พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    กฟภ. แนะ 18 วิธีใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างคุ้มค่า-ปลอดภัย

    -http://hilight.kapook.com/view/64880-


    เกริ่นนำโดยกระปุกดอทคอม


    กฟภ. แนะนำวิธีใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างปลอดภัย ป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุแบบรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และเป็นการใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัดไปในตัวด้วย

    อย่างที่รู้กันว่า ยุคสมัยนี้ เป็นยุคแห่งไฟฟ้าอย่างแท้จริง เห็นได้จาก ถ้าหากวันไหนไฟดับ ปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้นทันที เช่น หุงข้าวไม่ได้ รีดผ้าไม่ได้ เป็นต้น จากตัวอย่างที่กล่าวมา ก็พอเห็นได้ว่า ไฟฟ้าได้สร้างประโยชน์มหาศาลจริง ๆ แต่เมื่อมีประโยชน์มาก โทษก็ต้องมีมากเช่นกัน ถ้าหากใช้ไฟฟ้าไม่ถูกวิธี ก็อาจสร้างความเสียหายถึงแก่ชีวิตได้

    ดังนั้น เว็บไซต์การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จึงได้แนะนำการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าอย่างถูกวิธี เพื่อให้ประชาชนใช้ไฟฟ้าอย่างปลอดภัยที่สุด และเมื่อใช้ไฟฟ้าได้อย่างปลอดภัยที่สุด ก็ส่งผลให้ใช้ปริมาณไฟฟ้าลดลงไปในตัว เป็นการประหยัดไฟฟ้าทางอ้อมอีกด้วย รวม 18 ข้อด้วยกัน ดังนี้

    [​IMG]1. ควรตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนว่าจ้างบริษัทหรือช่างที่จะดำเนินการออกแบบและเดิน สายติดตั้งระบบไฟฟ้าว่าเป็นผู้ที่มีประสบการณ์ และมีความรู้ความชำนาญเท่านั้น

    [​IMG]2. อุปกรณ์การติดตั้งทางไฟฟ้าต้องเป็นชนิดที่ได้รับมาตรฐานต่างๆ เช่น สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) UL, VDE, IEC เป็นต้น

    [​IMG]3. การเดินสายและติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า ต้องเป็นไปตามกฎการเดินสายและติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า

    [​IMG]4. ก่อนใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าต้องอ่านและศึกษาคู่มือแนะนำการใช้งานให้เข้าใจและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด

    [​IMG]5. เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีเปลือกหุ้มภายนอกทำด้วยโลหะทุกชนิด เครื่องใช้ไฟฟ้าที่อาจมีไฟฟ้ารั่วมากับน้ำจำเป็นต้องมีการต่อสายดินภายใน บ้าน และใช้เต้าเสียบชนิดที่มีขั้วสายดินกับเต้ารับชนิดมีขั้วสายดินที่เป็น มาตรฐานเดียวกันเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ เช่น ตู้เย็น เตารีด หม้อหุงข้าว เตาไมโครเวฟ เครื่องซักผ้า หม้อต้มน้ำร้อน กระทะไฟฟ้าเครื่องทำน้ำอุ่น เตาไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ เป็นต้น

    [​IMG]6. เมื่อร่างกายเปียกชื้น ห้ามแตะต้องส่วนที่มีไฟฟ้าเครื่องใช้ไฟฟ้าเป็นอันขาดเพราะอาจมีไฟรั่ว และความต้านทานไฟฟ้าของผิวหนังที่เปียกชื้นลดลงอย่างมากทำให้กระแสไฟฟ้า สามารถไหลผ่านร่างกายได้โดยสะดวก อาจทำให้เสียชีวิตได้ เช่น การใช้เครื่องทำน้ำอุ่นในการอาบน้ำ นอกจากจะต้องติดตั้งสายดินแล้ว จะต้องติดตั้งเครื่องตัดไฟรั่วเพื่อเสริมการทำงานของสายดินให้ปลอดภัยยิ่ง ขึ้นด้วย

    [​IMG]7. ในการเดินสายไฟหรือลากสายไฟไปใช้งานนอกอาคารชั่วคราวหรือถาวร เช่น งานก่อสร้าง , ต่อเติม , ปรับปรุงนอกอาคาร นอกจากอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือเต้ารับนั้นจะต้องมีเครื่องตัดไฟรั่วด้วย จึงจะปลอดภัย

    [​IMG]8. ควรแยกวงจรไฟฟ้าที่น้ำอาจท่วมถึง เช่น บริเวณชั้นล่างของอาคาร เพื่อให้สามารถปลดไฟออกได้ทันทีเมื่อเกิดน้ำท่วมหรืออาจป้องกันวงจรที่แยก ออกนี้ด้วยเครื่องตัดไฟรั่วก็ได้

    [​IMG]9. หมั่นตรวจสอบอุปกรณ์ติดตั้งทางไฟฟ้าเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

    [​IMG]10. ฝึกให้เป็นคนช่างสังเกตสิ่งผิดปกติจากสี กลิ่น เสียง และการสัมผัสอุณหภูมิ รวมทั้งการใช้เครื่องมือง่ายๆ เช่น ไขควงหลอดไฟ เป็นต้น ตัวอย่างการสังเกต เช่น สีของสายเปลี่ยน มีกลิ่นไหม้ มีรอยเขม่า หรือรอยไหม้ มือจับสวิตช์ไฟหรือปลั๊กไฟแล้วรู้สึกอุ่นๆ เหล่านี้แสดงว่ามีความร้อนผิดปกติเกิดขึ้น อาจเกิดจากจุดต่อต่างๆ ไม่แน่นเต้าเสียบเต้ารับหลวม เป็นต้น

    [​IMG]11. อย่าพยายามใช้ไฟฟ้าหรือเปิดสวิตช์ไฟฟ้า เช่น พัดลมระบายอากาศในบริเวณที่มีไอของสารระเหยหรือก๊าซที่ไวไฟปกคลุมอยู่เต็ม พื้นที่เช่น ก๊าซหุงต้ม ทินเนอร์ หรือไอน้ำมันเบนซิน

    [​IMG]12. ให้ระมัดระวังการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าราคาถูกที่ผลิตแบบไม่ได้มาตรฐาน นอกจากจะมีอายุการใช้งานสั้นแล้ว อาจไม่ปลอดภัยในการใช้งานโดยเฉพาะเรื่องอัคคีภัย

    [​IMG]13. อุปกรณ์ที่มีการเสียบปลั๊กทิ้งไว้นานๆโดยที่ไม่มีผู้ดูแล เช่น หลอดไฟทางเดินหรือบันได, หม้อแปลงไฟขนาดเล็ก (ที่เรียกกันว่าอะแดปเตอร์) เครื่องชาร์จแบตเตอรี่ขนาดเล็ก เป็นต้น หากมีความจำเป็นต้องใช้ให้หลีกเลี่ยงการใช้ในบริเวณที่มีวัสดุติดไฟได้อยู่ ใกล้ๆ

    [​IMG]14. ทุกครั้งที่เลิกใช้เครื่องใช้ไฟฟ้า ให้ปิดสวิตซ์เครื่องใช้ไฟฟ้าก่อนและถอดปลั๊กออกจากเต้ารับทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เครื่องใช้ไฟฟ้าชำรุดง่าย

    [​IMG]15. อย่าพยายามซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วยตนเองหรือโดยช่างที่ไม่มีความรู้ความ ชำนาญไม่เพียงพอเครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภทจำเป็นต้องอาศัยอุปกรณ์ ตรวจสอบด้านความปลอดภัย เช่น เตาไมโครเวฟ ต้องมีการตรวจสอบของการรัวของคลื่นไมโครเวฟไม่ให้มีมากเกินอันตรายที่กำหนด หรือเครื่องใช้ที่มีสายดินต้องตรวจสอบความต่อเนื่องและฉนวนของสายดินกับสาย ศูนย์ เป็นต้น

    [​IMG]16. หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องมือไฟฟ้าในขณะที่มีฝนตกฟ้าคะนอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น โทรทัศน์ วีดีโอ เครื่องเสียง คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์สื่อสาร โทรศัพท์ เป็นต้น เพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ชำรุดเสียหายเมื่อมีฟ้าผ่าเกิด ขึ้นในบริเวณใกล้เคียง ให้ปิดเครื่องถอดปลั๊กรวมทั้งสายอากาศ และสายโทรศัพท์ออกจากเครื่องทุกครั้ง

    [​IMG]17. เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ควบคุมการปิด-เปิด ด้วยรีโมทคอนโทรล หรือปุ่มสัมผัสอิเล็กทรอนิกส์ โทรทัศน์ เครื่องเสียงอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ เมื่อปิดเครื่องจะมีไฟเลี้ยงวงจรควบคุมอยู่ตลอดเวลา จึงมักมีตัวอย่างของการเกิดอุปกรณ์ควบคุมภายในชำรุด และบางครั้งทำให้เกิดไฟลุกไหม้ทรัพย์สินเสียหายอยู่เสมอ ดั้งนั้นจึงควรถอดปลั๊ก หรือติดตั้งวงจรสวิตช์ตัดต่อวงจร เพื่อปลดไฟออกทุกครั้งที่เลิกใช้งาน

    [​IMG]18. ฝึกฝนให้รู้จักวิธีแก้ไขและป้องกันรวมทั้งช่วยเหลือปฐมพยาบาล เมื่อมีอุบัติเหตุทางไฟฟ้าเกิดขึ้น


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค

    -http://hilight.kapook.com/view/64880-

    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    สื่อนอก ตีข่าวน้ำท่วมไทย ทหารได้ใจประชาชน

    -http://thaiflood.kapook.com/view33626.html-

    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก ไทยพีบีเอส

    เอเอฟพี ตีข่าวทหารไทยได้ใจประชาชน ช่วยน้ำท่วม ชี้ทำวิกฤติเป็นโอกาส ลบภาพลักษณ์ในการชุมนุมเสื้อแดงเมื่อปีที่แล้ว

    วันนี้ (19 พฤศจิกายน) สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากคำพูดของ นายปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิจัยจากสถาบันเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาแห่งสิงคโปร์ ว่า จากเหตุการณ์น้ำท่วมที่กำลัง วิกฤติในขณะนี้ ทำให้คนไทยเห็นด้านดีของกองทัพทหาร เนื่องจากทหารหลายหมื่นนาย ได้ลงมาช่วยเหลือประชาชน ไม่ว่าจะเป็นการเคลียร์ถนนในช่วงน้ำท่วม การขับรถรับส่งประชาชน การเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงกรอกกระสอบทราย หรือว่าช่วยประชาชนขนของอพยพ อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

    ทางสำนักข่าวเอเอฟพียังรายงานต่อว่า ถึงแม้ว่าทหารไทยจะเสียภาพลักษณ์ไปเมื่อการชุมนุมเสื้อแดงปีทีผ่านมา แต่ในครั้งนี้ และถึงแม้ว่าในขณะนี้ จะมีความแตกแยกทางการเมือง แต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ก็สามารถฟื้นภาพลักษณ์ให้กับทหารไทย ด้วยการประนีประนอม

    ส่วนทางด้าน รศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แสดงความเห็นที่ตรงกับสำนักข่าวเอเอฟพีว่า พลเอกประยุทธ์ วางบทบาททหารได้อย่างชาญฉลาด เพราะเขาทราบดีว่า วิกฤติน้ำท่วมจะทำให้ภาพลักษณ์ และรัฐบาลของ นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีอ่อนแอลง จึงได้ให้ทหารเข้ามาช่วยเหลือประชาชน และถอยห่างเรื่องการเมืองออกมา และนอกจากนี้ ทหารยังได้รับความเชื่อใจจากประชาชนอีกครั้ง ถือว่าเป็นการสร้างประโยชน์ให้แก่กองทัพในระยะยาว

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
    [​IMG]


    -http://www.komchadluek.net/detail/20111119/115447/%E0%B8%AA%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AF%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%97%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%84%E0%B8%97%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%88%E0%B8%9B%E0%B8%8A%E0%B8%8A..html-





    -http://thaiflood.kapook.com/view33626.html-



    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    มัลแวร์ในแอนดรอยด์มีปริมาณสูงขึ้นกว่า 472% <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">19 พฤศจิกายน 2554 02:22 น.</td> </tr></tbody></table>

    -http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9540000147525-



    ดูเหมือนว่าความไม่ปลอดภัยในวงการเทคโนโลยีจะเริ่มขยายวงกว่้างไป สู่ผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนมากขึ้นแล้ว หลังจากผลสำรวจของ Jupiter Networks รายงานว่าขณะนี้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์กลายเป็นเป้าหมายใหญ่ของ"มัลแว ร์"ที่จ้องจะเล่นงาน ซึ่งมีจำนวนมหาศาลคิดเป็นเปอร์เซนต์สูงถึง 472% เลยทีเดียว

    รายงานจาก Jupiter Networks ระบุว่าขณะ นี้มีสัญญาณเตือนถึงความไม่ปลอดภัยของระบบปฏิบัติการยอดนิยมบนสมาร์ทโฟนอ ย่างแอนดรอยด์ หลังจากที่ผลสำรวจล่าสุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมจนถึงปัจจุบัน (พฤศจิกายน) ชี้ให้เห็นว่าจำนวนของ "มัลแวร์" ในระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์มีสูงถึง 472% และไม่มีทีท่าจะลดลง

    การที่ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์เป็นที่นิยมในปัจจุบันส่งผลให้ผู้ไม่ ประสงค์ดีในวงการเทคโนโลยีต่างใช้ความนิยมตรงนี้เป็นฐานในการโจมตี ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาแอนดรอยด์ มาร์เก็ต หรือตลาดกลางสำหรับดาวน์โหลดหรือซื้อแอปพลิเคชัน ก็เคยถูกโจมตีมาก่อนเช่นกัน จึงทำให้กูเกิลผู้พัฒนาหลักมีความตื่นตัวในเรื่องของการตรวจสอบแอปพลิเคชัน โดยมัลแวร์หลายตัวที่ถูกพบจะใช้การปลอมตัวเป็นแอปพลิเคชันที่มีการใช้งานอย่างแพร่หลาย หรือเป็นที่นิยมของผู้ใช้

    แต่ถึงอย่างไรก็ตามกระบวนการดังกล่าวก็ยังคงมีช่องโหว่ให้เห็นอยู่ เนือง ๆ ซึ่งบ่อยครั้งที่กูเกิลไม่สามารถแจ้งเตือนได้ว่าแอปพลิเคชันใดๆ ก็ตามที่อยู่ในแอนดรอยด์ มาร์เก็ต มีมัลแวร์ หรือโปรแกรมไม่ประสงค์ดีฝังตัวอยู่ ทำให้ผู้ใช้เข้าใจว่าแอปพลิเคชันที่ดาวน์โหลดมาจากแอนดรอยด์ มาร์เก็ตมีความปลอดภัย ทำให้ผู้ใช้ไม่มีอาการลังเลใดๆ ที่จะดาวน์โหลดแอปพลิเคชันเหล่านั้น

    ซึ่งสิ่งที่ต้องการของโปรแกรมไม่ ประสงค์ดีเหล่านี้ มักจะต้องการข้อมูลส่วนตัวของเป้าหมาย และที่สำคัญผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนสายพันธ์แอนดรอยด์ส่วนใหญ่มักจะทำการ "Root" เครื่อง เพื่อติดตั้งแอปพลิเคชันอื่นๆ ที่ไม่ได้มาจากแอนดรอยด์ มาร์เก็ต จนทำให้เกิดช่องโหว่ขนาดใหญ่ ที่จะทำให้โปรแกรมประเภทมัลแวร์นี้ได้ข้อมูลส่วนตัวง่ายยิ่งขึ้น

    ท้ายที่สุด Jupiter Networks ได้ฝากเตือนทิ้งท้ายสำหรับผู้ใช้สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ว่าควรจะมีการสังเกตแอ ปลิเคชันทุกตัวที่จะทำการดาวน์โหลด โดยควรตรวจสอบคำอธิบายแอปฯ รวมไปถึงคอมเมนต์ของผู้ใช้งานแอปพลิเคชัน, คะแนนยอดนิยม ประกอบการตัดสินใจ

    ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าถึงแม้ผู้ให้ บริการอย่างกูเกิลจะมีมาตรการที่แน่นหนาและมีความน่าเชื่อถือขนาดใดก็ตาม แต่สิ่งเหล่านี้ก็มีโอกาสที่จะหลุดรอดออกมา สร้างความเสียหายแก่ผู้ใช้งานได้เช่นกัน

    Company Related Link :
    Android

    -http://www.manager.co.th/CyberBiz/ViewNews.aspx?NewsID=9540000147525-

    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    นิทานสอนใจ : ขออีก 1 นาที <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">20 พฤศจิกายน 2554 09:26 น.</td></tr></tbody></table>
    -http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000147215-

    [​IMG]
    ขอบคุณภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต




    ครอบ ครัวหนึ่งมีลูกชายชื่อเจี๊ยบ เป็นเด็กที่ไม่ค่อยกระตือรือร้น ทำอะไรชักช้า และค่อนข้างขี้เกียจ ทุก ๆ เช้าเมื่อแม่เรียกให้ตื่นไปโรงเรียน เจี๊ยบจะงัวเงียบอกว่า "ขออีก 1 นาทีครับแม่" พอลงมาข้างล่างแทนที่จะรีบกินข้าวเช้าก็ไปเปิดโทรทัศน์นั่งดูการ์ตูน พอแม่เรียกให้มากินข้าวก็บอกว่า "เดี๋ยวแม่ ขออีก 1 นาที" จนแม่เอ่ยปากว่าจะทำโทษนั่นล่ะ เจี๊ยบถึงจะมานั่งกินข้าวที่โต๊ะอาหารได้สักที

    "คอยดูเถอะเจี๊ยบ" พ่อซึ่งมองลูกชายคนเดียวอย่างระอาพูดขึ้น "สักวันแกจะต้องเจอเรื่องที่แม้ 1 นาทีก็ให้ไม่ได้ ถ้าถึงวันนั้นแล้วแกจะรู้สึก"

    การขอเวลา 1 นาทีทำให้เจี๊ยบไปโรงเรียนสายทุกวัน และการทำโทษให้วิ่งรอบสนามก็ไม่ได้ทำให้เจี๊ยบจดจำเลยแม้แต่น้อย เขากล้าต่อรองเวลาแม้แต่กับครู

    "ไปเข้าห้องเรียนได้แล้วเจี๊ยบ" ครูร้องเตือนเมื่อเห็นเจี๊ยบยังเดินเอ้อระเหยลอยชายอยู่ในสนามหญ้า ทั้ง ๆ ที่ออดเรียกเข้าชั้นเรียนดังไปพักหนึ่งแล้ว

    "ขออีก 1 นาทีครับครู" เจี๊ยบบอกโดยไม่ทุกข์ร้อน

    วันหนึ่งเป็นวันหยุด แม่บอกเจี๊ยบตั้งแต่เมื่อคืนแล้วว่าจะไปเยี่ยมยายที่บ้านสวน เจี๊ยบชอบบ้านสวนของยายจึงขอตามแม่ไปด้วย แต่พอรุ่งเช้า เจี๊ยบก็ตื่นสาย ไม่ว่าแม่จะขึ้นไปปลุกกี่ครั้ง เจี๊ยบก็พูดว่า "ขออีก 1 นาที.. ขออีก 1 นาที" ตลอด ในที่สุดแม่ก็ตัดสินใจไปบ้านสวนของยายคนเดียว เพราะถ้าออกช้ากว่านั้นจะหารถโดยสารไปยาก

    สักพักเจี๊ยบก็เดินงัวเงียลงมาจากห้องนอน เมื่อไม่เห็นแม่อยู่ในบ้านจึงถามพ่อว่า "แม่ล่ะครับพ่อ"

    "แม่ไปบ้านยายแล้ว" พ่อบอก

    "อ้าว ทำไมไม่รอผม" เจี๊ยบร้อง เขาอยากไปบ้านสวนของยายมาก

    "แม่รอแกจนรอไม่ได้อีกแล้ว รู้รึเปล่าว่าแค่ 1 นาทีที่แกขอก็ทำให้แม่ตกรถได้ นี่ยังไม่รู้เลยว่าแม่จะได้นั่งรถอะไรไป ถ้าโชคดีก็ได้ไปสายรถประจำ แต่ถ้าไปไม่ทันก็ต้องขึ้นรถที่วิ่งเป็นทางผ่าน แล้วรถสายนั้นน่ะขับอันตรายจะตายชัก" พ่อบ่นเจี๊ยบด้วยความเป็นห่วงแม่

    "แหม ไม่แย่ขนาดนั้นหรอกน่าพ่อ" เจี๊ยบบอก

    ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ขณะที่เจี๊ยบกำลังอาบน้ำอยู่ เขาก็ได้ยินเสียงพ่อร้องเอะอะอยู่ชั้นล่าง จึงรีบวิ่งลงมาดู หน้าของพ่อซีดขาวราวกับกระดาษ

    "รถที่แม่นั่งประสบอุบัติเหตุ แม่อาการสาหัส เราต้องไปที่โรงพยาบาลเดี๋ยวนี้" พ่อพูดเสียงแตกพร่า เจี๊ยบตกใจจนหน้าซีดตามพ่อไปอีกคน เขารีบขึ้นไปแต่งตัวโดยไม่มีคำว่า "ขออีก 1 นาที" เหมือนเช่นทุกครั้ง

    ทันทีที่สองพ่อลูกไปถึงโรงพยาบาล ก็ช่วยกันตามหาแม่ในห้องฉุกเฉิน แล้วก็พบแม่นอนนิ่งอยู่ที่เตียงในสุด เลือดสีแดงไหลอาบอยู่เต็มหน้าแม่ และพยาบาลกำลังจะเข็นแม่ไป

    "แม่ แม่" เจี๊ยบร้องเรียกแม่เสียงดังลั่น น้ำตาเอ่อล้นทะลัก บุรุษพยาบาลเข้ามากันเขาไว้ เพราะเกรงว่าจะกีดขวางทางของรถเข็น

    "แม่ แม่ ตื่นสิแม่ ผมอยู่นี่ อยู่ตรงนี้" เจี๊ยบยังคงร้องเรียกแม่เขาต่อไป และทุบตีบุรุษพยาบาลที่จับตัวเขาไว้ "ปล่อยผม ผมจะไปหาแม่"

    <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="400"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="400"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> พยาบาลคนหนึ่งหันมาบอกพ่อของเจี๊ยบซึ่งยืนกุมมือแม่อยู่ว่า "เราต้องพาภรรยาของคุณไปผ่าตัดด่วน เธอเสียเลือดไปมากจากอุบัติเหตุครั้งนี้"

    คำพูดนั้นทำให้เจี๊ยบรู้ทันทีว่าเขาจะไม่ได้เห็นหน้าแม่อีก

    "เดี๋ยวครับ ขอเวลาให้ผมอยู่กับแม่สัก 1 นาที ได้โปรดให้ผมได้บอกแม่ว่า ผมรักแม่ ให้ผมได้กอดแม่อีกสักครั้ง" เจี๊ยบร้องอ้อนวอนอย่างน่าเวทนา แต่ไม่มีใครฟัง พยาบาลและบุรุษพยาบาลเข็นเตียงของแม่เข้าห้องผ่าตัด และหายไปในนั้นเป็นเวลานาน ก่อนที่แพทย์จะออกมาแจ้งข่าวร้ายว่า..แม่ของเจี๊ยบเสียชีวิตไประหว่างการผ่า ตัด

    เจี๊ยบมารู้อีกในภายหลังว่า รถคันที่แม่นั่งไปประสบอุบัติเหตุนั้น ไม่ใช่รถเมล์สายประจำไปบ้านยาย แต่เป็นรถสองแถวที่ขับโดยคนขับรถที่ขาดความรับผิดชอบ คน ๆ นั้นอยากได้เงินมาก ๆ แต่ไม่สนใจความปลอดภัยของผู้โดยสาร แม่ของเจี๊ยบมาคนสุดท้ายจึงต้องนั่งเบียดอยู่นอกสุด และกระเด็นออกไปไกลเมื่อรถประสบอุบัติเหตุ

    พ่อโกรธคนขับรถมาก บอกจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แต่เจี๊ยบไม่โกรธคนขับรถเลย เขาโกรธและเกลียดตัวเอง ด้วยเพิ่งเข้าใจว่าเวลา 1 นาทีที่เขาเคยขออย่างพร่ำเพรื่อนั้นมีค่ามากมายเพียงไร เพราะ 1 นาทีที่ได้มาในวันนี้ต้องแลกกับเวลาทั้งหมดในชีวิตของแม่

    ถ้าเจี๊ยบตื่นทันทีที่แม่เรียก ถ้าเขาไม่ขอแค่ 1 นาทีเพื่อให้ได้นอนต่อ แม่ก็คงไม่ตกรถประจำทางจนต้องไปนั่งรถปิศาจคันนั้น กระทั่งถึงคราวที่เจี๊ยบต้องการเวลาจริง ๆ เขากลับไม่มีแม้เพียง 1 นาทีที่จะได้อยู่กับแม่...ไม่มีแม้เพียงวินาทีด้วยซ้ำไป...ไม่มีเลย

    บทสรุปของผู้แต่ง

    เงยหน้ามองเข็มวินาทีอันเล็ก ๆ ที่เดินอยู่ในนาฬิกาสิ..นั่นล่ะ คือ เวลาในชีวิตของเรา

    ทันทีที่เธอคิดว่า "เดี๋ยว ขอเวลาอีกหน่อย" หรือ "เดี๋ยว เอาไว้ทำวันหลัง" รู้ไว้เลยว่าเธอกำลังสูญเสียสิ่งดี ๆ ในชีวิตไปมากมาย คนที่ตื่นตั้งแต่เช้ามาทำงานย่อมทำงานได้มากกว่าคนนอนตื่นสายอย่างไม่ต้อง สงสัย เด็กที่ทำการบ้านเสร็จมาจากโรงเรียนก็ได้วิ่งเล่นในตอนเย็นกับเพื่อน ๆ อย่างเต็มที่ คนที่รู้คุณค่าของเวลามักได้เปรียบคนอื่นและเสียสิ่งดี ๆ ในชีวิตไปน้อยมาก แน่นอนว่า ชีวิตของคนแบบนี้ย่อมปรีดิ์เปรมไปด้วยความสุขสมหวัง

    เข็มวินาทีเดินเร็วกว่าจังหวะการหายใจอีก ชีวิตคนเราก็เป็นอย่างนั้น มักมีอะไรเหนือความคาดหมายเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา และบางทีก็เกิดขึ้นเร็วเสียจนตั้งตัวไม่ทัน เราไม่มีทางรู้ล่วงหน้าเลยว่า พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร แต่ถ้าวันนี้เราไม่ผัดวันประกันพรุ่ง ไม่พูดว่า "เดี๋ยว" และใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ไม่ว่าพรุ่งนี้จะเป็นเช่นไร เราก็ไม่กลัวที่จะรับมือกับมัน และไม่ต้องตั้งคำถามที่ไร้ประโยชน์ในภายหลังว่า "เมื่อวานเรามัวทำอะไรอยู่"

    ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ฟรีมายด์ที่เอื้อเฟื้อนิทานสอนใจดี ๆ ในชุดหนังสือนิทานสีขาวของ ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ



    -http://www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9540000147215-

    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    วิศวฯ มศว แนะวิธีดูแล "เครื่องมือการเกษตร"หลังน้ำลด
    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 พฤศจิกายน 2554 10:27 น.

    -http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9540000147319-



    วิศวกรรม เครื่องกล มศว แนะวิธีดูแลรถไถนาและเครื่องมือการเกษตรหลังน้ำท่วม จังหวัดใดต้องการความช่วยเหลือ พร้อมลงพื้นที่ช่วยเกษตรกรทันที

    ดร.ประชา บุณยวานิชกุล อาจารย์ประจำภาควิชา วิศวกรรมเครื่องกล มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) เปิดเผยว่าในภาวะอุทกภัยส่งผลกระทบถึงประชาชนทุกกลุ่มในหลายจังหวัด โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกร ชาวไร่ชาวนาในแถบภาคกลาง


    <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="305"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="305"> [​IMG]

    </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
    "ประชาชนกลุ่มนี้มีเครื่องมือทางการ เกษตรซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการประกอบอาชีพ บางคนสามารถขนย้ายเครื่องมือเหล่านั้นออกจากพื้นที่น้ำท่วมได้ แต่มีชาวไร่ ชาวนา ชาวสวนจำนวนไม่น้อยต้องปล่อยให้น้ำท่วมเครื่องไม้เครื่องมือเหล่านั้น ในช่วงที่น้ำเริ่มรถและสามารถเคลื่อนย้ายรถออกมาดูแลได้จึงขอให้ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวนตรวจตรา รถไถเดินตามของตัวเอง ซึ่ง มีอยู่ 2 ระบบ ระบบแรกคือเครื่องยนต์ดีเซล หากน้ำท่วมเกินกว่าระดับท่อไอเสีย หรือท่อไอดีแสดงว่าน้ำเข้าตัวเครื่อง ต้องรีบถ่ายน้ำมันเครื่องและถอดเครื่องยนต์ออกมาทุกชิ้น ตรวจดูห้องเกียร์ สายพานนำมาเช็ดให้สะอาด หากเป็นรถไถเดินตามรุ่นเก่าที่ทำขึ้นนโรงงานในท้องถิ่น จะมีปัญหาบริเวณห้องเกียร์โดยเฉพาะรอยเชื่อมให้รีบเชื่อมใหม่ ถ้าเป็นรถไถเดินตามรุ่นใหม่ๆ จะไม่ค่อยมีปัญหาอย่างไรก็ตามต้องรีบถ่ายน้ำมันเครื่อง สำหรับรถไถนั่งขับขนาดใหญ่ต้องเช็คว่าน้ำเข้าหรือไม่และน้ำท่วมเกินกว่า ระดับท่อไอเสีย และท่อไอดีหรือไม่ ถ้าไม่ถึงท่อไอเสียและท่อไอดีก็ไม่มีปัญหา ประเด็นสำคัญอยู่ที่ระบบไฟฟ้า และระบบไฮโดรริกของเครื่องยนต์ ให้ตรวจดูลูกปืนที่ล้อจะต้องเช็ดทำความสะอาดลูกปืนที่ล้อด้วยจาระบีด้วย"


    ส่วนเครื่องมือทางการเกษตรอื่นๆ ที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน อาทิเช่น เครื่องตัดหญ้า เครื่องพ่นยา ถ้าขนย้านไม่ทันให้ดูว่าน้ำท่วมเกินท่อไอเสียและท่อไอดีหรือไม่ และต้องตรวจดูหัวเทียนจุดระเบิด ตรวจดู ตลับลูกปืนใบมีดและต้องอัดจารบีเพื่อกันสนิม หากทางจังหวัดที่ประสบอุทกภัยหรือกลุ่มเกษตรกรกลุ่มใดต้องการให้ภาควิชา วิศวกรรมเครื่องกล มศว ไปช่วยเช็คเครื่องมือทางการเกษตรให้รวมกลุ่มกัน ติดต่อมาได้ที่ ศูนย์สารสนเทศและการประชาสัมพันธ์ มศว โทร. 0-2649-5000 ต่อ 5666














    -http://www.manager.co.th/Campus/ViewNews.aspx?NewsID=9540000147319-

    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ขนส่งเตือนป้ายหายน้ำท่วม ต้องทำใหม่ภายใน 15 วัน






    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    ชาวบ้านหารายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ จากน้ำท่วม เก็บป้ายทะเบียนรถรอเจ้าของมารับคืน ขณะที่กรมขนส่ง เตือน หากทำป้ายทะเบียนปลอมโทษปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท

    ในสถานการณ์น้ำท่วมเช่นนี้ ส่งผลให้รถจำนวนมากต้องจอดจมอยู่ใต้น้ำ เป็นเหตุให้แผ่นป้ายทะเบียนรถหายไปเป็นจำนวนมาก ดังนั้น กรมการขนส่งทางบก จึงออกมาระบุว่า หากป้ายทะเบียนรถสูญหายจะต้องมาทำป้ายใหม่ภายใน 15 วัน โดยไม่ต้องแจ้งความกับตำรวจ และสามารถแจ้งโดยตรงกับสำนักงานขนส่งได้ทันที แต่ต้องนำบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน มาดำเนินการ หากมอบอำนาจให้ผู้อื่นดำเนินการแทนได้โดยมีค่าใช้จ่าย 100 บาท

    นอกจากนี้ กรมการขนส่งยังเตือนว่า หากมีการนำทะเบียนรถยนต์ไปสวมทับรถที่ผิดกฎหมาย ถือเป็นการทำป้ายทะเบียนปลอม จะมีโทษจำคุก 6 เดือนถึง 5 ปี ปรับไม่เกิน 10,000 บาท

    ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่คลอง 3 ต.บึงยี่โถ อ.ธัญบุรี จ.ปทุมธานี ได้ใช้เวลาว่างในช่วงที่ไม่สามารถประกอบการอาชีพประจำได้ ทำการเก็บรวบรวมป้ายทะเบียนมาวางริมถนนเพื่อรอเจ้าของมารับคืน ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะตอบแทนด้วยการให้สินน้ำใจเล็ก ๆ น้อย ๆ ในขณะที่ยังไม่สามารถประกอบอาชีพได้นี้ ก็ถือเป็นการช่วยเหลือกันไป

    ทั้งนี้ ผู้ขับขี่รถยนต์สามารถตรวจสอบป้ายทะเบียนรถที่หล่นหาย ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1197 พร้อมนำเอกสารยืนยันความเป็นเจ้าของรถ โดยนำบัตรประจำตัวประชาชนไปติดต่อได้ที่กองกำกับการ 3 บก.จร.





    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
    [​IMG]

    -http://news.thaipbs.or.th/content/%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%87%E0%B8%9A%E0%B8%97%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%9A%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B8%AD%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%97%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A1-



    -http://thaiflood.kapook.com/view33678.html-


    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    คำรณวิทย์ รับ เห็นใจชาวลำลูกกา น้ำท่วมขังนาน


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]



    คำรณวิทย์ รับ เห็นใจชาวลำลูกกา (ไอเอ็นเอ็น)

    รอง ผบช.ภ.1 เผย หลังเจราจาชาวลำลูกกา วานนี้ (19 พ.ย.) สถานการณ์ยังปกติดี ชาวบ้านออกมาสังเกตการณ์วันหยุด ยอมรับ เห็นใจชาวบ้าน เหตุน้ำท่วมขังนาน

    เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาคที่ 1 เปิดเผยความคืบหน้า หลังจากกรุงเทพมหานคร ยอมรับข้อเสนอของชาว อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เปิดประตูระบายน้ำ 3 แห่ง คือ ประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์ 1.05 เมตร เปิดประตูระบายน้ำคลองลำหม้อแตก จาก 20 เซนติเมตร เป็น 50 เซนติเมตร และเปิดประตูระบายน้ำคลองสอง จาก 1 เมตร เป็น 1.20 เมตร โดยหลังจากที่ได้มีการตกลงกันแล้ว ขณะนี้สถานการณ์ยังเรียบร้อยดี

    โดย ในเช้าวันนี้ (20 พฤศจิกายน) ซึ่งเป็นวันหยุดราชการ มีกลุ่มชาวบ้านใน อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี จำนวนไม่มาก เดินทางมาดูสถานการณ์ที่บริเวณประตูระบายน้ำ พร้อมกันนี้ ยังกล่าวด้วยว่า ผลการเจรจาเมื่อวานที่ผ่านมาเป็นไปในแนวทางที่ดี และหลังจากนี้ ทางกรมชลประทาน และ กทม. ต้องมีการบริหารจัดการน้ำที่ดีขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา และเมื่อมีการยอมรับในข้อเสนอของชาวบ้านแล้วก็ต้องทำให้ได้

    ทั้ง นี้ ส่วนตัวยอมรับว่าเห็นใจชาวบ้าน เนื่องจากในพื้นที่เป็นพื้นที่รับน้ำ และต้องทนอยู่กับน้ำที่ท่วมขังมาเป็นเวลานานนับเดือน จึงเห็นว่าหากรัฐบาลสามารถดำเนินการเยียวยา หรือช่วยเหลือชาวบ้านได้ ก็ขอให้ดำเนินการทันที ขณะเดียวกัน ชาวบ้านในพื้นที่ได้ขอความร่วมมือให้ทางเจ้าหน้าที่คอยอำนวยความสะดวกด้าน การเดินทางเข้า - ออก


    [​IMG]



    [19 พฤศจิกายน] ลงตัว! ถกลำลูกกา-สายไหม ศปภ.รับทุกข้อเสนอ

    สรุปประเด็นข่าวโดยกระปุกดอทคอม

    การเจรจา 4 ฝ่าย ลำลูกกา-สายไหม ศปภ. และ กทม. เรียบร้อยดี ศปภ. รับข้อเสนอทุกข้อ เปิดประตูระบายน้ำ 3 จุด

    เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2554 บรรยากาศ ก่อนการเจรจา 2 ฝ่าย ระหว่าง ชาวบ้านเขตสายไหมและชาวบ้านลำลูกกา โดยมี ศปภ. เป็นสื่อกลางในการเจราจร บริเวณบิ๊กซี คลองสี่ ขณะนี้ มวลชนได้เดินทางเข้ามาร่วมฟังการเจรจากันอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ชาวบ้านลำลูกกา ได้มีการตั้งโต๊ะ กางแผนที่หารือ ที่จะมีขึ้นในเวลา 12.00 น. โดยจัดการเจรจา นัดแรกกับทาง กทม. ได้มีการทำข้อตกลงไว้ 3 ข้อคือ เปิดประตูระบายน้ำพระยาสุเรนทร์ การทำฝายน้ำล้น การเยียวยาชาวลำลูกกา ซึ่งทาง กทม. ได้มีการเปิดประตูระบายน้ำพระยาสุเรนทร์แล้ว 1 เมตร ตามข้อตกลงแล้ว 1 ข้อ แต่การเจรจาในวันนี้ (19 พฤศจิกายน) ชาวบ้านต้องการความชัดเจนใน 2 หลัง คือ การทำฝายน้ำล้น และการเยียวยาชาวลำลูกกา และบรรยากาศล่าสุดในขณะนี้ ก็กำลังรอ เจ้าหน้าที่จาก ศปภ. เดินทางมาเจรจาในส่วนนี้

    ทั้งนี้ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ในฐานะ โฆษก ศปภ. เปิดเผยก่อนการเข้าประชุมเจรจา ระหว่างชาวบ้านลำลูกกา ที่ยื่นข้องเรียกร้อง 3 ข้อ กับชาวบ้านฝั่งเขตสายไหมว่า การเจรจาต้องจบในวันนี้ และมั่นใจว่า จะไม่มีเหตุการณ์ทำลายแนวคันกั้นน้ำเกิดขึ้นอีก โดยในการประชุมวันนี้ มีตัวแทนจาก 4 ฝ่าย คือ ศปภ. , ตำรวจภูธรภาค 1 คือ พล.ต.ต.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 , นายสมภพ ระงับทุกข์ รองปลัดกรุงเทพมหานคร และตัวแทนชาวบ้านลำลูกกา และเขตสายไหม โดยในขณะนี้มีการเจรจาผ่านไปกว่าเกือบชั่วโมงแล้ว และจะมีการจัดแถลงข่าวถึงผลการเจรจา ส่วนความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป

    ต่อมา เวลา 16.00 น. หลังจากมีการร่วมเจรจาเพื่อหาข้อยุติระหว่างชาวบ้านลำลูกกา และชาวบ้านเขตสายไหม โดยมีตัวแทนจาก ศปภ. กทม. ผู้ว่าฯ ปทุมธานี ตำรวจภูธรภาคที่ 1 และตัวแทนจากชาวบ้านลำลูกกา และเขตสายไหม ร่วมกันเจรจา โดยทาง พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ โฆษก ศปภ. ได้เปิดแถลงข่าวถึงข้อสรุปว่า วันนี้ทางชาวบ้านทั้ง 2 ฝ่าย ได้ยอมรับผลการเจรจาร่วมกันด้วยดี

    โดยจะเปิดประตูระบายน้ำ 3 แห่ง คือ ประตูระบายน้ำพระยาสุเรนทร์ เปิด 1 เมตรตลอด ประตูระบายน้ำลำหม้อแตก เปิด 50 ซม. ประตูระบายน้ำคลองสอง เปิด 1.20 เมตร จะทำให้ระดับน้ำลดลงวันละ 3-5 ซ.ม. ส่วนมาตรการเยียวยา ทาง โฆษก ศปภ.จะรับเรื่องไปหารือกับทางรัฐบาลอีกครั้ง แต่ยืนยันว่า เงินเยียวยาครอบครัวละ 5,000 บาท จะดำเนินการและรับเงินชุดแรก ภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายน นี้




    [​IMG]

    [17 พฤศจิกายน] ป่วน! มือดีปาวัตถุคล้ายระเบิดใส่ชาวคลองหกวา เจ็บ 6

    [​IMG]


    ป่วน! มือดีปาวัตถุคล้ายระเบิดใส่ ปชช.ที่ คลองหกวา เจ็บ 6 (ไอเอ็นเอ็น)
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก บริษัทแพรคติก้า

    มือป่วนปาวัตถุคล้ายระเบิด ใส่ชาวบ้านคลองหกวา ด้านเจ้าหน้าที่ อปพร ได้รับบาดเจ็บ 6 คน

    วันนี้ (17 พฤศจิกายน) เมื่อเวลาประมาณ 19.00 น. ที่ผ่านมา สถานการณ์ล่าสุด ที่บริเวณแนวคันกั้นน้ำบริเวณริมคลองหกวาสายล่าง เขตสายไหม หลังจากที่มีชาวบ้านสายไหมกว่า 100 คน ได้ช่วยกันซ่อมแนวกระสอบทรายที่พังลงกว่า 100 เมตร เสร็จสิ้น แต่ยังมีการรวมตัวกันอยู่ในบริเวณนี้นั้น ก็ได้มีเสียงดังขึ้นคล้ายเสียงระเบิด ซึ่งภายหลังจากเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สายไหม ก็ได้เข้าไปตรวจสอบพบว่า เป็นลักษณะของก้อนอิฐที่พันติดกับดินปืน และโยนเข้ามาบนสะพานข้ามคลองหกวา โดยคาดว่า เหตุดังกล่าวเป็นฝีมือของกลุ่มผู้ไม่หวังดีที่ต้องการสร้างสถานการณ์เท่า นั้น

    ทั้งนี้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้กลุ่มชาวบ้านสายไหม และเจ้าหน้าที่ อปพร. ที่ยืนอยู่ในบริเวณใกล้เคียงจำนวน 6 คน ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยจากเศษก้อนอิฐที่แตกกระจายออกมาถูกตามแขนและขา อย่างไรก็ตาม หลังจากเกิดเหตุ ได้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจกองร้อยควบคุมฝูงชน กองบังคับการตำรวจนครบาล 2 จำนวนหนึ่ง มาคอยดูแล และเฝ้าสังเกตการณ์ในบริเวณนี้อย่างใกล้ชิดแล้ว

    [​IMG] ชาวลำลูกกาบุกรื้อกระสอบทรายคลองหกวา


    ชาว บ้านลำลูกกา กว่า 200 คน บุกรื้อแนวกระสอบทราย ริมคลองหกวา โวย น้ำเริ่มเน่าเสียและส่งกลิ่นเหม็น จี้ เปิดประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์ด้วย

    ชาวบ้านที่อาศัยอยู่บริเวณ อ.ลำลูกกา กว่า 200 คน บุกรื้อแนวกระสอบทราย บริเวณคลองหกวา พร้อมกับ เรียกร้องให้มีการเปิดประตูระบายน้ำ ตรงบริเวณประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์ ขึ้น 20 ซ.ม. และต้องการความชัดเจนในการจัดการบริหารน้ำ พร้อมกับ แนวทางการช่วยเหลือประชาชน เนื่องจากบริเวณดังกล่าว น้ำได้เริ่มมีกลิ่นและเน่าเสีย กระทบกับความเป็นอยู่กับประชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณพื้นที่ดังกล่าวกันเป็น จำนวนมาก รวมไปถึง ได้มีการเรียกร้องให้เปลี่ยนจากแนวกระสอบทรายกั้นน้ำ เป็นฝายชะลอน้ำแทน ทั้งนี้ ผู้อำนวยการเขตสายไหม ก็ได้เดินทางเข้าไปเจรจากับชาวบ้านที่มารวมกลุ่มกัน โดยเบื้องต้นนั้นจะมีการเปิดประตูระบายน้ำคลองพระยาสุเรนทร์ ขึ้นบางส่วน


    ขณะที่ สถานการณ์เริ่มมีความวุ่นวายมากขึ้น เนื่องจากประชาชน ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ส่วนระดับน้ำที่ไหลผ่านแนวกระสอบทรายนั้น จะไหลลงไปยัง คลองหกวาสายล่าง เข้าท่วมบริเวณตลาดวงศกรและโรงพยาบาลสายไหม

    -http://thaiflood.kapook.com/view33445.html-

    --------------------------------------------------------------------


    บิ๊กคิงส์ บางใหญ่ น้ำลดเหลือ 40-50 ซม. จุดอื่นยังสูง


    บิ๊กคิงส์ บางใหญ่ น้ำลดเหลือ 40-50 ซม. (ไอเอ็นเอ็น)

    นายอำเภอบางใหญ่ เผย หน้าบิ๊กคิงส์ บางใหญ่ น้ำลดเหลือ 40 - 50 ซม. แต่ตามซอยน้ำยังท่วมสูง แม้จะลดแล้ว

    เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน นายนิวัฒน์ รุ่งสาคร นายอำเภอบางใหญ่ จ.นนทบุรี เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำล่าสุดที่ อ.บางใหญ่ ในขณะนี้ว่า อ.บางใหญ่ น้ำท่วมร่วม 2 เดือนแล้ว โดยระดับน้ำที่ ต.บ้านใหม่ ถือว่าสูงที่สุดของ อ.บางใหญ่ คืออยู่ที่ความสูงประมาณ 2 - 2.50 เมตร ขณะที่บนถนนกาญจนาภิเษก ระดับน้ำมากที่สุดอยู่ที่ 1.50 เมตร

    ส่วนที่บริเวณหน้าบิ๊กคิงส์ บางใหญ่ น้ำลดลงเหลือ 40 - 50 เซนติเมตร ส่วนตามซอยต่าง ๆ ระดับน้ำยังท่วมสูงอยู่ โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 50 - 70 เซนติเมตร ภาพรวมถือว่าระดับน้ำลดลง อันเป็นผลมาจากการเร่งระบายน้ำลงสู่คลองมหาสวัสดิ์ และคลองสาขาต่าง ๆ

    แต่ อย่างไรก็ตาม ภายใน 3 - 4 วันนี้ ถือว่าเป็นช่วงที่น้ำทะเลลงต่ำสุด จึงเป็นโอกาสทองที่ อ.บางใหญ่ ที่จะสูบน้ำที่ท่วมขังลงสู่คลองบางใหญ่ คลองอ้อม คลองบางกอกน้อย แลคลองสาขาต่าง ๆ ที่เชื่อมต่อกับคลองมหาสวัสดิ์



    [​IMG]


    -http://thaiflood.kapook.com/view33682.html-

    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    เปิดคู่มือ "ทำความสะอาดบ้าน" ฉบับเข้มข้น ขจัดคราบน้ำท่วม "ด้วยตัวเอง"










    ถึงตอนนี้ระดับน้ำในหลายพื้นที่เริ่มลดลง ผู้คนเริ่มทยอยกลับเข้าบ้าน

    บ้านหลังเดิมที่อาจจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป สำหรับบ้านที่ไม่ได้ยกข้าวของเครื่องใช้ก่อนเผ่นออกจากบ้าน อาจจะต้องทำใจสักพักหนึ่งก่อนจะก้าวเข้าไปชมผลงานที่น้องน้ำฝากไว้

    น้ำจอมพลังที่อาจจะเคลื่อนย้ายทุกสิ่งทุกอย่างในบ้าน โยกไปคนละทิศละทาง กองระเกะระกะอยู่ทั่วบ้าน สภาพไม่เหมือนเดิมแน่นอน หรืออาจจะแค่ฝากคราบสกปรกไว้ตามพื้น ผนัง และขอบโต๊ะเก้าอี้ ขึ้นอยู่กับระดับน้ำและระยะเวลาที่น้ำคงอยู่

    ฉะนั้น ควรตั้งสติให้มั่นแล้วค่อย ๆ เดินกลับเข้าบ้านอย่างระมัดระวัง

    มีขั้นตอนและวิธีการที่จะเข้าไปจัดการบ้านหรือที่อยู่อาศัย หลังจากที่น้ำท่วมขังมาเป็นเวลานานนับเดือนนั้น ซึ่งมีรายละเอียดมากมายที่ต้องจัดการอย่างระมัดระวัง

    กมลพรรณ (กอวัฒนา) นุชผ่องใส กรรมการรองผู้จัดการ บริษัท ฟาร์อีสต์ เพียร์เลส (ไทยแลนด์) 1968 จำกัด ผู้เชี่ยวชาญในการทำความสะอาดแบบครบวงจรมานานกว่า 40 ปี แนะนำวิธีทำความสะอาดบ้านหลังน้ำลดด้วยตัวเองไว้อย่างน่าสนใจ

    เตรียมพร้อมก่อนเข้าบ้าน

    เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม อาทิ แว่นตาช่าง, หน้ากากกรองฝุ่น, ผ้าปิดปากปิดจมูก, ถุงมือยาง, รองเท้าบูต, ไฟฉาย และหมวกนิรภัย

    จากนั้นแต่งกายให้พร้อมก่อนเข้าไปในตัวบ้าน สิ่งสำคัญคือห้ามประมาทและอย่าเข้าไปคนเดียว ต้องมีคนไปเป็นเพื่อน และต้องมีคนรออยู่ด้านนอก เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินที่ไม่คาดคิดขึ้น

    ขั้นตอนก่อนเข้าไปยังตัวบ้านให้ปฏิบัติดังนี้

    1.ก่อนเข้าไปในตัวอาคารบ้านเรือน ให้เดินดูบริเวณรอบ ๆ บ้านก่อน โดยสำรวจพิจารณาดูโครงสร้างที่อาจจะเสียหายเป็นอันตรายก่อนตัดสินใจที่จะเข้าไป

    2.ระวังเรื่องสัตว์มีพิษต่าง ๆ ที่อาจหนีน้ำเข้าไปอาศัยอยู่ในตัวบ้าน

    3.สังเกตดูรอยร้าว หรือการบิดตัวของโครงสร้างก่อนตัดสินใจเข้าไป

    4.ตรวจดูที่จัดเก็บถังแก๊ส มองหาสิ่งผิดปกติที่อาจจะมีการรั่วซึม

    5.ตรวจสอบการจ่ายไฟให้แน่ใจว่า ไฟฟ้ายังไม่ได้จ่ายกระแสเข้าไปในบ้าน โดยการดูที่คัตเอาต์ว่ายังมีการสับสวิตช์ลงอยู่หรือไม่

    6.เปิดประตูให้เกิดการถ่ายเทอากาศ อย่าเหยียบเข้าบ้านทันที ให้สังเกตพื้นบ้าน ลองค่อย ๆ ใช้เท้าทิ้งน้ำหนักเพื่อทดสอบก่อน

    7.สังเกตดูเพดานว่ามีการอมน้ำ แอ่นท้องช้าง หรือมีคราบน้ำอยู่หรือไม่ เพราะเพดานอาจพังทลายลงมาได้เมื่อมีการเคลื่อนไหวให้ระมัดระวัง

    ตรวจเช็กเชื้อโรค-ระบบไฟฟ้า

    ขั้นตอนของการทำความสะอาด ต้องใช้เวลาและความอดทนอย่างมาก

    "ต้องคำนึงถึงการกำจัดการฆ่าเชื้อโรคเชื้อราที่เราอาจมองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่า จากการสัมผัสหรือหายใจเอาเชื้อเหล่านี้เข้าไปโดยไม่รู้ตัว" กมลพรรณย้ำ

    ดังนั้น ต้องคำนึงถึงการป้องกันตนเอง เช่น การใส่ถุงมือยาง และรองเท้าบูต ที่จะช่วยป้องกันการติดเชื้อโรคเชื้อรา, ป้องกันการสัมผัสสารเคมี รวมถึงป้องกันไฟดูด รวมทั้งคาดผ้าปิดจมูกและปากที่ช่วยป้องกันการหายใจเอาสปอร์ของเชื้อราและไอระเหยของสารเคมีเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ

    ในระหว่างการทำ ความสะอาดควรเปิดประตูหน้าต่างให้อากาศระบายได้มากที่สุด โดยอาจเปิดพัดลมเพดานช่วยระบายอากาศ

    ข้อห้ามคือ ห้ามเปิดเครื่องปรับอากาศ เพราะเชื้อโรคต่าง ๆ จะถูกดูดเข้าไปอยู่ในระบบปรับอากาศ และจะกลายเป็นที่เพาะพันธุ์เชื้อราต่อไป ถือเป็นภัยเงียบที่เรามองไม่เห็น

    จากนั้นก็มาเริ่มที่ระบบไฟฟ้าของทั้งบ้าน ซึ่งจะต้องถูกปิดทันทีที่น้ำท่วมบ้าน ดังนั้นระบบไฟฟ้าจึงเป็นสิ่งแรก ๆ ที่จะต้องจัดการทันทีที่น้ำลด โดยให้ช่างไฟฟ้ามืออาชีพมาตรวจสอบและซ่อมแซมให้หมดก่อนจึงจะสามารถกลับไปใช้ไฟฟ้าได้

    บางครั้งจำเป็นอย่างมากที่จะต้องเดินสายไฟใหม่ทั้งหมด และสายไฟจะต้องแห้งสนิท รวมทั้งสวิตช์ไฟ, เต้าเสียบปลั๊กไฟต่าง ๆ ที่จมอยู่ใต้น้ำอาจจะมีโคลนตมและตะกอนที่มากับน้ำเข้าไปอยู่ จึงต้องมีการตรวจเช็กระบบอย่างละเอียด

    ระบบเครื่องปรับอากาศ หลังน้ำลดต้องเรียกช่างแอร์มืออาชีพมาตรวจเช็กระบบเครื่องปรับอากาศภายในบ้านทั้งหมด พร้อมทั้งทำความสะอาดท่อ

    ต่าง ๆ, แผ่นกรองอากาศ เปลี่ยนฉนวนกันความร้อนที่จมน้ำ ฯลฯ เมื่อช่างแก้ไขให้เสร็จเรียบร้อยแล้วให้ซีลปิดไว้ก่อนจึงจะเริ่มการทำความสะอาดบ้าน

    อย่าลืมว่าก่อนจะเปิดเครื่องปรับอากาศต้องทำความสะอาดบ้านจนเสร็จเรียบร้อยพร้อมกลับเข้าไปอยู่แล้วเท่านั้น

    ถึงเวลาลงมือทำ

    หลังจากตรวจเช็กทุกอย่างจนแน่ใจแล้ว ก็มาถึงวิธีการทำความสะอาดขนานใหญ่ โดยเริ่มตามโปรแกรมดังนี้

    1.เริ่มด้วยการขนย้ายสิ่งของต่าง ๆ ภายในบ้านออกมาให้ได้มากที่สุด เพื่อสะดวกในการจัดการกับโคลนตมที่มากับน้ำ ให้ใช้พลั่วตักดินโคลนออกจากพื้นบ้านให้ได้มากที่สุด

    จากนั้นจึงใช้เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง (ถ้ามี) หรือสายยางฉีดน้ำเพื่อชะล้างโคลนออกจากพื้นผิว อุปกรณ์อย่างหนึ่งที่จะช่วยผ่อนแรงได้มากคือ ไม้ปาดน้ำ หากไม่มีและพื้นที่ไม่ใหญ่มากนัก สามารถใช้ผ้าขนหนูทำเป็นผ้าลากน้ำได้ โดยเน้นการกำจัดดินโคลนออกไปให้หมด

    2.เรื่องของพื้น หากพื้นบ้านของท่านมีการใช้วัสดุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น ไวนิล, เสื่อน้ำมัน, พรม, ปาร์เกต์ ฯลฯ มีความจำเป็นที่จะต้องรื้อวัสดุปูพื้นเหล่านั้นออกเพื่อให้พื้นด้านล่างแห้ง ซึ่งกว่าจะแห้งสนิทอาจใช้ระยะเวลานานพอสมควร

    การทำความสะอาดพื้นทุกชนิด ต้องพิจารณาดูตามความเหมาะสมของพื้น โดยทั่วไป ๆ สามารถใช้น้ำผสมคลอรีนในอัตราส่วน 0.1% (1 CC ต่อน้ำ 1,000 CC) ฉีดพ่นให้ทั่วบริเวณก่อนแล้วจึงขัดถูพื้นด้วยน้ำยาล้างจานหรือผงซักฟอก ขัดถูให้ทั่วบริเวณแล้วจึงราดด้วยน้ำร้อนเดือด ๆ หรือใช้ผลิตภัณฑ์น้ำยาเคมีทำความสะอาดที่สามารถฆ่าเชื้อต่าง ๆ ได้ ซึ่งต้องอ่านฉลากวิธีใช้ให้ละเอียดและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด

    หากเป็นไปได้ควรใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อกำจัดกลิ่นที่เป็นสารชีวภาพเอนไซม์ ซึ่งมีประสิทธิภาพในการกำจัดเชื้อ กำจัดกลิ่น กำจัดคราบไขมันได้

    ข้อดีกว่าผลิตภัณฑ์อื่น ๆ คือ สารชีวภาพเอนไซม์นั้นจะยังคงมีประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อที่จะเกิดขึ้นใหม่จากความชื้นต่อไปได้อีกนานประมาณ 3-6 เดือน ตราบที่พื้นยังมีความชื้นอยู่ และที่สำคัญสารชีวภาพเอนไซม์นั้นไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม

    สำหรับพื้นบ้านที่ปูพรม ถ้าพื้นบ้านที่ปูพรมจมอยู่ใต้น้ำท่วมหรือน้ำเสีย ควรจะตัดใจกำจัดทิ้งไปเพื่อความปลอดภัยของสุขภาพ เพราะพรมเป็นแหล่งเพาะเชื้อราอย่างดี

    การทำความสะอาดพรมด้วยตัวเองเป็นเรื่องยาก ต้องใช้มืออาชีพที่เชื่อถือได้ว่าจะใช้น้ำยาซักพรมที่ฆ่าเชื้อกำจัดกลิ่น และใช้เครื่องมือซักพรมชนิดพิเศษที่สามารถทำความสะอาดได้ล้ำลึก แต่ค่าใช้จ่ายในการทำความสะอาดค่อนข้างสูง ควรพิจารณาให้ดี

    (ที่มา:ประชาชาติธุรกิจ ฉบับวันที่ 21-23 พ.ย.2554)



    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1321698292&grpid=&catid=02&subcatid=0202-

    .

    เปิดคู่มือ "ทำความสะอาดบ้าน" ฉบับเข้มข้น ขจัดคราบน้ำท่วม "ด้วยตัวเอง" : มติชนออนไลน์

    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    ผู้เชี่ยวชาญชี้โบราณสถาน “อยุธยา” เสี่ยงพังทลายหลังผ่านอุทกภัยครั้งใหญ่ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">20 พฤศจิกายน 2554 15:37 น.</td> </tr></tbody></table>

    [​IMG] <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="560"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="560"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ผู้เชี่ยวชาญด้าน โบราณสถานเตือน อุทกภัยซึ่งท่วมขังเกาะเมืองอยุธยานานหลายสัปดาห์อาจบั่นทอนฐานรากของสิ่ง ปลูกสร้างเก่าแก่ จนเกิดการพังทลายลงในที่สุด</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> เอเอฟพี - แม้โบราณสถานในจังหวัดพระนครศรีอยุธยาจะยืดหยัดผ่านกาลเวลามานานหลายร้อยปี แต่ผู้เชี่ยวชาญกังวลว่า อุทกภัยซึ่งท่วมขังแผ่นดินกรุงเก่านานนับเดือนอาจส่งผลให้โบราณสถานบางแห่ง เกิดการพังทลาย

    ปริมาณฝนที่มากผิดปกติในฤดูมรสุมปีนี้ทำให้มวลน้ำมหาศาลไหลบ่าจากภาค เหนือลงมาท่วมที่ราบลุ่มภาคกลางของไทยตั้งแต่เดือนกรกฎาคม กระแสน้ำได้คร่าชีวิตประชาชนไปกว่า 600 ราย และอีกหลายล้านคนต้องสูญเสียบ้านเรือนรวมถึงวิถีชีวิตของตนเอง

    พระนครศรีอยุธยา ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงเทพมหานครไปทางเหนือราว 80 กิโลเมตร เป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ประสบอุทกภัยหนักหนาสาหัสที่สุด ภาพถ่ายทางอากาศเผยให้เห็นวัดวาอารามและโบราณสถานประหนึ่งจมอยู่กลางทะเลสาบ ขนาดใหญ่

    สิ่งปลูกสร้างอายุหลายร้อยปีต้องจมอยู่ใต้น้ำขุ่นข้นนานหลายสัปดาห์ ส่งผลให้เจดีย์สำคัญในเมืองมรดกโลกแห่งนี้เริ่มปรากฎรอยร้าว

    หลังจากระดับน้ำในอยุธยาลดลงจนเริ่มเข้าสู่ภาวะปกติ ทางการจึงประกาศเตือนนักท่องเที่ยวไม่ให้ปีนป่ายขึ้นไปบนตัวโบราณสถาน เพราะอาจเกิดการพังทลายได้

    ชัยนันท์ บุษยรัตน์ ผู้อำนวยการอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ประเมินความเสียหายในครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 650 ล้านบาท และชี้ว่ายังไม่อาจสรุปผลกระทบที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดได้

    “โครงสร้างโบราณสถานไม่ได้ถูกออกแบบให้รับน้ำหนัก (น้ำ) มากขนาดนี้ น้ำซึ่งท่วมขังเป็นเวลานานยังทำให้พื้นดินอ่อนตัว ซึ่งจะส่งผลให้ฐานรากของโบราณสถานไม่มั่นคง อาคารบางแห่งอาจจมลง หรือที่ร้ายที่สุดก็อาจจะถล่มลงมา” ชัยนันท์ ให้สัมภาษณ์

    ขณะที่พื้นที่ส่วนใหญ่ใจกลางเมืองอยุธยาน้ำเริ่มแห้ง แต่วัดวาอารามซึ่งตั้งอยู่รอบนอกอุทยานประวัติศาสตร์ยังคงมีน้ำท่วมขัง

    เกาะเมืองอยุธยาตั้งอยู่กลางวงล้อมของแม่น้ำ 3 สาย ได้แก่ แม่น้ำเจ้าพระยา, แม่น้ำป่าสัก และแม่น้ำลพบุรี ซึ่งทำให้โบราณสถานบนเกาะเสี่ยงต่ออุทกภัยเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก

    ผู้เชี่ยวชาญด้านมรดกโลกจากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) ซึ่งไม่ขอเปิดเผยชื่อ อธิบายว่า ในอดีตเกาะเมืองอยุธยาเคยมีเครือข่ายลำคลองอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งช่วยระบายน้ำไม่ให้ท่วมเมือง

    “ปัจจุบันลำคลองหลายสายถูกถม หรือไม่ก็ตื้นเขินไปตามกาลเวลา” ผู้เชี่ยวชาญรายนี้กล่าว หลังเจ้าหน้าที่ยูเนสโกลงพื้นที่สำรวจความเสียหายบนเกาะเมืองอยุธยา เมื่อวันพฤหัสบดี(17)

    “มีความกังวลว่า รากฐานของโบราณสถานบางแห่งอาจได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม ซึ่งจะทำให้โบราณสถานเหล่านั้นไม่มั่นคงแข็งแรงอีกต่อไป... แต่เวลานี้คงยากที่จะสรุปว่า ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นรุนแรงเกินว่าตัวโบราณสถานจะรับได้ หรือยังอยู่ในระดับที่รับไหว”

    ที่วัดพระราม ชัยนันท์ ชี้ให้ดูรอยแตกแนวดิ่งบนโครงสร้างอิฐ ซึ่งมีความยาวร่วม 2 เมตร

    “ผมว่ารอยแตกคงจะเกิดในช่วงที่น้ำท่วม สำหรับเจดีย์ขนาดเล็กนี่ยังถือว่าไม่รุนแรง แต่ถ้าเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ที่มีน้ำหนักหลายตัน จะน่าเป็นห่วงและน่ากลัวมากกว่าสำหรับผม”

    อย่างไรก็ดี สิ่งที่หลายฝ่ายกังวลมากที่สุดก็คือ ความจำเป็นที่จะต้องเปิดโบราณสถานอยุธยาให้นักท่องเที่ยวเข้าชมอีกครั้ง

    กระแสน้ำแห้งเหือดไป ทิ้งไว้เพียงเศษขยะและสิ่งปฏิกูลกระจัดกระจายอยู่เต็มพื้นที่ ตั้งแต่ถุงพลาสติกไปจนถึงกิ่งไม้หัก

    สุนีวรรณ พุดซ้อน วัย 65 ปี หนึ่งในพนักงานทำความสะอาดซึ่งกำลังเก็บกวาดขยะรอบๆองค์พระพุทธไสยาสน์ วัดโลกยสุธาราม บอกว่า เธอและเพื่อนๆตั้งใจจะทำให้โบราณสถานแห่งนี้กลับมางดงามอีกครั้ง แต่ก็ไม่ใช่งานที่ง่าย เพราะระหว่างน้ำท่วมมีชาวบ้านบางคนหนีน้ำขึ้นมาอาศัยบนโบราณสถาน และทิ้งเศษขยะเอาไว้เกลื่อนกลาด ไม่เว้นแม้กระทั่งซากรถตุ๊กตุ๊ก

    “ฉันก็รู้สึกเสียใจ เพราะนี่เป็นโบราณสถานเก่าแก่และเป็นแหล่งท่องเที่ยว เราก็ควรจะช่วยกันปกป้องไว้ แต่เราไม่รู้ว่าน้ำจะมามากขนาดนี้ ไม่เคยเกิดเหตุการณ์อย่างนี้มาก่อน” สุนีวรรณ กล่าว

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="349"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="349"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="595"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="595"> [​IMG] </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="355"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="355"> [​IMG]</td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>


    -http://www.manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9540000147969-



    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    อันตรายจากการว่าพ่อแม่ และจ้วงจาบผู้มีบุญคุณ ผู้ทรงศีล-ทรงธรรม

    โพสโดยคุณ ClassicHome

    -http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=134005.0-

    .


    โทษของการจาบจ้วงพ่อแม่

    ปีพ.ศ. 2500 มีนิสิตปริญญาโทจุฬา 30 คนไปที่อ.ค่ายบางระจัน สิงห์บุรี ไปให้แม่ทำครัวเลี้ยงเพื่อนๆ บอกว่า

    "เลี้ยงวันเกิดผม แม่รู้ไหม วันเกิดผม ทำครัวต้องอร่อยด้วยนะ ผมพาเพื่อนมาจากกรุงเทพฯ"

    ก็ทำแบบบ้านนอกจะไปอร่อยอะไร ก็ว่าแม่ เสียดสีแม่ ว่าแม่เสียใจร้องไห้ไปเลยนะ แล้วก็กลับกรุงเทพฯ

    อาตมาจดไว้เลย ดูซิ ลูกจะเกิดอันตรายไหม ไปจ้วงจาบกับแม่เห็นชัด ดูซิว่าจะได้รับกรรมอะไรบ้าง

    ต่อมารับราชการได้แค่ 3 ปี โดนไล่ออก นี่ปริญญาโท เมื่อปี 2500 นานมาแล้ว

    แล้วไปเข้างานบริษัทฝรั่งก็โดนไล่ออก ไปเข้างานบริษัทญี่ปุ่นก็โดนไล่ออกอีก นี่แหละ

    กฎแห่งกรรมจากการกระทำของหลักกรรมเปลี่ยน

    พฤติการณ์ของชีวิตได้ ทำให้เขากลายเป็นคนเหลวไหลไปเลย เรียนที่จุฬาฯ ปริญญาโท เป็นหมันไปเลย

    ทรัพยากรของชีวิตก็หมดไปด้วยตามสภาพของกฎแห่งกรรมจากการกระทำของเขา

    พ่อแม่ตาย น้องสาวยังอยู่ น้องสาวเคยมานั่งกรรมฐานที่วัด -ถามเขาว่าพี่ชายเธอเป็นอย่างไร

    "หลวงพ่อคะ เข้ากับใครไม่ได้เลย" นี่เขาเถียงแม่ อาตมาถึงสอนเด็กอย่าเถียงพ่ออย่าเถียงแม่



    อริโยปวาอันตราย -อันตรายเกิดจากการจ้วงจาบผู้มีบุญคุณ ผู้ทรงศีล ทรงธรรม

    เช่นพระสงฆ์องค์เจ้า เป็นต้น แล้วก็จ้วงจาบกับครูบาอาจารย์ที่สอนหนังสือ เป็นอันตรายในปัจจุบันนี้

    จ้วงจาบกับคุณพ่อคุณแม่ เป็นอันตรายในปัจจุบันนี้แน่นอน

    ยกตัวอย่างให้เห็น มาเล่นกองไฟกินเหล้าเมายากัน นี่ปริญญาครุศาสตร์ เกิดต่อยปากครู ลงไปชกปากครูเลย

    ดูซิ อย่างนี้จะมีอริโยปวาอันตรายเกิดขึ้นไหม -ครูก็ใจดี ครูก็เป็นมหาเปรียญ 6 ประโยค ตอนบวชเณร

    แล้วก็ไปเรียนวิชาความรู้ วิชาครูแล้วมาบรรจุที่วิทยาลัยเทพสตรีนั้น เดี๋ยวนี้ปลดเกษียณไปแล้ว

    "ผมไม่โกรธเขาแล้วครับ เขาต่อยปากผมไม่เป็นไร เขาเมา"

    เราก็เรียกเด็กมาบอก "หนูเป็นบาปไปแล้ว นี่อริโยปวาอันตราย เธอไปขออโหสิกรรมกับครูเสีย"

    ไม่ยอมไปขอ เปลี่ยนพฤติกรรมไปทางเมา เมาแล้วก็เปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนแปลงชีวิต กลายเป็นคนเหลวไหล

    นี่มันเปลี่ยนพฤติกรรมได้ เพราะหลักกรรมอันนี้ออกมานี่ชัดเจนมาก ขอเจริญพรนะ อยู่มาไม่ถึง 7 วัน

    ขับมอเตอร์ไซค์ที่ท่าวัง ถูกรถสิบล้อขยี้เลย มอเตอร์ไซต์พังหมด หัวเละ ตายคาที่เลย นี่แหละ

    อริโยปวาอันตราย อันตรายเกิดจากที่จ้วงจาบผู้มีบุญคุณ



    วิธีขอขมาพ่อแม่

    ผู้ใดก็ตาม ที่คุณแม่ยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้กลับไปหาแม่ ไปกราบเท้าขอพรจากท่าน จะได้มั่งมีศรีสุข

    ส่วนคนที่เคยทำไม่ดีไว้กับท่าน ก็นำเทียนแพไปกราบขออโหสิกรรม ล้างเท้าให้ท่านด้วย เป็นการขอขมาลาโทษ ฯ


    ถึงวันเกิดของเราให้ซื้อเสื้อผ้าใหม่ให้พ่อแม่ คนละ 1 ชุด

    ผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ 1 ผืน ตื่นเช้ามาไหว้พระสวดมนต์จบแล้ว

    จัดหาอาหารอย่างดีที่สุดที่พ่อแม่ชอบ ให้พ่อแม่รับประทาน

    เมื่อรับประทานแล้วให้ท่านนั่งบนเก้าอี้พร้อมกัน เอากะละมังใส่น้ำอุ่นมาล้างเท้าพ่อแม่

    เอาสบู่ฟอกให้สะอาดแล้วล้างด้วยน้ำให้สะอาด

    เอาผ้าเช็ดตัวผืนเล็กๆ ที่ซื้อมาเช็ดให้แห้ง เอาแป้งโรยให้ทั่วให้หอม เอาเสื้อผ้าที่ซื้อมาให้ท่าน

    เสร็จแล้วพูดว่า "กรรมใดที่ลูกได้ล่วงเกินคุณพ่อคุณแม่ ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี

    ขอให้คุณพ่อคุณแม่อโหสิกรรมให้แก่ลูกด้วยเทอญ"... เสร็จแล้วกราบเท้าท่าน 3 ครั้ง

    เอาเท้าท่านทั้ง 2 คน คนละข้างเหยียบที่ศรีษะเรา แล้วให้ท่านให้พรเรา

    นั่นแหละถึงจะล้างกรรมกันได้ ฟังดูแล้วเห็นว่าไม่ยาก ลองไปทำดูเถอะง่ายนิดเดียว




    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    อันตรายจากการว่าพ่อแม่ และจ้วงจาบผู้มีบุญคุณ ผู้ทรงศีล-ทรงธรรม

    โพสโดยคุณ ClassicHome

    -http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=134005.0-

    .


    ผลของการจาบจ้วงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ หัวนั้น ก็ไม่ต่างกับการปรามาสพระโพธิสิตว์ เพราะพระองค์ท่าน บำเพ็ญบารมี ตอนนี้ เป็นขั้นปรมัตถะปารมี พระองค์ท่านปราถนาพุทธภูมิ คือเคยอธิษฐานปราถนาเป็นพระพุทธเจ้า เพื่อสงเคราะห์เวไนยสัตว์ทั้งหลาย ตอนนี้เหลืออีก 5 ชาติ ตามที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำ แห่งวัดท่าซุงท่านเคยพูดคุยกับองค์พระบาทสมเด็จพระจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านทรงเสด็จพระราชดำเนินไปกราบหลวงพ่อฤาษี และพระอริยะเจ้าทั้งหลาย อยู่บ่อยครั้ง พระองค์ทรงงฃสนพระทัย และฝึกวิปัสนากรรมฐาน ทรงทำความเพียรคือนั่งสมาธิ ติดต่อกัน 2-3 ชั่วโมง โดยไม่เหนื่อยเลย นี่พลตำรวจเอกวสิษฐ์ เดชกุญชร อดีตนายตำรวจประจำพระราชสำนักท่านเล่าให้ฟัง ไปอ่านเจอมา ถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงงาน ไปเยี่ยมราษฎร ตามถิ่นธุรกันดาน ตลอดเวลา อย่างที่พวกเราทั้งหลายทราบกันดี พระองค์ไม่ทรงทิ้งเรื่องกรรมฐานเลย เพราะพระองค์ทรงสนพระทัยในพระพุทธศาสนามาโดยตลอด ตั้งแต่อดีตชาติ ที่เคยทรงเป็นกษัตริย์มาไม่รู้กี่ภพชาติแล้ว ทรงสนพระทัยในการฝึกสมาธิ วิปัสนากรรมฐาน พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงมีพระจริยะวัตรที่งดงาม ที่เพรียบพร้อม ทรงพระเมตตาสูงยิ่งต่อทุกๆ คน ทรงมีบารมีมาก พระองค์ปราถนาพุทธภูมิ ทรงบำเพ็ญบารมีพระโพธิสิตว์ เพื่อจะเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสมณโคดมบรมครู พระองค์ท่านทรงเมตตาทุกคนไม่ว่าจะเป็นภูมิมนุษย์ ภูมิสวรรค์ หรือนรกภูมิ เฉกเช่นเดียวกับที่พระเจ้าอยู่หัวทรงบำเพ็ญบารมีของพระองค์เอง และจะทรงเกิดใหม่อีก 5 ชาติ เท่านั้น ฉะนั้นผู้ที่คิดจาบจ้วงพระเจ้าอยู่หัว ก็เปรียบเสมือนปรามาสพระโพธิสัตว์ ปรามาสพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล กรรมนั้นหนักมาก และบางรายเห็นผลในชาติปัจจุบัน เพราะไปปรามาสพระองค์เข้า เมื่อบุญของผู้ไปปรามาสหมด กรรมที่ทำไว้นี่เป็นกรรมหนัก คือไปปรามาสพระเจ้าอยู่หัวเข้า กรรมส่งผลทันตาเห็น ต้องรับกรรมในชาตินี้ทันที แต่บางคนก็ยังไม่ได้รับกรรม อาจจะชาติหน้า หรืออีกไม่รู้กี่ภพกี่ชาติ เพราะคนที่ไปปรามาสพระเจ้่่าอยู่หัวนี่ เป็นคนบาปหนัก หนักมาก อย่างไรก็ต้องรับกรรม เรื่องของกรรมมันซับซ้อน ไม่รู้เมื่อไหร่จะมาส่งผล ขึ้นอยู่กับบุญที่ทีพอที่จะวิ่งหนีกรรมที่ทำไว้ทันไหม ทำกรรมใดไว้ต้องรับผลของกรรมอย่างแน่นอน องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระองค์ท่านทรงมีภูิจิตภูมิธรรมสูงมาก หากใครที่มีบารมีน้อยกว่าพระองค์ท่าน ไปปรามาสเข้าก็จะเป็นกรรมกับคนผู้นั้น พวกเราทุกๆ คน ไม่รวมพระอริยะเจ้าทั้งหลาย นั้นบารมีน้อยกว่าพระองค์ท่านอย่างแน่นอน จึงได้เกิดมาใต้ร่มโพธิ์ร่มไทรของพระองค์ท่าน พวกเรามีบุญวาสนาที่ได้เป็นพสกนิกรของพระองค์ท่าน จงภูมิใจในข้อนี้ คนที่ไปปรามาสหรือจาบจ้วงนั้น กรรมจะมารูปแบบไหน ก็ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัยค่ะ ผู้เขียนก็ตอบได้เท่าที่ทราบมา ศึกษามา และตามที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์สั่งสอนมา อนุโมทนาที่สอบถามมา สาธุค่ะ


    [​IMG]

    มีเรื่องเกี่ยวกับหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านเล่าถึงองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ดังนี้ค่ะ

    หลวงพ่อพูดว่า


    ....ในหลวง เคยเกิดเป็น พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า และ พระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า และเคยเกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าตวันอธิราช และพระเจ้าพรหมมหาราช ("พระเจ้าตวันอธิราช" ไปเกิดเป็น "พระเจ้าพรหมมหาราช") ทั้ง ๒ ครั้ง ดังนี้

    พ.ศ. ๒๔๖ สมัยสุวรรณภูมิ ในหลวงเกิดเป็นพระราชโอรสองค์แรก ของ พระเจ้าตวันอธิราช มีพระนามว่า พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า

    พ.ศ. ๙๐๐ สมัยเชียงแสน พระเจ้าตวันอธิราช เกิดเป็น "พระเจ้าพรหมมหาราช" ส่วนพระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ตามไปเกิดเป็นพระราชโอรสองค์แรกนามว่า "พระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า" แต่สิ้นพระชนม์ในสมัยทรงพระเยาว์ พระราชสมบัติจึงตกแก่พระโอรสองค์รองคือ "พระเจ้าชัยสิริ" (หลวงปู่ธรรมชัย) ซึ่งเป็นต้นราชวงศ์จักรี สืบสันติวงศ์ถึงปัจจุบัน พระเจ้าพรหมมหาราช มีพระเชษฐาคือ "พระเจ้าทุกขิตะ" (หลวงปู่คำแสนเล็ก วัดดอนมูล)

    ย้อน กลับมาสมัยสุวรรณภูมิ พ.ศ.๒๔๖ พระโพธิสัตว์ทั้ง ๒ พระองค์นี้ได้บำเพ็ญบารมีร่วมกัน (พ่อ-ลูก) พระเจ้าตวันอธิราช กษัตริย์ผู้ครองกรุงสุวรรณภูมินี้ ได้วางรากฐานการสร้างพระบารมีไว้ให้พระราชโอรสของพระองค์ ในฐานะที่จะทรงเป็นกษัตริย์ต่อไปภายภาคหน้า อาทิ


    - การสร้างบ้านแปลงเมืองให้เจริญรุ่งเรือง ปรับปรุงกองทัพให้เข้มแข็ง ส่งเสริมอาชีพของราษฏร โรงพยาบาลเพื่อสงเคราะห์พสกนิกร ฯลฯ

    - ด้านพระพุทธศาสนา ได้โปรดสร้างวัด โรงเรียนปริยัติธรรมสำหรับพระภิกษุสามเณร โดยมี พระโสณะ กับ พระอุตตระ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ มีการมอบ "พัศยศ" สำหรับผู้สอบบาลีได้

    - ต่อมาก็มีการแต่งตั้งพระสงฆ์ไทยขึ้นเป็น สมเด็จพระสังฆราช เป็นพระองค์แรกของเมืองไทย จนได้สืบต่อวัฒนธรรมประเพณีต่าง ๆ มาจนถึงบัดนี้

    - อีกทั้งพระองค์ได้เสด็จประพาสไปยังนานาประเทศ ทั้งประเทศเพื่อนบ้านใกล้เคียง และที่อยู่ห่างไกลออกไป ส่วนภายในประเทศอาณาเขตของพระองค์ ก็เสด็จเยี่ยมเยือนไปตามหัวเมืองต่าง ๆ อีกด้วย

    - พระราชจริยวัตรของพระเจ้าตวันอธิราชนี้ มีลักษณะที่ทรงปฏิบัติคล้ายกับพระราชจริยวัตรของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัวของพระเจ้ากรุงสยามทุกประการ

    - ฉะนั้น ขนบธรรมเนียมประเพณีในด้านพระศาสนา เช่น พิธีกวนข้าวทิพย์ การสวดมนต์ หรือ พิธีการนิมนต์พระไปเจริญพระพุทธมนต์ที่บ้าน ตลอดถึงพิธีกรรมต่าง ๆ ตามโบราณราชประเพณี เรามีการสืบทอดวัฒนธรรมอันเป็นมรดกมานานนับพันปี

    (ทั้ง หมดนี้เป็นรากฐานที่พระเจ้าตวันอธิราช วางไว้ให้พระราชโอรสคือ พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ทั้ง ๒ พระองค์ต่างก็เป็นพระโพธิสัตว์ที่บารมีเข้มข้น)
    ต่อ มา...หลังจากพระเจ้าเดือนเด่นฟ้าได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ก็ทรงมีพระราชหฤทัยที่ดำเนินรอยตามพระยุคคลบาทของสมเด็จพระราชบิดา ในฐานะที่พระองค์ก็ทรงเป็นพระโพธิสัตว์เช่นเดียวกัน และก่อนที่ พระโสณะ จะนิพพาน ก็ยังได้พยากรณ์ไว้อีกว่า


    "พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า จะมาเกิดที่ "กรุงเทพมหานคร" เมื่อนั้น "สุวรรณภูมิ" จะฟื้นชื่อมีคนรู้ทั่ว..."

    - สอดคล้องกับสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดม องค์ปัจจุบันที่ได้ทรงตรัสพยากรณ์ไว้ดังนี้

    "ดู ก่อนอานนท์..ตถาคตสงสารสัตว์เป็นล้นพ้น ที่มีอายุขัยอยู่ใกล้ยุคกึ่งสมัย คือในหลังพุทธกาลนี้ แต่ในเวลานั้น จะมี "พระมหากษัตริย์ธรรมิกราช" ผู้เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่งจะเกิดภายในอุปถัมภ์ของ "พระมหาเถระโพธิสัตว์"

    - พระโพธิสัตว์สองพระองค์นั้น จะเสด็จเข้ามาบำรุงพระพุทธศาสนาของตถาคต สมณชีพราหมณ์จะตามเสด็จเป็นอันมาก ในระยะนี้จะเป็นยุค "ชาวศรีวิไล" ดังนี้

    (หลักฐานหนึ่ง ทางด้านโบราณวัตถุได้แก่ กระเบื้องจาร ที่ขุดได้จาก ซากเมือง คูบัว จ.ราชบุรี ก็ได้ยืนยันว่า พ่อกับลูกคู่นี้ ทรงเป็นหน่อเนื้อพระบรมพงศ์พระโพธิสัตว์ทั้งสองพระองค์ ได้ตั้งความปรารถนา "พุทธภูมิ"
    วิริยาธิกะ คือจะต้องบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระพุทธเจ้า ใช้เวลา ๑๖ อสงไขย กับแสนกัปล์ จึงจะบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ)
    ในชาติปัจจุบัน ของ พระเจ้าเดือนเด่นฟ้า (พระบาทสมเด็จภูมิพลอดุลยเดชมหาราช)

    หลวง พ่อเคยถวายพระพรไว้ ณ พระตำหนักภุพิงค์ราชนิเวศน์ เมื่อวันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๒๐ ในตอนหนึ่งที่พระองค์ทรงตรัสถามหลวงพ่อว่า

    "เขาพูดกันว่าผมปรารถนาพุทธภูมิเป็นความจริงไหมครับ..?"

    หลวง พ่อถวายพระพรว่า...เรื่อง ปรารถนาพุทธภูมินี่ พระองค์ปรารถนามานาน..แต่เวลานี้บารมีเป็น"ปรมัตถบารมี" แล้ว ก็เหลืออีก ๕ ชาติ และที่พระองค์ปฏิบัติมามันเลยแล้ว..ไม่ใช่ไม่สำเร็จ..!

    "พุทธ ภูมิ" นี่ต้องบำเพ็ญกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระองค์เป็น "วิริยาธิกะ" วิริยาธิกะนี่..ต้องบำเพ็ญบารมีถึง ๑๖ อสงไขยกำไรแสนกัป นี่บำเพ็ญมาเกิน ๑๖ อสงไขยแล้ว "แสนกัป" อาจยังไม่ครบ จึงต้องเกิดอีก ๕ ชาติ"

    ในขณะ นั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ ได้ตรัสถามหลวงพ่อว่า "พระ เจ้าอยู่หัวก็ดี หม่อมฉันก็ดี ก็มีความเคารพในพระคุณพระราชวงศ์จักรีอยู่ตลอดเวลา ที่ท่านจะทรงสามารถจะทรงความเป็นเอกราชไว้ได้ ก็อยากจะทราบว่าทั้งสององค์นี่..จะทรงชาติกับศาสนาไว้ได้ไหม..? "

    หลวงพ่อถวายพระพรว่า "ก็ได้..ประเทศเราไม่มีเกณฑ์จะต้องตกเป็นเหยื่อคอมมิวนิสต์"
    แล้วพระองค์ก็ตรัสถามอีกว่า "ฉันทั้งสององค์นี่ ทั้งพระเจ้าอยู่หัวด้วยและฉันด้วย จะต้องตายเพราะการที่เขามุ่งจะฆ่าไหม..? "

    พอตรัสถามตรงนี้ หลวงพ่อท่านบอกว่าพระดลใจให้ตอบว่าดังนี้..

    "ก็ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนี่ เป็นนักรบฝีมือดีมาจากสุโขทัย และมาเกิดคราวนี้ ต้องการจะเกิดเพื่อจรรโลงให้คงอยู่ให้ชาติมีความร่มเย็นเป็นสุข แล้วเรื่องอะไร..ที่ต้องตายเพราะคมอาวุธล่ะ..ถ้าจะเจ็บตายเองเป็นเรื่อง ธรรมดา และต้องตายด้วยเรื่อง "คมอาวุธ" อันนี้ไม่มี..!"

    สรุป..ในหลวง เกิดเป็นพระเจ้าเดือนเด่นฟ้า ในสมัยสุวรรณภูมิ และเกิดเป็นพระเจ้าเดือนแจ่มฟ้า ในสมัยเชียงแสน ปรารถนา พุทธภูมิ ประเภท วิริยาธิกะ ตอนนี้บารมีใก้ลเต็ม และต้องเกิดสร้างบารมีอีก ๕ ชาติ


    ขอบคุณที่มา : หนังสือธัมมวิโมกข์ หน้า ๙๒ ถึง ๙๕ ฉบับที่ ๒๑๒ ประจำเดือน พฤศจิกายน ๒๕๔๑...

    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    อันตรายจากการว่าพ่อแม่ และจ้วงจาบผู้มีบุญคุณ ผู้ทรงศีล-ทรงธรรม

    โพสโดยคุณ ClassicHome

    -http://www.chiangraifocus.com/forums/index.php?topic=134005.0-

    .




    ต่อค่ะ (2)

    ในหลวงจักได้ตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ในอนาคตกาล



    [​IMG]

    “เรา อย่าเห็นสิ่งปลีกย่อยดีกว่าส่วนรวมส่วนใหญ่นะ ส่วนใหญ่นั่นล่ะเป็นของสำคัญ พ่อกับแม่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อะไรที่เป็นหลักของชาติ เป็นหัวใจของชาติให้พากันรักกันสงวน อย่าพากันทำลาย ลูกเต้าจะอวดดีกว่าพ่อกว่าแม่มันไม่ดีละ

    คิดดูในพุทธศาสนา พระเจ้าอชาตศัตรูทำลายพระราชบิดา ก็ไม่เห็นเจริญอะไร ท่านว่า เย เกจิ พุทธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คตา เส น เต คมิสฺสนฺ อบายภูมิ พวกสัตว์ทั้งหลายถ้านึกลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ มีความเทิดทูนในสิ่งที่ดีงามที่มีคุณมีประโยชน์ทั้งหลายแล้ว ผู้นั้นเจริญ ผู้ใดไปทำลายหลักใหญ่แล้วจะเอาให้ส่วนเล็กๆนี้ขึ้นครองบ้านครองเมืองมันก็ ไม่ดี ให้พากันรักษาหลักใหญ่เอาไว้

    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวคือ หัวใจของชาติไทยเรา นี่ให้พากันจำเอาไว้นะ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว-สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนี้คือหัวใจของ ชาติไทยเรา ให้พากันเทิดทูน อย่าพากันดูถูกเหยียดหยามทำลาย เช่นอย่างจะทำลายจะไม่ให้มีพระเจ้าอยู่หัว มันคนเกิดมาแล้วพ่อแม่ตายหมด มีแต่ลูกกำพร้าหยิมแหยมๆ มันใช้ไม่ได้นะ สกุลใดที่มีคนคับแคบอยู่ในบ้านนั้นเมืองนั้นแล้วสกุลนั้นไม่เจริญ สกุลใดที่มีความกว้างขวาง มีจิตใจอันกว้างขวาง พิจารณารอบคอบเพื่อทำประโยชน์แก่ส่วนรวมผู้นั้นเป็นผู้ดี



    นี่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ของพวกเราคือหัวใจของคนไทยทั้งชาติ ให้พากันทะนุถนอมนะ อย่าพากันไปทำลาย จะมีแต่ลูกหยอมแหยมๆ พ่อแม่ผู้ให้ความร่มเย็นไม่มีมันไม่เกิดประโยชน์ อย่างไรต้องรักษาส่วนใหญ่เอาไว้ ในประเทศไทยเราก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว-สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินี นี้คือหัวใจของชาติให้พากันเคารพเทิดทูน อะไรที่เป็นหลักใหญ่ของชาติของส่วนรวมให้พากันรักษา พากันเทิดทูน อย่าพากันทำลายโดยอวดดี

    ดังที่ท่าน ว่าอึ่งอ่างกับวัวนั่นละ เราก็เห็นในนิทานอีสปแต่ก่อนเรียนหนังสือ อึ่งอ่างตัวเท่ากำปั้นนี่ วัวมันตัวขนาดไหน ลูกอยู่ในรู แม่ไปหากิน ลืมแล้วนิทานอีสป มันเป็นอย่างไรละทีนี้ (ลูกเห็นวัว พอแม่กลับมาเล่าให้แม่ฟังว่าเจอตัวอะไรไม่รู้ใหญ่มาก แม่ก็พองตัว ลูกว่าใหญ่กว่านี้อีก) ได้ไหมๆ สุดท้ายสิ่งที่ได้คือพุงแตก นี่ระวังนะ ตัวเล็กๆ อย่าไปพองตัว มันไม่สมควรจะพอง อึ่งอ่างกับวัว วัวมันตัวใหญ่ขนาดไหน อึ่งอ่างตัวเท่ากำปั้น มาพอง มันตัวเท่านี้ไหมๆ เรื่อย สุดท้ายเลยตาย เข้าใจไหม นี่อึ่งอ่างกับวัวมันไม่ดีอย่างนั้นละ”

    โดย...หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี


    [​IMG]

    “ในหลวงพระองค์นี้ ท่านเป็นพระโพธิสัตว์น๊ะ...”

    หมาย เหตุสำหรับปฐมเหตุที่ทำให้พระภิกษุพระยานรรัตนราชมานิต (ธมฺมวิตกฺโกภิกขุ) วัดเทพศิรินทราวาสกล่าวความเช่นนี้ ก็เกิดมาจากการที่ท่านได้กล่าวเตือนญาติโยมบางรายที่ไปนมัสการว่า

    “ การที่คุณเอาธนบัตรที่มีรูปในหลวงไปใส่ไว้ในกระเป๋ากางเกงนั้นไม่ดีเลย เพราะในหลวงท่านเป็นพระโพธิสัตว์ การเอาพระรูปของท่านไปไว้ในที่ต่ำอย่างนั้น ย่อมบังเกิดโทษเป็นอันมาก ทีหลังอย่าพากันทำ ”

    และความเป็น"พระโพธิสัตว์"ของในหลวงนั้น ก็เป็นถึงระดับ"นิยตโพธิสัตว์"ผู้เที่ยงแท้ต่อพระโพธิญาณในอนาคตกาลเบื้อง หน้าโน้นอย่างแท้จริงด้วย สมจริงดังที่หลวงปู่สิม พุทฺธาจาโร สำนักสงฆ์ถ้ำผาปล่อง เชียงใหม่ ได้กล่าวรับรองไว้ด้วยองค์เองทีเดียวว่า


    "ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนามเคยเป็นช้างนาฬาคิริง ส่วนในหลวงองค์ปัจจุบันเป็นช้างป่าเลไลยก์นะ..!!!!!"

    ภควา อันว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแห่งเรา ตรัสพระสัทธรรมเทศนาว่า เมื่อองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงพระนามว่า พระติสสะสัพพัญญูพุทธเจ้า เสด็จล่วงลับดับขันธ์เข้าสู่พระปรินิพพานสิ้นกาลช้านานแล้ว ฯ

    ใน ลำดับ นั้น อันว่าช้างปาลิไลยหัตถีตัวนี้ก็เป็นพระบรมโพธิสัตว์สร้างพระบารมีมาเป็นอัน มาก จักได้ตรัสเป็นสมเด็จพระพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า พระสุมงคล ในอนาคตกาลพระสุมงคลทศพลญาณเจ้านั้น มีพระองค์สูงได้ ๖๐ ศอก พระชนมายุมีประมาณแสนปีเป็นกำหนด ไม้กากะทิงเป็นพระศรีมหาโพธิ ประดับด้วยพระพุทธรัศมีรุ่งเรืองสว่าง ดังสีทองเป็นอันงามประดุจกลางวัน แล้วจะบังเกิดมีไม้กัลปพฤกษ์ต้นหนึ่ง ห้อยย้อยไปด้วยสิ่งของเครื่องประดับ มีประการต่างๆ ด้วยพระพุทธานุภาพ ฝูงมนุษย์ทั้งหลายในพระศาสนาของพระสุมงคล มิได้กระทำซึ่งกสิกรรม วาณิชกรรม ได้อาศัยซึ่งต้นกัลปพฤกษ์นั้น ประพฤติเลี้ยงชีวิตแห่งอาตมา มนุษย์ทั้งหลายมีความผาสุกสบาย ขวนขวายแต่การเล่นเต้นรำแต่งตัวอยู่เป็นนิจ เสมอเหมือนเทพบุตร เทพธิดา ซึ่งได้ทิพยสมบัติในสวรรค์เทวโลกฯ สมเด็จพระสุมงคลทศพลญาณเจ้า ก่อสร้างพระบารมีมาทั้ง ๑๐ ประการ จึงสำเร็จแก่พระพุทธสมบัติเห็นปานดังนี้ ฯ อันว่ากองพระบารมีครั้งหนึ่ง พระองค์กระทำมาแต่ยังเป็นพระบรมโพธิสัตว์อยู่นั้น ปรากฏเป็นปรมัตถบารมีอันยิ่งยอดอย่างเอกอุดมทาน ฯ

    เพราะด้วยเหตุที่ ท่าน เจ้าคุณพระญาณสิทธาจารย์(สิม พุทฺธาจาโร)ซึ่งเป็นพระขีณาสวสงฆ์ผู้ทรงญาณวิสัยอันลึกล้ำ สามารถแทงตลอดในการทุกสิ่งอัน และได้แจ้งในใจในพระคุณอันยิ่งใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้ ซึ่งเป็นหนึ่งในอนาคตวงศ์ภายภาคหน้าเป็นอย่างดีที่สุด หลวงปู่สิมจึงได้ถวายความจงรักภักดีในพระองค์ท่านอย่างยิ่ง แม้ตราบเท่าวาระสุดท้ายแห่งชีวิตท่านอย่างน่าซาบซึ้งประทับใจที่สุด ไม่มีใดจะเทียมทันได้ ซึ่งการทั้งปวง อาจเข้าไปชมได้ในหัวข้อ"จงรักภักดีด้วยชีวิต"



    โดย...ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาส

    [/b][/color]

    [​IMG]


    "พระองค์มัวแต่เป็นห่วงคนอื่น แต่ไม่ทรงห่วงพระองค์เองบ้างเลย"

    โดย...หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง เชียงใหม่


    [​IMG]


    "วันหนึ่งข้างหน้า ในหลวงจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งของโลก"
    หลวงพ่อมองหน้าผมแล้วย้ำว่า...

    "ในหลวงเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาพุทธภูมิ"


    โดย...หลวงพ่อพุธ ฐานิโย วัดป่าสาลวัน นครราชสีมา
    ได้กล่าวไว้กับลูกศิษย์คนหนึ่ง เมื่อครั้งที่บวชอยู่กับท่านฯ



    [​IMG]


    เมื่อต้นปี พ.ศ. ๒๔๙๘ คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม

    ได้ปรารภกับศิษยานุศิษย์ของท่านว่า

    "มีใครเป็นห่วงพระเจ้าแผ่นดินองค์น้อย (ในหลวง) บ้าง???"

    เมื่อทุกคนกล่าวรับว่าเป็นห่วง เนื่องจากมีข่าวที่น่าเป็นกังวลมาให้ได้ยินอยู่

    คุณ แม่บุญเรือน(พระอริยะเจ้ามหาอุบาสิกา-ฆราวาสนักปฏิบัติธรรมชั้นสูงผู้เมตตา ทรงอภิญญา และฤทธิ์ปาฏิหาริย์อันน่าอัศจรรย์ยิ่งในยุคนั้น) ก็ว่าต่อไปอีกหน่อยว่า

    “ถ้าเป็นห่วง ก็ขอให้แม่อธิษฐานช่วยพระองค์ท่านซิ”

    (ตามอริยประเพณี พระอริยะจะทำการสิ่งใดโดยปราศจากเหตุ หรือไม่มีผู้อาราธนามิได้)

    เมื่อศิษย์ทุกคนกล่าวคำขอให้คุณแม่ใช้อิทธิฤทธิ์ช่วยในหลวงให้ทรงพระเจริญ
    และ แคล้วคลาดจากสรรพภยันตรายทั้งปวงแล้ว คุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม จึงได้กำหนดที่จะไปเข้า "นิโรธสมาบัติ" คุ้มครองถวายพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่บ้านนาซา(เป็นเคล็ดให้เรื่องร้าย"สร่างซา"ลงไป) ของนางสาววาย(เป็นเคล็ดให้เรื่องราวที่ไม่ดีมีอันต้อง"วาย"หายสูญ ไป) วิทยานุกรณ์(น้องสาวพระมหารัชชมังคลาจารย์ วัดสัมพันธวงศ์) ที่ปากน้ำประแสร์ จ.ระยอง เป็นเวลาถึง ๑ ปีเต็ม โดยเวลานั้น คุณแม่บุญเรือน ได้สั่งห้ามมิให้ศิษย์คนใดเข้ามารบกวนท่านในช่วงเวลานั้นเป็นอันเด็ด ขาด...!!!

    ที่มา...หนังสืออนุสรณ์ อดีตเจ้าอาวาส วัดสารนาถธรรมาราม ระยอง พ.ศ. ๒๕๕๑

    "มีแต่คนที่ไม่ฉลาดเท่านั้น ที่จะไม่รู้ว่า ในหลวงพระองค์นี้ดีอย่างไร"

    โดย...พระอาจารย์วัน อุตตโม วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม สกลนคร





    .
     
  13. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ป้องกัน 'โรคตาติดเชื้อ' ช่วงน้ำท่วม

    วันจันทร์ ที่ 21 พฤศจิกายน 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    โรคตาติดเชื้อในสภาวะน้ำท่วมเป็นสิ่งที่ต้องระมัดระวังและเฝ้าสังเกต ซึ่ง 'ราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย' เผยว่า เชื้อโรคที่มากับน้ำมีทั้งเชื้อแบคทีเรีย,ไวรัส,ปาราสิตและอมีบา ล้วนมีอันตรายต่อดวงตาและการมองเห็น โดยเชื้อโรคจะปนเปื้อนอยู่ในแหล่งน้ำต่างๆ โดยเฉพาะน้ำท่วม

    สำหรับคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพดวงตา คือ คอยสังเกตอาการที่เป็นสัญญาณเตือนของความผิดปกติของดวงตา อาทิ ตาแดงหรืออาการระคายเคืองต่อดวงตา อาการปวดรอบๆดวงตา แพ้แสงหรือแสบตาผิดปกติ การมองเห็นลดลงหรือมัวลง และน้ำตาไหลหรือมีขี้ตาผิดปกติ

    ถ้ามีอาการดังกล่าว ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อการวินิจฉัยอย่างถูกต้องและรับการรักษาอย่างรวดเร็วที่สุด โดยการรักษาโรคตาติดเชื้อตั้งแต่แรกจะทำให้ผลการรักษาดีและมีประสิทธิภาพ ส่วนการรักษาที่ช้าเกินไปอาจจะทำให้สูญเสียการมองเห็นได้

    กรณีน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา ควรล้างตาด้วยน้ำสะอาดที่ปราศจากเชื้อโรค เช่น น้ำยาล้างตาหรือน้ำยาล้างคอนแทคเลนส์ที่ได้มาตรฐาน การล้างตาด้วยน้ำประปาโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีปัญหาของคุณภาพ อาจทำให้ตาอักเสบมากขึ้นได้

    อย่างไรก็ตาม ประชาชนทุกคนสามารถเกิดโรคตาติดเชื้อได้และจะพบมากขึ้นในกลุ่มประชาชนที่สวมคอนแทคเลนส์, หลังการผ่าตัดแก้ไขสายตาผิดปกติ เช่น เลสิค (post-LASIK) และหลังการผ่าตัดในลูกตา เช่น ผ่าตัดต้อกระจก ต้อหินจอประสาทตา ซึ่งควรเฝ้าระวังอาการที่ผิดปกติเป็นพิเศษ

    สำหรับผู้ที่มีความผิดปกติของสายตาและแก้ไขด้วยคอนแทคเลนส์หรือแว่นตา ในสภาวะน้ำท่วมอาจพบอุปสรรคของการสวมคอนแทคเลนส์ในสถานที่พักพิงหรือบ้านที่ถูกน้ำท่วม, การเดินทางไม่สะดวกในการทำแว่นตาหรือแว่นตาเกิดการสูญหายจากการประสบปัญหาน้ำท่วมของบ้านที่อยู่อาศัย ดังนั้นการเตรียมแว่นสำรองไว้ในกรณีฉุกเฉินจึงมีความจำเป็นมากขึ้นในสถานการณ์เช่นนี้

    ดังนั้น ในช่วงน้ำท่วมควรระมัดระวังไม่ให้น้ำท่วมที่สกปรกกระเด็นเข้าตา ที่สำคัญเมื่อมีปัญหาตาอักเสบมีขี้ตาแล้ว ต้องระวังไม่ให้แพร่เชื้อในวงกว้างโดยหลีกเลี่ยงการสัมผัสตาที่อักเสหรือขี้ตา หากจำเป็นต้องสัมผัสขี้ตาต้องล้างมือทันที เพื่อป้องกันการกระจายเชื้อสู่บุคคลอื่น.

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    เรื่องขององค์ชายยอนอิง/ต่อพงษ์ <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">21 พฤศจิกายน 2554 14:15 น.</td></tr></tbody></table>

    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">องค์ชายยอนอิงกับรัชทายาท </td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">มเหสีอินวอนที่ผิดไปจากประวัติศาสตร์มาก </td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">จางมูยองน ตัวแสบสุดท้ายที่ให้คำทำนายที่เป็นจริง </td> </tr> </tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td align="center" valign="baseline">ยอนอิง หรือพระเจ้ายองโจ ภาพในประวัติศาสตร์</td> </tr> </tbody></table>
    [​IMG]



    มีหลายคนที่กำลังอินกับเรื่องราวของ “ ทงอี” อย่างสุดขีด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ถามผมว่าเรื่องราวขององค์ชายยอนอิงกับรัชทายาทนั้นเป็นอย่างไรต่อไป เพราะแม้ในเรื่องจะจบลงแบบแฮปปี้เอนดิ้งแต่เรื่องจริงนั้นเป็นอย่างไรกันแน่

    เรื่องที่น่าสนใจเวลาเกาหลีเขาจะปั้นละครประวัติศาสตร์นั้น สิ่งหนึ่งที่ทีมเขียนบทจะทำก็คือ เขาจะหาช่องว่างทางประวัติศาสตร์ที่อาจจะหายไป หรือช่วงที่มีบันทึกประวัติศาสตร์นิดเดียวมาทำ แล้วก็สร้างเรื่องใหม่ต่อเติมเข้าไปโดยรู้ตอนจบของเรื่องอยู่แล้ว เรื่องของทงอีนี่ก็เหมือนกันครับ โดยเฉพาะในช่วงท้ายๆ และตอนจบเขาเอาโน่นนี่มาใส่เยอะเลย

    ในละครนั้นช่วงท้ายเรื่องพระเจ้าซุกจงตัดสินใจไม่สละบัลลังก์ตามที่วางแผน ไว้แต่ต้น เพราะพระมเหสีอินวอนรับเจ้าชายยอนอิงผู้มีเลือดชนชั้นต่ำเป็นลูกบุญธรรม นางเอกเราเลยออกไปอยู่นอกวังแล้วตั้งกองเป็นขบวนการพิทักษ์ประชาชนอะไรทำนอง นั้น

    อันนี้ตรงกับในประวัติศาสตร์ครับ คะเนตามเวลาในละครตอนที่ 57-59 น่าจะเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นราวๆ ปี ค.ศ. 1702 เพราะเป็นปีที่พระเจ้าซุกจงแต่งงานกับมเหสีอินวอน ซึ่งตอนนั้นรัชทายาทอายุได้ 14 ปี ส่วนที่เจ้าชายยอนอิงอภิเษกนั้นเกิดขึ้นในปี คศ.1703 ตอนนั้นองค์ชายอายุ 8 ขวบ ภรรยาของท่านมีอายุ 10 ขวบ

    ตรงนี้เองที่คนเขียนบทแต่งใหม่ได้จี๊ดมาก นั่นคือเรื่องราวของมเหสีอินวอน ที่เปิดตัวมาดูร้ายมากขนาดต่อกรกับทงอีได้เลย เรื่องจริงตามประวัติศาสตร์นั้นมเหสีอินวอนไม่น่าที่จะซี้อะไรกับรัชทายาท หรือมีสติปัญญาระดับที่กระทำการอะไรได้ เพราะตอนนั้นพระองค์มีอายุแค่ 15 ปีเท่านั้นเอง (ประวัติจริงเธอเกิดปี ค.ศ. 1687) ข้อถัดมาก็คือทั้งองค์รัชทายาทและเจ้าชายยอนอิงล้วนแล้วแต่ถูกรับให้เป็น บุตรบุญธรรมทั้งสิ้น ไม่ใช่แค่ยอนอิงคนเดียว ถ้าจะให้ผมเดาก็คงเป็นว่า เรื่องทุกอย่างที่เดินไปนั้นก็เกิดเพราะพระเจ้าซุกจงท่านเสกให้เป็นไปตามที่ ท่านต้องการเพื่อสลายอำนาจของกลุ่มข้าราชการในระบบแฟกชันต่างๆ นั่นเอง

    แต่มเหสีอินวอนนั้นอายุยืนครับ ให้เดาถึงความเป็นไปได้ก็ต้องบอกว่า พระองค์จะมาเป็นเพื่อนคู่คิดขององค์ชายยอนอิงมากกว่า เพราะในประวัติศาสตร์จริงทั้งคู่มีอายุแตกต่างกันแค่ 7 ปีเท่านั้นเอง พอปี 1711 ท่านก็ติดโรคฝีดาษแต่ก็ไม่ได้เสียชีวิตแต่อย่างได มเหสีอินวอนนั้นกว่าจะสวรรคตก็ปาเข้าไปในปี 1757 ขณะอายุได้ 70 ปี ซึ่งเป็นปีที่ 33 ในการครองราชย์ของ “พระเจ้ายองโจ” หรืออีกนัยหนึ่ง “เจ้าชายยอนอิง” ลูกของทงอีนั่นเอง

    และเพราะการไม่สละบัลลังก์ตามเรื่องราวจริงๆ ในประวัติศาสตร์ คนที่ซวยก็คือองค์รัชทายาท เพราะกว่าจะได้ครองราชย์จริงๆ ก็เมื่อพระเจ้าซุกจงสวรรคตนั่นเองครับ

    จริงๆ องค์รัชทายาทก็ไม่ได้อายุสั้นนักตามอาการนกเขาไม่ขันอย่างในละครบอกนะครับ แต่เหตุที่อายุใช้งานบนบัลลังค์ของรัชทายาทน้อยเพราะพระเจ้าซุกจงท่านทน เหลือเกิน กว่าที่ท่านจะตายก็ปาเข้าไปปี ค.ศ. 1720 กว่ารัชทายาทจะได้ครองบัลลังก์เป็น “พระเจ้ากอนจง” ก็ปาเข้าไปตอนพระองค์อายุ 32 ปี (แต่ได้ออกว่าราชการแทนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1718) คืออยู่บนบัลลังก์แค่ 4 ปีก็สวรรคตไปอีกคน

    ก่อนเรื่องนี้จะจบมันมีไอ้ตัวร้ายตัวหนึ่งที่ชื่อ “จางมูยอน” เป็นรองเจ้ากรมกลาโหม ที่บอกว่าในไม่นานพวกที่สนับสนุนทงอีก็จะตาย เพราะความขัดแย้งในเรื่องของทั้งชนชั้นและแนวคิดในเรื่องการตีความของขงจื๊อ ที่บรรดาข้าราชการในเรื่องถือหางกัน ผลปรากฏคำทำนายนี้เป็นเรื่องจริงนะครับ เพราะในปี 1721 หลังจากที่พระเจ้ากอนจงครองราชย์ได้แค่ปีเดียว ผู้นำขุนนางกลุ่มโนรนซึ่งในเรื่องก็เป็นกลุ่มพรรคพวกของทงอีก็โดนสั่งประหาร ไปซะ 4 คน และปีต่อมาก็โดนไล่ประหารไปอีก 8 คน...เลือดมักจะนองท้องช้างเสมอเวลาที่มีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินในเกาหลี

    กว่าองค์ชายยอนอิงจะได้ขึ้นเป็นพระเจ้ายองโจ( Yeongjo of Joseon) คนที่อยู่เคียงข้างกันจริงๆ ก็คือ พระมเหสีอินวอนซึ่งกลายเป็นพระพันปีหลวงไปเรียบร้อย พระองค์ท่านแบ็กอัพเจ้าชายยอนอิงกันสุดๆ ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะอายุที่แตกต่างกันไม่มากก็เป็นไปได้ แต่พระเจ้ายองโจก็เป็นกษัตริย์อีกพระองค์ที่ครองราชย์ได้นานมากคืออยู่บนบัล ลังค์ตั้ง 52 ปี เรียกว่าครองกันจนเหนียงยานไปเลย

    สิ่งหนึ่งที่ถือเป็นตำนานที่คนดูละครเกาหลีต้องทราบก็คือ พระเจ้ายองโจลูกของทงอีนี้เป็นปู่ของ ลีซาน ซึ่งก่อนหน้านั้นก็มีละครที่เสนอเรื่องของเขามาก่อน เพียงแต่เรื่องไม่ค่อยสนุกก็อาจจะทำให้คนไม่รู้สึกว่ามันน่าสนใจเท่าไหร่นัก แต่ตัวพระเจ้ายองโจเองก็ไม่เลวนัก ตำนานหนึ่งที่พระองค์สร้างเอาไว้ก็คือ การตั้งหน่วยสืบราชการลับขึ้นมา ซึ่งสวนทางกับการประกาศตัวว่าเป็น “ขงจื๊อคลาสสิกแบบเข้มข้น” เพราะหน่วยของพระองค์นั้นไม่ได้ขึ้นต่อศาล หน่วยงานกลาโหม แต่ขึ้นตรงต่อพระองค์เอง นอกจากสืบและจัดการพวกข้าราชการขี้โกงแบบถึงอกถึงใจแล้ว หน่วยงานนี้ยังมีหน้าที่ไปยึดทรัพย์ข้าราชการหรือเจ้าที่ดินรวยๆ อีกด้วย แต่ที่คนชื่นชมมากก็คือการปกป้องชนชั้นต่ำที่ถูกรังแก

    หน่วยงานดังกล่าวมีคนสนิทคนหนึ่งที่ชื่อ “ปาร์ค มุน ซู” ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง Amhaeng-eosa ประมาณว่ามีสิทธิ์ถือตราอาญาสิทธิ์ในการสอบสวนจับกุมยึดทรัพย์ฝ่ายตรง ข้ามอย่างสบาย คล้ายๆเปาบุ้นจิ้นกับจั่นเจาแบบนั้น โดยที่ทรงแบ็กอัพอย่างเต็มที่ ที่ถูกวิจารณ์มากจากฝั่งหนึ่งก็เพราะว่าเขามองว่าหน่วยงานนี้อ้างเรื่องปราบ กังฉินและช่วยเหลือคนชั้นต่ำแบบมีวาระซ่อนเร้น เพราะช่วงนั้นเศรษฐกิจของโชซอนกำลังแย่จากสงครามการเมือง เงินคงคลังของราชสำนักก็ไม่ค่อยจะมีเท่าไหร่ ครั้นจะรอระบบเก็บภาษีตามปีทั่วไปก็คงจะไม่ทันจ่ายเงินเดือน การตั้งหน่วยงานที่อ้างว่าทำเพื่อปราบข้าราชการกังฉินอาจจะแค่ข้ออ้าง ที่แท้จริงแล้วจะหาเงินเข้าคลังหลวงนั่นเอง

    งานนี้ก็เลยมีคนตายเป็นเบืออยู่เหมือนกันจากการออกปล้นข้าราชการชั่วนี้ ผลก็คือ การสาปแช่งอย่างหนักหน่วงโดยตระกูลขุนนางที่โดนยึดทรัพย์ทั้งหลาย โศกนาฏกรรมขององค์ชายยอนอิงหรือพระเจ้ายองโจนั้นมีอย่างเดียวในชีวิตก็คือ พระองค์สั่งประหารรัชทายาทของพระองค์เอง
    ลูกของเจ้าชายยอนอิงมีชื่อว่า ซาโด ( Sado) ที่ว่ากันว่าสติสตังค์ไม่ค่อยดีตั้งแต่เด็กๆ เนื่องจากติดเชื้อในสมองแต่เมื่อโตขึ้นแกก็เพี้ยนถึงขนาดก่อคดีฆ่าผู้ บริสุทธิ์ในวังไปจนกระทั่งไล่ข่มขืนนางใน เรื่องจริงไม่รู้ว่าเป็นอย่างที่บันทึกไว้หรือเปล่านะครับ เพราะมีนักประวัติศาสตร์พูดถึงเรื่องนี้ในอีกแง่หนึ่งว่า อาจจะเป็นการใส่ร้ายโดยบรรดานักการเมืองและข้าราชการแสบๆ ก็เป็นได้ เพราะตัวพระเจ้ายองโจก็ทำเขาไว้เยอะ สุดท้ายพระเจ้ายองโจก็ไม่มีทางเลือก พระองค์สั่งขังเดี่ยวรัชทายาทองค์นี้ในถังเก็บข้าวเป็นเวลา 8 วัน จนสุดท้ายก็อดน้ำตายไปเอง

    ว่ากันว่าที่บุตรชายของพระองค์เป็นบ้าได้ขนาดนั้นก็เพราะคำสาปแช่งของคนที่โดนยึดทรัพย์และสั่งเชือดไปสบายแฮแบบนั้น

    แต่การที่พระองค์ต้องลงมือเชือดบุตรตัวเองก็ทำให้ท่านทุ่มเทความรักให้แก่ หลานปู่จนหมดสิ้น และด้วยการส่งเสริมของพระเจ้ายองโจ อีกทั้งยความสามารถของตัวเอง หลานของพระองค์ก็เลยได้เป็นหนึ่งในกษัตริย์ที่ดีที่สุดของเกาหลีที่มีฉายา ว่า ไม้บรรทัดเหล็ก หรือ ลีซาน นั่นเองครับ


    -http://www.manager.co.th/Entertainment/ViewNews.aspx?NewsID=9540000148326-

    .
     
  17. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ผมแซวไปแล้วว่าระวังจะมี คากิ ชิกคัก ขาหมู เจริญแสง ด้วยนะครับ หุ หุ
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  19. kantamatt

    kantamatt สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 พฤศจิกายน 2011
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +0
    สวัสดีครับคุณพี่ sithiphong ไม่ทราบว่ามาช้าไปหรือเปล่า ผมชื่อ จุลินทร์ ฉัตรสุริยา ขอร่วมทำบุญโดยการบริจาคเงินจำนวน 10,000 บาท (หนึ่งหมื่นบาทถ้วน) ให้กับการร่วมสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง หรือ วัดบ่อเงินบ่อทอง ปัจจุบันผมรับราชการ เพิ่งจะจบภารกิจจากงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ฯ เนื่องจากย้ายตาม หน.ไปช่วยราชการที่ กอ.รมน. ผมงดกินเนื้อวัวมายี่สิบกว่าปีแล้ว ส่วนหมูและไก่งดกินมาสิบกว่าปีนี้เอง แต่ในทุกวันพระผมจะงดอาหารที่มีเนื้อสัตว์ทุกชนิด เมื่อปี 2543 หรือ 2544 ผมได้รู้จักนักปฏิบัติธรรมท่านหนึ่ง อาจารย์ท่านนี้ค่อนข้างมีของเก่าสะสมมาเยอะ จนพระสงฆ์หลายรูปออกปากชมว่า "โยมคนนี้เขาเก่ง" แค่บอกชื่อกับนามสกุล อาจารย์ท่านนี้ก็สามารถบอกรายละเอียดของบุคคลนั้นได้อย่างถูกต้อง แม้แต่เรื่องส่วนตัวที่ไม่มีใครรู้ท่านก็สามารถบอกได้อย่างถูกต้องเช่นกัน (อาจารย์ท่านนี้ได้เสียชีวิตไปเมื่อ ส.ค.2553) ท่านได้แนะนำให้ผมสวดมนต์นั่งสมาธิในตอนเช้าและก่อนนอนทุกวัน ซึ่งผมก็ได้ปฏิบัติมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งหมดนี้คือข้อมูลโดยย่อในทางโลกและทางธรรมของผม เพื่อประกอบการพิจารณาให้กับคุณพี่ suthiphong ว่าจะอนุญาตให้ผมได้ร่วมทำบุญเพื่อรับมอบพระสมเด็จวังหน้าหรือเปล่า โดยส่วนตัวผมแล้วเชื่อเหลือเกินว่า คุณพี่ sithiphong ต้องรู้จักนักปฏิบัติธรรมที่มีความสามารถเหมือนกับอาจารย์ของผมแน่นอน เพราะฉะนั้นให้เอาชื่อกับนามสกุลของไปตรวจดูได้เลยว่าที่ผมเล่ามาทั้งหมดในข้างต้นเป็นความจริงหรือเปล่า สุดท้ายนี้ผมขอให้อานิสงส์ของการปฏิบัติธรรมจากนักปฏิบัติธรรมปลายแถวอย่างผม จงช่วยส่งผลให้คุณพี่ sithiphong ได้เมตตาให้ผมได้มีโอกาสครอบครองพระสมเด็จวังหน้ากับเขาบ้าง (เพราะได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับหลวงปู่บรมครูโลกเทพอุดร รวมทั้งได้ฟังจากคำบอกเล่าของพระสงฆ์และนักปฏิบัติธรรมมาพอสมควร เรื่องความเลื่อมใสศรัทธานั้นไม่ต้องพูดถึง เลื่อมใสศรัทธามานานแล้ว)
    * ปกติผมไม่เคยมี email และไม่เคยสมัครสมาชิกในเว็ยไซต์ที่ไหนเลย
    * ผมใช้ความพยายามอยู่หลายวันกว่าจะมานั่งพิมพ์ข้อความทั้งหมดนี้ ซึ่งก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าทำทุกอย่างถูกขั้นตอนหรือเปล่า/ข้อความทั้งหมดนี้จะถึงคุณพี่ sithiphong หรือเปล่า
    * หากมีข้อความใด/ประโยคใด ผิดพลาด ไม่ถูกต้อง หรือทำให้ผู้ที่ได้อ่านท่านใดไม่พอใจ ก็ขออโหสิกรรมให้กับข้าพเจ้าด้วย อย่างได้ถือโทษโกรธเคือง จนเป็นเหตุให้ผูกเวรสร้างกรรมกันต่อไปเลย และขออนุโมทนากุศลผลบุญทั้งหมดที่คุณพี่ sithiphong และญาติธรรมทั้งหลายได้สร้างมา สาธุ สาธุ สาธุ (เบอร์ผม 083 - 1220230)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤศจิกายน 2011
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมมอบให้ได้ครับ

    ให้ร่วมทำบุญ หน่วยงานใด หน่วยงานหนึ่ง หรือ ทั้งสองหน่วยงาน จำนวน 10,000 บาท และให้โพสสลิปลงในกระทู้พระวังหน้าฯนี้

    พระที่ผมจะมอบให้ จะเป็นรุ่น กรุวังหน้าอยุธยา พิมพ์ซุ้มไทรย้อย 1 องค์ ซึ่งองค์ที่ผมจะมอบให้นั้น ก็แตกต่างจากองค์เดิม เนื่องจากองค์ผู้อธิษฐานจิต

    และผมจะมอบพระกรุวังหน้า รัตนโกสินทร์ (ผมจะเลือกพิมพ์ให้เอง) ให้อีก 1 องค์

    ทั้งสององค์ที่ผมมอบให้นั้น หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร(คณะโสณะ-อุตระ) อธิษฐานจิตครับ


    โมทนาสาธุครับ


    .

    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    .

    [​IMG]

    [​IMG]



    .


    </td></tr></tbody></table>
    มูลนิธิราชประชานุเคราะห์ ในพระบรมราชูปถัมภ์

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    .********************************************.
     

แชร์หน้านี้

Loading...