พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. nongnooo

    nongnooo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤศจิกายน 2006
    โพสต์:
    4,139
    ค่าพลัง:
    +9,446
    ทุกอย่างมีหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงกันไปตาม กาลเวลา ไม่มีสิ่งใดที่อยู่ยงค้ำฟ้าค้ำดิน ไม่มีสิ่งใดที่แน่นอนตายตัว ต้องกัดฟันสู้กับปัจจุบันกันไปครับ สุดท้ายแล้วถึงรวมเรียกว่า "อนิจจังไม่มีอะไรเที่ยงแท้" ครับ
     
  2. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    สวัสดีครับ ยามบ่าย ทานกาแฟแก้ง่วงกันไหมครับ อิอิอิ
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    ขอบคุณครับ

    เร็วจริงๆ

    ไว้ไปดูอีกครั้งแล้วจะแจ้งผลให้ทราบครับ



    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>รู้ไหมว่า? “หินอ่อน” แปรสภาพมาจากหินอะไร</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>21 มิถุนายน 2554 04:33 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    “หินอ่อน” เป็นหินที่แปรสภาพมาจาก “หินปูน” ภายใต้ความดันและอุณหภูมิที่เหมาะสม ซึ่งข้อมูลจากกรมทรัพยากรณี กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุว่าหินอ่อนเกิดจากการแปรสภาพโดยความร้อนและปฏิกิริยาเคมีจากการสัมผัสหินหนืดร้อน ซึ่งปฏิกิริยาเคมีดังกล่าวอาจทำให้ได้แร่ชนิดใหม่ หรือแร่ในหินเดิมถูกแร่ใหม่แทนที่ และแร่อาจมีการจัดเรียงใหม่

    ทั้งนี้ มีพื้นที่มีศักยภาพผลิตหินอ่อนประดับในประเทศไทย รวม 965 ตารางกิโลเมตร โดยภาคเหนืออยู่บริเวณ จ.ลำปางและอุตรดิตถ์ ภาคตะวันออกเฉียงเหนืออยู่บริเวณ จ.นครราชสีมา ภาคกลางอยู่บริเวณ จ.สุโขทัย จ.กำแพงเพชร จ.นครสวรรค์ จ.อุทัยธานี จ.ลพบุรี และจ.สระบุรี ภาคตะวันตกพบบริเวณ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และภาคใต้พบบริเวณ จ.ยะลา


    -http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000075136-


    .



    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 4 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 2 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong, ปฐม+</td></tr></tbody></table>
    อรุณสวัสดิ์ยามเช้า วันพุธสุขใจครับ


    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับพระวังหน้า(อยุธยา) และ พระวังหน้า(รัตนโกสินทร์) จำนวน 546 องค์ ที่ผมและคณะ จะมอบให้กับทหารผู้ปฎิบัติหน้าที่เสี่ยงภัยทางภาคใต้ ผมได้นำกลับมาแล้วหลังจากที่นำไปให้ร้านใส่กรอบสเตนเลสให้ หลังจากนี้ ผมและคณะจะดำเนินการเจาะรูที่กรอบ(พลาสติก) ,ใส่ห่วงและแหนบให้เรียบร้อย กำหนด(ในใจ)ว่า จะดำเนินการให้เสร็จก่อนวันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม 2554 (วันทอดผ้าป่าสามัคคีศรีชัยผาผึ้ง) เพื่อผมและคณะจะได้นำไปถวายพระอาจารย์นิล (ผมจะขอความเมตตาจากพระอาจารย์นิล ลงไปแจกทหารผู้ปฎิบัติหน้าที่เสี่ยงภัยทาง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้) ให้เรียบร้อย

    เมื่อวานนี้ ผมคุยกับพี่สิทธิพร ในเรื่องของการเจาะรู ผมคงฝากไปประมาณ 446 องค์ครับ ส่วนอีก 100 องค์ ตั้งใจว่า จะร่วมทำกันกับคุณ Pinkcivil จะได้ทำกับมือของตนเอง

    สำหรับพระพิมพ์(กรุวังหน้าอยุธยา) มีจำนวน 339 องค์ (มีทั้งหมด 3 พิมพ์) ส่วนพระพิมพ์(กรุวังหน้ารัตนโกสินทร์) มีจำนวน 207 องค์

    ขอกราบขอบพระคุณคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร , องค์ผู้อธิษฐานจิตทุกๆพระองค์ , พี่ใหญ่ ที่ได้มีเมตตาในงานบุญนี้

    ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่าน ที่มีส่วนในงานบุญนี้ครับ

    ส่วนท่านเจ้าภาพ ผมเตรียมมอบชุดพระกรุวังหน้าอยุธยาไว้ให้ท่านแล้ว น่าจะไม่น้อยกว่า 5 พิมพ์ (ส่วน 3 พิมพ์ ผมเตรียมไว้ให้ท่าน พิมพ์ละ 3 องค์)

    สำหรับท่านผู้ร่วมทำบุญ ผมก็ได้เตรียมมอบพระกรุวังหน้าอยุธยา จำนวน 3 องค์(3 พิมพ์)

    โมทนาบุญทุกประการ
    .
     
  8. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    สวัสดีวันพุธ หลังอาหารเที่ยงครับ
     
  9. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    สูดไออุ่นหัวหอม ไล่หวัด-ลดน้ำมูก

    วันพุธ ที่ 22 มิถุนายน 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    อาการหวัด แม้จะเป็นง่าย แต่ก็หายช้า แถมช่วงที่มีน้ำมูกยังทำให้รู้สึกรำคาญ ถ้าน้ำมูกข้นเหนียวก็จะคัดจมูก หายใจไม่สะดวก แต่ถ้าน้ำมูกใส จ่อจะรอไหลออกมาให้คอยซับคอยสูด ทำให้เสียบุคลิก

    ‘สามัญประจำบ้าน’ เตรียมวิธีบรรเทาอาการหวัด ลดน้ำมูก ให้จมูกและลำคอรู้สึกโล่งหายใจได้สะดวกโดยไม่ต้องพึ่งยาแต่เพียงอย่างเดียว วิธีนี้ลงทุนน้อย ไม่ยุ่งยาก และตัวช่วยที่นำมาใช้คือ ‘หัวหอม’ ที่มีกลิ่นฉุนนั่นเอง

    หัวหอม อุดมด้วย เบตาแคโรทีน กรดโฟลิก ฟลาโวนอยด์เควอเซทิน แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม กำมะถัน และซีลีเนียม ไม่ว่าเราจะนำมารับประทานหรือเพียงแค่ใช้ประโยชน์จากกลิ่น สารอาหารเหล่านี้ก็มีสรรพคุณเด่น คือ ช่วยแก้หวัด

    สำหรับวิธีแก้หวัด ลดน้ำมูก ด้วยหัวหอมนั้น ให้นำหัวหอมขนาดกำลังดีลอกเปลือกแล้วทุบพอแหลก ใส่ลงไปในแก้วหรือชามที่ใส่น้ำร้อนรอไว้ จากนั้นนำผ้าขาวบางหรือผ้าเนื้อบางที่พอหาได้ปิดหุ้มที่ปากแก้วหรือชาม วางไว้ใกล้ตัวในตำแหน่งที่ไอของความร้อนลอยเข้าจมูกได้ ในช่วงที่น้ำยังมีอุณหภูมิร้อนจะมีไอน้ำที่ผสมกับกลิ่นของหัวหอมลอยขึ้นมา ให้พยายามสูดไอนั้นเข้าไปจะช่วยลดน้ำมูก บรรเทาอาการหวัดได้ ทั้งนี้สามารถใช้ได้ทั้งหอมแดงและหอมหัวใหญ่ แต่หอมหัวใหญ่จะให้กลิ่นที่ดีกว่า.

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
     
  10. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>“พี่จ๋า...อย่าทับหนู” นศ.มหิดลอินเตอร์ กับโครงการสุดเก๋! </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>22 มิถุนายน 2554 09:59 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> “แสงอาภา ศรีโสภาภรณ์” นักศึกษาวิทยาลัยนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้เติบโตในสังคมอเมริกัน แล้วเดินทางมาศึกษาในประเทศไทย เมื่อสาวอินเตอร์รายนี้ได้เห็นสัตว์ชนิดหนึ่งข้ามถนนไปมาอยู่ทุกวัน จึงเกิดคำถามว่า มันคือตัวอะไร ? จนกระทั่งเป็นที่มาของ “โครงการตัวเหี้ย”

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=267 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=267>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>โลโก้ของโครงการ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> “ตอนแรกนึกว่าจระเข้ จึงไปถาม รปภ. ถึงได้รู้ว่า คือ ตัวอะไร เมื่อเห็นมันข้ามถนนทุกวันก็รู้สึกสงสาร เพราะกลัวจะโดนรถทับ จึงอยากให้คนลดความเร็วเพื่อความปลอดภัย จึงคิดโครงการเล็กๆขึ้นมาว่าจะทำป้ายให้คนระมัดระวังเวลาขับรถผ่านจุดที่มีสัตว์ชนิดนี้จำนวนมาก โดยก่อนจะทำป้ายจราจร ก็ต้องหาข้อมูล ว่ามันอยู่ตรงไหนชุกชุมที่สุด”

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ลงพื้นที่สำรวจประชากรตัวเหี้ย</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> จุดเริ่มต้นขั้นแรก นำมาสู่การรวมกลุ่มเพื่อนๆอีก 3 คน ได้แก่ เพื่อนร่วมสถาบันวิทยาลัยนานาชาติฯ วีรภาคย์ ซำศิริพงษ์ กับ สิริภัทร์ สุขแสงศรี และ คงศักดิ์ ก้าวเวชธิคุณ เพื่อนต่างสถาบันจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนที่โครงการเล็กๆนี้ จะได้รับคัดเลือกเข้าสู่โครงการ Climate Cool ประจำปีล่าสุด โดยความร่วมมือของ บริติช เคานซิล ประกวดโครงการด้านสิ่งแวดล้อม ต่อยอดไปสู่การฝึกอบรม การวางแผนโครงการว่าจะทำกิจกรรม และการจัดการโครงการอย่างไร

    “ตอนแรกทำป้ายข้ามถนน กับการเผยแพร่ความรู้ เมื่อเข้ามาสู่โครงการ Climate Cool จึงเริ่มหากลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนขึ้น โดยเริ่มต้นกับกลุ่มเล็กๆที่ทำได้จริง คือ ชมรมสิ่งแวดล้อมของมหาวิทยาลัย และเริ่มโครงการแรกเป็นการทำความรู้จักว่าทำอะไรกันได้บ้าง หลังจากนั้นก็เป็นเชิงข้อมูล นำวิทยากรด้านสิ่งแวดล้อม มาให้ความรู้รวมถึงการไปสำรวจชีวิตของสัตว์ชนิดนี้ภายในมหาวิทยาลัย ซึ่งจากข้อมูลที่ศึกษา 4 เดือน เราเจอทั้งหมด 16 ตัวเป็นอย่างน้อย ซึ่งความเป็นจริงอาจจะมากกว่านั้น"

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> วีรภาคย์ แสดงความเห็นเพิ่มเติม ว่าโครงการนี้อยากให้คนรู้มากขึ้น เพราะเด็กบางคนอาจจะไม่คุ้นเคย ไม่เคยเห็นตัวเป็นๆ อย่างใกล้ชิด หรือบางคนรู้แล้ว แต่ยังไม่เข้าใจว่ามันมีประโยชน์อะไรในระบบนิเวศน์ โครงการจึงเป็นการอบรมสิ่งแวดล้อมให้คนเข้าใจมากขึ้น เพื่อการอนุรักษ์สัตว์ประเภทนี้

    ด้าน สิริภัทร์ เสริมว่า หัวหน้าทีม(แสงอาภา) มีความสนใจมาก ทุกครั้งจะไปยืนดูตามคลอง ชอบไปดูมันตากแดด จนอาจเรียกได้ว่า ชอบไปสำรวจตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัย และจุดประกายกลายเป็นโครงการนี้

    “โครงการจะเป็นประโยชน์ได้จากการที่เราตระหนักสภาพแวดล้อม หรือสัตว์ที่อยู่ด้วยกันกับเรา เพราะหากมันลดลงไป อาจส่งผลต่อระบบนิเวศ เพราะประโยชน์ของมันช่วยทำความสะอาดระบบนิเวศ ช่วยกำจัดของเสียของตาย ในสมัยก่อนมันจะกินไข่จระเข้ เพื่อรักษาสมดุลของปริมาณจระเข้ ขณะเดียวกันก็กลายเป็นอาหารของจระเข้ได้ด้วย ส่วนยุคปัจจุบัน มันก็กินสัตว์ตัวเล็กตัวน้อยเพื่อเป็นการรักษาสมดุลของธรรมชาติ”

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>สัตว์โลกผู้น่ารัก</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ส่วน คงศักดิ์ มองว่า โครงการยังช่วยเพิ่มความเข้าใจ ให้เรารู้จักสัตว์ประเภทนี้มากขึ้น เพื่อสิ่งสำคัญ คือ การทำให้เราตระหนักการอยู่ร่วมกันระหว่างคนกับสัตว์ที่อยู่ในเมือง

    นอกจากนี้ เมื่อพูดถึง “ชื่อ” โครงการ ซึ่งอาจจะดูแรง และเป็นคำไม่สุภาพในสังคม แต่หัวหน้าโครงการอย่างแสงอาภา ยืนยันว่า ชื่อนี้ถูกต้องที่สุด

    “ตอนที่เรียนอยู่อเมริกา ก็พอจะทราบเหมือนกันว่าเป็นคำหยาบ คำด่าของคนไทย ก็ใช้เวลาคิดชื่อโครงการมานาน จึงลองโทรศัพท์ไปสอบถามหน่วยงานรัฐบาล ซึ่งปรากฏว่า คำที่ถูกต้องที่สุดตามหลักภาษาไทย คือ คำว่า ‘ตัวเหี้ย’ นั่นเอง จึงไม่อยากเปลี่ยนและตัดสินใจใช้ชื่อนี้”

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>สัตว์โลกผู้น่ารัก</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> แสงอาภา ย้ำทิ้งท้ายว่า รู้สึกดีที่ทำให้คนรู้จักสัตว์ประเภทนี้มากขึ้น หลายคนเคยได้ยิน แต่อาจจะไม่รู้ว่ามันมีความแตกต่างจากตะกวดอย่างไร โดยความจริงแล้วสัตว์ชนิดนี้มีรายละเอียดของสายพันธุ์ที่แตกต่างกันอีกด้วย เช่น มีลายดอก ลายดำ ซึ่งนับเป็นความหลากหลายทางธรรมชาติ
    ที่มา manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  11. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>กูรูแนะเคล็ดปรับ "ฮวงจุ้ย" ในห้องนอน</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>22 มิถุนายน 2554 11:28 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=left border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=240 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=240>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>คุณเกตุ-ธันยมัย ธำรงพุทธิกุล </TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD width=5>[​IMG]</TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เมื่อพูดถึงห้องต่าง ๆ ในบ้าน "ห้องนอน" นับเป็นห้องที่มีความสำคัญมากที่สุดห้องหนึ่ง เพราะในทางฮวงจุ้ยแล้ว ห้องนอนส่งผลต่อทั้งด้านสุขภาพ การงาน ความรัก และสภาพการเงินของเจ้าของห้อง

    วันนี้ ทีมงาน Life & Family มีโอกาสได้พูดคุยกับ คุณเกตุ-ธันยมัย ธำรงพุทธิกุล นักปรับสมดุลแห่งดวงดาว ถอดรหัสชีวิต และกระตุ้นพลังงานจากหมู่ดาวประจำตัว อีกหนึ่งผู้มีประสบการณ์ด้านการวางฮวงจุ้ย บอกว่า ห้องนอนเป็นที่ชาร์จพลังงาน และช่วยฟื้นฟูร่างกายจากการทำงานให้กับเจ้าของห้อง ดังนั้น การจัดห้องนอนอย่างเหมาะสมจะช่วยให้เจ้าห้องห้องนอนอย่างมีสุขภาพดี

    เริ่มจาก ตำแหน่งเตียงนอน ตามหลักฮวงจุ้ยแล้ว คุณเกตุ แนะนำว่า ควรวางทแยงมุมกับประตูห้องนอนให้มากที่สุด เพราะประตูเป็นทางผ่านของกระแสที่ต่าง ๆ หากตั้งเตียงไว้ในตำแหน่งเดียวกับประตู อาจถูกปะทะโดยตรง ส่งผลให้เจ้าของห้องเกิดอาการปวดเมื่อย หรือเจ็บป่วยได้ง่าย

    "การวางเตียงนอนให้ลอยอยู่กลางห้อง หรือตั้งวางหัวเตียงไม่ชิดติดผนังห้อง ทำให้ผู้ที่นอนนั้นเกิดอุปสรรคกับชีวิต และมีปัญหาความก้าวหน้าทางด้านการงาน ดังนั้น ในทางฮวงจุ้ยจึงมีหลักว่า ตำแหน่งของหัวเตียงนอนควรตั้งให้ติดผนังกำแพงดีที่สุด เพราะจะทำให้ผู้นอนรู้สึกมั่นคง และปลอดภัย" กูรูฮวงจุ้ยแนะ

    ส่วนหลอดไฟในห้องนอน ไม่ควรใช้ไฟประเภทหลอดเปลือยที่มองเห็นดวงไฟได้ชัดเจน ควรเป็นแบบกรองแสง และควรมีแสงสีเหลืองนวล เพื่อช่วยให้เกิดพลังงานแห่งการผ่อนคลาย เลี่ยงการติดโคมไฟเหนือตำแหน่งที่นอน เพราะจะทำให้เกิดอาการปวดเมื่อย และเหน็บชาได้

    "เกตุไม่ค่อยแนะนำให้นอนใต้ไฟนะ เลี่ยงได้ควรเลี่ยง เพราะใครที่นอนใต้ไฟบ่อย ๆ ลองสังเกตดูว่าจะมีอาการปวดหัว หรือปวดต้นคออยู่บ่อยครั้ง ยิ่งสมัยนี้ หลาย ๆ บ้านติดไฟดาวน์ไลท์แบบฝังเพดานฝ้ามักจะทำให้การนอนไม่มีความสุข เพราะจะปวดหัว แน่นหน้าอก เนื่องจากตัวเราเป็นน้ำ ไฟกับน้ำไม่ถูกกัน เมื่อไฟทำปฏิกิริยากับน้ำในร่างกายเราก็จะส่งผลให้มีอาการเหน็บชา ปวดเมื่อย และไม่สบายได้ ถึงแม้จะปิดไฟไปแล้วก็ตาม แต่ก็ยังมีกระแสไฟฟ้าสถิตอยู่"

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ขอบคุณภาพประกอบจาก www.modernfs.com</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> นอกจากเหนือจากนี้ การเสริมฮวงจุ้ยในห้องนอน และการพักผ่อนเป็นไปด้วยดี อาจจะหาสัญลักษณ์ด้านสุขภาพเข้ามาเสริมก็ได้ เช่น กวางคู่ ควรตั้งไว้ทางทิศตะวันออก หรือสัญลักษณ์เต่า ควรวางไว้ทางทิศใต้ โดยเชื่อกันว่าจะทำให้สุขภาพแข็งแรง และมีอายุยืน ส่วนคู่รักท่านใดอยากมีโชคทางด้านความรัก ควรตกแต่งห้องนอนด้วยภาพ หรือแจกันดอกทิวลิปเพื่อเรียกหาโชคด้านความรัก โดยเฉพาะทิศตะวันตกเฉียงใต้ ซึ่งคนจีนเชื่อว่าเป็นทิศของความรัก เพราะฉะนั้น มุมนี้จึงเป็นกระแสที่แห่งโชค

    อย่างไรก็ดี สิ่งสำคัญที่สุดในการเติมเต็มพลังงานด้านดีในห้องนอน นอกจากปรับตามหลักฮวงจุ้ยแล้ว กูรูฮวงจุ้ยท่านนี้ทิ้งท้ายว่า ความสะอาด และความมีระเบียบของบ้านหรือห้องที่เราอยู่อาศัยก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะหากปล่อยให้บ้านรก ชีวิตก็จะดูรก ๆ วุ่นวายตามไปด้วย แต่ถ้าห้องสะอาด เตียงจัดเป็นระเบียบ กระแสโชคก็จะเดิน ได้คล่อง ส่งผลให้ชีวิตมีแต่ความราบรื่น และโชคดี
    ที่มา Manager Online

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  12. Lee_bangkok

    Lee_bangkok เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 ธันวาคม 2010
    โพสต์:
    1,751
    ค่าพลัง:
    +4,741
    อนุโมทนาบุณด้วยครับทุกท่านเลยนะครับผม
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ดินเผาเล่าเรื่อง...ตามรอยเครื่องสังคโลก ที่กำแพงเพชร-สุโขทัย </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>22 มิถุนายน 2554 15:50 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย : ตะลอนเที่ยว (travel_astvmgr@hotmail.com)


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>พระเครื่องที่ใส่คราบให้ดูคล้ายกับพระเก่า</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>การไปเดินทางท่องเที่ยวในแต่ละครั้ง นอกจากจะได้ความสนุกสนานเพลิดเพลินแล้วยังเป็นการออกไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆแสวงหาความรู้ใหม่ๆมาประดับสมอง ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย “เที่ยวหัวใจใหม่ เมืองไทยยั่งยืน”ของทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย(ททท.) ที่กำลังเดินหน้าผลักดันอยู่ในขณะนี้ โดยในทริปนี้ “ตะลอนเที่ยว” ได้ออกไปท่องเที่ยวเรียนรู้ ตามรอยเส้นทาง“เครื่องปั้นดินเผา” และ “เครื่องสังคโลก” ในดินแดนเก่าแก่สำคัญของเมือง ที่ จ.กำแพงเพชร และ จ.สุโขทัย

    แต่ก่อนจะไปเที่ยวกันนั้น มาหาความรู้เบื้องต้นในเรื่องของเครื่องปั้นดินเผา และเครื่องสังคโลกกันก่อนดีกว่า


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>สาธิตวิธีการทำพระเครื่อง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>สำหรับเครื่องปั้นดินเผานั้น เริ่มต้นมาจากวิวัฒนาการในการดำรงชีวิตของมนุษย์ ที่จะใช้สิ่งใกล้ตัวอย่างเช่น ดิน มาทำเป็นภาชนะต่างๆ ด้วยการปั้น แล้วนำมาเผาด้วยอุณหภูมิต่ำ เพื่อให้มีความคงทนแข็งแรงขึ้น สามารถคงรูปไว้ใช้ประโยชน์ได้นาน

    ต่อมา เมื่อเริ่มมีการพัฒนามากขึ้น ก็เริ่มมีการใช้น้ำยามาเคลือบ และเพิ่มอุณหภูมิในการเผา ทำให้ภาชนะที่ได้มีเนื้อแกร่งขึ้น ผิวของภาชนะก็มีความเป็นมันวาว ดูสวยงามขึ้น หรือที่เรียกว่า เครื่องสังคโลก


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>หม้อกรัน หม้อน้ำรูปแบบเฉพาะของบ้านทุ่งหลวง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>ทั้งเครื่องปั้นดินเผา และเครื่องสังคโลก ต่างก็มีความเป็นมาอย่างยาวนานบนแผ่นดินประเทศไทย โดยเฉพาะที่กำแพงเพชรและสุโขทัย ซึ่งเป็นแหล่งที่ยังปรากฏหลักฐานต่างๆ ให้เห็นตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ดังเช่นในเส้นทางการท่องเที่ยวในทริปนี้

    เริ่มต้นเส้นทางการเรียนรู้กันที่ แหล่งเรียนรู้การทำพระเครื่องนครชุม ที่ ต.นครชุม อ.เมือง จ.กำแพงเพชร แหล่งพระเครื่องที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงสุโขทัย ที่เมืองกำแพงเพชรแห่งนี้ถือว่าเป็นยุคทองของพระพุทธศาสนา ศิลปะ และสถาปัตยกรรม


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>การปั้นด้วยการตี ที่เหลืออยู่แห่งเดียวในบ้านทุ่งหลวง</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>มีตำนานการสร้างพระพิมพ์ หรือที่ปัจจุบันนี้เรียกกันว่า พระเครื่อง ตั้งแต่ในสมัยของพระมหาธรรมราชาที่ 1 (ลิไท) ซึ่งในตอนที่ค้นพบหลักศิลาจารึกหลักที่ 3 (ศิลาจารึกนครชุม) ที่วัดพระบรมธาตุนครชุม ก็มีการพบพระพิมพ์เป็นจำนวนมาก

    ถ้าหากว่ามาเที่ยวที่นี่ก็จะได้เห็นวิธีการทำพระพิมพ์ หรือพระเครื่อง ตามแบบฉบับของชาวกำแพงเพชรที่มีความงามสง่าของศิลปะอันเป็นเอกลักษณ์ของสกุลช่างกำแพงเพชร โดยที่หลักการทำพระเครื่องนั้นก็จะคล้ายกับการทำเครื่องปั้นดินเผา แต่แตกต่างกันในเรื่องของเนื้อผสมที่มีทั้งเนื้อดิน เนื้อชิน เนื้อเงิน เนื้อนาค และเนื้อทอง


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เครื่องปั้นดินเผารูปแบบใหม่ๆ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>การสาธิตการทำพระเครื่องของที่นี่จะได้เห็นตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมดิน การกดพิมพ์ ตากแดด นำไปเผา นำพระมาใส่รา ใส่คราบ จนกระทั่งนำใบตองแห้งมาขัดพระ จนได้พระเครื่องที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับพระเก่าหลายร้อยปี ซึ่งสมาชิกในแหล่งการเรียนรู้ฯ ก็จะให้ความรู้ในทุกขั้นตอนด้วยความเต็มอกเต็มใจ ยิ้มแย้มแจ่มใส

    หลักจากได้ความรู้เรื่องการทำพระเครื่องกันแล้ว เราก็ออกเดินทางไปกันต่อที่ จ.สุโขทัย มุ่งหน้าไปยัง บ้านทุ่งหลวง หมู่บ้านเครื่องปั้นดินเผาที่มีชื่อเสียงของสุโขทัย และมีการทำเครื่องปั้นดินเผาสืบทอดต่อกันมาหลายชั่วอายุคน แม้กระทั่งในปัจจุบัน ถ้าหากว่าเข้ามาถึงภายในหมู่บ้านแล้วลองสังเกตแต่ละบ้าน ก็จะได้เห็นชาวบ้านกำลังผลิตเครื่องปั้นดินเผาในขั้นตอนต่างๆ ตามความถนัดของแต่ละคน


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>พิพิธภัณฑ์เครื่องเคลือบ</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>และก่อนที่จะไปดูตามบ้านต่างๆ ก็แวะเวียนเข้าไปที่ กลุ่มเครื่องปั้นดินเผาบ้านทุ่งหลวง ไปดูประวัติความเป็นมาตั้งแต่สมัยโบราณนานนับร้อยปีจากหลักฐานที่ยังสืบค้นได้ มีการกล่าวถึง “หม้อกรัน” ซึ่งเป็นหม้อน้ำรูปแบบเฉพาะของบ้านทุ่งหลวง

    การผลิตเครื่องปั้นดินเผาของที่นี่จะผสมดินกับทรายในอัตราส่วนค่อนข้างสูงเพื่อให้คายน้ำ และเมื่อนำไปเผาแล้วจะได้สีของดินเป็นสีแดงเข้ม ผิวดินหยาบ ส่วนวิธีการขึ้นรูปนั้นจะมีอยู่สี่วิธี คือ การขึ้นรูปด้วยแป้นหมุน การขึ้นรูปด้วยการหล่อ การขึ้นรูปด้วยการปั้น และการปั้นด้วยการตี ซึ่งในปัจจุบันนั้นยังหลงเหลือการทำวิธีนี้อยู่เพียงบ้านเดียว


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เครื่องถ้วยสังคโลกที่บิดเบี้ยวจากการเผา</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>คนที่ชอบตกแต่งบ้าน หรือชอบเครื่องปั้นดินเผา ถ้ามาถึงที่บ้านทุ่งหลวงก็ไม่ควรพลาดการเดินดูสินค้ารูปแบบต่างๆ ตามบ้าน เพราะจะมีทั้งเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ ของประดับตกแต่งบ้านและสวน เป็นทั้งรูปสัตว์ ตัวการ์ตูน กระถางต้นไม้ ไปจนถึงของระลึกน่ารักๆ หลากหลายชิ้น มาเห็นแล้วคงอดที่จะซื้อติดไม้ติดมือกลับบ้านไม่ได้

    จากที่บ้านทุ่งหลวง ก็แวะเวียนไปชมแหล่งรวบรวมเครื่องสังคโลกกันอีกแห่งหนึ่งที่ พิพิธภัณฑ์เครื่องเคลือบ ที่สนามบินสุโขทัย ซึ่งจะเรียงลำดับการจัดแสดงตามลำดับช่วงเวลาในประวัติศาสตร์ และแบ่งตามแหล่งเตาต่างๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>จำลองวิถีการทำเครื่องสังคโลก</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>แม้ว่าจะไม่สามารถถ่ายภาพด้านในได้ แต่ก็ยังเดินชมเครื่องสังคโลกต่างๆ ได้อย่างเพลิดเพลิน แล้วลองสังเกตความแตกต่างระหว่างเครื่องสังคโลกในยุคต่างๆ และเครื่องสังคโลกที่ผลิตจากแหล่งเตาแต่ละแห่งว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร หรือแม้กระทั่งเครื่องสังคโลกที่เสียหายจากการนำเข้าเตาเผา แล้วเกิดการบิดเบี้ยว แตกหัก ก็ยังคงความสวยงามที่แตกต่างจากเครื่องกระเบื้องในปัจจุบัน

    ร่องรอยของเส้นทางการขนส่งและการผลิตเครื่องปั้นดินเผาและเครื่องสังคโลกในประเทศไทยนั้น นอกจากจะมีอยู่ตามแหล่งหมู่บ้านต่างๆ แล้ว ก็ยังสามารถศึกษาได้ที่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสวรรควรนายก ที่ อ.สวรรคโลก


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=450 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=450>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เครื่องประดับสถาปัตยกรรมที่ทำจากปูนปั้น</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เมื่อเดินเข้าไปภายในพิพิธภัณฑ์ ส่วนแรกจะได้ศึกษาเรื่องของเมืองสวรรคโลก เริ่มต้นตั้งแต่พัฒนาการของเมืองสมัยก่อนประวัติศาสตร์ กระทั่งถึงในยุคปัจจุบัน โบราณวัตถุต่างๆ ของเมืองสวรรคโลกที่นำมาจัดแสดงก็มีทั้ง แท่งดินเผามีลายตาราง กระเบื้องเชิงชายรูปนางอัปสรและเทวดา เป็นต้น

    ถัดมาจะเป็นเครื่องเครื่องสังคโลก ซึ่งชื่อ “สังคโลก” ได้ถูกสันนิษฐานว่าเพี้ยนมาจากชื่อเมืองสวรรคโลก ซึ่งเป็นแหล่งผลิตเครื่องถ้วยในสมัยสุโขทัย หรืออาจเป็นชื่อเรียกมาแต่เดิมว่าบ้านสังคโลก เพราะมีการพบเอกสารโบราณที่มีชื่อบ้านสังคโลกบันทึกไว้


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>พระพุทธรูปศิลปะสุโขทัย</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เครื่องสังคโลกที่นำมาจัดแสดงก็จะมีทั้งที่ผลิตในเมืองสวรรคโลก ศรีสัชนาลัย ที่สุโขทัยเมืองเก่า และยังมีจากแหล่งเตาอื่นๆ นำมาเปรียบเทียบให้เห็นถึงความแตกต่างของศิลปะที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละแห่ง ซึ่งนอกจากจะมีเป็นเครื่องถ้วย เครื่องใช้ต่างๆ แล้ว ก็ยังมีเครื่องประดับตามสถาปัตยกรรมต่างๆ รวมถึงท่อน้ำดินเผา ที่ถือเป็นส่วนหนึ่งของการชลประทานในสมัยสุโขทัย

    เมื่อเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง จะได้เป็นความงดงามในศิลปะของพระพุทธรูปสมัยต่างๆ ได้แก่ ศิลปะลพบุรี ศิลปะเชียงแสน ศิลปะสุโขทัย ศิลปะอู่ทอง ศิลปะอยุธยา และศิลปะรัตนโกสินทร์ ที่หากว่าใครไม่รู้ถึงความแตกต่างของพระพุทธรูปในสมัยต่างๆ ก็ยังมีตารางเปรียบเทียบให้ได้อ่านเพิ่มความรู้กันอีกด้วย

    เดินชมพระพุทธรูปที่บนชั้นสองของพิพิธภัณฑ์นี้ “ตะลอนเที่ยว” รู้สึกว่าจิตใจสงบขึ้น แถมยังได้เห็นศิลปะที่งดงามของคนไทย ที่สืบทอดต่อๆ กันมาเป็นเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนชาติอื่นใดในโลก


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เครื่องปั้นดินเผาโบราณ ขุดค้นพบในบริเวณเมืองศรีสัชนาลัย</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>พูดถึงแหล่งผลิตของเครื่องสังคโลก หลายคนอาจจะรู้จักกับ “เตาทุเรียง” ว่าเป็นเตาสำหรับผลิตเครื่องสังคโลกในยุคกรุงสุโขทัย แต่อาจจะยังไม่เคยเห็นหน้าตา หรือไม่รู้ข้อมูลอื่นๆ ซึ่งก็มาศึกษาเพิ่มเติมกันได้ที่ ศูนย์ศึกษาและอนุรักษ์เตาสังคโลก โดยที่นี่จะให้ความรู้ตั้งแต่การสร้างเตาทุเรียง กรรมวิธีการเผาเครื่องสังคโลก มีแบบจำลองเตาทุเรียงทั้ง 3 ยุค ไปจนถึงแหล่งเตาที่เรียงที่มีการขุดค้นพบในพื้นที่

    แหล่งเตาทุเรียงใน จ.สุโขทัย ที่มีการขุดค้นพบนั้นมีอยู่สามบริเวณ คือ เตาทุเรียงบริเวณเมืองเก่าสุโขทัย อยู่ในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย ใกล้กับวัดพระพายหลวง เป็นเนินดินที่เรียกกันว่า เนินร่อนทอง บริเวณที่สองคือ เตาทุเรียงบ้านป่ายาง อยู่ในบริเวณอุทยานประวัติศาสตร์ศรีสัชนาลัย บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำยม เหนือแก่งหลวง และบริเวณสุดท้ายคือ เตาทุเรียงเกาน้อย ซึ่งอยู่ห่างจากเตาป่ายางออกไป 5 กิโลเมตร และเป็นบริเวณที่ตั้งของศูนย์ศึกษาฯ แห่งนี้


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เตาทุเรียงที่ยังคงหลงเหลือให้เห็น</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>เรียนรู้เรื่องเครื่องสังคโลกและเตาทุเรียงแล้ว ก็เดินเข้าไปชมเตาทุเรียงที่มีการขุดค้นพบจริงที่ด้านในศูนย์ศึกษาฯ ที่ยังได้เห็นรูปร่างลักษณะของเตาทุเรียง และยังหลงเหลือร่องรอยของเครื่องสังคโลกที่ยังอยู่ภายในเตา เตาทุเรียงที่ค้นพบนี้อยู่ใต้ชั้นดินลงไปลึก เนื่องจากการทับถมของชั้นดินตามระยะเวลาที่ผ่านไป

    หลังจากชมเครื่องสังคโลกในสมัยก่อน และดูร่องรอยของเตาทุเรียงแล้ว ก็ลองแวะมาชมเครื่องสังคโลกในยุคใหม่กันที่ร้าน เซรามิคโมทนา ที่เปิดให้เรียนรู้ถึงกรรมวิธีการผลิตแบบยุคปัจจุบัน เอกลักษณ์ของที่นี่จะอยู่ที่การผสมผสานวิธีการทำเครื่องสังคโลกแบบสุโขทัยดั้งเดิม กับการปรุงแต่งรูปทรงให้ทันสมัยในแนวญี่ปุ่น ซึ่งหากว่าสนใจก็สามารถซื้อกลับไปฝากเพื่อนฝูงกันได้


    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>การทำเครื่องสังคโลกยุคใหม่</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>มาเที่ยวกันในทริปนี้ นอกจากจะได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีกมากมาย ก็ยังได้เห็นความสามารถของบรรพบุรุษของเราที่สร้างสรรค์เครื่องปั้นดินเผาและเครื่องสังคโลกที่มีความสวยงาม และยังส่งต่อภูมิปัญญานี้มาให้ลูกหลานในปัจจุบัน ที่นำมาพัฒนาต่อยอดจนกลายเป็นสินค้าขึ้นชื่ออีกด้วย

    * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *

    ผู้ที่สนใจสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สำนักงานสุโขทัย โทร. 0-5561-6228-9

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>


    -http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000074228-






    .

    http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000074228

    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <TABLE class=tborder id=post4799326 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR vAlign=top><TD class=alt1 id=td_post_4799326 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid">อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ sithiphong [​IMG]
    สำหรับพระวังหน้า(อยุธยา) และ พระวังหน้า(รัตนโกสินทร์) จำนวน 546 องค์ ที่ผมและคณะ จะมอบให้กับทหารผู้ปฎิบัติหน้าที่เสี่ยงภัยทางภาคใต้ ผมได้นำกลับมาแล้วหลังจากที่นำไปให้ร้านใส่กรอบสเตนเลสให้ หลังจากนี้ ผมและคณะจะดำเนินการเจาะรูที่กรอบ(พลาสติก) ,ใส่ห่วงและแหนบให้เรียบร้อย กำหนด(ในใจ)ว่า จะดำเนินการให้เสร็จก่อนวันเสาร์ที่ 2 กรกฎาคม 2554 (วันทอดผ้าป่าสามัคคีศรีชัยผาผึ้ง) เพื่อผมและคณะจะได้นำไปถวายพระอาจารย์นิล (ผมจะขอความเมตตาจากพระอาจารย์นิล ลงไปแจกทหารผู้ปฎิบัติหน้าที่เสี่ยงภัยทาง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้) ให้เรียบร้อย

    เมื่อวานนี้ ผมคุยกับพี่สิทธิพร ในเรื่องของการเจาะรู ผมคงฝากไปประมาณ 446 องค์ครับ ส่วนอีก 100 องค์ ตั้งใจว่า จะร่วมทำกันกับคุณ Pinkcivil จะได้ทำกับมือของตนเอง

    สำหรับพระพิมพ์(กรุวังหน้าอยุธยา) มีจำนวน 339 องค์ (มีทั้งหมด 3 พิมพ์) ส่วนพระพิมพ์(กรุวังหน้ารัตนโกสินทร์) มีจำนวน 207 องค์

    ขอกราบขอบพระคุณคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร , องค์ผู้อธิษฐานจิตทุกๆพระองค์ , พี่ใหญ่ ที่ได้มีเมตตาในงานบุญนี้

    ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่าน ที่มีส่วนในงานบุญนี้ครับ

    ส่วนท่านเจ้าภาพ ผมเตรียมมอบชุดพระกรุวังหน้าอยุธยาไว้ให้ท่านแล้ว น่าจะไม่น้อยกว่า 5 พิมพ์ (ส่วน 3 พิมพ์ ผมเตรียมไว้ให้ท่าน พิมพ์ละ 3 องค์)

    สำหรับท่านผู้ร่วมทำบุญ ผมก็ได้เตรียมมอบพระกรุวังหน้าอยุธยา จำนวน 3 องค์(3 พิมพ์)

    โมทนาบุญทุกประการ
    .
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    <!-- google_ad_section_end -->
    </TD></TR><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"></TD></TR></TBODY></TABLE>


    ผมคงต้องรบกวน คุณหนิง

    คงต้องให้ไปทั้งหมดครับ

    ผมจะได้ใช้เวลาไปเขียนแผ่นทองเหลือง (สำหรับการบรรจุพระวังหน้าและพระวังหลวง ลงกล่องสเตนเลส(ขนาดใหญ่) เพราะว่า จะได้นำไปมอบให้กับพี่เปี๊ยก , คุณณฑนน และพี่สิทธิพร เพื่อบรรจุตามพระเจดีย์หรือฐานชุกชีในสถานที่ต่างๆครับ

    ผมต้องเขียนแผ่นทองเหลือง น่าจะไม่น้อยกว่า 70 แผ่นครับ

    ขอบคุณ คุณหนิง และ ลูกน้องคุณหนิงด้วยครับ


    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    โอวาทของท่านธมมวิตก ท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต วัดเทพศิรินทราวาส

    เห็นเสือหมอบ อย่าเชื่อ ว่าเสือไหว้

    เผลอเมื่อไหร่ เสือกิน สิ้นทั้งขน

    เป็นคนต้อง เกรงเยงยำ น้ำใจคน

    เขาถ่อมตน อย่าเหมา ว่าเขากลัว

    เขาไม่สู้ อย่าเหมา ว่าเขาแพ้

    คชสีห์แท้ หรือจะสู้ หมูชั่ว

    วางตนสม คมประจักษ์ ในฝักตัว

    ชาติชนชั่ว ลบหลู่ อย่าสู้มัน

    เมื่อน้ำไหว ไหลเชี่ยว เป็นเกลียวกล้า

    เอานาวา ขวางไว้ ภัยมหันต์

    เรื่องของคน ปนยุ่ง นังนุงครัน

    ต้องปล่อยมัน เป็นไป ใจสบาย

    อวดฉลาด พูดออก บอกว่าโง่

    ฟังเขาโอ้ อวดอ้าง อย่าขวางเขา

    ขัดคอเขา เขาโกรธ พิโรธเรา

    เป็นเรื่องเร่า ร้อนใจ ไม่เป็นการ

    ใครมีปาก อยากพูด ก็พูดไป

    เรื่องอะไร ก็ช่าง อย่าฟังขาน

    เราอย่าต่อ ก่อก้าว ให้ร้าวราว

    ความรำคาญ ก็จะหาย สบายใจ



    -http://www.tairomdham.net/index.php/topic,5900.msg23924/topicseen.html#msg23924-


    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    มอบดอกไม้พระราชทานให้หมอมุก(มีภาพชุด)

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    หมอมุกน้ำตาไหลได้รับพระราชทานดอกไม้-สิ่งของเป็นกำลังใจ ด้านเมียพันเอกคู่กรณีขอเลื่อนให้ปากคำ

    จากกรณีเหตุการณ์สะเทือนใจ พ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยา หรือหมอมุก อายุ 34 ปี แพทย์ประจำคลินิกผู้สูงอายุ รพ.พระมงกุฎเกล้า บุตรสาว พญ.พรรณกร อิ่มวิทยา อดีตอาจารย์หมอ รพ.ศิริราช ถูกชายนิรนามตั้งใจขับรถเก๋งนิสสัน ซันนี่ นีโอ สีทอง ทะเบียน วค 1355 กรุงเทพฯ ซึ่งถูกระบุว่าเป็นของกรมยุทธบริการทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย พุ่งชนอย่างจังจนทำให้กลายเป็นเจ้าหญิงนินทรา ต่อมาพ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น ผอ.กองกลาง สำนักงานปลัดบัญชีทหาร บก.กองทัพไทย เข้ามอบตัวพร้อมกับอ้างว่า เป็นคนขับรถเก๋งคันดังกล่าว แต่หมอมุกกระโดดขึ้นมาชนรถเอง หลังมีปากเสียงกันเรื่องที่จอดรถ ตามที่เสนอข่าวไปนั้น

    เกี่ยวกับเรื่องนี้เมื่อวันที่ 22 มิ.ย. พล.ต.ต.อำนวย นิ่มมะโน รองผบช.น. กล่าวว่า ขณะนี้ ยังไม่ปักใจเชื่อคำให้การของ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นจะเรียกภรรยาและบุตร ของ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ที่เจ้าตัวอ้างว่าอยู่ด้วยกันขณะเกิดเหตุ มาสอบสวนเพิ่มเติมด้วย ส่วนการดำเนินคดีกับ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์เบื้องต้นตำรวจจะแจ้งข้อหาพยายามฆ่า แม้ว่าเจ้าตัวจะอ้างว่าเป็นการขับรถเคลื่อนออกไปโดยประมาทก็ตาม อีกทั้งเราดูที่เจตนาเป็นหลัก เพราะจากภาพวงจรปิดและพยานในที่เกิดเหตุแล้ว เชื่อได้ว่าคนขับมีเจตนาอย่างแน่นอน

    ส่วนกรณีที่พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์กล่าวอ้างว่าหม้อน้ำรั่วนั้น รอง ผบช.น.ระบุว่า ตำรวจยังไม่ปักใจเชื่อแต่อย่างใด ต้องนำรถมาตรวจสอบ ว่ารถเป็นเช่นนั้นหรือไม่ เท่าที่ทราบรถคันดังกล่าวยังคงอยู่ในสัญญาเช่า ถ้าหม้อน้ำรั่วจริงสามารถส่งรถซ่อมได้ทันที นอกจากนี้ทางเจ้าหน้าที่ยังต้องตรวจสอบในส่วนของการชำระเงินค่าอาหาร เพราะทางพ.อ.ศักดิ์สิทธิ์อ้างว่าชำระเงินด้วยบัตรเครดิต ดังนั้นทางเจ้าหน้าที่ต้องนำหลักฐานมาตรวจสอบ เพื่อนำไปประกอบกับกล้องวงจรปิด ว่าเวลาที่ใช้บัตรเครดิตตรงกันหรือไม่

    ด้าน พ.ต.ท.โชติ สุวรรณจุณีย์ รอง ผกก. (สส.)สน.พญาไท เปิดเผยว่าจากการสอบปากคำ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ถือว่า เป็นประโยชน์ต่อรูปคดีพอสมควร และในวันนี้ทางพนักงานสอบสวน ได้ประสานไปที่สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ เพื่อเข้าไปดำเนินการตรวจสอบรถเก๋งโตโยต้า คัมรี่ สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน ษต 0405 กรุงเทพของหมอมุกที่บ้านพัก เพื่อไปเก็บหลักฐานเพิ่มเติม ในหลาย ๆ ประเด็นที่คาดว่า จะมีผลทางคดีมาประกอบกับคำให้การของ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ แต่ทั้งนี้ยังไม่สามารถระบุในหลายละเอียดลงลึกมากไปกว่านี้ เนื่องจากอาจจะทำให้เสียรูปคดีได้

    รอง ผกก.สส.สน.พญาไทระบุต่อว่า ก่อนหน้านี้ทางตำรวจได้นัดนางสภาวัน ภู่กลั่น ภรรยากับลูกของ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์มาให้ปากคำตามที่ พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์กล่าวอ้างว่าอยู่ในที่เกิดเหตุ และลูกสาวเป็นคนเขียนบนกระจกรถหมอมุก โดยทางเรานัดไว้ตอน 10.00 น. แต่ทางนางสภาวันขอเลื่อนเป็น 14.00 น. พอใกล้ถึงเวลาโทรมาขอเลื่อนเป็น 16.00 น. โดยอ้างว่าต้องเข้าไปให้ปากคำกับกองทัพบก สุดท้ายโทรมาขอเลื่อนอีกครั้ง บอกจะมาให้ปากคำตำรวจในเวลา 10.00 น. วันที่ 23 มิ.ย.

    ต่อมาเวลา 11.00 น. พ.ต.อ.ณฐพล สามเสน ผกก.กลุ่มงานตรวจสอบทางเคมี ฟิสิกส์ กองพิสูจน์หลักฐานกลาง พร้อมด้วย ร.ต.ท.สุดประเสริฐ หลัดกอง พงส.(สบ 1) สน.พญาไท พร้อมเจ้าหน้าที่ พฐ. เดินทางมาที่เสาวรสคลินิกเวชกรรม ถนนเศรษฐศิริ แขวงสามเสนใน เขตพญาไท คลินิกของหมอมุก พร้อมกับนำเสื้อผ้าของหมอมุกที่ใส่ในวันเกิดเหตุ เป็นเสื้อยืดสีดำและกางเกงยืดสีดำมาเก็บหลักฐานอย่างละเอียด พร้อมกับตรวจรถเก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า คัมรี่ สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน ษต4056 กรุงเทพมหานครของหมอมุก เพื่อหาร่องรอยการเฉี่ยวชนรอบคัน และลายมือที่บริเวณกระจกด้านซ้าย

    นอกจากนั้นกองพิสูจน์หลักฐาน ยังได้จำลองวันเกิดเหตุโดยนำรถมาจอดในสภาพเดียวกับที่รถของพอ.ศักดิ์สิทธิ์จอดขวางอยู่ และมีการบันทึกภาพ วัดระยะด้วยตลับเมตร โดยเริ่มตั้งแต่รถของพ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ มาจอดรถถ่ายภาพท้ายรถหมอมุก ซึ่งห่างจากจุดที่ชน 10.2 เมตร และจากจุดที่ชนจนกระทั่งหมอมุกกระเด็นไปหน้าบริษัทนิวยอร์คดีไซน์เนอร์ ซึ่งมีระยะทางห่างถึง 30.7 เมตร โดยกองพิสูจน์หลักฐานได้บันทึกค่าที่ได้ เพื่อไปทำกราฟฟิกที่เกิดเหตุ เพื่อคำนวนความเร็วของรถที่พุ่งเข้าชนหมอมุก ก่อนนำไปตรวจพิสูจน์ในกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และนำไปประกอบสำนวนการสอบสวนต่อไป

    ขณะเดียวกันที่สน.พญาไท ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มีโทรศัพท์จากประชาชนชาวบ้าน โทรศัพท์เข้ามาสอบถามความคืบหน้าของคดีหมอมุกเป็นจำนวนมาก มีทั้งโทรมาให้กำลังใจหมอ และมีทั้งโทรมาสอบถามต่อว่า พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ บางรายถึงขนาดจะเดินทางมาดูหน้า พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ด้วยตาตัวเอง บางรายขอให้ตำรวจทำคดีอย่างตรงไปตรงมา ไม่เกรงกลัวอิทธิพลของใคร เพื่อทำให้เป็นคดีตัวอย่าง สมกับคำว่า “บริการดุจญาติ พิทักษ์ราษฎร์ดุจครอบครัว”
    ต่อมาเวลา 15.45 น. วันเดียวกันที่ รพ.พระมงกุฎเกล้า สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ โปรดเกล้าฯให้ท่านผู้หญิงฉัตรแก้ว นันทาภิวัฒน์ นางสนองพระโอษฐ์ฯ เป็นผู้แทนพระองค์ อันเชิญแจกันดอกไม้พระราชทาน พร้อมกระเช้าเครื่องใช้ พระราชทานให้ พ.ต.พญ.หทัยพร อิ่มวิทยา หรือหมอมุก โดยมี พญ.พรรณกร อิ่มวิทยา มารดาเป็นผู้รับมอบแทน จากนั้นท่านผู้หญิงฉัตรแก้ว ได้เข้าเยี่ยมและสอบถามอาการจากแพทย์เจ้าของไข้หมอมุก ประมาณ 20 นาที ก่อนเดินทางกลับ
    พญ.พรรณกร เปิดเผยว่า ท่านผู้หญิงฉัตรแก้วได้สอบถามอาการของหมอมุกพร้อมให้กำลังใจก่อนเดินทางกลับ ซึ่งหลังจากตนได้รับมอบแจกันดอกไม้และของใช้พระราชทานแล้ว ได้นำผ้าห่มขนหนูที่ได้รับพระราชทาน มาห่มให้ลูกและบอกลูกว่าสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนารถ พระราชทานของมาให้นะ ตนมั่นใจว่าลูกรับรู้เพราะเห็นลูกน้ำตาไหลทันที ส่วนอาการหมอมุกนั้นขณะนี้ดีขึ้นมากแล้ว ครั้งแรกคิดจะอ่านหนังสือธรรมให้ฟัง แต่แพทย์เจ้าของไข้แนะนำว่า เนื้อหาอาจจะหนักไป ควรหานิทานเด็กที่มีประโยคสั้น ๆ เนื้อเรื่องเข้าใจง่ายมาอ่านให้ลูกฟัง และคอยพูดคุยกับลูกตลอดเวลา หรือบางครั้งเปิดเพลงพระราชนิพนธ์ให้ลูกฟัง.




    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryID=38&contentID=146784-


    Daily News Online > หน้าสังคม > มอบดอกไม้พระราชทานให้หมอมุก(มีภาพชุด)

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table class="tborder" border="0" cellpadding="6" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td class="thead">ขณะนี้มีคนกำลังดูกระทู้นี้อยู่ : 13 คน ( เป็นสมาชิก 2 คน และ บุคคลทั่วไป 11 คน ) </td> <td class="thead" width="14%"> [ แนะนำเรื่องเด่น ] </td> </tr> <tr> <td class="alt1" colspan="2" width="100%"> sithiphong, ปฐม+</td></tr></tbody></table>
    สวัสดีครับท่านน้องปฐม

    เมื่อกี้เห็นเรื่องของการนำเสนอบทความ ซึ่งไม่ทราบว่า ผู้นำลงบอร์ด มีการขออนุญาตกับท่านเจ้าของหนังสือหรือเปล่า

    ปากบอกว่า เคารพ
    แต่กริยา การกระทำ กลับตรงข้าม ทั้งเหน็บแนม ทั้งว่าทางอ้อม

    ไม่เจริญแน่

    ขนาดครูบาอาจารย์พี่ ยังสั่งให้ปล่อยเลย

    คิดว่าเก่ง แต่ยังนำของปลอมมาลงบอกเป็นของแท้อีก
    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...