พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    อ่าความลับครับ หุ หุ
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    คาดบาทสัปดาห์หน้าแกว่งกรอบ29.80-30.20


    ศูนย์วิจัยกสิกรฯคาดเงินบาทสัปดาห์หน้าแกว่งในกรอบ 29.80 -30.20บาท/ดอลล์ จับตา ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ
    ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดแนวโน้มสัปดาห์ถัดไป (15-19 ส.ค. 54) เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบ 29.80-30.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยคงต้องจับตาข้อมูลการค้าระหว่างประเทศเดือนก.ค.ของไทย ตลอดจนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีตลาดที่อยู่อาศัย (NAHB) ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์ก ผลสำรวจแนวโน้มธุรกิจของเฟดสาขาฟิลาเดลเฟียเดือนส.ค. ยอดขายบ้านมือสอง ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจ ดัชนีราคาผู้บริโภค ดัชนีราคาผู้ผลิต ผลผลิตในภาคอุตสาหกรรม ข้อมูลการเริ่มสร้างบ้านและการอนุญาตก่อสร้างเดือนก.ค. ข้อมูลเงินทุนไหลเข้าสุทธิสู่ตลาดการเงินสหรัฐฯ เดือนมิ.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
    เมื่อในวานนี้ (11 ส.ค.) เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับ 29.89 จากระดับ 29.84 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในวันศุกร์ก่อนหน้า (5 ส.ค. )

    -http://www.posttoday.com/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88-%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99/104782/%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%97%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%9B%E0%B8%94%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B9%8C%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%9A29-80-30-20-


    ---------------------------------------

    ตลาดหุ้นสหรัฐฯปิดบวกแรง


    ตลาดหุ้นสหรัฐปิดบวกแรง หลังดิ่งลงอย่างหนักจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจ ขณะที่ราคาน้ำมันผันผวนแก่งตัวก่อนดีดตัวขึ้น

    วอลล์ สตรีทเมื่อวันพฤหัสบดี(11 ส.ค.) ทะยานแรงเหตุนักลงทุนเข้าช้อนซื้ออย่างคึกคักหลังตลาดดิ่งลงอย่างหนักใน สัปดาห์แห่งการเทขายจากความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลก

    ดัชนี หุ้นดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 422.84 จุด (3.94 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 11,142.78 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 111.63 จุด (4.69 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 2,492.68 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 51.87 จุด (4.63 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 1,172.63 จุด
    ขณะที่ราคาน้ำมันผันผวนแกว่งตัวไปมา ก่อนดีดตัวขึ้นแรงตามความเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์ สัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบชนิดไลต์สวีตครูดของสหรัฐฯ งวดส่งมอบเดือนกันยายน เพิ่มขึ้น 2.83 ดอลลาร์ ปิดที่ 85.72 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนเบรนท์ทะเลเหนือลอนดอน งวดส่งมอบเดือนเดียวกัน เพิ่มขึ้น 1.34 ดอลลาร์ ปิดที่ 108.02 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล


    -http://www.posttoday.com/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88-%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B8%99/104665/%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%90%E0%B8%AF%E0%B8%9B%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A3%E0%B8%87-

    .





    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    กินข้าวกินปลา


    ไปไหนมา กินข้าวกินปลาแล้วหรือยัง?
    โดย.. รอยนวล
    ไปไหนมา กินข้าวกินปลาแล้วหรือยัง?
    คนไทยเราคุ้นเคยดีกับคำถามหรือคำทักทายแบบนั้น แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไปเด็กรุ่นใหม่ส่วนหนึ่งก็ตั้งคำถามว่า ทำไมต้องกินข้าวกินปลา? คงจะไม่ได้อยากกวนบาทาหรืออะไร แต่เพราะพวกเขาต่างเติบโตมาด้วยเบอร์เกอร์ พิซซา ไก่ทอด เฟรนช์ฟรายด์ ฯลฯ ผิดแผกกับคนรุ่นพ่อแม่ปู่ย่าตายาย
    ด้วยสภาพทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทยนั้นมีแม่น้ำลำคลองมากมาย ทั้งยังมีชายฝั่งทะเลยาวเหยียด ทำให้บ้านเราเป็นแหล่งอาหารประเภทปลานานาชนิด ส่วนที่ราบลุ่มอุดมสมบูรณ์ก็ปลูกข้าวได้งอกงาม นั่นจึงกลายเป็นที่มาของคำว่า “ในน้ำมีปลาและในนามีข้าว” ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา อาหารการกินแบบสามัญของคนไทยที่หาได้ไม่ยากเลยคือ ข้าวและปลา กระทั่งกลายเป็นที่มาของคำว่า “กินข้าวกินปลา” “กับข้าวกับปลา” เป็นต้น
    ไม่ได้มีเพียงคนไทยที่กินข้าวกินปลากันเป็นหลัก คนญี่ปุ่น คนอินโดนีเซีย หรือหลายประเทศในแถบเอเชีย ต่างกินข้าวกับปลาทั้งนั้น โดยในแต่ละประเทศก็มีเมนูเฉพาะตัวที่แตกต่างกันไป สำหรับคนไทยแล้วกินข้าวกินปลานั้นต้องมีน้ำพริกและผักเสริมเข้าไปมันถึงจะ อร่อยและได้คุณค่าทางอาหาร เพราะปลานั้นเป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพดี


    [​IMG]


    คนชอบกินปลานั้นไม่หยุดยั้งที่ปลาสามัญอย่าง ปลาช่อน ปลาดุก ปลานิล ปลาตะเพียน ฯลฯ พวกเขามักจะเสาะแสวงหาปลารสเลิศที่บ้างหายาก บ้างแพงหูฉี่ ถ้าถามว่า ปลาอะไรอร่อยที่สุด บางคนอาจจะบอกว่าปลาบึก บ้างก็ว่าปลาสะแงะ อย่างหลังนี้แค่ชื่อหลายคนก็ไม่คุ้นแล้ว ความจริงยังมีปลาอีกมากที่เราไม่รู้จักและยังไม่เคยชิม
    หลายปีก่อนโน้น เมื่อได้ไปเยือนเมืองปาย ผู้เขียนได้มีโอกาสไปชิมปลาสะแงะผัดเผ็ด แม่เจ้าโว้ยยยยย อร่อยชนิดที่นำมาโม้ให้ใครๆ ฟังสิบปีไม่จบไม่สิ้น ความอร่อยมันอาจจะมาเพราะเป็นประสบการณ์แปลกใหม่ด้วยส่วนหนึ่ง ที่แน่ๆ เนื้อของปลาชื่อแปลกและรูปร่างประหลาด (คล้ายปลาไหล แต่ขนาดใหญ่กว่า) ชนิดนี้ไม่เหมือนใคร สะแงะเป็นปลาหนัง มีเนื้อแน่นหนึบๆ กรุบๆ คล้ายปลาบึก แต่ไม่เหมือนเสียทีเดียว นำไปปรุงด้วยวิธีอื่นๆ อาจจะติดคาวนิดๆ แต่ถ้าเป็นผัดเผ็ดละก็ เครื่องปรุงสมุนไพรทั้งหลายดับคาวได้ดี แถมยังเผ็ดร้อนโดนใจถูกลิ้นคนไทยเป็นอย่างมาก (มื้อนั้นมีเขียดแลวทอดกระเทียมพริกไทยด้วย หรอยจังฮู้นิ เอ๊ย รำแต้ๆ เจ้า)
    และฤดูหนาวปีที่แล้วผู้เขียนก็มีโอกาสได้กลับไปแม่ฮ่องสอนอีกครั้ง คราวนี้ดั้นด้นไปจนถึงแม่สะเรียงและลัดเลาะไปเยือนลุ่มน้ำสาละวินติดชายแดน พม่านู่น (วันนี้ชาวบ้านย่านนั้นกำลังเดือดร้อน เพราะเจอกับพายุฝน น้ำท่วม ดินสไลด์ ทำให้เส้นทางสัญจรขาด หลายครอบครัวต้องเสียบ้าน อย่างไรก็ขอส่งกำลังใจไปให้ทุกคนฝ่าฟันภัยธรรมชาติครั้งนี้ไปให้ได้) เมื่อไปถึงท่าเรือเพื่อเดินทางล่องแม่น้ำ ผู้มาเยือนก็จะได้เห็นรูปปั้นปลาอยู่ใกล้ๆ ท่าเรือ และปลาตัวนั้นเรียกว่า ปลาคม


    [​IMG]


    ปลาคม นับเป็นสัตว์เศรษฐกิจของย่านนี้ เพราะชาวบ้านจับมาขายได้เงินเป็นกอบเป็นกำ จนต้องสร้างรูปปั้นเพื่อสำนึกบุญคุณ!? ปลาคมรูปร่างคล้ายกับปลาคาร์ป ตัวสีทองอมฟ้ามีหนวด แต่ตัวใหญ่กว่ามาก อาจจะมีความยาวเป็นเมตร หนักเกือบร้อยกิโลกรัมก็เป็นได้ ปลานี้มีก้างเยอะ แต่รสชาติอร่อย โดยเฉพาะถ้านำมาต้มยำ (ความคิดเห็นส่วนตัว)
    ทริปนั้นเราพักกันริมแม่น้ำในพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติสาละวิน เมื่อก้าวเข้าสู่ที่ทำการ เราก็ได้เห็นแผ่นภาพแสดงสายพันธุ์ปลาในแม่น้ำสาละวิน ในจำนวนปลาทั้งหมด เรารู้จักอยู่สัก 10% เห็นจะได้ สาละวินนั้นเป็นแม่น้ำสายยาวที่มีต้นกำเนิดจากทิเบตไหลเรื่อยมายังจีน พม่า ไทย (ไหลมารวมกับแม่น้ำเมยที่บ้านสบเมย จ.แม่ฮ่องสอน) และวกกลับไปทะเลที่พม่าอีกที น้ำคง (สาละวิน) แห่งนี้ให้กำเนิดสิ่งมีชีวิตหลากหลาย เฉพาะพันธุ์ปลาที่พบในเขตไทยนั้นก็นับได้เกือบร้อยชนิด ทั้งปลาเกล็ดและปลาหนัง สร้างอาชีพชาวประมงและพ่อค้าปลาให้ผู้คนย่านนี้อย่างเป็นล่ำเป็นสัน

    ใครอยากลองลิ้มปลาสะแงะ ปลาคม หรือปลาแปลกๆ อื่นๆ แบบสดๆ ก็เห็นทีต้องขึ้นเหนือไปถึงแม่ฮ่องสอน ถ้าลองไปถามคนท้องถิ่นว่า กินปลาสาละวินร้านไหนอร่อยที่สุด เขาอาจจะบอกว่า ธนโภชนา (หรือธนบริการ) ในแม่สะเรียง ร้านนี้บรรยากาศดี เพราะอยู่ติดทุ่งนา เจ้าของร้านนั้นก็เชี่ยวชาญเกี่ยวปลาสาละวินเป็นอย่างมาก เลยทำอะไรก็อร่อยไปโหม้ด ลองสืบเสาะดั้นด้นไปชิมกันดูนะพี่น้อง เพราะผู้เขียนก็ยังไปไม่ถึงเหมือนกัน 555
    เขียนมาถึงตรงนี้ก็ให้รู้สึกหิวขอพักไปกินข้าวกินปลาก่อนก็แล้วกัน

    -http://www.posttoday.com/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7/%E0%B8%A3%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3/104686/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2-

    .

    http://www.posttoday.com/กิน-เที่ยว/ร้านอาหาร/104686/กินข้าวกินปลา


    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    งานหนักของ เอเชีย เงินเฟ้อต้องแก้ วิกฤตโลกต้องรับมือ


    เป็นข้อเท็จจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งต้องบอกว่าในวันนี้สถานการณ์เศรษฐกิจโลก
    โดย...ทีมข่าวต่างประเทศ
    เป็นข้อเท็จจริงที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งต้องบอกว่าในวันนี้สถานการณ์เศรษฐกิจโลกกำลังสุ่มเสี่ยงกับการเข้าสู่ ภาวะซบเซาหรืออาจลามปามไปถึงภาวะเศรษฐกิจโลกหดตัวรอบ 2
    และก็เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่น่าสบายใจเช่นกันว่า เอเชีย ภูมิภาคที่เคยถูกมองเป็นความหวังว่าจะเป็นพลวัตขับเคลื่อนกู้เศรษฐกิจโลก แต่ในวันนี้ เอเชียกลับจำเป็นต้องเจอศึกสองด้านที่กำลังรุมเร้า รัฐบาลชาติเอเชียทั้งหลายจำเป็นต้อง “ถ่วงดุล” ปัจจัยเสี่ยงที่กำลังสร้างความวิตกให้กับบรรดาผู้กำหนดนโยบายเศรษฐกิจของ ชาติ
    ปัญหาหนึ่งคือ ภาวะซบเซาของเศรษฐกิจมหาอำนาจโลกไม่ว่าจะเป็นวิกฤตหนี้สาธารณะในสหรัฐและยุโรป ตลอดจนการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
    อีกปัญหาที่รุนแรงไม่แพ้กัน คือ ปัญหาภาวะเงินเฟ้อที่ชาติเอเชียทั้งหลายกำลังปวดเศียรเวียนเกล้าอยู่
    ในภาวะปกติอาจจะบอกได้ว่า การลดอัตราดอกเบี้ยและการหว่านเงินกระตุ้นค่าใช้จ่ายลงสู่ระบบนั้น ถือเป็นปกติวิสัยทัศน์ที่รัฐบาลในภูมิภาคเอเชียต่างยึดถือปฏิบัติกันมาหลาย สิบปี


    [​IMG]

    แต่ในวันนี้ต้องยอมรับว่า เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อที่รุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่ง ทำให้การกระตุ้นเศรษฐกิจในแนวทางเดิมๆ นั้น ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป เป็นเพราะแรงกดดันจากปัญหาเงินเฟ้อ ราคาสินค้าทะลุเพดานถือเป็นแนวต้านสำคัญ
    ยิ่งไปกว่านั้น หากใช้นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจมากจนเกินไปในขณะที่ปัญหาเงินเฟ้อยังไม่ได้รับ การแก้ไขนั้น จะยิ่งสร้างปัญหาเพิ่มเป็นทวีคูณ เพราะประชาชนจะได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่จากราคาสินค้าที่พุ่งกระฉูด
    แต่ในขณะเดียวกัน หากไม่ใช่การกระตุ้นเศรษฐกิจเข้ามาช่วยพยุงเศรษฐกิจของชาติ ก็ยิ่งมีความเสี่ยงสูงเช่นเดียวกันที่การเติบโตทางเศรษฐกิจจะหดตัวลง โดยเฉพาะเมื่อภาวะความซบเซาทางเศรษฐกิจในสหรัฐและยุโรปอาจจะส่งผลกระทบต่อ ภาคการส่งออกของหลายประเทศในเอเชีย ที่ยังต้องพึ่งพาการส่งออกเลี้ยงชีพเป็นสำคัญ
    เป็นภาวะที่กลืนไม่เข้าและคายไม่ออก ที่ใครขึ้นมาเป็นรัฐบาลในช่วงนี้ก็ต้องบอกว่าเจองานหนักกันทั้งนั้น!
    เหยื่อรายแรกของเอเชียที่กำลังเริ่มเห็นลางร้ายทางเศรษฐกิจเป็นชาติแรก หนีไม่พ้นสิงคโปร์ ที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจประจำไตรมาส 2 ลดฮวบไปแล้วถึง 6.5% สวนทางกับไตรมาสแรกราวกับเหวและนรก ที่ไตรมาสแรกสามารถบวกไปได้ถึง 27%
    ปัญหาของสิงคโปร์ สะท้อนภาพการค้าในตลาดโลกได้เป็นอย่างดี เพราะสาเหตุสำคัญที่ทำให้จีดีพีของสิงคโปร์หล่นฮวบนั้น เป็นผลมาจากความต้องการสินค้าในตลาดซื้อขายอิเล็กทรอนิกส์นั้นตกต่ำลงอย่าง ยิ่งในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา
    อีกทั้ง พลังซื้อจากภายในของสิงคโปร์เองนั้น ยังไม่สามารถเป็นแรงขับดันเศรษฐกิจของชาติได้แม้แต่น้อย ทำให้สิงคโปร์จำเป็นต้องพึ่งพาความต้องการสินค้าในตลาดภายนอกเป็นสำคัญ
    สิงคโปร์ถูกมองว่าจะไม่รอดจากภาวะเข้าสู่การถดถอยทางเศรษฐกิจ ถ้าหากในไตรมาส 3 การเติบโตของจีดีพีไม่กระเตื้องขึ้นและก็มีความเสี่ยงสูงเช่นนั้นจริงๆ เมื่อเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งปีหลังนี้ส่อแววซบเซาจากปัญหาในสหรัฐและยุโรป
    จีน คืออีกหนึ่งตัวอย่างของการถ่วงดุลชั่งน้ำหนักระหว่างปัญหาเงินเฟ้อและวิกฤต ในสหรัฐและยุโรป และจีนก็เลือกที่จะ “เพลย์เซฟ” ให้กับเศรษฐกิจภายในของตัวเองก่อน
    จีนเลือกที่จะใช้มาตรการชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจด้วยการปรับขึ้น ดอกเบี้ยเป็นระยะๆ ผสมผสานเข้ากับการใช้มาตรการเพื่อชะลอการปล่อยกู้ในประเทศ เพื่อแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อที่ยังวิกฤต
    อย่างไรก็ตาม ถ้าถามว่าจีนประสบความสำเร็จกับแนวทางดังกล่าวหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า ไม่แม้แต่น้อย เพราะอัตราเงินเฟ้อของจีนพุ่งสูงขึ้นไปถึง 6.5% แล้วในเดือน ก.ค. ล่าสุดซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 12 ปีเลยทีเดียว
    แม้ว่าจีนจะพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะชะลอความร้อนแรงของเศรษฐกิจ ก็มีเพียงแต่ดัชนีภาคการผลิตของจีนเท่านั้นที่เริ่มหดตัวลงบ้าง แต่ทว่าการเติบโตของจีดีพีจีนในไตรมาส 2 ยังสูงถึง 9.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว อันเป็นผลมาจากการได้ดุลการค้ามหาศาล ซึ่งมีผลมาจาก 2 ปัจจัยสำคัญ คือ
    ประการแรก จีนกำลังติดบ่วงกับการตรึงค่าเงินหยวนที่อ่อนค่ากว่าความเป็นจริง ทำให้จีนได้ดุลการค้าในระดับสูงและยิ่งทำให้ปัญหาเงินเฟ้อในจีนกลายเป็น เรื่องยากขึ้น 2 เท่าที่จะแก้ให้อยู่หมัด
    ประการที่ 2 แรงซื้อภายในของจีนยังไม่มากและแข็งแกร่งพอที่จะสร้างความสมดุลกับปริมาณการส่งออกที่ยังพุ่งสูงอย่างต่อเนื่อง
    ทว่าสำหรับเอเชียแล้ว จีนไม่ใช่ประเทศเดียวที่กำลังประสบกับภาวะเงินเฟ้อ เวียดนาม อินเดีย และอีกหลายประเทศก็กำลังติดหล่มกับปัญหานี้อย่างหนักเช่นกัน
    เวียดนามเป็นประเทศที่มีระดับเงินเฟ้อสูงที่สุดในเอเชีย คือ สูงถึง 21% ขณะที่อินเดียนั้นกำลังเผชิญหน้ากับภาวะเงินเฟ้อสูงที่สุดในรอบหลายปีที่ 8.6% โดยการเพิ่มขึ้นของราคาอาหารในประเทศเหล่านี้ได้ส่งผลกระทบต่อค่าครองชีพและ การใช้ชีวิตของประชาชนในทุกภูมิภาคอย่างรุนแรง เช่น ชาวจีนจำเป็นต้องใช้เงินถึงครึ่งหนึ่งจากรายได้ทั้งหมดกับการใช้จ่ายค่า อาหาร
    ยิ่งปัญหาเงินเฟ้อรุนแรงเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ชาวเอเชียเสี่ยงต่อความยากจนมากขึ้นเท่านั้น โดยธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) เคยเตือนเอาไว้ว่า การเพิ่มขึ้นของราคาอาหารเพียง 10% เท่านั้น จะทำให้ประชาชนถึง 64 ล้านคน มีโอกาสถูกลากไปตกอยู่ในกลุ่มประชากรยากจน และหากราคาอาหารเพิ่มขึ้น 20% จะทำให้ประชากรถึง 129 ล้านคน กลายเป็นคนยากจนทันที
    อย่างไรก็ตาม แม้จะกำลังประสบกับภาวะเงินเฟ้อรุมเร้า แต่ชาติต่างๆ ในเอเชียก็ถือว่ามี “ภูมิคุ้มกัน” พอตัวที่จะรับมือกับวิกฤตในสหรัฐหรือยุโรป หากสถานการณ์รุนแรงลามปามกลายเป็นเศรษฐกิจโลกครั้งใหม่จริง
    ประเด็นที่ 1 ประเทศเอเชียเคยเอาตัวรอดมาได้จากเมื่อครั้งวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปลายปี 2008 ต่อเนื่องมายังปี 2010 เป็นเพราะสาเหตุสำคัญคือ เอเชียหันมาพึ่งพาการค้าขายกันเอง เช่น การลงทุนระหว่างกันมากขึ้นในกลุ่มประเทศอาเซียน อินเดีย และจีน
    ประเด็นที่ 2 ต้องยอมรับว่าสถานะทางการคลังของหลายประเทศในเอเชียนั้นอยู่ในสภาพที่ดีกว่า รัฐบาลสหรัฐและในยุโรปที่เต็มไปด้วยการกู้หนี้ หลายประเทศในเอเชียจึงถือว่าอยู่ในสถานะที่ยังพอเจียดนำออกมากระตุ้นการใช้ จ่ายภายในประเทศได้มากขึ้น
    ทั้งสองปัจจัยบวกดังกล่าว จะทำให้บรรดาผู้กำหนดนโยบายทางการเงินของเอเชีย มีทางเลือกมากพอที่จะใช้มาตรการกระตุ้นและนโยบายทางการเงินเพื่อพยุง เศรษฐกิจในช่วงเวลาคับขันได้
    กระนั้นก็ตาม ก็ยังถือว่าไม่น่าไว้ใจนัก โดยเฉพาะเมื่อธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณเตรียมกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ขึ้น แล้ว ซึ่งจะทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนตัวต่อไป และอัตราดอกเบี้ยสหรัฐอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นสาเหตุที่ทำให้กระแสทุนร้อนจากสหรัฐไหลเข้าเอเชียมากยิ่งขึ้น และจะยิ่งส่งผลกระทบต่อค่าเงินในเอเชีย
    อันจะยิ่งกระทบภาคส่งออกและซ้ำเติมภาวะเงินเฟ้อของเอเชียอยู่ไม่น้อย!

    -http://www.posttoday.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B9%8C/%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%A8/104682/%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A2-%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89-%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%A1%E0%B8%B7%E0%B8%AD-


    --------------------------------------------------------------

    ลดคุ้มครองเงินฝาก ลากแบงก์เปลี่ยนพฤติกรรม








    11ส.ค.นี้ กฎหมายคุ้มครองเงินฝากจะมีผลบังคับใช้ แม้ประชาชนส่วนใหญ่จะยังไม่ค่อยรับรู้
    โดย...ทีมข่าวการเงิน
    11ส.ค.นี้ กฎหมายคุ้มครองเงินฝากจะมีผลบังคับใช้ แม้ประชาชนส่วนใหญ่จะยังไม่ค่อยรับรู้ แต่บรรดานักธุรกิจ เจ้าของกิจการ รวมถึงธนาคารพาณิชย์ ต่างขยับปรับตัวกันเป็นการภายในยกใหญ่
    เนื่องจากกฎหมายฉบับนี้จะทำการปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากของประชาชน นิติบุคคล สหกรณ์ มูลนิธิต่างๆ ลงเหลือเพียง 50 ล้านบาทต่อบัญชีต่อสถาบันการเงิน
    ไม่ต้องใช้จินตนาการมากก็พอมองออกถึงความโกลาหลในกระบวนการจัดการ การเจรจาต่อรองของระบบธนาคารกับบรรดานิติบุคคล เจ้าของกิจการ รวมถึงบรรดาเศรษฐีเงินล้านเพื่อดึงเงินฝากไว้ไม่ให้ขยับ
    เพราะถ้าเงินฝากระดับร้อยล้านบาท พันล้านบาทขยับปรับเปลี่ยนไม่ต้องมากเอาแค่ธนาคารละ 10-20 ราย การบริหารจัดการด้านสภาพคล่องของระบบธนาคารพาณิชย์ยุ่งและสั่นสะเทือนแน่
    ถึงแม้บรรดานายธนาคาร ผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย และข้าราชการกระทรวงการคลัง ต่างออกมาการันตีว่า การบังคับใช้ของกฎหมายคุ้มครองเงินฝากไม่มีผลกระทบต่อการโยกย้ายเงินในระบบ ธนาคาร
    แต่ในความเป็นจริงแล้วกลุ่มผู้ฝากเงินต่างตื่นตัวกับความเสี่ยงต่อการสูญ เงินที่เคยนอนนิ่งอยู่ในธนาคารอย่างปลอดภัย โดยเฉพาะในกลุ่ม “เศรษฐีเงินฝาก” ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นบุคคลธรรมดาหรือสถาบันและองค์กรนิติบุคคล เจ้าของเงินต่างไม่อาจนอนตีพุงรอรับดอกเบี้ยที่ลดลงเหมือนเดิมได้อีกต่อไป
    ทุกคนต่างหวาดผวาว่า หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เช่น กรณีแบงก์ล้มขึ้นมาไม่ว่าผู้ฝากจะมีเงินถุงเงินถังขนาดไหนก็จะได้เงินคืน เพียงสูงสุดไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อธนาคารต่อบัญชีเท่านั้น
    ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นย่อมเป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้ของบรรดาผู้มีอันจะกิน
    สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ไปคือ “การโยกย้าย การแตกบัญชี การเล่นราคาในเงินฝากครั้งใหญ่” จะเกิดขึ้นอีกหลายระลอกในปีนี้
    เพราะคงไม่มีใครเลือกแช่เงินของตัวเองเอาไว้บนความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจที่มีปัจจัยเสี่ยงทั้งจากในและต่างประเทศในขณะนี้
    เพราะบทเรียนจากวิกฤตทุกครั้งที่ผ่านมาแสดงให้เห็นแล้วว่า หายนะไม่เคยส่งสัญญาณให้ใครรู้ตัวล่วงหน้านัก
    นอกจากนี้ หากศึกษาจากอดีตที่ผ่านมาจะพบว่าสัญญาณการก่อตัวของวิกฤตการเงินมักจะเริ่ม เห็นได้จากภาวะเงินทุนไหลเข้า หุ้นขึ้น การมีนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ ออกมาในระบบ การระดมเงินฝาก ตั๋วบี/อี กันจำนวนมาก การเฟื่องฟูของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และเงินเฟ้อที่ทะยานขึ้นอย่างรวดเร็ว
    บทเรียนอันเจ็บปวดเหล่านั้น ปัจจุบันเศรษฐกิจไทยเริ่มมีสัญญาณเหล่านี้มากันแบบครบถ้วน เพียงแต่ยังไม่มีใครคาดเดาได้ว่าประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยขึ้นอีกเมื่อใดเท่า นั้น
    ดังนั้น ปรากฏการณ์แรกที่จะเริ่มเห็นจากการปรับลดวงเงินคุ้มครองเหลือ 50 ล้านบาทต่อบัญชีต่อธนาคารในระยะที่ผ่านมา คือ การแห่ขนเงินก้อนโตเข้าไปนอนกอดแบบอุ่นใจอยู่ในธนาคารของภาครัฐ ที่ยังได้รับการคุ้มครองจากรัฐบาลแบบครบทุกบาททุกสตางค์อยู่ แม้ว่าผลตอบแทนจะไม่สวยหรูนัก แต่ก็ไม่ถึงขั้นขี้ริ้วขี้เหร่จนเกินไป

    [​IMG]

    แห่โยกย้ายกันไปจนธนาคารขนาดใหญ่ยันธนาคารขนาดเล็กหลายแห่งต้องออก ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เป็นดอกเบี้ยออมทรัพย์ช่วงสั้นๆ 45 วัน 50 วัน 75 วัน 120 วัน ในอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าปกติตั้งแต่ 0.50-1.25%
    แม้นี่คือผลิตภัณฑ์ทางเลือก แต่เป้าหมายหลักแล้วคือตรึงและขึงเงินฝากของลูกค้าไว้ ไม่เช่นนั้นคงไม่เกิดปรากฏการณ์ใช้ผลิตภัณฑ์เงินฝากดอกเบี้ยสูงออกมาขย่ม แข่งกันไม่เว้นแต่ละวัน
    นอกจากนี้ ยังมีการทยอยออกตั๋วเงิน (บี/อี) ระยะสั้นดอกเบี้ยสูงออกมาสู้กันสนั่นเมือง จนอัตราการเติบโตของตั๋วบี/อี ในระยะ 3 เดือนที่ผ่านมามีอัตราการขยายตัวจากปีก่อนแบบก้าวกระโดด
    ขณะเดียวกันนั้นในทางลึกของการดำเนินธุรกิจนั้น สมาคมธนาคารไทยต่างพยายามกดดันและปรามการทำงานของสถาบันคุ้มครองเงินฝากที่ ทำหน้าที่สร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชนอย่างหนัก
    เพราะนายธนาคารต่างกลัวการตื่นตระหนกของประชาชนจนทำให้ระบบธนาคาร “รัน”
    นี่คือปฏิกิริยาลูกโซ่ที่สะท้อนให้เห็นร่องรอยว่า ธนาคารพาณิชย์เริ่มสูญเสียฐานเงินฝาก จึงมีการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อใช้ผลตอบแทนที่สูงกว่าเพื่อรักษาฐานลูกค้า
    ธนาคารขนาดใหญ่ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้ากลับมีความน่าเชื่อถือ อาจได้รับผลกระทบไม่มากนัก แต่เชื่อได้ว่าต่างต้องมีการเดินเกมใต้โต๊ะ ด้วยการเสนออัตราดอกเบี้ยพิเศษที่สูงกว่าลูกค้าเงินฝากปกติ เพื่อรักษาสภาพคล่องของธนาคารเอาไว้
    บางรายมีการนำรูปแบบของการจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากเพิ่มตามวงเงิน
    ขณะที่กลุ่มธนาคารขนาดกลางและขนาดเล็กอาจต้องหนักอกหนักใจกว่ามาก เนื่องจากการมีต้นทุนด้านความน่าเชื่อถือต่ำกว่าธนาคารขนาดใหญ่ ทำให้ต้องแบกรับต้นทุนดอกเบี้ยจ่ายที่สูงกว่าปกติ
    ศูนย์วิจัยกสิกรไทย คาดการณ์ว่า การลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากลงมาอาจส่งผลให้ดอกเบี้ยเงินฝากประจำในระยะเวลา ที่เท่ากันระหว่างธนาคารขนาดเล็กกับขนาดใหญ่จะมีส่วนต่างของดอกเบี้ยกันถึง 1% ในระยะอันใกล้นี้ และจะยิ่งห่างขึ้นไปอีก ตามระยะเวลาการฝาก
    ธนาคารพาณิชย์ขนาดกลางและขนาดเล็ก ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าเงินฝากขนาดใหญ่เป็นฐานลูกค้าหลัก ต่างรับรู้ถึงข้อเสียเปรียบนี้ดี จึงเริ่มปรับเปลี่ยนกลยุทธ์หันมาล่าเงินฝากผ่านผลิตภัณฑ์ทางเลือกประเภท อื่นๆ เช่น ตราสารอย่างตั๋วแลกเงิน กองทุนรวมและการเร่งขยายฐานลูกค้าลงมายังกลุ่มล่างมากขึ้น เพื่อบรรเทาผลกระทบและเพิ่มความหลากหลายและผลตอบแทนจากการลงทุนให้กับลูกค้า มากขึ้น
    ถึงแม้ว่าสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (สคฝ.) จะออกมาป่าวร้องว่า ผู้ฝากเงินในระบบที่จะได้รับผลกระทบจาก พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝากนั้นมีสัดส่วนอยู่เพียง 1.5% ของผู้ฝากเงินในระบบ แต่หากลองพิจารณาดูไส้ในของเงินฝากแล้ว จะพบว่าคนกลุ่มน้อยกลุ่มนี้เป็นเจ้าของเงินฝากในระบบถึง 70%
    ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ธนาคารพาณิชย์ต่างให้ความสำคัญกับลูกค้าวีไอพีกลุ่มนี้เป็นพิเศษก่อน
    ข้อมูลจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุว่า ปัจจุบันสัดส่วนของผู้ที่มีเงินฝากมากกว่า 50 ล้านบาทต่อบัญชีในระบบมีอยู่ราว 0.01% หรือประมาณ 7,600 บัญชี จากจำนวนบัญชีเงินฝากทั้งระบบราว 80 ล้านบัญชี
    แต่ปริมาณเงินฝากที่อยู่ในมือของคนกลุ่มนี้นั้นมีมากถึง 1.34 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 20% ของจำนวนเงินฝากทั้งระบบที่มีอยู่ร่วม 7 ล้านล้านบาท
    ขนาด ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธปท. ก็ยอมรับว่า การลดการคุ้มครองเงินฝากของสถาบันคุ้มครองเงินฝากในกรณีที่ธนาคารพาณิชย์มี ปัญหา จากเดิมที่เคยจ่ายคืนหรือรับคุ้มครองเต็มจำนวน แต่จะลดการคุ้มครองเงินฝากลงมาเหลือ 50 ล้านบาทต่อบัญชี และปีหน้าลดเหลือเพียง 1 ล้านบาทต่อบัญชีนั้น ในภาพรวมยังไม่มีปัญหา
    แต่ยอมรับว่า เริ่มมีประชาชนผู้ฝากเงินโยกเงินฝากในระบบธนาคารพาณิชย์บ้างแล้ว แต่เป็นการโยกจากบัญชีเงินฝากมาลงทุนในตั๋วเงินฝากหรือบี/อี ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า
    ทว่า ธปท.ก็ต้องไม่ประมาท เพราะปรากฏการณ์อพยพโยกย้ายเงิน และการออกมาตรการมารับมือการโยกย้ายเงินของระบบธนาคารใน พ.ศ.นี้ จึงเป็นเสมือนการซ้อมรบก่อนเจอศึกใหญ่
    เนื่องเพราะหากถึงวันที่ 11 ส.ค. 2555 บรรดาคนที่มีเงินฝาก 1 ล้านบาทต่อบัญชีต่อธนาคาร จะต้องเผชิญกับความเสี่ยงของการดูแลรับฝากเงินและการคุ้มครองโดยรัฐตาม กฎหมาย
    มรสุมลูกนี้ต่างหากที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงพฤติกรรมของประชาชนผู้ฝากเงินครั้งใหญ่ในประเทศ
    เพราะหากนับรวมจำนวนผู้ที่มีเงินฝากในบัญชีมากกว่า 1 ล้านบาท จะพบว่ามีอยู่ทั้งสิ้นราว 9 แสน-1 ล้านบัญชี คิดเป็นวงเงินรวม 4.62 ล้านล้านบาท หรือราว 50% ของเงินฝากรวมทั้งระบบ
    หากเงินฝากจากลูกค้ากลุ่มนี้มีการขยับปรับเปลี่ยนไป ก็จะเป็นปัญหาใหญ่ของธนาคารพาณิชย์ในการจัดการ
    ในทางกลับกันนั้น ในวิกฤตก็มีโอกาสเกิดขึ้น เพราะเมื่อมีการลดการคุ้มครองเงินฝากก็เป็นการสร้างอำนาจต่อรองให้กับลูกค้าผู้ฝากเงินด้วย
    เชื่อขนมกินได้ตั้งแต่ตอนนี้เลยว่า ลูกค้าเงินฝากกลุ่มนี้จะได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นตามไปด้วย
    เพราะธนาคารพาณิชย์คงไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากตามงอนง้อลูกค้าด้วยการมอบผลตอบแทนอันสูงลิบลิ่วกว่าปกติให้กับคหบดีทั้งหลาย
    ปัญหา “ดอกเบี้ยไม่เต็มบาท” ที่บรรดาข้าราชการเกษียณ หรือบรรดาประชาชน มนุษย์เงินเดือนเราๆ ท่านๆ ทนแบกรับมาเป็นเวลาเกือบ 4 ปี จนหลายคนชาชินจะค่อยๆ ถูกขจัดทิ้งไปในไม่ช้า แต่ต้องรอเวลาให้ธนาคารจ่ายดอกเบี้ยสูงเพื่อดูแลลูกค้าขาใหญ่ก่อน

    -http://www.posttoday.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%B0%E0%B8%AB%E0%B9%8C/%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A3%E0%B8%A9%E0%B8%90%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88/104472/%E0%B8%A5%E0%B8%94%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%9D%E0%B8%B2%E0%B8%81-%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B9%8C%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%A4%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1-

    http://www.posttoday.com/วิเคราะห์/เศรษฐกิจ/104472/ลดคุ้มครองเงินฝาก-ลากแบงก์เปลี่ยนพฤติกรรม
    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    สุดยอด! หนุ่มจีนพิการใฝ่เรียน สอบเข้ามหาวิทยาลัยตามฝัน


    [​IMG]



    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก learning.sohu.com

    ภาวะพิการอาจทำให้ผู้พิการหลายคนไม่กล้าฝันที่จะทำอะไรได้เทียบเท่ากับคน ปกติ เพราะมันมักจะไม่ถูกยอมรับ และการทำอะไรได้อย่างสะดวกเหมือนคนปกติก็คงเป็นไปได้ยากเสมอ แต่สำหรับหนุ่มพิการที่เรานำเรื่องราวมาฝากกันในวันนี้ กลับแตกต่างจากคนพิการเหล่านั้น เพราะถึงแม้ว่าเขาจะพิการแขนทั้งสองข้าง แต่ก็ฝึกใช้เท้าในการหยิบจับสิ่งของ และใช้ปากในการขีดเขียน ตั้งใจเรียนและกำลังเตรียมตัวสอบเข้ามหาวิทยาลัยเช่นเดียวกับหนุ่มสาววัย เรียนปกติ

    และหนุ่มพิการคนนี้ คือ หวู่ เจียนปิง หนุ่มจีนวัย 22 ปีจากมณฑลเหอหนานที่สูญเสียแขนทั้งสองข้างไปกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นขณะที่ ยังเป็นเด็กชายวัย 5 ขวบ แต่แทนที่เด็กชายหวู่ เจียนปิง ในขณะนั้นจะปล่อยตัวเองให้เป็นภาระของคนอื่น ในการดูแลป้อนข้าวป้อนน้ำ เขากลับฝึกที่จะช่วยเหลือตัวเองทุก ๆ อย่าง ซึ่งแม้ว่าระหว่างฝึกใช้อวัยวะอื่นแทนมือจะยากลำบากและทำให้เขารู้สึกท้อ บ้างในช่วงแรก แต่ในเมื่อเขาต้องอยู่กับภาวะพิการนี้ไปตลอด เขาก็ต้องพยายามทำมันให้ได้ จนในที่สุด เขาก็สามารถทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกับตอนที่มีแขนมีมือ เริ่มตั้งแต่ตื่นเช้าที่ต้องแปรงฟัน ล้างหน้า เขาก็ใช้เท้าทำหน้าที่แทนมือทั้งสองข้างที่เสียไป เมื่อจะเดินทางไปไหน เขาก็จะปั่นจักรยานออกไปโดยใช้หน้าอกบังคับแฮนด์จักรยาน และใช้เท้าในการหยิบจับสิ่งของต่าง ๆ

    นอกจากนั้นแล้ว สิ่งที่น่าชื่นชมมากที่สุด ก็คือเขายังคงตั้งใจเรียนหนังสือ พยายามฝึกใช้ปากเขียนหนังสือ ทำการบ้านส่งเฉกเช่นนักเรียนคนอื่น ๆ และใช้เท้าเปิดหนังสืออ่านจนคุ้นชิน โดยมีความฝันเหมือนกับเด็กคนอื่น ๆ คืออยากจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย มีการศึกษาที่ดี เพื่อทำงานเลี้ยงตัวเองได้ในอนาคต ด้วยความเชื่อที่มีมาตลอดว่า แม้ร่างกายจะพิการ แต่อย่างน้อยก็ยังมีสมองเทียบเท่ากับคนอื่น ๆ และที่สำคัญ ตราบใจที่หัวใจของเขาไม่ได้พิการไปด้วยแล้ว ก็คงไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้สำหรับคนที่พยายามอย่างแท้จริง

    ณ วันนี้ หวู่ เจียนปิง ยังดำเนินชีวิตอย่างปกติเช่นทุก ๆ วันที่ผ่านมา และกำลังทุ่มเทเวลาตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย เพื่อทำความฝันของตัวเองให้เป็นจริงให้ได้ ซึ่งเมื่อเวลานั้นมาถึง เชื่อว่าเขาก็คงเป็นคนหนึ่งที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับใครอีกหลายคน และนี่ก็คงเป็นบทพิสูจน์ที่ทำให้คนพิการทั่วโลกได้รู้ว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ หากเราตั้งใจที่จะทำสิ่งที่ฝันให้เป็นจริง

    .


    -http://hilight.kapook.com/view/61712-

    http://hilight.kapook.com/view/61712

    .
     
  6. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    'ข้าวต้มเห็ดฟาง'ลดความดัน

    วันศุกร์ ที่ 12 สิงหาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    อาหารที่เหมาะสำหรับคนป่วยและย่อยง่ายก็คือ ข้าวต้ม แต่ถ้าจะให้อาหารอ่อนๆ รสไม่จัดอย่างเมนูนี้มีประโยชน์มากขึ้น ‘มุมสุขภาพ’ แนะนำให้เติม ‘เห็ดฟาง’ ที่พกพาสรรพคุณในการป้องกันการติดเชื้อ เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน แถมยังช่วยลดความดันโลหิตได้ เพราะในเห็ดฟาง อุดมไปด้วยวิตามินซีกับกรดอะมิโน และเมื่อรวมกับส่วนผสมอื่นๆ ในสูตร อาทิ ผักชี พริกไทย ก็ยังจะเป็นเมนูที่ดีต่อระบบย่อยอาหารด้วย ขณะที่ข้าวเจ้าก็จะให้พลังงาน ในกุ้งก็เป็นโปรตีน

    ส่วนผสมของข้าวต้มเห็ดฟางมีดังนี้...
    • เห็ดฟาง 1 ถ้วย
    • กุ้งชีแฮ้ 1 ถ้วย
    • พริกไทยเม็ด 1 ช้อนชา
    • รากผักชี 2 ราก
    • ข้าวเจ้า 2 ถ้วย
    • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
    • ผักชี 2 ต้น
    • ต้นหอม 2 ต้น
    • กระเทียมเจียว 2 ช้อนชา
    ขั้นตอนในการทำ เริ่มจากซาวข้าว 2-3 น้ำ แล้วต้มจนสุก ส่วนเห็ดฟางเมื่อล้างแล้วให้ผ่าครึ่ง กุ้งให้แกะเปลือกเด็ดหัวออก รวมทั้งผ่าหลัง ดึงเส้นดำออก จากนั้นสับกุ้งพอหยาบ ได้แล้วจึงนำไปเคล้ากับพริกไทยเม็ดและรากผักชีที่บุบมาพอแหลก

    ต่อมาใส่กุ้งเคล้าเครื่องลงในหม้อข้าวต้ม เติมเห็ดฟาง จนกระทั่งน้ำเดือดให้เติมน้ำปลา ชิมรสชาติให้ออกเค็มนำเล็กน้อย สุดท้ายตักใส่ชามและโรยหน้าด้วยต้นหอม ผักชี และกระเทียมเจียว กินตอนอุ่นๆ คล่องคอดีทีเดียว.

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
     
  7. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ขออนุโมทนาบุญ ด้วยครับ
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 5 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 3 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong, คำไล้</td></tr></tbody></table>

    อรุณสวัสดิ์ยามเช้า วันเสาร์สุขสันต์ครับ

    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    [FONT=Tahoma,]ลดคุ้มครองเงินฝากฉลุย

    เศรษฐกิจติดดิน
    บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด


    เริ่ม ต้นแล้วเมื่อวันที่ 11 ส.ค.54 เป็นวันสำคัญวันหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์การเงินไทย ที่สถาบันคุ้มครองเงินฝากเริ่มจำกัดวงเงินคุ้มครองเงินฝาก ภายใต้วงเงินสูงสุด ไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อรายผู้ฝากต่อสถาบันการเงิน และจะลดมาที่ระดับ 1 ล้านบาทต่อรายผู้ฝากต่อสถาบันการเงิน ในวันที่ 11 ส.ค.55

    ประเมินว่า สถานการณ์ต่างๆ ในปัจจุบัน เป็นไปในทิศทาง ที่เอื้ออำนวยต่อการลดวงเงินคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งจะส่งผลให้การเปลี่ยนผ่านจากการคุ้มครองเต็มจำนวนไปสู่การคุ้มครองเงิน ฝากไม่เกิน 50 ล้านบาท เป็นไปได้อย่างราบรื่น

    เนื่องจาก 1.ภาวะเศรษฐกิจของประเทศปัจจุบันยังอยู่ในเกณฑ์ดี คาดว่าสามารถขยายตัวได้ในกรอบ 3.5-4.5% แม้ว่าจะเผชิญกับปัจจัยเสี่ยงหลายด้าน 2.ผู้ฝากเงินได้ทยอยจัดสรรและกระจายเงินออมบางส่วนไปสู่ช่องทางการลงทุน อื่นๆ แล้วในระดับหนึ่ง และ 3.ธนาคารพาณิชย์มีฐานะการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง

    เมื่อ มองไปในช่วงที่เหลือของปีི ต่อเนื่องไปจนถึงช่วงจำกัดวงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาทต่อรายผู้ฝากต่อสถาบันการเงิน ในเดือนส.ค.55 แล้ว จุดจับตาคงอยู่ที่ปัจจัยเสี่ยงจากต่างประเทศที่มีน้ำหนักมากขึ้น ทั้งในส่วนของแกนหลักอย่างสหรัฐ ที่การฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังมีความเปราะบาง อยู่มาก ขณะเดียวกันวิกฤตหนี้ในกลุ่มยุโรปที่ยังมีโอกาสลุกลาม ไปสู่อิตาลีและสเปน

    ทั้งนี้ ภาพเชิงลบจากเศรษฐกิจต่างประเทศดังกล่าวข้างต้น อาจมีผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน แต่ประเมินว่าพื้นฐานเศรษฐกิจไทย และสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก คงจะอยู่ในสถานะที่พร้อมสำหรับการเข้าสู่จังหวะของการลดวงเงินคุ้มครองเงิน ฝากจาก 50 ล้านบาท เหลือ 1 ล้านบาท ในเดือนส.ค.55 ซึ่งเป็นระยะสุดท้าย ได้อย่างราบรื่น

    โดยมีปัจจัยสนับสนุน ดังนี้ 1.โครงสร้างพื้นฐานเศรษฐกิจ ไทย มีความยืดหยุ่นเพียงพอต่อการรองรับเหตุการณ์อันไม่คาดคิด

    2.นโยบาย ด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ ที่คาดว่าอาจผลักดันออกมาใช้ตั้งแต่ช่วงที่เหลือของปีི ทั้งนโยบายเพิ่มรายได้ มาตรการด้านภาษี ตลอดจนโครงการลงทุนภาครัฐ คงจะเป็นหนึ่งในแกนหลักที่ช่วยสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในระยะ ข้างหน้า

    และ 3.ธนาคารพาณิชย์ไทยมีฐานะทางการเงินที่มั่นคง พร้อม รองรับความผันผวนของระบบการเงินในอนาคต
    [/FONT]


    -http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TURObFkyOHpNVEV6TURnMU5BPT0=&sectionid=TURNd05RPT0=&day=TWpBeE1TMHdPQzB4TXc9PQ==-

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ปวดท้องน้อยเรื้อรัง


    [​IMG]




    เมื่อพูดถึงอาการปวดไม่ว่าจะปวดที่อวัยวะใด ก็ไม่มีใครอยากประสบพบเจอแน่นอน “อาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง” ยิ่งเป็นปัญหาที่หลายคนไม่อยากพบเจอเช่นกัน เนื่องจากผู้ป่วยมักจะทนทุกข์ทรมานมาเป็นระยะเวลานาน อีกทั้งยังเป็นโรคที่รักษายาก

    อาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง พบมากในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายมาก ทั้งนี้อาจเป็นเพราะโครงสร้างทางร่างกายที่เอื้อต่อการเกิดความผิดปกติที่ทำ ให้เกิดอาการปวด อีกทั้งยังมีอวัยวะและระบบการทำงานของร่างกายที่เอื้อต่อการเกิดการปวดท้อง น้อยเรื้อรังได้อีกด้วย โดยทั่วไปการปวดท้องน้อยเรื้อรัง เป็นอาการปวดบริเวณเชิงกราน ท้องน้อย หรือบริเวณใกล้เคียงเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 6 เดือน ผู้ป่วยหลายรายไม่สามารถประกอบภารกิจได้ตามปกติจากอาการปวด หลายคนต้องลาออกจากงาน เพราะเมื่อมีอาการปวดไม่สามารถบรรเทาได้ด้วยยาแก้ปวดตามปกติทั่วไป อีกทั้งยังมีความผิดปกติทางด้านจิตใจติดตามมา เช่น มีอาการซึมเศร้า หรืออารมณ์แปรปรวน

    อาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง มีลักษณะที่แตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น พยาธิสภาพของอวัยวะที่ทำให้เกิดอาการปวด หากเป็นอวัยวะด้านระบบสืบพันธุ์สตรี อย่างเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ก็จะมีอาการปวด เหมือนการปวดประจำเดือน แต่อาการปวดจะรุนแรงกว่า หากอาการปวดเกี่ยวข้องกับกระเพาะปัสสาวะก็จะเกี่ยวข้องกับการถ่าย-การอั้น ปัสสาวะ ผู้ป่วยจะถ่ายปัสสาวะบ่อยมากและปวดมาก บางรายถ่ายปัสสาวะวันละ 40-50 ครั้ง หากอาการปวดมาจากลำไส้ ก็อาจจะมีอาการความผิดปกติในการขับถ่ายอุจจาระด้วย หรือหากปวดจากกล้ามเนื้อก็อาจจะปวดไปตามแนวกล้ามเนื้อนั้นและมักจะรู้สึกได้ ว่าปวดตรงจุดไหน

    จะเห็นได้ว่าอาการปวดท้องน้อยเรื้อรัง เป็นกลุ่มอาการที่เกิดได้จากหลายสาเหตุ อาการที่พบบ่อย เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบรุนแรง ซึ่งการอักเสบนี้ไม่ได้เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเหมือนการอักเสบโดยทั่วไป แต่เกิดจากน้ำปัสสาวะซึมผ่านเข้าสู่ชั้นกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ ทั้งนี้ กระเพาะปัสสาวะตามปกติจะมีเยื่อเมือกบาง ๆ คลุมอยู่ มีส่วนในการป้องกันไม่ให้ปัสสาวะซึมเข้าสู่ผนังกระเพาะปัสสาวะ เพราะเกลือแร่ต่าง ๆ ในปัสสาวะจะส่งผลให้มีปฏิกิริยารุนแรงมาก ทำให้เกิดการปวด อาการปวดจากสาเหตุนี้มักจะมีอาการปัสสาวะบ่อยร่วมด้วย และปวดมากเมื่ออั้นปัสสาวะ จะทุเลาลงบ้างเมื่อถ่ายปัสสาวะเสร็จ

    เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ที่มีเยื่อบุโพรงมดลูกมาเกาะอยู่นอกมดลูกใน บริเวณเชิงกราน เช่น ผนังด้านนอกกระเพาะปัสสาวะ เยื่อบุช่องท้อง ผนังลำไส้ ก็ทำให้มีอาการปวด เมื่อมีการคั่งของเยื่อบุ ซึ่งจะเกี่ยวข้องกับวงรอบของฮอร์โมน สาเหตุอื่น ๆ ที่พบได้ เช่น การอักเสบของลำไส้ใหญ่ กล้ามเนื้อเชิงกรานอักเสบ ข้อต่อต่าง ๆ บริเวณเชิงกรานอักเสบ หรือแม้แต่ก้อนนิ่วบริเวณท่อไตส่วนล่าง ก็ทำให้มีอาการปวดร้าวลงมาที่เชิงกรานและท้องน้อยได้

    วิธีการวินิจฉัย ภาวะปวดท้องน้อยเรื้อรัง ส่วนมากผู้ป่วยจะได้รับการพบแพทย์มาก่อน ซึ่งแพทย์จะทบทวนการตรวจวินิจฉัย ผลตรวจต่าง ๆ ผลเอกซเรย์ ยาที่ได้รับในอดีตว่ามีอะไรบ้าง การผ่าตัดบริเวณหลัง ท้องน้อย เชิงกรานต่าง ๆ เพราะอาจจะเกี่ยวข้องด้วยโรคนั้นเอง หรืออาจจะเป็นอาการข้างเคียง เช่นเกิดเนื้อเยื่อพังผืด คำถามต่าง ๆ ที่แพทย์จะถามซึ่งผู้ป่วยควรจะทบทวนและลำดับเหตุการณ์ให้ดีก่อน เพราะจะช่วยในการวินิจฉัยได้มาก เวลาที่มีอาการปวด อาการปวดเริ่มบริเวณใด ร้าวไปบริเวณใด มีกิจกรรมหรือเหตุการณ์อะไรทำให้ปวดมาก เช่น กลั้นปัสสาวะ มีเพศสัมพันธ์ เป็นต้น อาการปวดเกี่ยวข้องกับรอบเดือนหรือไม่ การเดิน การก้าวขา ทำให้ปวดมากขึ้นหรือไม่ ที่ผ่านมามีอะไรช่วยบรรเทาปวดบ้างหรือไม่ รับประทานอาหารอะไรแล้วทำให้ปวดมากขึ้นแพทย์จะทำการตรวจร่างกายโดยละเอียด ตรวจภายใน ตรวจทางทวารหนัก สำรวจหาจุดปวด ตรวจเอกซเรย์ อัลตราซาวด์ ตรวจปัสสาวะ ส่องกล้องกระเพาะปัสสาวะ

    หลังจากได้รวบรวมผลต่าง ๆ แล้ว หากได้การวินิจฉัยก็จะให้การรักษาไปตามจุด เช่น หากเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ก็จะให้การรักษาทางฮอร์โมน หากพบว่ากระเพาะปัสสาวะมีการอักเสบรุนแรงดังกล่าว ก็จะให้ยาระงับอาการปวดร่วมกับการใช้ยาใส่ในกระเพาะปัสสาวะ แต่ผู้ป่วยส่วนมากจะยังไม่ได้รับการวินิจฉัยโดยทันที ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง แต่แพทย์จะต้องระงับปวดก่อน บางครั้งต้องให้ยาแก้ปวดที่มีฤทธิ์แรงร่วมกับยากล่อมประสาท เพราะหลายครั้งที่อาการปวดจะถูกประทับในสมอง ทำให้มีอาการปวดเกิดขึ้นมาเองได้ สิ่งที่ผู้ป่วยจะสามารถช่วยแพทย์ได้ คือจะต้องสังเกตว่ามีเหตุใดที่กระตุ้นให้มีอาการปวดรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่ปวดจากเหตุของกระเพาะปัสสาวะที่จะต้องหลีกเลี่ยง อาหารหลายชนิด ที่ทำให้ปัสสาวะมีความเป็นกรดมาก จำพวกเนย สารปรุงรส อาหารรสจัด และประการสำคัญ อย่าเปลี่ยนแพทย์ผู้รักษาเร็วเกินไป เพราะหลายโรคไม่สามารถรักษาหายภายในเร็ววันได้ โรคบางชนิดอาจจะไม่มียารักษาโดยเฉพาะ แต่สามารถแก้ปัญหาจนอาการปวดลุล่วงได้ และหลายรายอาจจะต้องใช้การผ่าตัด ดังนั้นผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้องน้อยเรื้อรังที่ยังไม่ได้พบแพทย์เฉพาะด้าน หรืออาจจะหมดหวังกับการรักษา ก็ควรมาพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษาต่อไป.

    ศ.พน.วชิร คชการ
    ศัลยแพทย์ระบบปัสสาวะ ภาควิชาศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล


    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=506&contentId=156823-

    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เรียน ท่านประธานชมรมพระวังหน้า
    รองประธานชมรมพระวังหน้า
    ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้าทุกท่าน
    ท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้าทุกท่าน

    ผมได้เปิดวาระการประชุม การสร้างพระบูชา พระอานนท์เถระเจ้า หน้าตัก 16" ทาง Email เรียบร้อยแล้ว

    ผมขอให้ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า แสดงความเห็นของท่านไม่เกินวันพฤหัสที่ 18 สิงหาคม 2554 และ ขอให้ท่านประธานชมรมพระวังหน้า และท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า ลงมติในวันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2554 นี้

    ขอแสดงความนับถือ
    sithiphong
    13/8/2554

    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    เรียน ท่านประธานชมรมพระวังหน้า
    รองประธานชมรมพระวังหน้า
    ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้าทุกท่าน
    ท่านผู้สนับสนุนชมรมพระวังหน้าทุกท่าน

    ผมได้เปิดวาระการประชุม การสร้างพระบูชา พระอานนท์เถระเจ้า หน้าตัก 16" ทาง Email เรียบร้อยแล้ว

    ผมขอให้ท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า แสดงความเห็นของท่านไม่เกินวันพฤหัสที่ 18 สิงหาคม 2554 และ ขอให้ท่านประธานชมรมพระวังหน้า และท่านรองประธานชมรมพระวังหน้า ลงมติในวันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2554 นี้

    ขอแสดงความนับถือ
    sithiphong
    13/8/2554

    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    .-----------------------------------------------------------------------------.


    ส่วนท่านที่เคยร่วมทำบุญในการสร้างพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ที่มีความประสงค์ในการร่วมทำบุญร่วมสร้างพระบูชา พระอานนท์เถระเจ้า หน้าตัก 16" ขอให้ท่านแจ้งความประสงค์เข้ามา ผมจะแจ้งหมายเลขบัญชีให้ท่านทราบทาง PM

    ส่วนบัญชีที่จะใช้ในการโอนเงินร่วมทำบุญ วันนี้ผมจะไปเปิดบัญชีใหม่ เพื่องานนี้โดยเฉพาะครับ

    ในการร่วมทำบุญครั้งนี้ ผมไม่มีพระวังหน้ามอบให้ครับ

    ส่วนรายละเอียดในการสร้าง ผมจะแจ้งเฉพาะในส่วนที่แจ้งบนบอร์ดได้เท่านั้น

    จำนวนเงินในการสร้างพระบูชา พระอานนท์เถระเจ้า หน้าตัก 16" องค์ละ 13,000 บาท ท่านสามารถร่วมทำบุญทั้งองค์ได้ หรือ ร่วมทำบุญบางส่วนได้ ส่วนการอัญเชิญไปถวายวัด ผมขอสงวนสิทธิ์ในการมอบให้กับท่านสมาชิกชมรมพระวังหน้า เป็นตัวแทนของท่านไปถวายวัดให้ครับ

    หากท่านใดไม่มั่นใจว่า ผมจะนำเงินของท่านไปร่วมทำบุญไปทำบุญไม่ครบตามจำนวนเงินที่ท่านได้ร่วมทำบุญ หรือ ผมมีส่วนได้ส่วนเสียในงานบุญนี้ ก็ไม่ต้องร่วมทำบุญครับ

    ผมขอสงวนสิทธิ์ในการรับพิจารณาสำหรับท่านที่จะร่วมทำบุญ หากท่านใดผมเห็นว่า ไม่ควรที่จะร่วมทำบุญในงานบุญนี้ ผมจะปฎิเสธ โดยแจ้งให้ท่านทราบหน้าบอร์ด(กระทู้พระวังหน้าฯ) นี้ และ ผมไม่แจ้งเหตุผลในการที่ผมปฎิเสธครับ

    สำหรับท่านที่จะร่วมทำบุญ ต้องแจ้งชื่อ - นามสกุล และที่อยู่ให้ผมทราบทางPMก่อนทุกครั้งครับ


    โมทนาสาธุครับ

    .<!-- google_ad_section_end -->
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    "บัวบก" บำรุงสมอง เพิ่มความเยาว์วัยมารดา

    เมื่อกล่าวถึงบัวบก หลายคนคงจะถึงบางอ้อกันเลยทันที เพราะเป็นสมุนไพรที่รู้กันดีว่ามีสรรพคุณแก้ร้อนใน ช้ำใน หรือใครที่กระหายน้ำสามารถดื่มน้ำใบบัวบกที่มีวางขายอยู่ทั่วไปให้ชื่นใจ หมดความกระหายได้เลยทันที น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักสมุนไพรที่เรียกว่า บัวบก

    ในขณะที่อีกมุมหนึ่งของบัวบกที่น้อยคนนักจะรู้จัก นั่นคือ สรรพคุณในการบำรุงสมองไม่แพ้แปะก๊วย อันเป็นที่นิยมในกระแสโลก และมีการรณรงค์ให้ปลูกแปะก๊วยกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งผู้เฒ่าผู้แก่รวมทั้งหมอยาในทุกภาคของไทยได้สืบทอดความรู้เรื่องบัวบก จากรุ่นสู่รุ่น และนำมาใช้ในการบำรุงร่างกาย บำรุงประสาท บำรุงความจำ บำรุงสายตา บำรุงผม บำรุงเอ็น เป็นยาอายุวัฒนะ ใช้ได้ทุกเพศทุกวัยทั้งเด็ก ผู้ใหญ่และคนชรา นอกจากนี้ยังเป็นที่รู้กันดีอีกว่า ชนิดของบัวบกที่มีสรรพคุณที่ดีที่สุดคือ ผักหนอกขม ซึ่งขึ้นตามธรรมชาติ พบเห็นโดยทั่วไป

    ในตำราไทยกล่าวว่า บัวบกมีรสเฝื่อนขมเย็น เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ท้องเสียหรือบิด แก้ลม แก้อ่อนเพลีย เมื่อยล้า เป็นยาบำรุงกำลัง ยาอายุวัฒนะ นอกจากนี้ยังมีผู้รจนาสรรพคุณของบัวบกว่า “กิน 1 เดือน โรคร้ายหายสิ้นมีปัญญา กิน 2 เดือน บริบูรณ์น่ารักมีเสน่ห์ กิน 3 เดือน ริดสีดวงสิบจำพวกหายสิ้น กิน 4 เดือน ลมสิบจำพวกหายสิ้น กิน 5 เดือน โรคร้ายในกายทุเลา กิน 6 เดือน ไม่รู้จักเมื่อยขบ กิน 7 เดือน ผิวกายจะสวยงาม กิน 8 เดือน ร่างกายสมบูรณ์เสียงเพราะ..”

    จากงานศึกษา วิจัยพบว่า บัวบกมีฤทธิ์เช่นเดียวกับแปะก๊วยในการบำรุงสมอง กล่าวคือเพิ่มความสามารถความจำและการเรียนรู้ มีการจดสิทธิบัตรสารสกัดในบัวบกด้านคุณสมบัติช่วยเพิ่มความสามารถในการจำ นอกจากนี้ยังมีการทดลองในสัตว์ด้วย ซึ่งพบว่าบัวบกทำให้ลูกหนูมีความจำและความสามารถในการเรียนรู้ดีขึ้น ทำให้เซลล์สมองของหนูแรกเกิดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความฉลาด ส่วน hippocampal CA3 และแขนงนำสัญญาณประสาทของสมองส่วนที่เรียกว่า อมิกดาลา (amygdala) ซึ่งทำหน้าที่สำคัญในการควบคุมเหตุผลและอารมณ์ มีการพัฒนาการที่ดีกว่าหนูในกลุ่มควบคุม ทำให้ปฏิภาณไหวพริบในการหลบหลีกสิ่งกีดขวางของหนูดีขึ้น ตลอดจนยังเพิ่มสมาธิและความสามารถในการตัดสินใจเฉพาะหน้าในหนูได้อีกด้วย

    ส่วน การศึกษาในมนุษย์พบว่า เด็กปัญญาอ่อนที่กินบัวบกวันละ 500 มิลลิกรัมติดต่อกันสามเดือน มีความสามารถเรียนรู้ได้ดีกว่ากลุ่มควบคุม ส่วนการศึกษาในระดับเซลล์ถึงกลไกการออกฤทธิ์บำรุงสมอง พบว่า บัวบกทำให้การหายใจในระดับเซลล์ของสมองดีขึ้น ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการเสื่อมของเซลล์สมอง คงสภาพปริมาณของสารสื่อประสาท acetylcholine ซึ่งจำเป็นต่อการทำงานของสมอง เสริมฤทธิ์การทำงานของสาร GABA ซึ่งเป็นสารสื่อประสาททำหน้าที่รักษาสมดุลของจิตใจ ทำให้ผ่อนคลายและหลับได้ง่าย นอกจากนี้บัวบกยังทำให้หลอดเลือดมีความแข็งแรง และสามารถนำเลือดไปเลี้ยงในอวัยวะต่างๆ ได้ดีขึ้น เป็นต้น

    จากผลการ ศึกษาวิจัยดังกล่าว บัวบกมีแนวโน้มจะใช้เป็นอาหารเพิ่มไอคิว เพิ่มความฉลาด เพิ่มความสามารถในการจำและการเรียนรู้ในเด็ก โดยเฉพาะในเด็กปัญญาอ่อนรวมไปถึงการใช้ในเด็กสมาธิสั้น เนื่องจากบัวบกทำให้สารในสมองมีความสมดุล คือ มีความสงบผ่อนคลาย และการเพิ่มเลือดไปเลี้ยงสมองทำให้เกิดความสามารถในเรียนรู้ได้ดีขึ้น ส่วนในคนทั่วไปบัวบกจะช่วยชะลออาการของโรคสมองเสื่อมในวัยชรา หรือ Alzheimer รวมทั้งช่วยคลายเครียด ทำให้มีสมาธิในการทำงาน ปัจจุบันในร้านขายผลิตภัณฑ์อาหารสุขภาพในประเทศสหรัฐอเมริกาและอีกหลาย ประเทศ มีบัวบกแคปซูลที่ทำจากผงของบัวบกแห้งวางขายอยู่ในสรรพคุณบำรุงสมอง (brain tonic)

    สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าร่วมเสวนา วิชาการ "บัวบก สมุนไพรมหัศจรรย์ เด็กใช้ได้ ผู้ใหญ่ใช้ดี" ที่ห้องประชุม 302 อาคารเทพรัตน์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล วันที่ 11 สิงหาคม 2554 เวลา 08.00-16.00 น. พิเศษ สำหรับผู้ที่มาเข้าร่วมเสวนา จะมีน้ำมันบัวบกสูตรอายุรเวทที่ทำให้ผมดกดำเงางามแจกให้ฟรี พร้อมสาธิตวิธีการใช้ เพื่อนำไปมอบให้แม่เนื่องในโอกาสวันแม่นี้.


    -http://thaipost.net/x-cite/100811/43128-

    http://thaipost.net/x-cite/100811/43128

    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    [FONT=Tahoma,]เครื่องกัณฑ์เทศน์

    คอลัมน์ ศาลาวัด


    ประเพณี การเทศน์มหาชาติ ปกติมีระหว่างเดือน 12 กับเดือนอ้าย (ตามปฏิทินจันทรคติ) อุบาสกอุบาสิกามักรับเป็นเจ้าภาพกัณฑ์เทศน์คนละ 1 กัณฑ์ ผู้ใดรับเป็นเจ้าของกัณฑ์ใด ก็จัดเครื่องบูชา

    เมื่อถึงเวลาเทศน์ กัณฑ์นั้นก็ทำหน้าที่เป็นเจ้าภาพ เจ้าของกัณฑ์มักจะประกวดกันในการจัดเครื่องบูชา ดอกไม้ ธูปเทียนสำหรับถวายพระนั้น จัดเป็นชุดตามจำนวนพระคาถาในกัณฑ์ที่เป็นเจ้าของเทศน์มหาชาติ เป็นการบำเพ็ญกุศลที่ครึกครื้นในรอบปี

    ชาวบ้านจะช่วยกันตกแต่ง ประดับประดาด้วยต้นกล้วย ต้นอ้อย ให้ดูเป็นป่าสมมติเหมือนกับว่าเป็นนิโครธาราม สถานที่ที่พระ พุทธเจ้าประทานเทศนาเรื่องมหาเวสสันดรชาดก

    นอกจากนี้ ยังประดับประดาด้วยราชวัตรฉัตรธงอีกด้วย เวลาค่ำก็ตามประทีปโคมไฟ ส่วนน้ำที่ตั้งในบริเวณปริมณฑลที่มีการเทศน์มหาชาติ ถือกันว่าเป็นน้ำมนต์ปัดเสียดจัญไร

    สำหรับการจัดเครื่องกัณฑ์เทศน์ ของที่ใส่กระจาดเป็นเครื่องกัณฑ์เทศน์ มีขนมต่างๆ อาหารแห้ง เช่น ข้าวสาร ปลาแห้ง เนื้อเค็ม ส้ม ผลไม้ตามแต่จะหาได้ มักมีกล้วยทั้งเครือ มะพร้าวทั้งทะลาย และอ้อยทั้งต้น ตามคตินิยมว่าเป็นของป่าดังที่มีในเขาวงกต เครื่องกัณฑ์เทศน์ที่ถูกแบบแผนปรากฏในเรื่อง 'ประเพณีการเทศน์มหาชาติ' ของกรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ มีความตอนหนึ่งว่า ...

    เครื่อง กัณฑ์เทศน์ มักมีเครื่องสรรพาหาร ผลไม้กับวัตถุปัจจัย คือ เงินตราเรานี่ดีๆ และผ้าไตร อันนี้เป็นธรรมเนียมไม่ใคร่ขาด ที่มีเครื่องบริขารอื่นต่างๆ เพิ่มเติมอีกด้วยก็มีมาก บริขารสำหรับเทศน์มหาชาติที่ถือว่าถูกแบบแผนนั้น มักจัดเป็นจตุปัจจัย คือ ผ้าไตรนั้นอนุโลมเป็นตัวจีวรปัจจัย สรรพาหาร ผลไม้

    ส่วนวัตถุปัจจัยได้แก่เงินเหรียญติดเทียนซึ่งปักบนเชิงรองพานตั้ง ไว้ หากมีผู้บริจาคเงินเป็นธนบัตรก็ใช้ไม้เล็กๆ คีบธนบัตรปักลงที่เทียนอีกทีหนึ่ง

    นอกจากนี้ ก็ต้องจัดเครื่องบูชากัณฑ์เทศน์ มีเทียนประจำกัณฑ์เล่มหนึ่งขนาดใหญ่พอจุดได้ตลอดเทศน์จบกัณฑ์ ปักไว้ข้างอาสนะสงฆ์ เมื่อพระขึ้นธรรมาสน์ เจ้าของกัณฑ์จะยกเครื่องกัณฑ์ขึ้นตั้งกราบพระผู้ที่จะแสดงเทศนา แล้วจึงจุดเทียนประจำกัณฑ์นี้

    เครื่องบูชาอื่นที่เว้นไม่ได้ คือ ฉัตร ธงรูปชายธง ธูป เทียนคาถา ดอกไม้ อย่างละพันเท่าจำนวนคาถาที่ทั้งเรื่องมีจำนวนหนึ่งพันคาถา มีผ้าเขียนภาพระบายสีหรือปักด้วยไหมเป็นรูปภาพประจำกัณฑ์ทั้ง 13 กัณฑ์ที่เรียกว่า ผ้าพระบฏ

    มีพานหมากใส่พลูถวายพระด้วย จัดเป็นรูปพุ่มประดับด้วยฟักทอง มะละกอ เครื่องสดแกะสลัก ประดับด้วยดอกไม้สด

    ส่วนเทียนคาถาพัน จะแบ่งปักบนขันสาครทำน้ำมนต์เท่าจำนวนคาถาของแต่ละกัณฑ์
    [/FONT]


    -http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdOREV6TURnMU5BPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1TMHdPQzB4TXc9PQ==-


    http://www.khaosod.co.th/view_news....nid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1TMHdPQzB4TXc9PQ==

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    'ความจำถดถอย'จุดเริ่มอัลไซเมอร์! ตรวจพบก่อน...รักษาได้


    อาการหลง ๆ ลืม ๆ เพียงเล็กน้อย ไม่ได้สร้างปัญหาให้การดำเนินชีวิตในประจำวันติดขัด แต่ทราบหรือไม่หากปล่อยทิ้งไว้ อาจเป็น จุดเริ่มต้นของโรคอัลไซเมอร์และกลายเป็นโรคสมองเสื่อมขั้นรุนแรง ในที่สุด ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลงทั้งกับตัวเองและคนรอบข้าง

    ดร.นพ.โยธิน ชินวลัญช์ อายุรแพทย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพ เปิดเผยว่า ปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุที่มากขึ้น จากสถิติของประเทศสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 2000 เฉพาะโรคอัลไซเมอร์มีผู้ป่วยประมาณ 45 ล้านคน เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย สำหรับในประเทศไทยก็อยู่ในช่วงที่ประชาชนมีอายุยืนยาวมากขึ้น ในเพศหญิงเฉลี่ยอายุประมาณ 82 ปี ส่วนผู้ชายประมาณ 79 ปี ฉะนั้นในวัยนี้ความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมจะสูงขึ้นตามอายุ ดังนั้นบ้านเราจึงเป็นประเทศหนึ่งที่มีผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมสูงขึ้นเรื่อย ๆ

    ภาวะสมองเสื่อมมีหลายรูปแบบที่พบมากที่สุดคือโรคอัลไซเมอร์ ประมาณ 65 เปอร์เซ็นต์ของโรคสมองเสื่อม โดยภาวะของสมองเสื่อมในบุคคลที่เป็นอัลไซเมอร์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใด แต่เป็นโรคที่เป็นทีละนิด ๆ สะสมก่อน ซึ่งกระบวนการนี้จะมีพยาธิสภาพในสมองเริ่มต้นจากภาวะปกติและมีวิวัฒนาการจน กระทั่งมีอาการทางคลินิก จึงเรียกว่าเป็นอัลไซเมอร์เต็มตัว ซึ่งอาการจะเริ่มต้นด้วยการสูญเสียความจำ เช่น หลงลืมบ่อยขึ้น ได้แก่ ลืมกุญแจ ลืมปิดประตูบ้าน ลืมปิดไฟ โดยไม่มีความผิดปกติทางร่างกายอย่างอื่น เช่น การเดิน การพูด ระบบประสาทสัมผัส แต่อาการเหล่านี้จะผิดปกติขึ้นในช่วงปลาย ๆ ของตัวโรค เช่น เดินไม่ได้ ถือเป็นภาวะที่ค่อนข้างช้าเกินไปในการรักษา ปัจจุบันจึงยังไม่มีการรักษาที่หายขาด มีแต่ให้ยาช่วยบรรเทาอาการทำให้คนไข้มีคุณภาพชีวิตที่ยังไม่เสื่อมถอยเร็วจน เกินไป

    นอกจากอัลไซเมอร์แล้วยังมี “โรคสมองเสื่อมชนิด Lewy Body Dementia” หรือ LBD พบได้ 30 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยที่มีโรคสมองเสื่อมและส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเพศชาย โดยโรคนี้จะทำลายเซลล์สมองเฉพาะสมองส่วนหน้า พบในคนไข้อายุประมาณ 65 ปี หรือบางคนมากกว่า 45 ปีก็เริ่มเป็นได้ ถึงแม้จำนวนจะน้อยกว่าอัลไซเมอร์ แต่มีอาการรุนแรงกว่า เพราะจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ภายใน 2 ปี “โรคสมองเสื่อมชนิด Fronto-Temporal Dementia” หรือ FTD พบประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ในผู้ป่วยที่เริ่มเกิดโรคสมองเสื่อมในอายุมากกว่า 65 ปี และมักมีปัญหาด้านการพูดที่คล่องแคล่วน้อยลง มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง เช่น โมโหร้าย “โรคสมองเสื่อมจากภาวะสมองอุดตัน” มีเส้นเลือดอุดตันเล็ก ๆ ทำให้เกิดสมองเสื่อมตามมา “โรคสมองเสื่อมจากเชื้อวัวบ้า” เกิดจากทานอาหารที่ติดเชื้อไวรัสหรือไม่ทราบสาเหตุและโรคเอดส์ พาร์กินสัน ภาวะน้ำในโพรงสมองมากเกินไปหรือโรคสมองเสื่อมที่เกิดจากการสัมผัสกับสารพิษ เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารเสพติดทั้งหลายหรือความผิดปกติของโรคทางกาย เช่น การเผาผลาญพลังงานในร่างกายผิดปกติ

    อีกภาวะหนึ่งที่เราเจอได้บ่อยในบุคคลทั่วไปคือ อาการหลงลืมหรือความจำถดถอย ที่เกิดขึ้นถือเป็นรอยต่อของโรคก่อนกลายเป็นอัลไซเมอร์ โดยแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
    1. อาการหลงลืมหรือความจำถดถอยเป็นผลจากอายุที่มากขึ้น(Age-Associated Memory Impairment : AAMI ) พบความชุก 40 เปอร์เซ็นต์ในคนที่อายุ 65 ปีขึ้นไป 2. อาการหลงลืมหรือความจำถดถอยที่ผิดปกติของเซลล์สมอง (Mild Cognitive Impairment : MCI)มีการลดลงของหน่วยความจำเมื่อเทียบกับเพื่อนอายุรุ่นเดียวกัน มีความจำของสมองคล้ายกับอัลไซเมอร์และประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ของคนที่มีภาวะสมองเสื่อม MCI จะพัฒนาเป็นโรคอัลไซเมอร์ทุกปี

    การตรวจวินิจฉัยเบื้องต้นในคนไข้ที่เริ่มความจำไม่ดี เช่น อายุ 45 ปีขึ้นไปมักมีภาวะหลงลืมหรือความจำถดถอยลง ซึ่งคนไข้เหล่านี้จะเสี่ยงในการเป็นอัลไซ
    เมอร์หรือไม่นั้น ปัจจุบันการตรวจทางการแพทย์ที่มีเทคโนโลยีที่ดีขึ้น โดยเราสามารถใช้เครื่องมือตรวจคนไข้กลุ่มนี้ได้ ดังนั้น การตรวจวินิจฉัยเบื้องต้นจึงสำคัญมาก เพราะการรักษาในช่วงต้นของอาการสมองเสื่อมจะช่วยชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อม ต่าง ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยา การแนะนำให้อ่านหนังสือ การเล่นเกม และการทำกิจกรรมส่งเสริมเรื่องความจำ โดยวิธีต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้สมองเสื่อมช้าลง

    การแยกโรคก็ถือว่าสำคัญเช่นกัน โดยแพทย์ต้องวินิจฉัยได้ถูกต้องจึงจะสามารถรักษาได้ตรงจุด เพราะการรักษาโรคสมองเสื่อมแต่ละชนิดนั้นมีการบำบัดรักษาที่แตกต่างกัน เช่น โรคอัลไซเมอร์มีการใช้ยาบำบัดแต่ยังไม่สามารถทำให้หายขาดได้ แค่ช่วยชะลอตัวโรคเท่านั้น ซึ่งตัวยาจะไปเพิ่มสารเคมีตัวหนึ่งในสมองทำให้สมองเสื่อมช้าลง แต่โรคสมองเสื่อมบางอย่างไม่มีการขาดสารเหล่านี้ทำให้การรับประทานยาไม่เกิด ประโยชน์ เช่น คนไข้ที่เป็นโรคสมองเสื่อมแบบ FTD จะมีอาการจิตเวชก่อน เช่น อาการซึมเศร้า จึงไปหาจิตแพทย์และรับการรักษาอยู่นาน จนกระทั่งพบว่าไม่ได้เป็นโรคจิตเวช แต่เป็นโรคสมองเสื่อม ซึ่งเราจะเห็นว่าแต่ละโรคจะมีการบริหารจัดการในการรักษาแตกต่างอย่างชัดเจน

    ปัจจุบันเราจึงมีการใช้เครื่อง PET Scan ช่วยในการตรวจวินิจฉัยภาวะเริ่มต้นของสมองเสื่อมร่วมกับข้อมูลทางคลินิก จากการศึกษาพบว่าช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยได้สูงถึง 91.5 เปอร์ เซ็นต์เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ใช้แม่นยำเพียง 66 เปอร์เซ็นต์ และกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมแล้ว เครื่อง PET Scan จะช่วยในการแยกชนิดของโรคได้ว่าเป็นชนิดใด เพราะการรู้ชนิดของโรคจะทำให้ทราบว่าควรให้การรักษาอย่างไร หลักการของ PET Scan จะให้ข้อมูลเป็นภาพถ่ายที่ไม่เหมือนกับ MRI เพราะ MRI จะบอกแต่โครงสร้าง แต่ PET Scan จะบ่งบอกถึงการทำงานของเซลล์สมอง โดยสามารถวัดการทำงานของเซลล์สมองได้ด้วยการฉีดสารที่ไม่มีอันตรายต่อมนุษย์ เข้าไปและสามารถดูการเปลี่ยน แปลงของเซลล์ในสมองได้ ซึ่งในส่วนที่มีความผิดปกติจะจับหรือใช้สารกลูโคสน้อยลง จากนั้นประมวลออกมาเป็นภาพการทำงานของเซลล์สมองในร่างกาย

    ดังนั้นหากเรารู้จักสังเกตอาการภาวะสมองที่ถดถอยลง ได้แก่ ความจำไม่เหมือนเดิม มีพฤติกรรมหรืออารมณ์เปลี่ยน แปลงไป เช่น เคยเป็นคนสุภาพเรียบร้อยก็กลายเป็นคนโกรธง่าย หรือบางคนมีพฤติกรรมซ้ำ ๆ หรือบางคนก็เก็บตัว ไม่นอนกลางคืน หรืออาการที่พบบ่อยในระยะแรกเริ่ม ได้แก่ มีปัญหาด้านการเรียนรู้ ใครบอกอะไรแล้วไม่จำ ซึ่งแต่ก่อนไม่เป็น มีความลำบากในการใช้ภาษา นึกชื่อสิ่งของไม่ออกว่าชื่ออะไร มีปัญหาเรื่องความจำ จำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวันไม่ค่อยได้ และอาการเหล่านี้เป็นมากขึ้นต่อเนื่องหรือบ่อยขึ้น ควรรีบมาตรวจเพื่อพบเจอรอยโรคก่อนนำไปสู่การรักษาที่ถูกต้องช่วยชะลออาการ

    นอกจากการตรวจที่ทันท่วงทีแล้วการป้องกันถือว่าเป็นวิธีที่ดีมากที่เราต้อง ระวังปัจจัยเสี่ยง เช่น หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง หวาน มัน เค็ม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด พยายามออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงความเครียด ตรวจวัดความดันโลหิตสม่ำเสมอ ตรวจสุขภาพประจำปี ระวังเรื่องการใช้ยา ระวังอุบัติเหตุโดยเฉพาะที่ศีรษะ ทำกิจกรรมที่มีการฝึกสมอง เช่น อ่านหนังสือ การเล่นต่อคำ การเล่นไพ่ตอง การเล่นดนตรี การร้องเพลง เต้นรำ และสุดท้ายหากใครเริ่มมีอาการหลงลืมมากผิดปกติ หรือมีญาติผู้ใหญ่ที่ต้องสงสัยควรรีบพามาพบแพทย์เพื่อตรวจและรักษาได้ทัน ท่วงที.

    สรรหามาบอก

    -กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จัดงาน ’ประชุมวิชาการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4“ ใน วันที่ 17-19 สิงหาคม 2554 เวลา 09.00-20.00 น. ณ ฮอลล์ 9 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เชิญชวนประชาชนผู้สนใจร่วมงานและชมนิทรรศการความรู้ต่าง ๆ รวมทั้งบริการตรวจสุขภาพฟรี เช่น สุขภาพช่องปาก ไขมันในร่างกาย คัดกรองมะเร็งปากมดลูก ตรวจวัดสายตาและตัดแว่น ฯลฯ สนใจลงทะเบียนล่วงหน้าหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.0-2590-4153, 0-2590-4157

    -โรงพยาบาลปิยะเวท ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมงาน ’The Eye Story ครบเครื่องเรื่องตา“ ในวันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม 2554 ตั้งแต่เวลา 09.00–14.00 น. ณ โรงพยาบาลปิยะเวท ภายในงานมีบริการตรวจวัดสายตา วัดจอประสาทตา โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และขอเชิญชวนร่วมบริจาคแว่นตาที่ไม่ใช้แล้ว เพื่อนำไปมอบให้กับเด็กนักเรียนผู้ยากไร้ที่มีความบกพร่องทางสายตากับ โครงการ ’แบ่งปันแว่น“ ของมูลนิธิโรงพยาบาลปิยะเวท สนใจโทร. 0-2625-6555

    -โรงพยาบาลบีเอ็นเอช ขอเชิญคุณผู้หญิงที่มีภาวะความเสี่ยงกระดูกพรุนหรือมีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปเข้ารับการตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูกเบื้องต้นได้โดยไม่เสียค่า ใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 19-20 สิงหาคม 2554 เวลา 10.00-18.00 น. ณ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช สอบถาม โทร. 0-2686-2828
    เคล็ดลับสุขภาพดี : วิธีดูแลกระดูกสันหลังให้แข็งแรง...มีอายุยืนยาว

    โรคกระดูก นับเป็นสาเหตุหนึ่งที่บั่นทอนสุขภาพ โดยเฉพาะในส่วนของกระดูกสันหลังเพราะมีความสำคัญต่อระบบโครงสร้างร่างกาย หากมีความผิดปกติจะทำให้เกิดการเจ็บปวด เช่น ปวดหลัง ปวดคอ สร้างความทุกข์ในการดำเนินชีวิตประจำวันได้

    ดร.โจเซฟ ซูเร็ตต์ ไคโรแพรคเตอร์ ชาวสหรัฐอเมริกา ประจำสถาบันพัฒนาโครงสร้างดีสปายน์ ให้ความรู้ว่า กระดูกสันหลังของคนเราจะมีจำนวน 33 ชิ้น แบ่งเป็น 5 ส่วน หากการทำงานของกระดูกสันหลังส่วนใดส่วนหนึ่งคลาดเคลื่อน บิดตัว จะเกิดอาการปวดต่าง ๆ ได้ เช่น ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเอว ปวดไหล่ จึงต้องได้รับการรักษา แต่การป้องกันดูแลกระดูกสันหลังให้แข็งแรงจะเป็นวิธีที่ดีกว่า

    โดยวิธีดูแลรักษาทำได้โดย

    1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอน ท่านอนที่ดีที่สุดคือ นอนหงาย เพราะเป็นการรองรับกระดูกสันหลังได้เป็นอย่างดี ไม่ควรนอนคว่ำ เพราะเราต้องบิดลำคอไปด้านใดด้านหนึ่งทำให้กระดูกสันหลังบริเวณคอเกิดความ ตึง อาจทำให้เกิดอาการล็อกหรือเรียกว่า คอตกหมอน หากเป็นเช่นนี้เวลานานจะทำให้ข้อกระดูกกดทับเส้นประสาทจะมีอาการปวดคอ ปวดศีรษะ และข้อต่อกระดูกเสื่อมเร็ว

    2. การนั่งควรนั่งบนเก้าอี้ที่มีส่วนพนักพิงข้างหลัง หลังตรง ข้อศอกตั้งฉาก 90 องศา เท้าสัมผัสกับพื้น ลุกขึ้นและผ่อนคลายบ่อย ๆ

    3. การยกของแต่ละครั้งควรพยายามให้หลังโค้งตามธรรมชาติอยู่เสมอ โดยวิธีการที่ดีและช่วยป้องกันไม่ให้ปวดหลังคือ การยกตะโพกและงอเข่าช่วยทุกครั้งเมื่อยกของหนัก

    4. ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่มีสารเคมี เช่น ผงชูรส ยาฆ่าแมลง ควรรับประทานอาหารที่มี Probiotics และ Prebiotics จะช่วยทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมแร่ธาตุบางชนิดที่จำเป็นและมีความสำคัญต่อ กระดูก แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียมและสังกะสี โดยอาหารที่มี Prebiotics พบมากในหัวหอม กล้วย กระเทียม หน่อไม้ฝรั่ง มะเขือเทศ ข้าวสาลี น้ำผึ้ง ส่วน Prebiotics ได้แก่ ผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยว โยเกิร์ต

    นอกจากนี้ควรสัมผัสกับแสงแดดในตอนเช้าประมาณ 20 นาทีต่อวันเพราะวิตามินดีจากแสงอาทิตย์จะช่วยเสริมสร้างกระดูก ควรดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำทุกวันโดยเฉพาะช่วงเช้าเวลาตื่นนอนจะช่วยทำให้ เซลล์ในร่างกายคงรูปทำงานได้ดีสามารถนำอาหารไปเลี้ยงกล้ามเนื้อต่าง ๆ ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของกล้ามเนื้อ กระดูก และช่วยหล่อไขข้อต่าง ๆ ของร่างกาย ที่สำคัญควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยบริหารกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นก่อนเล่นเพื่อป้องกันการฉีกขาดของกล้าม เนื้อ.

    ทีมวาไรตี้


    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=486&contentId=156912-

    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ที่มาของวันสารทจีน


    [​IMG]


    14 ส.ค.ปีนี้ ตรงกับวันสารทจีน หรือวันแสดงความเคารพต่อบรรพบุรุษของชาวจีนโดยการเซ่นไหว้ วันสำคัญนี้มีที่มาที่ไปอย่างไรไปดูกัน

    วันสารทจีน ตรงกับวันที่ 15 เดือน 7 ตามปฏิทินโบราณของชาวจีน ถือเป็นวันสำคัญที่ลูกหลาน จะแสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษ โดยพิธีเซ่นไหว้ เนื่องจากเป็นเดือนที่ประตูนรกเปิดให้วิญญาณทั้งหลายมารับกุศลผลบุญ ซึ่งนอกจากจะเป็นประเพณีที่ลูกหลานจะได้แสดงความกตัญญูต่อบรรพบุรุษที่ล่วง ลับแล้ว ยังเป็นประเพณีที่สนับสนุนให้คนในครอบครัวทำกิจกรรมร่วมกันอย่างพร้อมหน้า พร้อมตาอีกด้วย

    ตามตำนานเล่าว่า วันนี้เป็นวันที่ยมบาลจะตรวจดูบัญชีวิญญาณคนตาย แล้วส่งคนดีขึ้นสวรรค์ และคนชั่วลงนรก อย่างที่เราเคยได้ยินกันตอนเด็ก ๆ ชาวจีนจึงได้ทำบุญให้แก่วิญญาณร้าย ประตูนรกจึงเปิดให้วิญญาณร้ายเหล่านี้ มารับผลบุญกุศลที่มีคนอุทิศให้ หรืออีกตำนานหนึ่งก็คือ มีหญิงนางหนึ่งได้ทำบาปโดยการหลอกให้คนกินเจกินน้ำมันหมู เมื่อตายไปจึงตกนรกและรับผลกรรมที่ตนเองก่อ ลูกชายมีญาณวิเศษ เห็นมารดาทุกข์ทรมานจึงรู้สึกสงสาร อยากจะรับโทษแทน แต่พระพุทธเจ้าได้ลงมาโปรดและบอกว่ากรรมใดใครก่อ ก็ต้องย่อมเป็นของผู้นั้น และได้มอบคัมภีร์เล่มหนึ่งให้สวดพร้อมทั้งถวายอาหารทุกปีในเดือนที่ประตูนรก เปิด จะสามารถช่วยมารดาของเขาให้พ้นโทษได้ จึงเป็นที่มาของประเพณีนี้

    ชาวจีนจึงถือเป็นประเพณีสืบต่อกันมา โดยจะนำอาหารทั้งคาวหวาน กระดาษเงินกระดาษทองไปเซ่นไหว้ ทั้งนี้ของไหว้ต้องแบ่งออกเป็น 3 ชุด คือ สำหรับไหว้เจ้าที่ สำหรับไหว้บรรพบุรุษ และสำหรับไหว้วิญญาณเร่ร่อนหรือวิญญาณไม่มีญาติ สำหรับคนไทยเชื้อสายจีนมักใช้ขนมเทียน และขนมเข่งในการไหว้ ของคาวที่นิยมใช้ไหว้ก็มีทั้ง ไก่ หมู เป็ด ไข่ ปลาหมึก ปลา ของหวานก็เช่น ขนมเทียน ขนมถ้วยฟู หรือขนมสาลี่ปุยฝ้าย ขนมเปี๊ยะ ส้ม หรือผลไม้ตามใจชอบ.

    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=157034-

    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.html-

    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=424&contentId=157034

    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    อาหาร-ของหวานเพื่อละศีลอด

    [​IMG]




    [​IMG]

    ยำปลาดุกฟู




    [​IMG]




    ตลาดอาหาร-ของหวาน “จะบังติกอ” คึกคักมุสลิมช่วงเดือนธรรม “รอมฎอน” โดยอนุสรณ์ นินวน-เรื่อง-ภาพ

    เดือนรอมฎอนของ ชาวมุสลิมถูกบัญญัติให้ประชาชาติมุสลิมทั่วโลกได้ปฏิบัติธรรมตามหลักศาสนา คือการถือศีลอด โดยจะงดเว้นการดื่มกินอาหารเป็นเวลารวม 30 วัน ระหว่างช่วงเวลาหลังก่อนอรุณร่งจนถึงก่อนตะวันลับขอบฟ้าของแต่ละวัน สำหรับปีนี้การถือศีลอดได้เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2554 จะไปหมดเดือนรอมฎอนราววันที่ 29 หรือ 30 สิงหาคมนี้

    ฉะนั้น การบริโภคอาหารถือเป็นความสำคัญ-จำเป็นอย่างหนึ่งในช่วงเดือนนี้ ประชาชาติมุสลิมจะบริโภคอาหารที่ค่อนข้างให้ความสำคัญเป็นพิเศษ นอกจากปรุงอาหารเองในครอบครัวแล้ว ก็จะมีร้านค้าทำอาหารของหวานจำหน่ายอีกด้วย ย่านหนึ่งใน จ.ปัตตานี ที่จำหน่ายอาหาร-ของหวานกันอย่างคึกคัก ด้วยบรรดาพ่อค้าแม่ขายและผู้จับจ่ายซื้อซึ่งมากเป็นพิเศษ คือบริเวณ ย่านถนนยะรัง ซอย 6 ในเขต ต.จะบังติกอ เขตเทศบาลเมืองปัตตานี ทุกๆ ปีในช่วงเดือนรอมฎอนจะคึกคักอย่างมาก ปีนี้ก็เช่นเดียวกัน ผู้คนจะมาซื้ออาหารปรุงเสร็จ-ของหวานเพื่อ “การละศีลอด” หรือตามภาษามลายูท้องถิ่นเรียกว่าอาหารสำหรับ “บูกอปอซอ” หรืออาหาร “แก้บวช-เปิดบวช” นั่นเอง
    อาหารพื้นถิ่นที่จำหน่ายมากเป็นพิเศษ จะเป็น ข้าวยำ, โรตี, มะตะบะ, แกงสารพัดชนิด, ซุปเครื่องในวัว, แกงแพะ, ผลอิทผลัม (จะถูกส่งตรงมาจากตะวันออกกลางชนิดสดๆ จากต้นเลยทีเดียว) รวมทั้งประเภทของหวานนานาชนิด อาทิ น้ำชา, กาแฟ, โกปี, น้ำมะพร้าว, น้ำอ้อย ผลไม้นานาชนิด
    ทำให้บรรดาพ่อค้าแม่ขายอาหารมุสลิมช่วงนี้มีรายได้เป็น กอบเป็นกำ ซึ่งบรรยากาศบริเวณย่านดังกล่าวจะคึกคักอบอุ่นด้วยชาวมุสลิม เริ่มตั้งแต่เวลาราวบ่ายแก่ๆ ของแต่ละวันไปจนถึงเวลาก่อนจะละศีลอดของแต่ละวัน
    ที่พิเศษเป็นพิเศษ ผู้เขียนสังเกตมีอยู่ร้านหนึ่งเป็นเพิงเล็กๆ ตรงมุมถนนใต้ “ป้ายชุมชนจะบังติกอ” ขาย น้ำชา ชาเย็น ชาเขียว โอวัลติน ร้านนี้ลูกค้าจะแน่นขนัดต้องจองกันตามคิว ใครมาก็รับบัตรคิวแล้วเขียนรายการให้เจ้าของร้าน ซึ่งร้านนี้ลูกค้าเรียกว่า “ร้านชาระดับเทพ” เป็นชาที่เมื่อบริโภคแล้วจะติดใจ ทราบมาว่าชาร้านนี้สั่งตรงมาจากประเทศมาเลเซีย ซึ่งให้รสชาติที่กลมกล่อม หอมกรุ่น ติดอกติดใจกันอย่างมาก
    ฉะนั้น จะเห็นได้ว่าการบริโภคอาหารที่ถูกให้ความสำคัญของชาวมุสลิมในช่วงเดือนนี้ ถือเป็นวัฒนธรรมการบริโภคอย่างหนึ่งที่สืบสานมายาวนาน ดังเช่นการจำหน่ายกันอย่างคึกคักในย่านดังกล่าว
    สลามัตรอมฎอน
    สวัสดีเดือนธรรมรอมฎอนแห่งการถือศีลอด
    สลามัตดาตัง สู่ปัตตานี
    ขอต้อนรับสู่ดินแดนแห่งสันติสุขปัตตานี
    แด่ทุกท่านที่มาเยือน

    -http://www.komchadluek.net/detail/20110814/105913/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%A8%E0%B8%B5%E0%B8%A5%E0%B8%AD%E0%B8%94.html-

    .
     
  20. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    'ความจำถดถอย'จุดเริ่มอัลไซเมอร์! ตรวจพบก่อน...รักษาได้

    วันอาทิตย์ ที่ 14 สิงหาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD><TD id=ext-gen16 style="WIDTH: 57px">รูปภาพ</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG]



    [​IMG]

    อาการหลง ๆ ลืม ๆ เพียงเล็กน้อย ไม่ได้สร้างปัญหาให้การดำเนินชีวิตในประจำวันติดขัด แต่ทราบหรือไม่หากปล่อยทิ้งไว้ อาจเป็น จุดเริ่มต้นของโรคอัลไซเมอร์และกลายเป็นโรคสมองเสื่อมขั้นรุนแรง ในที่สุด ส่งผลให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลงทั้งกับตัวเองและคนรอบข้าง

    ดร.นพ.โยธิน ชินวลัญช์ อายุรแพทย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพ เปิดเผยว่า ปัจจุบันจำนวนผู้ป่วยโรคสมองเสื่อมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามอายุที่มากขึ้น จากสถิติของประเทศสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 2000 เฉพาะโรคอัลไซเมอร์มีผู้ป่วยประมาณ 45 ล้านคน เป็นเพศหญิงมากกว่าเพศชาย สำหรับในประเทศไทยก็อยู่ในช่วงที่ประชาชนมีอายุยืนยาวมากขึ้น ในเพศหญิงเฉลี่ยอายุประมาณ 82 ปี ส่วนผู้ชายประมาณ 79 ปี ฉะนั้นในวัยนี้ความเสี่ยงของโรคสมองเสื่อมจะสูงขึ้นตามอายุ ดังนั้นบ้านเราจึงเป็นประเทศหนึ่งที่มีผู้ป่วยภาวะสมองเสื่อมสูงขึ้นเรื่อย ๆ

    ภาวะสมองเสื่อมมีหลายรูปแบบที่พบมากที่สุดคือโรคอัลไซเมอร์ ประมาณ 65 เปอร์เซ็นต์ของโรคสมองเสื่อม โดยภาวะของสมองเสื่อมในบุคคลที่เป็นอัลไซเมอร์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นทันทีทันใดแต่เป็นโรคที่เป็นทีละนิด ๆ สะสมก่อน ซึ่งกระบวนการนี้จะมีพยาธิสภาพในสมองเริ่มต้นจากภาวะปกติและมีวิวัฒนาการจนกระทั่งมีอาการทางคลินิก จึงเรียกว่าเป็นอัลไซเมอร์เต็มตัว ซึ่งอาการจะเริ่มต้นด้วยการสูญเสียความจำ เช่น หลงลืมบ่อยขึ้น ได้แก่ ลืมกุญแจ ลืมปิดประตูบ้าน ลืมปิดไฟ โดยไม่มีความผิดปกติทางร่างกายอย่างอื่น เช่น การเดิน การพูด ระบบประสาทสัมผัส แต่อาการเหล่านี้จะผิดปกติขึ้นในช่วงปลาย ๆ ของตัวโรค เช่น เดินไม่ได้ ถือเป็นภาวะที่ค่อนข้างช้าเกินไปในการรักษา ปัจจุบันจึงยังไม่มีการรักษาที่หายขาด มีแต่ให้ยาช่วยบรรเทาอาการทำให้คนไข้มีคุณภาพชีวิตที่ยังไม่เสื่อมถอยเร็วจนเกินไป

    นอกจากอัลไซเมอร์แล้วยังมี “โรคสมองเสื่อมชนิด Lewy Body Dementia” หรือ LBD พบได้ 30 เปอร์เซ็นต์ของผู้ป่วยที่มีโรคสมองเสื่อมและส่วนใหญ่เกิดขึ้นในเพศชาย โดยโรคนี้จะทำลายเซลล์สมองเฉพาะสมองส่วนหน้า พบในคนไข้อายุประมาณ 65 ปี หรือบางคนมากกว่า 45 ปีก็เริ่มเป็นได้ ถึงแม้จำนวนจะน้อยกว่าอัลไซเมอร์ แต่มีอาการรุนแรงกว่า เพราะจะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ภายใน 2 ปี “โรคสมองเสื่อมชนิด Fronto-Temporal Dementia” หรือ FTD พบประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ในผู้ป่วยที่เริ่มเกิดโรคสมองเสื่อมในอายุมากกว่า 65 ปี และมักมีปัญหาด้านการพูดที่คล่องแคล่วน้อยลง มีพฤติกรรมเปลี่ยนแปลง เช่น โมโหร้าย “โรคสมองเสื่อมจากภาวะสมองอุดตัน” มีเส้นเลือดอุดตันเล็ก ๆ ทำให้เกิดสมองเสื่อมตามมา “โรคสมองเสื่อมจากเชื้อวัวบ้า” เกิดจากทานอาหารที่ติดเชื้อไวรัสหรือไม่ทราบสาเหตุและโรคเอดส์ พาร์กินสัน ภาวะน้ำในโพรงสมองมากเกินไปหรือโรคสมองเสื่อมที่เกิดจากการสัมผัสกับสารพิษ เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สารเสพติดทั้งหลายหรือความผิดปกติของโรคทางกาย เช่น การเผาผลาญพลังงานในร่างกายผิดปกติ

    อีกภาวะหนึ่งที่เราเจอได้บ่อยในบุคคลทั่วไปคือ อาการหลงลืมหรือความจำถดถอย ที่เกิดขึ้นถือเป็นรอยต่อของโรคก่อนกลายเป็นอัลไซเมอร์ โดยแบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ
    1. อาการหลงลืมหรือความจำถดถอยเป็นผลจากอายุที่มากขึ้น(Age-Associated Memory Impairment : AAMI ) พบความชุก 40 เปอร์เซ็นต์ในคนที่อายุ 65 ปีขึ้นไป 2. อาการหลงลืมหรือความจำถดถอยที่ผิดปกติของเซลล์สมอง (Mild Cognitive Impairment : MCI)มีการลดลงของหน่วยความจำเมื่อเทียบกับเพื่อนอายุรุ่นเดียวกัน มีความจำของสมองคล้ายกับอัลไซเมอร์และประมาณ 15 เปอร์เซ็นต์ของคนที่มีภาวะสมองเสื่อม MCI จะพัฒนาเป็นโรคอัลไซเมอร์ทุกปี

    การตรวจวินิจฉัยเบื้องต้นในคนไข้ที่เริ่มความจำไม่ดี เช่น อายุ 45 ปีขึ้นไปมักมีภาวะหลงลืมหรือความจำถดถอยลง ซึ่งคนไข้เหล่านี้จะเสี่ยงในการเป็นอัลไซ
    เมอร์หรือไม่นั้น ปัจจุบันการตรวจทางการแพทย์ที่มีเทคโนโลยีที่ดีขึ้น โดยเราสามารถใช้เครื่องมือตรวจคนไข้กลุ่มนี้ได้ ดังนั้น การตรวจวินิจฉัยเบื้องต้นจึงสำคัญมาก เพราะการรักษาในช่วงต้นของอาการสมองเสื่อมจะช่วยชะลอการเกิดโรคสมองเสื่อมต่าง ๆ ตามมา ไม่ว่าจะเป็นการใช้ยา การแนะนำให้อ่านหนังสือ การเล่นเกม และการทำกิจกรรมส่งเสริมเรื่องความจำ โดยวิธีต่าง ๆ เหล่านี้จะทำให้สมองเสื่อมช้าลง

    การแยกโรคก็ถือว่าสำคัญเช่นกัน โดยแพทย์ต้องวินิจฉัยได้ถูกต้องจึงจะสามารถรักษาได้ตรงจุด เพราะการรักษาโรคสมองเสื่อมแต่ละชนิดนั้นมีการบำบัดรักษาที่แตกต่างกัน เช่น โรคอัลไซเมอร์มีการใช้ยาบำบัดแต่ยังไม่สามารถทำให้หายขาดได้ แค่ช่วยชะลอตัวโรคเท่านั้น ซึ่งตัวยาจะไปเพิ่มสารเคมีตัวหนึ่งในสมองทำให้สมองเสื่อมช้าลง แต่โรคสมองเสื่อมบางอย่างไม่มีการขาดสารเหล่านี้ทำให้การรับประทานยาไม่เกิดประโยชน์ เช่น คนไข้ที่เป็นโรคสมองเสื่อมแบบ FTD จะมีอาการจิตเวชก่อน เช่น อาการซึมเศร้า จึงไปหาจิตแพทย์และรับการรักษาอยู่นาน จนกระทั่งพบว่าไม่ได้เป็นโรคจิตเวช แต่เป็นโรคสมองเสื่อม ซึ่งเราจะเห็นว่าแต่ละโรคจะมีการบริหารจัดการในการรักษาแตกต่างอย่างชัดเจน

    ปัจจุบันเราจึงมีการใช้เครื่อง PET Scan ช่วยในการตรวจวินิจฉัยภาวะเริ่มต้นของสมองเสื่อมร่วมกับข้อมูลทางคลินิก จากการศึกษาพบว่าช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยได้สูงถึง 91.5 เปอร์ เซ็นต์เมื่อเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้ใช้แม่นยำเพียง 66 เปอร์เซ็นต์ และกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคสมองเสื่อมแล้ว เครื่อง PET Scan จะช่วยในการแยกชนิดของโรคได้ว่าเป็นชนิดใด เพราะการรู้ชนิดของโรคจะทำให้ทราบว่าควรให้การรักษาอย่างไร หลักการของ PET Scan จะให้ข้อมูลเป็นภาพถ่ายที่ไม่เหมือนกับ MRI เพราะ MRI จะบอกแต่โครงสร้าง แต่ PET Scan จะบ่งบอกถึงการทำงานของเซลล์สมอง โดยสามารถวัดการทำงานของเซลล์สมองได้ด้วยการฉีดสารที่ไม่มีอันตรายต่อมนุษย์เข้าไปและสามารถดูการเปลี่ยน แปลงของเซลล์ในสมองได้ ซึ่งในส่วนที่มีความผิดปกติจะจับหรือใช้สารกลูโคสน้อยลง จากนั้นประมวลออกมาเป็นภาพการทำงานของเซลล์สมองในร่างกาย

    ดังนั้นหากเรารู้จักสังเกตอาการภาวะสมองที่ถดถอยลง ได้แก่ ความจำไม่เหมือนเดิม มีพฤติกรรมหรืออารมณ์เปลี่ยน แปลงไป เช่น เคยเป็นคนสุภาพเรียบร้อยก็กลายเป็นคนโกรธง่าย หรือบางคนมีพฤติกรรมซ้ำ ๆ หรือบางคนก็เก็บตัว ไม่นอนกลางคืน หรืออาการที่พบบ่อยในระยะแรกเริ่ม ได้แก่ มีปัญหาด้านการเรียนรู้ ใครบอกอะไรแล้วไม่จำ ซึ่งแต่ก่อนไม่เป็น มีความลำบากในการใช้ภาษา นึกชื่อสิ่งของไม่ออกว่าชื่ออะไร มีปัญหาเรื่องความจำ จำเรื่องราวที่เกิดขึ้นในแต่ละวันไม่ค่อยได้ และอาการเหล่านี้เป็นมากขึ้นต่อเนื่องหรือบ่อยขึ้น ควรรีบมาตรวจเพื่อพบเจอรอยโรคก่อนนำไปสู่การรักษาที่ถูกต้องช่วยชะลออาการ

    นอกจากการตรวจที่ทันท่วงทีแล้วการป้องกันถือว่าเป็นวิธีที่ดีมากที่เราต้องระวังปัจจัยเสี่ยง เช่น หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง หวาน มัน เค็ม เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด พยายามออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงความเครียด ตรวจวัดความดันโลหิตสม่ำเสมอ ตรวจสุขภาพประจำปี ระวังเรื่องการใช้ยา ระวังอุบัติเหตุโดยเฉพาะที่ศีรษะ ทำกิจกรรมที่มีการฝึกสมอง เช่น อ่านหนังสือ การเล่นต่อคำ การเล่นไพ่ตอง การเล่นดนตรี การร้องเพลง เต้นรำ และสุดท้ายหากใครเริ่มมีอาการหลงลืมมากผิดปกติ หรือมีญาติผู้ใหญ่ที่ต้องสงสัยควรรีบพามาพบแพทย์เพื่อตรวจและรักษาได้ทันท่วงที.

    สรรหามาบอก

    -กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข จัดงาน ’ประชุมวิชาการส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ครั้งที่ 4“ ใน วันที่ 17-19 สิงหาคม 2554 เวลา 09.00-20.00 น. ณ ฮอลล์ 9 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เชิญชวนประชาชนผู้สนใจร่วมงานและชมนิทรรศการความรู้ต่าง ๆ รวมทั้งบริการตรวจสุขภาพฟรี เช่น สุขภาพช่องปาก ไขมันในร่างกาย คัดกรองมะเร็งปากมดลูก ตรวจวัดสายตาและตัดแว่น ฯลฯ สนใจลงทะเบียนล่วงหน้าหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร.0-2590-4153, 0-2590-4157

    -โรงพยาบาลปิยะเวท ขอเชิญผู้สนใจเข้าร่วมงาน ’The Eye Story ครบเครื่องเรื่องตา“ ในวันเสาร์ที่ 20 สิงหาคม 2554 ตั้งแต่เวลา 09.00–14.00 น. ณ โรงพยาบาลปิยะเวท ภายในงานมีบริการตรวจวัดสายตา วัดจอประสาทตา โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และขอเชิญชวนร่วมบริจาคแว่นตาที่ไม่ใช้แล้ว เพื่อนำไปมอบให้กับเด็กนักเรียนผู้ยากไร้ที่มีความบกพร่องทางสายตากับโครงการ ’แบ่งปันแว่น“ ของมูลนิธิโรงพยาบาลปิยะเวท สนใจโทร. 0-2625-6555

    -โรงพยาบาลบีเอ็นเอช ขอเชิญคุณผู้หญิงที่มีภาวะความเสี่ยงกระดูกพรุนหรือมีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไปเข้ารับการตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูกเบื้องต้นได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตั้งแต่วันที่ 19-20 สิงหาคม 2554 เวลา 10.00-18.00 น. ณ โรงพยาบาลบีเอ็นเอช สอบถาม โทร. 0-2686-2828
    เคล็ดลับสุขภาพดี : วิธีดูแลกระดูกสันหลังให้แข็งแรง...มีอายุยืนยาว

    โรคกระดูก นับเป็นสาเหตุหนึ่งที่บั่นทอนสุขภาพ โดยเฉพาะในส่วนของกระดูกสันหลังเพราะมีความสำคัญต่อระบบโครงสร้างร่างกาย หากมีความผิดปกติจะทำให้เกิดการเจ็บปวด เช่น ปวดหลัง ปวดคอ สร้างความทุกข์ในการดำเนินชีวิตประจำวันได้

    ดร.โจเซฟ ซูเร็ตต์ ไคโรแพรคเตอร์ ชาวสหรัฐอเมริกา ประจำสถาบันพัฒนาโครงสร้างดีสปายน์ ให้ความรู้ว่า กระดูกสันหลังของคนเราจะมีจำนวน 33 ชิ้น แบ่งเป็น 5 ส่วน หากการทำงานของกระดูกสันหลังส่วนใดส่วนหนึ่งคลาดเคลื่อน บิดตัว จะเกิดอาการปวดต่าง ๆ ได้ เช่น ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเอว ปวดไหล่ จึงต้องได้รับการรักษา แต่การป้องกันดูแลกระดูกสันหลังให้แข็งแรงจะเป็นวิธีที่ดีกว่า

    โดยวิธีดูแลรักษาทำได้โดย

    1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการนอน ท่านอนที่ดีที่สุดคือ นอนหงาย เพราะเป็นการรองรับกระดูกสันหลังได้เป็นอย่างดี ไม่ควรนอนคว่ำ เพราะเราต้องบิดลำคอไปด้านใดด้านหนึ่งทำให้กระดูกสันหลังบริเวณคอเกิดความตึง อาจทำให้เกิดอาการล็อกหรือเรียกว่า คอตกหมอน หากเป็นเช่นนี้เวลานานจะทำให้ข้อกระดูกกดทับเส้นประสาทจะมีอาการปวดคอ ปวดศีรษะ และข้อต่อกระดูกเสื่อมเร็ว

    2. การนั่งควรนั่งบนเก้าอี้ที่มีส่วนพนักพิงข้างหลัง หลังตรง ข้อศอกตั้งฉาก 90 องศา เท้าสัมผัสกับพื้น ลุกขึ้นและผ่อนคลายบ่อย ๆ

    3. การยกของแต่ละครั้งควรพยายามให้หลังโค้งตามธรรมชาติอยู่เสมอ โดยวิธีการที่ดีและช่วยป้องกันไม่ให้ปวดหลังคือ การยกตะโพกและงอเข่าช่วยทุกครั้งเมื่อยกของหนัก

    4. ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ไม่มีสารเคมี เช่น ผงชูรส ยาฆ่าแมลง ควรรับประทานอาหารที่มี Probiotics และ Prebiotics จะช่วยทำให้ร่างกายสามารถดูดซึมแร่ธาตุบางชนิดที่จำเป็นและมีความสำคัญต่อกระดูก แคลเซียม เหล็ก แมกนีเซียมและสังกะสี โดยอาหารที่มี Prebiotics พบมากในหัวหอม กล้วย กระเทียม หน่อไม้ฝรั่ง มะเขือเทศ ข้าวสาลี น้ำผึ้ง ส่วน Prebiotics ได้แก่ ผลิตภัณฑ์นมเปรี้ยว โยเกิร์ต

    นอกจากนี้ควรสัมผัสกับแสงแดดในตอนเช้าประมาณ 20 นาทีต่อวันเพราะวิตามินดีจากแสงอาทิตย์จะช่วยเสริมสร้างกระดูก ควรดื่มน้ำสะอาดเป็นประจำทุกวันโดยเฉพาะช่วงเช้าเวลาตื่นนอนจะช่วยทำให้เซลล์ในร่างกายคงรูปทำงานได้ดีสามารถนำอาหารไปเลี้ยงกล้ามเนื้อต่าง ๆ ช่วยเสริมสร้างและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของกล้ามเนื้อ กระดูก และช่วยหล่อไขข้อต่าง ๆ ของร่างกาย ที่สำคัญควรออกกำลังกายสม่ำเสมอ โดยบริหารกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นก่อนเล่นเพื่อป้องกันการฉีกขาดของกล้ามเนื้อ.





    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     

แชร์หน้านี้

Loading...