พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    ดีครับ วันเสาร์ไปทำบุญมาครับ ก็ไปถวายสังฆทาน 5 วัดพร้อมนิมนต์พระ 5รูปแต่ละวัดครับผมแล้วยังจัดชุดพระบรมสารีริกธาตุ 600 ชุดไปถวายด้วยครับผม ขอร่วมอนุโมทนาบุญด้วยนะครับผม มีวัดหนึ่งมีองค์พระสวยงามมากและเก่า องค์หนึ่ง 1500 ปีแล้วจ้า
     
  2. rung847

    rung847 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    819
    ค่าพลัง:
    +3,420
    อนุโมทนาบุญด้วย ทุกประการครับ
     
  3. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    อนุโมทนาบุญ ทุกประการครับ
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 18 ส.ค. วันวิทยาศาสตร์

    -http://hilight.kapook.com/view/27324-


    [​IMG]
    รัชกาลที่ 4 บิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย

    [​IMG]

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Wikipedia

    หลอดทดลอง บีกเกอร์ เครื่องชั่ง กล้องจุลทรรศน์ กล้องดูดาว ชามระเหย สามขา ตะแกงลวด คีม กระจกนาฬิกา ฯลฯ ... อ่ะ อ่ะ ไม่ต้องเอาคิ้วไปชนกันให้เมื่อยค่ะ หลายคนคงสงสัยว่า ทำไมเราถึงเอ่ยชื่ออุปกรณ์หรือเครื่องมือวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ มาบอกเล่ากัน

    เนื่อง จากในทุก ๆ วันที่ 18 สิงหาคม ของทุกปี เป็นอีกวันหนึ่งที่มีความสำคัญในวงการวิทยาศาสตร์ วงการดาราศาสตร์ และวงการศึกษาของไทย เพราะถ้าย้อนอดีตกลับไปเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม พ.ศ.2411 จะเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวง ที่ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หลังจากที่พระองค์ทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคาไว้ล่วงหน้า 2 ปี ต่อมาคณะรัฐมนตรีจึงกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคมของทุกปี เป็น "วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ" ...วันนี้กระปุกดอทคอมเลยจะพาไปทำรู้จักที่มาที่ไป และประวัติของ วันวิทยาศาสตร์ กันค่ะ...

    แต่ก่อนอื่นเราจะพาไปรู้จักความหมายของ "วิทยาศาสตร์" (Science) กันก่อน ซึ่งจริง ๆ แล้วคำว่า วิทยาศาสตร์ หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต รวมทั้งกระบวนการประมวลความรู้เชิงประจักษ์ ที่เรียกว่ากระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และกลุ่มขององค์ความรู้ที่ได้จากกระบวนการดังกล่าว ทั้งนี้ การศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์ยังถูกแบ่งย่อยออกเป็น วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ และ วิทยาศาสตร์ประยุกต์

    ประวัติ วันวิทยาศาสตร์ แห่งชาติ

    พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงสนพระทัยวิชาคณิตศาสตร์และวิชาดาราศาสตร์ในตำราโหราศาสตร์ของไทย ในที่สุดพระองค์ทรงได้ค้นคิดวิธีการคำนวณปักข์ (ครึ่งเดือนทางจันทรคติ) เพื่อประโยชน์ในการกำหนดวันธรรมสวนะ (วันพระ) ให้ถูกต้องตามการโคจรของดวงจันทร์ที่เรียกว่า "ปฏิทินปักขคณนา" (ปักขคณนา คือ วิธีนับปักข์หรือรอบครึ่งเดือนของข้างขึ้นข้างแรม เป็นวิธีนับที่แม่นยำสูง) และทรงมีพระบรมราชานุญาตให้ใช้ทำปฏิทินจันทรคติพระทุกปี แทนปฏิทินฆราวาส ขณะเดียวกันพระองค์ได้ทรงค้นคิดสูตรสำเร็จในการคำนวณปักข์ออกมาในรูปกระดาน ไม้สี่เหลี่ยมผืนผ้า เพื่อจะได้วันพระที่ถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาคำนวณ และมีชื่อเรียกว่า "กระดานปักขคณนา" ซึ่งสิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นสาเหตุที่จุดประกายให้พระองค์ทรงเริ่มสนพระทัยในวิชาดาราศาสตร์อย่างจริงจัง

    ในพระราชฐานของพระองค์ ทั้งที่กรุงเทพมหานครและต่างจังหวัดจะมีหอดูดาว โดยเฉพาะหอชัชวาลเวียงชัย ในบริเวณพระนครคีรีหรือเขาวัง พระราชวังสำหรับแปรพระราชฐาน อยู่ที่จังหวัดเพชรบุรี ที่มีความสำคัญมากในประวัติศาสตร์วิชาดาราศาสตร์ของไทย ด้วยมีพระราชประสงค์จะให้เป็นสถานที่สังเกตการณ์ทางดาราศาสตร์ ในการรักษาเวลามาตรฐานของประเทศไทยต่อไป ดังนั้นหอนี้จึงเป็นอนุสรณ์แห่งสัมฤทธิผลในทางวิทยาศาสตร์เรื่องระบบเวลา พระองค์ทรงสถาปนาระบบเวลามาตรฐานขึ้นในประเทศไทย เมื่อ พ.ศ.2395 โดยสร้างพระที่นั่งภูวดลทัศไนยขึ้นในพระบรมราชวัง ใช้เป็นหอนาฬิกาหลวงบอกเวลามาตรฐานของประเทศไทยสมัยนั้น โดยมีพนักงานตำแหน่งพันทิวาทิตย์ เทียบเวลาตอนกลางวันจากดวงอาทิตย์ และพันพินิตจันทรา เทียบเวลาตอนกลางคืนจากดวงจันทร์


    [​IMG]
    วันวิทยาศาสตร์

    ต่อมาใน วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ.2411 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารค โดยเรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดชจากท่านิเวศวรดิษฐ์ไปยังบ้านหว้ากอ พร้อมด้วยพระราชโอรส พระราชธิดา รวมทั้งสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ (รัชกาลที่ 5) ขณะพระชนมายุ 16 พรรษา กับเจ้านายชั้นผู้ใหญ่ ข้าราชบริพารจำนวนมาก ด้วยทรงตั้งพระปณิธานแน่วแน่ที่จะพิสูจน์ผลการคำนวนของพระองค์ เพื่อทอดพระเนตรสุริยุปราคาเต็มดวงที่ทรงคำนวณพยากรณ์ไว้ล่วงหน้า 2 ปี ว่าจะเกิดในวันอังคาร ขึ้น 1 ค่ำ เดือน 10 ปีมะโรง สัมฤทธิศก จุลศักราช 1230

    โดย จะเห็นหมดดวงและชัดเจนที่สุด คือ ที่หมู่บ้านหัววาฬ ตำบลหว้ากอ อำเภอเมือง จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ตั้งแต่บริเวณ เกาะจาน ขึ้นไปถึง ปราณบุรี และลงไปถึง จังหวัดชุมพร จึงโปรดฯ ให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ไปสร้างค่ายหลวงและพลับพลาที่ประทับ พร้อมกับเชิญคณะนักดาราศาสตร์จากประเทศฝรั่งเศส และเซอร์แฮรี ออด เจ้าเมืองสิงคโปร์เดินทางมาเข้าเฝ้าฯ และร่วมในการสังเกตการณ์ ซึ่งเมื่อถึงวันอังคารที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2411 เหตุการณ์ก็เป็นไปตามที่พระองค์ทรงพยากรณ์ทุกประการ ไม่คลาดเคลื่อนแม้แต่วินาทีเดียว

    ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าว เซอร์แฮรี ออด ได้ทำการบันทึกเหตุการณ์ไว้ และเมื่อ พ.ศ.2518 หม่อมหลวงปิ่น มาลากุล ได้ทำการแปลเป็นภาษาไทยในงานหว้ากอรำลึก ณ ท้องฟ้าจำลอง กรุงเทพมหานคร ว่า "พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัว ทรงพระสำราญมาก เพราะการคำนวณเวลาสุริยุปราคาของพระองค์ ได้พิสูจน์แล้วว่าถูกถ้วนที่สุด ถูกถ้วนยิ่งกว่าที่ชาวยุโรปได้คำนวณไว้"

    [​IMG]

    ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงรับเอาศิลปวิทยาการ และความคิดสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ในการปกครองประเทศ ด้วยเหตุนี้องค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) จึงได้ประกาศยกย่องพระเกียรติคุณของพระองค์ให้ทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก ด้วยพระราชกรณียกิจและพระเกียรติคุณนานัปการ โดยเฉพาะพระราชกรณียกิจด้านดาราศาสตร์
    ทั้งนี้ สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ มีแนวคิดว่าน่าจะถือเอาวันที่ 18 สิงหาคม เป็น วันวิทยาศาสตร์ ไทย ต่อมาวันที่ 14 เมษายน พ.ศ.2525 คณะรัฐมนตรีได้มีมติเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็น "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย" พร้อมทั้งกำหนดให้วันที่ 18 สิงหาคม เป็น "วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ" และต่อมาได้มีการสร้าง "อุทยานวิทยาศาสตร์" ที่ บ้านหว้ากอ

    ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่ออุทยานนี้ว่า "อุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์" และได้รับพระบรมราชานุญาตให้จัดสร้าง พระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมรูปหล่อประทับนั่งบนพระเก้าอี้ฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารเรือ ชุดเดียวกับวันที่พระองค์ท่านเสด็จพระราชดำเนินมาบ้านหว้ากอ


    นอกจากนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2527 กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้จัดงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติขึ้นเป็นครั้งแรก ระหว่างวันที่ 18 - 24 สิงหาคม โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานราชการต่างๆ จนได้รับความสนใจทั้งจากภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไป ซึ่งทำให้คณะรัฐมนตรีได้เล็งเห็นความสำคัญ ดังนั้น เมื่อวันที่ 3 กันยายน 2528 คณะรัฐมนตรีจึงได้อนุมัติให้กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ดำเนินการจัดงาน "สัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ" เป็นประจำทุกปี ระหว่าง วันที่ 18 - 24 สิงหาคม


    [​IMG]

    [​IMG] วัตถุประสงค์ของการจัดงานวันสัปดาห์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ

    1. เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติและพระปรีชาสามารถทางด้านวิทยาศาสตร์ ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว "พระบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย"

    2. เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศทางวิทยาศาสตร์ อันเป็นวิถีทางหนึ่งของการแก้ปัญหาการขาดแคลนกำลังคน ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี

    3. เพื่อเป็นการส่งเสริมและเผยแพร่ผลงาน การค้นคว้า วิจัย ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศ

    4. เพื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่าภาครัฐและเอกชน ในการนำวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไปใช้ในการพัฒนาประเทศอย่างมีประสิทธิภาพ

    5. เพื่อสนับสนุนให้กำลังใจและโอกาสแก่นักวิจัย นักประดิษฐ์ ได้แสดงผลงานต่อสาธารณชน


    [​IMG] กิจกรรมที่ควรปฏิบัติใน วันวิทยาศาสตร์ แห่งชาติ

    - ร่วมพิธีวางมาลาและเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

    - จัดนิทรรศการเผยแพร่ พระราชประวัติ และพระราชกรณียกิจ ของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

    - จัดกิจกรรมส่งเสริมงานด้านวิทยาศาสตร์ และสิ่งประดิษฐ์ต่างๆ


    ขอขอบคุณข้อมูลจาก ​
    -http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%B1%E0%B8%81--http://www.lib.ru.ac.th/index.html-
    -http://www.darasart.com/-





    .


     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table id="post5004712" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px"> วันนี้, 08:46 PM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #2425 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> วัดบ่อเงินบ่อทอง
    นักบวช

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Feb 2009
    ข้อความ: 119
    พลังการให้คะแนน: 70 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_5004712" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> ขณะ นี้กำลังถมที่เพื่อสร้างอาคารเรียน ประมาณ 200 คันรถ 10 ล้อ คันรถละ 650 บาท โยมท่านใดจะร่วมรับเป็นเจ้าภาพบ้าง..เน้อ..เพราะยังไม่มีใครทำบุญในส่วนนี้ เลย..
    </td></tr></tbody></table>

    --------------------------------------------------

    ขอความเมตตาช่วยต่อชีวิตพระเณร
    บช.ออมทรัพย์ 2030-06304-5
    บัญชี รร.
    พระปริยัติธรรมบ่อเงินบ่อทอง
    บมจ.ธ.กรุงไทย สาขาพนมสารคาม



    -http://palungjit.org/threads/%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%95%E0%B8%95%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B9%88%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%93%E0%B8%A3.21733/page-122-



    .
     
  6. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    วิธีต้มไข่ให้ปอกง่าย

    วันพฤหัสบดี ที่ 18 สิงหาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    เวลาทำ “ไข่ต้ม” บางครั้งปอกเปลือกยากเย็นเหลือเกิน ปัญหานี้แก้ไขง่ายนิดเดียว แถมได้เนื้อไข่นุ่มนิ่มทานอร่อย
    หากเอ่ยถึงอาหารจานด่วนทำง่าย เชื่อว่า “ไข่ต้ม” ต้องเป็นเมนูคู่ครัวของใครหลาย ๆ คน แต่การจะต้มไข่ให้เนื้อนุ่ม ไม่แข็งกระด้าง และปอกไม่ติดเปลือกนั้น มักไม่หมูสำหรับพ่อครัว-แม่ครัวมือใหม่ อย่างไรก็ตาม ปัญหาดังกล่าวแก้ไขได้ เพียงเพิ่มเคล็ดลับต่อไปนี้

    ขณะน้ำเริ่มอุ่นให้เติม “เกลือป่น” ลงไป ในสัดส่วนเกลือ 1 ช้อนโต๊ะ / น้ำ 1 ลิตร จากนั้น นำไข่ลงต้มได้เลย “โดยไม่ต้องรอให้น้ำเดือด” ทั้งนี้ “ควรต้มด้วยไฟอ่อน” ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที (หากต้องการให้ไข่แดงเป็นยางมะตูมจะใช้เวลาราว 8 นาที)

    เมื่อไข่สุกให้ตักแช่ในน้ำเย็นทันที หลังหายร้อนจึงปอกด้วยการตอก แล้วบีบเบา ๆ เปลือกจะหลุดง่าย ผิวไข่ไม่แตก ไม่เละ เนื้อไม่แข็งกระด้าง นุ่มนิ่มทานอร่อย นอกจากนี้ ความเค็มจากเกลือยังช่วยปิดรอยร้าวของไข่ไม่ให้เนื้อไหลออกมาระหว่างต้มได้

    ปิดท้ายด้วยเคล็ดลับการผ่าไข่จำนวนมากให้สวยงาม โดยใช้มีดจุ่มน้ำร้อนก่อนนำไปผ่า หรือใช้เส้นด้ายดึงให้ตึงแล้วผ่าลงบนผิวไข่ เนื้อจะไม่แตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เท่านี้ก็ได้ไข่ต้มคุณภาพดีน่าหม่ำกันแล้ว.

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
     
  7. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    มากกว่าอันตรายต่อสมอง!? 'คลื่นโทรศัพท์มือถือ' รู้เลี่ยง...รู้ใช้...ปลอดภัย

    วันพฤหัสบดี ที่ 18 สิงหาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD><TD id=ext-gen16 style="WIDTH: 57px">รูปภาพ</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]



    [​IMG]

    โทรศัพท์มือถือ เป็นสิ่งอำนวยความสะดวกอย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับว่า ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตมนุษย์ไปแล้ว แต่การที่เรามีความต้องการใช้อะไรที่มากเกินไปก็มักมีผลเสียตามมาเสมอ เป็นที่มาของงานวิจัยแขนงต่าง ๆ ที่ชี้ว่าการใช้โทรศัพท์มือถือมาก คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าของมือถืออาจส่งผลให้เกิดโรคมะเร็งหรือเนื้องอกในสมองได้ ซึ่งบางงานวิจัยเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เท็จจริงอย่างไรไม่สำคัญ ทางออกที่ดีที่สุดคือ ยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อนน่าจะแน่นอนกว่า..!!!

    ดร.พิเชษฐ กิจธารา อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ให้ความรู้ว่า “คลื่น” คือการเปลี่ยน แปลงกลับไปกลับมาหรือการกระเพื่อมในลักษณะที่มีการแผ่กระจายหรือเคลื่อนที่ออกจากแหล่งกำเนิด โดยแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1. คลื่นกล เป็นคลื่นที่ต้องอาศัยตัวกลางในการเคลื่อนที่ คลื่นประเภทนี้ก็คือ คลื่นผิวน้ำ ซึ่งเป็นการกระเพื่อมของผิวน้ำและแผ่กระจายออกไปเมื่อเราโยนก้อนหินลงไปในน้ำ จุดที่ก้อนหินกระทบผิวน้ำก็คือแหล่งกำเนิดคลื่นและตัวกลางในการเคลื่อนที่ก็คือ น้ำ และคลื่นกลอีกชนิดหนึ่งก็คือคลื่นเสียงซึ่งใช้อากาศเป็นตัวกลาง

    2. คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นคลื่นที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสนามไฟฟ้าและสนามแม่เหล็กสามารถเคลื่อนที่ได้ในสุญญากาศโดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทุกชนิดเคลื่อนที่ด้วยความเร็วแสง (ประมาณ 300,000,000 เมตรต่อวินาที เทียบเท่ากับการเคลื่อนที่รอบโลกประมาณ 7 รอบในเวลา 1 วินาที) ตัวอย่างคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่เราคุ้นเคยก็คือ คลื่นวิทยุ คลื่นแสงและรังสีเอ็กซ์ (X-Ray) โดยคำว่าคลื่นและรังสี หมายถึงคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเหมือนกัน แต่เรามักใช้คำว่ารังสีกับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีพลังงานสูงมาก เช่น รังสีเอ็กซ์ (ใช้ในการเอกซเรย์ในโรงพยาบาล) และรังสีแกมม่า (Gamma-Ray ; มาจากนอกโลกและโรงไฟฟ้านิวเคลียร์) เช่น แหล่งกำเนิดรังสีเอ็กซ์คือเครื่องถ่ายภาพเอกซเรย์ในโรงพยาบาล ส่วนรังสีแกมม่ามาจากนอกโลกเป็นส่วนใหญ่หรือจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์

    รังสีทั้ง 2 นี้มีพลังงานมากพอที่จะทำให้ยีนหรือเซลล์ในร่างกายมนุษย์เกิดความผิดปกติได้ทันทีที่ได้รับรังสี แต่โอกาสที่จะเกิดความผิดปกตินั้นน้อยมากและร่างกายมนุษย์สามารถกำจัดเซลล์ผิดปกติได้อย่างดีอยู่แล้ว ดังนั้นจึงถือว่าอันตรายจากการเอกซเรย์ทั่วไปในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นน้อยมากคุ้มค่ากับประโยชน์ที่ได้รับจากการช่วยวินิจฉัยโรค แต่การระเบิดของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะทำให้เซลล์ของพนักงานที่อยู่ใกล้เกิดความผิดปกติทันทีเช่นกัน และหากได้รับปริมาณรังสีมากเกินไปก็จะทำให้ร่างกายซ่อมแซมไม่ทัน กลายเป็นมะเร็งหรือเสียชีวิตภายในเวลาไม่นาน แต่คลื่นที่มีความถี่น้อยกว่านั้น เช่น คลื่นวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ คลื่นอินฟราเรด คลื่นแสง คลื่นเหนือม่วง มีพลังงานน้อยกว่าและไม่ทำให้เซลล์ในร่างกายมนุษย์เกิดความผิดปกติแบบทันทีทันใด แต่สามารถทำให้เกิดอันตรายได้หากได้รับคลื่นเป็นระยะเวลานาน ๆ หลายปี เช่น คลื่นยูวีในแสงแดดเป็นสาเหตุหนึ่งของมะเร็งผิวหนัง

    สำหรับคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าจากโทรศัพท์มือถืออยู่ในช่วงไมโครเวฟ มีความถี่ประมาณ 800–2,500 MHz (1 MHz = 1 ล้านลูกคลื่นต่อวินาที) เป็นคลื่นที่สามารถทะลุเข้าไปในร่างกายมนุษย์หรือเนื้อเยื่อได้ง่าย (ต่างกับคลื่นแสงที่ไม่สามารถทะลุผิวหนังเข้าไปลึก ๆ ได้) และเป็นช่วงคลื่นเดียวกับที่ใช้ในเตาไมโครเวฟ ถึงแม้กำลัง (อัตราพลังงานที่ใช้ต่อวินาที) ของโทรศัพท์มือถือ (1-2 วัตต์) จะน้อยกว่าของเตาไมโครเวฟ (ประมาณ 1,000 วัตต์) แต่เนื่องจากเป็นความถี่ในช่วงเดียวกัน จึงทำให้เกิดความกังวลเรื่องอันตรายจากคลื่นในช่วงนี้ขึ้นมา ซึ่งความกังวลหลักมีอยู่ 2 ประเด็นคือ คลื่นไมโครเวฟจากโทรศัพท์มือถือทำให้เซลล์สมองเกิดความผิดปกติโดยตรงหรือไม่และความร้อนจากคลื่นไมโครเวฟส่งผลทางอ้อมต่อสมองหรือไม่อย่างไร

    จากผลงานวิจัยในอดีตเมื่อหลายปีก่อนนับร้อยชิ้นที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบของคลื่นไมโครเวฟต่อสมอง ซึ่งผลวิจัยมีทั้งที่เห็นว่าเป็นอันตรายและที่เห็นว่าไม่เป็นอันตรายจำนวนเท่า ๆ กัน จึงไม่สามารถสรุปไปทางใดทางหนึ่งได้ แต่ อย่างไรก็ตามความผิดปกติจากคลื่นความถี่ต่ำพลังงานน้อยอย่างคลื่นไมโครเวฟนั้นเกิดขึ้นช้ามากในระยะเวลาหลายปี การศึกษาวิจัยจึงต้องใช้เวลานานหลายปีเช่นกัน ผลงานวิจัยที่น่าเชื่อถือจึงเพิ่งทยอยออกมาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี่เอง ข่าวที่ทั่วโลกให้ความสำคัญในช่วงกลางปี 2011 ก็คือ ผลสรุปจากการประชุมของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ขององค์การอนามัยโลก World Health Organization (WHO) ซึ่งมีสาระสำคัญ ๆ ดังนี้

    1. การประชุมได้พิจารณาผลงานวิจัยนับร้อยชิ้นจากอดีตจนถึงปัจจุบัน 2. ผลงานวิจัยทั้งหมดไม่เพียงพอหรือไม่สามารถบอกได้ว่าการใช้โทรศัพท์มือถือในกรณีปกติทั่วไปทำให้เพิ่มโอกาสการเป็นเนื้องอกสมอง 3. งานวิจัยที่บ่งบอกว่าการใช้โทรศัพท์มือถือเยอะเกินไปเป็นเวลานาน (มากกว่า 30 นาทีต่อวัน เป็นเวลากว่า 10 ปี) เพิ่มโอกาสการเป็นเนื้องอกสมอง 40% มากกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้โทรศัพท์มือถือ (ทุกคนมีโอกาสเป็นเนื้องอกสมอง แต่ถ้าคุณใช้มือถือมากเกินไป โอกาสที่คุณจะเป็นเนื้องอกมีมากขึ้น) อย่างไรก็ตามนี่เป็นงานวิจัยเพียง 1 ชิ้นที่จะต้องรองานวิจัยจากกลุ่มอื่นยืนยันต่อไป 4. ที่ประชุมจัดให้คลื่นไมโครเวฟจากโทรศัพท์มือถือเป็นปัจจัยที่อยู่ในกลุ่ม 2B คือหมายถึงกลุ่มที่อาจจะเพิ่มโอกาสการเป็นเนื้องอกสมอง (possibly carcinogenic to humans) ซึ่งเป็นกลุ่มเดียวกับเครื่องสำอางบางชนิด

    โดยทาง International Agency for Research on Cancer (IARC) แบ่งกลุ่มปัจจัยก่อมะเร็งเป็น 4 กลุ่มด้วยกันคือกลุ่มที่ 1 ก่อมะเร็งชัดเจน (definitely carcinogenic to humans) ต้องหลีกเลี่ยง กลุ่มที่ 2A น่าจะก่อมะเร็ง (probably carcinogenic to humans) ควรหลีกเลี่ยง กลุ่มที่ 2B อาจจะก่อมะเร็ง (possibly carcinogenic to humans) พึงระวัง หรือยึดปลอดภัยไว้ก่อน กลุ่มที่ 3 ไม่สามารถจำแนกได้ (not classifiable as to its carcinogenicity to humans) และกลุ่มที่ 4 ไม่น่าจะก่อมะเร็ง (probably not carcinogenic to humans)

    นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยสำคัญอื่น ๆ อีก ถึงแม้งานวิจัยเหล่านี้ยังมีจำนวนน้อยชิ้นแต่เป็นงานวิจัยที่ควรติดตามเพื่อยืนยันต่อไป เช่น ยังไม่ต้องตื่นตระหนก เพราะความร้อนจากคลื่นไมโครเวฟมีน้อยและไม่กระทบสมองโดยตรง กระแสเลือดในสมองสามารถระบายความร้อนได้ดี แต่ความร้อนต่อดวงตายังต้องรอการวิจัยต่อไป เพราะภายในดวงตาไม่มีเส้นเลือดคอยระบายความร้อน งานวิจัยบางชิ้นบ่งบอกว่าคลื่นไมโครเวฟทำให้พูด ช้าลง รบกวนการเต้นของหัวใจ รบกวนความจำ เพิ่มโอกาสการเป็นมะเร็งช่องปาก แต่ทั้งหมดยังไม่ยืนยัน เนื้อสมองที่อยู่ใกล้โทรศัพท์ขณะสนทนาใช้ปริมาณน้ำตาลกลูโคสมากขึ้น แต่ไม่สามารถเชื่อมโยงว่าทำให้ก่อมะเร็งหรือไม่

    ในเมื่อผลการวิจัยต่าง ๆ ยังไม่ยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าโทรศัพท์มือถือปลอดภัยหรือไม่ เราควรยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อนโดยการปฏิบัติดังนี้ หลีกเลี่ยงการคุยโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน (ควรน้อยกว่า 30 นาทีต่อวัน และคุยสั้น ๆ ในแต่ละครั้ง) หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือในลิฟต์หรือในรถยนต์ เพราะลิฟต์และรถยนต์ทำด้วยโลหะที่ไปลดพลังงานของคลื่นที่จะส่งไปยังสถานีโทรศัพท์ (เสาโทรศัพต์ตามยอดตึกต่าง ๆ) เมื่อถูกลดสัญญาณเครื่องโทรศัพท์จะเพิ่มกำลังส่งคลื่นให้มากขึ้นเพื่อให้ความแรงของคลื่นเท่าเดิม ซึ่งจะทำให้คลื่นเข้าสมองท่านมากขึ้น (คนรอบข้างท่านในลิฟต์และในรถก็จะได้รับคลื่นมากขึ้นไปด้วย) พลังงานของคลื่นลดลงตามระยะทางที่เคลื่อนที่ตามกฎผกผันกำลังสอง (หากเพิ่มระยะทาง 10 เท่า กำลังของคลื่นจะลดลง 102=100 เท่า) ดังนั้นการใช้หูฟังหรือการใช้สปีกโฟนหรือบลููทูธจะทำให้ระยะระหว่างสมองและมือถือเพิ่มมากขึ้นช่วยลดพลังงานของคลื่นได้ดีมาก หรือ จะใช้วิธีการส่งข้อความแทนการคุยโทรศัพท์มือถือก็ช่วยลดความเสี่ยงได้

    ที่สำคัญไม่ควรให้เด็กใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป เพราะกะโหลกศีรษะช่วยป้องกันคลื่นได้บางส่วน แต่กะโหลกศีรษะของเด็กมีความหนาน้อยกว่าของผู้ใหญ่ ดังนั้นไม่ควรให้เด็กใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป และไม่ควรนอนตะแคงคุยโทรศัพท์โดยมีโทรศัพท์ใต้ศีรษะ เพราะโทรศัพท์จะอยู่ระหว่างหมอนและศีรษะขณะสนทนา ทำให้มือถือเพิ่มกำลังการส่งคลื่นและทำให้เราได้รับคลื่นมากขึ้น การใช้มือถือที่มี Radiation น้อย แต่โทรศัพท์รุ่นใหม่ ๆ ส่วนใหญ่มีการออกแบบเสาอากาศดีกว่าสามารถลดกำลังส่งได้เมื่อเทียบกับรุ่นเก่า ๆ และก่อนนอนควรปิดเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็นรวมทั้ง ปิด Modem WiFi เพราะนอกจากจะลดอันตรายที่อาจจะมีจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแล้วยังช่วยลดโลกร้อนด้วย

    ไม่ว่าจะมีวิธีแก้หรือลดความเสี่ยงอย่างไรก็ตาม การรู้จักความพอดีในการใช้โทรศัพท์มือถือน่าจะเป็นหลักสำคัญ เพราะนอกจากจะไม่ทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพแล้วยังไม่ต้องจ่ายค่าบริการที่มากตามไปด้วย และคงจะไม่คุ้มถ้าต้องเสียเงินจ่ายทั้งค่าบริการโทรศัพท์และค่ารักษาพยาบาลสุขภาพควบคู่กันไปเพียงแค่ต้องการคุยโทรศัพท์นาน ๆ เท่านั้นเอง.

    อันตรายอื่นๆ และเสิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับ 'คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า'

    เสาของสถานีโทรศัพท์ อาจจะเป็นอันตรายก็ต่อเมื่อท่านอยู่ใกล้เสามาก ๆ ในระยะไม่กี่เมตร หากอยู่ไกลเกินกว่า 10 เมตรจะได้รับพลังงานน้อยมาก นอกจากนี้คลื่นส่วนใหญ่จะแผ่กระจายออกทางด้านข้างของเสา ดังนั้นผู้อาศัยในตึกหรือใต้ตึกที่ติดตั้งเสาโทรศัพท์ไม่น่าจะได้รับอันตราย อย่างไรก็ตาม หากตึกข้าง ๆ ท่านติดตั้งเสาโทรศัพท์ (หรือเสาทีวี วิทยุ อื่น ๆ) ในระดับความสูงเดียวกับห้องชุดคอนโดของท่านและเสานั้นห่างจากห้องของท่านเพียงไม่กี่เมตร ควรพิจารณาหลีกเลี่ยงการอาศัยในห้องดังกล่าว

    สายส่งไฟฟ้าแรงสูง จัดอยู่ในกลุ่ม 2B เช่นเดียวกับโทรศัพท์มือถือ งานวิจัยบางชิ้นบ่งบอกว่าเด็กที่อาศัยใกล้สายส่งไฟฟ้าแรงสูง มีโอกาสเป็น มะเร็งเม็ดเลือดขาว มากขึ้น นอกจากนี้ผู้ป่วยบางท่านมีอาการปวดศีรษะ ปวดไมเกรนหรือนอนหลับยากเมื่ออาศัยอยู่ใกล้สายส่งไฟฟ้าแรงสูง แม้จะยังมีหลายงานวิจัยที่มีความเห็นขัดแย้ง แต่หากยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อน ควรหลีกเลี่ยงสายส่งไฟฟ้าแรงสูง หลีกเลี่ยงห้องในอาคารชุดคอนโดที่อยู่ติดสายส่งไฟฟ้าหรือหม้อแปลงขนาดใหญ่

    คลื่นไมโครเวฟจากมือถือ รบกวนการทำงานของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ได้จริง ควรปิดมือถือเมื่ออยู่บนเครื่องบินหรือเมื่อท่านยืนติดกับเครื่องมือทางการแพทย์.

    “ในเมื่อผลการวิจัยต่าง ๆ ยังไม่ยืนยันร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า โทรศัพท์มือถือปลอดภัยหรือไม่ เราควรยึดหลักปลอดภัยไว้ก่อนโดยหลีกเลี่ยงการคุยโทรศัพท์มือถือเป็นเวลานาน หลีกเลี่ยงการใช้โทรศัพท์มือถือในลิฟต์หรือในรถยนต์…”





    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     
  8. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    เอามาถามคุณหนุ่มดีกว่า ภาพ"อุ้มพระ"..พระบูชาสมเด็จโตองค์นี้ แท้หรือไม่ รุ่นอะไร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2011
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  10. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    มีคนแนะนำให้ทานเพื่อล้างไขมันอ่ะครับ ทานทุกวันตอนเช้ายามท้องว่างอ่ะครับ
     
  11. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    สวัสดียามเย็นครับ

    โหพี่ตอบแบบทวนคำถามเรยครับ อิอิ
     
  12. :::เพชร:::

    :::เพชร::: เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    8,584
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +36,137
    555 ใครเขาจะเห็นเป็นอื่นไปได้คุณหนุ่ม พิมพ์นิยมแบบนี้ ส่วนคนอุ้มพระนี่ ขนาดอัญเชิญปู่โต วันแรกยังโดนลองของเลย...หุ..หุ..จะรอดไหมเนี่ย..ทำไม่ดี ไม่เป็นประโยชน์กับบ้านเมือง เอาของดีไปอยู่ด้วยยังไงก็ช่วยไม่ได้...
     
  13. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เหอๆๆๆ

    ตอบไม่ถูกครับ

    เกรงใจคุณnongnooo

    ต้องให้คุณnongnooo มาตอบดีกว่า vb vb

    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ่า ตอนนี้งานเยอะมากจริงๆครับ ตอนนี้งานเต็มโต๊ะ

    ก่อนกลับบ้าน บอกเพื่อนข้างๆโต๊ะว่า ให้ช่วยดูให้ 1 เรื่อง ผมทำไม่ทันจริงๆ

    โชคดี เพื่อนรับปากว่าจะช่วย

    พรุ่งนี้ จะเช็คว่า รถที่ทำงานว่างหรือเปล่า จะออกไปหาลูกค้าแถวๆสุขุมวิท ต้องนำเอกสารไปให้ลูกค้าเซ็นชื่ออีก แถมงานที่ค้างยังไม่ได้ทำอีก 7 เรื่อง

    อยากแยกร่างทำงานจริงๆ


    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    เตือนใช้บริการโรมมิ่งอันลิมิท ก็หมดตัวได้


    สบท.เตือนใช้บริการโรมมิ่งอันลิมิท ก็หมดตัวได้ หากไม่รู้จักตั้งค่าระบบเครื่องให้เลือกเฉพาะเครือข่ายที่แพ็คเกจกำหนด พบหนุ่มนักศึกษาเที่ยวเกาหลีอาทิตย์เดียว กลับมาเจอบิลกว่าสองแสนบาท เหตุพกไอโฟนไปด้วยและต่อเน็ตตลอดเวลา เพราะนอนใจว่าเลือกแพ็คเกจไม่จำกัดแล้ว
    นายประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) เปิดเผยว่า การใช้บริการโรมมิ่งยังคงเป็นปัญหาสำหรับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดมีผู้ร้องเป็นนักศึกษาเดินทางไปเที่ยวประเทศเกาหลีเพียง 6 วัน โดยพกโทรศัพท์ไอโฟนพร้อมสมัครใช้แพ็คเกจอันลิมิต แต่กลับมาถึงเมืองไทยถูกเรียกเก็บค่าโทรศัพท์จากการใช้บริการดาต้าเป็นเงิน สองแสนกว่าบาท เพราะเครื่องไปเลือกจับสัญญาณเครือข่ายนอกแพ็คเกจเป็นบางช่วง

    “แพ็คเกจอันลิมิทหรือแพ็คเกจไม่อั้นทั้งหลายเป็นแพ็คเกจที่บริษัทมักจะ เลือกทำสัญญากับเครือข่ายใดเครือข่ายหนึ่งในประเทศปลายทาง ไม่ใช่ทุกเครือข่าย เช่นถ้าเครือข่ายของไทยไปเลือกทำสัญญาการเชื่อมสัญญาณกับ 10 บริษัท บริษัทไทยจะเลือกทำสัญญาอันลิมิตแค่บริษัทเดียว อีก 9 บริษัทไม่ใช่ ดังนั้นเมื่อไปถึงปลายทางผู้ใช้ต้องตั้งค่าระบบเครื่องให้เลือกรับสัญญาณ เฉพาะเครือข่ายนั้นด้วยถึงจะอันลิมิทจริง “ ผอ.สบท. กล่าว

    นายประวิทย์กล่าวต่อไปว่า หากผู้บริโภคเลือกเครือข่ายได้ถูก ล็อคเครือข่ายได้สำเร็จ การจะใช้ในปริมาณเท่าไหร่ก็จะอยู่ในโปรโมชั่นที่เลือกไปคือ อันลิมิทอาจจะราคา 1,500 หรือ3,000 บาท ไม่เกินนั้น แต่ถ้าเราไม่ได้ล็อคเครือข่าย แล้วเครื่องไปจับสัญญาณเครือข่ายอื่นก็จะไม่อยู่ในเงื่อนไขอันลิมิทและจะ กลายเป็นว่า ใช้เท่าไหร่ก็ต้องจ่ายเท่านั้นและคิดตามปริมาณข้อมูลด้วย อย่างเกาหลี ญี่ปุ่นหรืออเมริกา ซึ่งมีบริการ 3G เพราะฉะนั้นข้อมูลจะไหลเร็วมาก เช่นรายนี้เพียงไม่กี่วันที่เครื่องจับสัญญาณดาต้านอกเครือข่ายพบว่าใช้ไป กว่า400 เมกกะไบต์ ถูกเรียกเก็บค่าบริการเมกะไบต์ละ 500 กว่าบาท ขณะที่มีการใช้ในเครือข่ายที่กำหนด 180 เมกะไบต์ ส่วนนั้นถูกเรียกเก็บตามแพ็คเกจ 1,750 บาท

    ผอ.สบท.กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้การจำกัดวงเงินสูงสุดไว้ก็อาจไม่ได้ช่วยอะไรมากเพราะปัจจุบันการ รายงานการใช้บริการระหว่างประเทศยังทำได้ไม่ตรงตามเวลาที่ใช้จะมีการล่าช้า ของการแจ้งผล

    “โดยหลักทางเทคนิคค่าใช้จ่ายในต่างประเทศไม่ได้โอนข้อมูลมาเป็นวินาที อาจรายงานเป็นวันหรือ 24 ชั่วโมง เช่นทำการจำกัดไว้ที่ 5,000 บาท แต่พอใช้ในต่างประเทศวันแรกเป็นแสน แล้วผ่านไปวันหนึ่ง ต่างประเทศเพิ่งแจ้งกลับประเทศไทย เพราะมีการดีเลย์ของข้อมูล ไม่เหมือนอยู่ในเมืองไทยเพราะบริษัทในเมืองไทยคุมค่าใช้จ่ายเองพอถึง 5,000 ก็ตัดได้เลย แต่กรณีโรมมิ่งไม่ใช่ เพราะข้อมูลกว่าจะส่งผ่านมาจะมีความล่าช้าอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ดังนั้นต่อให้ควบคุมค่าใช้จ่ายไว้ก็อย่าชะล่าใจ เพราะต่อให้มีการใช้เกินวงเงินแล้วเครื่องก็จะยังไม่ตัดยังใช้ได้อยู่” นายประวิทย์กล่าว

    ผอ.สบท.กล่าวต่อไปว่า หากผู้บริโภคเดินทางไปต่างประเทศและสมัครใช้บริการโรมมิ่งควร สอบถามชื่อเครือข่ายที่เราต้องใช้เมื่ออยู่ต่างประเทศ แล้วเมื่อไปถึงให้ตั้งระบบเครื่องด้วยตัวเองให้ล็อครับสัญญาณเฉพาะเครือข่าย นั้น รวมถึงสังเกตหน้าจอขณะใช้บริการเป็นระยะๆว่า เครื่องรับสัญญาณของเครือข่ายใดอยู่ นอกจากนี้อาจใช้วิธีการซื้อซิมการ์ดในประเทศนั้นๆแทน เพราะโดยส่วนใหญ่ค่าบริการจะถูกกว่า

    “ถ้าเราต้องการติดต่อสื่อสาร มันไม่ได้มีเครื่องมือเดียว ไม่ได้ต้องเอาโทรศัพท์เราไปโรมมิ่งต่างประเทศ เพราะในประเทศนั้นเค้าก็มีซิมขาย ส่วนใหญ่ค่าบริการมักจะถูกกว่าค่าบริการโรมมิ่ง ยกตัวอย่างถ้าชาวต่างชาติมาไทย เค้าซื้อซิม เอไอเอส ดีแทค เค้าจะจ่ายถูกเหมือนเรา ดังนั้นหากเราไปต่างประเทศเราก็ต้องคิดเหมือนกันว่า บ้านเค้ามีซิมอะไรหรือไม่ประเภทอันลิมิทหกเจ็ดร้อยบาท ขณะที่ใช้โรมมิ่งของประเทศเราเนี่ยกลับมาโดนไปสามสี่แสน ดังนั้นเราต้องฉลาดที่จะเลือกด้วย”
    ที่มา: สถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.)
    ข่าวจากแหล่งอื่น:
    เตือนใช้โรมมิ่งไม่อั้นให้ถูกวิธี หนุ่มนศ.สะอึกเจอบิลสองแสน :: ไทยรัฐออนไลน์
    เตือนใช้บริการโรมมิ่งอันลิมิท หมดตัวได้ เที่ยวเกาหลีอาทิตย์เดียว กลับมาเจอบิลกว่าสองแสน :มติชนออนไลน์
    เตือนใช้บริการโรมมิ่งอันลิมิท ก็หมดตัวได้ :: ASTV ผู้จัดการออนไลน์
    ผู้ใช้ไอโฟนร้องจ๊ากกระเป๋าฉีก เจอบิลเรียกค่าโทร.ต่างแดน6วัน2แสน ::แนวหน้า


    -http://www.tci.or.th/newshot_detail.php?id=221#newsevent-

    ข่าวเด่นโทรคมนาคม : เตือนใช้บริการโรมมิ่งอันลิมิท ก็หมดตัวได้

    .





    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    แพทย์เผยน้ำมนต์เสียตัว ผสมสาร 'จีเอชบี' มีวางขายเกลื่อน

    เวทีสัมมนาแพทย์แฉ พบสารอันตราย 'จีเอชบี' กระตุ้นอารมณ์ทางเพศผู้หญิง มีคนนำมาผลิตในหลายรูปแบบ ทั้งผง แคปซูล น้ำ หมากฝรั่ง ก่อนนำไปละลายเป็นน้ำมนต์เสียตัว มีเกลื่อนตามตลาดแนวชายแดนไทย-พม่า เผย ในพื้นที่เชียงใหม่ คนร้ายใช้ก่อเหตุขืนใจเหยื่อสาวมาแล้ว ลวงสะเดาะเคราะห์ให้ดื่มน้ำมนต์จนไร้สติก่อนโดนข่มขืน

    ที่โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น เมื่อวันที่ 17 ส.ค. มีการประชุมวิชาการวิทยาศาสตร์การแพทย์ครั้งที่ 19 ภญ.ปิยมาศ สุริยา เภสัชกรปฏิบัติการ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 10 (เชียงใหม่) เปิดเผยว่า ตนและ ภญ.ประภัสสร ทิพย์รัตน์ เภสัชกรชำนาญการ ศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 10 (เชียงใหม่) และนายกิตติ จันทร์ทักษิโณภาส สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงราย ได้นำเสนอผลการตรวจวิเคราะห์จีเอชบีในยากระตุ้นทางเพศสตรีที่ลักลอบจำหน่าย บริเวณชายแดนไทย-พม่า ซึ่งจีเอชบี จัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 1 ตามความใน พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2518 ในช่วงปี 52-54 พบว่าจีเอชบีถูกตรวจพบในของกลาง 4 คดี โดยที่ให้ความสนใจเกี่ยวกับสารตัวนี้เพราะมีคดีหนึ่งที่ จ.เชียงใหม่ ผู้ต้องหาใช้ยาจีเอชบีกับเหยื่อผู้หญิงแล้วทำการกระทำชำเรา เนื่องจากจีเอชบีกินเข้าไปแล้วมีฤทธิ์ทำให้เหยื่อไม่รู้สึกตัว และไม่สามารถที่จะป้องกันตัวเองได้

    ภญ.ปิยมาศ กล่าวต่อว่า ปกติจีเอชบีประเทศไทยผลิตไม่ได้น่าจะมีการลักลอบนำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ด้วยเหตุนี้จึงได้สำรวจหาจีเอชบี มีการอ้างว่าเป็นยากระตุ้น ทางเพศบริเวณตลาดชายแดนไทย-พม่า โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขเชียงรายได้เก็บวัตถุต้องสงสัยจากคนเร่ขายสินค้าชาว พม่าบริเวณตลาดชายแดนในฝั่งไทย 21 รายการ ซึ่งมีทั้งชนิดผงละเอียดบรรจุซองอะลูมิเนียมและแคปซูล ชนิดสารละลายใส หรือ ชนิดน้ำ บรรจุในขวดแก้ว และชนิดหมากฝรั่ง เกือบทั้งหมดพิมพ์รูปภาพโป๊และข้อความล่อแหลมบนภาชนะบรรจุ จากตรวจยืนยันพบจีเอชบีในทุกตัวอย่าง ซึ่งน่าเป็นห่วงมากเพราะอาจจะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด ความจริงการหาซื้อจีเอชบีไม่ได้ซื้อกันง่าย ๆ เพราะจะต้องรู้แหล่งซื้อ โดยราคาขายชนิดผง 200 บาท ชนิดน้ำ 500 บาท หลังจากการตรวจพบดังกล่าวก็ได้มีการแจ้งเตือนไปยังพี่น้องประชาชนแล้ว

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงต้นปี 54 ทางศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์ที่ 5 ได้รับตัวอย่างน้ำมนต์จากทางตำรวจส่งมาตรวจเป็นคดีที่นักศึกษาอายุ 18 ปี โดนข่มขืนกระทำชำเราเนื่องจากไปสะเดาะเคราะห์กับคนทรงเจ้าที่คนนับถือ โดยก่อนที่จะสะเดาะเคราะห์จะต้องทำพิธีให้ตายก่อน ทางอาจารย์ก็ให้เด็กกินน้ำมนต์ พอกินแล้วก็ไม่รู้สึกตัวหลังจากนั้นก็ถูกทำมิดีมิร้าย พอแม่เด็กรู้ภายหลังก็ไปแจ้งความและนำน้ำมนต์ให้ตำรวจส่งตรวจ ปรากฏว่า เจอสารมิดาโซแลม ซึ่งยาดังกล่าวจะทำให้หยุดหายใจชั่วคราวได้ทำให้คนกินไม่ได้สติ กรณีเช่นนี้ก็อยากจะเตือนว่าการไปทำพิธีสะเดาะเคราะห์ซึ่งอาจเจอเหมือนกรณี เช่นนี้ได้.


    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=419&contentID=157866-

    Daily News Online > หน้าอาชญากรรม > แพทย์เผยน้ำมนต์เสียตัว ผสมสาร 'จีเอชบี' มีวางขายเกลื่อน

    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    อัศจรรย์เด็ก10ขวบ ตายแล้วฟื้น เผยเห็นคนตกนรก-กระทะทองแดง

    วันที่ 18 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรับแจ้งว่ามีเหตุการณ์ประหลาด เด็กตายไปแล้ว 14 วัน ฟื้นขึ้นมาอย่างน่าอัศจรรย์ หลังรับแจ้งจึงเดินทางไปยังบ้านเลขที่ 62 ม.5 ต.มงคลธรรมนิมิต อ.สามโก้ จ.อ่างทอง ซึ่งเป็นบ้านของด.ช.พิฆเนศ หรือน้องจ่อย คล้ายทอง อายุ 10 ปี ที่ป่วยเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว และเข้ารับการผ่าตัดหัวใจที่โรงพยาบาลเด็ก และเสียชีวิตไปแล้วฟื้นขึ้นมา จากการสอบถามนางสมคิด คล้ายทอง อายุ 48 ปี แม่ของน้องจ่อย เล่าว่า น้องจ่อยเกิดมามีโรคประจำตัวหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นกระบังลมรั่ว ฝาผนังหัวใจรั่ว ลิ้นหัวใจรั่วทั้ง 4 ห้อง และเม็ดเลือดขาวและเม็ดเลือดแดงปนกัน ล่าสุดผ่าตัดหัวใจที่โรงพยาบาลเด็กที่กรุงเทพฯ โดยนอนรักษาตัวอยู่ที่ห้อง ICU ตลอดเวลา 14 วัน ใช้เครื่องช่วยหายใจ พยาบาลที่มาตรวจพบว่าน้องจ่อยไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบใด ๆ หมอและพยาบาลจึงบอกตนว่าน้องจ่อยตายแล้ว แต่ตนบอกหมอและพยาบาลว่าไม่ให้ถอดเครื่องช่วยหายใจ เพราะลูกอาจจะฟื้นขึ้นมาได้

    จนมาเมื่อวันที่ 9 พ.ค. หมอจะถอดเครื่องช่วยหายใจ เพราะเด็กแขนขาเขียวคล้ำไปหมด นิ้วมือและนิ้วเท้าแห้งจนแข็งดำ หงิกงอ ผิวหนังแห้งเกรียม โดยเฉพาะที่นิ้วเท้าด้านขวาแห้งจนหลุดออกมา แต่ตนว่าขอเวลาอีก 1 วัน จนกระทั่งเมื่อวันที่ 10 พ.ค. หมอได้ถอดเครื่องช่วยหายใจออก ตนจึงได้นำดอกไม้ธูปเทียนพร้อมเงินจำนวนหนึ่งใส่ในมือลูก และเตรียมจะนำศพกลับไปบ้าน แต่หมอบอกว่าจะอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายให้ หลังจากนั้นตนสังเกตเห็นว่าใต้ตาของน้องจ่อยมีเหมือนเหงื่อซึมตามผิวหนังใต้ ตาอยู่ และเท้ากระดิกได้ หมอและพยาบาลมาดูต่างตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยบอกกับตนว่าเป็นสิ่งอัศจรรย์ไม่เคยพบเห็นมาก่อน จากนั้นจึงไปเอาที่วัดความดันมาวัด ก็พบว่าความดันเริ่มขึ้นมาเรื่อย ๆ ตัวเริ่มอุ่นขึ้น ก็รีบช่วยกันรักษาพยาบาล

    นางสมคิด กล่าวต่อว่า ตนรู้มาว่าถ้าคนไม่สบายมากๆ ให้ไปบนกับท้าวหิรัญพนาสูร ซึ่งเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์ประจำโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เพื่อขอชีวิตมีคนสมหวังกันมามากแล้ว ตนจึงได้ไปบนขนุนไว้ 2 ลูก และไข่ต้ม 50 ใบ แต่ตนก็ไม่ได้เล่าให้ใครฟังเลย แต่ที่น่าประหลาดใจ น้องจ่อย ได้เล่าให้ตนฟังว่า ช่วงที่นอนอยู่ได้เห็นว่ามีคนแก่แต่งตัวเหมือนเทพมายืนอยู่ที่เตียง น้ำหมากไหลตามปาก และบอกว่ากูจะเอาชีวิตคืนให้มึง แต่แม่มึงต้องมาแก้บนให้กูด้วย ซึ่งเรื่องที่ตนบนไว้ไม่ได้บอกให้ใครรู้เลย ตัวน้องจ่อยเองก็ไม่รู้ด้วย

    ส่วนน้องจ่อย เล่าว่า ช่วงที่นอนรพ.เหมือนได้ไปที่มีแต่หมอกควัน เห็นคนหลายคนกำลังโดนแทง เห็นกระทะทองแดง แล้วก็พบตาที่ตายไปแล้ว 6 ปี มาหาบอกว่า “จ่อยมายังไง” จากนั้นก็เห็นผู้ชายและผู้หญิงเดินมาบอกตาว่าให้พาเด็กคนนี้ไปส่ง เพราะยังไม่ถึงเวลา สักพักหนึ่งในมือของตนก็มีแต่เงินเต็มไปหมด ตนยังแบ่งให้ตาเลย แต่ตาก็ไม่เอา และหยิบคืนตน และรีบพาตนมาส่งที่ชั้น 2 ของโรงพยาบาล บอกว่าให้รีบไป เดี๋ยวจะไม่ทัน และเมื่อไปแล้วให้รีบเอาธูปที่มือออก จากนั้นตาก็หายไปทันที และช่วงที่อยู่กับตานั้น ยังพบว่าคนแก่ข้างบ้านที่ตายไปแล้วอีกหลายคน ยังมาทักตนเลยว่ามายังงัย



    Share19


    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="295"><tbody><tr> <td height="21" width="21">[​IMG]</td> <td background="images/line_top.gif">
    </td> <td height="21" width="21">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td background="images/line_left.gif">
    </td> <td width="100%"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="3" width="100%"><tbody><tr><td align="left" valign="top">
    [​IMG]
    </td></tr></tbody></table> </td> <td background="images/line_right.gif">
    </td> </tr> <tr> <td height="21" width="21">[​IMG]</td></tr></tbody></table>


    -http://www.khaosod.co.th/view_newsonline.php?newsid=TVRNeE16WTNNekk0TXc9PQ==&sectionid=-

    .
     
  20. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    แครอตปั่นสูตรไร้คอเลสเตอรอล

    วันศุกร์ ที่ 19 สิงหาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    น้ำผลไม้ออกรสหวานถูกใจ แต่ปราศจากคอเลสเตอรอล ลดเสี่ยงหลอดเลือดตีบและโรคหัวใจ

    ผลตรวจสุขภาพของใครก็ตามที่สรุปออกมาว่า คุณมีปริมาณคอเลสเตอรอลสูงเกินไป เมื่อเป็นเช่นนั้นแพทย์จะแนะให้ลด ละ เลี่ยง อาหารทะเล ไขแดง เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ติดมัน กะทิ นมไขมันเต็ม เนย และไอศกรีม เพื่อป้องกันไม่ให้คอเลสเตอรอลสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลเสียกับหลอดเลือดและหัวใจ เสี่ยงหลอดเลือดตีบ เป็นโรคหัวใจขาดเลือด และอัมพาต

    ของที่หมอห้ามก็มักจะเป็นของอร่อยและรสหวานเสียด้วยสิ อย่างนี้ถ้าใครเป็นคนชอบอาหารรสหวานก็คงลำบากใจแย่ 'มุมสุขภาพ' มีสูตรเครื่องดื่มออกรสหวาน แต่ปราศจากคอเลสเตอรอลมาแนะนำ ทั้งยังเป็นเครื่องดื่มที่อุดมด้วยแคลเซียม แมกนีเซียม และวิตามินซี

    วัตถุดิบที่ใช้มีไม่มาก ประกอบด้วย...

    • แครอต ขนาดกลาง 1 หัว (หรือปริมาณ 3 ออนซ์) ปอกเปลือกและหั่นเป็นชิ้นหยาบ

    • อินทผลัม 3 ผล ใช้ได้ทั้งอินทผลัมสดหรือชนิดอบแห้งก็ได้ตามสะดวก แต่ให้เอาเมล็ดออก

    • งาขาวคั่วแล้ว 1 ช้อนโต๊ะ

    • น้ำส้มคั้นสด 1/3 ถ้วย (ไม่ผสมน้ำตาล น้ำเชื่อม หรือเกลือเลย)

    • น้ำแข็ง 3 ก้อน

    ขั้นตอนในการทำ เพียงแค่ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงปั่นด้วยเครื่องปั่น และปั่นจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียวกัน เสร็จแล้วรินใส่แก้ว ดื่มทันที ส่วนคุณค่าทางโภชนาการที่ร่างกายจะได้รับ ประกอบด้วย 214 แคลอรี่ ไขมัน 6 กรัม ไขมันอิ่มตัว 1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 39 กรัม เส้นใยอาหาร 6 กรัม โซเดียม 55 มิลลิกรัม โปรตีน 5 กรัม โดยไม่มีคอเลสเตอรอลรวมอยู่เลย.

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
     

แชร์หน้านี้

Loading...