พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    'โรคหูชั้นกลางอักเสบในเด็กเล็ก ภัยร้ายใกล้ตัวที่พ่อแม่มักละเลย'

    วันอาทิตย์ ที่ 14 สิงหาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    พ่อแม่หลายคนที่มีลูกเล็ก อาจจะสังเกตเห็นลูกร้องงอแง และบ่นปวดหู หรืออาจพบอาการปวดหูอาจจะมาพร้อมโรคไข้หวัด แต่พ่อแม่จะรู้หรือไม่ว่าโรคหูชั้นกลางอักเสบในเด็กเล็กอันตรายกว่าที่คิด เพราะนอกจากเป็นโรคที่อาจส่งผลต่อพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กแล้ว อาจพัฒนาจนลูกน้อยหูหนวกได้ ทำให้สูญเสียการได้ยินถาวร บางรายอาจติดเชื้อรุนแรงแทรกซ้อนถึงขั้นเสียชีวิตได้ และเด็กมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีก

    “โรคหูน้ำหนวก” เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยเฉพาะในเด็ก เนื่องจากท่อปรับความดันหูชั้นกลาง ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์เต็มที่ ประกอบกับการสัมผัส คลุกคลีกับบุคคล และสถานที่ต่าง ๆ จึงเกิดภาวะติดเชื้อ เป็นหวัดได้บ่อย ซึ่งจากโรคหวัดที่เป็นลุกลาม ก็มีโอกาสที่จะเกิดการอักเสบต่อเนื่องไปยังท่อปรับความดันหูชั้นกลาง มีผลทำให้เกิดหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันได้

    สาเหตุของโรคหูชั้นกลางอักเสบ

    โรคหูชั้นกลางอักเสบ สามารถเกิดได้ ทั้งจากการติดเชื้อไวรัสและเชื้อแบคทีเรีย โดยที่เกิดจากเชื้อไวรัส ร่างกายสามารถรักษาให้หายเองได้ ส่วนโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย จะทำให้หายช้า และสามารถเป็นซ้ำได้อีก หรือเป็นพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง และใช้เวลาในการรักษานาน โดยเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคหูชั้นกลางอักเสบที่พบบ่อยคือ เชื้อแบคทีเรียนิวโมคอคคัส และเชื้อเอ็นทีเอชไอ ซึ่งเป็นเชื้อที่พบในลำคอและโพรงจมูกของเด็กเล็ก เป็นเชื้อที่มีความรุนแรง แฝงตัวมากับเชื้อหวัดและปอดบวม

    โรคหูชั้นกลางอักเสบมักมาพร้อมกับโรคหวัด พ่อแม่และกุมารแพทย์มักมุ่งไปที่การรักษาอาการไข้หวัด และมองว่าอาการเจ็บหูเป็นเพียงอาการข้างเคียง และเมื่อเด็กหายจากโรคหวัดแล้ว พ่อแม่ก็มักลืมติดตามรักษาโรคหูอักเสบของเด็ก ซึ่งอันตรายมาก เพราะหากเด็กไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีและอย่างจริงจัง โรคนี้จะมีโอกาสพัฒนาไปสู่โรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้อ รังซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบหรือโรคหูชั้นกลางอักเสบชนิดมีของเหลวขัง และโรคหูหนวกได้ในอนาคต

    อาการและความรุนแรงของโรคหูชั้นกลางอักเสบ

    อาการปวดหูมักมาพร้อมกับอาการไข้หวัด ดังนั้น หากเด็กเป็นไข้หวัด ไม่สบาย มีไข้สูง ปวดหูมาก ถ้าเป็นเด็กเล็ก จะร้องกวน เอามือกุมหูข้างที่ปวดไว้ และอาการปวดหูอาจเป็นมากขึ้นเวลากลางคืน ควรรีบปรึกษากุมารแพทย์เพื่อตรวจหู เพราะอาจเป็นอาการของ โรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลัน และหากไม่ได้รับการรักษาในขั้นนี้ แม้ว่าระยะต่อมาอาการปวดหูก็จะเริ่มทุเลา ไข้เริ่มลดลง แต่เชื้ออาจหลงเหลืออยู่ การอักเสบยังคงดำเนินต่อ และเด็กอาจจะเริ่มสูญเสียการได้ยิน คือมีอาการหูอื้อ การได้ยินลดลงและพัฒนาไปสู่โรคหูชั้นกลางอักเสบชนิดมีของเหลวขัง โดยในระยะนี้แก้วหูยังไม่ทะลุ หรือหากเป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันที่มีแก้วหูทะลุ แต่ไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสม ทำให้มีหนองไหลเป็น ๆ หาย ๆ มีกลิ่นเหม็น การได้ยินลดลงเรื่อย ๆ จากนั้นอาจกลายเป็น โรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง ซึ่งจากการศึกษาที่คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ตีพิมพ์ในวารสาร “The American Journal of Otology” พบว่าในคนที่เป็นโรคหูชั้นกลางอักเสบเรื้อรัง มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงต่าง ๆ ตามมา เช่น ใบหน้าเป็นอัมพาต เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ฝีในสมอง และติดเชื้อรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ ถ้าได้รับการรักษาที่รวดเร็ว จะสามารถทำให้หายเป็นปกติได้ แต่ถ้าละเลยการรักษา เมื่อการได้ยินและประสาทหูเสื่อมลง ก็จะไม่สามารถรักษาให้กลับมาเป็นปกติได้

    นอกจากนี้ โรคหูชั้นกลางอักเสบยังมีผลต่อการเรียนของเด็กด้วย เพราะพัฒนาการด้าน การได้ยินนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการเรียนรู้ในด้านต่าง ๆ จึงอยากให้คุณพ่อคุณแม่เห็นความสำคัญของการป้องกันและรักษาโรคหูชั้นกลางอักเสบให้มากขึ้น แต่ปัญหาที่ผ่านมาก็คือ พ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเห็นความสำคัญของการป้องกัน แต่เน้นไปที่การรักษาโรคมากกว่า คือรอให้ป่วยก่อนแล้วจึงรักษา ควรปรับแนวความคิดนี้เสียใหม่ เนื่องจากหูอยู่ที่ฐานสมองจึงไม่ควรมองข้าม ที่เห็นว่ามันเป็นแค่การอักเสบธรรมดาของหู เพราะมีโอกาสที่เชื้อจะลามไปที่สมองได้ หากทิ้งไว้ อาจทำให้เป็นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และฝีในสมองได้ ซึ่งมีอันตรายถึงชีวิตเลยทีเดียว

    วิธีการป้องกันโรคหูชั้นกลางอักเสบ

    เริ่มจากควรให้เด็กกินนมแม่เพื่อเสริมภูมิต้านทานตามธรรมชาติ ดูแลเด็กให้มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง ไม่ให้เป็นหวัดบ่อย สอนให้เด็กมีสุขอนามัยที่ดี และหากเด็กเป็นไข้ไม่สบาย และมีอาการเจ็บหู หรือเวลาพูดแล้วเด็กไม่ค่อยได้ยิน เปิดทีวีเสียงดัง ควรพบแพทย์เพื่อตรวจหู และเสริมภูมิต้านทานด้วยการฉีดวัคซีนป้องกัน ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนที่สามารถป้องกันครอบคลุมและลดโอกาสเสี่ยงในการเกิดโรคหูชั้นกลางอักเสบ โรคปอดบวม และโรคไอพีดีที่เกิดจากเชื้อนิวโมคอคคัส และเชื้อเอ็นทีเอชไอ ได้แล้ว เพื่อเป็นการเพิ่มภูมิคุ้มกันของลูกน้อยที่ยังพัฒนาไม่สมบูรณ์ ให้สามารถต่อสู้กับเชื้อโรค ที่เข้ามาได้ โดยเฉพาะเด็กที่ป่วยเป็นหวัดบ่อย ๆ และเด็กที่พ่อแม่นำไปฝากสถานเลี้ยงเด็ก เพราะเป็นแหล่งรวมพาหะของเชื้อโรค ที่ทำให้มีโอกาสเกิดการอักเสบติดเชื้อได้บ่อย

    ในช่วงอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยอย่างในปัจจุบัน เด็ก ๆ ป่วยและไม่สบายกันมาก พ่อแม่จึงควรสังเกตอาการของโรคหูชั้นกลางอักเสบ ที่นอกเหนือจากอาการแทรกซ้อนโรคไข้หวัดด้วย เพราะหากยิ่งรู้ และรักษาเร็วมากเท่าไหร่ โอกาสติดเชื้อที่เยื่อแก้วหูก็จะน้อยลงเท่านั้น





    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td class="alt2" style="border:1px inset"> ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="alt2" style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    เรียน ท่านประธานชมรมพระวังหน้า
    รองประธานชมรมพระวังหน้า
    ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้าทุกท่าน
    ท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้าทุกท่าน

    ผมได้เปิดวาระการประชุม การสร้างพระบูชา พระอานนท์เถระเจ้า หน้าตัก 16" ทาง Email เรียบร้อยแล้ว

    ผมขอให้ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า แสดงความเห็นของท่านไม่เกินวันพฤหัสที่ 18 สิงหาคม 2554 และ ขอให้ท่านประธานชมรมพระวังหน้า และท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า ลงมติในวันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2554 นี้

    ขอแสดงความนับถือ
    sithiphong
    13/8/2554

    .
    </td></tr></tbody></table>
    .-----------------------------------------------------------------------------.


    ส่วนท่านที่เคยร่วมทำบุญในการสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ที่มีความประสงค์ในการร่วมทำบุญร่วมสร้างพระบูชา พระอานนท์เถระเจ้า หน้าตัก 16" ขอให้ท่านแจ้งความประสงค์เข้ามา ผมจะแจ้งหมายเลขบัญชีให้ท่านทราบทาง PM

    ส่วนบัญชีที่จะใช้ในการโอนเงินร่วมทำบุญ วันนี้ผมจะไปเปิดบัญชีใหม่ เพื่องานนี้โดยเฉพาะครับ

    ในการร่วมทำบุญครั้งนี้ ผมไม่มีพระวังหน้ามอบให้ครับ

    ส่วนรายละเอียดในการสร้าง ผมจะแจ้งเฉพาะในส่วนที่แจ้งบนบอร์ดได้เท่านั้น

    จำนวนเงินในการสร้างพระบูชา พระอานนท์เถระเจ้า หน้าตัก 16" องค์ละ 13,000 บาท ท่านสามารถร่วมทำบุญทั้งองค์ได้ หรือ ร่วมทำบุญบางส่วนได้ ส่วนการอัญเชิญไปถวายวัด ผมขอสงวนสิทธิ์ในการมอบให้กับท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า เป็นตัวแทนของท่านไปถวายวัดให้ครับ

    หากท่านใดไม่มั่นใจว่า ผมจะนำเงินของท่านไปร่วมทำบุญไปทำบุญไม่ครบตามจำนวนเงินที่ท่านได้ร่วมทำบุญ หรือ ผมมีส่วนได้ส่วนเสียในงานบุญนี้ ก็ไม่ต้องร่วมทำบุญครับ

    ผมขอสงวนสิทธิ์ในการรับพิจารณาสำหรับท่านที่จะร่วมทำบุญ หากท่านใดผมเห็นว่า ไม่ควรที่จะร่วมทำบุญในงานบุญนี้ ผมจะปฎิเสธ โดยแจ้งให้ท่านทราบหน้าบอร์ด(กระทู้พระวังหน้าฯ) นี้ และ ผมไม่แจ้งเหตุผลในการที่ผมปฎิเสธครับ

    สำหรับท่านที่จะร่วมทำบุญ ต้องแจ้งชื่อ - นามสกุล และที่อยู่ให้ผมทราบทางPMก่อนทุกครั้งครับ


    โมทนาสาธุครับ

    .
    </td> </tr> </tbody></table>
    วันนี้ ผมได้นำเงิน(บางส่วน)ไปร่วมทำบุญในการสร้างพระบูชา พระอานนท์เถระเจ้า แล้ว

    และผมได้ร่วมทำบุญกับทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร

    และผมได้นำเงินของท่านน้องปฐมไปร่วมทำบุญกับทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธ ท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร เช่นกัน

    มาร่วมโมทนาบุญผมและครอบครัว และท่านน้องปฐมและครอบครัวกันครับ


    .
     
  4. rung847

    rung847 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2011
    โพสต์:
    819
    ค่าพลัง:
    +3,420
    ขออนุโมทนาสาธุทุกประการครับ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วันนี้ ได้ยินว่า ถ้าอยากทราบว่า ร้านอาหารร้านไหน อาหารอร่อย ต้องมาดูในกระทู้พระวังหน้าฯ

    เป็นธรรมดาเน้อ เรายังเป็นปุถุชนคนธรรมดา ยังต้องหาอาหารอร่อยๆกิน

    แต่หากอยากรู้เรื่องพระวังหน้าฯ ก็ให้เข้าไปอ่านในกระทู้พระวังหน้าฯ มีความรู้พอสมควรซ่อนอยู่ในกระทู้ฯครับ

    ว่าแต่ว่า แนะนำว่า หากต้องการหาร้านก๋วยเตี๋ยวที่อร่อย ลองไปอ่านกระทู้ รวมก๋วยเตี๋ยว ที่ไม่ธรรมดา (เป็นลิงค์)

    หรือตามลิงค์ครับ

    -http://palungjit.org/threads/%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B9%8B%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B9%8B%E0%B8%A2%E0%B8%A7-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%84%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%94%E0%B8%B2.29074/page-28-


    http://palungjit.org/threads/รวมก๋วยเตี๋ยว-ที่ไม่ธรรมดา.29074/page-28

    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อีกเรื่องที่ผมเน้นย้ำตลอดก็คือ ผมพยายามจะบอกกับท่านผู้อ่าน ให้รักษาสุขภาพร่างกายของตนเองให้ดี

    ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ(จริงๆ)ครับ


    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    การไหว้ 5 ครั้ง ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญ ญาณวรเถระ )

    ไหว้ 5 ครั้ง
    ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญ ญาณวรเถระ )
    วัดเทพศิรินทราวาส

    [​IMG]


    คัดลอกจาก http://www.konmeungbua.com/saha/Lung...pu_armpan.html


    คัดลอกจาก http://www.konmeungbua.com/saha/Lung...pu_armpan.html



    ในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ไม่ว่าเวลาไร ตามแต่เหมาะต้องไหว้ให้ได้ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย ในคราวเดียวนั้น ถ้ามีดอกไม้ธูปเทียนก็บูชา ถ้าไม่มีก็มือ 10 นิ้วและปากกับใจ ควรไหว้จนตลอดชีวิต คือ


    ครั้งที่ 1 พึงนั่งกระโหย่งเท้าประณมมือว่า

    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ 3 หน

    แล้วว่าพระพุทธคุณ คือ
    อิติปิโส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาติ ฯ

    หยุด ระลึกถึงพระปัญญาคุณทรงรู้ดีรู้ชอบสิ้นเชิง พระบริสุทธิคุณทรงละความเศร้าหมองได้หมด พระกรุณาคุณทรงสงสารผู้อื่นและสั่งสอนให้ปฏิบัติตามของพระพุทธเจ้า จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ


    ครั้งที่ 2 ว่าพระธรรมคุณ คือ

    สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโน สนฺทิฆฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญญูหีติ ฯ

    หยุดระลึกถึงคุณพระธรรมที่รักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ


    ครั้งที่ 3 ว่าพระสังฆคุณ คือ
    สุ ปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ยทิทํ จตฺตาริ ปุริสยุคานิ อฏฐปุริสปุคฺคลา เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ อาหุเนยฺโย ปาหุเนยฺโยทกฺขิเนยฺโย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺสาติฯ

    หยุดระลึกถึงคุณ คือ ความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบ ของพระอริยสงฆ์ จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    นั่งพับเพียบประณมมือตั้งใจถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะไม่ถือสิ่งอื่นยิ่งกว่าจนตลอดชีวิต ว่าสรณคมน์ คือ
    พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ

    ครั้งที่ 4 ระลึกถึงคุณมารดาบิดาของตน จนเห็นชัดแล้ว กราบลงหน 1 ฯ

    ข้า ฯ ขอ กราบไหว้คุณท่านบิดาและมารดา
    เลี้ยงลูกเฝ้ารักษา แต่คลอดมาจึงเป็นคน
    แสนยากลำบากกายไป่คิดยากลำบากตน
    ในใจให้กังวลอยู่ด้วยลูกทุกเวลา
    ยามกินพอลูกร้องก็ต้องวางวิ่งมาหา
    ยามนอนห่อนเต็มตาพอลูกร้องก็ต้องดู
    กลัวเรือดยุงไรมดจะกวนกัดรีบอุ้มชู
    อดกินอดนอนสู้ ทนลำบากหนักไม่เบา
    คุณพ่อแม่มากนักเปรียบน้ำหนักยิ่งภูเขา
    แผ่นดินทั้งหมดเอามาเปรียบคุณไม่เท่าทัน
    เหลือที่ จะแทนคุณ ของท่านนั้น ใหญ่อนันต์
    เว้นไว้ แต่เรียนธรรม์ เอามาสอนพอผ่อนคุณ
    สอนธรรมที่จริงให้ รู้ไม่เที่ยงไว้เป็นทุน
    แล้วจึงแสดงคุณ ให้เห็นจริงตามธรรมดา
    นั่นแหละจึงนับได้ ว่าสนองซึ่งคุณา
    ใช้ค่าข้าวป้อนมาและน้ำนมที่กลืนกิน ฯ




    ครั้งที่ 5 ระลึกถึงคุณของบรรดาท่านผุ้มีอุปการคุณแก่ตน เช่น พระมหากษัตริย์และครูบาอาจารย์ เป็นต้นไป จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    ข้า ฯ ขอนอบน้อมคุณแด่ท่านครู ผู้อารี
    กรุณาและปรานีอุตส่าห์สอนทุก ๆ วัน
    ยังไม่รู้ ก็ได้รู้ ส่วนของครูสอนทั้งนั้น
    เนื้อความทุกสิ่งสรรพ์ดีชั่วชี้ ให้ชัดเจน
    จิตมากด้วยเอ็นดูอยากให้รู้เหมือนแกล้งเกณฑ์
    รักไม่ลำเอียงเอนหวังให้แหลมฉลาดคม
    เดิมมืดไม่รู้แน่เหมือนเข้าถ้ำเที่ยวคลำงม
    สงสัยและเซอะซมกลับสว่างแลเห็นจริง
    คุณส่วนนี้ควรไหว้ ยกขึ้นไว้ ในที่ยิ่ง
    เพราะเราพึ่งท่านจริงจึงได้รู้ วิชาชาญ ฯ

    (บท ประพันธ์สรรเสริญคุณมารดาบิดา และ ครูบาอาจารย์ของ ท่านอาจารย์ จางวางอยู่ เหล่าวัตร วัดเทพศิรินทราวาส ลิขสิทธิ์เป็นของ ท่านเจ้าคุณพระโศภนศีลคุณ (หลวงปู่หลุย พาหิยาเถร) วัดเทพศิรินทราวาส)

    ต่อ ไปนี้ไม่ต้องประณมมือ ตั้งใจพิจารณาเรื่อง และร่างกายของตนว่า จะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ไม่แน่นอน เป็นทุกข์ลำบากเดือดร้อน เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน ฯ ครั้งพิจารณาแล้ว พึงแผ่กุศลทั้งปวงมีการกราบไหว้เป็นต้นนี้ อุทิศให้แก่ท่านผู้มีคุณมีมารดาบิดา เป็นต้น ตลอดจนชั้นสูงสุด คือพระมหากษัตริย์ ทั้งเทพยดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า จงเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรมีภัยเบียดเบียนกันและกัน รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ

    การ ไหว้ 5 ครั้งนี้ ถ้าวันไหนขาด ให้ไหว้ใช้ 5 ครั้งในวันรุ่งขึ้น ถ้านั่งกระโหย่งเท้าไม่ได้ ก็นั่งพับเพียบ ถ้าไม่ได้ ก็นอนไหว้ เมื่อยกมือไม่ขึ้น ก็ปากกับใจ ถ้าทำได้อย่างนี้เป็นเครื่องพยุงตนให้เป็นคนดี ไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดี ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถ้าผู้ใดประพฤติได้เสมอตลอดชีวิต ผู้นั้นจะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่ง ๆ ขึ้นเสมอทุกคืนทุกวัน คุ้มครองป้องกันภยันตรายปราศจากความเสียหายที่ไม่เหลือวิสัย และ ตั้งตัวได้ในทางคดีโลกและทางคดีธรรม เต็มภูมิเต็มขั้นของตน ๆ ทุกประการ จบเท่านี้ ฯ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญญาณวรเถระ )

    http://72.14.235.104/search?q=cache:...h&ct=clnk&cd=7

    [​IMG]

    สมเด็จพระพุทธโฆษจารย์ นามเดิม เจริญ สุขบท เกิดในรัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2415 ที่จังหวัดชลบุรี เป็นบุตรนาย ทองสุก และนางย่าง

    เมื่ออายุ 8 ปี ได้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณชลโธปมคุณมุณี (พุฒ ปุณณกเร) ปฐมวัยอาวาสวัดเขาบางทราย เมื่ออายุ 12 ปีได้บรรพชาที่วัดเขาบางทราย

    และเข้าศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดราชบพิธอุปสมบทเมื่อวันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2435 ที่วัดเขาบางทราย จังหวัดชลบุรี พ.ศ.2439 ได้ศึกษาพระวินัยปิฎกในสำนัก สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ที่วัดเทพศิรินทราวาส

    "ตาบุญ (พระยาธรรมปรีชา) ผู้เป็นอาจารย์สอนบาลีของ
    เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มอบช้างเผือกส่งเข้ามาให้ "

    สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยา วชิรญาณวโรรส ออกพระโอษฐ์รับสั่งเมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร) สอบไล่ภาษาบาลี ในมหามงกุฎราชวิทยาลัยได้ที่ 1ทุกชั้นเป็นลำดับมา

    พ.ศ.2441 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระราชาคณะที่พระอัมราภิลักขิต เป็นผู้อำนวยการศึกษามณฑลปราจีนบุรี ต่อมาได้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสได้เลื่อนสมณศักดิ์เรื่อยมา พ.ศ.2471 โปรดให้สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์

    พ.ศ.2476กรรมการเถรสมาคมมีมติให้ท่าน เป็นประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระสังฆราชเจ้าซึ่งสิ้นพระชนม์ ประมวลเกียรติคุณพิเศษสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร)เป็นพระเถระบริหารงานพระศาสนาถึง 5 แผ่นดิน คือแต่รัชกาลที่ 5-9 เป็นพระราชาคณะแต่อายุ 28 ปี เป็นสมเด็จพระราชาคณะแต่อายุ 57 ปี นับเป็นพระเถระที่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พรรษาน้อยกว่า พระเถระหลายรูปเป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส แต่อายุ 28 ปี ถึง 80 ปีรวม 53 ปี นับว่ายาวนานที่สุดไม่มีใครเทียบได้
    เมื่อสอบนักธรรม หรือบาลีจะสอบได้ที่ 1 ทุกชั้นทุกประโยคเป็นรูปเดียวในสังฆมณฑล ดำรงตำแหน่งแม่กองธรรมสนามหลวง แม่กองบาลีสนามหลวง องค์เดียวกัน

    ในวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2494เวลา 10.30 น. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเระ)มรณภาพด้วยโรคเนื้องอกที่ตับรวมอายุได้ 80 ปี พรรษาที่ 59

    ความคิดเห็นส่วนตัวผม
    ท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ท่านบอก กับผู้ที่ไปกราบท่านว่า ขอให้ทุกๆวันได้ไหว้ 5 ครั้ง จะได้เป็นศิริมงคลกับตนเอง จะเหมือนกับชื่อของท่าน (เจริญ) ครับ ท่านเจ้าคุณนรเอง ก็มีความเคารพในท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ)มาก โดยท่านเจ้าคุณนรเอง เวลาเดินผ่านกุฎิของท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ)ทุกครั้ง ท่านเจ้าคุณนร ก็จะก้มลงกราบที่กุฎิอยู่ทุกครั้งครับ
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ขอเพิ่มเติมเรื่องราว ไหว้ 5 ครั้ง
    http://www.saktalingchan.com/index.p...icle&Id=262016

    [​IMG]


    เจ้าพระคุณสมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถร​

    เจ้าพระคุณสมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถร
    วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร

    1. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้เป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวงนี้ เมื่อพระคุณท่านมีอายุเพียง 27 ปี มีพรรษา 7 ยั่งยืนตลอดมาเป็นเวลาช้านานถึง 53 ปีฯ

    2. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯได้รับพระราชทานสมณศักดิ์สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ นั้นมีอายุเพียง 56 ปี เท่านั้น ฯ

    3. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งธรรมเนียมการเทศนาธรรมในวันอาทิตย์ขึ้นเป็นแห่งแรก เริ่มเมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2471 ติดต่อกันมาถึงปัจจุบันนี้ นับเป็นเวลา 45 ปี ล่วงแล้ว ฯ

    4. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระองค์สมเด็จพระ สังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ แลบัญชาการคณะสงฆ์โดยตรงสืบต่อมาเป็นเวลา 5 ปี ( ตั้งแต่ พ.ศ. 2476 ถึง พ.ศ. 2481 ) ฯ

    5. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้ถวายพระธรรมเทศนามงคลวิเสสกถาติดต่อกันถึง 4 รัชกาล คือตั้งแต่รัชกาลที่ 6-7-8-9 เป็นเวลาถึง 25 ปี ฯ

    6. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ มีสัทธิวิหาริก-อันเตวาสิก มากที่สุดถึง 6,666 องค์ ฯ

    7. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นต้นกำเนิดตำราไหว้ 5 ครั้งให้ศิษยานุศิษย์ปฏิบัติตาม หากผู้ใดไหว้ครบ 1 ปี เป็นกำหนด ผู้นั้นจักได้รับรูปที่ระลึกจากองค์ท่านด้านหน้าเป็นรูปองค์ท่าน ด้านหลังเป็นรูปยันต์ภควัม จากกรึกนามองค์ท่านเป็นอักษรย่อ โดยลำดับแห่งราชทินนามนั้น ๆ กระทั่งครั้งสุดท้ายได้จารึก 3 อักษรว่า พ.ฆ.อ. ซึ่งย่อจากราชทินนามว่า พุทธโฆษาจารย์ สมเด็จพระราชาคณะ ฯ

    8. สัทธิวิหาริกของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่มีอายุยืนยาวที่สุด คือ ท่านเจ้าคุณพระโศภณศีลคุณ ( หลวงปู่หลุย พาหิยเถร ) ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกองค์ที่ 23 ปัจจุบันอายุ 92 ปี พรรษา 67 ( เกิด 9 สิงหาคม 2426 ) ยังเดินลงโบสถ์ลงสวดมนต์ทำวัตรได้เป็นประจำทุก ๆ วัน เป็นพระเถราจารย์องค์สำคัญ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือยิ่งของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ฯ

    9. สัทธิวิหาริกของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่ประพฤติปฏิบัติยอดเยี่ยม และเป็นพระเถระองค์สำคัญที่มีเกียรติคุณโด่งดังในปัจจุบัน คือ ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ฯ ธมมฺวิตกฺโก ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกองค์ที่ 1740 ฯ

    ไหว้ 5 ครั้ง ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดเทพศิรินทราวาส

    ในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ไม่ว่าเวลาใด ตามแต่เหมาะ ต้องไหว้ให้ได้ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย ในคราวเดียวกัน ถ้ามีดอกไม้ ธูปเทียน ก็บูชา ถ้าไม่มีก็มือ 10 นิ้วและปากกับใจ ควรไหว้จนตลอดชีวิต คือ

    ครั้งที่ 1 พึงนั่งกระโหย่งเท้าประนมมือว่า นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสฺมพุทฺธสฺส ฯ 3 หน แล้วว่าพระพุทธคุณ คือ อิติปิ โส ภควา อรหสมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสาน&deg; พุทฺโธ ภควาติ ฯ หยุดระลึกถึงพระปัญญาคุณทรงรู้ดีรู้ชอบสิ้นเชิง พระบริสุทธิคุณทรงละความเศร้าหมองได้หมด พระกรุณาคุณทรงสงสารผู้อื่นและสั่งสอนให้ปฏิบัติตาม ของพระพุทธเจ้า จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    ครั้งที่ 2 ว่าพระธรรมคุณ คือ สฺวากฺขาโต ภควตา ธฺมโม สนฺทิฏฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺ จตฺต เวทิตพฺโพ วิญฺญหีติ ฯ หยุดระลึกถึงคุณพระธรรมที่รักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    ครั้งที่ 3ว่าสังฆคุณ คือ สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสฺงโฆ ยทิทฺ จฺตตาริ ปุริสยุคานิ อฏฐ ปุริสปุคฺคลา เอส ภควโต สาวกสฺงโฆ อาหุเนยฺโย ปาหุเนฺยโย ทกฺขิเณยฺโย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรฺ ปุญฺญกฺเขตตฺ โลกสฺสาติ ฯ หยุดระลึกถึงคุณ คือ ความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบของพระอริยสงฆ์ จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    นั่งพับเพียบประนมมือ ตั้งใจถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ไม่ถือสิ่งอื่นยิ่งกว่าจนตลอดชีวิต ว่าสรณคมน์ คือ

    พุทฺธสรณคจฺฉามิ
    ธมฺมสรณคจฺฉามิ
    สงฺฆสรณคจฺฉามิ ฯ
    ทุติยมฺปิ พุทฺธสรณคจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ ธมฺมสรณคจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ สงฺฆสรณคจฺฉามิ ฯ
    ตติยมฺปิ พุทฺธสรณคจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ ธมฺมสรณคจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ สงฺฆสรณคจฺฉามิ ฯ

    ครั้งที่ 4 ระลึกถึงคุณมารดาบิดาของตน จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    ครั้งที่ 5 ระลึกถึงคุณของบรรดาท่านผู้มีอุปการคุณแก่ตน เช่น พระมหากษัตริย์ และครูบาอาจารย์เป็นต้นไป จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ


    ต่อนี้ไปไม่ต้องประนมมือ ตั้งใจพิจารณาเรื่องและร่างกายของตนว่า จะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น จะต้องพลัดพราก จากของรัก ของชอบใจทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอนิจจัง ไม่เที่ยงไม่แน่นอน เป็นทุกข์ลำบากเดือดร้อน เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน ฯ ครั้นพิจารณาแล้ว พึงแผ่กุศลทั้งปวงมีการกราบไหว้เป็นต้นนี้ อุทิศให้แก่ท่านผู้มีคุณ มีบิดามารดาเป็นต้น ตลอดจนชั้นสูงสุด คือ พระมหากษัตริย์ ทั้งเทพดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า จงเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรมีภัยเบียดเบียนกันและกัน รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ

    การ ไหว้ 5 ครั้งนี้ ถ้าวันไหนขาด ให้ไหว้ใช้หนี้ 5 ครั้งในวันรุ่งขึ้น ถ้านั่งกระโหย่งเท้าไม่ได้ ก็นั่งพับเพียบ ถ้าไม่ได้ ก็นอนไหว้ เมื่อยอมือไม่ขึ้นก็ปากกับใจ ถ้าทำได้อย่างนี้ เป็นเครื่องหยุดตนให้เป็นคนดีไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดีไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถ้าผู้ใดประพฤติได้เสมอจนตลอดชีวิต ผู้นั้นจะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่งๆ ขึ้นเสมอทุกคืนทุกวัน คุ้มครองป้องกันภยันตรายปราศจากความเสียหายที่ไม่เหลือวิสัย และตั้งตัวได้ในทางคดีโลกและทางคดีธรรม เต็มภูมิเต็มชั้นของตน ฯ ทุกประการ จบเท่านี้ ฯ
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ปัจฉิมโอวาท
    ของ
    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรมหาเถระ
    วัดเทพศิรินทราวาส

    ไม่ตายควาวนี้ ก็ตายคราวหน้า อย่างเศร้าโศก เสียทีที่ศึกษาปฏิบัติมา ร้องให้เศร้าโศก ก็ร้องไห้เสร้าโศกสังขารที่
    เกิดแก่เจ็บตายนั้นเอง ที่ไม่ร้องไห้เศร้าโศกนั้นมิใช่จะเป็นคนใจไม้ใส้ระกำอะไร

    ธรรมของพระก็คือ
    สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
    สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา
    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา
    ย่นลงก็ สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา แล้วปรินิพพาน
    ไม่ต้องเกิดมาแก่ มาเจ็บ มาตายอีก

    (มีบัญชาให้บันทึกไว้เมื่อเช้าวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๙๔)
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    http:.179//palungjit.org/showthrea...22445&page=762

    [​IMG]

    [​IMG]

    "บุญเราไม่เคยสร้าง...ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า"..!

    "ลูกเอ๋ย ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด
    เจ้าจะต้องมีทุนของตัวเองคือบารมีของตนลงทุนไปก่อน
    เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอจึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่ว ย
    มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สิน ในบุญบารมี
    ที่เที่ยวไปขอยืมมาจนพ้นตัว... เมื่อทำบุญทำกุศลได้
    บารมี ก็ต้องเอาไปผ่อนใช้หนี้เขาจนหมด ไม่มีอะไรเหลือติดตัว..
    แล้วเจ้าจะมีอะไรไว้ในภพหน้า หมั่นสร้างบารมีไว้..แล้วฟ้าดินจะช่วยเอง"...!

    "จงจำไว้นะ...เมื่อยังไม่ถึงเวลาเทพเจ้าองค์ใดจะคิดช่วยเจ้าไม่ได้....
    ครั้นถึงเวลา...ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่..
    จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดินเมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้เลยจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้า..."

    นี่ คือคำเทศนา ของเจ้าประคุณสมเด็จพุฒาจารย์ (โต) พรมรังษี ที่ได้โปรดชี้ธรรมไว้ในนิมิตหลังจากที่ท่านล่วงลับไป แล้วเมื่อ 100 กว่าปี อันเป็นปฐมเหตุที่ต้องสร้างความดีอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    สุดยอด! สาวจีนกตัญญูเฝ้าดูแลแม่ป่วยอัมพาตกว่า 12 ปี


    [​IMG]


    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก bethune.net.cn

    "คน จะงามงามที่ใจใช่ใบหน้า" คำกล่าวคงไม่ผิดนัก หากวันนี้กระปุกดอทคอม จะพาคุณผู้อ่านไปรู้จักเด็กสาวชาวจีนคนหนึ่ง ที่มีจิตใจกตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณ จนได้รับการยกย่องจากชาวอินเทอร์เน็ตอยู่ ณ ขณะนี้

    และนี่ก็คือเรื่องราวของ "เมิ่งเพ่ยเจี๋ย" เด็กสาวชาวจีนวัย 20 ปี ที่กำลังถูกกล่าวขานในโลกไซเบอร์ หลังจากเพื่อน ๆ ร่วมชั้นเรียนในวิทยาลัยหลินเฝิน มณฑลซานซี ยกย่องให้เธอเป็น "เด็กสาวที่สวยที่สุดในหลินเฝิน" ซึ่งฉายานี้ไม่ใช่ได้มาเพราะความที่เธอเป็นเด็กสาวที่มีหน้าตาสะสวย น่ารักเพียงเท่านั้น หากแต่จิตใจของเธอยังงดงามดุจนางฟ้า

    นั่นก็เพราะตั้งแต่วัยเด็ก "เมิ่งเพ่ย เจี๋ย" ต้องทำหน้าที่ดูแล "หลิวฟางอิง" แม่บุญธรรมที่ป่วยเป็นอัมพาตมาเพียงลำพังตั้งแต่เธออายุได้เพียง 8 ขวบ จนถึงวันนี้ เวลาล่วงเลยผ่านมาถึง 12 ปี เธอก็ยังทำหน้าที่ของลูกได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แม้ว่า "หลิวฟางอิง" จะเป็นเพียงแม่บุญธรรมเท่านั้น แต่ในความคิดของ "เมิ่งเพ่ยเจี๋ย" แล้ว "หลิวฟางอิง" เปรียบเสมือนแม่แท้ ๆ ที่คอยเลี้ยงดูเธอมาตั้งแต่เธออายุได้เพียง 5 ขวบ หลังจากพ่อของเธอประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิต ทำให้แม่แท้ ๆ ต้องส่งเธอให้มาอยู่กับครอบครัวของ "หลิวฟางอิง" ก่อนที่แม่จะเสียชีวิตตามพ่อไป


    [​IMG]



    [​IMG]


    แต่ทว่า หลังจาก "เมิ่งเพ่ยเจี๋ย" เข้ามาอยู่ในความดูแลของแม่บุญธรรมได้เพียงสามปี แม่บุญธรรมก็ป่วยหนักจนเดินไม่ได้ ทำให้พ่อบุญธรรมตัดสินใจทิ้งครอบครัวไป ตั้งแต่นั้นมา "เมิ่งเพ่ยเจี๋ย" ต้องอยู่กับแม่บุญธรรมที่ป่วยหนักเพียง 2 คน และเธอต้องลงมือทำเองทุกอย่าง

    โดยกิจวัตรทุก ๆ วันตลอด 12 ปีของ "เมิ่งเพ่ยเจี๋ย" เธอจะตื่นนอนตั้งแต่ 6 โมงเช้า ลุกขึ้นมาเปลี่ยนผ้าอ้อมให้แม่บุญธรรม ป้อนอาหารเช้าให้แม่ เสร็จแล้วจึงได้เดินทางไปโรงเรียน จากนั้นพอช่วงพักกลางวัน "เมิ่งเพ่ยเจี๋ย" จะไม่ได้อยู่เล่นสนุกกับเพื่อน ๆ แต่เธอจะรีบวิ่งกลับมาที่บ้านเพื่อหุงหาอาหารเที่ยงให้แม่ รวมทั้งช่วยอาบน้ำให้แม่ เปลี่ยนผ้าปูที่นอน และซักผ้า เมื่อเสร็จงานแล้วเธอจะรีบกลับไปเรียนหนังสือต่อในช่วงบ่าย

    จน กระทั่งโรงเรียนเลิก "เมิ่งเพ่ยเจี๋ย" ก็จะกลับมาทำอาหารเย็นและทำงานบ้านทุก ๆ อย่าง กว่างานบ้านจะเสร็จก็ราว ๆ 3 ทุ่ม หลังจากนั้นเด็กสาวถึงจะได้มีเวลานั่งทำการบ้านของตัวเอง และแม้ว่างานจะรัดตัว แต่ทุก ๆ วันเด็กสาวก็จะหาเวลาช่วยแม่ทำกายภาพบำบัด โดยการซิทอัพ 240 ครั้ง ยืดขา 200 ครั้ง และนวดขาให้อีก 15 นาที ซึ่งเด็กสาวทำเช่นนี้มาตลอดสิบกว่าปีอย่างไม่เคยขาดตกบกพร่อง


    [​IMG]



    [​IMG]


    กระทั่งในปี 2009 "เมิ่งเพ่ยเจี๋ย" สามารถสอบเข้าวิทยาลัยหลินเฝินได้สำเร็จ แต่ทว่าวิทยาลัยอยู่ห่างจากบ้านของเธอเป็นร้อยกิโลเมตร ทำให้เธอมิอาจตัดใจทิ้งแม่บุญธรรมให้อยู่บ้านเพียงลำพังได้ เด็กสาวจึงตัดสินใจพาแม่ไปเช่าหอพักอยู่ใกล้ ๆ วิทยาลัย เพื่อที่จะได้กลับมาปรนนิบัติดูแลแม่บุญธรรมอย่างใกล้ชิด


    และหลังจากเพื่อนร่วมชั้นได้ทราบเรื่องราวของ "เมิ่งเพ่ยเจี๋ย" แล้ว ก็รู้สึกสงสารในชะตาชีวิต และเกิดความประทับใจในจิตใจที่เต็มไปด้วยกตัญญูของเธอ จึงได้นำเรื่องราวของ "เมิ่งเพ่ยเจี๋ย" ไปโพสต์ลงในอินเทอร์เน็ต จนชาวเน็ตที่ได้รับรู้ต่างยกย่องและส่งให้กำลังใจเด็กสาวเป็นจำนวนมาก พร้อมกับยกให้เธอเป็น "เด็กสาวที่สวยที่สุดในหลินเฝิน" ขณะที่สำนักข่าวหลายแห่งต่างนำเรื่องราวของ "เมิ่งเพ่ยเจี๋ย" ไปลงข่าวเพื่อชื่นชมในความกตัญญูของเธอด้วย

    โดยสาว "เมิ่งเพ่ยเจี๋ย" บอกว่า สิ่ง ที่เธอทำนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย เพราะเธอทำในสิ่งที่ลูกสาวทุกคนควรทำต่อพ่อแม่ ส่วน "หลิวฟางอิง" แม่บุญธรรมของเธอ ก็พูดถึงลูกสาวคนนี้ว่า หลังจากเธอป่วยจนเดินไม่ได้ เธอก็รู้สึกโกรธ และหงุดหงิดบ่อยมาก แต่ลูกสาวคนนี้ไม่เคยโมโห หรือตอบโต้เธอเลย แต่กลับยิ้ม และดูแลเธออย่างดี พร้อม ๆ กับให้กำลังใจให้ต่อสู้ไปด้วยกัน

    "ฉันเลี้ยงดูเธอมาเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้น แต่เธอกลับต้องมาดูแลฉันตลอดทั้งชีวิตที่เหลืออยู่ของฉัน" หลิวฟางอิงพูดถึงลูกสาวด้วยน้ำตานองหน้า

    และ นี่ก็คืออีกหนึ่งเรื่องราวที่สะท้อนให้เห็นว่า "ความกตัญญู" ส่งผลให้บุคคลนั้นเกิดความเจริญรุ่งเรือง และได้รับสิ่งดี ๆ กลับคืนมาในชีวิต











    -http://hilight.kapook.com/view/61768-



     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    กสิกรฯคาดหุ้นไทยสัปดาห์หน้าผันผวน แต่มีโอกาสฟื้นตัว จับตาศก.สหรัฐ-ยูโรโซน


    ศูนย์วิจัยกสิกรไทยรายงานว่า ดัชนีตลาดหุ้นไทย( SET)ร่วงลง จากแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติ หลัง S&P ปรับลดอันดับเครดิตของสหรัฐฯ โดยดัชนีปิดที่ระดับ 1,062.07 จุด ลดลง 2.86% จากสัปดาห์ก่อน ด้านมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 2.20% จากสัปดาห์ก่อน มาอยู่ที่ 42,569.70 ล้านบาท โดยนักลงทุนรายย่อย และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ ส่วนตลาดหลักทรัพย์ MAI ปิดที่ 304.41 จุด ลดลง 1.66% จากสัปดาห์ก่อน

    ดัชนีหุ้นไทยดิ่งลงต้นสัปดาห์ ตามตลาดต่างประเทศ หลัง S&P ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือระยะยาวของสหรัฐฯ โดยนักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นไทยต่อเนื่อง ก่อนที่ดัชนีจะฟื้นตัวขึ้นช่วงท้ายสัปดาห์ จากแรงซื้อหุ้นกลับของนักลงทุน หลังเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีก 2 ปี

    สำหรับแนวโน้มสัปดาห์ระหว่างวันที่ 15-19 ส.ค. 2554 บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด และบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด มองว่า ดัชนีมีโอกาสแกว่งผันผวน และอาจฟื้นตัวขึ้น โดยคงจะต้องจับตาสถานการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ และยูโรโซน โดยเฉพาะภาคธนาคารในฝรั่งเศสอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ปัจจัยที่ต้องติดตาม ได้แก่ การรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ทั้งเครื่องชี้ภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการผลิต รวมถึงการรายงานตัวเลขการค้าระหว่างประเทศโดยกระทรวงพาณิชย์ไทย ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย จำกัด คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,055 และ 1,035 ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,072 และ 1,094 จุด ตามลำดับ


    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1313292615&grpid=&catid=05&subcatid=0501-

    .













    .
     
  14. Pinkcivil

    Pinkcivil เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    425
    ค่าพลัง:
    +1,644
    s6s6 ดีมากครับ ดูดีมากจริงๆ เดี่ยวนี้น่ากลัวขึ้นเรื่อยๆเรยนะครั(tm-love)
    ส่วนแรงไม่แรงดูม่ายเปนอ่ะครับ:'(
     
  15. ake7440

    ake7440 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    1,528
    ค่าพลัง:
    +405
    อ่า...แรงมากครับ ให้เกรด AAA เลยครับ :boo:

    แต่ผมชอบขาวๆ มากกว่านะครับ :cool:
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  17. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    อนุโมทนาบุญ ทุกประการ ครับ
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ข่าวต่างประเทศ สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ) -- จันทร์ที่ 15 สิงหาคม 2554 06:00:00 น.

    ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดพุ่งขึ้นสองวันติดต่อกันเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 ส.ค.) หลังจากกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบสี่เดือน ซึ่งช่วยให้นักลงทุนบรรเทาความวิตกเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ


    ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 125.71 จุด หรือ 1.13% ปิดที่ 11,269.02 จุด ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 6.17 จุด หรือ 0.53% ปิดที่ 1,178.81 จุด และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 15.30 จุด หรือ 0.61% ปิดที่ 2,507.98 จุด

    -- สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดอ่อนตัวลงอีกเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 ส.ค.) หลังจากที่สหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกที่ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งช่วยฟื้นความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ ส่งผลให้ความต้องการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงเช่น หุ้น เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันก็ลดความต้องการลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัยอย่าง ทองคำ
    สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค.ลดลง 8.9 ดอลลาร์ หรือ 0.5% ปิดที่ 1,742.6 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยเป็นการปรับตัวลดลงเป็นวันที่สองติดต่อกันหลังจากพุ่งทำนิวไฮไปเมื่อวันพุธ

    -- สัญญาน้ำมันดิบตลาดนิวยอร์กปิดขยับลงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 ส.ค.) หลังจากที่เคลื่อนไหวผันผวนอันเนื่องมาจากการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่มีทั้งบวกและลบ โดยยอดค้าปลีกสหรัฐที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบสี่เดือนถือเป็นสัญญาณบวกว่าเศรษฐกิจกำลังปรับตัวดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกันความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดในรอบหลายสิบปีก็ยังคงทำให้แนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งเป็นประเทศที่ใช้น้ำมันรายใหญ่สุดของโลกนั้น ยังคงมืดมน
    สัญญาน้ำมันดิบ NYMEX (New York Mercantile Exchange) ส่งมอบเดือนก.ย. ปรับตัวลง 34 เซนต์ หรือ 0.04% ปิดที่ 85.38 ดอลลาร์/บาร์เรล สำหรับตลอดสัปดาห์ ราคาน้ำมันดิบปิดลดลง 1.50 ดอลลาร์ หรือ 1.73%

    -- เงินฟรังค์สวิสยังคงร่วงลงต่อเนื่องเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ในการซื้อขายที่ตลาดปริวรรตเงินตรานิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 ส.ค.) จากกระแสคาดการณ์ถึงความเป็นไปได้ที่ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์จะดำเนินมาตรการเพิ่มเติมเพื่อสกัดการแข็งค่าของเงินฟรังค์ ขณะที่เงินดอลลาร์สหรัฐและยูโรเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ท่ามกลางสถานการณ์ความไม่แน่นอนและข้อมูลเศรษฐกิจที่ผันผวน
    ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐพุ่งขึ้น 1.93% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 0.7771 ฟรังค์ จากระดับของวันพฤหัสบดีที่ 0.7624 ฟรังค์ และแข็งค่าขึ้น 0.51% เมื่อเทียบกับดอลลาร์แคนาดาที่ระดับ 0.9895 จากระดับ 0.9845 แต่ขยับลง 0.04% เมื่อเทียบกับเงินเยนที่ระดับ 76.800 เยน จากระดับ 76.830 เยน
    ค่าเงินยูโรปรับตัวขึ้น 0.06% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.4249 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.4241 ดอลลาร์สหรัฐ และพุ่งขึ้น 2.02% เมื่อเทียบกับฟรังค์สวิสที่ระดับ 1.1079 จากระดับ 1.0860 ฟรังค์
    ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้น 0.18% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.6271 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.6242 ดอลลาร์สหรัฐ
    ค่าเงินดอลลาร์ออสเตรเลียขยับขึ้น 0.04% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 1.0352 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 1.0348 ดอลลาร์สหรัฐ และค่าเงินดอลลาร์นิวซีแลนด์แข็งค่าขึ้น 0.14% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐที่ระดับ 0.8318 ดอลลาร์สหรัฐ จากระดับ 0.8306 ดอลลาร์สหรัฐ

    -- ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดพุ่งขึ้นอย่างแข็งแกร่งเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (12 ส.ค.) หลังจากที่สหรัฐเปิดเผยยอดค้าปลีกที่ช่วยคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และจากข่าวที่ว่าสี่ประเทศในยุโรปได้สั่งห้ามการทำชอร์ตเซลหุ้นธนาคารและสถาบันการเงิน ภายหลังภาคธนาคารของยุโรปเผชิญความผันผวนอย่างหนักตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมา
    ดัชนี FTSE 100 ทะยานขึ้น 157.20 จุด หรือ 3.04% ปิดที่ 5,320.03 จุด
    <SCRIPT type=text/javascript><!--$('pre.xff').click( function() { $(this).toggleClass('expanded');});--></SCRIPT>--อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช

    -http://www.ryt9.com/s/iq03/1212985-

    .
     
  19. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    “น้ำพริก” ฝ่าวิกฤติ! ภูมิปัญญาทางเลือกยุคของแพง

    วันจันทร์ ที่ 15 สิงหาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    เนื้อหมูและราคาสินค้าบริโภคที่พุ่งสูงบ่งบอกถึงวัฒนธรรมการบริโภคของคนไทยอย่างชัดเจน แต่ในวิกฤติย่อมมีโอกาส เพราะเมื่อหันไปสำรวจตลาดพบว่าร้านขายน้ำพริกสดมีเพิ่มมากขึ้นในกรุงเทพฯ แม้ว่าราคาข้าวของจะพุ่งสูงแค่ไหน แต่ราคาน้ำพริกยังไม่ขยับตัวสูงขึ้นมากนัก ซึ่งในวิกฤติข้าวยากหมากแพง “น้ำพริก” ถือเป็นภูมิปัญญาตกทอดให้ลูกหลานได้รู้ซึ้งถึงคุณค่า และคุณประโยชน์ได้เป็นอย่างดี

    ผศ.พงษ์ศักดิ์ ทรงพระนาม อาจารย์ประจำคณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ ม.เทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี กล่าวว่า สำหรับในกรุงเทพฯ การเพิ่มขึ้นของร้านน้ำพริกสดมีมากอย่างเห็นได้ชัด เป็นผลมาจากการที่คนต่างจังหวัดส่วนใหญ่เข้ามาทำงานมากขึ้น แต่ในทางกลับกันต่างจังหวัดหลายคนกลับบริโภคเนื้อสัตว์เพิ่มขึ้นกว่าการทานน้ำพริกเหมือนแต่ก่อน ซึ่งในภาวะวิกฤติที่ข้าวของแพง น้ำพริกเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่บรรพบุรุษได้สร้างมาให้คนรุ่นหลังได้นำไปใช้ได้อย่างดี อดีตน้ำพริกถือเป็นอาหารยามยาก หมายความถึง เป็นอาหารที่สามารถเก็บไว้ได้นานหรือพกไปขณะเดินทางไกลได้อย่างสะดวกนั่น

    น้ำพริกสูตรแรก คือ พริกกะเกลือ โดยนำพริกป่นและเกลือผสมกันคลุกด้วยมะพร้าวขูดคั่ว สามารถพกไปกินได้ระหว่างเดินทางไกล เครื่องเคียงต่างๆ สามารถเด็ดผักได้ตามทางหรือหาปลาตามคลองหนองบึง และด้วยความที่หลายคนหันมารักษาสุขภาพมากขึ้นจึงทำให้น้ำพริกได้รับความนิยม โดยผู้บริโภคเริ่มนิยมร้านน้ำพริกที่ทำสดมากกว่าน้ำพริกที่บรรจุอยู่ในกระปุกหรือกล่อง

    น้ำพริกสดที่ขายตามท้องตลาดขายอยู่ที่ราคา 20 – 30 บาทต่อถุง ถ้ามอง 5 ปีย้อนหลังคนขายยังคงราคาเดิมไว้แม้สินค้าอื่นๆ จะราคาสูงขึ้น ด้วยความที่น้ำพริกใช้เนื้อสัตว์น้อยจึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก แต่ถ้ามองในราคาต้นทุนแล้วน้ำพริกหนึ่งครกจะตกอยู่ที่ราคา 5 – 7 บาท โดยราคาเครื่องเคียงเช่นผักหรือปลาทูและปลาย่างอาจผันผวนตามราคาตลาดในแต่ละช่วงบ้าง

    สำหรับการทำน้ำพริกที่ผสมเนื้อสัตว์ในภาวะวิกฤติราคาแพงสามารถนำวัตถุดิบอื่นมาผสมแทนได้เช่น ถั่วประเภทต่างๆ ฟักทอง มัน ใบชะคราม เห็ด ข้าวกล้อง ข้าวสังข์หยด และโปรตีนเกษตร คุณค่าอาจแทนเนื้อหมูไม่ได้ แต่ในการกินผสมกับน้ำพริกให้ความรู้สึกไม่ต่างกันขึ้นอยู่กับวิธีทำ

    อย่างน้ำพริกอ่องที่ต้องใช้เนื้อหมูมาก สามารถนำโปรตีนเกษตรมาทำแทนเนื้อหมูได้ โดยต้องหั่นโปรตีนเกษตรให้เป็นชิ้นเล็กเหมือนลูกเต๋าแล้วแช่น้ำไว้ 20 นาที ซึ่งพอนำขึ้นจากน้ำโปรตีนเกษตรจะหนืดๆ เหมือนเนื้อหมูและนำไปทำเป็นน้ำพริกอ่องได้ตามปกติ เช่นเดียวกับเต้าหู้แผ่นถ้าจะเอามาทำต้องหั่นเป็นชั้นเล็กๆ นำไปทอดแล้วนำมาปรุงเป็นน้ำพริกอ่อง

    ขณะเดียวกันเครื่องเคียงอย่างผักต่างๆ ไม่ควรบริโภคผักที่เป็นพืชเศรษฐกิจ แต่ควรเน้นบริโภคผักริมรั้วและผักที่ออกตามฤดูกาล ซึ่งการปลูกผักริมรั้วคนที่มีเนื้อที่น้อยสามารถปลูกได้อย่างคนที่มีห้องพักอยู่ในคอนโดสามารถปลูกในกระถางริมระเบียงได้อย่าง ดอกโสน ดอกแค ดอกขจร ต้นกระถิน โดยการปลูกต้องหมั่นเด็ดยอดเพื่อให้แตกยอดใหม่และลำต้นไม่สูงมาก ส่วนผักบุ้งสามารถปลูกในอ่างน้ำเล็กๆ ได้ถ้ามีพื้นที่เพียงพอ

    “การเลือกซื้ออาหารที่ออกตามฤดูกาลสำคัญอย่างมาก อย่างหน้าฝนช่วงนี้มะขามอ่อนออกมากเราก็สามารถนำมะขามเหล่านั้นมาทำน้ำพริกมะขาม ถ้าทานไม่หมดสามารถนำน้ำพริกมาทอดและเก็บไว้กินวันหลังได้ หลายคนยังมองว่าน้ำพริกบางอย่างมีกลิ่นแรงเช่น น้ำพริกกะปิ ความจริงแล้วคนโบราณมีวิธีการทำให้กะปิไม่เหม็นโดยต้องนำกะปิไปย่างให้สุกก่อนทุกครั้ง ยิ่งคนสมัยใหม่ที่อยู่ในคอนโดยิ่งง่ายแค่เอากะปิเข้าไมโครเวฟให้เนื้อกะปิไม่แฉะ ขณะเดียวกันความร้อนจากการปิ้งจะทำให้แคลเซียมในเนื้อกะปิทำงานได้ดีขึ้น”

    หากมองถึงนัยยะของน้ำพริกที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละภาคจะเห็นคุณค่าต่างๆ ที่ซ่อนอยู่อย่าง ในภาคกลาง เด่นในเรื่อง น้ำพริกกะปิ น้ำพริกลงเรือ น้ำพริกหลน เครื่องเคียงจะเป็นปลาทู ปลาช่อนย่าง ปลาดุกฟู ปลาสลิดทอด ด้วยความที่ไม่ไกลจากทะเลมากนักโดยรสชาติจะเน้น 3 รส ส่วนผักต้มต่างๆ จะราดด้วยหัวกะทิเพื่อเพิ่มความมันซึ่งตามหลักโภชนาการจะทำให้วิตามินเอในผักทำงานได้ดียิ่งขึ้นเมื่อทาน
    ภาคเหนือ มีน้ำพริกอ่อง น้ำพริกหนุ่ม กินคู่กับหมูปิ้งและแคบหมู ด้วยความที่เป็นเมืองหนาวน้ำพริกจึงเน้นให้มีไขมันซึ่งจะทำให้ร่างกายอุ่นขึ้น ส่วนภาคอีสาน มีคลองมากจึงจับปลามาทำน้ำพริกปลาร้า และน้ำพริกกุ้งจ่อม รสชาติเน้นเค็มเพราะทำให้เหงื่อออกง่ายในเขตเมืองร้อน ภาคใต้ ติดทะเลจึงมี น้ำพริกกุ้งเสียบ ไตปลา คู่ผักสดเน้นรสเค็มเผ็ดให้เหงื่ออกเพื่อดับความร้อน

    หลายคนมองว่าการทานน้ำพริกแล้วทำให้ท้องเสีย จริงแล้วความสะอาดเป็นสิ่งสำคัญอย่างมากในการทำน้ำพริกตั้งแต่การล้างพริกถึงการตำน้ำพริก ซึ่งการจะให้คนที่ไม่เคยกินน้ำพริกหันมาทานในระยะแรกควรลดความเผ็ดลงในระดับที่ทานได้ ส่วนเครื่องเคียงไม่ควรให้ทานผักที่ขมๆ ควรให้ทานกับแตงกวาหรือผักบุ้งก่อน พอทานได้แล้วค่อยให้ลองผักที่มีรสขม

    น้ำพริก ถือเป็นอีกเมนูที่ควรแก่การอนุรักษ์ไว้เพราะตอนนี้น้ำพริกหลายอย่างเริ่มหายากเต็มที เนื่องจากวัตถุดิบที่นำมาทำไม่มีขายในท้องตลาดเพราะไม่มีคนกิน การอนุรักษ์น้ำพริกต้องเริ่มจากครอบครัวตั้งแต่พ่อแม่กินเป็นตัวอย่างและถ่ายทอดสู่ลูก และพอลูกโตขึ้นจะถ่ายทอดเป็นช่วงๆ เมื่อครอบครัวทำแบบนี้น้ำพริกต่างๆ จะไม่สูญหายแถมยังช่วยให้ประหยัดเงินแม้ข้าวของจะแพงได้อีกด้วย

    ถึงยุคสมัยจะเปลี่ยนผ่านไปเช่นไร สิ่งที่บรรพบุรุษได้คิดขึ้นและสั่งสมด้วยประสบการณ์ย่อมเป็นอีกสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม เช่นเดียวกับน้ำพริกถือเป็นอาหารที่อยู่ท้องและทานได้ไม่ว่าประเทศไทยจะต้องผจญกับวิกฤติข้าวยากหมากแพงมากี่ยุคกี่สมัยก็ตาม

    ..............................

    วิธีเลือกซื้อน้ำพริก


    1. ดูที่ความสดภายนอกสีจะต้องไม่คล้ำจนเกินไป หรือถ้ามีมะเขือพวงหรือพริกเป็นส่วนประกอบต้องไม่มีสีคล้ำเข้ม ถ้ามีสีคล้ำแสดงว่าน้ำพริกได้ตำมานานแล้ว

    2. ดมกลิ่นว่าเหม็นหืนหรือไม่ ถ้ามีกลิ่นแสดงว่าทำไว้นานแล้ว โดยเฉพาะน้ำพริกแห้งที่บรรจุกล่องพิจารณาเป็นพิเศษ





    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     
  20. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    6 ข้อเสียของการกินหนัก

    วันจันทร์ ที่ 15 สิงหาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    'มุมสุขภาพ' ต้นสัปดาห์หลังผ่านวันหยุดแสนสุขไปถึง 3 วัน โดยช่วงวันแม่ที่เพิ่งผ่านไป ลูกๆ บางบ้านคงได้พาคุณแม่และครอบครัวไปกินข้าวกันพร้อมหน้าเนื่องในโอกาสพิเศษที่ว่านั้น ทว่าบ้านไหนกินสไตล์พออิ่มคงไม่น่าห่วง แต่บ้านไหนที่กินอิ่มล้น อิ่มไม่อั้น อย่างบุฟเฟ่ต์นี่สิ อยากให้ตั้งใจอ่านข้อเสียทั้ง 6 เกี่ยวกับการกินจุ จากคุณหมอกฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ

    @@@

    การกินมากไปก็ทำให้เป็นทุกขลาภแห่งลำไส้ ซึ่งอาการจัดหนักจากการกินมากเกินไปในแต่ละมื้อโดยเฉพาะบุฟเฟ่ต์และท่านที่ชอบกินจนอิ่มมาถึงคอหอยก่อให้เกิดลาภลอยได้โรคดังต่อไปนี้ครับ

    เริ่มตั้งแต่ 'หิวไว' คนกินหนักจะหิวไวในมื้อต่อไปครับ เพราะกระเพาะลำไส้ต้องทำงานหนักในการย่อยมื้อใหญ่ และน้ำตาลในเลือดก็จะลดไวทำให้เกิดอาการน้ำตาลต่ำหิวไวง่ายขึ้น

    กินมากๆ ยังทำ 'ไส้พัง' เครื่องในก็เหมือนเครื่องรถที่ไม่ได้งดเว้นงานบ้างก็จะเสื่อมเร็ว อาหารที่เข้าไปมากทำให้ลำไส้เกิดปัญหา “รั่ว” ได้ และจากการบีบตัวไม่ได้พักก็ทำให้ “กรดไหลย้อน” มาถามหาได้เหมือนกัน

    อาหารล้นท้องพลอยจะเจอ 'ตาตั้ง' ถ้าไม่ระวังกินจนอิ่มจัดจะทำให้เกิดอาการ “ตื่นตา” นอนไม่หลับเพราะลำไส้ไม่ได้พักและเกิดการแน่นอึดอัดท้องจากแก็สในอาหารที่หมักกันจนพุงหลามได้เหมือนถังเบียร์

    กินจุคงเลี่ยง 'นั่งอ้วน' ได้ยาก ซึ่งตรงมาและตรงไปในบริบทของผู้รักบริโภค ยิ่งกินมื้อหนักอย่างบุฟเฟ่ต์มากเท่าไรก็ยิ่งได้แคลอรีส่วนเกินที่ลดยากขึ้นเท่านั้น เพราะการกินหนักเป็นบางมื้อทำให้ร่างกายเครียดและตับพังมีการหลั่งฮอร์โมนมารออกมาเพื่อเก็บไขมันไว้ให้มากขึ้นเพิ่มพูนน้ำหนักอย่างรวดเร็ว

    ทั้งยัง 'ชวนหงุดหงิด' ชีวิตแห่งการกินจะไม่มีวันสงบสุขด้วยอารมณ์ที่ทุกข์ขึ้นลงจากลิ้นที่ยึดรสเป็นสรณะ จะว่าคนอ้วนอารมณ์ดีนั้นก็ถูก แต่คนกินเก่งนั้นยากที่จะหาพื้นอารมณ์ที่แน่นมั่นคงได้เพราะเคมีในกายต้องมีการเปลี่ยนแปลงทุกครั้งที่อาหารเข้าปากและหนึ่งในเคมีที่ว่าคือ “เคมีแห่งอารมณ์” ครับ

    และสุดท้าย 'คิดไม่ออก' คนกินอิ่มจัดไปทำให้ “หัวไม่แล่น” ครับ หนึ่งคือจากเลือดพากันไปเลี้ยงไส้เสียมากกับสองคือจาก “โกร๊ทฮอร์โมน” ไม่หลั่ง ทำให้ไม่มีพลังทั้งแรงกายและแรงใจที่ใช้คิด ถ้าอยากมีสมองที่แจ่มใสขึ้นขอให้กินแบบ “หิวนิดๆ” ครับเป็นการสงวนความคิดไว้ไม่ให้จมไปกับมื้อหนักหมด

    การกินเยอะสิ่งแล้วยังฟีเจอริ่งด้วยของหวานอีกก็ถือเป็นอนันตริยกรรมแห่งการบริโภคเหมือนกัน อย่าสำคัญตัวผิดว่าเป็นชูชกอยู่เพื่อกินหรือถือคติว่าท้องแตกดีกว่าของเหลือเพราะเมื่อถึงเวลาป่วยแล้วจะต้านไม่อยู่โรคจู่โจมแบบไม่ติดเบรค เพราะเครื่องยนต์กายเราไม่ได้ทำไว้ให้ “กินจนล้น” หากแต่สร้างไว้อย่างพอดีสำหรับให้กินอิ่มพอดีจนถึงว่า “หิวนิดๆ” ก็ยังอยู่ได้ด้วยมีระบบทดพลังงานไว้ให้ใช้ยามจำเป็น เห็นได้จากยามอดที่จะเกิดอาการง่วงซึมเพื่อจะได้ลดการใช้แรงลง แต่ในทางตรงข้ามยามอิ่มล้นเปี่ยมสุขร่างกายก็จะเกิดการง่วงเหมือนกันแต่เป็นการง่วงแบบกะปลกกะเปลี้ยที่เกิดจากอวัยวะภายในทำงานอย่างหนัก แล้วก็มัก “ได้เรื่อง” ตามมา






    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     

แชร์หน้านี้

Loading...