พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. rak-dee001

    rak-dee001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2010
    โพสต์:
    154
    ค่าพลัง:
    +482
  2. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    สวัสดีครับ เช้าวันศุกร์
     
  3. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเมื่อรองเท้าเกเร

    วันศุกร์ ที่ 24 มิถุนายน 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    หน้าฝนอย่างนี้ เจอพื้นเฉอะแฉะ ปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่งที่หลายคนต้องเจอนั่นคือ "รองเท้าลื่น" ถ้าใครเคยโดนรองเท้าทรยศ มีวิธีแนะนำ

    เมื่อรองเท้าใช้ไปนาน ๆ พื้นรองเท้าก็ต้องสึกตามธรรมดา สังเกตได้จากรอยดอกของรองเท้าเลือนราง หรือหายไปเป็นแห่ง ๆ รองเท้าที่พื้นสึก อาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย แต่ไม่จำเป็นต้องรีบทิ้ง มีเคล็ดลับแก้ไขไม่ให้รองเท้าลื่นง่าย ๆ มาฝาก

    แค่ใช้มีดกรีดพื้นรองเท้าด้านนอก เป็นตารางสี่เหลี่ยมถี่ ๆ เพียงแค่นี้รองเท้าก็จะกลับมายึดตึดแน่นกับพื้น และปลอดภัยในการเดินทาง

    อีกวิธีหนึ่ง คือให้นำกระดาษทรายแบบหยาบ มาขัดใต้พื้นรองเท้า เพื่อเพิ่มผิวสัมผัสให้ขรุขระขึ้นอีก วิธีนี้ก็ป้องกันการลื่นไถลให้เป็นที่อับอายเวลาเดินได้

    แต่ถ้าหากหาอุปกรณ์ดังกล่าวข้างต้นไม่ได้จริง ๆ เพียงแค่หาพลาสเตอร์ยาแบบผ้า 3-4 แผ่นมาปิดที่พื้นรองเท้าไปก่อน เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า หากจำเป็นต้องเดินบริเวณที่ฝนเพิ่งตก ก็สามารถแก้ปัญหารองเท้าลื่นได้เช่นกัน.





    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     
  4. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เทคนิคสร้างสุขเมื่อต้องเดินทางไกล</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>24 มิถุนายน 2554 06:59 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=280 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=280>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เมื่อต้องเดินทางไกลกันทั้งครอบครัว เช่น ไปเที่ยวตากอากาศ ไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่ต่างจังหวัด การใส่ใจในบรรยากาศของการเดินทางเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คุณพ่อคุณแม่มักไม่มองข้าม เพราะด้วยชั่วโมงการเดินทางที่ยาวนาน อาจทำให้เด็ก ๆ เหนื่อย เบื่อ อ่อนเพลียจนร้องไห้งอแง กระทบกระทั่งกันได้ระหว่างพี่น้อง เราจึงมองหาตัวช่วยดี ๆ ที่สามารถสร้างความสุขได้ระหว่างการเดินทางมาฝากกัน ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ติดตามกันเลยค่ะ

    - เกมกล่อง เช่น บิงโก โดมิโน แม้เกมเหล่านี้จะดึงความสนใจจากเด็กได้แค่ช่วงสั้น ๆ (เพราะเล่นกันสัก 30 นาที - ชั่วโมงก็จะเริ่มเบื่อแล้ว) แต่ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยให้เด็ก ๆ รู้สึกมีกิจกรรมทำได้เช่นกัน

    - ชวนกันแต่งนิทาน ให้เด็ก ๆ ช่วยกันแต่งเรื่องราวตามจินตนาการ หรือวาดฝันเกี่ยวกับทริปนี้ที่พวกเขาอยากสัมผัส ส่วนขากลับก็ลองให้เขาเขียน หรือวาดประสบการณ์ที่เขาได้รับออกมา

    - วิดีโอเกม บางบ้านก็ห้ามไม่ให้เล่น บางบ้านก็เล่นได้ ดังนั้นขึ้นอยู่กับพ่อแม่ และกฎของครอบครัวว่ายอมรับการมีวิดีโอเกมหรือเปล่า ถ้าบ้านใดมี ก็สามารถพกไปเล่นบนรถได้ก็คงสนุกหน่อย ยิ่งถ้ามีจอทีวีบนรถก็ยิ่งดี เพราะไม่ต้องปวดตาเพ่งจอเล็ก ๆ (คุณแม่ก็ไปเล่นด้วยได้นะคะ)

    - ร้องเพลง ให้เด็ก ๆ เลือกเพลงที่เขาต้องการ แล้วไปเปิดฟังกันบนรถ หรือร้องร่วมกันในลักษณะคาราโอเกะ

    - ดูการ์ตูน แค่โดเรมอนตอนยาว ๆ สักตอน ก็สนุกสำหรับเด็กไปได้แล้ว 2 ชั่วโมง ขอแนะนำว่าถ้าเป็นโดเรมอน เลือกตอนเก่า ๆ หน่อยจึงจะสนุก และเต็มไปด้วยจินตนาการมากกว่าโดเรมอนยุคใหม่ ๆ ค่ะ

    - แวะทำบุญที่วัด หรือสถานสงเคราะห์ข้างทาง จริงอยู่ว่าการเดินทางไกล ๆ หลายครอบครัวต้องการทำเวลา เพื่อให้ไปถึงจุดหมายเร็วที่สุด แต่คุณพ่อคุณแม่ลองหยวน ๆ แล้วเดินทางแบบช้า ๆ บ้างก็คงสนุกดี ลองแวะวัด พาเด็ก ๆ ไปทำบุญ หรือบริจาคทานช่วยสัตว์พิการ สัตว์อนาถา ก็จะเป็นอีกหนึ่งการเดินทางที่เด็ก ๆ ประทับใจไม่น้อยเช่นกัน


    นอกจากเทคนิคดึงดูดใจเด็ก ๆ ให้ไม่เบื่อกับการเดินทางแล้ว ผู้ขับซึ่งหนีไม่พ้นคุณพ่อคุณแม่ หรืออาจเป็นญาติ ๆ ที่ใจดียังต้องระมัดระวังกับอีกหลายปัจจัยเพื่อให้การเดินทางครั้งนี้ปลอดภัยทั้งครอบครัว ยกตัวอย่างเรื่องที่ควรระมัดระวัง ได้แก่

    - การพกพาอุปกรณ์ที่จำเป็นต่าง ๆ สำหรับการเดินทางไกลติดรถไว้เสมอ เช่น ไฟฉาย น้ำดื่ม ร่ม

    - ควรชาร์จแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือให้เต็ม หากเดินทางหลายคนก็ยิ่งเป็นเรื่องดี เพราะโอกาสที่จะมีโทรศัพท์หลายยี่ห้อ หลายเครือข่ายยิ่งเป็นไปได้สูง หากหลงทาง หรือเกิดเหตุขัดข้องขึ้นกับเครือข่ายใด จะได้มีโทรศัพท์สำรอง สำหรับติดต่อขอความช่วยเหลือได้

    - ควรตั้งสถานีวิทยุในรถเป็นช่องที่เกี่ยวกับข่าวสารการจราจร หรือหากใช้อุปกรณ์ประเภทแท็บเล็ตพีซี ก็อาจเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเอาไว้ เพื่อรับทราบข้อมูลข่าวสารจากช่องทางอื่น ๆ

    - เติมน้ำในหม้อรถให้เต็ม

    - เตรียมอาหารที่สามารถรับประทานได้ง่ายติดรถเอาไว้เสมอ

    - ผู้ขับรถควรได้หยุดพักทุก ๆ สองชั่วโมงตามสถานที่พักรถ หรือปั๊มน้ำมัน โดยใช้เวลาระหว่างพักนี้เข้าห้องน้ำ ดื่มน้ำ บิดขี้เกียจ ยืดเส้นยืดสายบ้างตามสะดวก

    - หากเป็นการเดินทางไกลมาก ๆ ควรแวะพักเติมน้ำมันทุก ๆ 400 กิโลเมตร เพราะคุณอาจเจออุบัติเหตุ หรือปัญหาจราจรข้างหน้าที่ทำให้คุณไม่สามารถหาปั๊มน้ำมันได้

    - โทรศัพท์บอกคนอื่น ๆ เอาไว้ด้วยว่าคุณกำลังเดินทางอยู่ ตอนนี้อยู่ที่ไหนแล้ว และกำลังจะเดินทางไปที่ไหนต่อ

    - ขับรถอยู่บนถนนสายหลักเสมอ

    - ไม่ควรรับคนแปลกหน้าขึ้นมาบนรถโดยเด็ดขาด

    - อย่าจอดพักข้างทางที่เป็นสถานที่เปลี่ยว หรือจอดซื้ออาหารริมทางในที่เปลี่ยว

    - จอดรถทุกครั้ง ควรล็อกกุญแจประตูรถทุกครั้ง และดูแลเด็ก ๆ ให้ดี หากแยกย้ายกันไปเข้าห้องน้ำ


    สำหรับครอบครัวที่ต้องเดินทางในหน้าฝน การรักษาเสียงหัวเราะ และความปลอดภัยให้ไปด้วยกันคงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เชื่อว่า คุณพ่อคุณแม่ทุกท่านต่างเต็มใจทำ เพื่อความสุขของลูก ๆ และทุกคนในครอบครัวค่ะ
    ที่มา Manager Online</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  5. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7512 ข่าวสดรายวัน


    'แกงป่าไก่'ถึงเครื่อง หัวหินโภชนา สน.นางเลิ้ง


    อิ่มอร่อย


    <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=360 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#e0e0e0>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>แม้มีชื่อร้านว่า "หัวหินโภชนา" จนชวนให้คิดว่าอยู่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ แต่ข้าราชการกระทรวงต่างๆ รวมทั้งผู้คนใกล้ย่านสน.นางเลิ้ง กรุง เทพฯ รู้จักร้านนี้ดี

    เพราะหัวหินโภชนาเป็นร้านเก่าแก่ หน้าร้านมีตู้โชว์เก่าๆ แขวนไก่ไว้เป็นเอกลักษณ์

    ชูชาติ ดวงทวีทอง เจ้าของร้าน เล่าว่า เปิดกิจการร้านหัวหินโภชนาแห่งนี้มานานกว่า 15 ปี โดยชื่อหัวหินมาจากภาษาจีน เติมคำว่า "โภชนา" ลงไป เป็น หัวหินโภชนา

    การเปิดบริการร้านแห่งนี้ทำเป็นระบบครอบครัว คือทำเอง ปรุงเอง เสิร์ฟเอง ตั้งแต่ช่วยกันจ่ายตลาดในช่วงเช‰า ไปตลาดที่อยูˆใกล‰ๆ ไมˆวˆาจะเป?นตลาดนางเลิ้ง ตลาดเทเวศรŒ ให‰ได‰วัตถุดินที่มาทำจะใหมˆ และสดเสมอ ไม่ว่าจะเป็นปลา เนื้อสัตว์ ผักต่างๆ เน้นคุณภาพ ไม่ทำให้เสียรสชาติของอาหารอยู่กระทั่งทุกวันนี้ <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=360 align=right border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#e0e0e0>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    นายชูชาติ กล่าวว่า ทางร้านนำเสนอหลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่ทำจากเนื้อปลา ปลาลวก ต้มยำปลา อาหารประเภทยำ หรือผัดต่างๆ รสชาติของอาหาร ถ้าเป็นแกงป่า จะต้องถึงเครื่องเครา ส่วนอาหารยำ เราให้รสชาติจัดจ้าน อาหารผัดไม่ให้น้ำมันเยิ้ม

    จานเด็ดเรียกน้ำย่อย ได้แกˆ "ปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียม" ใช้ปลาเนื้ออ่อนขนาดกำลังพอดีคำ ทอดในน้ำมันให้เหลืองกรอบ จากนั้นนำกระเทียมทอด ราดลงไปบนเนื้อปลา กินคู่กับน้ำจิ้มของทางร้าน รสชาติกรอบอร่อย

    นอกจากนี้ยังมี "หมี่กรอบ" ซึ่งมีกรรมวิธีการทำที่มากพอสมควรเพื่อให้ได้รสชาติมาตรฐาน หรือจะเป็นออร์เดิร์ฟยอดนิยม "เปาะเปี๊ยะกุ้ง" ใช้กุ้งสับร่วมกับมันหมู ผสมส่วนผสมของรากผักชี พริกไทย เกลือ ผสมให้เข้ากัน เอาวางบนแผ่นเปาะเปี๊ยะประกบเข้าหากันใน 2 แผ่น แล้วทอดด้วยน้ำมันท่วม ไฟปานกลาง จนเหลืองกรอบ ได้ความกรอบของแผ่นเปาะเปี๊ยะ และรสชาติอร่อยของกุ้งที่หวานกับส่วนผสมที่ลงตัว <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=0 width=360 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle bgColor=#e0e0e0>[​IMG]
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    พอเครื่องเริ่มติดแนะนำ "ทอดมันปลากราย" เป็นทางเลือกที่ดี ทางร้านใช้เนื้อปลากรายแท้ๆ ที่ขูดแล้วมาผสมกับเครื่องแกงให้เข้ากัน จากนั้นปรุงรสแล้วทอดให้นิ่มหนุบหนับกำลังดี

    มาถึงเมนูเด็ดของร้าน "แกงป่าไก่" ที่ลูกค้าเลื่องลือ ทางร้านโขลกพริกแกงป่าเอง เมื่อต้มน้ำให้เดือด จึงเอาพริกแกงป่าใส่ รอให้เดือดเข้ากัน ตามด้วยเนื้อที่ลูกค้าสั่ง ไม่ว่าจะเป็นไก่ หมู เนื้อ เมื่อสุกแล้วปรุงรส ใส่ผัก มะเขือเปราะ มะเขือพวง กระชายอ่อน ใบมะกรูด พริกไทยอ่อน

    รสชาติเข้มข้น เผ็ดไม่มาก กำลังดี ถึงเครื่อง เครา กินกับ วุ้นเส้นผัดไข่ ใส่หมูสับ เห็ดหูหนู หน้าตาไม่หรู แต่รสชาติกลมกล่อม ไม่หวานเกิน

    หลังจากกินของคาวแล้ว อย่าลืมสั่งไอศกรีมกะทิที่ทางร้านทำเอง เพื่อจะได้อร่อยครบครัน

    ร้านหัวหินโภชนา เปิดให้บริการ ตั้งแต่ 10.00-19.30 น. หยุดวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 2 ของเดือน สอบถามได้ที่หมายเลข 0-2282-7219 หรือเบอร์ 08-1720-6821
    ที่มา ข่าวสด ออนไลน์
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 10 คน ( เป็นสมาชิก 1 คน และ บุคคลทั่วไป 9 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong</td></tr></tbody></table>
    สวัสดีตอนค่ำน้อยๆ วันศุกร์แห่งชาติ

    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    สิทธิทางแพ่งของผู้เสียหายเมื่อถูกจับผิดตัว


    [COLOR=##005800]โดย สราวุธ เบญจกุล [/COLOR]



    จากบทความเรื่อง “ทำอย่างไรเมื่อถูกจับผิดตัว” ที่ได้กล่าวถึงการคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการกระทำที่มีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายซึ่งได้มี การบัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย รวมถึงสิทธิในการร้องขอให้ปล่อยตัวของผู้ถูกคุมขังในคดีอาญาหรือในกรณีอื่น ใดโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ทั้งนี้เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น จะมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการคุ้มครองและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับ ผู้ถูกคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ อย่างไร

    จากแนวคิดที่ว่าสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย ถือเป็นสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 28 จึงได้มีบทบัญญัติคุ้มครองให้ “บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญนี้รับรองไว้ สามารถยกบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้เพื่อใช้สิทธิทางศาลหรือยกขึ้นเป็นข้อ ต่อสู้คดีในศาลได้” และหากมีการกระทำใดๆซึ่งมีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย มาตรา 32 กำหนดให้

    “ผู้เสียหาย พนักงานอัยการ หรือบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้เสียหาย มีสิทธิร้องต่อศาลเพื่อให้สั่งระงับหรือเพิกถอนการกระทำเช่นว่านั้น รวมทั้งจะกำหนดวิธีการตามสมควรหรือการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยก็ ได้”

    อย่างไรก็ดี นอกจากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยที่กำหนดให้ผู้ถูกคุมขังโดย มิชอบด้วยกฎหมาย สามารถใช้สิทธิทางศาลเพื่อเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นแล้ว ยังมีบทบัญญัติของกฎหมายสำคัญอีกฉบับที่ต้องพิจารณาประกอบ คือ พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 ซึ่งมีสาระสำคัญในการกำหนดหลักเกณฑ์ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ของ รัฐ ที่ผู้เสียหายและประสงค์จะฟ้องคดีต้องมีความเข้าใจในเบื้องต้นว่าการกระทำ ละเมิดนั้นเป็นการกระทำในการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ โดยกฎหมายกำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดซึ่งเกิดขึ้นจาก การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ ในกรณีที่เป็นการกระทำละเมิดต่อบุคคลภายนอก


    ทั้งนี้ มาตรา 5 กำหนดให้ “ผู้เสียหายอาจฟ้องหน่วยงานของรัฐดังกล่าวได้โดยตรง แต่จะฟ้องเจ้าหน้าที่ไม่ได้” และ “ถ้าการละเมิดเกิดจากเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ได้สังกัดหน่วยงานของรัฐแห่งใด ให้ถือว่ากระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิด” ดังคำพิพากษาฎีกาที่ 5824/2543 ที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นว่าเป็นการกระทำละเมิดในการ ปฏิบัติหน้าที่ จากกรณีที่เจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามเข้าจับกุมโจทก์ ซึ่งถือได้ว่ามีการปฏิบัติหน้าที่เกิดขึ้นแล้ว การควบคุมตัวโจทก์เพื่อไปส่งที่สถานีตำรวจย่อมถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่เช่น กัน


    หากข้อเท็จจริงฟังได้ตามฟ้องว่า เจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามทำร้ายร่างกายโจทก์ขณะควบคุมโจทก์ไปส่งสถานีตำรวจ ถือได้ว่าเจ้าพนักงานตำรวจทั้งสามกระทำละเมิดต่อโจทก์และเป็นการกระทำในการ ปฏิบัติหน้าที่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยในฐานะที่เป็นหน่วยงานของรัฐที่เจ้าพนักงานตำรวจ ทั้งสามสังกัดอยู่ได้

    แต่ถ้าปรากฏข้อเท็จจริงว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐได้กระทำละเมิดไปด้วย ความจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง มาตรา 8 กำหนดให้หน่วยงานของรัฐที่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหาย มีสิทธิเรียกให้เจ้าหน้าที่ผู้ทำละเมิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนที่หน่วยงานของ รัฐจ่ายให้แก่ผู้เสียหายคืนได้ อย่างไรจะถือว่าเป็นการประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง ย่อมขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงเป็นรายกรณีไป โดยอาจพิจารณาจากลักษณะของการกระทำของบุคคลนั้นว่าได้กระทำไปโดยขาดความ ระมัดระวังตามมาตรฐานของบุคคลทั่วไปเป็นอย่างมาก

    เช่นตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ 1789-1790/2518 กรณีโรงงานของจำเลยเผาเศษปอ ทำให้มีควันดำปกคลุมถนนจนมองไม่เห็นทางข้างหน้า จนเป็นเหตุให้มีรถขับมาชนท้ายรถโจทก์ซึ่งจอดอยู่ได้รับความเสียหาย และเหตุการณ์เช่นนี้ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง แต่จำเลยก็ปล่อยปละละเลยไม่เปลี่ยนวิธีการเผาเศษปอ ถือได้ว่าเป็นกรณีที่จำเลยประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

    นอกจากนี้ ถ้าเป็นการกระทำละเมิดต่อบุคคลภายนอกซึ่งมิได้เกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ มาตรา 6 กำหนดให้ “เจ้าหน้าที่ต้องรับผิดในการนั้นเป็นการเฉพาะตัว ในกรณีนี้ผู้เสียหายอาจฟ้องเจ้าหน้าที่ได้โดยตรง แต่จะฟ้องหน่วยงานของรัฐไม่ได้” ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาได้เคยให้ความเห็นไว้ในกรณีการยักยอกเงินขององค์การ บริหารส่วนตำบลถ้ำทะลุ ว่าการที่หัวหน้าส่วนการคลังได้เขียนเช็คเบิกเงินเกินกว่าจำนวนเงินที่ตั้ง เบิกและนำไปเบิกเงินจากธนาคาร และรับเงินที่ราษฎรมาชำระภาษีและค่าธรรมเนียม แล้วไม่นำเข้าบัญชีเงินฝากของ อบต. แต่เบียดบังเงินดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ส่วนตน ถือเป็นการกระทำโดยทุจริตเพื่อให้ตนเองได้ประโยชน์ เป็นการกระทำความผิดทางอาญา มิใช่การกระทำในการปฏิบัติหน้าที่

    สำหรับการที่จะใช้สิทธิทางศาลยังศาลใด ระหว่างศาลยุติธรรมและศาลปกครอง มีคำวินิจฉัยชี้ขาดอำนาจหน้าที่ระหว่างศาลที่ 22/2547 ได้วินิจฉัยเขตอำนาจศาลที่น่าสนใจไว้ในคดีที่ผู้ฟ้องคดีทั้งสองได้ยื่นฟ้อง สำนักงานตำรวจแห่งชาติซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐว่า ระหว่างที่เจ้าพนักงานตำรวจซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ในสังกัดของผู้ถูกฟ้องคดี ควบคุมตัวผู้ตายซึ่งเป็นบุตรของผู้ฟ้องคดีทั้งสองไว้ ได้กระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่ใส่กุญแจห้องควบคุมผู้ ต้องหาอื่น ทำให้ผู้ต้องหาอื่น 9 คน เข้ารุมทำร้ายผู้ตายในห้องควบคุมจนถึงแก่ความตาย โดยเจ้าพนักงานตำรวจไม่ห้ามปรามทั้งที่สามารถกระทำได้ จึงเป็นการกล่าวอ้างว่าผู้ตายถึงแก่ความตายขณะอยู่ในการควบคุมตัวของเจ้า พนักงานตำรวจ เป็นการใช้อำนาจในการควบคุมตัว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเพื่อนำไปสู่การลงโทษผู้กระทำความผิดทาง อาญา และเป็นการใช้อำนาจในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา มิใช่การใช้อำนาจทางปกครอง จึงต้องอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม

    เช่นเดียวกับคำสั่งศาลปกครองสูงสุดที่ 213/2549 และ 65/2553 ที่ศาลปกครองสูงสุดได้วินิจฉัยไปในแนวทางเดียวกันว่า การดำเนินการของเจ้าพนักงานตำรวจตามกฎหมายที่มีบทลงโทษทางอาญา และมีประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญากำหนดอำนาจไว้เป็นการเฉพาะ ถือเป็นการดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมทางอาญา มิใช่การใช้อำนาจทางปกครองจึงต้องอยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลยุติธรรม


    การใช้สิทธิทางศาลไม่ใช่วิธีการเดียวที่จะเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้น จากการกระทำละเมิดอันเกิดจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้เสียหายสามารถเลือกใช้วิธีการร้องขอให้หน่วยงานของรัฐพิจารณาชดใช้ค่าสิน ไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่เกิดขึ้นได้ ตามมาตรา 11 และหน่วยงานของรัฐต้องพิจารณาคำขอโดยไม่ชักช้าให้แล้วเสร็จภายใน 180 วัน และสามารถขอขยายเวลาได้อีก 180 วัน

    จะเห็นได้ว่า จากสภาพปัจจุบันการจะบังคับให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทุกคน ประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้องตามกฎหมายอาจเป็นไปได้ยาก หรือ ในบางกรณีแม้ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐจะได้พยายามและระมัดระวังอย่างเต็มที่แล้ว แต่ก็ยังสามารถที่จะมีความผิดพลาดเกิดขึ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ได้ พระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 จึงได้กำหนดให้หน่วยงานของรัฐต้องรับผิดในผลแห่งละเมิดซึ่งเกิดขึ้นจากการ ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ เพื่อประโยชน์แก่ผู้เสียหายที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนความเสียหายที่เกิด ขึ้นอย่างเป็นธรรม โดยมีทางเลือกในการดำเนินการสองทาง คือ การใช้สิทธิทางศาล และการร้องขอต่อหน่วยงานของรัฐให้พิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทน เพื่อคุ้มครองและเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นกับผู้เสียหายที่ได้รับผล กระทบจากการกระทำละเมิด

    ( เรื่อง สราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม )





    .

    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308904881&grpid=&catid=02&subcatid=0200-


    .

    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308904881&grpid=&catid=02&subcatid=0200

    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ซึ้ง หญิงสาวจีนยากจนป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายสมหวัง ได้ถ่ายภาพ"สวมชุดแต่งงาน"ให้ลูก-สามีดูต่างหน้า


    [​IMG]

    สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นางเฉียน ชุ่ยหลัน คุณแม่จีนวัย 24 ปี ซึ่งป่วยเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย ได้บรรลุความปรารถนาสุดท้ายแห่งชีวิต คือ การได้ถ่ายภาพในชุดแต่งงานก่อนที่ตัวเองจะเสียชีวิต

    โดยก่อนหน้านี้ นางเฉียน ซึ่งคาดว่าจะมีชีวิตอยู่ได้เพียง 6 เดือน ได้บอกกับนายเซ็ง ไส่ สามีวัย 27 ปี ว่า เธอเสียใจที่เธอและสามีไม่สามารถมี"ภาพถ่ายชุดวิวาห์"ร่วมกันได้ โดยสามีของเธอกล่าวว่า พวกเขาทั้งสองเป็นคนงานต่างถิ่น และได้แต่งงานกันเมื่อปี 2008 และมีลูกสาว 1 คน เมื่อปี 2009 พวกเขาไม่เคยมีเงินเยอะ แต่ก็รู้สึกมีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน

    นายเซ็งกล่าวต่อไปว่า ภรรยาของเขาเกิดอาการปวดท้องฉับพลัน แต่เขาไม่สามารถพาเธอไปหาหมอได้ทันทีเพราะไม่มีเงิน และต่อมาเขาได้พาเธอไปรพ.เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา และแพทย์บอกว่า ภรรยาของเขาเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และเมื่อได้ยินเช่นนั้น ทำให้ภรรยาของเขาคิดที่จะได้ถ่ายภาพชุดสวมชุดเจ้าสาว

    นายเซ็งกล่าวว่า การถ่ายภาพชุดเจ้าสาวต้องใช้ค่าใช้จ่ายเป็นเงินถึง 200 ยูโร หรือเทียบเท่ากับค่าใช้จ่ายที่พ่อต้องเรียกลูกสาวหนึ่งคนต่อเดือน และเขาได้ยืมเงินเพื่อนเพื่อหวังจะให้ภรรยาได้ถ่ายภาพชุดดังกล่าว และยังพบชุดเจ้าสาว จึงนำมันไปยังภรรยาที่โรงพยาบาล และเธอก็ยิ้ม จากนั้น เขาได้พาเธอขึ้นรถเข็นผู้ป่วยไปยังสตูดิโอ และเมื่อพวกเขาได้เจอกับช่างภาพสตูดิโอ ช่างภาพเกิดความสงสัยที่เห็นพวกเขาร้องไห้กัน จึงรู้เรื่องราวน่าสลดของพวกเขา ก่อนที่ช่างภาพจะคืนเงินให้แก่พวกเขา และภรรยาเขาได้ถ่ายภาพสวมชุดวิวาห์ รวมทั้งในวันต่อมาซึ่งเธอได้ถ่ายภาพคู่กับลูกสาวของพวกเขา ด้านนางเฉียนกล่าวด้วยว่า เธอต้องหลบไปอยู่หลังกระจกเพื่อไม่ให้ลูกสาวเห็นว่าเธอร้องไห้

    รายงานระบุว่า แพทย์ระบุว่า นางเฉียนจะอยู่ได้นานที่สุด 6 เดือนหากทำตามคำแนะนำแพทย์ แต่หากไม่ปฎิบัติตาม เธอก็พร้อมที่จะเสียชีวิตได้ทุกเมื่อ

    นางเฉียนกล่าวว่า ที่ผ่านมา เธอและสามีไม่มีเงินพอที่จะไปถ่ายภาพสวมชุดวิวาห์ ทำให้เธอเสียใจมาก แต่ตอนนี้เธอมีสิ่งแทนความรักต่อสามีและลูกสาวแล้ว และเธอหวังว่า พวกเขาจะคิดถึงเธอเมื่อเห็นภาพเหล่านี้

    รายงานระบุว่า แม้ว่าแพทย์จะบอกว่าอาการของนางเฉียนอยู่ในขั้นระยะสุดท้าย ทางด้านสมาคมวิชาชีพสื่อไร้พรมแดน ยังได้พยายามรวบรวมเงินเพื่อจ่ายค่ารักษาพยาบาลของเธอทั้งในอดีตและอนาคต ด้วย



    .


    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308904883&grpid=&catid=06&subcatid=0600-



    .

    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308904883&grpid=&catid=06&subcatid=0600


    .

     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เหอๆๆๆ อาหารชาิติไหน ผมว่าสู้อาหารไทยไม่ได้ครับ



    ..............................................

    พาสต้าอาหารที่คนทั้งโลกชื่นชอบ


    พาสต้าเป็นอาหารหลักในวัฒธรรมแบบอิตาลี แต่หากินได้ทั่วโลก ขณะนี้พาสต้าเป็นอาหารที่นิยมเป็นที่สุดในโลกมากกว่าข้าวและพิซซ่า

    ผลสำรวจทั่วโลกโดยออกเฟรม ที่กำลังเพิ่มความนิยมในอเมริกา เอเชีย แอฟริกา และยุโรป
    ออกเฟรมกล่าวว่า ผลสำรวจอุปนิสัยการรับประทานใน 17 ประเทศแสดงให้เห็นว่าอาหารตะวันตกกำลังแพร่หลายไปทั่วโลก

    แม้ว่าอาหารประจำชาติยังคงเป็นที่นิยม เช่น ปาเอญ่า (ข้าวอบอาหารทะเล) ของสเปน ชนิตเซล (หมูชุบแป้งทอด)ของเยอรมัน

    ทั้งนี้ทั้ง นั้นพิซซ่าและพาสต้า ยังเป็นที่นิยมในหลายๆที่ มากกว่าครึ่งของประเทศที่สำรวจ ( 9 ประเทศจาก 17 ประเทศ ) หนึ่งหรือทั้งสองรายการนี้จะมีรายชื่อติดอยู่ 3 อันดับรายการอาหารที่คนชอบ ยกเว้นประเทศแทนซาเนีย รัสเซีย ฟิลิปปินส์ ปากีสถาน เม็กซิโก เคนยา อินเดีย กานา

    แต่พาสต้าเป็นอาหารที่ความแตกต่างกันถึง 600 ประเภท และประเภทที่เป็นที่นิยมคือ เพนเนและตาลิยาเตลเล่ ต้องขอบคุณในความหลากหลายของพาสต้า

    พาสต้าอยู่ในอันดับ 2 ของอาหารที่นิยมที่สุดในอังกฤษ รองจากสเต็กและนำเนื้อไก่ แกงที่คิดว่าเป็นที่นิยมมากอยู่ในอันดับ 4

    อาหารเอเชียที่เป็นที่นิยมมากคืออาหารจีน และอาหารที่เป็นที่นิยมเป็นอันดับ 2 คืออาหารเม็กซิโก ส่วนซูชิติดใน 10 อันดับของ 5 ประเทศ เช่น อเมริกาและแอฟริกาใต้

    ต้องแปลกใจกับผลสำรวจบางอย่าง ยกตัวอย่างเช่น ประเทศออสเตรเลียที่มีช็อคโกแลตเป็นอาหารจานโปรด
    ทั้งๆที่อาหารฟาสฟู๊ดอย่างแมคโดนัลด์ที่ครองตลาดเป็นเวลานับ 10 ปี กลับติดอันดับที่ 113 ซึ่งเป็นอันดับท้ายๆของรายการ คู่แข่งอย่าง เคเอฟซี ไม่ได้ทิ้งห่างมากนัก ตกอยู่ในอันดับ 107

    การสำรวจความคิดเห็นยังเผยให้เห็นว่าราคาอาหารเป็น 2 ใน 3 ของความกังวลด้านอาหาร มากกว่าครึ่งของผู้คนทั่วโลก(54 เปอร์เซ็นต์)ที่ได้ทำการสอบถาม บอกกว่าพวกเขาไม่ได้กินอาหารเหมือน 2 ปีที่แล้ว
    2 ใน 5 (39 เปอร์เซ็นต์) บอกว่าเพราะอาหารมีราคาแพงขึ้น

    พาสต้าจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ที่จะช่วยลดน้ำหนักและช่วยให้เงินในกระเป๋าคุณเพิ่มขึ้น

    ต้นกำเนิดของพาสต้าเกิดขึ้นจากชาวอาหรับผู้รุกรานและทำสงครามกับซิซิลีใน ศตวรรษที่ 8 ที่ต้องการรักษาคาร์โบไฮเดรต พวกเขากินอาหารที่มีต้นกำเนิดมาจากเส้นก๋วยเตี๊ยวแบบแห้งที่ทำมาจากแป้งสาลี ดูรัม ส่วนประกอบสำคัญที่ใช้ทำพาสต้าแห้งในกฎหมายอิตาลี

    ...........................................

    อาหารที่นิยมติดอันดับโลก
    1.พาสต้า
    2เนื้อ
    3.ข้าว
    4.พิซซ่า
    5.ไก่
    6.ปลาและอาหารทะเล
    7.ผัก
    8.อาหารจีน
    9.อาหารอิตาเลี่ยน
    10.อาหารเม็กซิกัน
    ..........................................

    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308756633&grpid=&catid=09&subcatid=0901-
    .


    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308756633&grpid=&catid=09&subcatid=0901

    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เปิดข้อกฎหมายช่วยเหลือ“แพะ” ที่ตำรวจจับ!!


    เรื่องการจับกุมหรือควบคุมตัวผู้ต้องหาผิดคนหลายครั้งหรือที่เรียกกันว่า “จับแพะ” นั้น ปรากฏเป็นข่าวคราวให้ได้รับทราบกันบ่อยทีเดียว จนส่งผลต้องทำให้ผู้บริสุทธิ์ไม่เกี่ยวข้องต้องถูกจับกุมดำเนินคดีไปด้วยจน เกิดความเสียหายในชีวิต เช่นคดีที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ กรณีของ นายสมใจ แซ่ลิ้ม อายุ 39 ปี คนงานฟาร์มหมู อ.หนองหญ้าปล้อง จ.เพชรบุรี จู่ ๆ ต้องตกถูกตำรวจ ปส.จับกุมเป็นผู้ต้องหาคดีมียาบ้า 2 พันเม็ดไว้ครอบครองเพื่อจำหน่าย ถูกจับไปคุมขังอยู่ในทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลางนานถึง 23 วัน อันเนื่องมาจากชื่อและสกุลไปซ้ำกับคนร้ายตัวจริง

    แต่โชคยังดีศาลจังหวัดพระโขนง ได้ไต่สวนตามหนังสือร้องทุกข์จากนายสุรินทร์ พิกุลขาว ภรรยานายสมใจ แล้วได้ข้อเท็จจริงว่า เป็นการจับผู้ต้องหาผิดคนไม่ใช่นายสมใจ แซ่ลิ้ม ที่มีอาชีพขับรถบัส ตามหมายจับที่มีผู้ต้องหาคนอื่นชัดทอด เพียงแต่มีชื่อ-สกุล ซ้ำซ้อนกันเท่านั้น ศาลจึงสั่งเพิกถอนหมายขังระหว่างสอบสวนและให้ออกหมายปล่อยตัว ท่ามกลางความดีใจของญาติพี่น้องที่ไปรอรับตัวนายสมใจ
    ข่าวการจับแพะในคดีดังกล่าวของตำรวจได้มีการขยายเรื่องราวให้ประชาชนได้รับ รู้ถึงสิทธิและเสรีภาพของตนเองที่จะเรียกร้องความเสียหายจากหน่วยงานของรัฐ ในการเยียวยาให้ขณะที่เป็น “แพะ” อยู่ และที่สำคัญจะต้องเป็นหน้าที่ของทุกฝ่ายที่มีส่วนเกี่ยวข้องช่วยเหลือผู้ที เป็นแพะ ไม่ควรปล่อยให้เงียบหายไป ผู้ที่เป็นแพะควรจะรับความช่วยเหลือเยียวยาอย่างเหมาะสม เพราะสิทธิความเป็นมนุษย์ของแต่ละคนนั้นเท่ากันตามกฎหมายรัฐธรรมนูญ

    ในคดีจับแพะล่าสุดขณะนี้หน่วยงานที่มีส่วนรับผิดชอบโดยตรง คือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ก็ได้พยายามเร่งตรวจสอบข้อผิดพลาดดังกล่าวเช่นกัน ล่าสุด พล.ต.ต.ประวุฒิ ถาวรศิริ โฆษก สตช. ยอมรับว่าต้องเร่งหาทางเยียวยาเหยื่อคดียาเสพติด ที่ตำรวจ บช.ปส. จับผู้ต้องหาผิดตัว ขณะนี้ทางพล.ต.ท.อติเทพ ปัจจมานนท์ ผบช.ปส. พยายามติดต่อผู้เสียหายเพื่อเข้าไปพูดคุยถึงแนวทางเยียวยาที่ผู้เสียหายจะ พึงพอใจที่สุด ในส่วนของการป้องกันแก้ไขไม่ให้เกิดปัญหาการจับผิดตัวกรณีผู้ต้องหามี ชื่อ-นามสกุลซ้ำกับผู้อื่นเกิดขึ้นอีก โดยกรณีเป็นครั้งที่ 3 แล้ว ดังนั้นทาง สตช.ได้มอบหมายให้พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ที่ปรึกษา (สบ10) ฝ่ายกฎหมายและสอบสวน หาแนวทางแก้ไขปัญหาเรื่องดังกล่าว เบื้องต้นอาจบรรจุในระเบียบของการสอบสวน ต้องพยายามให้ผู้เสียหายหรือพยานมาชี้ตัวผู้ต้องหาก่อนจะส่งไปฝากขัง นอกจากนี้จะต้องประชุมหารือร่วมกับอัยการเพื่อร่วมแก้ปัญหาด้วยกัน

    ทางด้านนายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม ได้กล่าวถึงเรื่องจับแพะว่า ทำอย่างไรเมื่อถูกจับผิดตัว ซึ่งได้ชี้แจงตามตัวบทกฎหมายว่า “ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 32 ได้บัญญัติรับรองหลักการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายไว้ โดยเฉพาะในเรื่องของการจับและการคุมขังบุคคลที่จะกระทำมิได้ เว้นแต่มีคำสั่งหรือหมายของศาลหรือมีเหตุอย่างอื่นตามที่กฎหมายบัญญัติ อย่างไรก็ดี หากปรากฏข้อเท็จจริงในภายหลังว่าได้มีการจับกุมและคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย อันเป็นการกระทำที่มีผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย รัฐธรรมนูญกำหนดให้ “ผู้เสียหาย พนักงานอัยการหรือบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้เสียหาย มีสิทธิร้องต่อศาลเพื่อให้สั่งระงับหรือเพิกถอนการกระทำเช่นว่านั้น รวมทั้งจะกำหนดวิธีการตามสมควรหรือการเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นด้วยก็ ได้”

    นอกจากนี้ เพื่อให้หลักการคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายสามารถดำเนินการ ได้อย่างเป็นรูปธรรม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ได้กำหนดขั้นตอนและเงื่อนไขตั้งแต่การออกหมาย การจับกุมผู้กระทำความผิด ไปจนถึงการนำตัวผู้กระทำความผิดไปคุมขังไว้อย่างละเอียด รวมถึงวิธีแก้ไขในกรณีที่มีการอ้างว่ามีการคุมขังบุคคลใดบุคคลหนึ่งในคดี อาญาหรือในกรณีอื่นใดโดยมิชอบด้วยกฎหมาย โดยมาตรา 90กำหนดให้บุคคลดังต่อไปนี้ มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ปล่อยบุคคลที่ถูกคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาคดีอาญานั้น ได้แก่

    (1) ผู้ถูกคุมขังเอง
    (2) พนักงานอัยการ
    (3) พนักงานสอบสวน
    (4) ผู้บัญชาการเรือนจำหรือพัศดี
    (5) สามี ภริยา หรือญาติของผู้นั้น หรือบุคคลอื่นใดเพื่อประโยชน์ของผู้ถูกคุมขัง

    ทั้งนี้ เมื่อศาลได้รับคำร้องขอให้ปล่อย จะต้องดำเนินการไต่สวนฝ่ายเดียวโดยด่วน และหากศาลเห็นว่า คำร้องนั้นมีมูล ศาลมีอำนาจสั่งผู้คุมขังให้นำตัวผู้ถูกคุมขังมาศาลโดยพลัน และถ้าผู้คุมขังแสดงให้เห็นเป็นที่พอใจแก่ศาลไม่ได้ว่าการคุมขังเป็นการชอบ ด้วยกฎหมาย ให้ศาลสั่งปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังไปทันที

    อย่างไรก็ดี สิทธิที่จะร้องขอให้ปล่อยตามมาตรา 90 จะมีอยู่เพียงระยะเวลาที่ถูกคุมขังโดยมิชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น ดังนั้น หากในระหว่างที่มีการยื่นคำร้องขอให้ปล่อย หรือการไต่สวนคำร้องขอให้ปล่อยนั้นยังไม่ถึงที่สุด และผู้ถูกคุมขังได้รับการปล่อยตัวไปแล้วในระหว่างนั้น ศาลชอบที่จะจำหน่ายคดีนั้น และสิทธิของบุคคลที่ร้องขอให้ปล่อยย่อมระงับไป

    ดังตัวอย่างคำพิพากษาฎีกาที่ 4827/2550 (ประชุมใหญ่) ที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สิทธิของผู้ถูกคุมขังในการยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งปล่อยตัว จากการควบคุมหรือขังโดยผิดกฎหมายตามมาตรา 90 นั้นมีอยู่เพียงชั่วระยะเวลาที่ผู้ถูกคุมขังยังถูกควบคุมหรือขังไว้โดยไม่ ชอบด้วยกฎหมายเท่านั้น เมื่อปรากฏว่าหลังจากผู้ร้องถูกควบคุมตัว พนักงานสอบสวนได้ปล่อยผู้ร้องชั่วคราวไปแล้วโดยให้ผู้ร้องทำสัญญาประกันไว้ จึงไม่มีการควบคุมตัวผู้ร้องอีกต่อไป ผู้ร้องจึงไม่อาจร้องขอตามมาตรา 90 ได้ แต่ในส่วนของการจับหากเป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายก็เป็นเรื่องที่ผู้ร้องจะ ดำเนินคดีแก่เจ้าพนักงานตำรวจที่จับผู้ร้อง ด้วยการร้องทุกข์ต่อเจ้าพนักงานหรือฟ้องคดีต่อศาลด้วยตนเองตามบทบัญญัติของ กฎหมายต่อไป

    ดังนั้น การคุมขังบุคคลใดบุคคลหนึ่งจะต้องกระทำการด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นการกระทำอันมิชอบด้วยกฎหมาย ดังเช่นในกรณีของนายสมใจ แซ่ลิ้ม ที่ถือได้ว่าได้รับผลกระทบโดยตรงจากการถูกลิดรอนสิทธิและเสรีภาพในร่างกาย ตามที่บัญญัติรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย กฎหมายจึงต้องมีมาตรการที่จะคุ้มครองเมื่อมีการกระทำโดยมิชอบด้วยกฎหมายเช่น ว่านั้นเกิดขึ้น โดยกำหนดให้ศาลมีอำนาจที่จะต้องทำการไต่สวนหาความจริงว่ามีการควบคุม กักขังโดยมิชอบด้วยกฎหมายจริงหรือไม่ หากเป็นจริงศาลต้องมีคำสั่งให้ปล่อยตัวผู้ถูกคุมขังนั้นไปทันที ทั้งนี้ศาลจะพิจารณาข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานเป็นรายกรณีไป

    คำอธิบายทางข้อกฎหมายของนายสราวุธ เบญจกุล รองเลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม คงจะทำให้ประชาชนได้เข้าใจถึงการเรียกร้องสิทธิตามกฎหมายเกี่ยวกับกรณีที่ ตำรวจจับ “แพะ” ซึ่งสิทธิการเรียกร้องดังกล่าวนี้ ทางกระทรวงยุติธรรม มี กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ที่จะให้ความช่วยเหลือเยียวยาชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ที่เป็น”แพะ”ของเจ้า หน้าที่ตำรวจตาม พรบ.คำตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทน ค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544

    สำหรับผู้เสียหายที่เข้าเงื่อนไขยื่นเรื่องร้องทุกข์เพื่อขอรับการเยียวยา ตามพ.ร.บ.ค่าตอบแทนฯ ของกรมคุ้มครองสิทธิ์ฯ แบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ 1.ผู้เสียหาย หมายถึงบุคคลที่ได้รับความเสียหายถึงแก่ชีวิตหรือร่างกายหรือจิตใจเนื่องจาก การกระทำความผิดอาญาของผู้อื่น โดยตนเองไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดนั้น และ 2.จำเลย ที่เข้าองค์ประกอบอย่างใดอย่างหนึ่งคือ เป็นจำเลยที่ถูกดำเนินคดีโดยพนักงานอัยการ ถูกคุมขังในระหว่างการพิจารณาคดี หรือมีคำพิพากษาจากศาลอันถึงที่สุดว่าจำเลยไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดและมี การถอนฟ้อง

    ส่วนขั้นตอนการขอรับค่าเยียวยาผู้เสียหายและจำเลยสามารถยื่นเรื่องผ่าน ยุติธรรมจังหวัดหรือกรมคุ้มครองสิทธิฯ ภายใน 1 ปี หลังเกิดเหตุ โดยต้องแนบเอกสารหลักฐานสำคัญเกี่ยวกับพฤติการณ์แห่งคดี รายงานพนักงานสอบสวน หรือกรณีที่มีคำพิพากษาก็ต้องมีรายละเอียดและหมายปล่อยตัว มาประกอบการพิจารณา จากนั้นผู้อำนวยการสำนักงานช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้เสียหายและจำเลยในคดี อาญา จะทำเรื่องเสนออนุกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนฯ และคณะกรรมการพิจารณาชุดใหญ่ฯที่ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 16 คน เป็นผู้มีมติอนุมัติ โดยในรายที่ไม่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการผู้เสียหายหรือญาติสามารถทำ เรื่องอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน นับตั้งแต่วันที่ได้รับแจ้งคำวินิจฉัยและให้คำวินิจฉัยของศาลเป็นที่สุด (รายละเอียดเพิ่มเติม เข้าไปดูข้อมูลได้ที่เว็บไซต์ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ..:::


    ในปัจจุบันกรมคุ้มครองสิทธิ์ฯได้รับเรื่องร้องทุกข์จากผู้เสียหายและจำเลย เพื่อขอรับค่าเยียวยาตามพ.ร.บ.ค่าตอบแทนฯจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จากเดิมประมาณ 5,000-6,000 ราย มาอยู่ที่หลัก 10,000 รายต่อปี ถือเป็นเรื่องดีที่ประชาชนซึ่งตกเป็นผู้เสียหายได้รับรู้ถึงช่องทางเรียก ร้องสิทธิการเยียวยาจากรัฐมากขึ้น แต่สิ่งที่สำคัญอีกข้อคือการให้ความช่วยเหลือตรงกับกลุ่มเป้าหมาย เพราะงบประมาณจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดได้ก็ต้องนำไปเยียวยาให้กับผู้เสีย หายที่ได้รับผลกระทบจริง

    ก่อนหน้านี้สถานการณ์ดังกล่าวจะพบว่า กระบวนการยุติธรรม ยังไม่มีหน่วยงานกลางในการประสานงาน เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนที่ไม่ได้รับความยุติธรรม หรือถูกล่วงละเมิดสิทธิด้วยการส่งต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หรือช่วยบรรเทาปัญหาในเบื้องต้นทั้งในเชิงรุกและรับ จึงทำให้ประชาชนที่ถูกละเมิดสิทธิขาดที่พึ่งในการเข้าถึงความยุติธรรม ซึ่งรัฐบาลได้ตระหนักและเห็นความสำคัญ กอปรกับมีการปฏิรูประบบราชการใหม่ จึงได้มีการจัดตั้ง กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2545 จุดมุ่งหมายสูงสุดของกระบวนการยุติธรรม คือ การสร้างความสงบสุขให้เกิดขึ้นในสังคม โดยการป้องกันแก้ไขปัญหาอาชญากรรม การคุ้มครองความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การป้องกันแก้ไขข้อพิพาทขัดแย้ง และการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ที่มุ่งถึงความสัมฤทธิ์ผลของความยุติธรรมบนพื้นฐานของมนุษยธรรม และการคุ้มครองสิทธิ

    แต่เนื่องจากยังมีสภาพปัญหาหลายประการที่ขัดขวางมิให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้า ถึงความยุติธรรม เช่น 1. การไม่มีความรู้ ความเข้าใจในบทบัญญัติของกฎหมาย และสิทธิเสรีภาพที่พึงมีพึงได้โดยชอบธรรม 2. ความยากจนของประชาชนที่เป็นอุปสรรคต่อการเข้าถึงความยุติธรรม 3. ประชาชนผู้เสียหายจากอาชญากรรม และจากกระบวนการยุติธรรมเป็นผู้บริสุทธิ์ไม่ได้รับการช่วยเหลือเยียวยาตาม หลักสิทธิมนุษยชน หรือละเลยต่อผู้เสียหาย 4. กระบวนการยุติธรรม ขาดศักยภาพในการพัฒนาทางเลือกความยุติธรรมให้กับประชาชน เป็นต้น

    ในโลกของความเป็นจริงนั้น ไม่มีประชาชนคนใดที่จะรู้เรื่องกฎหมายไปทั้งหมดว่ามีอะไรบ้าง กฎหมายที่ให้คุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชนก็เชื่อว่ายังไม่มีประชาชน รู้อีกจำนวนมากว่าถ้าตนเองได้รับผลกระทบจากสิทธิและเสรีภาพจากการกระทำของ เจ้าหน้าที่รัฐ ควรจะต้องเรียกร้องสิทธิของตนเองอย่างไร ปัญหาดังกล่าวนี้จึงควรเป็นหน้าที่ของหน่วยราชการที่จะต้องเข้ามาช่วยเหลือ ประชาชนผู้บริสุทธิที่ถูกลิดรอนสิทธิและเสรีภาพอย่างเต็มที่ ไม่ว่าประชาชนผู้นั้นจะมีสถานะอะไร เพื่อให้ประชาชนทุกคนได้รับความยุติธรรมด้วยความเป็นธรรม ตามสิทธิและเสรีภาพขั้นพื้นฐานที่ได้รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราช อาณาจักรไทยทั้งฉบับปัจจุบันนี้และฉบับที่ผ่าน ๆ มา.

    .

    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=656&contentId=146987-

    .

    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=656&contentId=146987

    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    เตือนนักเที่ยวจับแมงกะพรุนมีสิทธิถึงตาย


    [​IMG]


    สถาบัญวิจัยแลัพัฒนาทรัพยากรทางทะเล เตือนแมงกะพรุนไฟพิษร้ายเกือบเท่างูเห่า หลังพบลอยตามหาดในหาน และหาดในทอนฝั่งภูเก็ต ชี้ใครจับหรือสัมผัส มีสิทธิไปกราบเท้าพญามัจจุราช แจ้งนักท่องเที่ยวถ้าเจออย่าจับ แม้จะมีสีฟ้าสดใสสวยงามน่าจับต้อง แต่มีพิษร้ายชนิดคาดไม่ถึง หรือถ้าโดนให้เอาไม้หรือกระดาษเขี่ยหนวดออก อย่าใช้มือจับเด็ดขาด

    เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถาบันวิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่งทะเลและป่าชายเลน จ.ภูเก็ต ได้รายงานการพบแมงกะพรุนพิษ บริเวณหาดในหาน ต.ราไวย์ และหาดในทอน อ.ถลาง พร้อมกับแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวที่ลงเล่นน้ำบริเวณดังกล่าว ให้หลีกเลี่ยงจากการสัมผัสกับแมงกะพรุนในระยะนี้

    ทั้งนี้จากการเก็บตัวอย่างแมงกะพรุน ที่พบหลังมาเกยตื้นบริเวณหน้าหาดในหานและหาดในทอน เมื่อวันที่ 19 มิ.ย. ที่ผ่านมาพบว่า เป็นแมงกะพรุนชนิดเดียวกับกลุ่มแมงกะพรุนไฟ เป็นแมงกะพรุนแบบมีพิษมีชื่อว่า Hydrozoa วงศ์ Physalidae ชนิด Physalia sp ชื่อภาษาอังกฤษ คือ Portuguese Man O’War หรือ Blue bottle พบได้ทั่วไปในเขตน้ำอุ่น โดยแมงกะพรุนชนิดนี้ หากสัมผัสจะทำให้ได้รับบาดเจ็บ โดยมีอาการตั้งแต่ปวดแสบปวดร้อน รวมถึงมีอาการไข้ ช็อก จนถึงขั้นรุนแรงที่สุดคือเสียชีวิตได้ เนื่องจากสารพิษที่พบในสายหนวดของแมงกะพรุนชนิดนี้ มีความรุนแรงประมาณ 75 เปอร์เซ็นต์ของพิษงูเห่า

    ดังนั้นทางด้านสถาบันวิจัยและพัฒนา ทรัพยากรทางทะเลฯ ได้ทำหนังสือแจ้งประสานไปยังจังหวัดภูเก็ต และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ที่มีชายหาด และสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด ในการแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ลงเล่นน้ำบริเวณชายหาด ต่าง ๆ ให้ระมัดระวัง อย่าได้สัมผัสกับแมงกะพรุนดังกล่าว เพราะลักษณะโดยทั่วไปแมงกะพรุนชนิดนี้มีสีสวยงาม ใครเห็นอยากเข้าไปจับหรือสัมผัส เนื่องจากมีสีฟ้าสดใส สวยงาม หากไปถูกหรือสัมผัสจะได้รับอันตรายจากพิษของแมงกะพรุนทันที

    สำหรับผู้ที่โดนพิษแมงกะพรุน ให้ใช้น้ำส้มสายชูราดบริเวณบาดแผลที่สัมผัส จากนั้นให้ใช้วัสดุแข็ง เช่น กระดาษ ไม้ เขี่ยหนวดออกจากบริเวณที่สัมผัส โดยห้ามใช้มือสัมผัสโดยตรง ห้ามนวด หรือถู ถ้ามีอาการรุนแรง เช่น เริ่มรู้สึกหายใจลำบากหรือหมดสติ ให้รีบนำตัวส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว.


    .

    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=420&contentID=147023-

    .

    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=420&contentID=147023

    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ‘เมนูไข่’ ใกล้ตัวแก้เจ็บคอ


    เมนูเพื่อสุขภาพสัปดาห์นี้ เอาใจผู้อ่านที่อีเมล์มาสอบถามว่า เจ็บคอควรกินอะไรดี? เป็นอย่างนี้ ‘มุมสุขภาพ-กินดี’ ขอเลือก ‘ไข่ไก่’ อาหารใกล้ตัว กินง่าย มาเป็นวัตถุดิบหลัก เนื่องจากไข่ขาว ตามตำราจีนบอกว่ามีสรรพคุณแก้อักเสบ เจ็บคอ ส่วนเยื่อหุ้มเปลือกไข่ก็ยังช่วยแก้ไอ ไอเรื้อรัง และบรรเทาอาการเสียงแหบแห้ง

    ทั้งนี้ทั้งนั้น จะนำไข่ไก่ ไปเจียว ไปดาว ทอดด้วยน้ำมันแล้วกิน คงไม่ดีสำหรับผู้ที่กำลังเจ็บคออยู่แน่ แต่ถ้านำไปทำเมนูไข่ตุ๋น รสสัมผัสอุ่นนุ่มชุ่มคอ ไร้น้ำมันมาทำให้ระคายคอ ดูจะเข้าท่ากว่า แถมส่วนผสมในเมนูนี้มีช่วยเติมสรรพคุณแก้เจ็บคอ ไอ เสียงแหบแห้ง ให้ดียิ่งขึ้นไปอีก อย่าง ‘กระเทียม’ มีฤทธิ์แก้ไอ ขับเสมหะ และขับลม ส่วน ‘หอมแดง’ ช่วยแก้หวัดและลดไข้ เช่นเดียวกับพริกไทย

    ส่วนผสมที่ต้องเตรียมสำหรับทำ ‘ไข่ตุ๋นไก่สับ’ มีดังต่อไปนี้...

    • ไข่ไก่ 4 ฟอง

    • อกไก่ 1 ชิ้น

    • รากผักชี 3-4 ราก

    • กระเทียม 4-5 กลีบ

    • หอมแดง 2-3 หัว

    • พริกไทยเม็ด 2 ช้อนชา

    • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ

    • น้ำต้มสุกหรือน้ำซุป ½ ถ้วย

    วิธีทำ เริ่มจากล้างทำความสะอาดเนื้ออกไก่แล้วสับให้ละเอียด นำรากผักชี กระเทียม พริกไทย มาโขลกรวมกัน เพื่อนำไปคลุกเคล้ากับไก่สับแล้วหมักไว้สักครู่ จากนั้นตอกไข่ใส่ชาม ตีให้ฟูเนียน เติมไก่สับ หอมแดงซอย เพิ่มรสด้วยน้ำปลา ใส่น้ำต้มสุก สุดท้ายนำไปนึ่งบนเตาราว 15 นาที เป็นอันเสร็จ.

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
    takecareDD@gmail.com


    .

    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=557&contentId=146697-

    .

    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=557&contentId=146697

    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    กรวดน้ำ-คว่ำขัน-คว่ำบาตร


    คมชัดลึก : "กรวดน้ำคว่ำขัน" และ "กรวดน้ำคว่ำกะลา" เป็นสำนวนที่ราชบัณฑิตยสถานได้ให้ความหมายไว้ว่า "ตัดขาดไม่คบหาสมาคมกันต่อไป สำนวนทั้ง ๒ นี้มีที่มาจากการกรวดน้ำ แต่เป็นการกรวดน้ำโดยคว่ำภาชนะที่ใช้ กรวดน้ำคว่ำขัน และกรวดน้ำคว่ำกะลา จึงมีความหมายว่า เลิก หรือ ตัดขาด"


    ทั้งนี้ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดราชโอรสาราม ได้อธิบายความหมายของคำว่า “กรวดน้ำ” หมายถึง การรินน้ำจากภาชนะด้วยความปรารถนาอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น อุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ทำไปให้แก่ผู้มีพระคุณ เรียกว่า “ตรวดน้ำ” ก็มี
    กรดน้ำ มีวิธีทำดังนี้ เตรียมภาชนะสำหรับกรวดใส่น้ำสะอาดไว้ เมื่อพระรูปแรกเริ่มอนุโมทนาด้วยบทว่า “ยถา...” ก็เริ่มกรวดน้ำ โดยมือขวาจับภาชนะสำหรับกรวด มือซ้ายประคองรินน้ำใส่ภาชนะที่รองรับ พร้อมทั้งตั้งใจนึกอุทิศส่วนบุญกุศลไปให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว รินไปกระทั่งพระรูปแรกว่าจบ เมื่อรูปที่สองรับว่า “สัพพี...” ให้เทน้ำให้หมด แล้วประนมมือรับพรพระต่อไป
    ทั้งนี้มีคำพูดเล่นๆ ว่า “ยถา ให้ผี สัพพี ให้คน” หมายความว่า ตอนที่พระท่านว่า ยถา เป็นการให้กุศลแก่คนตาย ตอนที่ว่า สัพพี เป็นการให้กุศลแก่คนเป็น
    ส่วนคำว่า คว่ำขัน ถือเป็นกริยา ทำให้จบให้สิ้น ให้ความสัมพันธ์ขาดกันไปเหมือนสายน้ำ (อาศัยอาการเทให้หมด ให้มันหมดสิ้นกันไป) คล้ายคลึงแต่แตกต่าง ในขณะที่สำนวน “คว่ำบาตร” ความหมายทางโลกหมายถึง การยุติการติดต่อกันในมิติใดมิติหนึ่ง ส่วนใหญ่การคว่ำบาตรจะใช้ในทางการค้า มักใช้ในระดับการค้าระหว่างประเทศโดยกลไกการคว่ำบาตรอาจจะมีทั้งการไม่ยอม ขายสินค้า หรือบริการให้ประเทศคู่ค้า หรือไม่ซื้อสินค้า หรือบริการจากประเทศคู่ค้า หรืออาจจะทั้งสองกรณีก็ได้
    สำหรับความหมายในทางธรรมนั้น เจ้าคุณทองดี ได้ให้ความหมายไว้ว่า การที่พระสงฆ์พร้อมใจกันทำสังฆกรรมสวดประกาศลงโทษคฤหัสถ์ผู้คิดร้ายต่อพระ พุทธศาสนา หรือพระสงฆ์เพื่อให้รู้สึกตัว และเข็ดหลาบ วิธีลงโทษคือไม่คบหา ไม่พูดคุยด้วย และไม่รับอาหารบิณฑบาต โดยอาการเหมือนคว่ำบาตรเสีย ไม่ยอมเปิดบาตรรับอาหารจากผู้นั้น
    ในพุทธศาสนาเมื่อมีคำ “คว่ำบาตร” ก็มีคำ “หงายบาตร” คู่กัน นั่นคือเมื่อประกาศ “คว่ำบาตร” ใครแล้ว ต่อมาคนผู้นั้นสำนึกรู้สึกตนกลับมาประพฤติดี คณะสงฆ์จึงประกาศเลิก “คว่ำบาตร” ยอมให้ภิกษุทั้งหลายคบค้าสมาคม
    "พระธรรมกิตติวงศ์"


    -http://www.komchadluek.net/detail/20110623/101143/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B3%E0%B8%82%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B3%E0%B8%9A%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B8%A3.html-

    .




    .




    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    สัตมวาร-ศตมวาร

    คมชัดลึก :"ปุ พเพเปตพลี" หรือ "การทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ตาย" เริ่มมีมาในครั้งพุทธกาลสมัยที่พระเจ้าพิมพิสารสร้างวัดเวฬุวันถวายแด่องค์ สมเด็จพระสัมสัมพุทธเจ้า แต่พระองค์ยังไม่กรวดน้ำอุทิศบุญให้พระญาติของพระองค์ที่ล่วงไปแล้ว ตกเย็นมาเหล่าเปรตที่เคยเป็นพระญาติของพระองค์ในชาติก่อนๆ ก็มาปรากฏให้เห็นในพระสุบินหรือความฝัน พระเจ้าพิมพิสารก็ตกพระทัยกลัว รุ่งเช้าเสด็จไปที่วัดถวายภัตตาหารและทูลความฝันนั้นให้พระพุทธเจ้าทรงทราบ


    พระพุทธองค์ตรัสว่า เปรตเหล่านั้นเป็นพระญาติของพระองค์ในชาติก่อน มาปรากฏให้เห็นเพื่อที่จะขอส่วนบุญจากพระองค์
    ลำดับนั้นพระเจ้าพิมพิสารก็ได้กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญที่พระองค์ได้ทำให้แก่ญาติที่เป็นเปรตเหล่านั้น จนเป็นธรรมเนียมของการกรวดน้ำอุทิศส่วนบุญไปให้แก่ผู้ตายของชาวพุทธเราจวบจนปัจจุบันนี้
    ดังนั้น เมื่อเรานึกถึงคุณความดีของผู้ล่วงลับไปแล้ว ก็ควรทำบุญอุทิศให้ผู้ตายโดยเฉพาะพ่อแม่พี่น้องหรือญาติๆ ที่มีอุปการคุณแก่เรา เราควรตอบแทนบุญคุณท่านด้วยการทำบุญไปให้ เป็นหน้าที่อีกอย่างของบุตรธิดาที่ต้องทำเมื่อท่านล่วงลับไปแล้ว เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวทิตา
    การทำบุญอุทิศให้ผู้ตายในวาระครบรอบวัน นิยมมี ๓ วาระ คือ ครบรอบ ๗ วัน เรียกว่า ทำบุญสัตมวาร ครบรอบ ๕๐ วัน เรียกว่า ทำบุญปัญญาสมวาร และครบรอบ ๑๐๐ วัน เรียกว่า ทำบุญศตมวาร
    ทั้งนี้ พระธรรม กิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดราชโอสาราม ได้อธิบายความหมายของคำว่า "สัตมวาร" อ่านว่า “สัด-ตะ-มะ-วาน” ไว้ว่า วันที่ครบ ๗, วันที่ ๗ ใช้ว่า สัตตมวาร ก็มี
    สัตมวาร ปกติใช้เรียกกำหนดการทำบุญอุทิศให้แก่ผู้ตายเมื่อครบ ๗ วัน เรียกว่า ทำบุญสัตมวาร เรียกทั่วไปว่า ทำบุญ ๗ วัน เช่นใช้ว่า
    “กำหนดการทำบุญบำเพ็ญกุศลสัตมวาร”
    “เนื่องในการทำบุญครบรอบสัตมวารของนาย...ขออาราธนาพระคุณเจ้าไปสวดพระพุทธมนต์และฉันภัตตาหารเพล...”
    ถ้าเป็นการทำบุญ ๕๐ วัน เรียกว่า ทำบุญปัญญาสมวาร อ่านว่า ปัน-ยา-สะ-มะ-วาน” ใช้ในการนับวันเวลาของเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่มาบรรจบครบ ๕๐ วัน ปกติใช้นับวันเวลาการตายของบุคคล
    ส่วนคำว่า “ศตมวาร” อ่าว่า “สะ-ตะ-มะ-วาน” เจ้าคุณทองดีได้ให้ความหมายไว้ว่า วันที่ครบ ๑๐๐ วันที่ ๑๐๐ เขียนว่า สตมวาร ก็มี
    ศตมวาร ใช้ในการนับวันเวลาของเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งที่มาบรรจบครบ ๑๐๐ วัน ปกติใช้นับวันเวลาการตายของบุคคล และมีการทำบุญอุทิศไปให้ผู้นั้นเนื่องในวันครบ ๑๐๐ วัน เรียกการนี้ว่า ทำบุญศตมวาร
    "พระธรรมกิตติวงศ์ "


    .

    -http://www.komchadluek.net/detail/20110325/92573/%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A8%E0%B8%95%E0%B8%A1%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%A3.html-

    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 2 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 0 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong, nutemu</td></tr></tbody></table>

    สวัสดีตอนสาย วันเสาร์สุขสันต์ครับ





    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .




    .




    .
    รู้จักและรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว

    ภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure) (โรงพยาบาลพญาไท)

    หัวใจ ทุกดวงทั้งปกติและไม่ปกติ ต้องการการดูแลอย่างทะนุถนอม ทั้งทางด้านร่างกายและทางด้านจิตใจ หัวใจของคนที่มีภาวะหัวใจล้มเหลว (Heart Failure) นั้น ทางการแพทย์พบว่า ถ้าเรา (หมายถึงทีมแพทย์บุคลากรทางการแพทย์) ใส่ใจดูแลเป็นพิเศษแล้ว จะทำให้หัวใจดวงนั้นอยู่ได้นานขึ้น เจ้าของหัวใจก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และโอกาสที่จะต้องเข้าโรงพยาบาลเพื่อซ่อมแซมก็จะลดลงได้อย่างชัดเจนด้วย

    [​IMG] ภาวะหัวใจล้มเหลวคืออะไร?

    ภาวะนี้คือภาวะที่หัวใจไม่สามารถทำงานตอบสนองความต้องการของร่างกายได้อย่าง มีประสิทธิภาพเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในสภาวะต่าง ๆ สาเหตุเกิดจากหลายประการ เช่น กล้ามเนื้อหัวใจตาย หรือภาวะความดันโลหิตสูงที่เป็นอยู่นาน ๆ ก็จะทำให้หัวใจทำงานหนักมากเกินไป เพราะต้องคอยบีบเลือดผ่านหลอดเลือดที่มีความต้านทานสูง จนในที่สุดก็ทนไม่ไหวเกิดภาวะหัวใจโต และหัวใจล้มเหลวในที่สุด

    นอกจากนี้ การติดต่อเชื้อบางประเภทก็ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจอ่อนแอลง ถ้าเป็นมากก็ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ หรือแม้แต่ความผิดปกติของลิ้นหัวใจ ซึ่งส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ พูดรวม ๆ ได้ว่าความผิดปกติของหัวใจทุกชนิด ถ้าไม่ได้รับการดูรักษาทันเวลาก็จะทำให้หัวใจโต แล้วก็หัวใจล้มเหลวในที่สุด

    อาการ ของผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวก็เกิดจากการที่หัวใจมามีประสิทธิภาพในการ ทำงานนั่นเองครับ ที่พบบ่อย ๆ คือ เหนื่อยหอบในเวลาออกแรง นอนราบไม่ได้ บางคนต้องตื่นขึ้นมาในตอนดึก ๆ เพราะนอนแล้วหายใจไม่สะดวก (เนื่องจากมีน้ำท่วมในปอด) แน่นจุกลิ้นปี่ (ตับมีน้ำคั่ง) หรือบวมตามแขนขา เป็นต้น

    การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เช่น การถ่ายภาพรังสีปอดและหัวใจ ก็จะพบหัวใจโตหรือมีน้ำในปอด ผลตรวจเลือดบางชนิด เช่น การทำงานของไตหรือตับก็อาจผิดปกติได้ในรายที่เป็นมากที่สำคัญของผู้ที่มี ภาวะหัวใจล้มเหลวก็คือ การทำนายโรคไม่ค่อยจะได้ดีนักหรอกครับ โอกาสเสียชีวิตภายในห้าปีหลังจากที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวสูง ถึงร้อยละ 50 เรียกง่าย ๆ ว่าหนึ่งในสองคนที่มีภาวะนี้จะเสียชีวิตภายใน 5 ปี

    ภาวะ หัวใจล้มเหลวเป็นปัญหาสุขภาพที่สำคัญอย่างยิ่งทั่วโลก เช่นในประเทศสหรัฐอเมริกาเอง สถิติผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวมากถึงเกือบ 5 ล้านคน และทุก ๆ ปีจะมีผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวเพิ่มขึ้นมากกว่า 5 แสนคน จำนวนผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับ 20 ปีที่แล้ว พบว่าจำนวนผู้ป่วยเพิ่มมากกว่าเดิมถึง 3 เท่าตัว

    ส่วน สาเหตุที่นับวันจะยิ่งพบผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแพทย์ใส่ใจดูแลหัวใจผู้ป่วยได้ดีกว่าแต่ก่อน ทำให้ตรวจและวินิจฉัยพบผู้ป่วยที่มีอาการสุ่มเสี่ยงจะเกิดภาวะดังกล่าวได้ เร็วขึ้นกว่าเดิมที่มักจะพบเมื่ออาการวิกฤตแล้ว อีกทั้งวิธีการรักษา ต่าง ๆ ที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งทำให้มีผู้ที่รอดชีวิตจากโรคหัวใจต่าง ๆ มากขึ้น แต่ในที่สุดก็หนีสัจธรรมของชีวิตไม่พ้นหรอกครับ อายุมากขึ้น ต่อให้หมอรักษาดีแค่ไหน หัวใจก็ย่อมเสื่อมสภาพไปตามอายุขัยอยู่แล้ว ในที่สุดก็หนีภาวะหัวใจล้มเหลวไม่พ้น

    ผู้ป่วยที่มีภาวะนี้จะเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลเป็นประจำ เรียกว่าบางทีกินอาหารผิดสำแดงแค่มื้อเดียว (ในที่นี้คืออาหารที่มีเกลือโซเดียมมาก เช่น อาหารเค็มหรือ อาหารที่ใส่ผงชูรส ซึ่งไม่เค็มแต่ก็มีเกลือโซเดียมอยู่) เกิดภาวะน้ำท่วมปอด ก็ต้องเข้าโรงพยาบาลแล้วนะครับ


    [​IMG]


    [​IMG] การรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว

    แน่นอนครับ การรักษาในภาวะหัวใจล้มเหลวนั้นมีเป้าหมายที่จะทำให้คนไข้มีอาการดีขึ้นและ ชะลอความเสื่อมของสภาพของหัวใจ แต่นอกเหนือไปจากนั้นก็คือ มุ่งเน้นที่จะช่วยให้ผู้ป่วยมีอายุที่ยืนยาวขึ้น และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นด้วย ไม่ใช่ภาวะหัวใจล้มเหลวหายแล้ว แต่อีกไม่กี่เดือนก็ต้องกลับมาอยู่โรงพยาบาลด้วยภาวะหัวใจล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำ อีก

    [​IMG] การรักษาโดยทั่วไป ก็ คือการรับประทานยา ทั้งนี้ ยาที่ใช้ในผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวมีหลายขนาดและหลายประเภทด้วยกัน ซึ่งจะแตกต่างไปตามสภาวะและความรุนแรงของโรค ยาที่ใช้ เช่น ยาขับปัสสาวะ ยากั้นเบต้า เป็นต้น นอกเหนือไปจากการรับประทานยาก็คือ การควบคุมภาวะที่กระตุ้นให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว เช่น ควบคุมการบริโภคน้ำและเกลือเพื่อป้องกันน้ำที่เกิดในร่างกาย รวมทั้งการดูแลร่างกาย เช่น รับประทานอาหารที่เหมาะสม ออกกำลังกายสม่ำเสมอ การลดน้ำหนักเกิน เป็นต้น ที่สำคัญก็คือ ผู้ป่วยภาวะหัวใจล้มเหลวควรได้รับคำแนะนำในเรื่องการปฏิบัติตนและการใช้ยา รวมทั้งผลข้างเคียงของยา สำหรับบางรายแพทย์อาจจะสอบวิธีการปรับยาขับปัสสาวะด้วยตนเองถ้าเป็นไปได้

    [​IMG] สำหรับวิธีการรักษาอื่น ๆ เช่น ใส่เครื่องกระตุ้นการทำงานของหัวใจ หรือเปลี่ยนหัวใจ (heart transplant) การรุนแรงมากขึ้น แพทย์จะต้องพิจารณาเป็นราย ๆ ไปครับ นั่นคือการรักษาผู้ป่วยในภาวะหัวใจล้มเหลวโดยทั่วไป ซึ่งถ้ามีอาการเฉียบพลันก็มักจะต้องรับเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล เป็นที่สิ้นเปลือง รวมทั้งคุณภาพชีวิตที่ไม่ค่อยดีนักของผู้ป่วยที่ต้องเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลอยู่บ่อย ๆ

    [​IMG] สำหรับการรักษาในปัจจุบัน มีหลายวิธีอย่างที่เล่าให้ฟังแล้ว แต่ วันนี้ผมจะเล่าถึงการรักษาง่าย ๆ ที่ดูเหมือนคนส่วนใหญ่จะละเลยไป แต่ปรากฏว่าได้ประโยชน์อย่างไม่น่าเชื่อ นั่นก็คือการทีมีใครสักคน (ในที่นี้เป็นกลุ่มบุคลากรทางการแพทย์) คอยติดตามเอาใจใส่ดูแลให้คำปรึกษาในการปฏิบัติตัวกับผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจ ล้มเหลวอย่างใกล้ชิด เช่น ให้ความรู้ก่อนออกจากโรงพยาบาล โทร.ติดตามอาการและให้คำปรึกษาเบื้องต้นหลังจากผู้ป่วยกลับไปอยู่บ้านแล้ว เป็นระยะ ๆ

    มีการศึกษาจากต่างประเทศพบว่า การเอาใจใส่จากทีมบุคลากรทางการแพทย์ดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ป่วยที่มีภาวะหัวใจล้มเหลวมีอัตราการตายลดลง รวม ทั้งการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลก็ลดลงอย่างชัดเจน ง่าย ๆ แค่นี้เองครับ ไม่ต้องกินยาเพิ่ม ไม่ต้องผ่าตัดหรือใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ แต่สิ่งที่ต้องทำสม่ำเสมอคือ การสร้างความรู้ความเข้าใจในภาวะเจ็บป่วย รวมทั้งการดูแลสุขภาพให้กับผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง

    แต่การที่จะทำให้สำเร็จได้ต้องทำงานกันเป็นทีมครับ ทีมงานนี้ในต่างประเทศเรียกว่า Heart Failure Team ซึ่ง ผมขอตั้งชื่อเองว่า "ทีมหัวใจล้มเหลว" (ซึ่งฟังแล้วเหมือนผู้ร่วมทีมอกหักผิดหวังทั้งทีม) ทีมนี้ประกอบไปด้วยแพทย์หัวใจที่ชำนาญในการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวพยาบาล นักโภชนาการ แพทย์ฟื้นฟูสมรรถ ภาพหัวใจ และนักกายภาพบำบัด ลองดูนะครับว่าการดูแลหัวใจดังกล่าวมันยากสักแค่ไหน

    [​IMG] ข้อควรปฏิบัติสำหรับคนไข้

    [​IMG] คนไข้ต้องชั่งน้ำหนักทุกวันเพื่อดูว่าปริมาณน้ำในร่างกายมากเกินไปหรือไม่ เวลาที่ชั่งน้ำหนักควรเป็นตอนเช้าหลังจากถ่ายปัสสาวะแล้ว และก่อนรับประทานอาหารเช้า รวมทั้งจดบันทึกน้ำหนักทุกวัน ถ้าน้ำหนักเพิ่มมากกว่า 2 กิโลกรัมในหนึ่งวัน ควรรายงานแพทย์...เพราะน้ำหนักที่เกินมา 2 กิโลกรัม จะเท่ากับว่ามีน้ำคั่งค้างอยู่ในตัว 2 ลิตร

    [​IMG] ในบางกรณี อาจจำเป็นที่จะต้องจำกัดปริมาณน้ำรวมทั้งของเหลวอื่น ๆ (โดยเฉพาะในบางรายที่การทำงานของไตเสื่อมไป) ที่ดื่มหรือรับประทานในแต่ละวัน ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้แนะนำว่าปริมาณน้ำที่จะจำกัดคือเท่าไหร่

    [​IMG] จดบันทึกรายการอาหารที่รับประทานในแต่ละวัน เพื่อควบคุมปริมาณเกลือโซเดียมที่รับประทาน ทั้งนี้ ปริมาณเกลือที่มากเกินไปจะทำให้ปริมาณน้ำในร่างกายคั่งค้าง (เพราะเกลือจะดูดน้ำไว้ได้มาก) ส่งผลให้หัวใจทำงานหนักจนเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ ในแต่ละวันควรจำกัดปริมาณเกลือโซเดียมไม่เกิน 2 กรัมต่อวัน ซึ่งประมาณเกลือเกือบ 1 ช้อนชา หรือน้ำปลาประมาณ 2 ช้อนโต๊ะเท่านั้น จะเห็นว่าอาหารที่รับประทานในแต่ละวันปริมาณเกลือจะเกินอยู่แล้ว ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการเติมเครื่องปรุงรส รับประทานอาหารรสจัด อาหารที่มีผงชูรส (มีเกลือโซเดียม แต่ไม่มีรสเค็ม) อาหารหมักดอง อาหารกระป๋อง เป็นต้น

    [​IMG] คนไข้ต้องหมั่นสังเกตอาการตนเองว่ามีอาการของภาวะหัวใจล้มเหลวกำเริบ เช่น อาการบวม นอนราบไม่ได้ หรือเหนื่อยผิดปกติ ถ้าเริ่มมีอาการที่ผิดปกติไป ควรปรึกษาแพทย์เสียแต่เนิ่น ๆ หรือติดต่อรายงานตัวกับทีมแพทย์ที่ดูแลเรื่องหัวใจล้มเหลวโดยเฉพาะ

    [​IMG] การออกกำลังกายที่ง่าย ๆ และทำได้เกือบทุกคน เช่นการเดินก็สามารถทำได้ โดยเริ่มจากการเดินช้า ๆ แล้วพักเป็นช่วง ๆ จดบันทึกการออกกำลังกายเพื่อให้แพทย์ปรับการออกกำลังกายให้เหมาะสมดียิ่ง ขึ้นได้ ถ้าทำได้ดีและสม่ำเสมอก็จะทำให้หัวใจแข็งแรงดีขึ้น โอกาสที่จะเสียชีวิตก็จะลดน้อยลง ดังนั้น ถ้าใครมีภาวะหัวใจล้มเหลวแล้วแพทย์ยังไม่ได้วางโปรแกรมการออกกำลังกายให้ ท่าน แสดงว่าท่านยังไม่ได้รับการรักษาเต็มที่ครับ

    .

    -http://www.phyathai.com/phyathai/new/th/specialcenter/popup_cms_article_detail.php?cid=222&mid=Article&subject=%C0%D2%C7%D0%CB%D1%C7%E3%A8%C5%E9%C1%E0%CB%C5%C7%20%28Heart%20Failure%29-

    -http://health.kapook.com/view26572.html-

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ใส่รองเท้าส้นสูงเดินถนน สุ่มเสี่ยงโรคข้อต่ออักเสบ

    กล่าวได้ว่าผู้หญิงเป็นกลุ่มที่ชื่นชอบแฟชั่นมาก และรองเท้าส้นสูงเป็นสิ่งที่ได้รับการพิจารณาแล้วว่าจำเป็นมากสำหรับพวกเธอ แต่ส้นรองเท้าที่สูงตระหง่านเหล่านั้นจะนำมาซึ่งความเสี่ยงของโรคข้อต่อ อักเสบในภายหลัง และนี่ถือเป็นคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเท้า
    รองเท้า ส้นสูงสามารถเปลี่ยนการทรงตัวและเพิ่มแรงดันให้กับเท้าของคุณ ซึ่งลักษณะดังกล่าวจะส่งผลต่อข้อเท้าและข้อต่อหัวเข่า ที่สำคัญยังเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคข้อเข่าเสื่อมอีกด้วย ซึ่งลักษณะที่กล่าวมาเหล่านี้เป็นสิ่งที่พบมากที่สุด มันทำให้เกิดอาการเจ็บปวดและความฝืดขึ้นในบริเวณข้อต่อ และส่งผลกระทบต่อชาวอังกฤษอย่างน้อยแปดล้านคน
    หมอรักษาโรคเกี่ยวกับ เท้าและเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการทำเล็บ กล่าวว่า ปัญหานี้กำลังเพิ่มขึ้นและส่งผลกระทบรุนแรงต่อผู้หญิง จากการออกไปสำรวจผู้หญิง 2,000 คนในย่านของผู้หญิงพบว่า ผู้หญิงสวมรองเท้าส้นสูงทุกวันหรือแทบทุกวัน
    ศาสตราจารย์แอนโทนี รีดมอนด์ นักวิจัยด้านสังคมวิทยาและหมอรักษาโรคเท้า ได้ให้คำแนะนำแก่ผู้หญิงว่าควรเลือกรองเท้าที่มีปลายโค้งมน มีส้นสูงเพียง 1-3 เซนติเมตร และพื้นรองเท้าก็ต้องรองรับและดูดซับแรงกระแทกจากเท้าด้วย
    สังคม โลกได้เตือนประเทศในสหราชอาณาจักรถึงเรื่องดังกล่าว เพราะอาจจะนำมาสู่ปัญหาโรคข้ออักเสบ ที่เรียกได้ว่าเป็นขั้นวิกฤติที่เกิดขึ้นจากการสวมรองเท้าส้นสูงได้ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการสวมใส่รองเท้าที่ไม่ค่อยดีนักสำหรับเท้า โดยเฉพาะผู้ที่เป็นครูฝึกสอน
    ตัวเลขจากกรณีนี้ได้เพิ่มขึ้นโดยจะเห็นได้จาก 6 ใน 10 ของผู้ที่ประสบกับปัญหานี้ และพวกเขาต้องคงสภาพเท้าไว้เช่นนั้น
    ขณะ เดียวกัน ระดับความอ้วนที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลต่อชีวิตช่วงต่อไปของเรามากกว่าปัจจัย อื่นๆ โพลสำรวจยังระบุอีกว่า 3 ใน 4ของผู้หญิงและผู้ชายที่เป็นครูฝึกสอนกีฬา ไม่ได้สวมรองเท้าที่ออกแบบมาเพื่อเล่นกีฬาที่พวกเขาได้ทำขึ้นมา
    ศาสตราจารย์ รีดมอนด์กล่าวว่า ควรแต่งตั้งครูฝึกสอนขึ้นมา เพื่อให้ช่วยดูแลผู้เข้าร่วมการอบรมในระหว่างของการเล่นกีฬา สำหรับแรงดันที่ผ่านข้อต่อเข้ามา สามารถเพิ่มน้ำหนักในร่างกายของพวกเขาได้เกินกว่า 8 ครั้ง
    นอกจากนี้ เขายังกระตุ้นให้ทุกคนรู้สึกเจ็บปวดที่เท้าหรือบริเวณข้อเท้าของเขา โดยการพยายามช่วยรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งวิธีดังกล่าวนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญมาก.


    .


    -http://www.thaipost.net/x-cite/220611/40531-

    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เห็นแล้วเหนื่อยใจครับ หากผู้ที่มีหน้าที่ เป็นแบบนี้

    หากมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบ แต่ไม่ยอมรับผิดชอบในหน้าที่ ไม่สมควรอยู่ในตำแหน่ง

    และยังหน้าด้านรับเงินเดือนอยู่ (เงินเดือนเป็นเงินภาษีอากรของประชาชนผู้ที่ทำงานเสียภาษีให้รัฐบาล)


    ------------------------------------------

    ก.เกษตรฯ เต้น! ข้าวหอมมะลิไทยถูกผสมขายในจีน-สหรัฐ

    -http://hilight.kapook.com/view/60127-

    [​IMG]



    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม

    ต่าง ประเทศแจ้งไทย เจอข้าวหอมมะลิเกรดต่ำปน โดยเฉพาะที่ จีน-อเมริกา ทางด้าน ก.เกษตร แฉนักธุรกิจไทยแอบผสมข้าวเกรดต่ำ บรรจุถุงใหม่ ปลอมตรารวงข้าวไทย ด้าน ก.พาณิชย์ เมินดำเนินคดี อ้างขั้นตอนวุ่นวาย

    กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน ที่ผ่านมา ทางกระทรวงเกษตรได้จัดประชุมร่วมกับผู้แทนสำนักการเกษตรต่างประเทศ ประจำเมืองสำคัญทั่วโลก ผ่านทางระบบเทเลคอนเฟอเรนซ์ เพื่อหารือถึงปัญหาด้านการเกษตรในต่างประเทศ โดยมี นายนิวัติ สุธีมีชัยกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ ทำหน้าที่ เป็นประธาน ซึ่งประเด็นหลักในการประชุมกันครั้งนี้ก็คือ ปัญหาข้าวหอมมะลิไทยที่ถูกปลอมปนในประเทศจีน หลังทางการจีนได้ตรวจพบ และเข้าจับกุมกับบริษัทแห่งหนึ่งที่ทำการปลอมปนข้าวของไทย ส่งจำหน่ายในหลายพื้นที่ของประเทศจีน

    ทั้งนี้ ผู้แทนสำนักการเกษตรต่างประเทศ ประจำมณฑลกวางโจว ระบุว่า จากการที่ทางการจีนเข้าจับกุมบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในจีนนั้น ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของข้าวหอมมะลิไทยเป็นอย่างมาก เพราะขณะนี้ผู้บริโภคต่างไม่มั่นใจว่าเป็นข้าวหอมมะลิแท้จากไทยหรือไม่ จึงไม่กล้าซื้อมาบริโภค

    นอกจากนี้แหล่งข่าวยังระบุว่า การจับกุมบริษัทดังกล่าว มีนักธุรกิจไทยรายใหญ่เข้าไปถือหุ้นร่วมอยู่ด้วย ซึ่งทางการจีนกำลังสอบสวนถึงผู้เกี่ยวข้องอย่างละเอียด ซึ่งนอกจากจะปลอมปนข้าวเกรดต่ำผสมลงไปในข้าวหอมมะลิแล้ว ยังพบการปลอมแปลงตราสัญลักษณ์ คำว่า "ข้าวจัสมินไรท์ (หอมมะลิ)" ตรารวงข้าว ที่เป็นสัญลักษณ์ของการค้าของกระทรวงพาณิชย์อีกด้วย โดยกระบวน การปลอมปนข้าวเกรดต่ำนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นจากในไทย แต่เกิดขึ้นในต่างประเทศ คือ หลังจากที่ไทยส่งข้าวหอมมะลิออกต่างประเทศแล้ว ทางบริษัทเอกชนในจีนดังกล่าว ก็นำข้าวเกรดต่ำมาผสม แล้วบรรจุถุงใหม่ที่มีตราสัญลักษณ์ของกระทรวงพาณิชย์ ทั้งนี้กระบวนดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นแค่ในประเทศจีนเท่านั้น ยังได้เกิดขึ้นในประเทศ สหรัฐอเมริกา และในยุโรปด้วย

    ทางด้านผู้แทนสำนักการเกษตรของสหรัฐฯ กล่าวว่า ปัญหาดังกล่าวเกิดขึ้นมากตามห้างร้านและซุปเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่ง โดยมีข้าวสารที่ระบุว่า "ข้าวจัสมินไรท์ (หอมมะลิ)" เป็นภาษาไทย มาขายจำนวนมาก ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า เป็นสินค้าจากประเทศเพื่อนบ้านของไทยมาสวมรอยแทน อีกทั้งยังได้รับแจ้งจากร้านอาหารไทยในสหรัฐฯ ว่าพบข้าวหอมมะลิไทยปลอมปนอยู่มาก

    ขณะเดียวกัน ทางด้านกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องมารับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรง เมื่อทราบเรื่องแล้ว ก็ไม่ได้ดำเนินการฟ้องร้องแต่อย่างใด โดยทางพาณิชย์แจ้งว่า ไม่อยากดำเนินคดีเพราะมีขั้นตอนที่วุ่นวาย

    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308880760&grpid=03&catid=03-
    [​IMG]

    -http://hilight.kapook.com/view/60127-

    -----------------------------------------------------


    .

    ข้าวหอมมะลิไทยเจอปลอมปน ผสมข้าวถูกขายว่อนจีน-สหรัฐ ก.เกษตรแฉนักธุรกิจไทยเอี่ยว


    [COLOR=##005800]ข้าวหอมมะลิไทยเจอปัญหาใหญ่ โดนปลอมปนหนักในต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดจีน สหรัฐ ก.เกษตรฯ แฉมีนักธุรกิจไทยร่วมถือหุ้นบริษัทจีน แอบผสมข้าวเกรดต่ำ บรรจุถุงใหม่ แถมปลอมตรารวงข้าวของไทยอีกต่างหาก ขณะที่พาณิชย์เฉยเหตุไม่อยากวุ่นวาย [/COLOR]



    แหล่งข่าวระดับสูงจากกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เปิดเผย มติชนŽ ว่า เมื่อวันที่ 22 มิถุนายนที่ผ่านมา กระทรวงเกษตรฯ ได้จัดประชุมผ่านระบบเทเลคอนเฟอเรนซ์ ร่วมกับผู้แทนสำนักการเกษตรต่างประเทศ ประจำเมืองสำคัญทั่วโลก อาทิยุโรป วอชิงตัน ดี.ซี. กรุงโรม ปักกิ่ง กวางโจว เป็นต้น เพื่อหารือถึงปัญหาด้านการเกษตรในต่างประเทศ โดยมีนายนิวัติ สุธีมีชัยกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ ทำหน้าที่ เป็นประธาน โดยประเด็นปัญหาสำคัญที่มีการพูดถึงมาก คือ ปัญหาข้าวหอมมะลิไทยถูกปลอมปนในประเทศจีน ที่เบื้องต้นทางการจีน ตรวจพบและเข้าจับกุมบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ที่ทำการปลอมปนข้าวหอมมะลิของไทย และส่งจำหน่ายในหลายมณฑลใหญ่ของจีนเมื่อเร็วๆ นี้


    แหล่งข่าวกล่าวว่าผู้แทนสำนักการเกษตรต่างประเทศ ประจำมณฑลกวางโจว ระบุว่า ผลจากการที่ทางการจีนเข้าจับกุมบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งในจีนดังกล่าว ส่งผลต่อภาพลักษณ์สินค้าข้าวหอมมะลิของไทย ที่ส่งออกไปจำหน่ายในจีนขณะนี้เป็นอย่างมาก เพราะผู้บริโภคไม่มั่นใจว่าเป็นข้าวหอมมะลิแท้จากไทยหรือไม่ จึงไม่กล้าซื้อ


    แหล่งข่าวกล่าวว่า อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่น่าสนใจที่สุด ในการรายงานของผู้แทนสำนักการเกษตรต่างประเทศ กวางโจว คือ บริษัทเอกชนจีนที่ทำการปลอมปมสินค้าข้าวหอมมะลิไทยจำหน่าย มีนักธุรกิจไทยรายใหญ่ เข้าไปร่วมถือหุ้นอยู่ด้วย ซึ่งทางการจีนอยู่ระหว่างการสอบสวนอยู่ในขณะนี้ ส่วนกระบวนการปลอมปนข้าวหอมมะลิไทยในจีน ที่ตรวจพบอยู่ในขณะนี้ นอกเหนือจากตรวจพบการนำข้าวเกรดต่ำไปผสมกับข้าวหอมมะลิของไทยที่ส่งออกไป จำหน่ายแล้ว ยังมีการตรวจพบว่า มีการปลอมแปลงตราสัญลักษณ์คำว่า ข้าวจัสมินไรท์ (หอมมะลิ) และตรารวงข้าว ที่เป็นสัญลักษณ์ของการค้าของกระทรวงพาณิชย์ด้วย


    แหล่งข่าวกล่าวว่า ทั้งนี้ ขั้นตอนกระบวนการปลอมปนข้าวหอมมะลิไม่ได้เกิดขึ้นจากในไทย แต่เกิดขึ้นในต่างประเทศ กล่าวคือ ภายหลังจากที่ผู้ประกอบการไทยส่งข้าวหอมมะลิออกไปต่างประเทศแล้ว บริษัทเอกชนในจีน ก็จะนำข้าวหอมมะลิไทย ที่ได้ไปผสมกับข้าวเกรดต่ำ พร้อมทำการบรรจุถุงใหม่ ซึ่งข้างถุงจะมีการปลอมแปลงตราสัญญลักษณ์ของกระทรวงพาณิชย์ เพื่อทำให้ผู้บริโภคเข้าใจว่าเป็นสินค้าที่ส่งออกไปจากไทยโดยตรง ซึ่งกระบวนการทำธุรกิจแบบนี้ ไม่เกิดขึ้นในจีนเท่านั้น แต่กำลังเกิดขึ้นในยุโรป และสหรัฐอเมริกาด้วย
    

    ในส่วนของสหรัฐ ค่อนข้างจะมีปัญหาเรื่องนี้มากเหมือนกัน ตามห้างร้านหรือซุปเปอร์มาร์เก็ตหลายแห่ง ที่รับสินค้าข้าวมาจำหน่าย มีการนำข้าวสารที่ระบุข้างถุง ว่าเป็นข้าวจัสมินไรซ์มาวางขายจำนวนมากเกือบหลักร้อย มีการใช้ตัวอักษรภาษาไทย กำกับไว้ข้างถุง อ้างว่าเป็นสินค้าที่ผลิตจากประเทศไทย และตรวจพบข้อมูลว่า มีการนำสินค้าข้าวมาจากประเทศเพื่อนบ้านไทยมาสวมแทนŽ แหล่งข่าวระบุ


    แหล่งข่าวกล่าวว่า ปัญหาดังกล่าวเป็นหน้าที่ของกระทรวงพาณิชย์ ที่จะต้องเข้ามารับผิดชอบแก้ไขปัญหาโดยตรง ซึ่งที่ผ่านมากระทรวงเกษตรฯ พยายามประสานงานไปหลายครั้ง แต่ก็ไม่มีความคืบหน้า โดยกระทรวงพาณิชย์แจ้งว่าไม่อยากฟ้องร้องดำเนินคดี เพราะมีขั้นตอนวุ่นวาย


    นายนิวัติ สุธีมีชัยกุล รองปลัดกระทรวงเกษตรฯ กล่าวว่า ปัญหาการลักลอบจำหน่ายข้าวหอมมะลิที่ไม่ได้มาตรฐานในต่างประเทศ ไม่ได้เกิดขึ้นแค่จีนเท่านั้น ล่าสุดไปดูงานที่ เมืองลอสแองเจลิส สหรัฐ ได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบการร้านอาหารไทยหลายแห่งว่า ข้าวหอมมะลิของไทยถูกปลอมปนอย่างมาก

    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308880760&grpid=03&catid=03-

    .
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    เปิดดูกันจะๆ แนวเวนคืน ที่ดินรถไฟสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค


    ผู้สื่อข่าว รายงานว่า วันที่ 24 มิถุนายน ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ พระราชกฤษฎีกา กำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตปทุมวัน เขตบางรัก เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตพระนคร เขตธนบุรี เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ เขตจอมทอง และเขตบางแค กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2554


    พ.ร.ฎ. เป็นการกำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตปทุมวัน เขตบางรัก เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตพระนคร เขตธนบุรี เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ เขตจอมทอง และเขตบางแค กรุงเทพมหานคร เพื่อดำเนินกิจการรถไฟฟ้า ในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดสร้างโครงการขนส่งด้วยระบบรถไฟฟ้า สถานที่จอดรถสำหรับผู้โดยสาร และกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่อง กับกิจการรถไฟฟ้าตามโครงการรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค


    ทั้งนี้ สาระสำคัญ 7 มาตรา มีดังนี้
    มาตรา 1 พระราชกฤษฎีกานี้เรียกว่า “พระราชกฤษฎีกากำหนดเขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืน ในท้องที่เขตปทุมวัน เขตบางรัก เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตพระนคร เขตธนบุรี เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ เขตจอมทอง และเขตบางแค กรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2554 ”

    มาตรา 2 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม 2554 เป็นต้นไป

    มาตรา 3 พระราชกฤษฎีกานี้ให้ใช้บังคับได้มีกำหนดสี่ปี

    มาตรา 4 ที่ดินที่จะเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินกิจการรถไฟ ฟ้า ในส่วนที่เกี่ยวกับการจัดสร้างโครงการขนส่งด้วยระบบรถไฟฟ้า สถานที่จอดรถสำหรับผู้โดยสาร และกิจการอื่นที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการรถไฟฟ้าตามโครงการรถไฟฟ้า สายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - บางแค
    มาตรา 5 ให้ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทยเป็นเจ้าหน้าที่เวนคืนตาม พระราชกฤษฎีกานี้

    มาตรา 6 เขตที่ดินในบริเวณที่ที่จะเวนคืนตามพระราชกฤษฎีกานี้ อยู่ในท้องที่เขตปทุมวัน เขตบางรัก เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย เขตสัมพันธวงศ์ เขตพระนคร เขตธนบุรี เขตบางกอกใหญ่ เขตภาษีเจริญ เขตจอมทอง และเขตบางแค กรุงเทพมหานคร ภายในแนวเขตตามแผนที่ท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ เปิดดูได้ที่นี่ หรือไฟล์แนบด้านล่าง




    มาตรา 7 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมรักษาการตามพระราชกฤษฎีกานี้


    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308907989&grpid=&catid=05&subcatid=0500-










    .

    [​IMG] 1.pdf

    [​IMG]

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 1.pdf
      ขนาดไฟล์:
      196.5 KB
      เปิดดู:
      116
    • 11.JPG
      11.JPG
      ขนาดไฟล์:
      147.9 KB
      เปิดดู:
      110
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    กรณีสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทูลขอพระธิดาพระเจ้ากรุงจีน

    เรื่องเด่น : ศิลปวัฒนธรรม

    -http://www.matichon.co.th/art.php-

    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308484624&grpid=&catid=53&subcatid=5300-

    .

    กรณีสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทูลขอพระธิดาพระเจ้ากรุงจีน (1)


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    สุทธิศักดิ์ ระบอบ สุขสุวานนท์
    alek_lovely2519@hotmail.com
    www.facebook.com/Sutthisak Suksuwanon

    หลัง จากพระบาทสมเด็จพระเอกาทศรุทรอิศวร พระองค์ที่ ๖ (สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๑๐-๒๕) ทรงปราบปรามประเทศเพื่อนบ้านจนสงบราบคาบลงแล้ว จึงเสด็จออกท้องพระโรง ทรงพระราชนิพนธ์พระราชสาสน์ถึงจักรพรรดิเกาจง (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๒๗๘-๒๓๓๙) แล้วโปรดเกล้าฯ ให้จัดแต่งคณะทูตอัญเชิญพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการออกไปเจริญพระ ราชไมตรียังราชสำนักจีนใน พ.ศ. ๒๓๒๔
    เอกสารร่วมสมัยอย่าง นิราศกวางตุ้ง ฉบับพระยามหานุภาพŽ (ภายหลังเรียกว่า นิราศพระยามหานุภาพไปเมืองจีน) บรรยายถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเสด็จออกทรงพระ ราชสาสน์ถึงพระเจ้ากรุงจีนในห้วง พ.ศ. ๒๓๒๔ ว่า

    สรวมชีพบังคมบรมนารถ
    ด้วยภักดีชุลีลาบาท
    อภิวาทขอเบื้องพระบารมี
    เปนร่มโพสุวรรณ์กั้นเกษ
    ไปประเทษกวางตุ้งกรุงศรี
    เปนจดหมายมาถวายด้วยภักดี
    ตามที่ได้สดับเดิมความ
    แรกราชดำริตริตรองถวิน
    จะเหยียบพื้นปัตพินให้งามสนาม
    จะส้างสรรค์ดั่งสวรรค์ที่เรืองราม
    จึงจะงามมงกุฎอยุธยา
    เมื่อไอสูรสมบูรรณ์ด้วยสมบัติ์
    กับกระษัตรราชคฤคฤหา
    เคยร่วมพื้นยื่นแผ่นสุวรรณ์มา
    แต่นิราเสื่อมเศร้ามาเนานาน
    เสื่อมสนองโดยคลองกระษัตรชาติ
    เสื่อมราชไม้ตรีไม่มีสมาน
    เสื่อมสวาดขาดมาก็ช้านาน
    จะประมาณญี่สิบสี่ปีปลาย
    จึ่งทรงคิดจะติดความตามประถม
    สำหรับราชบรมกระษัตรสาย
    จึ่งแผ่พื้นสุวรรณ์พัณราย
    เอาแยบคายฟั่นเฝื่อเปนเครือวัน
    เอาทับทิมแทนใบใส่ดอกเพชร์
    งามเสรจ์สมบูรรณทุกสิ่งสรร
    งามทางทังจะส้างเขตคัน
    งามสรรพทรงคิดคดีงาม
    ควรเปนจอมจุลจักราราช
    แล้วเสดจ์บันลังก์อาศน์ออกสนาม
    แย้มพระโอฐประดิพัศแล้วตรัสความ
    อำมาตย์หมู่มีนามประนมฟัง
    ได้ยินพร้อมยอมอวยแล้วอภิวาด
    กราบบาทด้วยคำนับแล้วรับสั่ง
    ทูลโดยลำดับมาเปนตราตรัง
    ที่หยุดแล้วจะยั้งยืนควร
    จึ่งพระบาททรงราชนิพนท์สาร
    เปนตะพานนพคุณควรสงวน
    ให้เขียนสารลงลานทองทวน
    จัดล้วนบรรณาการลลานตาŽ๑

    ครั้นถึงวันพฤหัสบดี แรม ๘ ค่ำ เดือน ๗ จ.ศ. ๑๑๔๓ ปีฉลูตรีศก (พ.ศ. ๒๓๒๔) เพลาเช้า ๒ โมง ๖ บาท ก็ได้ฤกษ์จารึกพระราชสาสน์ที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงมีไปถึงพระเจ้ากรุง จีนลงบนแผ่นพระสุพรรณบัฏ ความว่า

    พระราชสาส์นสมเด็จพระเจ้ากรุงมหานครศรีอยุทธยา ปราบดาภิเษกใหม่ คิดถึงคลองพระราชไมตรีกรุงปักกิ่ง จึงให้พระยาสุนทรอภัย ราชทูต หลวงพิไชยเสน่หา อุปทูต หลวงพจนาพิมล ตรีทูต ขุนพจนาพิจิตร ท่องสื่อ หมื่นพิพิธวาจา ปันสื่อ จำทูลพระสุนทรบัตรสุวรรณพระราชสาส์น เชิญเครื่องพระราชบรรณาการช้างพลายช้าง ๑ ช้างพังช้าง ๑ รวม ๒ ช้าง ออกมาจิ้มก้องสมเด็จพระเจ้ากรุงต้าฉิ้งผู้ใหญ่ ตามขนบพระราชไมตรีสืบมาแต่ก่อน
    ข้อหนึ่ง พระนครศรีอยุทธยาใคร่แจ้งข้อความ พระยาสุนทรอภัย ราชทูต กราบทูลสมเด็จพระเจ้ากรุงมหานครศรีอยุทธยา ว่าจงตกหมูอี้เจ้าพนักงานกรุงปักกิ่งเรียกเอาเงินค่ารับเครื่องพระราช บรรณาการแต่ก่อนคราวหนึ่ง ทูลลดเงินท้องพระคลังลง ๓๐ ชั่ง เป็นดั่งนี้สมเด็จพระเจ้ากรุงต้าฉิ้งผู้ใหญ่ทราบหรือไม่ คือคุณโทษคุณธรรมประการใด พระนครศรีอยุทธยาใคร่แจ้งข้อหนึ่ง

    ข้อหนึ่ง ทูตานุทูตพระนครศรีอยุทธยาคุมเครื่องพระราชบรรณาการออกไปแต่ก่อน ต้องขังใส่ตึกลั่นกุญแจไว้กรุงจีนทุกครั้ง ไม่ได้เที่ยวเตร่ ข้อนี้ทราบถึงสมเด็จพระเจ้ากรุงต้าฉิ้งผู้ใหญ่หรือไม่ กลัวจะกบฏประทุษร้ายประการใด พระนครศรีอยุทธยาใคร่แจ้งข้อหนึ่ง

    ข้อหนึ่ง กรุงไทยปราบดาภิเษกใหม่ให้ทูตานุทูตออกไป จงตกหมูอี้ไม่ให้ทูตานุทูตกลับเข้ามากับสำเภากรุงไทยซึ่งขี่ออกไป ข่มเหงให้เดินสาส์นสำเภาจีนเข้ามา ทูตานุทูตร้องฟ้องก็มิฟัง ให้ปกซอทนายเรือเรียกเอาเงิน ๔ แผ่น ว่าเป็นค่ารับฟ้องดังนี้ สมเด็จพระเจ้ากรุงต้าฉิ้งผู้ใหญ่ทราบหรือไม่ เหตุการณ์ประการใด กรุงพระนครศรีอยุทธยาใคร่แจ้งข้อหนึ่ง

    ข้อหนึ่ง กรุงไทยได้ตีได้บ้านเมือง อ้ายอีมีชื่อชะเลยซึ่งส่งไปกรุงจีนแต่ก่อนขาดมาแก่กรุงไทยเป็นฝาเป็นตัวเป็น ปึกเป็นแผ่นอยู่แล้ว ฝ่ายกรุงจีนไม่ต้องการสืบเอาข้อราชการทำสงครามกับพม่าหาไม่แล้ว ขออ้ายอีมีชื่อทั้งนี้คืนบ้านเมือง อย่าให้พลัดถิ่นฐานันดรเอาบุญ

    ข้อหนึ่ง พระนครศรีอยุทธยาส่งครัวจีนมาหาปลา ลมพัดซัดเข้ามาเมืองไทย ๓๕ คน ได้เสียเงินเสียผ้าข้าวปลาอาหารเลี้ยง ครั้งหนึ่งเป็นเงิน ๑ ชั่ง ข้าวสาร ๓๕ ถัง ถังละ ๑ บาท เป็นเงิน ๘ ตำลึง ๓ บาท เข้ากันเป็นเงิน ๑ ชั่ง ๘ ตำลึง ๓ บาท ครั้งหนึ่งส่งจีนฮ่อทัพแตกพม่าๆ จับได้ส่งมาไว้ปลายแดนกองทัพไปตีได้ ส่งออกไปกรุงปักกิ่ง ได้เสียเงินเสียผ้าข้าวปลาอาหารเลี้ยงคราวหนึ่ง ๑๙ คน เป็นเงิน ๑ ชั่ง ๑๒ ตำลึง เสื้อกางเกงคนละสำรับๆ ละ ๑ บาท ๒ สลึง เป็นเงิน ๗ ตำลึง ๒ สลึง ข้าวสาร ๑๙ ถัง ถังละ ๑ บาท เป็นเงิน ๔ ตำลึง ๓ บาท เข้ากันเป็นเงิน ๒ ชั่ง ๓ ตำลึง ๓ บาท ๒ สลึง คราวหนึ่ง ๓ คน เป็นเงิน ๙ ตำลึง เสื้อกางเกงคนละสำรับๆ ละ ๑ บาท ๒ สลึง เป็นเงิน ๑ ตำลึง ๓ บาท ๒ สลึง ข้าวสาร ๓ ถังๆ ละ ๑ บาท เป็นเงิน ๓ บาท เข้ากันเป็นเงิน ๑๐ ตำลึง ๓ บาท ๒ สลึง สิริรวมเข้าด้วยกัน ๓ ครั้ง เป็นเงิน ๔ ชั่ง ๓ ตำลึง ๒ บาทนั้น สมเด็จพระเจ้ากรุงต้าฉิ้งผู้ใหญ่ทราบหรือไม่ ฝ่ายเจ้านครศรีอยุทธยาขอถวายไปกรุงปักกิ่งโดยคลองพระราชไมตรี

    ข้อหนึ่ง กรุงไทยจะสร้างพระนครขึ้นใหม่ ใคร่ขอทิวหุนค่าธรรมเนียมจังกอบปากสำเภากรุงจีน ๓ คราวๆ ละ ๓ ลำ ถ้าสมเด็จพระเจ้ากรุงจีนให้พระนครศรีอยุทธยาจะแต่งสำเภาบรรทุกข้าวสาร ฝาง สิ่งของออกไปจำหน่ายแลกพานอิฐ พานศิลา สิ่งของไม่ต้องห้าม ณ เมืองกวางตุ้งลำ ๑ เมืองเลียงโผลำ ๑ เมืองเอ้มุยลำ ๑ เข้ามาสร้างพระนครเมืองละลำ ข้อหนึ่ง

    ข้อหนึ่ง จะขอจ้างต้นหนกรุงจีนใช้สำเภากรุงไทยไปบรรทุกทองแดงเมืองญี่ปุ่น ๒ ลำ ข้อหนึ่ง

    ข้อหนึ่ง พระนครศรีอยุทธยาถวายสิ่งของนอกบรรณาการไปแต่สมเด็จพระเจ้ากรุงต้าฉิ้ง ผู้ใหญ่โดยพระราชไมตรีเป็นสิ่งของ ฝาง ๑๐,๐๐๐ หาบ งาช้าง ๑๐๐ หาบ ดีบุก ๓๐๐ หาบ นอรมาดหนักหาบ ๑ รง ๑๐๐ หาบ พริกไทย ๓,๐๐๐ หาบ ช้างพลายช้าง ๑ ให้สมเด็จพระเจ้ากรุงต้าฉิ้งผู้ใหญ่ไว้โดยเข็ญใจ แต่ก่อนพระราชสาส์นคำหับปิดตราโลโต ครั้งนี้หาตราโลโตมิได้ ปิดตราพระไอยราพตมาเป็นสำคัญŽ๒

    สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดเกล้าฯ ให้จัดแต่งคณะทูตเดินทางไปเมืองจีนเป็น ๒ สำรับ สำรับแรกเป็นคณะทูตชุดใหญ่ของพระยาสุนทรอภัย ราชทูต หลวงพิไชยเสน่หา อุปทูต และหลวงพจนาพิมล ตรีทูต สำหรับอัญเชิญพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการไปถวายพระเจ้ากรุงจีน ส่วนอีกสำรับหนึ่งเป็นคณะทูตของเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช พระยาราชสุภาวดี หลวงราไชย หลวงศรียศ หลวงราชมนตรี นายฤทธิ และนายศักดิ โดยจัดส่งไปในนามของเจ้าพระยาพระคลัง สำหรับนำสิ่งของนอกบรรณาการไปพระราชทานขุนนางชั้นผู้ใหญ่และนายห้างชาวจีน นิราศกวางตุ้งของพระยามหานุภาพบันทึกว่า

    อนึ่งนอกจิ้มก้องเปนของถวาย
    ก็โปรยปรายประทานไปหนักหนา
    ทังนายห้างขุนนางในนัครา
    ให้มีตราบัวแก้วสำคัญกัน
    แล้วจัดทูตทูลคำให้จำสาร
    บรรณาการพร้อมสิ้นทุกสิ่งสรรพ
    ทังของแถมแนมความนั้นงามครัน
    เปนกำนันถวายนอกบรรณาการ
    แล้วทรงสั่งสิ่งของเปนสองเหล่า
    อย่าควบเข้าแบ่งพร้อมเปนสองถาน
    ฝ่ายทูตนั้นให้ว่าบรรณาการ
    โดยฉบับบูราณรวดมา
    อนึ่งนอกจิ้มก้องเปนของถวาย
    รับสั่งยกให้หกนายข้าหลวงว่า
    บันทุกเสรจ์ทังสิบเบ็จเภตรา
    มาทอดท่าคอยฤกษเรียงลำŽ๓

    เหตุที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดเกล้าฯ ให้เจ้าพระยาพระคลังจัดแต่งคณะทูตสำรับที่ ๒ นำสิ่งของนอกบรรณาการไปพระราชทานลิปูตาทัง (ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงพิธีการ)๔ จงตกหมูอี (ข้าหลวงระดับมณฑล)๕ และนายห้างวาณิช (สมาคมพ่อค้าโคหอง) ก็เนื่องด้วยมีพระราชประสงค์ใคร่ผูกมิตรไมตรีกับขุนนางจีนเหล่านี้ เพื่อให้ช่วยอำนวยความสะดวกแก่คณะทูตบรรณาการของพระองค์เป็นสำคัญ เนื่องจากคณะทูตสยามชุดก่อนหน้านี้ได้รับการปฏิบัติที่ไม่ดีนักจากเจ้า พนักงานจีน ดังปรากฏหลักฐานอยู่ในร่างพระราชสาสน์ไปเมืองจีนของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พ.ศ. ๒๓๒๔ ในข้างต้น

    หนังสือ พระราชสาส์นไปเมืองจีนครั้งกรุงธนบุรี และพระราชสาส์นกรุงจีนมีมาในรัชกาลที่ ๑ กรุงรัตนโกสินทร์Ž กล่าวถึงขั้นตอนพิธีการจัดส่งคณะทูตสยามอัญเชิญพระราชสาสน์และเครื่องราช บรรณาการไปเจริญพระราชไมตรียังราชสำนักจีนใน พ.ศ. ๒๓๒๔ ว่า

    วันจันทร์ เดือน ๗ ขึ้น ๖ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๔๓ ปีฉลูตรีศก เวลาเช้า เสด็จออกท้องพระโรง เจ้าพระยา และพระยา พระ หลวง หมื่น ข้าทูลฯ เข้าเฝ้าพร้อมกัน ณ พระที่นั่งเสด็จออกทรงแต่งพระราชสาส์นออกไปจิ้มก้องสมเด็จพระเจ้าต้าฉิง เมืองปักกิ่งฉบับหนึ่ง พระยาพิพัทโกสาเป็นผู้เขียนรับสั่ง และกรมท่าได้บอกเจ้าพนักงานทั้งปวงทุกพนักงาน มีกฎหมายแต่งพระราชสาส์นไปกรุงปักกิ่ง ๓ ปีครั้งหนึ่ง กรมท่าได้กราบทูลจัดราชทูต อุปทูต ตรีทูต ท่องสื่อ ปันสื่อ สารวัตรใหญ่น้อย พระคลังในได้จัดนายอำเภอ ล้าต้า ต้นหน ไต้กง กรมการ คนงาน สำเภาทรงพระราชสาส์นลำหนึ่ง พระคลังสินค้าได้จัดแจง นายสำเภา ล้าต้า ต้นหน ไต้กง กรมการ คนงาน สำเภาหูทรงลำหนึ่ง สรรพากรในได้จัดผู้ถือธง ๑ ถือคาถา ๑ ถือบัญชีกลาง ๑ รวม ๓ คน สำเภาทรงพระราชสาส์น สรรพากรนอกได้จัดผู้ถือธง ๑ ถือคาถา ๑ ถือบัญชีกลาง ๑ รวม ๓ คน

    ครั้นฤกษ์จะได้จารึกพระราชสาส์นแผ่นทองและคำหับกระดาษเหลือง ณ พระที่นั่งสรรเพชญปราสาท กรมท่าหมายบอกจตุสดมภ์ทั้ง ๓ พระไชยะทัน พระคลังใน พระคลังสินค้า พระคลังวิเศษ ทูตทั้ง ๓ ท่องสื่อ ปันสื่อ นายสำเภา ล้าต้า มาพร้อมกันพระที่นั่งสรรเพชญปราสาท

    ชาวพระมาลาเชิญหีบตราครุฑพาห ตรามังกรหก สำหรับตีประจำคลั่งใส่พระเสลี่ยงมีสัปปะทนแพรเหลือง ๔ คัน แห่แต่โรงแสงในมายังพระที่นั่งสรรเพชญปราสาท พระคลังในเชิญหีบตราโลโตและชาดมาสำหรับตีพระราชสาส์นคำหับกระดาษเหลือง สนมเบิกผ้าขาวตราล้าวมาให้รองจารึกพระราชสาส์นแผ่นทองพับหนึ่ง รองตีตราพระราชสาส์นคำหับพับหนึ่ง มูลครั่งสมกำยานเป็นพนักงานอาลักสน์ ลง กอรเจียด ถุง นวม พนักงานพระคลังวิเศษ

    เมื่อจารึกพระราชสาส์นประโคมปี่พาทย์ ค้องชัย แตรสังข์ จารึกแล้ว พร้อมกันเชิญพระราชสาส์น กล่องทองเข้าถุง ตีตราประจำครั่งปากถุงเจียดแล้วใส่ลงในพระลุ้งใหญ่ ตีตราขุนสรีภูริยปรีชาชั้นนอก แล้วมอบให้กรมวังนอกซึ่งรักษาพระที่นั่งสรรเพชญปราสาทรักษาไว้ ๒-๓ วัน

    ครั้นได้ฤกษ์วันจะเชิญพระราชสาส์นไปลงเรือกิ่งประตูชัย ๔ ตำรวจ เชิญพระมนดปมาตั้งไว้ที่หน้าพระที่นั่งสรรเพชญปราสาท มหาดไทย กลาโหม เกนหลวง ขุนหมื่น ใส่เสื้อครุยขาวนุ่งสมปักลาย ใส่ลำพอกขาว เดินเท้าแห่หน้า ๑๕ คู่ ไพร่ใส่เสื้อแดง ครัวถือปืนและทั้ง ๒๐๐ คน ปี่กลองชนะ ๓ คู่ กลองมลายูสำรับหนึ่ง แตรงอน ๑ แตร ลางโพง ๑ เครื่องสูงแห่หน้า ๓ คู่ แห่หลัง ๒ คู่ นุ่งผ้าใส่เสื้อครุย ใส่หมวก แห่หลัง ๕ คู่ แห่พร้อมอาลักสน์จึงเชิญพระราชสาส์นใส่ในมนดปแล้วแห่ไปลงเรือพระที่นั่ง ณ ประตูชัย ราชทูต อุปทูต ตรีทูต ปันสื่อ เข้าเดินแซงประจำคานหามข้างละๆ คน สะพานที่จะเชิญพระราชสาส์นลงเรือมีม่านรูดแดงกั้น พนักงานนครบาลได้ทำ แล้วตำรวจใหญ่เอาเรือพระที่นั่งกิ่งลำซงรับพระราชสาส์น มหาดบำเรอถือเครื่องแห่ตามอย่างเมื่อเสด็จหมื่นราชเสน่หาถือธงหน้าเรือ บรรจุพลพายครบกระทง ทูตทั้ง ๓ ปันสื่อนั่งรายตีนตองซ้ายขวา สัปปะทนแพรเหลืองทั้ง ๔ มุมพระมนดป พระยา พระ หลวง ขุน หมื่น ขี่เรือโขมดยา เรือแซร เรือพิฆาต แห่หน้า ๑๐ คู่ แห่หลัง ๕ คู่ แห่ลงไปตามแม่น้ำถึงสำเภาซงพระราชสาส์นทอด ครั้นถึงตรงสำเภาพันทนายทอดเรือพระที่นั่ง กรมการคนงานซึ่งอยู่บนสำเภายิงปืนใหญ่รับ ๕ นัด ๗ นัด แล้วเชิญพระราชสาส์นขึ้นบนท้าย อาลักสน์เอาม่านวงรอบพระมนดป ทูต ข้าหลวง ท่องสื่อ ปันสื่อ นายสำเภา ล้าต้า ทั้งสองรำกราบถวายบังคม ๓ ลา แล้วนายสำเภา ล้าต้า แต่งโต๊ะเลี้ยงแล้วกลับมา แต่ว่าพลัดอยู่รักษาพระราชสาส์นลงไปถึงทอดสุดน้ำเขียว กรมท่ามีตราเกนเอาเรือเมืองนนท์ ๕ ลำ เมืองธน ๕ ลำ พระคลังสวน ๒ ลำ กรรเชียงลำละ ๑๖ คู่ ๒๐ คู่ ชักสำเภาซงพระราชสาส์นถึงปากน้ำเมืองพระประแดงแล้วกลับมา กรมท่า เอาเรือมอนบรรทุกช้างพลายช้างพังตามลงไปถึงปากน้ำ แหลมฟ้าผ่า เอาช้างฉอขึ้นสำเภาหู ส่งหญ้าช้าง รายทางลงมาแต่กรุง นครบาล แขวง หากินตามสิ้นอำเภอ ช้างลงถึงสำเภา แล้วกรมท่ามีตราโกสาเกนทอด เมืองนนท์ เมืองธน พระประแดง ให้จัดหน้า เต่าร้าง กลอย ส่งเสบียงกลางทะเลกว่าจะถึงเมืองกวางตุ้ง สำเภาซงพระราชสาส์นหลวงถึงปากน้ำ แล้วเจ้าพระยาพระคลังนำทูตทั้ง ๓ กราบถวายบังคมลาŽ๖

    ก่อนคณะทูตของพระยาสุนทรอภัยจะออกเดินทางไปเมืองจีน ราชสำนักสยามได้ส่ง สำเภาห้ามก้องŽ๗ สองลำเดินทางล่วงหน้ามาถึงเมืองกว่างโจวของมณฑลกวางตุ้งในเดือน ๖ พ.ศ. ๒๓๒๔ เพื่อแจ้งข่าวกำหนดการมาเยือนของคณะทูตบรรณาการจากประเทศสยาม

    เมื่อคณะทูตสยามโดยสารสำเภาหลวงเดินทางมาถึงเมืองกวางตุ้ง เจ้าพนักงานจีนได้รายงานการเดินทางมาถึงของคณะทูตสยามและแจ้งเนื้อความในพระ ราชสาสน์ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีเข้าไปยังกรุงปักกิ่ง หนังสือกราบบังคมทูลของเจี่ยหลงปาเอี้ยงและหลี่หู ลงวันที่ ๒๗ เดือน ๗ ปีที่ ๔๖ แห่งรัชศกเฉียนหลง (พ.ศ. ๒๓๒๔) กล่าวว่า

    พระราชสาสน์ฉบับหนึ่งกราบทูลว่า ได้จัดส่งทูตมาถวายเครื่องราชบรรณาการ ซึ่งมีช้างพลาย และช้างพังอย่างละหนึ่งเชือกและสินค้าพื้นเมือง จึงขอให้ช่วยกราบบังคมทูลแทนเพื่อทรงทราบ... แผ่นดินสยามเพิ่งจะสงบราบคาบ ท้องพระคลังร่อยหรอ การจะสร้างพระนครขึ้นใหม่จึงขาดแคลนทุนทรัพย์ แต่มีสินค้าพื้นเมือง ประสงค์จะปล่อยเรือบรรทุกไปขาย ณ เมืองเซี่ยเหมิน [เอ้มุย หรือเอ้หมึง - ผู้แปล] หนิงปอ [เลียงโผ หรือเล่งปอ - ผู้แปล] จึงขอได้โปรดออกใบอนุญาตด้วย นอกจากนั้น ขอพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้นายห้างพาณิชย์ช่วยจ้างต้นหนแล่นเรือไปค้าขายที่ญี่ปุ่น ฯลฯ และพระราชสาสน์อีกฉบับหนึ่งกราบทูลว่า เรือที่บรรทุกสิ่งของเครื่องราชบรรณาการมี ๔ ลำ เรือสินค้า ๗ ลำ นอกจากนั้น ได้นำฝางและงาช้างเป็นสิ่งของนอกบรรณาการ ขอได้โปรดกราบทูลถวายให้ด้วย อนึ่ง ยังมีฝางและไม้แดง ซึ่งขอมอบให้กระทรวงพิธีการและสำนักข้าหลวง รวมทั้งของขวัญที่มอบให้นายห้างพาณิชย์ด้วย ขอได้มีพระบรมราชานุญาตให้นำสินค้านอกจากนั้นขายไปเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการ เดินทางของคณะทูต นอกจากนั้น ยังได้กล่าวถึงว่าจะขอซื้อถาดทองแดง เตาทองแดง และขอปล่อยเรือเปล่ากลับไปก่อนด้วยŽ๘

    ราชสำนักจีนได้ส่งม้าเร็วนำหนังสือแจ้งข่าวเรื่องพระเจ้ากรุงจีนมี พระบรมราชานุญาตให้คณะทูตสยามเดินทางเข้าไปถวายเครื่องราชบรรณาการยังกรุง ปักกิ่งได้ พร้อมกับมีพระกระแสรับสั่งแก่ปาเอี๋ยนซัน ข้าหลวงมณฑลกวางตุ้งและกวางสี ในกรณีของสิ่งของนอกบรรณาการจากพระเจ้ากรุงสยาม โดยพระองค์พระราชทานสิทธิพิเศษทางการค้าแก่คณะทูตสยาม ความว่า
    สิ่งของ นอกบรรณาการให้รับไว้เฉพาะงาช้างกับนอแรดรวมสองชนิด และให้นำส่งกระทรวงพิธีการพร้อมสิ่งของบรรณาการ นอกจากพระราชทานสิ่งของตามธรรมเนียมแล้วให้เพิ่มสิ่งของรางวัลเป็นพิเศษ เพื่อแสดงถึงเจตนารมณ์ที่ประสงค์ให้การรับให้มีจำนวนน้อยกว่าการให้ บรรณาการนอกจากนั้นอนุญาตให้ขายที่กวางตุ้งตามอำเภอใจ สิ่งของเหล่านั้นรวมทั้งอับเฉาเรือให้ยกเว้นการเรียกเก็บภาษีทั้งหมดŽ๙

    นิราศกวางตุ้งของพระยามหานุภาพบรรยายถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งพระเจ้า กรุงจีนมีพระบรมราชานุญาตให้คณะทูตสยามเดินทางเข้าไปถวายเครื่องราชบรรณาการ ยังกรุงปักกิ่ง พร้อมกับมีพระกระแสรับสั่งเกี่ยวกับสิ่งของนอกบรรณาการของคณะทูตสยามแก่ข้า หลวงมณฑลกวางตุ้งและกวางสี ความว่า

    ผู้ถือสารจึ่งเอาสารรับสั่งส่ง
    ก็โปรยปรายประทานไปหนักหนา
    แล้วคัดข้อสารามาภาที
    ว่าพระเจ้าหมื่นปีนั้นโปรดปราน
    ให้ส่งทูตไปถวายอภิวาศ
    ตามราชตำราบูราณสาร
    กับสิ่งของในคลองบรรณาการ
    ที่นอกหย่างบูราณมีมา
    นั้นไม่รับครั้นจะกลับให้คืนของ
    รวางคลองเหมือนไม่แสนเสน่หา
    เสียดายราชไม้ตรีที่มีมา
    ทางชะเลก็เปนถ้ากันดานนาน
    ก็ควรขายจำหน่ายเอาทุณทรัพย์
    ให้คืนกลับอยุทธยามหาสถาน
    แต่ช้างนอนั้นเปนข้อประสงนาน
    ให้บอกบรรณาการขึ้นส่งไป
    อันจังกอบสีนค้าบันดาของ
    นั้นปลงปองโปรดปรานประทานให้
    ให้นายห้างปฤกษาข้าหลวงไท
    ตามใจจำหน่ายขายกัน
    แต่ข้อทูตที่จะได้ไปอภิวาษ
    ยังพระบาทหมื่นปีศรีสวรรย์
    ต่อแล้วการคำรพอภิวัน
    ปั้นสื้อนิ้มหนัมโหลาน
    เปนปิ่นปักหลักจีนทุกจังหวัด
    เหมือนไทถือน้ำพัทพิทธีสถาน
    ประชุมชอบพร้อมหน้าปูชาการ
    วันประสูตรพระผู้ผ่านนัคราŽ๑๐

    ข้าหลวงมณฑลกวางตุ้งและกวางสีได้มีกำหนดการให้คณะทูตสยามเดินทางออก จากเมืองกวางตุ้งไปยังกรุงปักกิ่งในวันศุกร์ ขึ้น ๓ ค่ำ เดือนสิบสอง โดยอยู่ภายใต้การคุ้มครองดูแลของขุนนางจีน นิราศกวางตุ้งของพระยามหานุภาพบรรยายว่า

    ครั้นถึงเดือนสิบสองสุกรวัน
    ขึ้นสำคัญสามค่ำจะจำจร
    หมูอี้จึ่งให้เชิญพระราชสาร
    บรรณาการทูตอันจะผันผ่อน
    ประดับด้วยนาวาสถาวร
    ขึ้นนครราชคฤห์คราวดี
    อันโดยทางที่จะไปนั้นไตรมาต
    จึ่งถึงราชปะกิ่งกรุงศรี
    ฝ่ายทูตเขาจะไปเหนได้ดี
    เพราะทุลีบาทคุ้มคลุมไปŽ๑๑

    คณะทูตสยามเดินทางมาถึงกรุงปักกิ่งในเดือนอ้าย พ.ศ. ๒๓๒๕ พระเจ้ากรุงจีนมีพระบรมราชโองการให้คณะทูตสยามเข้าเฝ้าเพื่อถวายพระราชสาสน์ และเครื่องราชบรรณาการอย่างเป็นทางการครั้งแรก พระองค์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระราชทานตราตั้งพิเศษแก่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี พร้อมกับมีรับสั่งให้กรมพิธีการทูตจัดงานเลี้ยงรับรองคณะทูตสยามในสวนซันเกา สุ่ยฉาง จดหมายเหตุชิงสือลู่ (จดหมายเหตุประจำรัชกาลแห่งราชวงศ์ชิง) รัชกาลจักรพรรดิเกาจงแห่งราชวงศ์ชิง บรรพที่ ๑๑๔๐ บันทึกว่า
    เมื่อวัน กุ่ยไห้ เดือนอ้าย ปีที่ ๔๗ แห่งรัชศกเฉียนหลง [วันที่ ๙ มีนาคม พ.ศ. ๒๓๒๕ - ผู้เขียน] เจิ้งเจา ซึ่งเป็นประมุขของประเทศเซียนหลัว [ประเทศสยาม - ผู้เขียน] ได้จัดส่งราชทูตมาถวายพระราชสาสน์ และเครื่องราชบรรณาการ พร้อมทั้งสิ่งของพื้นเมือง (องค์จักรพรรดิ) ได้พระราชทานสิ่งของ และเลี้ยงรับรองตามธรรมเนียมปฏิบัติŽ๑๒

    พงศาวดารราชวงศ์ชิง บรรพเมืองขึ้น เล่มที่ ๕๒๘ บันทึกถึงเหตุการณ์เมื่อครั้งราชสำนักจีนให้การรับรองคณะทูตสยามในฐานะรัฐ บรรณาการอย่างเป็นทางการใน พ.ศ. ๒๓๒๔ ความว่า
    ...ปีที่ ๔๖ ในรัชกาลเขียนหลง เจ้าตากส่งหลวงพิไชยเสน่หา อุปทูต และคณะเข้ามาถวายเครื่องราชบรรณาการ และกราบทูล (จักรพรรดิ) ว่า หลังจากที่สยามถูกพม่าโจมตีแล้ว สยามได้เข้าตียึดดินแดนกลับคืนมาได้ ประชาชนเห็นว่าไม่มีผู้ใด (ที่สมควร) ขึ้นสืบราชบัลลังก์ จึงยกเจ้าตากขึ้นเป็นประมุข (เจ้าตาก) จึงนำเครื่องราชบรรณาการเข้ามาถวายตามระเบียบ จักรพรรดิทรงชมเชยมาก และโปรดให้เลี้ยงคณะทูตที่สวนชื่อ ซันเกาสุ่ยฉางž เครื่องราชบรรณาการที่ทูตนำมาถวาย โปรดให้รับไว้เพียงช้าง ๑ เชือก นอระมาด ๑ เจี๊ยะ ของอื่นๆ อนุญาตให้คณะทูตนำไปขายที่กวางตุ้ง (รวมทั้ง) สินค้าอื่นๆ โดยยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี (จักรพรรดิ) พระราชทานต่วนปักลายพญางูและของมีค่าอื่นๆ แก่กษัตริย์สยามเป็นพิเศษตามประเพณีที่เคยปฏิบัติมาŽ๑๓


    ร่างพระราชพงศาวดารชิง หัวข้อประวัติเสียนหลอ (สยาม) กล่าวสรุปถึงเหตุการณ์เมื่อคราวสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดเกล้าฯ ให้จัดส่งคณะทูตบรรณาการเดินทางไปเจริญพระราชไมตรียังราชสำนักจีนใน พ.ศ. ๒๓๒๔ ว่า

    เมื่อครั้งอาอิ๋วถีเอีย [อยุธยา - ผู้เรียบเรียง] กรุงแตก เจิ้งเจา [สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี - ผู้เรียบเรียง] ซึ่งเป็นขุนนางเสียนหลอ อยู่ในระหว่างยกทัพไปรบกับกัมพูชา ครั้นเมื่อทราบข่าวกรุงแตก ก็นำทัพกลับและทำการรบกับพม่าหลายครั้งหลายคราว รวมเวลาทำสงครามอยู่หลายปี แต่เมื่อพม่าต้องรบติดพันกับจีน เจิ้งเจาจึงถือโอกาสที่พม่าอ่อนกำลังเข้าตีพม่าจนแตกพ่ายไป และกู้ชาติได้สำเร็จ เจา [เจิ้งเจา หรือสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี - ผู้เรียบเรียง] เป็นชาวจีนกวางตุ้ง บิดาทำการค้าที่เสียนหลอให้กำเนิดเจา [เจิ้งเจา - ผู้เรียบเรียง] ครันเมื่อเติบใหญ่ ปรากฏว่าเป็นผู้มีความเก่งกาจสามารถ จึงได้เข้ารับราชการในเสียนหลอ เมื่อตีทัพพม่าแตกแล้ว ชาวเมืองจึงเห็นพร้อมกันอัญเชิญให้เป็นกษัตริย์ ย้ายเมืองหลวงไปตั้งผันกู่ [บางกอก - ผู้เรียบเรียง] ได้ปราบปรามข้าศึก และให้ความร่มเย็นแก่ราษฎรในการปกครองอาณาจักร จึงมีความมั่นคงเป็นลำดับ เมื่อปีที่ ๔๖ [หมายถึงปีที่ ๔๖ แห่งรัชกาลเฉียนหลง ซึ่งตรงกับ พ.ศ. ๒๓๒๔ - ผู้เรียบเรียง] เจิ้งเจาได้แต่งหลังผี่ไฉ่สีหนีเสียอู๋ฝู่ตู๋ [หลวงพิชัยเสน่หาอุปทูต - ผู้เรียบเรียง] และคณะเข้าถวายเครื่องราชบรรณาการ และกราบทูลว่าหลังจากที่เสียนหลอได้รับภัยพิบัติแล้ว ได้ทำการแก้แค้นและกู้แผ่นดินได้สำเร็จ ราษฎรทั้งหลายเห็นว่าปราศจากผู้สืบราชบัลลังก์ จึงพร้อมกันอัญเชิญให้เจา [เจิ้งเจา - ผู้เรียบเรียง] เป็นประมุข บัดนี้ได้นำเครื่องราชบรรณาการมาถวายตามระเบียบประเพณี จักรพรรดิทรงชมเชย และโปรดเกล้าฯ ให้จัดเลี้ยงคณะทูต ณ ที่ซันเกาสุ่ยฉาง [เป็นสถานที่ต้อนรับคณะทูตจากนานาประเทศ - ผู้เรียบเรียง] ส่วนของพื้นเมืองที่นำมาบรรณาการ รับช้างไว้ ๑ เชือก นอแรด ๑ สือ สิ่งของอื่นๆ อนุญาตให้นำไปขายที่กวางตุ้ง โดยยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี ทั้งนี้รวมทั้งสินค้าอื่นๆ ก็ขายโดยไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย พระราชทานต่วนลายพญางู [แพรมังต้วน - ผู้เรียบเรียง] และของมีค่าอื่นๆ แก่กษัตริย์ [หมายถึงกษัตริย์เสียนหลอหรือสยาม - ผู้เรียบเรียง] เป็นพิเศษตามประเพณีที่ยึดถือปฏิบัติมาแต่เดิมŽ๑๔

    ครั้นถึงเดือน ๓ ปีที่ ๔๗ แห่งรัชศกเฉียนหลง (พ.ศ. ๒๓๒๕) พระยาสุนทรอภัยราชทูตได้ถึงแก่กรรมอย่างกะทันหันในกรุงปักกิ่ง ราชสำนักจีนรับเป็นเจ้าภาพในการจัดงานพิธีศพแก่พระยาสุนทรอภัย หลวงพิไชยเสน่หาอุปทูตได้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะทูตสยามแทนท่านราชทูตผู้ ล่วงลับ จดหมายเหตุชิงสือลู่ รัชกาลจักรพรรดิเกาจงแห่งราชวงศ์ชิง บรรพ ๑๑๕๒ กล่าวถึงการจัดพิธีเคารพศพพระยาสุนทรอภัยตามธรรมเนียมจีนว่า

    เมื่อวันซิโฉ่ว เดือน ๓ ปีที่ ๔๗ แห่งรัชศกเฉียนหลง [วันที่ ๑๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ - ผู้เขียน] (องค์จักรพรรดิ) ได้พระราชทานพิธีเคารพศพตามธรรมเนียมปฏิบัติแก่พีเอียซุ่นทุนย่าไผหน่าทู [พระยาสุนทรอภัยราชทูต - ผู้เขียน] ราชทูตแห่งประเทศเซียนหลัว ซึ่งได้ถึงแก่วายชนม์Ž๑๕

    เมื่อคณะทูตสยามเสร็จสิ้นภารกิจในกรุงปักกิ่งแล้ว หลวงพิไชยเสน่หาก็อัญเชิญพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการตอบแทนของพระเจ้า กรุงจีนเดินทางกลับไปยังเมืองกวางตุ้งในเดือน ๗ ปีที่ ๔๗ แห่งรัชศกเฉียนหลง (พ.ศ. ๒๓๒๕)๑๖ เพื่อโดยสารสำเภาหลวงเดินทางกลับคืนไปยังประเทศสยามต่อไป

    สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทูลขอพระธิดาพระเจ้ากรุงจีน

    จดหมายเหตุความทรง จำของกรมหลวงนรินทรเทวี ซึ่งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงกุ (เจ้าครอกวัดโพธิ์) พระน้องนางเธอในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๓๒๕-๕๒) ซึ่งพระนิพนธ์ขึ้นจากความทรงจำส่วนพระองค์แต่ครั้งอดีตก่อนจะสิ้นพระชนม์ใน พ.ศ. ๒๓๗๐ ได้ให้ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับเรื่องสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดเกล้าฯ ให้จัดแต่งคณะทูตอัญเชิญพระราชสาสน์และเครื่องราชบรรณาการไปยังราชสำนักจีน เพื่อกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระธิดาจากพระเจ้ากรุงจีนมาเป็นพระมเหสี ความว่า

    ...ให้แต่งสำเภาทรงพระราชสาส์น ไปถึงพระเจ้าปักกิ่ง ว่าจะขอลูกสาวพระเจ้าปักกิ่ง ให้เจ้าพระยาศรีธรรมาธิราชผู้เถ้า กับหลวงนายฤทธิ หลวงนายศักดิ์ เป็นราชทูต หุ้มแพรมหาดเล็กเลวไปมาก แต่งเครื่องราชบรรณาการไปกล่าวขอลูกสาวเจ้าปักกิ่งŽ๑๗

    พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ครองราชย์ พ.ศ. ๒๔๑๑-๕๓) ทรงพระราชนิพนธ์พระราชวิจารณ์จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี ในกรณีสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงจัดแต่งคณะทูตไปสู่ขอพระธิดาพระเจ้ากรุง จีน ซึ่งได้รับการบอกเล่าสืบต่อกันมาในหมู่เจ้านายราชวงศ์จักรีในทำนอง พงศาวดารกระซิบŽ มาตั้งแต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์ ความว่า

    ...เรื่องขอลูกสาวเจ้าปักกิ่งนี้ เคยได้ยินพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรับสั่งเล่าให้ฟัง แต่ครั้นเมื่อค้นดูในสำเนาพระราชสาส์นห้องอาลักษณ์ จำนวนจุลศักราช ๑๑๔๓ ได้ความว่าทูตครั้งนั้นเป็นสองสำรับ ทูตที่เชิญพระราชสาส์น คุมเครื่องราชบรรณาการตามเคยสำรับหนึ่ง แต่พระราชสาส์นนั้น ไม่ใช่ส่งของไปเจริญทางพระราชไมตรี ตามธรรมเนียมเท่านั้น มีข้อความแถมท้ายพระราชสาส์นเหมือนหนึ่งเข้าใจว่าหนังสือฉบับนั้น พระเจ้ากรุงจีนจะได้อ่านเอง

    กล่าวโทษเจ้าพนักงาน ว่าเรียกค่าธรรมเนียมรับบรรณาการถึง ๓๐ ชั่ง แล้วก็ลดจำนวนบรรณาการลงเสีย หักเป็นค่าธรรมเนียมและขับทูตไม่ให้เที่ยวเตร่ และแกล้งทูตไม่ให้กลับด้วยเรือของตัว ต้องโดยสารเรือเข้ามา ข้อความทั้งนี้พระเจ้ากรุงต้าฉิ่งทรงทราบหรือไม่

    ข้อหนึ่งเชลยที่ได้ส่งไปเมืองจีน เมื่อไม่อยากฟังเรื่องศึกพม่าแล้ว ขอให้ส่งกลับเข้ามาให้ถูกตัวถูกฝา คำที่ว่าถูกตัวถูกฝานี้ เจ้ากรุงธนบุรีชอบพูดนัก ตราตั้งเจ้านครก็ใช้ถูกตัวถูกฝา ถ้าเป็นกรรมการกิมตึ๋งก็เห็นจะเป็นสังฆราชผิดฝา ไม่ปรากฏว่าเชลยครั้งไร ส่งไปเมื่อไร ที่จริงเชลยเหล่านี้ ก็คงตกอยู่ตามกวางตุ้งนั้นเอง

    ต่อไปอีกว่าตัวช่วยคนหาปลาเรือแตกพลัดเข้ามาบ้าง ช่วยจีนที่ลงมารบเมืองพม่า พม่าจับได้เอามาไว้เสียปลายเขตแดนข้างใต้ กองทัพกรุงเทพฯ ขึ้นไปรบพม่าได้จีนเหล่านั้นมาเป็นคราวๆ หลายคราว ได้ให้ข้าวสารให้เสื้อผ้าคิดเฟื้องคิดสลึง รวมเบ็ดเสร็จเป็นเงิน ๔ ชั่งเศษ พระเจ้ากรุงต้าฉิ่งทราบความหรือไม่

    คราวนี้ ถวายของนอกบรรณาการ ฝาง ๑๐๐๐๐ หาบ งาช้าง ๑๐๐ หาบ ดีบุก ๑๐๐ หาบ นอระมาด ๑ หาบ พริกไทย ๓๐๐๐ หาบ ช้างพลาย ๑ ช้าง

    จะขอแต่งสำเภาบรรทุกสินค้าออกไปเที่ยวละ ๓ ลำ อย่าให้ต้องเสียค่าจังกอบ จะซื้อของที่ไม่ต้องห้ามเช่นอิฐ เข้ามาสร้างพระนคร

    ขอให้ช่วยหาต้นหนสำเภา จะแต่งไปซื้อทองแดงเมืองญี่ปุ่น เข้ามาทำพระนครเหมือนกัน

    ข้อความทั้งนี้ว่าลงไปในพระราชสาส์นหมด พระราชสาส์นลงวันอาทิตย์ เดือน ๗ แรม ๑๑ ค่ำ จุลศักราช ๑๑๔๓ ปีฉลูตรีศก

    พระราชสาส์นทราบภายหลัง ว่าถูกส่งคืนให้แก้ใหม่ ให้เหมือนอย่างเก่า ไม่สำเร็จประโยชน์อะไรเลย

    มีหนังสือเจ้าพระยาพระคลัง ถึงจ๋งต๊กหมูอี้ ขอป้ายสำเภาสร้างใหม่ ๒ ลำ กับให้ช่วยจ้างต้นหนเป็นเงินเท่าไรจะเสียให้

    (อ่านต่อ ที่นี่)

    อีกฉบับหนึ่ง เป็นหนังสือเจ้าพระยาพระคลัง ว่าแต่งให้เจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช พระยาราชสุภาวดี พระพี่เลี้ยง หลวงราไชย หลวงศรียศ หลวงราชมนตรี นายฤทธิ นายศักดิ นายเวรมหาดเล็ก ข้าหลวง คุมสำเภา ๑๑ ลำพาของไปถวาย จำนวนเท่าที่ว่ามาแล้ว ให้ลิปูต้าทั่ง ฝาง ๑๐๐๐ หาบ เหลืองฝางอีก ๙๐๐๐ หาบ ไม้ดำ ๓๐๐ หาบ ไม้แดง ๑๘๐๒ หาบ ๒๐ ชั่ง ให้จ๋งต๊กหมูอี๊ ฝาง ๕๐๐ หาบ ไม้แดง ๕๐๐ หาบ นายห้าง ๔ ห้าง ฝางห้างละ ๑๐๐ หาบ ไม้แดงห้างละ ๑๐๐ หาบ เหลืองฝาง ๑๗๐๐ หาบ ไม้แดง ๙๐๒ หาบ ไม้ดำ ๓๐๐ หาบ ๗๖ ชั่ง ให้ขายใช้จ่าย ต้องการเตรียบทองแดงสำหรับเลี้ยงพระ ๕๐๐ ใบ พานของคาวทองขาว ๒๕๐ ใบ หวาน ๒๕๐ ใบ หม้อทองแดงใส่ไฟ ๑๐๐ ใบ ส่งตัวอย่างให้คุมออกไปด้วย และให้ข้าหลวงมีชื่อเหล่านี้ซื้ออิฐส่งเข้ามาก่อน แล้วจึงให้เรือกลับไปรับทูต

    ทูตสำรับเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราชนี้ คงมีพระราชสาส์นฉบับหนึ่งต่างหาก เรื่องขอลูกสาว แต่จะซ่อนแต่งซ่อนแปลกันอย่างไร ไม่ได้เก็บสำนวนไว้ในห้องอาลักษณ์ทีเดียว จึงไม่ได้ความ

    มีบัญชีคิดเงินอยู่ในสมุดสำเนาพระราชสาส์น ว่าถวายเจ้าปักกิ่งเป็นของนอกบรรณาการ คิดราคาสิ่งของตามบัญชีที่กล่าวมาแล้วเป็นเงิน ๑๘๖๖ ชั่ง ๓ ตำลึง ๒ บาทสลึง
    ให้ลิปูต้าทั่ง คิดราคาของ เป็นเงิน ๕๖ ชั่ง ๕ ตำลึง
    ให้จ๋งต๊กหมูอี๊ คิดราคาของ เป็นเงิน ๓๗ ชั่ง ๑๐ ตำลึง
    ให้นายห้าง ๔ ห้าง คิดราคาของ เป็นเงิน ๓๐ ชั่ง
    รวมที่ส่งของไปแจกเป็นเงิน ๑๙๘๙ ชั่ง ๑๘ ตำลึง ๒ บาทสลึง

    เหลือสิ่งของสำหรับให้จำหน่ายใช้การ เพราะเหตุที่ไม่ได้เอาเงินออกไปจ่าย เอาของออกไปจ่ายต่างเงิน เป็นราคา ๔๕๓ ชั่ง ๖ ตำลึง ๓ บาท ๒ สลึงเฟื้อง

    รวมเป็นสินค้าที่ได้บรรทุกเรือออกไป ๑๑ ลำครั้งนี้ เป็นราคาเงิน ๒๔๔๓ ชั่ง ๑๕ ตำลึงบาท ๓ สลึงเฟื้อง
    เจ้ากรุงธนบุรีไม่ได้ทราบผลของการที่แต่งทูตออกไปนี้ด้วยหมดเวลา สังเกตดูถ้อยคำที่จดหมาย อยู่ข้างพลุ่งพลั่งแต่ไม่ใช่บ้าŽ๑๘

    คณะทูตสำรับที่สองของเจ้าพระยาศรีธรรมาธิราช ซึ่งจดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวง นรินทรเทวีระบุว่าจัดส่งไปสำหรับสู่ขอพระธิดาพระเจ้ากรุงจีนนั้น ความจริงแล้ว คณะทูตชุดนี้มีหน้าที่คุมสิ่งของนอกราชบรรณาการไปพระราชทานแก่ขุนนางชั้น ผู้ใหญ่และนายห้างวาณิชจีนเป็นสำคัญ

    ตามทรรศนะของข้าพเจ้าเห็นว่า คณะทูตสำรับที่สองนี้มิได้เดินทางไปยังกรุงปักกิ่งเช่นเดียวคณะทูตสำรับแรก ของพระยาสุนทรอภัยเสียด้วยซ้ำไป ดังปรากฏหลักฐานอยู่ในนิราศกวางตุ้งของพระยามหานุภาพ ความว่า

    อันพวกผู้อยู่ขายจำหน่ายของ แต่นั่งกรองนอนกรองจนผอมไผ่
    ที่ขาดเหลือเจือครบบรรจบไป ก็มีในบาญชีย์ว่าทังห้าบาน
    ครั้นเสร์จของเงินทองสำเร์จรับ แล้วประดับเภตราจะมาสถาน
    ความดีใจประหนึ่งได้วิมานปาน แต่นับวารคอยเคร่าทุกเช้าเย็น
    อันเหล่าไทที่ได้ไปเปนเพื่อนยาก ค่ามทะเลลำบากนั้นแสนเขน
    แต่ตรากน้ำตรำฝนแล้วทนเย็น จะนั่งนอนแต่ขเม้นไม่เว้นวาง
    อันที่ท่านสี่ลำสำเภาหลวง นั้นพุ่มพวงสารพัดไม่ขัดขวาง
    จะแสนยากอยู่แต่เหล่าที่เช่าระวาง ปิ้มปางจะไม่เหนว่าเปนกาย
    หากพระขันตีคุณกรุณภาพ ก้มกราบถึงพระบาทไม่ขาดสาย
    จึ่งได้พ้นไภยันอันราย รอดตายมาชื่นคืนเมืองŽ๑๙


    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1308829528&grpid=no&catid=53&subcatid=5300-


    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...