พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    ไม่ทราบทำบุญสร้างพระเถระเจ้าปิดไปยังครับ ถ้ายังขอร่วมบุญสร้างด้วยกระผม
     
  2. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    เมื่อมือถูกพันมัมมี่เพราะ'โรคมือขยัน'

    วันจันทร์ ที่ 05 กันยายน 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    วันนี้ 'มุมสุขภาพ' มาพร้อม นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวถึงโรคมือขยัน ที่ทำให้ปวดข้อมือ บางคนมีอาการบวมและชาร่วมด้วย อาการดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร ไปหาคำตอบ...

    @@@

    ได้มีโอกาสเจอพี่ในวงการน้ำหมึกที่รักกันมากท่านหนึ่งในงานอีเว้นต์แล้วเหลือบไปเห็นมือของพี่พันมัมมี่ไว้ด้วยผ้ายืดพันแผลฟกช้ำ เลยถามไถ่ไปว่ามือนี้ท่านได้แต่ใดมา พี่ท่านก็ว่าไปใช้มือผิดท่าหน่อยเลยข้อมือเคล็ด เห็นแล้วเจ็บข้อมือแทนตอนปั่นต้นฉบับ

    ก่อนขึ้นเวทีเลยขอจับหมับเข้าที่ข้อมือเพราะพี่เขาเป็นคนน่ารักไม่ถือเนื้อถือตัว หลังจากที่ผมคลำข้อมือแทะโลมพี่เขาจนพอแล้วก็เลยได้เจอส่วนที่เป็นผู้ร้ายเข้าจัง ข้อมือพี่เขาไม่เท่ากันครับ!

    ไม่ใช่ว่าพี่เขาเป็นคนลำเอียงเลี้ยงมือไม่เท่ากันนะครับแต่ปัญหามันอยู่ตรงข้อมือที่เริ่มมี “พังผืด” มาเกาะรัดทำให้ขยับไม่ถนัดแถมขัดๆเอาเสียอีก โรคนี้มักเกิดในคนขยันครับเรียกว่า “คาปัล ทันแนล ซินโดรม (Carpal tunnel syndrome)” หรือผมขอพี่เขาเรียกง่ายๆว่า “โรคมือขยัน” เพราะมันมักเกิดในท่านที่ใช้ข้อมือทำงานมาก

    เช่น บิดผ้ากองโต สับหมูสับไก่ทั้งวัน ถือเครื่องเจาะถนนเขย่าข้อลำไปทั้งตัว และก็ในอาชีพ “นักเขียน” แบบผมนี่ละครับ การพิมพ์ด้วยแป้นพิมพ์นี่แหละตัวดีนักแลเพราะถ้าแป้นพิมพ์ธรรมดาเขาไม่ได้ทำไว้สำหรับพิมพ์ต้นฉบับมือเป็นลิงทั้งวันเขาไว้ให้พักข้อมือบ้าง แต่พอต้องทำงานปั่นทั้งต้นฉบับ เขียนทั้งข่าว และยิ่งเวลาใกล้ปิดต้นฉบับด้วยนั้นก็ยิ่งเกิดพลัง(กดดัน)ทำกันแบบหามรุ่งหามค่ำ ข้อมือที่ต้องเกร็งอยู่กับแป้นพิมพ์ก็เริ่มล้าแล้วอักเสบ จากนั้นพังผืดก็ตามมา

    อาการมือขยันอาจลุกลามได้นะครับจากข้อมือหนึ่งไปสู่อีกข้อมือหนึ่งเพราะเป็นธรรมชาติของคนที่เมื่อข้อมือหนึ่งป่วยแล้วก็จะหันไปใช้อีกข้อหนึ่งโดยอัตโนมัติ ทำให้ไม่นานก็กลายเป็นปวดทั้ง 2 ข้อ ซึ่งอาการที่ชวนสงสัยว่าไขข้อ(มือ)เริ่มมีปัญหาแล้ว คือ บวมข้อมือกดเจ็บ ปวดข้อมือบางทีมีชาฝ่ามือร่วมด้วย และกระดกข้อมือแล้วขัด

    สำหรับความขยันที่เสี่ยงต่อทำให้ปวดร้าว ปวดลึกและปวดยาวที่ข้อมือก็มีอยู่ทั้ง ใช้แป้นพิมพ์ต่อเนื่องกันนานนับชั่วโมงโดยไม่พัก ทั้งคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน ใช้ข้อมือซักผ้า,บิดผ้าและสะบัดผ้าต่อเนื่องกันทั้งวัน หมุนพวงมาลัยขับรถบ่อยๆ ควรใช้พวงมาลัยพาวเวอร์หรือคันบังคับช่วย

    ความเสี่ยงยังมักเกิดกับผู้ที่ใช้ข้อมือหิ้วของหนักข้างเดียวหรือใช้นิ้วเกี่ยวถุงพลาสติกหิ้วของจนนิ้วเขียวบ่อยๆ อย่าสะบัดข้อมือแรงๆเวลาออกกำลังกายเพราะทำให้เส้นเอ็นยิ่งเสียดสีแล้วอักเสบหนัก งดออกกำลังกายที่ต้องสะบัดข้อมือเช่นแบดมินตัน,เทนนิส,สควอช,วอลเลย์บอล ฯลฯ และอย่าให้น้ำหนักตัวเกินและเวลานอนระวังการนอนทับข้อมือตัวเอง

    ส่วนในท่านที่ได้รางวัลข้อมือขยันเป็นพังผืดที่เริ่มรัดไปแล้วก็ยังไม่ต้องตกใจครับ ในช่วงที่เพิ่งเริ่มมีอาการระดับอนุบาลก็ยังไม่ต้องไปพะวงถึงเรื่องผ่าตัดครับ ท่านสามารถบำบัดได้ด้วยตัวเองก่อน เริ่มจากแช่น้ำอุ่น เทคนิคคือแช่ให้ท่วมข้อมือครั้งละ 10 นาทีวันละ 2 ครั้งถ้ายังไม่มีเวลาให้หาผ้าอุ่นมาพันรอบข้อมือแล้วพักไว้ รวมถึงใช้ฝักบัวตอนอาบน้ำพ่นน้ำอุ่นลงไปด้วยก็ได้ครับ

    หรือจะใช้วิธีเติมน้ำมันปลา หาอาหารเสริมสักอย่างกินคงไม่เสียหายเริ่มด้วยน้ำมันปลาที่มีโอเมก้าทรีช่วยดับไฟอักเสบที่ข้อมือและลดอาการปวด อีกอย่างคือสามารถหา “ขมิ้น” มารับประทานด้วยก็ช่วยลดการเจ็บได้ดีครับ

    หาท่าเหมาะ คือหาแป้นพิมพ์เฉพาะที่เอื้อต่อข้อมือตามหลักการยศาสตร์(Ergonomics) แล้วหมั่นออกกำลังข้อมือโดยการยืดเหยียด ทำท่าเหมือนตำรวจจราจรแล้วจับปลายมือให้แอ่นเข้ามาหาตัวจะช่วยให้สบายได้ครับ

    นอกจากนั้นในท่านที่มีปัญหากระดูกร่วมด้วยอาทิ กระดูกพรุนแถวข้อมือซึ่งเจอบ่อยเมื่อถึงวัยหนึ่งก็ขอให้เพิ่มเรื่องกิน “งาดำคั่ว” สักวันละ 2 ช้อนกินข้าวไปด้วยจะช่วยเติมแคลเซียมให้กระดูกเป็นอย่างดีครับ เพราะเหตุหนึ่งของความปวดมือนั้นมาจากกระดูกที่บางลงได้ด้วยครับ

    @@@

    รู้แล้ว อย่าได้ใช้ข้อมืออย่างหักโหม ปล่อยให้ข้อมือขี้เกียจบ้าง ไม่อย่างนั้นระวังโรคมือขยันถามหา.





    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     
  3. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    อาบน้ำอุณหภูมิเหมาะดีต่อสุขภาพ

    วันอังคาร ที่ 06 กันยายน 2554 เวลา 0:00 น


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    หลายคนไม่รู้หรอกว่า อุณหภูมิของน้ำที่อาบส่งผลต่อร่างกายและจิตใจได้ ดังนั้น การเลือกอาบน้ำร้อน น้ำอุ่น หรือน้ำเย็น จึงควรรู้ก่อนว่า น้ำที่อุณหภูมิแตกต่างกันนั้นให้ผลอย่างไรบ้าง

    เริ่มที่ ‘น้ำร้อน’ อยู่ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียสขึ้นไป ระดับนี้จะทำให้เลือดไหลเวียนได้ดี ช่วยให้รู้สึกกระปรี้ประเปร่าสลัดความขี้เกียจ ทว่าอย่าอาบน้ำร้อนให้นานเกินไป เพราะจะทำให้หลอดเลือดขยายตัว ผิวแห้ง ผิวเหี่ยว มีผื่นขึ้น บางทีอาจถึงขั้นเลือดคั่ง ประสาทอ่อนล้า ง่วงซึม โดยคนสูงวัยและมีโรคความดัน ไม่ควรอาบน้ำร้อน

    ส่วน ‘น้ำอุ่น’ จะอยู่ระหว่างอุณหภูมิ 27-37 องศาเซลเซียส ความอุ่นของน้ำจะกระตุ้นประสาทอัตโนมัติ ทำให้รู้สึกสบายทั้งกายและใจ ลดความเครียด และลดไข้

    และ ‘น้ำเย็น’ อุณหภูมิต่ำกว่า 27 องศาเซลเซียส สามารถช่วยกระตุ้นกล้ามเนื้อ ช่วยให้สดชื่นตื่นตัว กระชับรูขุมขนและผิวดูเต่งตึง ถ้าจะให้ดี ระหว่างอาบน้ำเย็นให้ตบเบาๆ ให้ทั่วตัวช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อไปในตัว

    รู้แล้วว่า น้ำอุณหภูมิไหนอาบแล้วเป็นอย่างไร จะอาบน้ำครั้งต่อไปลองเลือกให้เหมาะก็แล้วกัน.

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
     
  4. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ค่าเงินสวิสฟรังก์ ประกาศปรับค่า จาก 0.8-0.85 ต่อยูโร ปรับเป็น
    1.2สวิสฟรังก์ต่อยูโรครับ เมื่อเวลา15.00น.
    เข้าใจว่าปรับค่าเงินเพื่อช่<wbr>วยการส่งออกครับ
     
  5. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    เรื่องที่วันนี้คุยกับคุณหนุ่มปรากฎว่าเมื่อครู่คนที่ผมให้ไปเล่าผลให้ฟังเกือบชั่วโมงจนโทรศัพท์ผมแบตหมดครับ ลองคิดดูสิครับเขาเล่าว่าแปลกมากตอนนี้ คนที่ไม่คุยกลับมาคุย คนที่ยืมตังค์ไปแทงหนี้สูญไปแล้ว กลับเอาเงินมาคืนที่สำคัญ มีหน่วยงานอื่น เชิญขอตัวไปทำงานด้วย แปลกมากๆครับ พลิกกลับเมื่อ2อาทิตย์ก่อน ก่อนที่ผมจะมอบให้เลย บอกได้อย่างเดียวว่าสุดยอดดดด ครับ หุ หุ
     
  6. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618

    สบายดีครับพี่เพชร แต่ช่วงนี้งานยุ่งมากครับผม ตอบช้าไปหน่อยนะครับพี่ท่าน ขอพี่ท่านและพี่ๆในชมรมดูแลสุขภาพร่างกายกันด้วยนะครับ
     
  7. ปฐม

    ปฐม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    638
    ค่าพลัง:
    +1,618
    ถ้าจะขอให้พี่ท่านขยายให้แจ่มแจ้งก็เกรงใจจังเลยครับผม สงสัยต้องแอบกระซิบถามคุณพี่หนุ่มหลังไมค์ชะแล้วละครับ ขอบพระคุณพี่ nongnooo สำหรับข้อมูลเด็ดนะครับผม สบายดีไหมครับพี่ท่าน
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ใกล้ปิดแล้วครับ

    แจ้งให้ทุกๆท่านที่ร่วมทำบุญทราบว่า นอกเหนือจากการร่วมสร้างพระอานนท์เถระเจ้าแล้ว เงินที่ทุำกๆท่านร่วมทำบุญ ยังไปร่วมเป็นค่าใช้จ่ายในการสร้าง เช่น เงินค่าถวายพระภิกษุที่นิมนต์มาในงาน , ค่าอุปกรณ์ต่างๆ เช่น ดอกไม้ ธูปเทียน หรือ อื่นๆที่ใช้ในงานพิธีครับ

    ผมจะปิดการร่วมทำบุญในวันศุกร์ที่ 9 กันยายน 2554 นี้ครับ

    ผมจะปิดบัญชีที่ใช้ในงานบุญนี้ครับ

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ผมไม่รู้ ไม่ทราบครับ vb vb

    ลอกใครมาก็ไม่รู้ s5 s5

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้ ต้องไปสับกองทุน RMF แล้วครับ

    ขอบคุณครับ

    .
     
  11. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ผมไม่เคยบอกว่าโอเคนะครับ อย่าเข้าใจผิด ผมบอกแค่ว่าสุดยอดดดดดครับ หุ หุ
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    โพสโดยคุณtemo

    คนที่เพิ่งหัดเข้ามาดูทองอาจจะสงสัยกับการคิดราคาทองของสมาคมค้าทองคำว่าเขา อ้างอิงการตั้งราคาทองแต่ละวันอย่างไร ซึ่งการตั้งราคาทองนั้นอ้างอิงจาก 2 ปัจจัยหลักก็คือ Goldspot และค่าเงินบาท


    + Goldspot คือราคาทองเมืองนอก

    [​IMG]

    โดยราคาทองที่เห็นนี้จะมีหน่วยเป็นเงินดอลล่าร์ ราคาทองจะวิ่งขึ้นลงตลอดทั้งวัน 24 ชั่วโมง โดยมีแรงซื้อขายจากตลาดทั่วโลก กราฟทองตัวนี้จึงมีความจำเป็นสำหรับการดูทิศทางราคาทองคำของนักลงทุนทองคำ


    + USD - THB คือ ค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับเงินสกุลดอลล่าร์
    เมื่อราคาทองใช้เงินสกุลดอลล่าร์เป็นหลัก เมื่อจะแปลงราคามาเป็นราคาในเมืองไทย จึงต้องใช้อัตราแลกเปลี่ยนเงินดอลล่าร์ มาตีเป็นราคาซื้อขายในเมืองไทยอีกที


    สูตรคำนวณราคาทองไทย

    = (spot gold+2) x อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท x 0.4729

    คุณสมบัติของทองคำ

    - มีความแวววาวอยู่เสมอ ทอง ไม่ทำปฏิกริยากับออกซิเจนดังนั้นเมื่อสัมผัสถูกอากาศสีของทองจะไม่หมองและไม่เกิดสนิม

    - มีความอ่อนตัว ทองคำเป็นโลหะที่มีความอ่อนตัวมากที่สุด ด้วยทองเพียงประมาณ 2 บาท เราสามารถยืดออกเป็นเส้นลวดได้ยาวถึง 8 กิโลเมตร หรืออาจตีเป็นแผ่นบางได้ถึง 100 ตารางฟุต

    - เป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี ทองคำเป็นโลหะชนิดหนึ่งที่สามารถนำไฟฟ้าได้ดี

    - สะท้อนความร้อนได้ดี ทองคำสามารถสะท้อนความร้อนได้ดี ได้มีการนำทองคำไปฉาบไว้ที่หน้ากากหมวกของนักบินอวกาศเพื่อป้องกันรังสี อินฟราเรด



    หน่วยน้ำหนักของทองคำ

    - กรัม : ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ ถือว่าเป็นหน่วยสากล

    - ทรอยเอานซ์ : ใช้ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย

    - โทลา : ใช้กันทางประเทศแถบตะวันออกกลาง อินเดีย ปากีสถาน

    - ตำลึง : ใช้ในประเทศที่ใช้ภาษาจีน เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง

    - บาท : ใช้ในประเทศไทย

    - ชิ : ใช้ในประเทศเวียตนาม



    การแปลงน้ำหนักทองคำ

    - ทองคำ ความบริสุทธิ์ 96.5% (มาตรฐานในประเทศไทย)

    ทองรูปพรรณ น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.16 กรัม

    ทองคำแท่ง น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.244 กรัม

    - ทองคำ ความบริสุทธิ์ 99.99%

    ทองคำ 1 กิโลกรัม เท่ากับ 32.1508 ออนซ์

    ทองคำ 1 ออนซ์ เท่ากับ 31.104 กรัม


    ที่มา : สมาคมค้าทองคำ




    -http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=14-

    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    เรื่องต้องรู้ ก่อนเข้าสมรภูมิทองคำ

    โพสโดยคุณtemo

    ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์
    เรื่อง : สรวิศ อิ่มบำรุง


    “ทองคำ” ได้ก้าวเข้ามาเป็นหนึ่งในการลงทุนทางเลือก ที่นักลงทุนทั่วโลกให้การยอมรับ รวมทั้งนักลงทุนไทยในปัจจุบัน

    กรุงเทพธุรกิจ ออนไลน์ : แต่การจะลงทุนในทองคำแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ก็อาจจะพาให้เจ็บตัวได้เช่นเดียวกัน

    ในสภาวะที่ทองคำ ได้กลับมาอยู่ในโฟกัสของถนนสายการลงทุนอีกรอบ อย่างน้อยถ้าเล็งเป้าเข้าไปลงทุนในทองคำ มีเรื่องอะไรบ้างที่นักลงทุนควรรู้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับการลงทุนของตัวเอง

    การลงทุนในทองคำมีเรื่องอะไรที่นักลงทุนควรจะรู้บ้าง เราลองมาฟังคำแนะนำจากผู้รู้ที่เชี่ยวชาญกับการลงทุนในทองคำแนะนำกัน


    รู้จักรูปแบบและต้นทุนการลงทุน

    เกี่ยวกับเรื่องนี้ "ดร.วิน อุดมรัชตวนิชย์" ผู้จัดการกองทุน ฝ่ายจัดการกองทุนตราสารหนี้ บลจ.กสิกรไทย แนะนำว่า นักลงทุนควรจะต้องรู้จักรูปแบบการลงทุนในทองคำว่ามีอะไรบ้าง ทองคำแท่ง 99.99% ทองคำแท่ง 96.5% ทองรูปพรรณ กองทุนรวม หรือตั๋วสัญญา ซึ่งการลงทุนแต่ละรูปแบบจะมีต้นทุนที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งหากจะมองในแง่ของการลงทุนแล้วทองรูปพรรณอาจจะไม่ค่อยเหมาะสมนัก เพราะมีต้นทุนค่ากำเน็จ ทำให้แพงกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่น

    ในขณะที่การลงทุนในทองคำแท่ง หรือลงทุนผ่านกองทุนรวมน่าจะเป็นรูปแบบที่เหมาะสมกับการลงทุนมากกว่า

    “ในแง่ของต้นทุนการลงทุนในทองคำกองทุนรวมถือว่าค่อนข้างถูกกว่าการลงทุนใน รูปแบบอื่นๆ แม้ทองคำแท่งจะมีส่วนต่างของการซื้อเข้าขายออกประมาณ 100 บาท ก็ตาม แต่ถ้าไม่ใช่ทองคำแท่งขนาดมาตรฐานในบางครั้งก็จะมีการคิดค่าธรรมเนียมเพิ่ม เข้าไปอีกต่างหาก ตรงนี้ผู้ลงทุนก็ต้องพิจารณาประกอบการลงทุนด้วยในเรื่องของต้นทุน”


    รู้จักปัจจัยที่กระทบราคาทองคำ

    นอกจากผู้ลงทุนควรจะรู้จักรูปแบบของการลงทุนในทองคำแล้ว ยังควรจะรู้จักปัจจัยที่มีผลกระทบต่อทิศทางราคาทองคำด้วย

    - ค่าเงินดอลลาร์ โดย “โชติกา สวนานนท์” กรรมการผู้จัดการ บลจ.ทหารไทยบอกว่า ราคาทองจะเคลื่อนไหวในทิศทางตรงข้ามกับค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ เพราะทองคำซื้อขายเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ เมื่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐลดลง ราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้น เมื่อไรที่ค่าเงินดอลลาร์เพิ่มค่าขึ้น ราคาทองจะปรับตัวลดลง

    ดังจะเห็นได้จากราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมา (สิ้นปี 2550-11 พ.ย.2551) ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นมาประมาณ 13.36% ในขณะที่ราคาทองคำในตลาดโลกปรับตัวลงไปประมาณ 12.16% และในปี 2007 ที่ราคาทองคำโลกปรับตัวขึ้นมา 30.94% นั้น ดัชนีค่าเงินดอลลาร์ปรับตัวลดลงไป 8.41%

    “เป็นเรื่องยากที่จะวัดว่าค่าของทองควรจะอยู่ที่เท่าไร อยู่ที่คนให้ค่า แต่เมื่อคนมองว่าค่าเงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลงราคาทองจึงวิ่งขึ้นมา อยู่ที่มุมมองของคนที่มีต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐด้วย”

    - ดีมานด์ซัพพลาย ดร.วิน บอกว่า ในแง่ของดีมานด์และซัพพลายในตลาดโลกจะมีอยู่ 2 มิติ คือ มิติที่ 1 เป็นความต้องการบริโภคทองคำจริงๆ ในยามที่เศรษฐกิจโลกดี คนจะมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้น ทำให้มีปริมาณความต้องการบริโภคทองคำมากขึ้น ในขณะที่ยามที่เศรษฐกิจไม่ดี กำลังซื้อของคนจะลดน้อยลงไป ความต้องการบริโภคทองคำก็จะลดลงไปด้วยเช่นเดียวกัน

    และในมิติที่ 2 เป็นความต้องการบริโภคทองคำในแง่ของการลงทุน ซึ่งดูจะตรงข้ามกับมุมมองแรก คือ ในยามที่เศรษฐกิจแย่ คนมีแนวโน้มจะหันมาถือครองทองคำมากขึ้นในฐานะที่ทองคำมีคุณลักษณะของ สินทรัพย์ที่มีความมั่นคงปลอดภัยสูง แต่ถ้าเศรษฐกิจดี คนก็จะถือครองทองคำลดลง

    "จะเห็นว่าราคาทองคำในมิติที่ 2 นี้ จะเคลื่อนไหวขึ้นลงตามกระแสเงินลงทุนที่ไหลเข้าออกในตลาดทองคำในลักษณะของ การลงทุน ต่างจากมุมมองในมิติแรกที่เป็นความต้องการใช้จริงๆ ของโลก ส่วนซัพพลายของทองในตลาดโลกค่อนข้างที่จะตึงตัว อย่างไรก็ตาม ราคาทองคำไม่ควรจะต่ำกว่าต้นทุนการผลิตที่มีการประเมินกันว่าเฉลี่ยอยู่ที่ 500-600 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์ ดังนั้น ราคาทองคำที่ระดับนี้จึงเป็นแนวรับที่แข็งแกร่งสำหรับทองคำ”

    - เงินเฟ้อ ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ต่อสู้กับเงินเฟ้อได้ดี (Inflation Hedge) ในยามที่อัตราเงินเฟ้อสูง ราคาทองคำก็จะปรับตัวสูงขึ้น และในยามที่อัตราเงินเฟ้อต่ำ ราคาทองคำก็มีแนวโน้มที่จะอ่อนตัวลงด้วยเช่นเดียวกัน นอกจากนี้ ยังจะมีความต้องการถือครองทองคำมากขึ้นในช่วงที่มีภาวะสงครามเกิดขึ้น เหล่านี้เป็นปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาทองคำที่ผู้ลงทุน ควรจะต้องรู้


    เป็นนักลงทุนสไตล์ไหน

    เกี่ยวกับเรื่องนี้ "ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร" ประธานชมรมคนออมเงิน แนะนำว่าผู้ลงทุนในทองคำ ควรจะค้นหาตัวเองให้เจอว่าตัวเองเป็นนักลงทุนสไตล์ไหนเป็น "นักลงทุนระยะยาว (Investor)" หรือ "นักลงทุนแบบซื้อมาขายไป (Trader)" ถ้าเป็นนักลงทุนแล้วปัจจุบันยังไม่มีทองคำในพอร์ตที่ราคาทองคำบาทละ 12,400-12,500 บาท สามารถที่จะเข้ามาซื้อเพื่อลงทุนได้เป็นลักษณะซื้อเก็บไป

    ส่วนตัวเองก็ซื้อเก็บไปเรื่อยๆ ไม่ได้ขายอะไร เป็นส่วนที่คงจะส่งมอบความมั่งคั่งให้กับลูกหลานต่อไปในอนาคต แต่ถ้าเป็นนักลงทุนควรจะซื้อแล้วถือยาว 6 เดือนขึ้นไปแล้วค่อยมาดุว่าตอนนั้นราคาทองคำเป็นอย่างไรก่อนที่จะตัดสินใจ ขายก็ได้

    แต่ถ้าเป็นเทรดเดอร์ซื้อมาขายไป ราคาทองคำขึ้นมาบาทละ 300-400 บาท กำไร 2-3% ก็ต้องขายทิ้งแล้วค่อยมารับกลับไปใหม่ที่ราคาต่ำกว่าเดิมในลักษณะของการเล่น รอบ ถ้าทำได้แบบนี้ทุกเดือนคุณจะมีกำไร 24-36% ดีกว่าผลตอบแทนจากดอกเบี้ยเงินฝากที่ 3-4% ค่อนข้างมากทีเดียว

    "ไม่ว่าจะเป็นนักลงทุนหรือเทรดเดอร์ที่ลงทุนโดยตรงในทองคำคงจะเหมาะกับผู้ ที่มีความรู้ ชอบศึกษาค้นคว้าหาข้อมูล มีเวลาที่จะติดตามภาวะตลาด สามารถที่จะดูแลการลงทุนด้วยตัวเองได้ แต่การลงทุนผ่านกองทุนรวมอาจจะเหมาะกับคนที่ไม่มีเวลาที่จะติดตามการลงทุน มากนัก การซื้อขายก็ง่ายสะดวกคล่องตัวกว่าด้วย"


    ใช้เงินเย็นลงยาว-ไม่ควรกู้มาลงทุน

    โดย "จิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี" นายกสมาคมค้าทองคำ แนะนำว่า การลงทุนในทองคำควรจะเป็นการลงทุนระยะยาวและใช้เงินเย็นลงทุน ไม่ควรจะกู้เงินมาลงทุน เพราะถึงจะมีกำไรก็ไม่คุ้มกัน แต่ถ้าเป็นเงินเย็นเมื่อนำมาลงทุนในกรณีที่ผิดพลาดขึ้นมาก็ยังมีทองคำอยู่ใน มือเก็บเอาไว้ได้ ไม่เป็นศูนย์แน่นอน

    โดยถ้ามองในแง่ของการลงทุนควรจะเป็นการลงทุนใน “ทองคำแท่ง” ซึ่งสามารถลงทุนได้ทั้งทอง 99.99% และ 96.5% เพราะไม่มีความแตกต่างกันลงทุนได้ทั้งคู่ เพราะเนื้อทองคำได้สะท้อนอยู่ในราคาแล้วทำให้ราคาทองคำ 96.5% ซึ่งเป็นทองคำมาตรฐานของไทยมีราคาที่ถูกกว่าทองคำ 99.99% ดังนั้นจะลงทุนทองคำ 99.99% หรือ 96.5% ก็ไม่ต่างกัน และควรจะแบ่งเงินมาลงทุนในทองคำประมาณ 30% ของพอร์ตการลงทุนโดยรวมเท่านั้น

    “แต่ในแง่ของจำนวนในการซื้อลงทุน ทองคำแท่ง 99.99% น้ำหนักมาตรฐานที่ลงทุนกันจะมีน้ำหนัก 1 ก.ก. ขึ้นไป หรือคิดเป็นน้ำหนักทองไทยประมาณ 65.6 บาท ส่วนทองคำแท่ง 96.5% จะลงทุนตั้งแต่ 10 บาท ขึ้นไป”


    การลงทุนทางเลือกในพอร์ต

    โชติกา บอกว่า ทองเป็นหนึ่งในประเภททรัพย์สิน (Aseet Class) ที่สำคัญที่ควรจะมีอยู่ในพอร์ตการลงทุนแต่ไม่ควรจะเยอะ อยู่ในส่วนที่เรียกว่าการลงทุนทางเลือก (Alternative Investment) ส่วนการลงทุนพื้นฐานทั่วไปที่มีอยู่ในพอร์ตก็จะเป็นหุ้น ตราสารหนี้ หรืออสังหาริมทรัพย์ ส่วนทางเลือกการลงทุนอื่นก็จะเป็นทอง หรือสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ ซึ่งไม่ควรจะเป็น 50% ของพอร์ต เพราะไม่ใช่หุ้นหรือตราสารหนี้ที่จะมาจัดสรรเงินทุนในลักษณะนั้น

    ทองควรจะมี 5-10% ในพอร์ต แต่จะมีเท่าไรขึ้นกับความเสี่ยงที่คุณสามารถรับได้ ถ้าชอบทองมากๆ อาจจะ 15% ของพอร์ตก็ได้ แต่เป็นสินทรัพย์ที่ควรจะมีอยู่ในพอร์ตเพราะมีความสัมพันธ์กับหุ้นและตราสาร หนี้น้อยคือมีค่าสหสัมพันธ์ระหว่างหุ้นและตราสารหนี้ที่ต่ำ

    “นอกจากนี้ ทองยังมีดีมานด์ซัพพลายของตัวเอง ไม่เพียงเท่านี้ทองยังเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ที่มีค่าในตัวเองโดยไม่ต้องมีดี มานด์ซัพพลายจึงเป็นสินทรัพย์ที่ดีมากเพราะเป็นของที่มีค่าเป็นแร่ธาตุที่มี ค่า เพราะฉะนั้นทองจึงมีค่าในตัวเอง ไม่ใช่ดิน หรือทองแดงที่อาจจะมีประโยชน์ทางอุตสาหกรรมที่จะต้องไปดูดีมานด์ซัพพลาย แต่ทองเป็นแร่ธาตุที่มีค่าเหมือนเพชร จึงเป็นสินทรัพย์ที่ควรจะให้ความสนใจแต่ไม่ควรจะมากเกินไปเท่าไร”


    ความสะดวกสบายในการลงทุน

    โชติกามองว่า สำหรับการลงทุนนั้น ความสะดวกสบายก็เป็นสิ่งสำคัญด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนตัวถ้าอยากซื้อทองจะไม่ไปเยาวราช เพื่อซื้อทองถ้ามองเป็นเรื่องลงทุน อาจจะไปซื้อแต่เวลาขายขึ้นมา เอาทองไปขายก็ไม่สะดวก แต่ขายทองผ่านกองทุนทำได้ง่ายเหมือนขายหุ้น

    สมมติซื้อไว้ 10 บาท ขึ้นมาเป็น 13 บาท จะขายเอากำไรออกมา สามารถทำได้ทำที ไม่ต้องเสียเวลาเดินทางนั่งรถไปที่ร้านทอง ในมุมนี้การลงทุนในทองคำผ่านกองทุนรวมน่าจะตอบโจทย์นักลงทุนได้ดีกว่าไม่ว่า จะเป็นนักลงทุนระยะยาวหรือนักลงทุนในลักษณะเก็งกำไรก็ตาม

    “ทุกอย่างในการลงทุนผู้ลงทุนควรจะต้องพิจารณาในเรื่องของต้นทุนและค่าใช้ จ่ายในการลงทุน ซื้อกองทุนรวมเป็นอีกทางเลือกที่มีค่าใช้จ่ายต่ำและมีความสะดวกในการซื้อขาย สามารถที่จะซื้อขายได้ทันทีเหมือนหุ้น”

    เช่นเดียวกับ ดร.วิน ที่มองว่า การพิจารณาในเรื่องของความสะดวกในการซื้อขายเป็นเรื่องที่สำคัญเช่นเดียวกัน ทองคำของบางร้านเขาซื้อเฉพาะทองคำร้านตัวเองเท่านั้น ถ้าซื้อทองคำจากต่างจังหวัดจะมาขายที่ร้านทองในเยาวราช บางครั้งเขาก็ไม่รับซื้อ ตรงนี้ก็เป็นปัจจัยที่นักลงทุนต้องคิดถึงด้วยเช่นเดียวกัน ส่วนทองเยาวราชไปขายที่ไหนก็คงจะมีคนซื้อ แต่ราคาที่ได้ก็คงจะไม่ได้เต็มราคาแน่นอน เพราะร้านที่รับซื้อเขาก็ต้องคิดถึงกำไรที่จะได้รับเช่นเดียวกัน

    "อย่างไรก็ตาม การลงทุนในทองคำผ่านกองทุนรวมค่อนข้างสะดวกสบาย ราคารับซื้อและขายคืนก็มีชัดเจนแน่นอน เหมือนกันทั่วประเทศ ซื้อขายได้ทันที ไม่ว่าจะมากหรือน้อย จึงน่าจะเป็นรูปแบบการลงทุนในทองคำที่เหมาะกับการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่ง”

    6 เรื่องที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจลงทุนในทองคำ อาจจะพอเป็นไกด์ไลน์การลงทุน ก่อนกระโจนเข้าสมรภูมิทองคำ

    -http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=930-

    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ความรู้การลงทุน Gold Futures

    ที่มา : www.tfex.co.th

    <table border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="80%"><tbody><tr> <td>อ้างอิงจาก:</td> </tr> <tr> <td class="quote"> [​IMG] ข้อควรระวังในการซื้อขาย Gold Futures

    โกลด์ฟิวเจอร์สใช้เงินทุนน้อย เนื่องจากผู้ลงทุนไม่จำเป็นต้องจ่ายเงินทั้งจำนวนในการซื้อขาย ผู้ลงทุนเพียงแค่วางเงินประกันแค่ 1 ใน 10 ของมูลค่าสัญญา ดังนั้น หากผู้ลงทุนได้กำไร ก็จะเป็นอัตราส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับเงินลงทุน แต่หากขาดทุนก็จะเป็นอัตราส่วนที่สูงเช่นเดียวกัน

    การเปลี่ยนแปลงของราคาทองคำและอัตราแลกเปลี่ยน ก็เป็นปัจจัยที่ผู้ลงทุนควรคำนึงในการซื้อขาย โดยปกติแล้วราคาทองคำจะเคลื่อนไหวสวนทางกับอัตราแลกเปลี่ยน ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินจึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้ลงทุนควรติดตามให้ ความสนใจ

    นอกจากนี้ ฟิวเจอร์สมีอายุจํากัด ซึ่งแตกต่างจากหุ้นและทองคำจริงที่ไม่มีวันหมดอายุ หากผู้ลงทุนถือโกลด์ฟิวเจอร์สไปจนถึงวันครบอายุสัญญา ก็จะมีการปิดสถานะของสัญญาให้ผู้ลงทุนโดยอัตโนมัติ ผู้ลงทุนจะได้กำไรขาดทุนเท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาที่ซื้อหรือขายฟิวเจอร์ส ไว้ และราคาที่ใช้ชำระราคาวันสุดท้าย ดังนั้นผู้ลงทุนจึงควรรู้จักระดับความเสี่ยงที่ตนเองยอมรับได้ก่อนตัดสินใจ ลงทุน และควรติดตามสถานะการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ</td> </tr></tbody></table>

    [​IMG] Gold Futures

    Gold Futures (โกลด์ฟิวเจอร์ส) หรือ สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า เป็นเครื่องมือที่ผู้ลงทุนสามารถใช้ทำกำไรได้ตามความคาดการณ์ที่มีต่อราคา ทองคำได้ทั้งในภาวะราคาทองขาขึ้นและราคาทองขาลง ด้วยคุณลักษณะเด่นที่สามารถซื้อก่อนขายหรือขายก่อนซื้อก็ได้ และใช้เงินลงทุนน้อยประกอบกับราคาทองคำมีการเคลื่อนไหวที่ไม่สัมพันธ์กับ ราคาหุ้น โกลด์ฟิวเจอร์สจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในการทำกำไรและกระจายความเสี่ยงของ พอร์ตลงทุน ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สได้ง่าย สะดวก ผ่านระบบซื้อขายอิเล็กทรอนิกส์ของตลาดอนุพันธ์ (TFEX ) โดยมีบริษัท สำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด (TCH) เป็นผู้ประกันการชำระราคาจากการซื้อขาย และมีสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นผู้กำกับดูแลการดำเนินงานของ ตลาดอนุพันธ์และบริษัทสมาชิก ผู้ลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าในทุก ๆ การซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ มีความโปร่งใสและเชื่อถือได้


    [​IMG] กำไรสองทาง ทั้งทองขึ้นทองลง

    โกลด์ฟิวเจอร์สช่วยเพิ่มความคล่องตัวให้กับผู้ลงทุน ทําให้สามารถซื้อขายทำกำไรได้ทั้งในภาวะราคาทองขาขึ้น และราคาทองขาลง โดยในการซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สจะไม่มีการส่งมอบทองคำจริงระหว่างคู่สัญญา แต่ใช้วิธีจ่ายชำระเงินตามส่วนต่างกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้น เรียกว่า “การชำระราคาเป็นเงินสด” (Cash settlement) ผู้ลงทุนสามารถ “ ซื้อก่อนขาย” หรือ “ขายก่อนซื้อ” ก็ได้ โดยกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจะเท่ากับส่วนต่างระหว่างราคาขายและราคาที่ซื้อเอา ไว้ เช่น หากผู้ลงทุนคาดว่าราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ก็สามารถซื้อโกลด์ฟิวเจอร์สไว้ก่อน และเมื่อราคาทองคำปรับตัวขึ้น ก็สามารถขายโกลด์ฟิวเจอร์สในภายหลัง ทำให้ได้กำไรเท่ากับส่วนต่างของราคาซื้อและขาย หรือในกรณีที่ผู้ลงทุนคาดว่าราคาทองจะปรับตัวลดลง ก็สามารถสั่งขายโกลด์ฟิวเจอร์สได้เลย แม้ว่าไม่เคยซื้อ โกลด์ฟิวเจอร์สมาก่อน และเมื่อราคาทองปรับตัวลดลง ก็ค่อยซื้อโกลด์ฟิวเจอร์สในภายหลัง ทำให้ได้กำไรตามส่วนต่างของราคาขายและราคาซื้อ


    [​IMG] ทุกภาวะตลาด ทุกความคาดการณ์ คือโอกาสทำกำไร

    การซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส คือ การซื้อขายทองคำล่วงหน้า ราคาของโกลด์ฟิวเจอร์สจึงเป็นราคาทองที่ผู้ลงทุนคาดการณ์ในอนาคต จึงอาจจะแตกต่างจาก ราคาทองที่มีการซื้อขายและส่งมอบกันในปัจจุบัน (Gold Spot Price) ความคาดการณ์ราคาทองที่แตกต่างกันนี้ คือ โอกาสในการซื้อขายเพื่อทำกำไรจากโกลด์ฟิวเจอร์ส เช่น ในภาวะทองราคาขึ้น ราคาทองในปัจจุบันอาจอยู่ที่ 15,000 บาท แต่ราคาโกลด์ฟิวเจอร์สที่ครบกำหนดในอีก 6 เดือนข้างหน้า อาจซื้อขายอยู่ที่ 15,500 บาท สำหรับผู้ลงทุนที่ซื้อโกลด์ฟิวเจอร์สไว้ ก็คือ ผู้ที่คาดว่าราคาทองคำในอีก 6 เดือนข้างหน้าจะสูงกว่า 15,500 บาท จึงซื้อโกลด์ฟิวเจอร์สโดยหวัง ส่วนต่างราคาในกรณีที่ทองคำปรับตัวสูงขึ้น สำหรับผู้ขายโกลด์ฟิวเจอร์ส ก็คือ ผู้ที่คาดว่าราคาทองคำจะปรับตัวขึ้นไม่ถึง 15,500 บาท ในอีก 6 เดือนข้างหน้าและรอซื้อกลับเมื่อราคาถูกลง ราคาซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สจะปรับเปลี่ยนเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนซื้อขายทำกำไรได้ตามความคาดการณ์


    [​IMG] กำไรเหนือกว่า ด้วยต้นทุนต่ำกว่า

    การซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สต่างจากการซื้อขายหุ้น และซื้อขายทองคำ ตรงที่โกลด์ฟิวเจอร์สเป็นสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ผู้ลงทุนจึงไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน ทั้งจำนวน ผู้ลงทุนแค่เพียงวางเงินส่วนหนึ่งซึ่งมีมูลค่าประมาณ 1 ใน 10 ของมูลค่าสัญญาทั้งจำนวน ไว้กับโบรกเกอร์อนุพันธ์ก่อนส่งคำสั่งซื้อขายเพื่อเป็นเงินมัดจำ เรียกว่า เงินหลักประกันขั้นต้น (Initial Margin) ซึ่งการซื้อขายที่ใช้เงินลงทุนน้อยนี้ ทำให้ผู้ลงทุนมีโอกาสได้อัตราผลตอบแทนสูงเมื่อเทียบกับเงินทุน เช่น ผู้ลงทุนคาดว่าราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 5% จึงลงทุนซื้อทองคำน้ำหนัก 50 บาท ที่ราคาบาทละ 14,000 บาท เพื่อเก็งกำไร โดยต้องใช้เงินทุนซื้อทองทั้งหมดรวม 700,000 บาท แต่หากผู้ลงทุนซื้อโกลด์ฟิวเจอร์ส จะใช้เงินทุนเพื่อวางเป็นหลักประกันขั้นต้นประมาณ 50,000 บาท (โบรกเกอร์จะเป็นผู้กำหนด) ซึ่งหากราคาทองคำสูงขึ้นจริง ผู้ลงทุนที่ซื้อโกลด์ฟิวเจอร์สก็มีโอกาสได้รับอัตราผลกำไรสูงกว่าการซื้อ ทองคำ

    ในกรณีราคาทองขาลง ผู้ลงทุนที่ต้องการเก็งกำไรจากทองคำและมีทองคำอยู่ในมืออยู่แล้ว ก็สามารถเร่งขายทองคำในช่วงที่ราคาทองยังสูง และค่อยซื้อทองคำกลับคืนหลังจากราคาทองปรับตัวลดลง แต่สำหรับ ผู้ที่ไม่มีทองคำอยู่ในมือก็จะไม่สามารถใช้วิธีนี้สร้างทำกำไรได้ โกลด์ฟิวเจอร์สช่วยเพิ่มโอกาสทำกำไรโดยใช้ต้นทุนต่ำได้ เนื่องจากผู้ลงทุนสามารถวางเงินแค่หลักประกันขั้นต้น ก็สามารถทำการขายโกลด์ฟิวเจอร์สก่อน เพื่อทำกำไรในตลาดขาลง


    [​IMG] เพิ่มทางเลือก กระจายการลงทุน

    ราคาซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส มาจากความคาดการณ์ราคาทองคำในอนาคตของผู้ลงทุน แม้ว่าจะไม่ใช่ราคาเดียวกับราคาทองคำที่ซื้อขายและส่งมอบในปัจจุบัน แต่ก็มีการเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน โดยผลจากการศึกษาทางสถิติ (ข้อมูลในช่วง ก.พ. 2541 – มิ.ย. 2550) พบว่า ราคาทองคำมีทิศทางการ เคลื่อนไหวในทิศทางตรงกันข้ามกับหลักทรัพย์ชนิดอื่น ๆ โดยเมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนพบว่าทองคำมีค่าสหสัมพันธ์ (Correlation) ติดลบสูงสุดเท่ากับ -0.24 และเมื่อเทียบกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index ) ทองคำมีค่าสหสัมพันธ์ติดลบเท่ากับ -0.09 โกลด์ฟิวเจอร์ส จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการกระจายการลงทุน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีพอร์ตการลงทุนในหุ้นอยู่ นอกจากนี้ ราคาทองคำยังมักเคลื่อนไหวในทิศทาง เดียวกับดัชนีราคาผู้บริโภคและราคาน้ำมัน การซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใน การกระจายการลงทุนที่เรียกว่า การลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง จากภาวะเงินเฟ้อได้ (Inflation Hedge)


    [​IMG] ซื้อขายง่าย สภาพคล่องสูง ราคาโปร่งใส

    การซื้อขายผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เปิดโอกาสให้ผู้ลงทุนสามารถซื้อขายโกลด์ ฟิวเจอร์สตามความคาดการณ์ได้ตลอดเวลาทำการของ TFEX เพียงแค่ โทรศัพท์สั่งซื้อขายผ่านโบรกเกอร์อนุพันธ์ที่มีสาขารวมกว่า 1,000 แห่งทั่วประเทศ หรืออาจใช้วิธีส่งคำสั่งซื้อขายด้วยตนเองผ่านระบบอินเทอร์เน็ตที่โบรกเกอร์ อนุพันธ์ให้บริการ จากนั้นโบรกเกอร์อนุพันธ์จะเป็นตัวแทนส่งคำสั่งซื้อขายของผู้ลงทุนเข้ามาใน ระบบการซื้อขายอิเล็กทรอนิกส์ของ TFEX เพื่อรอจับคู่คำสั่งกับผู้ลงทุนอีกฝั่งหนึ่ง ดังนั้น การเดินทางจึงไม่ใช่อุปสรรคของการซื้อขายอีกต่อไป ผู้ลงทุนจึงสามารถซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์สได้ง่าย สะดวก รวดเร็ว นอกจากนี้ การซื้อขายใน TFEX ยังมีสภาพคล่องสูง ผู้ลงทุนสามารถติดตามการเคลื่อนไหวของราคาโกลด์ฟิวเจอร์สได้ตลอดเวลาจากหลาก หลายช่องทาง ทั้งทางเว็บไซต์ โทรทัศน์ โทรศัพท์เคลื่อนที่ และช่องทางอื่น ๆ ที่บริษัทสมาชิกเปิดให้บริการ ทำผู้ลงทุนให้มีโอกาสในการทำกำไรได้บ่อยครั้งตามที่ต้องการ


    [​IMG] เชื่อถือได้ ทุกครั้งที่ซื้อขาย

    บริษัท ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TFEX เป็นศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ได้รับการจัดตั้งอย่างเป็นทางการ ภายใต้ พระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 เพื่อทำหน้าที่จัดให้มีการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ตอบสนองความต้อง การของผู้ลงทุน และดูแลการซื้อขายให้ถูกต้อง โปร่งใส และยุติธรรม นอกจากนี้ ทุกๆ การซื้อขายใน TFEX จะมี บริษัท สำนักหักบัญชี (ประเทศไทย) จำกัด (TCH) ทำหน้าที่รับประกันการจ่ายชำระเงินระหว่างคู่สัญญา หากคู่สัญญาฝ่ายที่ขาดทุนบิดพลิ้วไม่ยอมจ่ายชำระเงินให้ฝ่ายที่ได้กำไร สำนักหักบัญชีก็จะค้ำประกันการจ่ายชำระเงินนั้นให้ก่อน ผู้ลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าหากได้กำไรจากการซื้อขายก็จะได้รับเงินส่วนกำไรนั้น อย่างแน่นอน

    สำหรับการกำกับดูแลนั้น คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นหน่วยงานสำคัญที่คอยดูแลการดำเนินงานของ TFEX และโบรกเกอร์อนุพันธ์เพื่อให้การซื้อขายโปร่งใสและเชื่อถือได้ ผู้ลงทุนจึงมั่นใจได้ว่าจะสามารถซื้อขายในราคาที่เป็นธรรม


    [​IMG] ปรับยอดเงินทุกวัน กลไกสำคัญในการช่วยติดตามสถานะการซื้อขาย

    ผู้ลงทุนที่มีสถานะซื้อหรือสถานะขายโกลด์ฟิวเจอร์สอยู่ จะได้รับปรับยอดเงินในบัญชีหลักประกันให้ทุกสิ้นวัน แม้ว่าจะยังถือสัญญาไว้ก็ตาม โดยในการ ซื้อขายโกลด์ฟิวเจอร์ส ผู้ลงทุนจะต้องวางเงินหลักประกันขั้นต้น ( Initial Margin) ไว้กับโบรกเกอร์อนุพันธ์ก่อนส่งคำสั่งซื้อขาย และเมื่อซื้อหรือขายโกลด์ฟิวเจอร์ส ไปแล้ว ทุกสิ้นวันโบรกเกอร์จะปรับยอดเงินในบัญชีของผู้ลงทุน โดยจะคำนวณว่าในวันนั้นๆ ผู้ลงทุนได้กำไรหรือขาดทุนเท่าไร และจะนำยอดกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้น มารวมกับเงินในบัญชีของผู้ลงทุน เช่น หากผู้ลงทุนได้กำไร ก็จะได้รับโอนเงินส่วนกำไรจากคู่สัญญาฝ่ายที่ขาดทุนเข้ามารวมในบัญชีหลัก ประกัน โดยในทางกลับกัน หากผู้ลงทุนขาดทุน ก็จะถูกโอนเงินส่วนขาดทุนออกจากบัญชีหลักประกันไปให้คู่สัญญาฝ่ายที่ได้กำไร เช่นกัน

    ในกรณีที่ผู้ลงทุนขาดทุนจนทำให้เงินในบัญชีที่วางไว้ลดลงจนต่ำกว่าระดับหลัก ประกันที่โบรกเกอร์กำหนด หรือที่เรียกว่า หลักประกันรักษาสภาพ (Maintenance Margin) โบรกเกอร์ก็จะเรียกให้ผู้ลงทุนนำเงินมาวางเพิ่มเติม (Margin Call) ให้ระดับเงินในบัญชีกลับไปอยู่ที่ระดับหลักประกันขั้นต้นอีกครั้งหนึ่ง การคำนวณกำไรขาดทุนทุกสิ้นวันนี้ เรียกว่า Mark to Market ซึ่งเป็น กลไกสำคัญที่ช่วยผู้ลงทุนในการติดตามสถานะการซื้อขายของตน หากเกิดภาวะขาดทุน ก็สามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การซื้อขายได้อย่างทันท่วงที


    [​IMG] ตัวอย่างการซื้อขาย

    หากปัจจุบันคือวันที่ 1 มีนาคม 2552 ราคาทองคำที่ซื้อขายและส่งมอบในปัจจุบันอยู่ที่บาทละ 14,000 บาท นาย A คาดว่าอีก 2 เดือนข้างหน้า ราคาทองจะปรับขึ้นเป็น 14,500 บาท จึงเข้าไปตรวจสอบราคาโกลด์ฟิวเจอร์สและพบว่าราคาโกลด์ฟิวเจอร์สที่ครบกำหนด ปลายเดือนเมษายน 2552 พบว่าซื้อขายอยู่ที่ 14,300 บาท

    ในมุมมองของนาย A คิดว่าราคาโกลด์ฟิวเจอร์สต่ำกว่าที่ควรจะเป็น จึงตัดสินใจซื้อโกลด์ฟิวเจอร์สครบกำหนดเดือนเมษายน ที่ราคา 14,300 บาท สมมติให้โบรกเกอร์กำหนดระดับหลักประกันขั้นต้นที่ 50,000 บาทต่อสัญญา และหลักประกันรักษาสภาพที่ 35,000 บาทต่อสัญญา (ในทางปฏิบัติระดับเงิน ประกันจะเปลี่ยนแปลงไปตามความผันผวน ของภาวะตลาด)

    <table border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="80%"><tbody><tr> <td>อ้างอิงจาก:</td> </tr> <tr> <td class="quote">+ วันที่ 1 มี.ค.

    ในวันที่ 1 นาย A ซื้อโกลด์ฟิวเจอร์ส ที่ 14,300 บาท จำนวน 1 สัญญา พอสิ้นวัน โบรกเกอร์คำนวณกำไรขาดทุนในบัญชีของนาย A โดยใช้ราคาที่ใช้ชำระราคา (Settlement Price ) ซึ่งสำนักหักบัญชีจะประกาศให้ทราบทุกสิ้นวัน เท่ากับ 14,380 บาท นาย A จึงได้กำไรคิดเป็นเงิน 4,000 บาท (14,380 - 14,300 ) x 50 (โกลด์ฟิวเจอร์ส 1 สัญญา มีมูลค่าเท่ากับทองคำน้ำหนัก 50 บาท) ดังนั้น โบรกเกอร์ก็จะโอนเงินกำไรนี้เข้าบัญชีของนาย A

    ทำให้ยอดเงินในบัญชี ของนาย A เพิ่มขึ้นเป็น 50,000 + 4,000 = 54,000 บาท </td> </tr></tbody></table>

    <table border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="80%"><tbody><tr> <td>อ้างอิงจาก:</td> </tr> <tr> <td class="quote">+ วันที่ 2 มี.ค.

    ในวันที่ 2 ราคา ณ สิ้นวัน เท่ากับ 14,100 บาท นาย A จึงขาดทุน ( 14,100 – 14 ,380) x 50 = -14,000 บาท เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า โบรกเกอร์จึง โอนเงินออกจากบัญชีของนาย A

    ทำให้เงินประกันของนาย A ลดลงเหลือ 54,000 - 14,000 บาท = 40,000 บาท </td> </tr></tbody></table>

    <table border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="80%"><tbody><tr> <td>อ้างอิงจาก:</td> </tr> <tr> <td class="quote">+ วันที่ 3 มี.ค.

    ในวันที่ 3 ราคา ณ สิ้นวัน เท่ากับ 13,940 บาท นาย A จึงขาดทุน (13,940 – 14,100) x 50 = - 8,000 บาท เมื่อเทียบกับวันก่อนหน้า โบรกเกอร์จึงโอนเงินออกจากบัญชีของนาย A

    ทำให้เงินประกันของนาย A ลดลงเหลือ 40,000 - 8,000 = 32,000 บาท

    ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าระดับหลักประกันรักษาสภาพ ที่โบรกเกอร์กำหนดไว้ (ที่ระดับ35,000 บาท) นาย A จึงต้องนำเงินไปวางในบัญชีเพิ่มให้เงินกลับไปที่ระดับ หลักประกันขั้นต้นอีกครั้งหนึ่ง ( ที่ระดับ 50,000 บาท)

    ดังนั้น นาย A ต้องวางเงินเพิ่ม 50,000 – 32,000 = 18,000 บาท </td> </tr></tbody></table>

    <table border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="80%"><tbody><tr> <td>อ้างอิงจาก:</td> </tr> <tr> <td class="quote">+ วันที่ 4 มี.ค.

    นาย A นำเงินไปวางในบัญชีเพิ่มเติม 18,000 บาท และพอสิ้นวัน ราคาที่ใช้ชำระราคาเท่ากับ 14,100 ทำให้ นาย A ได้กำไร (14,100 - 13,940 ) x 50 = 8,000 บาท

    ทำให้ยอดเงินในบัญชีของนาย A เพิ่มขึ้นเป็น 50,000 + 8,000 = 58,000 บาท </td> </tr></tbody></table>

    <table border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="80%"><tbody><tr> <td>อ้างอิงจาก:</td> </tr> <tr> <td class="quote">+ วันที่ 5 มี.ค.

    นาย A มีความคาดการณ์เปลี่ยนไป และต้องการปิดสถานะของสัญญา จึงส่งคำสั่งขายโกลด์ฟิวเจอร์สที่ราคา 14,200 บาท นาย A จึงได้กำไรเพิ่มขึ้นจาก วันก่อนหน้า (14,200 - 14,100) x 50 = 5,000 บาท และได้เงินคืนรวมทั้งหมด 58,000 + 5,000 = 63,000 บาท

    กำไร / ขาดทุนที่เกิดขึ้น

    จากตัวอย่างข้างต้น นาย A ขาดทุนทั้งสิ้น = ราคาขาย - ราคาซื้อ
    = (14,200 - 14,300) x 50
    = - 5,000 บาท</td> </tr></tbody></table>

    จะเห็นว่ามีค่าเท่ากับเงินกำไรขาดทุนที่เกิดขึ้นจากการ Mark to Market ในแต่ละวัน คือ 4,000 - 14,000 - 8,000 + 8,000 + 5,000 = - 5,000 (สำหรับเงินจำนวน 18,000 บาท ที่ นาย A ถูกเรียกมาวางเป็นหลักประกันเพิ่มเติม ไม่ใช่เงินส่วนกำไรขาดทุน จึงไม่นำมารวม) ดังนั้นการปรับกำไรขาดทุนทุกสิ้นวันเป็นเสมือน กระบวนการที่นำกำไรขาดทุนทั้งก้อนมาแบ่งทยอยรับ ทยอยจ่ายในแต่ละวัน เพื่อช่วยให้ผู้ลงทุนมีโอกาสติดตามสถานะและประเมินผลกำไรขาดทุนของตนที่เกิด ขึ้นได้อย่างทันท่วงที

    ในกรณีที่ นาย A ไม่ต้องการปิดสถานะก่อนสัญญาครบกำหนดอายุ นาย A สามารถถือสัญญาไปจนสัญญาหมดอายุลง ซึ่งโบรกเกอร์ก็จะคำนวณกำไร ขาดทุนให้ นาย A ทุกวัน จนเมื่อถึงวันครบอายุสัญญา สัญญาก็จะปิดโดยอัตโนมัติ

    <table border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="80%"><tbody><tr> <td>อ้างอิงจาก:</td> </tr> <tr> <td class="quote">นาย A จะได้กำไรขาดทุน = (ราคาที่ใช้ชำระราคาวันสุดท้าย - ราคาที่ซื้อไว้) x 50</td> </tr></tbody></table>
    โดย นาย A ก็จะได้รับเงินที่วางไว้กับโบรกเกอร์คืนทั้งก้อน

    -http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=1021-

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    รายละเอียดสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า Gold Futures

    ที่มา : TFEX

    ลักษณะของสัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า Gold Futures

    Gold Futures เปิดซื้อขายในตลาดอนุพันธ์ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2552 โดยมีลักษณะของสัญญาสรุปได้ดังนี้

    + สินค้าอ้างอิง
    ทองคำแท่งที่มีความบริสุทธิ์ 96.5%

    + ขนาดของสัญญา
    1 สัญญามีขนาดเท่ากับ ทองคำน้ำหนัก 50 บาท
    หรือ 762.2 กรัม (ทองคำน้ำหนัก 1 บาท = 15.244 กรัม)

    + เดือนที่สัญญาสิ้นสุดอายุ
    เดือนคู่ (กุมภาพันธ์ เมษายน มิถุนายน สิงหาคม ตุลาคม และธันวาคม) ใกล้ที่สุด 3 ลำดับ

    + ช่วงราคาซื้อขายขั้นต่ำ
    10 บาท ต่อ 1 สัญญา

    + ช่วงการเปลี่ยนแปลงของราคาสูงสุดแต่ละวัน
    ไม่เกิน + 20 % ของราคาที่ใช้ชำระราคาในวันทำการก่อนหน้า

    + เวลาซื้อขาย
    Pre-open: 9.15 - 9.45
    Morning session: 9.45 - 12.30
    Pre-open: 14.00 - 14.30
    Afternoon session: 14.30 - 16.55

    + การจำกัดฐานะ
    ตลาดอนุพันธ์อาจประกาศกำหนดจำนวนการถือครองสัญญาซื้อขายล่วงหน้าสูงสุดได้ตามที่เห็นสมควร

    + วันซื้อขายวันสุดท้าย
    วันทำการก่อนวันทำการสุดท้ายของเดือนที่สัญญาสิ้นสุดอายุ โดยในวันนั้น สัญญาที่จะหมดอายุจะซื้อขายได้ถึงเวลา 16.30 น.

    + ราคาที่ใช้ชำระราคาในวันซื้อขายวันสุดท้าย
    ใช้ราคา London Gold AM Fixing เป็นราคาอ้างอิงในการคำนวณ Final Settlement Price โดยการคำนวณจะปรับอัตราแลกเปลี่ยน น้ำหนักและความบริสุทธิ์ของทองคำตามสูตรการคำนวณ ดังนี้

    <table border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="80%"><tbody><tr> <td>อ้างอิงจาก:</td> </tr> <tr> <td class="quote">ราคาต่อน้ำหนักทองคำ 1 บาท =
    London Gold AM Fixing x (15.244/31.1035) x (0.965/0.995) x (THB/USD)
    </td> </tr></tbody></table>
    <table border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="80%"><tbody><tr> <td>อ้างอิงจาก:</td> </tr> <tr> <td class="quote">โดยที่

    - London Gold AM Fixing เป็นราคาต่อ 1 troy ounce ของทองคำที่มีความบริสุทธิ์ 99.5% ซึ่งมีน้ำหนักเท่ากับ 31.1035 กรัม โดยสามารถตรวจสอบราคาได้จาก Gold Fixings | LBMA

    - ทองคำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.244 กรัม

    - 0.965 คือ ตัวแปรที่ใช้ปรับค่าความบริสุทธิ์ของทองคำให้เป็น 96.5%

    - อัตราแลกเปลี่ยน (THB/USD) เป็นอัตรา Thai Baht PM Fixing โดยคำนวณมาจากค่าเฉลี่ยของอัตราแลกเปลี่ยนที่ได้รับจากธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ ในชมรม ACI Thailand โดยสามารถตรวจสอบอัตราแลกเปลี่ยนได้จาก Reuters หน้า <THBFIXP=> และตลาดอนุพันธ์ก็จะมีการประกาศอัตราที่ใช้คำนวณเหล่านี้ทุก ๆ วันซื้อขายวันสุดท้ายของ Gold Futures ใน เว็บไซต์ TFEX อีกด้วย </td> </tr></tbody></table>

    + วิธีการส่งมอบ / ชำระราคา
    ชำระราคาเป็นเงินสด

    + ค่าธรรมเนียมการซื้อขายและชำระราคา
    ไม่เกินกว่า 50 บาท ต่อสัญญา โดยเรียกเก็บจากทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย

    + ค่าธรรมเนียมนายหน้าซื้อขาย
    ตลาดอนุพันธ์ไม่มีข้อกำหนดเรื่องค่าธรรมเนียมนายหน้าการซื้อขาย อัตราค่าธรรมเนียมสามารถต่อรองได้เสรี

    -http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=1174-



    สูตรคำนวณราคาอ้างอิง Gold Futures

    ที่มา : Money Channel

    [​IMG] สูตรคำนวณราคาอ้างอิง Gold Futures

    สำหรับราคาที่ใช้อ้างอิงในการซื้อขาย Gold Futures จะไม่ได้อ้างอิงจากราคาของสมาคมค้าทองคำแห่งประเทศไทย แต่จะอ้างอิงกับราคาทองคำในตลาดโลก ความบริสุทธิ์ 99.5% ต่อน้ำหนัก 1 ทรอยเอานซ์ และคิดราคาเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้น สัญญาซื้อขาย Gold Futures ของไทยจะแทนน้ำหนักทองคำ 50 บาททองคำ ที่ความบริสุทธิ์ 96.5% และคิดราคาเป็นเงินบาท จึงต้องใช้สูตรคำนวณ เพื่อให้ได้ราคาอ้างอิงในการซื้อขาย Gold Futures ดังนี้

    <table border="0" cellpadding="3" cellspacing="1" width="80%"><tbody><tr> <td>อ้างอิงจาก:</td> </tr> <tr> <td class="quote">ราคาทองคำต่อน้ำหนัก 1 บาท =

    World Spot Gold x 15.244 x 0.965 x (อัตราแลกเปลี่ยน THB/USD) / 31.1035 x 0.995</td> </tr></tbody></table>

    ดังนั้นเมื่อราคา Gold Spot ในตลาดโลกเปลี่ยน ราคาของ Gold Futures ก็จะต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย โดย Demand และ Supply ก็จะมีผลต่อราคาของ Gold Futures ด้วยเช่นกัน


    [​IMG] การวางหลักประกัน Gold Futures

    ผู้ที่เปิดบัญชีซื้อขาย Gold Futures วางหลักประกันขั้นต้น (Initial Margin: IM) ด้วยเงินสดในจำนวนอย่างน้อย 66,500 บาท ต่อ 1 สัญญา ซึ่งหากการลงทุนไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ นักลงทุนก็จะต้องมีหลักประกันรักษาสภาพ (Maintenance Margin: MM) 70% ของหลักประกันขั้นต้นหรือคิดเป็น 46,550 บาทต่อสัญญา ส่วนหลักปรันระดับบังคับปิดสถานะ (Force Close Level: FC) อยู่ที่ 19,950 บาทต่อสัญญา หรือคิดเป็น 30% ของหลักประกันขั้นต้น

    จะเห็นได้ว่า หากนักลงทุนวางหลักประกันไว้พอดี แล้วการลงทุนไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ คือขาดทุนมาก ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้สูง ในภาวะที่ราคาทองคำผันผวนและแกว่งตัวอย่างมากในขณะนี้ นักลงทุนก็จะต้องถูกเรียกให้ใส่เงินประกันเพิ่มโดยเร็ว ผู้อำนวยการฝ่ายตราสารอนุพันธ์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จึงแนะนำให้บริหารหลักประกันให้เหมาะสม โดยอาจวางหลักประกันเผื่อเอาไว้ก่อน


    [​IMG] ค่าคอมมิชชั่น Gold Futures

    ค่าธรรมเนียมในการซื้อขาย Gold Futures จะต่ำกว่าการซื้อขายทองคำแท่ง โดยมีวิธีคิดแบบ Sliding Scale คือยิ่งซื้อขายมาก ค่าคอมมิชชั่นในสัญญาที่มากขึ้นจะยิ่งถูกลง โดย ตลาดอนุพันธ์ (ประเทศไทย) ได้จัดโปรโมชั่นลดราคาพิเศษตั้งแต่ 2 ก.พ. 52 – 31 ก.ค. 52

    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG] การลงทุนคือการเสี่ยง การวิเคราะห์ไม่ใช่ข้อเท็จจริง สภาพการเก็งกำไรทองคำมีความผันผวนสูง โปรดใช้ข้อมูลและวิจารณญาณของตนเองในการตัดสินใจ


    -http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=1140-

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ลายเซ็นของคุณtemo

    -http://www.goldhips.com/board/viewtopic.php?t=1140

    เป็นสิ่งเตือนใจ

    สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในทองคำ

    การลงทุนคือการเสี่ยง การวิเคราะห์ไม่ใช่ข้อเท็จจริง สภาพการเก็งกำไรทองคำมีความผันผวนสูง โปรดใช้ข้อมูลและวิจารณญาณของตนเองในการตัดสินใจ

    .

    และอีกประโยคที่พิเศษ

    การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาให้ดีก่อนการลงทุน

    .


    บ่นมาเยอะแล้ว ง่วงนอนแล้วครับ

    ราตรีสวัสดิ์ทุกท่านครับ



    .
     
  18. มูริญโญ่

    มูริญโญ่ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    408
    ค่าพลัง:
    +583
    รบกวนปิดตอนบ่ายๆนะครับ
    ตอนนี้รวบรวมอยู่ครับ
     
  19. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    เตือนภัยผู้ใช้ 'โรมมิ่ง' ศึกษาให้ดี...ลดเสี่ยงกระเป๋าฉีก!!!

    วันพุธ ที่ 07 กันยายน 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    หลายต่อหลายคนเมื่อเดินทางไปต่างประเทศ มักนิยมใช้บริการโรมมิ่งกัน เพื่อไม่ให้ขาดการติดต่อกับครอบครัว หรือคนรู้ใจด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา แต่เมื่อกลับมาต้องหน้าซีด บางคนถึงกับกระเป๋าฉีก เมื่อเห็นบิลเรียกเก็บค่าบริการโทรศัพท์!!

    ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) ให้ความรู้เกี่ยวกับการใช้บริการโรมมิ่งว่า สิ่งแรกต้องเข้าใจก่อนว่า ในแต่ละประเทศจะมีบริการโทรศัพท์มือถือเป็นของตนเอง โดยบริษัทที่ได้รับอนุญาตจะมีขอบข่ายของประเทศตนเอง โดย จะไม่มีบริษัทใดได้รับอนุญาตให้ใช้สัญญาณข้ามทวีปหรือข้ามประเทศ

    เมื่อได้เลขหมายของประเทศตนเองแล้วจะนำไปใช้กับประเทศอื่นไม่ได้ เพราะประเทศอื่นก็มีเลขหมายที่ให้บริการ มีขอบข่ายของเขาเช่นเดียวกับประเทศของเรา แต่ วิธีที่จะทำให้โทรศัพท์ของเราจะไปใช้ในประเทศอื่นได้ คือ ประเทศของเราต้องไปทำสัญญากับคู่บริการในประเทศของเขา ไปขอใช้โครงข่ายชั่วคราว โดยใช้เลขหมายของเราเป็นหลัก

    ฉะนั้น ข้อดีของการเปิดโรมมิ่ง คือ สามารถติดต่อสื่อสารกับผู้อื่นได้เหมือนเดิม แม้จะเดินทางไปต่างประเทศ โดยที่ผู้บริโภคใช้หมายเลขโทรศัพท์เบอร์เดิม คนจะโทรฯหาก็โทรฯมาเบอร์เดิม และเช่นเดียวกันเมื่อเราโทรฯกลับไปเลขหมายเราก็จะปรากฏขึ้น ปลายทางก็จะรู้ว่าเราโทรฯมา

    “แต่สิ่งที่จะเกิดขึ้น คือ ค่าใช้จ่าย เพราะปกติเวลาโทรฯที่เมืองไทยค่าใช้จ่ายจะเป็นค่าใช้จ่ายภายในประเทศเช่นเดียวกันกับประเทศอื่น ๆ แต่ถ้าเมื่อไรเป็นโรมมิ่ง แปลว่า มีต้นทุนเพิ่มขึ้น เพราะสัญญาณโทรศัพท์จะต้องวิ่งจากประเทศหนึ่งไปอีกประเทศหนึ่ง ทำให้ค่าโรมมิ่งแพงกว่าค่าใช้จ่ายปกติ

    รวมทั้ง ค่าบริการโรมมิ่งไม่มีการกำกับดูแล คือ ค่าบริการโดยปกติในแต่ละประเทศ ถ้าอยากกำกับราคาขั้นสูง สามารถกำกับได้ว่าจะใช้เกณฑ์กี่บาท ห้ามเกินกี่บาทต่อนาที แต่ถ้าเป็นโรมมิ่งเมื่อไรจะไม่มีการกำกับเพราะไม่มีรัฐบาลโลก ดังนั้น ประเทศนี้จะไปกำหนดโรมมิ่งประเทศโน้นไม่ได้ ทำให้อัตราค่าโรมมิ่งจึงไม่ขึ้นกับใคร แต่จะอยู่ที่คู่สัญญาต้นทางทำกับคู่สัญญาปลายทาง”

    ตลอดจน ในเรื่องของเทคโนโลยี นั่นคือ ถ้าใช้บริการเครือข่ายของบริษัทใดในเมืองไทย เวลาเปิดโรมมิ่งก็ต้องไปเปิดกับเครือข่ายนั้น ในกรณีที่เห็นว่าอีกเครือข่ายหนึ่งโปรโมชั่นถูกกว่า จะไปเปิดโรมมิ่งของอีกเครือข่ายหนึ่งไม่ได้ เพราะหมายเลขโทรศัพท์ที่ใช้อยู่เป็นของอีกเครือข่ายหนึ่ง

    สำหรับการเปิดโรมมิ่ง โดยหลักแล้วขึ้นอยู่กับบริการที่เราจะใช้ สมัยก่อน จะมีแค่โทรฯออกและรับสาย ซึ่งเป็นบริการประเภทเสียง หรือ วอยซ์ (voice) แต่ปัจจุบันมีบริการที่เรียกว่าอินเทอร์เน็ตผ่านมือถือ ไม่ว่าจะเป็น เอดจ์, จีพีอาร์เอส หรือ 3 จี ซึ่งเป็นอีกบริการหนึ่งที่เรียกว่า บริการด้านข้อมูล หรือ ดาต้า (data)

    “เวลาเปิดโรมมิ่งบริษัทจะเปิดให้ทั้งคู่ คือ เสียงและข้อมูล ซึ่งตรงนี้ผู้บริโภคสามารถเปิดแยกได้ เช่น ถ้าไม่เล่นอินเทอร์เน็ต ไม่ต้องการรับ-ส่งข้อมูลผ่านมือถือ โดยข้อมูลนี้ไม่ได้รวมถึงเอสเอ็มเอส เพราะเอสเอ็มเอสเป็นแพ็กเกจที่ผูกติดมากับบริการประเภทเสียง ก็ให้เลือกบริการประเภทเสียงเท่านั้น คือ รับสายได้ รับเอสเอ็มเอสได้ แต่เล่นอินเทอร์เน็ตไม่ได้”

    อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้บริการต้องทำความเข้าใจด้วย นั่นคือ เมื่อเปิดโรมมิ่งแล้วจะเป็นการเปิดตลอดไป หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าเมื่อกลับมาเมืองไทยแล้วโรมมิ่งจะถูกปิด ฉะนั้น ถ้าอยากปิดต้องโทรฯไปแจ้งที่บริษัทว่าหมายเลขนี้ต้องการปิดโรมมิ่ง แล้วถ้าจะไปต่างประเทศอีกก็ค่อยโทรฯไปขอเปิดโรมมิ่งใหม่ก็ได้ เพราะ ถ้าไม่แจ้งปิดบริษัทจะเปิดโรมมิ่งให้ตลอด

    การเปิดโรมมิ่งหากเปิดไว้ตลอด ถ้าไม่ได้ไปต่างประเทศก็จะไม่มีปัญหา แต่จะมีปัญหากรณีเดียว คือ ถ้าเดินทางไปชายแดน เช่น ด่านปาดังเบซาร์ซึ่งจะมีคลื่นสัญญาณโทรศัพท์ของประเทศมาเลเซียเข้ามาในฝั่งไทยด้วย เมื่อโทรศัพท์ของเราไปจับสัญญาณมาเลเซียเข้า เมื่อรับสายหรือโทรฯออกก็จะกลายเป็นว่าใช้คลื่นมาเลเซีย เปลี่ยนเป็นโรมมิ่งมาเลเซีย

    รวมทั้งถ้าไปหนองคายคลื่นโทรศัพท์จับสัญญาณของประเทศลาว เราก็จะเสียเงินค่าโรมมิ่งของประเทศลาวทั้ง ๆ ที่เราไม่ได้ข้ามไปลาว ตรงนี้เป็นข้อจำกัดทางเทคนิค หากบริษัทคิดค่าโรมมิ่งสามารถโต้แย้งกับทางบริษัทได้ เพราะเรายังอยู่ในเขตแดนไทยอยู่ แต่ข้อจำกัดตรงนี้ก็มีประโยชน์สำหรับบางพื้นที่ เช่น เมื่อข้ามไปท่าขี้เหล็ก เราโทรฯออกเป็นสัญญาณเมืองไทย ทั้ง ๆ ที่เราอยู่ในประเทศพม่า ตรงนี้เท่ากับว่าเราใช้สัญญาณเมืองไทยทั้ง ๆ ที่อยู่ในฝั่งพม่าโดยไม่ต้องเสียค่าโรมมิ่ง

    ฉะนั้น หากต้องเดินทางไปชายแดน ต้องดูให้ดีว่า ตอนนี้โทรศัพท์จับสัญญาณของประเทศไหนอยู่ ทางออกที่ดี คือ ควรจะปิดโรมมิ่งจะได้ไม่ต้องกังวลว่าตอนนี้โทรศัพท์จับคลื่นสัญญาณประเทศไหน ในกรณีที่ต้องข้ามไปจริงๆ แล้วค่อยเปิดโรมมิ่ง ซึ่งสามารถโทรศัพท์ไปขอเปิดโรมมิ่งได้ที่เครือข่ายที่เราใช้บริการอยู่ เมื่อกลับมาแล้วก็โทรฯไปขอปิดได้เช่นกัน

    เมื่อขอเปิดบริการโรมมิ่งแล้วไม่จบเพียงเท่านั้น ผอ.สบท. กล่าวต่อว่า ในประเทศสามารถจำกัดวงเงินได้ เช่น ไม่เกิน 5,000 บาท ถ้าเกินให้ตัดทันทีซึ่งบริษัทสามารถทำได้ แต่โรมมิ่งไม่มีการจำกัดค่าบริการ ต้องเข้าใจด้วยว่า การจำกัดวงเงินในประเทศกับโรมมิ่งแยกกัน ทำให้หลายคนต้องเสียค่าโรมมิ่งเป็นเงินจำนวนมาก เพราะเข้าใจว่ายังโทรฯได้อยู่ไม่เกินวงเงินที่กำหนดไว้อยู่ แต่ถึงแม้จะแจ้งจำกัดวงเงินสูงสุดโรมมิ่งไว้ ปัญหาก็ยังไม่หมดเพราะโดยหลักทางเทคนิคค่าใช้จ่ายในต่างประเทศไม่ได้โอนข้อมูลมาเป็นวินาที โดยข้อมูลที่ส่งกลับมาจะล่าช้าใช้เวลา 1-2 วัน ซึ่งอาจทำให้ค่าใช้จ่ายเกินวงเงินสูงสุดที่กำหนดไว้ได้ ผู้บริโภคจำต้องระมัดระวังในเรื่องการใช้โรมมิ่งด้วยแม้จะกำหนดวงเงินสูงสุดไว้แล้วก็ตาม

    อีกทั้ง ปัจจุบันบาง บริษัทมีโปรโมชั่นเป็นอันลิมิท เช่น บริการดาต้าโรมมิ่งวันละ 450 บาท ผู้บริโภคเห็นเข้าก็จูงใจคิดว่าดีกว่าไปซื้อซิมต่างประเทศ ปรากฏว่า พอกลับมาก็โดนไปหลายแสนบาท ก็เพราะว่าอันลิมิทที่ว่านี้เฉพาะบางเครือข่ายเท่านั้น เนื่องจากประเทศหนึ่งจะทำสัญญากับหลาย ๆ บริษัท และบริษัทของไทยก็ทำสัญญากับหลาย ๆ บริษัทในประเทศนั้น ด้วยเช่นกัน ฉะนั้น เวลาเราไปต่างประเทศเครื่องจะจับสัญญาณอัตโนมัติ โดยจะจับสัญญาณของทุกบริษัทที่เครือข่ายที่เราใช้ไปทำสัญญาโรมมิ่งไว้

    “ประเทศหนึ่งอาจมีคู่สัญญา 9 บริษัท แต่ที่เป็นอันลิมิท ล็อกไว้แค่บริษัทเดียว จึงมีกรณีที่ผู้บริโภคไปญี่ปุ่นสมัครอันลิมิทแพ็กเกจ เมื่อเดินทางไปถึงญี่ปุ่นแล้ว โทรศัพท์กลับไปจับสัญญาณของเครือข่ายอื่นที่ไม่ใช่เครือข่ายที่สมัครไว้กลับมาก็โดนหลายแสนบาท เพราะเข้าใจผิดคิดว่าโทรฯได้ตลอดแต่จ่ายเท่าที่กำหนดไว้ ทางออกที่ดี คือ จะต้องสอบถามให้ชัดเจนว่าอันลิมิทเป็นของเครือข่ายใดในประเทศที่เราจะไป จะได้เลือกรับสัญญาณที่เครื่องโทรศัพท์ได้ถูก และที่สำคัญ ต้องสอบถามวิธีการล็อกค้นหาเครือข่ายด้วยว่ามีขั้นตอนอย่างไร เพราะโทรศัพท์จะค้นหาแบบอัตโนมัติ เครื่องจะได้ไม่ไปจับเครือข่ายอื่น จะได้ไม่ต้องเสียเงินเพิ่ม”

    บางคนเกิดจากการใช้ ไวไฟฟรีที่โรงแรมหรือที่ประชุม เช่น ผู้บริโภคไปอินเดียใช้มือถือติดต่อไวไฟทั้งคืนกลับมาก็โดนหลายหมื่นบาท เพราะหลักการ คือ เมื่อสัญญาณไวไฟหลุดหากเราเปิดโรมมิ่งอยู่เครื่องจะต่อมือถือเป็นอินเทอร์เน็ตมือถือให้โดยอัตโนมัติ กรณีนี้ก็เช่นกัน ผู้บริโภคจะต้องรู้วิธีการปิดสัญญาณโรมมิ่งในเครื่องโทรศัพท์

    อีกกรณีคือ บริษัทจะมีแพ็กเกจข้อมูล 5 เมก จ่าย 1,500 บาท ผู้บริโภคเห็นว่าดีก็เลือกใช้ โดยจะนิยมเล่นประเภทข้อมูล ไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ หรือบีบี ซึ่ง โซเชียลเน็ตเวิร์กเหล่านี้สามารถส่งรูปได้ด้วย หลายคนส่งรูปให้เพื่อนที่เมืองไทยเพราะคิดว่าไม่เท่าไร แต่จริง ๆ แล้ว คนไทยถ่ายรูปความละเอียดสูงแล้วส่งเลย โดยไม่มีการบีบไฟล์รูปให้เล็กลง ซึ่งรูปหนึ่งจะประมาณ 1 เมก ถ้า 5 รูปก็ 5 เมก ก็ครบแล้ว ที่เหลือก็จะจ่ายเพิ่ม ตรงนี้ก็ต้องระวังด้วย พยายามจำกัดข้อมูลอย่าใช้ฟุ่มเฟือย เพราะจะเกินวงเงิน 5 เมก ที่ตกลงไว้ได้

    ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคมกล่าวฝากทิ้งท้ายว่า โรมมิ่งเป็นบริการข้ามประเทศ บางครั้งต้องใช้เวลาในการดำเนินการ กว่าที่เราจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อาจส่งผลทำให้เกิดค่าใช้จ่ายที่เกินเกิดขึ้นได้ หรือเวลาเจอปัญหาในต่างประเทศก็ไม่รู้จะปรึกษาใคร เพราะกลัวเรื่องค่าบริการ ฉะนั้นสิ่งที่ผู้บริโภคควรทำ คือ การศึกษาข้อมูลให้ดีอย่างละเอียดทั้งในส่วนของเครื่องโทรศัพท์มือถือ และโปรโมชั่นของทางบริษัทที่จะเลือกใช้บริการก็จะเป็นทางออกที่ดี สามารถหลีกเลี่ยงปัญหาต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมาได้.






    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     
  20. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    “มะระขี้นก”ช่วยเจริญอาหาร

    วันพุธ ที่ 07 กันยายน 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    เสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย รับประทานง่ายด้วยเคล็ด (ไม่) ลับ ลดความขมด้วย “เกลือ”
    “มะระขี้นก” เป็นไม้เลื้อยเขตร้อนในวงศ์แตง ผลขนาดเล็กลักษณะคล้ายกระสวย ผิวขรุขระมีปุ่มยื่นออกมาโดยรอบ ผลอ่อนมีสีเขียว เมื่อแก่มีสีเหลืองอมแดง นอกจากจะเป็นผักที่หลายบ้านนิยมปลูกเพื่อรับประทานผลแล้ว ยังเป็นแหล่งอาหารอันโอชะของนกด้วย ซึ่งจะถ่ายเมล็ดไว้ตามที่ต่าง ๆ จึงเรียกกันว่า มะระขี้นก

    สำหรับวิธีลดความขมนั้น ทำได้โดยต้มน้ำให้เดือดจัด ใส่เกลือประมาณหยิบมือ แล้วนำมะระลงลวกสักครู่ จะช่วยให้ความขมจางลง และยังคงสีเขียวสด ผลอ่อนนำไปต้มรับประทานเป็นผักจิ้มน้ำพริก ใส่แกงจืดหมูสับ แกงเผ็ดพะแนง หรือผัดใส่ไข่ ฯลฯ

    ทั้งนี้ ในเนื้อผลมีสารรสขมกระตุ้นเรียกน้ำย่อย จึงช่วยเจริญอาหาร ทำให้รับประทานได้เพิ่มขึ้น นอกจากนั้น ยังมีสรรพคุณทางยาช่วยเสริมภูมิคุ้มกันของร่างกายด้วย.





    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     

แชร์หน้านี้

Loading...