ไม่มีธรรมวินัย แม้จะให้มากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้ที่มีศีล ๕ แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๓ . ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๕ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าให้ทานดังกล่าวแก่ผู้มีศีล ๘ แม้จะให้เพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๔ . ให้ทานแก่ผู้ที่มีศีล ๘ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานแก่ผู้มีศีล ๑๐ คือสามเณรในพุทธศาสนา แม้จะได้ถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๕ . ถวายทานแก่สามเณรซึ่งมีศีล ๑๐ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าถวายทานดังกล่าวแก่พระสมมุติสงฆ์ ซึ่งมีศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อ

    ๖ . ถวายทานแก่พระสมมุติสงฆ์ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานแก่ - พระโสดาบัน แม้จะได้ถวายทานดังกล่าวแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม ( ความจริงยังมีการแยกเป็นพระโสดาปัตติมรรคและพระโสดาปัตติผล ฯลฯ เป็นลำดับไปจนถึงพระอรหัตผล แต่ในที่นี้จะกล่าวแต่เพียงย่นย่อพอให้ได้ความเท่านั้น )

    ๗ . ถวายทานแก่พระโสดาบัน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระสกิทาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๘ . ถวายทานแก่พระสกิทาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอนาคามี แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๙ . ถวายทานแก่พระอนาคามี แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระอรหันต์ แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๑๐ . ถวายทานแก่พระอรหันต์ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๑๑ . ถวายทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายทานดังกล่าวแด่พระองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะถวายทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๑๒ . ถวายทานแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถวายสังฆทานที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะถวายสังฆทานดังกล่าวเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๑๓ . การถวายสังฆทานที่มีองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นประธาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่า " การถวายวิหารทาน " แม้จะได้กระทำแต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม " วิหารทาน ได้แก่การสร้างหรือร่วมสร้างโบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ ศาลาโรงธรรม ศาลาท่าน้ำ ศาลาที่พักอาศัยคนเดินทางอันเป็นสาธารณะประโยชน์ที่ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ร่วมกัน


    ๑๔ . การถวายวิหารทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ( ๑๐๐ หลัง ) ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ " ธรรมทาน " แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม " การให้ธรรมทานก็คือการเทศน์ การสอนธรรมะแก่ผู้อื่นที่ยังไม่รู้ให้รู้ได้ ที่รู้อยู่แล้วให้รู้ยิ่งๆขึ้น ให้ได้เข้าใจมรรค ผล นิพพาน ให้ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฐิได้กลับใจเป็นสัมมาทิฐิ ชักจูงผู้คนให้เข้าปฏิบัติธรรม รวมตลอดถึงการพิมพ์การแจกหนังสือธรรมะ "

    ๑๕ . การให้ธรรมทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการให้ " อภัยทาน " แม้จะให้แต่เพียงครั้งเดียวก็ตาม การให้อภัยทานก็คือ " การไม่ผูกโกรธ ไม่อาฆาตจองเวร ไม่พยาบาทคิดร้ายผู้อื่นแม้แต่ศัตรู " ซึ่งได้บุญกุศลแรงและสูงมากในฝ่ายทาน เพราะเป็นการบำเพ็ญเพียรเพื่อ " ละโทสะกิเลส " และเป็นการเจริญ " เมตตาพรหมวิหารธรรม "



    ศีล


    การรักษาศีลเป็นการเพียรพยายามเพื่อระงับโทษทางกายและวาจา อันเป็นเพียงกิเลสหยาบมิให้กำเริบขึ้น และเป็นการบำเพ็ญบุญบารมีที่สูงขึ้นกว่าการให้ทาน

    ทั้งในการถือศีลด้วยกันเองก็ยังได้บุญมากและน้อยต่างกันไปตามลำดับต่อไปนี้ คือ

    ๑ . การให้อภัยทาน แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถือศีล ๕ แม้จะถือเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๒ . การถือศีล ๕ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถือศีล ๘ แม้จะถือเพียงครั้งเดียวก็ตาม

    ๓ . การถือศีล ๘ แม้จะมากถึง ๑๐๐ ครั้ง ก็ยังได้บุญน้อยกว่าการถือศีล ๑๐ คือการบวชเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา แม้จะบวชมาได้เพียงวันเดียวก็ตาม

    ๔ . การที่ได้บวชเป็นสามเณรในพระพุทธศาสนา แล้ว รักษาศีล ๑๐ ไม่ให้ขาด ไม่ด่างพร้อย แม้จะนานถึง ๑๐๐ ปี ก็ยังได้บุญน้อยกว่าผู้ที่ได้อุปสมบทเป็นพระในพระพุทธศาสนาที่มี ศีลปาฏิโมกข์สังวร ๒๒๗ ข้อ แม้จะบวชมาได้เพียงวันเดียวก็ตาม

    ฉะนั้นในฝ่ายศีลแล้ว การที่ได้อุปสมบทเป็นพระในพระพุทธศาสนาได้บุญบารมีมากที่สุด เพราะเป็นเนกขัมบารมีในบารมี ๑๐ ทัศ ซึ่งเป็นการออกจากกามเพื่อนำไปสู่การปฏิบัติธรรมขั้นสูง ๆ คือการภาวนาเพื่อมรรค ผล นิพพาน ต่อ ๆ ไป ผลของการรักษาศีลนั้นมีมาก ซึ่งจะยังประโยชน์สุขให้แก่ผู้นั้นทั้งในชาตินี้และชาติหน้า เมื่อได้ละอัตภาพนี้ไปแล้วย่อมส่งผลให้ได้บังเกิดในเทวโลก ๖ ชั้น ซึ่งล้วนแต่ความละเอียดประณีตของศีลที่รักษาและที่บำเพ็ญมา ครั้นเมื่อสิ้นบุญในเทวโลกแล้ว ด้วยเศษของบุญที่ยังคงหลงเหลืออยู่แต่เพียงเล็กๆน้อยๆหากไม่มีอกุลกรรมอื่นมาให้ผล ก็อาจจะน้อมนำให้ได้มาบังเกิดเป็นมนุษย์ที่ถึงพร้อมด้วยสมบัติ ๔ ประการ



    ภาวนา


    อานิสงส์ของศีล ๕ มีดังกล่าวข้างต้น สำหรับศีล ๘ ศีล ๑๐ และศีล ๒๒๗ ก็ย่อมมีอานิสงส์เพิ่มพูนมากยิ่ง ๆ ขึ้นตามระดับและประเภทของศีลที่รักษา แต่ศีลนั้นแม้นจะมีอานิสงส์เพียงไรก็ยังเป็นแต่เพียงการบำเพ็ญบุญบารมีในชั้นกลาง ๆ ในพระพุทธศาสนาเท่านั้น เพราะเป็นแต่เพียงระเบียบหรือกติกาที่จะรักษากายและวาจาให้สงบ ไม่ให้ก่อให้เกิดทุกข์โทษขึ้นทางกายและวาจาเท่านั้น ส่วนทางจิตใจนั้นศีลยังไม่สามารถที่จะควบคุมหรือทำให้สะอาดบริสุทธิ์ได้

    ฉะนั้น การรักษาศีลจึงยังได้บุญน้อยกว่า การภาวนา เพราะการภาวนานั้น เป็นการรักษาใจ รักษาจิต และซักฟอกจิตให้เบาบางหรือจนหมดกิเลสคือ ความโลภ ความโกรธ และความหลง อันเป็นเครื่องร้อยรัดให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสงสารวัฏ การภาวนา จึง เป็นการบำเพ็ญบุญบารมีที่สูงสุด ประเสริฐที่สุด ได้บุญมากที่สุดเป็นกรรมดีอันยิ่งใหญ่เรียกว่า " มหัคคตกรรม " อันเป็นมหัคคตกุศล

    การเจริญภาวนานั้น เป็นการสร้างบุญบารมีที่สูงที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนาจัดว่าเป็นแก่นแท้และสูงกว่าฝ่ายศีลมากนัก การเจริญภาวนานั้น
    มี ๒ อย่างคือ " สมถภาวนา ( การทำสมาธิ )" และ " วิปัสสนาภาวนา ( การเจริญปัญญา )

    อย่างไรก็ดีการเจริญสมถภาวนา หรือสมาธินั้น แม้จะได้บุญอานิสงส์มากมายมหาศาลอย่างไร ก็ยังไม่ใช่บุญกุศลที่สูงสุดยอดในพระพุทธศาสนา หากจะเปรียบกับต้นไม้ก็เป็นเพียงเนื้อไม้เท่านั้น
    การเจริญวิปัสสนา ( การเจริญปัญญา ) จึงจะ เป็นการสร้างบุญกุศลที่สูงสุดยอดในพระพุทธศาสนา หากจะเปรียบก็เป็นแก่นไม้โดยแท้...

    ทั้งนี้ เราก็ไม่ควรที่จะเลือกทำแต่บุญที่ได้อานิสงส์สูงๆเพียงอย่างเดียวนะครับ ควรทำทุกๆครั้งเมื่อมีโอกาส ไม่ว่าจะเป็น ทาน ศีล ภาวนา เป็นการสะสมบุญ กุศล หลายๆด้าน

    เพราะถ้าสมมุติว่าทำแต่ภาวนา กับ รักษาศีลอย่างเดียว แต่ไม่เคยให้ทานเลย เพราะเห็นว่า ได้ผลบุญน้อยกว่า เมื่อเกิดชาติหน้า อาจจะยากจนไม่มีอะไรกิน(อดตาย)ก็ได้นะครับ เพราะไม่เคยทำทานเลย อิอิ (*_*)

    ..................................


    By. kunawut
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สารพันปัญหาว่าด้วยเรื่องทาน
    โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน

    -http://www.jetovimut.com/forum/index.php?topic=954.0-

    ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ ถวายสังฆทานให้พระองค์เดียวได้ไหมคะ ?"

    หลวงพ่อ : "ได้ แต่พระไปฉันองค์เดียว พระองค์นั้นลงนรก นี้เรื่องจริงนะ อย่างฉันรับนี่ ฉันรับองค์เดียว แต่ว่าองค์เดียวนี่ ถือว่าเป็นผู้แทนคณะสงฆ์นะ อย่าไปกินไปใช้แต่ผู้เดียว นี่ไม่ได้ ของเขาย่อมมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบพระองค์เดียว หรือพระ ๓ องค์ ถือว่าเป็นผู้แทนสงฆ์ พระ ๓ องค์ ก็แบ่งไปใช้แค่ ๓ องค์ไม่ได้ จะต้องไปรวมทั้งคณะ คำว่า สังฆทาน สังฆะ เขาแปลว่า หมู่ "

    ผู้ถาม : "ลูกเป็นคนยากจน มีเงินน้อย อยากจะได้อานิสงส์มากๆ จะทำบุญอย่างไรดีคะ?"

    หลวงพ่อ : "คืออานิสงส์จริงๆ ต้องทำบุญให้มากที่สุด เท่าที่จะพึงทำได้ สมมติว่าเรามีเงินอยู่ ๑๐ บาท จะไปมาที่นี่ เสียค่ารถ ๖ บาท กินก๋วยเตี๋ยว ได้ครึ่งชามแล้ว หมดไป ๙ บาท เหลือ ๑ บาท เขียนที่หน้าซองเลยว่าเงินนี้ถวายสังฆทาน วิหารทานและธรรมทาน คนนี้อานิสงส์มากเหลือเกิน จำนวนเงินเขาไม่จำกัด เขาจำกัดกำลังใจ ถ้ากำลังใจมุ่งด้านดีนะ การทำบุญมากๆ คำว่า "ทำมาก" หมายความว่า ทำบ่อยๆ แต่คำว่า "บ่อย" ไม่ต้องทุกวันก็ได้นะ คำว่า "มาก" หมายความว่า ทำเต็มกำลังที่พึงทำ ไม่ใช่ขนเงินมามากเวลาทำบุญ ต้องดูก่อนว่า ค่าใช้จ่าย เรามีความจำเป็นเพียงไร เงินที่มีความจำเป็น อย่านำมาทำบุญ มันจะเดือดร้อนภายหลัง และให้เหลือส่วนนั้นไว้บ้าง แล้วแบ่งทำบุญพอสมควรและประการที่ ๒ การทำบุญ ถ้าใช้วัตถุมาก แต่กำลังใจน้อย ก็มีอานิสงส์น้อยถ้าหากใช้วัตถุน้อย กำลังใจมีมาก ก็มีอานิสงส์มาก อย่างถวายสังฆทาน ที่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทนำมานี่ ลงทุนไม่มาก แต่อานิสงส์มหาศาล ความจริง ถ้าจะพูดถึงอานิสงส์กันจริงๆล่ะก็รู้สึกว่าจะมากกว่าจัดงานที่บ้าน หรือที่วัดตั้ง เยอะแยะทั้งนี้เพราะว่าอะไร เพราะว่าถวายสังฆทาน เราทำกันแบบเงียบๆ ไม่มีกังวล

    การบำเพ็ญกุศลแต่ละคราว ถ้ามีกังวลมาก อานิสงส์มันก็น้อย เพราะว่าจิตที่เราเข้าสู่กุศลมันห่วงงานอื่นมากกว่าไม่ตั้งจิตโดยเฉพาะ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การถวายสังฆทานในหมู่สงฆ์ ตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป ตามพระวินัย ท่านเรียกกันว่า คณะสงฆ์ ถ้าต่ำกว่านั้น เป็น คณะบุคคล ถ้าบุคคลเดียว เป็น ปาฏิปุคคลิกทาน โดยเฉพาะ ทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระสงฆ์เป็นหมู่นี้มีอานิสงส์มาก เรื่องนี้ก็มีตัวอย่าง คนที่มีทรัพย์น้อย ทรัพย์มาก อย่างท่านอินทกะเทพบุตรกับ ท่านอังกุระ - เทพบุตร ไงล่ะ ท่านอังกุระเทพบุตร ทำบุญนอกเขตพระพุทธศาสนา เวลานั้นพระพุทธศาสนาไม่มี ตั้งโรงทาน ๘๐ โรง ให้ทานถึง ๒ หมื่นปี เลี้ยงคนกำพร้า คนตกยาก คนเดินทาง พอตายจากความเป็นคน ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นเทวดาที่มีบุญน้อยที่สุดเพราะเขตของบุญเล็กไป คนไร้ศีลไร้ธรรม ใช่ไหม ตรงกันข้ามท่านอินทกะเทพบุตร เกิดเป็นคนจน พ่อตาย ตัดฟืนเลี้ยงแม่ ก็ไม่ได้ตัดขายมากมาย เอาแค่วันๆ พอกินพอใช้ไปวันๆวันหนึ่ง พระสงฆ์เดินผ่านไปที่นั้น ท่านมีโอกาสได้ถวายทาน ในฐานะที่ไม่ได้เตรียมตัวไว้ก่อนคนจนจะมีอะไรมากนักใช่ไหมล่ะ เพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิตเท่านั้นอาศัยคุณ คือความกตัญญูรู้คุณอย่างหนึ่งแล้ว ก็ถวายสังฆทานหนึ่ง สองอย่างด้วยกัน ตายแล้ว ไปเป็นเทวดาที่มีบุญมากที่สุดในดาวดึงส์ นอกจากพระอินทร์แล้ว ไม่มีใครโตกว่า"


    ผู้ถาม : "การที่เราทำบุญใส่บาตรตามหน้าบ้านกับพระที่เรารู้จักตามวัดกับการไปทำที่วัด อันไหนจะมีอานิสงส์มากกว่ากันเจ้าคะ ?"

    หลวงพ่อ : "คือว่าการใส่บาตรตามหน้าบ้าน ไม่เฉพาะเจาะจง พระอะไรมาก็ใส่อย่างนี้ก็เป็นสังฆทาน ทีนี้ไปใส่บาตรตามพระที่ชอบใช่ไหม ?"

    ผู้ถาม : "ไม่ใช่ชอบค่ะ คือว่าศรัทธาค่ะ"

    หลวงพ่อ : "ชอบกับศรัทธาก็ครือกันล่ะ ถ้าศรัทธาฉันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไป เป็นสังฆทาน มีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ถ้าหากท่านฉันตั้งแต่ ๑ รูป ถึง ๓ รูป อย่างนี้เป็นปาฏิปุคคลิกทาน"

    ผู้ถาม : "มีอานิสงส์มากไหมคะ ?"

    หลวงพ่อ : "มีโยม ถ้าเป็นปาฏิปุคคลิกทาน ถ้าจัดกันตามลำดับแย่นะ ไล่เบี้ยตั้งแต่ให้ทานกับคน ไม่มีศีล จนถึงพระอรหันต์ มีอานิสงส์ไม่เท่ากัน แต่จะพูดสรุปโดยย่อว่าถวายทานกับพระอรหันต์ ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายทานกับพระพุทธเจ้า ๑ ครั้งถวายทานกับพระพุทธเจ้า ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน ๑ ครั้งและถ้าถวายสังฆทาน ๑๐๐ ครั้ง มีผลไม่เท่าถวายวิหารทาน ๑ ครั้ง คือสร้างวิหาร มีการก่อสร้าง เช่นสร้างส้วม ศาลาการเปรียญ กุฏิ โบสถ์ วิหาร เป็นต้นการถวายสังฆทาน ๑ ครั้งในชีวิต และถวายด้วยจิตที่บริสุทธิ์ มีศรัทธาแท้ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผลของสังฆทานนี้ จะดลบันดาลให้แก่บุคคลผู้ถวาย เกิดไปทุกชาติ ขึ้นชื่อว่าความยากจนเข็ญใจไม่มีในแดนใดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากขัดสน

    คนที่ถวายสังฆทานแล้วจะไม่เกิดในที่นั้น ผลที่ให้ไปไกลมาก ท่านกล่าวว่าแม้แต่พระพุทธญาณเอง ก็ยังไม่เห็นผลที่สุดของการถวายสังฆทานคำว่า"ไม่เห็นที่สุดของการถวายสังฆทาน" หมายความว่า แม้แต่บุคคลผู้เป็นเจ้าของสังฆทานบำเพ็ญบารมีแล้ว แล้วเกิดไปอีกกี่แสนชาติก็ตาม จนกระทั่งเข้าพระนิพพาน อานิสงส์นั้นก็ยังไม่หมดนี่เป็นอำนาจของการถวายสังฆทาน

    ฉะนั้น การถวายทานเป็นส่วนบุคคล กับถวายเป็นสังฆทาน อานิสงส์มันต่างกันลายแสนเท่าแล้วก็ยังมีอีกเวลาหนึ่ง ถ้าพระออกจากสมาบัติ นี่คูณหนักเข้าไปอีกไม่รู้เท่าไรทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระ มีผลไม่เสมอกันอยู่อย่างหนึ่ง คือหมายความว่า ถวายทานแก่พระที่มีจิตกำลังฟุ้งซ่านไปด้วยอำนาจของนิวรณ์ ๕ ประการอย่างนี้เราถวายกี่หมื่น กี่แสน อานิสงส์มันก็ไม่มาก ถ้าหากว่า ถวายแก่ท่านผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าหากเข้าถึงจิตบริสุทธิ์ เรื่องบริสุทธิ์แค่ไหนก็ช่าง อย่างน้อยที่สุดก็มีขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ บางท่านก็เข้าถึงฌานสมาบัติ บางท่านที่เป็นพระอริยเจ้าก็เข้าถึงผลสมาบัติ ถ้าถวายทานกับท่านที่ออกจากนิโรธสมาบัติ หมายความว่า ให้คนเดียวนะ ก็ให้ผลปัจจุบันทันด่วน ให้ผลวันนั้นเลย"


    ผู้ถาม : "แล้วอย่างการใส่บาตร โดยเราลงมือใส่เอง กับให้ลูกจ้าง คือเด็กของเราใส่แทนอย่างไหนจะได้บุญมากกว่ากันคะ ?"

    หลวงพ่อ : "เราไปไม่ได้ แต่ให้คนอื่นไป ได้บุญเท่ากัน แต่เราใส่เอง เราเกิดความปลื้มใจอันนี้ได้กำไรอีกนิด แต่ผลของทานมันเสมอกัน"

    ผู้ถาม : "เวลาเราใส่บาตรไปแล้ว ถ้าหากว่าพระไม่ได้ฉันอาหารของเรา เราจะได้บุญไหมคะ ?"

    หลวงพ่อ : "บุญมันเริ่มได้ ตั้งแต่คิดว่าจะให้แล้วนะ พระจะฉันหรือไม่ฉัน ไม่ใช่ของแปลก คือการให้ทาน ตัวให้นี่มันตัดความโลภ และตัวให้นี่กันความจน ในชาติหน้า อันดับรองลงมา "ทานัง สัคคโส ทานัง" ทานเป็นบันไดให้เกิดในสวรรค์ ทีนี้ พอเราเริ่มให้ปั๊บ มันเริ่มได้ตั้งแต่เราตั้งใจ การตั้งใจนะ มันตัดสินใจเด็ดขาดแล้วนะ เช่นคิดว่าพรุ่งนี้จะใส่บาตร ข้าวขันนี้ เราไม่กินแน่นอน คิดว่าเราจะไม่กินเองตั้งแต่วันนี้คิดว่า จะใส่บาตร นี่บุญมันเกิดตั้งแต่เวลานี้ แต่พอถึงพรุ่งนี้ ต้องใส่จริงๆนะอย่านึกโกหกพระ ไม่ได้นะ ไม่ใช่แกล้งนึกทุกวันๆ คิดว่านึกได้บุญ เลยไม่ได้ใส่บาตรสักทีนี่ดีไม่ดี ฉันพูดไปพูดมา เสียท่าเขานะแต่คิดว่าจะทำจริงๆนะ คือพรุ่งนี้จะใส่บาตรแน่ๆ แต่ว่าวันนี้เกิดตายก่อน นี่ได้รับ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก็อย่างที่พระพุทธเจ้าบอกนั่นแหละ"เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ" ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวว่าตัวตั้งใจเป็นตัวบุญพระพุทธเจ้าบอกว่ามันมีผลตั้งแต่การตั้งใจเริ่มสละออก พอคิดว่าเริ่มจะทำอารมณ์มันตัด ตั้งแต่ตรงนั้นแล้ว ถือว่าไม่ได้เป็นของเราแล้ว มันได้ตั้งแต่ตอนนั้น"

    ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ การใส่บาตร วิระทะโย มีอานิสงส์อย่างไรคะ ?"

    หลวงพ่อ : "อานิสงส์เท่ากับ ถวายสังฆทานธรรมดา ไม่ต่างกัน อานิสงส์เหมือนกันหมด แต่ว่าใช้วิระทะโย ( คาถาภาวนากันจน ) มันมีผลปัจจุบัน ชาตินี้ทำให้เงินไม่ขาดตัว ถ้าใส่ บาตรทุกวัน สวดมนต์ทุกวัน ถ้าจะหมด ก็มีมาต่อจนได้ ถ้าแบ่งเวลาทำสมาธิล่ะก็ ขลังมากรวยมากหน่อย"

    ผู้ถาม : "เห็นพระบางองค์ดูลักษณะไม่สำรวม ท่านวนเวียนคอยรับบาตร บ้านคนโน้นคนนี้แล้วก็ถ่ายใส่ถัง ถ้าเราไม่ใส่บาตรพระแบบนี้ เราจะบาปไหมคะ ?"

    หลวงพ่อ : "บาป เขาแปลว่า ชั่ว บุญ เขาแปลว่า ดี ถ้าเราไม่ใส่ก็ไม่ชั่วตรงไหนนี่เพราะ ว่ามันเป็นทรัพย์สินของเรา ถ้าเราให้เขา เขาแสดงอาการไม่เป็นที่ เลื่อมใสเราไม่ให้ก็ไม่เห็นจะแปลก เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า การให้ทานก็จะต้องเลือกให้เหมือนกัน เพราะผู้รับถือว่าเป็น "เนื้อนาบุญ" ถ้าหว่านพืชลงในนาลุ่ม น้ำก็ท่วมตาย ถ้าดอนเกินไป น้ำไม่ถึงก็ตาย ต้องหว่านในเนื้อนาที่เหมาะ ถ้าเราเห็นนามันไม่ควร เราก็ไม่ให้ ทำไม่เหมาะไม่สม ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ถ้าให้ก็เป็นการเลี้ยงโจร แต่ว่าถ้าพูดถึงทานการให้ เจตนาเราจะตั้งอย่างไรก็ตาม ตัวนี้มันเป็นผลตัดโลภะอยู่ตลอดเวลาส่วนใหญ่จริงๆ ที่มีอานิสงส์สูงสุด คือ ตัดโลภะความโลภ เพราะคนที่มีความโลภนี้ให้ทานไม่ได้ เงินที่จะให้ทานได้นี่ มันตัดความสุขของเจ้าของหากว่าเจ้าของเขาไม่ให้ เขากินเขาใช้ก็มีความสุข เขาอุตส่าห์ตัดความสุขของเขาส่วนนี้ออกไป เป็นการตัดโลภะความโลภ เป็นก้าวหนึ่งที่จะถึงพระนิพพาน อันนี้เขาไม่ต่ำมันเป็น "จาคานุสติกรรมฐาน" จาคานุสติกรรมฐานนี้ไม่ต้องไปภาวนา จิตคิดว่าจะให้ทานทุกวันๆนี่นะจิตคิดว่าถึงเวลานั้นเราจะใส่บาตร มากหรือน้อยก็ตาม อันนี้เป็น "จาคานุสติกรรมฐาน" และการใส่บาตรหน้าบ้าน เขาถือว่าเป็นสังฆทานมันก็มีผลสำหรับพระผู้รับ ถ้าผู้รับไม่ดี ก็ลงอเวจีไปเอง

    ผู้ถาม : "กระผมอยากจะทำบุญใส่บาตรเหมือนกันครับ แต่คิดว่าของที่จะใส่ บาตรทำบุญมันไม่ดี ก็เลยอาย ไม่อยากใส่ กะไว้ว่าถ้ามีอาหารดีเมื่อไหร่ ก็จะใส่บาตร ผมคิดอย่างนี้ถูกไหมครับ ?"

    หลวงพ่อ : "การทำบุญ ทำไมจะต้องอาย เคยมีนักเทศน์เขาถามกันว่า "มียายกับตา ๒ คน เขาหุงข้าวแฉะแล้วแฉะอีก ไอ้แกงก็เปรี้ยวแล้วเปรี้ยวอีก แกกินไม่ลง ของมันกินไม่ได้ เวลาพระมาบิณฑบาตแกก็บอกว่า ใส่บาตรดีกว่า" พระนักเทศน์ เขาก็ถามกันว่า "อย่างนี้จะได้อานิสงส์ไหม ?" ก็ต้องตอบว่า "ได้อานิสงส์ แต่ผลที่เขาจะได้รับ ก็เป็น "ทาสทาน"

    ผู้ถาม : ทาสทาน เป็นยังไงครับ ?

    หลวงพ่อ : "คำว่า "ทาสทาน" หมายความว่า ให้ของเลวกว่าที่เรากิน เราใช้...เวลาที่เราได้ของใช้สอยมันก็ต้องเลวกว่าที่เขากินเขาใช้กัน ได้ก็ได้ของเลวถ้าให้ของเสมอที่เรากินอยู่ หรือที่เราใช้อยู่ เขาเรียกว่า สหายทาน ผลที่เราจะได้รับ ก็เสมอกับที่เรากินเราใช้ถ้าให้ของที่ดีกว่าที่เรากินเราใช้ เขาเรียกว่า สามีทาน สามีทาน เขาไม่ได้แปลว่า ผัวทานนะ สามีเขา แปลว่า นาย เวลาที่จะได้รับผล เราก็จะได้ของเลิศ ถ้าจะถามว่า ทาสทานมีอานิสงส์ไหม ก็ต้องดูตัวอย่าง ท่านอาฬวีเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ พระราชาตั้งเป็นมหาเศรษฐี แต่ว่าผ้าที่แกนุ่งนี้ ผ้าใหม่แกนุ่งไม่ได้ นุ่งผ้าช้ำแล้วใกล้จะขาด แกจึงนุ่งได้ ข้าวที่จะกิน เม็ดสวยๆก็กินไม่ได้ ต้องเป็นข้าวหัก หรือเป็นปลายข้าวแกจึงจะกินได้ ของทุกอย่างที่แกใช้ ต้องเป็นของเลว แต่อย่าลืมว่า เขาก็เป็นมหาเศรษฐีได้นะ

    อนึ่ง การตั้งใจว่าจะใส่บาตรด้วยของดีๆ น่ะดี แต่ว่าวันไหนมีอาหารที่เราคิดว่าไม่ดีก็ใส่บาตรได้การให้ทาน พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าให้เบียดเบียนตัวเองถ้าเบียดเบียนตัวเอง เป็น "อัตตกิลมถานุโยค" เป็นการทรมานตัว และการให้ทาน พระพุทธเจ้าให้ดูอีกว่า ควรให้หรือไม่ควรให้ถ้าให้ในเขตของคนเลว อานิสงส์ก็น้อย อาจจะไม่มีเลยรู้ว่าคนนี้ควรจะให้ เราก็ให้ ถ้าไม่ควรให้ เราก็ไม่ให้ ให้แล้ว ไปกินเหล้าเมายา ไปสร้างอันตรายกับคนอื่น เราไม่ให้ดีกว่าเป็นการต่อเท้าโจร ให้พลังแก่โจรเวลาจะให้ ท่านวางกฎไว้ดังนี้


    ๑.ผู้ให้บริสุทธิ์ บริสุทธิ์หรือไม่ เขาจึงให้สมาทานศีลก่อน ถ้าสักแต่ว่าสมาทาน นี่ซวยเวลานั้นต้องตั้งใจรักษาศีลจริงๆ จิตตอนนั้นมันจึงจะบริสุทธิ์ คืออยู่ในช่วงว่างจากกิเลสถ้าตั้งใจสมาทานศีลด้วยดี จิตตอนนั้นบริสุทธิ์

    ๒.ผู้รับบริสุทธิ์ หมายความว่า ถ้าผู้รับเป็นพระ ก็พยายามให้เป็นพระจริงๆนะ

    ๓.วัตถุทานบริสุทธิ์ ถ้าไม่ได้ฆ่าสัตว์เอามาทำบุญ ไม่ได้ขโมยสตางค์เขามาทำบุญเป็นของ ๓ อย่าง ถ้าลดไปอย่างใดอย่างหนึ่ง อานิสงส์ก็ลดตัวลงมาถ้าลดเสียหมดเลย ก็ไม่มีอานิสงส์ แต่ว่าการให้ทานพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อีกประการหนึ่งต้องให้ครบ ๓ กาล จึงจะมี

    อานิสงส์สูง คือ
    ๑. ก่อนจะให้ก็ตั้งใจว่าจะให้
    ๒. ขณะที่ให้ก็ดีใจ
    ๓. เมื่อให้แล้วก็เกิดความเลื่อมใส


    มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยหนึ่ง เมื่อท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีจนลง ขนาดข้าวเป็นแทบไม่มีกินต้องกินปลายข้าว แต่ศรัทธาท่านยังไม่ถอย ท่านนิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยพระสงฆ์ ไปฉันภัตตาหารที่บ้าน ท่านก็เอาปลายข้าวละเอียด เรียกว่าข้าวปลายเกวียนต้ม แล้วก็เอาน้ำผักดอง เปรี้ยวๆ เค็มๆ ทำเป็นกับ มาถวายพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า

    "เวลานี้ ทานของข้าพระพุทธเจ้าเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าข้า"

    พระพุทธเจ้าถามว่า "เธอมีเจตนาในการถวายทานอย่างไรล่ะ ?"

    ท่านบอกว่า

    "ก่อนจะให้ เต็มใจพร้อมเสมอ ในขณะที่ให้ก็ปลื้มใจ เมื่อให้แล้วก็เกิดความเลื่อมใสดีใจว่าให้แล้ว พระพุทธเจ้าข้า"

    พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า "ดูก่อนมหาเศรษฐี "ลูขัง วา ปณีตัง วา"

    หมายความว่า ถ้าคนให้ทานมีเจตนาพร้อมเพรียงทั้ง ๓ กาลอย่างนี้ ของดีก็ตาม ของเลวก็ตาม ย่อมมีอานิสงส์เลิศมีอานิสงส์สูง แต่ที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีท่านทำนั้น ท่านถวายพระพุทธเจ้า และพระที่ฉันก็เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด นับเป็นยอดของทาน ถ้าหากว่า เราไม่รู้จะเลือกยังไง องค์นี้จะเป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์หรือเปล่า หรือเป็นพระโปเก พระเชียงกง ถ้าเราไม่รู้ ก็ถวายเป็นสังฆทานเลย เพราะสังฆทานมีอานิสงส์สูงมากรองจากวิหารทาน"


    ผู้ถาม : "หลวงพ่อครับ ใส่บาตรตอนเช้า บังเอิญหากับข้าวไม่ทัน เอาปลาเค็มที่กินค้างเมื่อวานนี้ใส่ไปเพราะความจำเป็น อย่างนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่าครับ ?"

    หลวงพ่อ : "มีแน่ เป็นผลร้ายแรงมาก"


    ผู้ถาม : "ขนาดไหนครับหลวงพ่อ ?"

    หลวงพ่อ : "ตายแล้วเป็นธรรมดา นี่เป็นจริงๆนะ"

    ผู้ถาม : "ก็นี่เขากินเหลือนี่ครับ?"

    หลวงพ่อ : "เดี๋ยวก่อน... เคยอ่านในพระไตรปิฎกไหม ครั้งหนึ่ง พระพุทธเจ้าเสด็จไปในที่แห่งหนึ่ง เวลานั้นสายเกินไป เลยเวลาอาหารตอนเช้า ใช่ไหม ก็มีพรหมณ์คนหนึ่งบอกว่า

    "อาหารของข้าพเจ้ามี แต่เวลานี้มันเป็นเดนเสียแล้ว การถวายพระพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยพระสงฆ์ เกรงจะเป็นบาป"

    พระพุทธเจ้าถามว่า "เธอคิดว่าเป็นเดนน่ะ เธอตักกินในหม้อหรือเปล่า ?"

    เขาบอกว่า "เปล่า" เขาตักออกมาใส่ถ้วยแล้วกิน

    พระพุทธเจ้าบอกว่า "อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นเดน ถวายพระสงฆ์หรือพระพุทธเจ้าก็ดี จะมีอานิสงส์สมบูรณ์แบบ"
    แล้วท่านก็ตรัสต่อไปว่า

    "ถึงแม้ว่า อาหารจะเป็นเดน คือกินในถ้วยนั้นแล้ว แต่ว่าถ้าพระท่านหิว ถ้าเอาไปถวาย ก็มีอานิสงส์สมบูรณ์แบบเหมือนกัน ไม่มีโทษมีแต่คุณ "อีกประการหนึ่ง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า สมัยพระพุทธกัสสป ท่านเทศนาไว้อย่างนี้คือ"บุคคลใดทำบุญด้วยตนเองไม่ชักชวนคนอื่น ถ้าเกิดในชาติต่อไป จะร่ำรวยโภคสมบัติ แต่ขาดเพื่อน ขาดบริวาร สมบัติถ้าดีแต่ชักชวนเขา ไม่ทำเอง ชาติต่อไป มีเพื่อนมาก แต่ตัวเองจนถ้าทำบุญด้วยตนเองด้วย ชักชวนผู้อื่นด้วย รวยด้วย มีพรรคพวกมากด้วย"

    นี่ท่านเทศน์แบบนี้นะ ถ้าเราทำคนเดียวได้ก็ทำ ทีนี้ถ้าเราชวนเขาด้วย แต่ว่าการชวนนี่ก็ลำบากนะ ถ้าชวนเขาทำบุญด้วย ก็อย่าหวังว่า เขาจะให้เรานะ คิดว่าเขาให้หรือไม่ให้ ก็เป็นเรื่องของเขา คือแนะนำเขา ว่าเวลานี้ เราทำโน่นทำนี่จะทำบุญร่วมด้วยไหม ? ถ้าบังเอิญเขาไม่ทำร่วมด้วยอย่าโกรธ เราถือว่า เราชวนเขาทำความดี ถ้าเราโกรธเขาเข้า บุญเราจะด้อยลงไป เพราะตัวโกรธเข้ามาตัด

    ผู้ถาม : "ดิฉันเคยอ่านเจอในหนังสือที่หลวงพ่อเขียน บอกว่าการถวายสังฆทาน ควรมีพระพุทธรูป ผ้าไตรจีวร และอาหาร อันนี้จำเป็นจะต้องมีครบตามนี้ไหมคะ ?"

    หลวงพ่อ : "ความจริง เราไม่ทำถึงขนาดนี้ก็ได้ การถวายสังฆทานในที่บางแห่งใช้เครื่อง ๕ เครื่อง ๘ นี่เป็นการสร้างขึ้น เรามีข้าวเพียงช้อนหนึ่ง แกงเพียงช้อนหนึ่งน้ำเพียงช้อนหนึ่ง แล้วถวายไป บอกว่าเป็นสังฆทาน เพียงเท่านี้ก็ใช้ได้ แต่ว่าที่เขียนไว้ในหนังสือ ว่าควรทำแบบนี้เพราะว่าผีกี่ร้อยกี่พันรายก็ตาม มาขอกันแบบนี้เรื่อยคือขอเหมือนกัน ที่ฉันแนะนำเขา ก็ทำตามที่ผีเขาขอนะ เลยถามเขาว่า "ผลจะได้แก่พวกเอ็งเป็นยังไง ?"
    เขาบอกว่า

    ๑. ถวายพระพุทธรูปเป็นของสงฆ์ อานิสงส์ก็คือ ถ้าเป็นเทวดาจะมีรัศมีกายสว่างไสวมาก เพราะว่าเทวดาหรือพรหม เขาไม่ดูกันที่เครื่องแต่งตัว เขาดูแสงสว่างจากกาย
    ๒. ผ้าไตรจีวร หรือผ้าสักผืนหนึ่ง เขาจะได้เครื่องประดับอันเป็นทิพย์ เครื่องแต่งตัวทิพย์
    ๓. อาหารหรือของกิน จะทำให้มีร่างกายเป็นทิพย์"

    ผู้ถาม : "ทีนี้ถ้าหากว่า ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจุติจากเทวโลกกก็ดี พรหมโลกก็ดี มาเกิดเป็นมนุษย์ อานิสงส์เหล่านี้จะติดตามมาอีกไหมครับ ?"

    หลวงพ่อ : "อานิสงส์ตามมาคือ
    ๑. จะมีรูปร่างหน้าตาสวย เพราะอานิสงส์ถวายพระพุทธรูป แล้วก็มีปัญญาทรงตัวนี่อำนาจ พุทธานุภาพนะ
    ๒. เครื่องประดับเครื่องแต่งตัวดี และไม่อดอยาก เพราะอาศัยทาน ตัวอย่าง นางวิสาขาเป็น คนสวยงามมาก เพราะในชาติก่อน ได้เคยซ่อมแซมพระพุทธรูปและปลูกโรงทำหลังคาคลุมพระพุทธรูป จึงเป็นปัจจัยทำให้ได้เบญจกัลยาณี คือมีความงาม ๕ ประการ และ นางวิสาขาก็เป็นคนรวยมาก มีเครื่องลดามหาปสาธน์ราคา ๑๖ โกฏิ เป็นเครื่องประดับ เพราะอานิสงส์เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนาทั้งนี้ ด้วยอำนาจบุญบารมีที่ท่านได้บำเพ็ญแล้วด้วยดี จึงเป็นปัจจัยให้นางวิสาขา เป็นทั้งคนสวย คนรวย และเป็นคนมีปัญญามาก ได้เป็นพระโสดาบันตั้งแต่อายุ ๗ ขวบ"


    ผู้ถาม : "หลวงพ่อคะ การทำบุญวันเกิด เราจะทำหลังวันเกิด หรือก่อนวันเกิดดีคะ ?"

    หลวงพ่อ : "ตอนไหนก็ได้ การทำบุญวันเกิด เราถือว่าปีหนึ่ง เรามีโอกาสทำบุญครั้งหนึ่ง ที่เราทำบุญวันเกิดนี่เป็นนโยบายของพระ ท่านให้เรามีจิตเป็นกุศลไว้ถ้าถึงวันเกิดเราตั้งใจจะทำบุญ เราจะทำอะไรบ้าง มีการเตรียมการไว้ในใจถ้าจิตมันนึกอย่างนี้ เวลาจะตาย อานิสงส์ ได้ทันที อย่างสาตกีเทพธิดา เธอจะเอาดอกบวบขมไปบูชาเจดีย์ ที่เขาบรรจุกระดูกของพระ อรหันต์ แต่พอจัดดอกไม้ยังไม่ทันพ้นบ้าน ถูกวัวขวิดตาย อาศัยที่เธอจะตั้งใจบูชาพระด้วยดอกไม้ดอกนั้น ยังไปไม่ถึง พอตายแล้วก็เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เทวโลก มีวิมานทองคำเป็นที่อยู่มีนางฟ้า ๑,๐๐๐ เป็นบริวาร อย่างนี้เขาถือว่าเป็นอนุสติ ถ้าเรานึกจะถวายเป็นสิ่งของก็เป็น จาคานุสติคิดว่าเราจะทำบุญกับพระองค์นั้นองค์นี้ นึกถึงพระสงฆ์ก็เป็นสังฆานุสติถ้าเราคิดจะทำบุญกับพระสงฆ์ แต่ให้มีพระพุทธรูปตั้งอยู่ด้วย นึกถึงพระพุทธ ก็เป็นพุทธานุสติ ถือว่าเป็นการเจริญพระกรรมฐานไปในตัว แต่พระท่านไม่ได้บอกตรงๆเท่านั้น เอง"

    ผู้ถาม : "รู้สึกว่า สมบัติที่เราทำไปมันน้อย ก็คิดว่าบุญคงได้น้อยค่ะ ?"

    หลวงพ่อ : "สมบัติมันเล็กน้อยก็จริง แต่ว่าอานิสงส์มันไม่เล็กน้อย ก็แบบซื้อล็อตเตอรี่ใบเดียว แต่ถูก รางวัลที่ ๑ อย่างทำบุญสร้างโบสถ์ สร้างศาลา สร้างอาคาร สร้างส้วม เขาเรียกว่าวิหารทานอันนี้จัดเป็นบุญสูงสุดตัวอย่างตอนที่พระพุทธเจ้าเคยเกิดเป็น มฆมานพ ท่านกับเพื่อนอีก ๓๒ คน ช่วยกันทำ ศาลาหลังหนึ่งไว้เป็นที่พักของคนเดินทาง มีช้างสำหรับลากไม้ ๑ เชื่อก มีนายช่าง ๑ คน เวลาตายไปแล้ว ท่านมฆมานพก็ไปเกิดเป็นพระอินทร์ เพื่อนอีก ๓๒ คน ก็ไปเป็นเทวดา มีวิมานคนละหลัง นายช่างไปเป็นวิษณุกรรมเทพบุตร ช้างที่ลากไม้เป็น เอราวัณเทพบุตร มีวิมานคนละหลังเหมือนกัน นี่เป็นเรื่องของอานิสงส์นะ"

    ผู้ถาม : "หลวงพ่อครับ กุศลชนิดใดที่มีอานิสงส์มากกว่าวิหารทานบ้างครับ ?"

    หลวงพ่อ : "สัพพะทานัง ธัมมะทานัง ชินาติ......การให้ธรรมะเป็นทาน ย่อมชนะการให้ทั้งปวง ให้ธรรมทานซีคุณ หนังสือเรียนของเด็ก หนังสือเรียนของผู้ใหญ่หนังสือเรียนของพระหนังสือธรรมะต่างๆ ดูตัวอย่างพระสารีบุตร ให้ปัญญากับประชาชนทั้งหลาย เพราะอานิสงส์ได้เคยสร้างพระธรรม ซึ่งเป็นถ้อยคำที่มีประโยชน์ถวายพระพุทธเจ้า เกิดมาชาติหลังสุด จึงทำให้เป็นพระที่มีปัญญามาก อย่างเงินที่เขาถวายฉันไว้นี่ พอกลับไปถึงวัดก็เรียบร้อย เลี้ยงอาหารพระบ้าง ค่ากระแสไฟฟ้าบ้าง ค่าก่อสร้างบ้าง รวมความว่า ที่ท่านตั้งใจนี่มีผล ๔ อย่าง
    ๑. สร้างพระพุทธรูป
    ๒. วิหารทาน
    ๓. สังฆทาน
    ๔. ธรรมทาน

    ทั้งหมดนี้ ใช้ทุนไม่ต้องมากก็ได้ เอาสัก ๕๐ สตางค์ เป็นอันว่า การทำบุญเอาแค่พอสมควร แต่ให้มันเป็นบุญใหญ่ เขามุ่งแบบนั้นนะ คือเราเอาไปผสมกับเขาก็แล้วกันไม่ต้องสร้างทั้งหลัง"


    ผู้ถาม : "กระผมสงสัยเรื่องการทำบุญ บางคนก็ทำช้า บางคนก็ทำไว อยากเรียนถามหลวงพ่อว่า การทำบุญช้าบ้าง เร็วบ้าง ยืดยาดบ้าง อานิสงส์ จะต่างกันหรือไม่ขอรับ ?"

    หลวงพ่อ : "ต่างกัน คือได้ช้า ได้เร็ว ต่างกันก็เหมือนท่าน จูเฬกสาฎก ท่านฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า ตั้งใจถวายทานตั้งแต่ยามต้น และยามที่ ๒ จิตเป็นห่วงยายที่บ้าน ไม่มีโอกาสจะฟังเทศน์ เพราะไม่มีผ้าห่ม พอยามที่ ๓ ใกล้สว่าง จึงตัดสินใจถวาย แล้วประกาศว่า
    "ชิตัง เม ชิตัง เม" พระเจ้าปเสนทิโกศลได้ยิน ก็ทราบว่า ชนะความตระหนี่ จึงนำผ้าสาฎก และทรัพย์สินต่างๆมาให้ มีฐานะเป็นคหบดีคนหนึ่งต่อมาพระพุทธเจ้าตรัสว่า "ถ้าพราหมณ์นี้ถวายในยามต้น จะได้เป็นมหาเศรษฐีถ้าถวายยามที่ ๒ จะได้เป็นอนุเศรษฐี ยามที่ ๓ จะได้เป็นคหบดีใหญ่ที่ได้น้อย เพราะถวายช้าเกินไป พระองค์จึงตรัสว่า การบำเพ็ญกุศลผล ความดีในศาสนาของเรานี้ จงอย่าให้เนิ่นช้า ต้อง ตุลิตะ ตุลิตัง สีฆะ สีฆัง คือเร็วๆ ไวๆ"

    ที่มา :-http://www.mfuzone.com/nboard/index.php?showtopic=11864-
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ทำบุญง่าย ๆ สไตล์หลวงปู่ดู่

    -http://www.pisit.in.th/thrrm-ma/thabuy-ngay-stil-hlwng-pu-du-

    1. การเพิ่มพลังบุญแบบไม่เสียเงินแม้แต่บาทเดียว

    เคล็ดวิชานี้ เป็นของท่านหลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ ท่านสอนไว้ว่า
    -เวลาตื่นเช้ามาขณะล้างหน้าหรือดื่มน้ำให้ท่องว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ สังฆัง สรณัง คัจฉามิ เพื่อความเป็นสิริมงคลต่อชีวิตในวันใหม่
    -ก่อนกินข้าว ก็ให้นึกถวายข้าวแด่พระพุทธเจ้า
    -ออกจากบ้าน เห็นคนอื่นเค้ากระทำความดี เป็นต้นว่าเห็นเค้าใส่บาตรพระ จูงคนแก่ข้ามถนน ก็ให้นึกอนุโมทนากับเขาด้วย
    -เดินผ่านเห็นดอกไม้บูชาพระวางขายอยู่ ก็ให้เอาจิตนึกอธิษฐานขอถวายดอกไม้เหล่านั้นเป็นเครื่องบูชาพระรัตนตรัย โดยระลึกว่า พุทธัสสะ ธัมมัสสะ สังฆัสสะ ปูเชมิ แล้วอย่าลืมอุทิศบุญให้พ่อค้า แม่ค้าดอกไม้นั้นด้วย
    -เวลาไปไหนมาไหน เห็นไฟข้างทางก็ให้นึกน้อมถวายไฟเหล่านั้นบูชาพระรัตนตรัย โดยระลึกว่า โอม อัคคีไฟฟ้า พุทธบูชา ธัมมะบูชา สังฆบูชา

    2. การเพิ่มพลังบุญด้วยเงินน้อย แต่ได้อานิสงส์ยิ่งใหญ่
    การสร้างบุญที่เป็นมหากุศล อาทิเช่น การสร้างพระพุทธรูปขนาดใหญ่ พระมหาเจดีย์ สร้างยอดฉัตรหรือสร้างศาสนสถานอื่นใดก็ตาม รวมถึงธรรมทานด้วย เพื่อลดวิบากกรรมหนักๆ สามารถทำได้ แม้แต่ผู้ที่มีเงินน้อย การทำบุญนี้ ไม่จำเป็นจะต้องใช้เงินมาก เหมือนที่หลายๆคนในปัจจุบันเข้าใจและติดเป็นค่านิยมกัน การทำบุญทุกอย่าง ไม่ว่าจะบุญเล็ก บุญใหญ่ ให้ทำตามแต่กำลังของเราที่สามารถจะทำได้ และต้องไม่เดือดร้อนตัวเอง แม้แต่เงินสลึงเดียวก็สามารถสร้างมหากุศลได้ ขอให้เพียงเงินนั้นบริสุทธิ์ ไม่ได้ไปเบียดเบียนของใครมาก็พอ และที่สำคัญเจตนาตอนที่ทำ ต้องบริสุทธิ์ มีความยินดีในบุญที่ทำ เกิดความสุขและความอิ่มเอมใจ นั่นแหละมหากุศลทั้งสิ้น

    แต่ถ้าไม่มีเงินจริงๆ ก็ยังสร้างมหากุศลได้ โดยการใช้แรงกายแรงใจในการช่วยก่อสร้าง หรือแม้แต่การไปชักชวน ป่าวประกาศให้คนมาร่วมสร้างบุญ และขออนุโมทนาบุญกับคนเหล่านั้นด้วยทุกครั้ง ก็จะได้บุญมากเช่นเดียวกัน อยู่ที่เจตนาและความตั้งใจเป็นที่ตั้ง สรุปสั้นๆ ว่า การทำบุญนั้น ไม่ว่าจะเป็นเงินเท่าใดก็ได้บุญเช่นกัน ยิ่งการทำบุญใดๆที่เป็นประโยชน์ต่อคนจำนวนมากมากหรือสังคม บุญนั้นก็จะมากขึ้นทวีคูณ ไม่มีวันหมด อาทิเช่น สังฆทาน สร้าง โรงทาน วิหาร อุโบสถ ถนน เป็นต้น จนกว่าสิ่งก่อสร้างหรือศาสนสถานนั้นๆที่ร่วมสร้างจะพังทลายไป

    3. การสวดภาวนา ให้ได้บุญมากขึ้น
    การสวดภาวนา คาถาศักดิ์สิทธิ์ หรือมนตราอันศักดิ์สิทธิ์นั้น ถ้าได้ทำอย่างถูกวิธีนั้น จะเป็นการเพิ่มบุญให้กับตัวเอง เพราะพลังบุญ พลังอำนาจของพระคาถาและมนตรานั้น จะถูกดึงเข้าสู่ตัวผู้สวดด้วย

    เคล็ดวิธีมีอยู่ว่า โดยก่อนสวดนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิที่พร้อมจะสวดแล้ว ขอให้ตั้งจิตให้มั่นแล้วอุทิศบุญทั้งหมดที่ตนเคยทำมานั้น ส่งให้แด่ครูบาอาจารย์ ผู้เป็นเจ้าของคาถาหรือมนตรานั้นๆด้วย ซึ่งเป็นการเชื่อมบุญรูปแบบหนึ่ง และหลังจากนั้น ก็อธิษฐานขอมีส่วนร่วมในบุญของท่าน และขอมีส่วนร่วมในบุญของผู้อื่นที่ได้สวดคาถาและมนตราศักดิ์สิทธิ์นั้นด้วย เมื่อใดตามที่มีคนอื่นสวดและกระทำเหมือนกับเรา เราก็ได้บุญเพิ่มทุกครั้ง

    4.การทำบุญด้วยการต่อชีวิตสัตว์ ให้ได้บุญมากขึ้น
    การทำบุญปล่อยชีวิตสัตว์หรือต่อชีวิตสัตว์นั้น หลายคนเรียกว่า เป็นการสะเดาะเคราะห์ ซึ่งก็แล้วแต่จิตจะพาไป แต่ในความเป็นจริงก็คือ เป็นการทำบุญใหญ่ เป็นการช่วยต่อชีวิต ต่อโชคชะตา ให้เวลากับสัตว์ที่กำลังจะถึงตายให้ได้มีชีวิตอีกครั้ง และเคล็ดลับสำคัญก็คือ ก่อนที่จะปล่อยสัตว์นั้นๆ เมื่อได้ซื้อมาหรือเจอ ณ ที่ใดก็ตาม ให้นำไปถวายกับพระสงฆ์เสียก่อน เพื่อเพิ่มบุญให้มากขึ้น เหตุเพราะว่าพระสงฆ์ที่รับนั้นท่านบริสุทธิ์ และมีศีลมากกว่าเรา ท่านย่อมมีบุญมากกว่าเรา ยิ่งเป็นพระสงฆ์ที่มีเนื้อนาบุญมากแล้ว บุญนั้นจะเพิ่มเป็นหลายเท่า จากนั้นก็ขอผาติกรรมชำระหนี้สงฆ์ซื้อคืนมาจากท่าน ด้วยเงินเท่ากับจำนวนที่เราซื้อสัตว์นั้นๆมา วิธีนี้เป็นการเพิ่มบุญอีกเท่าตัว ได้ทั้งทำบุญต่อชีวิตสัตว์ และชำระหนี้สงฆ์ด้วย หลังจากนั้นก็นำไปปล่อยในที่อันสมควร

    อานิสงส์ของการทำบุญด้วยวิธีนี้ ถ้าใครที่ทำได้ตามนี้ บุญที่ได้จะเพิ่มขึ้นเป็นหลายเท่า จากการที่ไปซื้อมาแล้วก็ไปปล่อยตามยถากรรม วิธีนี้นอกจากได้บุญน้อยแล้ว แถมยังได้บาปกลับมาด้วย ดังนั้นจะทำบุญทั้งที ควรฉลาดในการทำบุญด้วย

    5. การทำสังฆทานให้ได้อานิสงส์บุญมากขึ้น
    การทำสังฆทานควรทำให้ครบทั้งปัจจัยสี่ มีอาหาร( คาว-หวาน-ผลไม้-น้ำ ) ,เครื่องนุ่งห่ม ( ผ้าไตรจีวร หรือ ผ้าขนหนูสีสุภาพ ) , ยารักษาโรค , ที่อยู่อาศัย ( บ้านหลังเล็กๆ ซื้อได้ตามร้านสังฆภัณฑ์ เพื่อให้เป็นที่อยู่อาศัยทิพย์ให้กับเจ้ากรรมนายเวร เค้าจะได้มีที่พักพิง ไม่มารบกวนเราอีก ) และควรเพิ่มหนังสือธรรมะเข้าไปด้วยเพื่อให้จิตใจของเจ้ากรรมนายเวรซึ้งในรสพระธรรม มีจิตใจที่เย็นสบายพ้นทุกข์

    เคล็ดลับสำคัญ เครื่องสังฆทานและอาหารเหล่านี้ เราควรที่จะต้องไปถวายแด่พระสงฆ์ที่มีเนื้อนาบุญสูง แต่ถ้าหาไม่ได้หรือไม่ทราบ ให้เรานั้นตั้งจิตอธิฐานถวายแด่พระพุทธเจ้าโดยตรงและ พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ หรือครูบาอาจารย์ที่เรานับถือ เพื่อให้อานิสงส์ของบุญจะได้มากขึ้นทบทวี และหลังจากนั้นก็ให้อุทิศบุญให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายทั้งหมด และควรกรวดน้ำหลังทำบุญทุกครั้งเพื่อให้พระแม่ธรณีและเทพเทวาทั้งปวงท่านเป็นพยานในการทำบุญครั้งนี้

    สรุป
    เมื่อท่านได้ทราบว่า ทำบุญอะไร แล้วได้รับอานิสงส์ของการทำบุญเป็นอย่างไร สมควรช่วยประชาสัมพันธ์ให้ผู้อื่นได้ทราบด้วย เพราะเป็นการให้คนได้รู้ถึงอานิสงส์ของทำบุญในแต่ละอย่าง จะได้จำสืบต่อกันไปอย่างถูกต้อง

    ดังนั้น จึงสรุปว่า การทำบุญอะไรก็ตาม เมื่อได้ทำบุญแล้ว ก็ได้รับผลบุญในทันที กล่าวคือ ขณะที่ทำบุญนั้น สภาพจิตของเราตรงนั้นเป็นอย่างไร สุขใจไหม สบายใจไหม ภูมิใจไหม ตรงนี้ไม่ต้องถาม หวังว่า ท่านที่เคยทำบุญมาแล้วก็จะตอบตนเองได้อย่างแจ่มแจ้งทีเดียว

    เมื่อเราได้ทำบุญ ผลของการทำบุญ จะให้อานิสงส์ไม่เหมือนกัน บุญบางอย่าง ก็ให้ผลโดยตรง แต่บุญบางอย่าง ก็ให้ผลโดยอ้อมไม่ตรงทีเดียว ในเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่า อานิสงส์แห่งการทำบุญนั้นไม่เหมือนกัน และผลบุญที่เราได้ทำนั้น รอให้ผลอยู่ตลอดเวลาแก่ผู้ที่ได้ทำบุญไว้ ตราบเท่าที่ยังมีผลบุญอยู่ สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำบุญไว้ ถ้าไม่ประมาท ถึงแม้ไม่มีอะไรจะทำบุญ เพียงแต่เห็นคนอื่นเขาทำบุญ แล้วทำใจให้เลื่อมใส ก็เป็นอันได้ทำบุญเหมือนกัน บุญชนิดนี้ เรียกว่า บุญด้านปัตตานุโมทนามัย ( บุญจากการอนุโมทนาบุญ )

    ขอบคุณข้อมูลจาก :

    -http://www.fungdham.com/-
    -http://www.d.igetweb.com/-
    -www.morgangaiyasit.com/forum/viewtopic.phpid=160-
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    นิทานสอนใจ: ใครกันที่ชนะ
    -http://prakal.wordpress.com/2014/06/13/%e0%b8%99%e0%b8%b4%e0%b8%97%e0%b8%b2%e0%b8%99%e0%b8%aa%e0%b8%ad%e0%b8%99%e0%b9%83%e0%b8%88-%e0%b9%83%e0%b8%84%e0%b8%a3%e0%b8%81%e0%b8%b1%e0%b8%99%e0%b8%97%e0%b8%b5%e0%b9%88%e0%b8%8a%e0%b8%99%e0%b8%b0/-

    ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร / 1 วัน ago มิถุนายน 13, 2014

    วันนี้วันศุกร์ เหมือนเคยทุกวันศุกร์ ผมจะนำเอานิทานที่ผมได้อ่านเจอ และรู้สึกดี และได้รับคำสอนอยู่ในนิทานมาเล่าให้อ่านกัน วันนี้ก็เช่นกันครับ เป็นนิทานอีกเรื่องหนึ่งที่ได้อ่านไว้นานแล้ว และยังคงเป็นนิทานที่ทำให้ผมรู้สึกว่าคนเราเองมีมุมมองต่อเรื่องเดียวกันที่แตกต่างกันออกไป ใครที่ถูกสอนมาอย่างไร อยู่กับสภาพแวดล้อมอย่างไร ก็มักจะคิดไปในทางนั้น ซึ่งจุดนี้เองที่มักจะทำให้เกิดปัญหาความขัดแย้งตามมาอีกมากมาย แค่เพียงเพราะมุมมองที่มองต่างกันออกไปเท่านั้น นิทานวันนี้มีเรื่องราวอยู่ว่า…

    ในประเทศญี่ปุ่นสมัยก่อน มีประเพณีอย่างหนึ่งของพระภิกษุนิกายเซ็น คือ พระภิกษุอาคันตุกะ ที่เดินทางมาถึงที่วัดใด จะต้องตอบปัญหาธรรมชนะพระภิกษุที่อยู่ก่อน จึงจะมีสิทธิ์เข้าพักได้ ถ้าแพ้ก็ต้องเดินทางหาวัดใหม่ต่อไป

    วันหนึ่ง มีพระอาคันตุกะองค์หนึ่ง เดินทางมาจากที่ไกลถึงที่วัดแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ทางเหนือของประเทศญี่ปุ่น วัดนี้มีพระเซนพี่น้อง 2 องค์อาศัยอยู่ องค์พี่เป็นผู้คงแก่เรียนรอบรู้แตกฉานมาก องค์น้องนอกจากจะตาบอดข้างหนึ่งแล้ว ยังมีสติปัญญาค่อนข้างทึบอีกด้วย เมื่อทราบระเบียบว่า จะต้องมีการโต้ธรรมะกันก่อนเข้าพักอาศัย พระอาคันตุกะก็ยินดีปฏิบัติตาม แต่เนื่องจากพระองค์พี่เหน็ดเหนื่อยจากการปฏิบัติงานมาทั้งวัน จึงได้มอบให้พระองค์น้องทำหน้าที่โต้ปัญหาธรรมแทน และได้แนะให้พระองค์น้องใช้วิธีโต้ปัญหาแบบ “เงียบ” พระทั้งสององค์จึงไปยังที่บูชา จุดธูปบูชาพระรัตนตรัย เสร็จแล้วการโต้ปัญหาธรรมะก็เริ่มขึ้น ชั่วครู่เดียวพระอาคันตุกะก็เดินออกไปหาพระองค์พี่ แล้วกล่าวว่า

    “น้องชายท่านเก่งเหลือเกิน ข้าพเจ้ายอมแพ้แล้ว “

    “ท่านโต้ปัญหากันว่าอย่างไรล่ะ” พระองค์พี่ถาม

    พระอาคันตุกะจึงชี้แจงว่า “ทีแรกข้าพเจ้าชูนิ้วขึ้นมาก่อนหนึ่งนิ้ว ซึ่งหมายถึงพระพุทธ น้องชายของท่านชูสองนิ้วตอบ ซึ่งหมายความว่าเมื่อมีพระพุทธก็ต้องมีพระธรรมด้วย ข้าพเจ้าจึงชูสามนิ้วตอบซึ่งหมายถึงว่าถ้าจะให้ครบ ก็ต้องมีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ด้วย คราวนี้น้องชายท่านกลับชูกำปั้นมาที่หน้าผม ซึ่งหมายความว่า จะเป็นพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ก็ตาม ก็ต้องมารวมเป็นหนึ่งเดียว คือพุทธศาสนา ผมจึงว่าน้องท่านเป็นผู้ชนะ ผมไม่มีสิทธิ์ที่จะอยู่ที่นี่”

    พระภิกษุอาคันตุกะกล่าวแล้ว ก็ลาพระภิกษุองค์พี่เดินทางต่อไปสักครู่ พระองค์น้องก็เข้ามาหาพระพี่ชายอย่างเร่งรีบ แล้วถามหาพระอาคันตุกะว่า

    “เจ้าหมอนั่นมันไปไหนแล้วล่ะ?”

    “เธอชนะเขาแล้วไม่ใช่หรือ ?” พระผู้พี่ถามด้วยความสงสัย

    “ชนะกะผีอะไรล่ะ” พระองค์น้องโกรธ

    “เธอโต้ปัญหากับเขาว่าอย่างไรล่ะ?“ พระองค์พี่ถามต่อ

    “โต้อย่างไรนะหรือ” พระองค์น้องตะโกน

    “พอเห็นหน้าผมเท่านั้น มันก็ชูนิ้วเดียวมาที่หน้าผม ซึ่งมันดูหมิ่นว่าผมมีตาข้างเดียว ผมสู้อดทนเพราะเห็นว่าเป็นแขก จึงชูตอบไปสองนิ้ว แสดงความยินดีที่เขามีตาครบบริบูรณ์ แทนที่มันจะรู้ตัว มันกลับชูนิ้วกลับมาอีกสามนิ้ว ซึ่งหมายความว่า ทั้งผมและมันมีตารวมกันอยู่สามตา อย่างนี้ไม่ใช่เยาะเย้ยแล้วจะเรียกว่าอะไร ผมเหลืออดจริงๆ จึงชูกำปั้นขึ้นมาจะต่อยหน้ามันสักหน่อย แต่มันกลับวิ่งออกมาเสียก่อน”

    อ่านจบแล้วรู้สึกอย่างไรกันบ้างครับ ผมว่านี่ก็คือมุมมองของคนเราต่อสิ่งต่างๆ แม้ว่าจะเป็นสิ่งเดียวกัน แต่มุมมองของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน ต่างคนต่างมองในมุมที่ตนสนใจ เข้าใจ และอยากจะมอง และถ้าเป็นแบบนี้ความขัดแย้งก็จะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

    ในการบริหารคนก็เช่นกันครับ ท่านที่เป็นหัวหน้างาน เป็นผู้จัดการ ที่ต้องบริหารจัดการลูกน้อง เวลาที่เราคุยกับลูกน้อง หรือได้ยินลูกน้องคุยอะไรมา เรามองอย่างไร เราเห็นในสิ่งที่ลูกน้องของเราเห็นหรือไม่ หรือต่างคนต่างมองในมุมของตนเอง โดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะคิดอย่างไร ถ้าเป็นแบบนี้ เราก็จะไม่ได้ใจลูกน้องของเราได้เลย

    ดังนั้นสิ่งที่ควรจะระวังก็คือ อย่าให้มุมมองของตนเองมาปิดหูปิดตา และไม่สนใจมุมมองของคนอื่น จงเปิดใจ ละทิฐิและยอมที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองของตน ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะสร้างความเข้าใจร่วมกัน ซึ่งความเข้าใจนี้ก็จะส่งผลดีต่อทั้งการทำงาน และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างกันอีกด้วย

    ----------------------------------------------

    ท้อแท้ได้บ้าง แต่อย่าท้อถอยเด็ดขาด
    ท้อแท้ได้บ้าง แต่อย่าท้อถอยเด็ดขาด | Prakal's Blog

    ประคัลภ์ ปัณฑพลังกูร / 2 วัน ago มิถุนายน 12, 2014

    ช่วงนี้ได้พบเจอกับเพื่อนเก่าๆ หลายคน รุ่นน้องที่เรียนด้วยกันบ้าง ต่างก็บ่นว่าเกิดความท้อแท้ในชีวิต ผมเห็นเขายิ่งบ่น ก็ยิ่งท้อหนักเข้าไปอีก จริงๆ แล้วผมเชื่อว่าทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ต้องเคยรู้สึกท้อแท้ใจมาบ้าง ไม่ว่าคนนั้นจะรวย จะจน จะมีหรือไม่มีเงิน บางคนท้อแท้จนสิ้นหวังในชีวิตไปเลยก็คือ บางคนก็ท้อแท้เป็นช่วงๆ ขึ้นอยู่กับว่าช่วงนั้นมีมรสุมอะไรเข้ามาในชีวิตของตนบ้างและรุนแรงสักแค่ ไหน บางคนก็เปลี่ยนเอาความท้อแท้กลั่นออกมาจนเป็นพลังในการต่อสู้ของชีวิตตนเอง เพื่อฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ในชีวิตของตน

    เวลาเรารู้สึกท้อเรามักจะไม่มีแรงที่อยากจะทำอะไรเลย การงานที่เคยทำได้ดี มันก็จะแย่ลงจนคนอื่นสังเกตได้ โดยที่เราเองอาจจะไม่รู้ตัวเลย หรือรู้ตัวแต่ก็ไม่สนใจ เพราะใจมันไม่สู้แล้ว ก็เลยไม่รู้ว่าจะสนใจไปทำไม แต่สิ่งนี้ล่ะครับที่จะทำให้ชีวิตของเรายิ่งถอยหลังลงไปอีก บางครั้งเราจะรู้สึกเหมือนกับว่าไม่อยากทำอะไรเลย แต่การที่เราไม่ทำอะไรเลยนั้น มันทำให้เรายิ่งท้อ ยิ่งท้อก็ยิ่งไม่ทำอะไร ไม่ทำอะไร ก็ยิ่งท้อ มันก็วนไปเรื่อยๆ ครับ เราจำเป็นที่จะต้องตัดวงจรนี้ออกไปให้ได้

    การตัดวงจรนี้ก็โดยการเริ่ม ลงมือทำอะไรสักอย่างก่อน อย่าอยู่เฉยๆ หรือไม่อยากทำอะไร หาอะไรก็ได้ครับที่เราอยากทำ หรือที่เราชอบ เช่น อ่านหนังสือ ฟังเพลง เล่นเกมส์ ฯลฯ เริ่มจากสิ่งที่เราชอบก่อน แล้วพอความรู้สึกเริ่มดีขึ้นก็ค่อยเริ่มลงมือทำสิ่งที่เกี่ยวข้องกับงานให้มากขึ้น

    อีกสิ่งหนึ่งที่สามารถช่วยได้ก็คือ ให้ลองขับรถออกไปนอกบ้าน หรือจะนั่งรถเมล์ก็ได้นะครับ ยิ่งถ้าได้นั่งรถเมล์แล้วจะยิ่งเห็นสิ่งต่างๆ มากมาย เพราะเราไม่ต้องใช้สมาธิในการขับรถ ลองสังเกตสิ่งต่างๆ รอบตัว ผู้คนที่เดินทางไปมา บางคนนั่งรอรถเมล์ที่ป้ายด้วยหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เพราะรู้ว่าอีกไม่กี่นาทีจะได้เจอกับคนที่เรารักเราชอบ บางคนเดินเก็บขยะตามถังขยะ ด้วยความหวังว่าจะเจอเศษอาหารที่เหลือๆ ที่จะพอช่วยประทังชีวิตเราไปได้ในแต่ละมื้อ บางคนก็นอนหลบแดดอยู่ข้างถังขยะบ้าง ตามมุมเสาไฟบ้าง

    เดินทางดูอะไรไปเรื่อยๆ เราก็จะเริ่มเห็นวิถีชีวิตของผู้คนมากขึ้น ป้าคนกวาดถนนยังคงกวาดเศษขยะ เศษใบไม้ตามทางเท้าด้วยใบหน้าที่ท่วมไปด้วยเหงื่อ พอเข้ามาถึงใจกลางเมือง เราก็จะเริ่มเห็นความวุ่นวายของผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมา ราวกับว่ากำลังเดินไล่ล่าตัวอะไรอยู่ ชีวิตมีแต่ความเร่งรีบ บางคนก็เดินเข้าออกบริษัทต่างๆ ด้วยความหวังว่าจะได้ทำงานที่ตนถนัดและร่ำเรียนมา บางคนก็นั่งทำงานตัวเป็นเกลียวเพื่อแลกกับเงินเดือน และความสำเร็จในชีวิตของตนเอง

    ลองพิจารณาผู้คนเหล่านี้สิครับ บางคนแย่กว่าเราด้วยซ้ำ แต่ทำไมเขาถึงยังตั้งหน้าตั้งตาทำ ทำ ทำ ก็เพราะชีวิตยังคงต้องเดินหน้าต่อไปน่ะสิครับ ถ้าเราไม่ทำ เราก็ไม่มีอะไรกิน ไม่มีความสำเร็จที่เราคาดหวังไว้

    สำหรับผมเอง การที่ได้มองดูชีวิตผู้คนเหล่านี้มันช่วยทำให้ผมรู้สึกเกิดแรง เกิดพลังที่จะสู้ชีวิตต่อไป ความท้อแท้ที่เกิดขึ้นมันจะเริ่มหายไป และหมดไป และเริ่มเข้าสู่ความหวังอีกครั้งหนึ่ง

    เพื่อนผมมีสองสามคนที่เป็นนัก ดนตรี คนแรกเล่นกีตาร์ ไปประกวดตามงานต่างๆ ก็พอจะได้รางวัลประดับบ้านบ้าง อีกคนเป่าแซกโซโฟน และเป็นนักดนตรีของโรงเรียน สองคนนี้ต่างก็วางเป้าหมายไว้ว่าจะเป็นศิลปินและนักดนตรีที่โด่งดังให้ได้ แต่โชคชะตากลับพลิกผัน ดนตรีไม่ได้ช่วยให้เขาได้งานทำ ไม่ได้ช่วยให้เขาได้ในสิ่งที่เขาหวัง แต่กลับทำให้เขายิ่งอดอยาก และหาเงินได้ไม่พอกับค่าใช้จ่ายในแต่ละวัน

    ทั้งสองคนก็เริ่มท้อแท้ใจ และคิดว่าจะทำอย่างไรดี สิ่งที่เขาทำเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะสั้นก็คือ การที่จะต้องหาเงินมาซื้อข้าวเพื่อประทังชีวิต ดังนั้นก็เดินเข้าโรงรับจำนำ เอาเครื่องดนตรีคู่กายไปจำนำ แซกโซโฟน อาจจะดูมีค่ามากกว่ากีตาร์ราคาไม่กี่พัน ดังนั้นก็เลยจำนำได้ง่ายกว่า ส่วนอีกคนก็ต้องหิ้วกีตาร์เข้าโรงรับจำนำไปเรื่อย รับจำนำแต่ให้ราคาไม่ดี บางที่เห็นก็ไม่รับแล้ว

    คนแรกที่จำนำได้ ก็นำเงินไปหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น หาซื้ออาหารประทังชีวิตไป แต่ถามว่าพอเงินหมดแล้วจะทำอย่างไร คราวนี้ยิ่งหนักกว่าเดิมเพราะเครื่องมือหากินคู่กายก็ไม่อยู่แล้ว แล้วเขาจะทำอะไร นี่คือผลจากความท้อแท้สิ้นหวัง และการคิดสั้นๆ เพื่อให้อยู่ไปวันๆ

    แต่อีกคนหนึ่งพอจำนำกีตาร์ไม่ได้ ก็ไม่มีอะไรกินเหมือนกัน ก็ไปนั่งพักเหนื่อยอยู่แถวๆ สวนจตุจักร ไม่มีอะไรทำ ก็เลยเอากีตาร์ขึ้นมาบรรเลงเพลงที่ได้ฝึกฝนมา คิดแค่ว่ามันอาจจะช่วยลดความรู้สึกหิวลงไปได้บ้าง เขาหลับตาบรรเลงไปเรื่อยๆ สักพักก็เริ่มมีคนสนใจในบทเพลงที่เขาบรรเลง เพิ่มหยิบเงินและใส่ลงไปในซองกีตาร์ที่เขาวางไว้กับพื้น ห้าบาทบ้าง สิบบาทบ้าง บางคนชอบใจมากๆ ก็ให้เป็นร้อยเลยก็มี เพราะด้วยฝีมือของเขานั้นเรียกว่าอยู่ในขั้นมืออาชีพจริงๆ

    วันนั้นเขา ได้ทำในสิ่งที่เขารัก และไม่อดตาย เครื่องมือในการหากินก็ยังอยู่ครบ ความท้อแท้เริ่มหายไป กลายเป็นความหวัง และเริ่มมีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตด้วยสิ่งที่เขามีอยู่

    วันรุ่งขึ้น เขาก็เริ่มตระเวนเล่นดนตรีตามข้างถนน เปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ จตุจักรบ้าง สยามบ้าง ไนท์พล่าซ่า บ้าง จนวันหนึ่งก็มีชายวัยกลางคนเดินเข้ามาหา และถามเขาว่า “ไปเล่นดนตรีกับพี่มั้ย พี่เห็นเรามาหลายวันแล้ว ฝีมือดีมาก พี่ชอบ น่าจะเล่นเพลงในแนวเดียวกันได้ดี” นั่นก็คือโอกาสที่เริ่มเข้ามาหาเขา ถ้าวันนั้นเขาจำนำกีตาร์ตัวนี้ไป วันนี้คงไม่มีโอกาสแบบนี้

    จาก วันนั้นเป็นต้นมา เขาก็ได้เล่นดนตรีกับวงดนตรีใหญ่ และผันตัวเองไปเป็นคนเบื้องหลัง แต่งเพลง ทำดนตรี และเป็นนักดนตรีในห้องอัดเสียงคอยเป็นมือปืนรับจ้างอัดเสียงให้กับศิลปิน ดังๆ หลายคน

    จะเห็นว่าความท้อแท้นั้นเกิดได้ แต่อยากไปจมกับมันมากนัก ต้องลงมือทำอะไรบางอย่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่เรารักและถนัดที่จะทำ ทำไปเถอะครับ ทำอย่างอดทน และมั่นคง ผมเชื่อว่าถ้าเราทำมันอย่างเต็มที่แล้ว ความหวัง และกำลังใจในชีวิตของเรา มันจะเริ่มกลับคืนมาสู่ชีวิตเรา และเราจะเริ่มเห็นโอกาสว่ามันเปิดรอเราอยู่ตรงหน้านี่เอง แต่ไอ้ความท้อแท้มันมาบังเราซะจนเรามองไม่เห็นโอกาสดีๆ เลย

    จงอย่าให้ความท้อแท้ มาทำให้เราท้อถอยนะครับ ชีวิตของเรายังมีโอกาส และความหวังรอเราอยู่เสมอครับ สู้ต่อไปนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...