พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญญาณวรเถระ )

    http://72.14.235.104/search?q=cache:...h&ct=clnk&cd=7


    [​IMG]

    สมเด็จพระพุทธโฆษจารย์ นามเดิม เจริญ สุขบท เกิดในรัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2415 ที่จังหวัดชลบุรี เป็นบุตรนาย ทองสุก และนางย่าง

    เมื่ออายุ 8 ปี ได้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณชลโธปมคุณมุณี (พุฒ ปุณณกเร) ปฐมวัยอาวาสวัดเขาบางทราย เมื่ออายุ 12 ปีได้บรรพชาที่วัดเขาบางทราย

    และเข้าศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดราชบพิธอุปสมบทเมื่อวันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2435 ที่วัดเขาบางทราย จังหวัดชลบุรี พ.ศ.2439 ได้ศึกษาพระวินัยปิฎกในสำนัก สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ที่วัดเทพศิรินทราวาส

    "ตาบุญ (พระยาธรรมปรีชา) ผู้เป็นอาจารย์สอนบาลีของ
    เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มอบช้างเผือกส่งเข้ามาให้ "


    สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยา วชิรญาณวโรรส ออกพระโอษฐ์รับสั่งเมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร) สอบไล่ภาษาบาลี ในมหามงกุฎราชวิทยาลัยได้ที่ 1ทุกชั้นเป็นลำดับมา

    พ.ศ.2441 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระราชาคณะที่พระอัมราภิลักขิต เป็นผู้อำนวยการศึกษามณฑลปราจีนบุรี ต่อมาได้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสได้เลื่อนสมณศักดิ์เรื่อยมา พ.ศ.2471 โปรดให้สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์

    พ.ศ.2476กรรมการเถรสมาคมมีมติให้ท่าน เป็นประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระสังฆราชเจ้าซึ่งสิ้นพระชนม์ ประมวลเกียรติคุณพิเศษสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร)เป็นพระเถระบริหารงานพระศาสนาถึง 5 แผ่นดิน คือแต่รัชกาลที่ 5-9 เป็นพระราชาคณะแต่อายุ 28 ปี เป็นสมเด็จพระราชาคณะแต่อายุ 57 ปี นับเป็นพระเถระที่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พรรษาน้อยกว่า พระเถระหลายรูปเป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส แต่อายุ 28 ปี ถึง 80 ปีรวม 53 ปี นับว่ายาวนานที่สุดไม่มีใครเทียบได้
    เมื่อสอบนักธรรม หรือบาลีจะสอบได้ที่ 1 ทุกชั้นทุกประโยคเป็นรูปเดียวในสังฆมณฑล ดำรงตำแหน่งแม่กองธรรมสนามหลวง แม่กองบาลีสนามหลวง องค์เดียวกัน

    ในวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2494เวลา 10.30 น. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเระ)มรณภาพด้วยโรคเนื้องอกที่ตับรวมอายุได้ 80 ปี พรรษาที่ 59

    ความคิดเห็นส่วนตัวผม

    ท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ท่านบอก กับผู้ที่ไปกราบท่านว่า ขอให้ทุกๆวันได้ไหว้ 5 ครั้ง จะได้เป็นศิริมงคลกับตนเอง จะเหมือนกับชื่อของท่าน (เจริญ) ครับ ท่านเจ้าคุณนรเอง ก็มีความเคารพในท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ)มาก โดยท่านเจ้าคุณนรเอง เวลาเดินผ่านกุฎิของท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ)ทุกครั้ง ท่านเจ้าคุณนร ก็จะก้มลงกราบที่กุฎิอยู่ทุกครั้งครับ


    วันที่ 14 สิงหาคม 2550
    ขอเพิ่มเติมเรื่องราว ไหว้ 5 ครั้ง
    http://www.saktalingchan.com/index.p...icle&Id=262016

    [​IMG]



    เจ้าพระคุณสมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถร

    เจ้าพระคุณสมเด็จ พระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรเถร
    วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร

    1. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้เป็นเจ้าอาวาสพระอารามหลวงนี้ เมื่อพระคุณท่านมีอายุเพียง 27 ปี มีพรรษา 7 ยั่งยืนตลอดมาเป็นเวลาช้านานถึง 53 ปีฯ

    2. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯได้รับพระราชทานสมณศักดิ์สถาปนาเป็นสมเด็จพระราชาคณะ นั้นมีอายุเพียง 56 ปี เท่านั้น ฯ

    3. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นผู้ริเริ่มจัดตั้งธรรมเนียมการเทศนาธรรมในวันอาทิตย์ขึ้นเป็นแห่งแรก เริ่มเมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2471 ติดต่อกันมาถึงปัจจุบันนี้ นับเป็นเวลา 45 ปี ล่วงแล้ว ฯ

    4. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระองค์สมเด็จพระ สังฆราชเจ้า กรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ แลบัญชาการคณะสงฆ์โดยตรงสืบต่อมาเป็นเวลา 5 ปี ( ตั้งแต่ พ.ศ. 2476 ถึง พ.ศ. 2481 ) ฯ

    5. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ได้ถวายพระธรรมเทศนามงคลวิเสสกถาติดต่อกันถึง 4 รัชกาล คือตั้งแต่รัชกาลที่ 6-7-8-9 เป็นเวลาถึง 25 ปี ฯ

    6. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ มีสัทธิวิหาริก-อันเตวาสิก มากที่สุดถึง 6,666 องค์ ฯ

    7. เจ้าประคุณสมเด็จ ฯ เป็นต้นกำเนิดตำราไหว้ 5 ครั้งให้ศิษยานุศิษย์ปฏิบัติตาม หากผู้ใดไหว้ครบ 1 ปี เป็นกำหนด ผู้นั้นจักได้รับรูปที่ระลึกจากองค์ท่านด้านหน้าเป็นรูปองค์ท่าน ด้านหลังเป็นรูปยันต์ภควัม จากกรึกนามองค์ท่านเป็นอักษรย่อ โดยลำดับแห่งราชทินนามนั้น ๆ กระทั่งครั้งสุดท้ายได้จารึก 3 อักษรว่า พ.ฆ.อ. ซึ่งย่อจากราชทินนามว่า พุทธโฆษาจารย์ สมเด็จพระราชาคณะ ฯ

    8. สัทธิวิหาริกของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่มีอายุยืนยาวที่สุด คือ ท่านเจ้าคุณพระโศภณศีลคุณ ( หลวงปู่หลุย พาหิยเถร ) ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกองค์ที่ 23 ปัจจุบันอายุ 92 ปี พรรษา 67 ( เกิด 9 สิงหาคม 2426 ) ยังเดินลงโบสถ์ลงสวดมนต์ทำวัตรได้เป็นประจำทุก ๆ วัน เป็นพระเถราจารย์องค์สำคัญ ซึ่งเป็นที่เคารพนับถือยิ่งของท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ฯ

    9. สัทธิวิหาริกของเจ้าประคุณสมเด็จ ฯ ที่ประพฤติปฏิบัติยอดเยี่ยม และเป็นพระเถระองค์สำคัญที่มีเกียรติคุณโด่งดังในปัจจุบัน คือ ท่านเจ้าคุณนรรัตน์ ฯ ธมมฺวิตกฺโก ซึ่งเป็นสัทธิวิหาริกองค์ที่ 1740 ฯ

    ปัจฉิมโอวาท
    ของ

    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรมหาเถระ
    วัดเทพศิรินทราวาส

    ไม่ตายควาวนี้ ก็ตายคราวหน้า อย่างเศร้าโศก เสียทีที่ศึกษาปฏิบัติมา ร้องให้เศร้าโศก ก็ร้องไห้เสร้าโศกสังขารที่
    เกิดแก่เจ็บตายนั้นเอง ที่ไม่ร้องไห้เศร้าโศกนั้นมิใช่จะเป็นคนใจไม้ใส้ระกำอะไร

    ธรรมของพระก็คือ
    สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
    สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา
    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา
    ย่นลงก็ สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา
    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา แล้วปรินิพพาน
    ไม่ต้องเกิดมาแก่ มาเจ็บ มาตายอีก

    (มีบัญชาให้บันทึกไว้เมื่อเช้าวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๙๔)




    .
     
  2. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    นวดฤาษีดัดตนวัดโพธิ์ดังกระหึ่มโลก

    วันพุธ ที่ 15 มิถุนายน 2554 เวลา 22:25 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    ฮือฮาท่านวดในแผ่นจารึกวัดโพธิ์ดังกระหึ่มไปทั่วโลก “ยูเนสโก” ประกาศขึ้นทะเบียนบัญชีนานาชาติ
    เมื่อวันที่ 15 มิ.ย. คุณหญิงแม้นมาส ชวลิต ประธานคณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลกขององค์การศึกษาวิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเนสโก) เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลก ได้เสนอจารึกวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) ต่อยูเนสโก เพื่อพิจารณาขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกในระดับนานาชาตินั้น ขณะนี้ได้รับรายงานจาก ม.ร.ว.รุจยา อาภากร กรรมการในคณะกรรมการว่าด้วยแผนงานมรดกความทรงจำของไทย ว่า ยูเนสโกได้ประกาศรับรองจารึกวัดโพธิ์เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกในทะเบียนนานาชาติ (International Register) แล้ว ในการประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษานานาชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลกของยูเนสโก ครั้งที่ 10 เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา ณ เมืองแมนเชสเตอร์ สหราชอาณาจักร
    คุณหญิงแม้นมาส กล่าวต่อว่า วัดโพธิ์เคยได้รับขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำของโลกของภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก (Regional Register) เมื่อปี 2551 หลังจากนั้นคณะกรรมการแห่งชาติฯ ได้ดำเนินการสำรวจจัดทำทะเบียนและถ่ายภาพแผ่นจารึกวัดโพธิ์ จำนวน 1,440 ชิ้น และจัดทำแผนอนุรักษ์ตามแนวทางของยูเนสโก ซึ่งคณะกรรมการแห่งชาติฯ เห็นว่าควรเสนอจารึกวัดโพธิ์ให้ขึ้นบัญชีนานาชาติด้วย ตนและคณะกรรมการฯ จึงได้เสนอให้ยูเนสโกพิจารณาเมื่อเดือน ม.ค. 2554 ในที่สุดที่ประชุมคณะกรรมการที่ปรึกษานานาชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลกของยูเนสโก ครั้งที่ 10 ที่เมืองแมนเชสเตอร์ มีมติเอกฉันท์ให้จารึกวัดโพธิ์ เป็นมรดกความทรงจำแห่งโลกในทะเบียนนานาชาติ ทั้งนี้จารึกวัดโพธิ์ มีเรื่องวิชาความรู้ที่มีลักษณะที่เป็นสากล ไม่ใช่ความรู้เฉพาะในประเทศไทย เช่น เรื่องพระพุทธศาสนา เรื่องวรรณกรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจารึกเรื่องฤๅษีดัดตนเป็นสากลมาก
    “วงการแพทย์หลายประเทศขณะนี้กำลังมองย้อนไปว่าความรู้ที่บรรพบุรุษให้ไว้น่าจะมีประโยชน์มาจนถึงปัจจุบัน ก็อาจจะนำกลับมาใช้โดยที่นำมาปรับปรุงบางสิ่งบางอย่าง และตำราฤๅษีตนมีมาตั้งแต่ก่อนตอนต้นกรุงรัตนโกสินทร์ โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก โปรดเกล้าให้รวบรวมความรู้ที่มีตั้งแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยานำมาจารึกไว้เพราะเกรงว่าจะสูญหาย” คุณหญิงแม้นมาส กล่าว
    คุณหญิงแม้นมาส กล่าวอีกว่า สำหรับประชุมจารึกวัดโพธิ์ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำแห่งโลก มีจำนวนทั้งสิ้น 1,440 ชิ้น อาทิ หมวดประวัติศาสตร์ ได้แก่ จารึกรัชกาลที่ 1 เรื่องสร้างวัดพระเชตุพนฯ และเรื่องพระธาตุนครน่าน รายการปฎิสังขรณ์วัดพระเชตุพนฯถอดจากโครงดั้น รายการแบ่งด้านปฏิสังขรณ์ถอดจากโครง หมวดพระพุทธศาสนา ได้แก่ จารึกเรื่อง พระสาวกเอกทัคคะ จารึกเรื่องอุบาสกเอกทัคคะ จารึกเรื่องอุบาสิกาเอกทัคคะ จารึกเรื่องอศุภ 10 และญาณ 10 จารึกเรื่องฎีกาพาหุง จารึกเรื่องพระพุทธบาท จารึกเรื่องธุดงค์ 13 จารึกเรื่องชาดก ตอนนิทานกถา จารึกเรื่องมหาวงศ์ จารึกเรื่องนิรยกถา จารึกเรื่องเปรตก หมวดวรรณคดี อาทิ จารึกเรื่องนารายณ์ 10 ปาง และเรื่องเบื้องต้นรามเกียรติ์ จารึกเรื่องสิบสองเหลี่ยม หมวดทำเนียบ ได้แก่ ทำเนียบสมณศักดิ์ ทำเนียบหัวเมืองขึ้นกรุงสยาม และหมวดประเพณี ได้แก่ จารึกเรื่องเมืองมอญกวนข้าวทิพย์ จารึกเรื่องมหาสงกรานต์ จารึกริ้วกระบวนแห่กฐินพยุหยาตราทางสถลมารค อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการแห่งชาติว่าด้วยแผนงานความทรงจำแห่งโลกจะแถลงข่าวเรื่องนี้วันที่ 16 มิ.ย.นี้ เวลา 14.00 น. ณ ศาลาธรรมปัญญาบดี ที่วัดโพธิ์





    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     
  3. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ประโยชน์ของใบเตยที่คุณอาจไม่รู้

    วันพฤหัสบดี ที่ 16 มิถุนายน 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    ใบเตยถือเป็นเครื่องเทศไทยชนิดหนึ่ง คุณสมบัติที่ทุกคนทราบกันดีคือใช้เป็นสีเขียวผสมอาหาร แต่ยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีกที่คุณอาจไม่รู้

    นอกจากใบเตยจะใช้เป็นสีผสมอาหาร สีเขียว สำหรับผสมขนมไทยต่าง ๆ ตามที่ทุกท่านทราบกันอยู่แล้ว แต่นั่นไม่ใช่ประโยชน์เพียงอย่างเดียวของเจ้าพืชชนิดนี้ เพราะใบเตยมีคุณสมบัติพิเศษหลายอย่าง ดังนี้

    ประการแรก คุณสมบัติที่เป็นที่ทราบกันอย่างดี คือ ใช้เป็นสีผสมอาหาร โดยใช้ใบเตยสดโขลกให้ละเอียด คั้นน้ำแล้วกรองใส่ในขนมต่าง ๆ ขนมจะมีสีเขียว เช่น ขนมชั้น ขนมลอดช่อง เป็นต้น

    ใช้ใบเตยทุบพอแตก ใส่ก้นลังถึง สำหรับนึ่งขนมทุกชนิด จะทำให้ขนมที่สุกแล้วมีกลิ่นหอมชวนรับประทาน

    สำหรับไว้ลองก้นหวด (ภาชนะสานชนิดหนึ่งสำหรับนึ่งข้าวเหนียว) แล้วใส่ข้าวเหนียวนึ่ง เมื่อสุกแล้วข้าวเหนียวจะมีกลิ่นหอมน่ารับประทาน

    ใช้ใบเตยสดใส่ลงในน้ำมันที่ใช้แล้ว ตั้งไฟให้ร้อนจึงตักใบเตยขึ้น กลิ่นไปเตยจะไปดับกลิ่นหืนของน้ำมัน ทำให้น้ำมันมีกลิ่นเหมือนน้ำมันใหม่.





    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     
  4. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    สมองดีด้วย 5 วิธีง่าย ๆ

    วันพฤหัสบดี ที่ 16 มิถุนายน 2554 เวลา 0:00 น


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    เมื่อ “สมอง” ล้า ย่อมต้องการออกกำลังกายเหมือนกัน “เดลินิวส์แคมปัส” มีวิธีล็อกความแข็งแรง เติมประสิทธิภาพการทำงานของสมองมาฝาก ทำไม่ยาก!!

    ใช้หน่วยความจำให้บ่อย
    เริ่มจากจำเส้นทาง เบอร์โทรศัพท์ของเพื่อน ๆ หรือญาติ แทนการเปิดหาจากสมุด รวมถึงเรียนรู้คำศัพท์ภาษาต่างประเทศทุกสัปดาห์ จากนั้น ลองท่องในสิ่งที่จำนั้นออกมา เท่านี้ก็สามารถประเมินศักยภาพสมองได้ในเบื้องต้น

    สนทนา และหมั่นคิดวิเคราะห์
    เนื่องจากการพูดคุย และร่วมแสดงความเห็นในประเด็นต่าง ๆ จะกระตุ้นกระบวนการคิด นอกจากนั้น การอ่านหนังสือพิมพ์ติดตามข่าวสาร หรือดูรายการที่ให้ความรู้แล้ววิเคราะห์ตาม ก็จัดเป็นอาหารดีสำหรับสมองเช่นกัน

    ลับสมองด้วยงานอดิเรก และปริศนาปัญหา
    อย่างในวันว่างกับงานศิลปะ เช่น วาดภาพ วาดการ์ตูน ออกแบบเสื้อผ้า นอกจากกระตุ้นการฝึกคิดแล้ว ยังช่วยพัฒนาอารมณ์ด้วย รวมถึงปัญหาต่าง ๆ ระหว่างวัน เพียงคิดบวก พยายามแก้ไขหาทางออก ก็ถือเป็นความท้าทายของสมองรูปแบบหนึ่ง ดังนั้น ไม่ต้องกลัวปัญหา

    ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
    นักวิทยาศาสตร์การแพทย์ในต่างประเทศพบว่า การออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นให้สารเอ็นดอร์ฟินในสมองถูกปล่อย ทำให้สดชื่น ลดเครียด พร้อมเริ่มต้นเก็บข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    พักผ่อนให้พอเหมาะ โดยไม่นอนน้อย หรือมากจนเกินไป นอกจากนี้ การทำสมาธิ ยังเปรียบเหมือนยาชูกำลัง และยารักษาโรคที่ดีสำหรับจิตใจด้วย ทั้งยังส่งผลต่อสมองพร้อมเปิดรับสิ่งใหม่

    ทันทีที่วัยเรียนเริ่มต้นพัฒนาสมอง นอกจากจะส่งผลดีต่อทักษะการคิดแล้ว น้อง ๆ จะสังเกตถึงความเชื่อมั่นที่พร้อมเกิดขึ้นตลอดเวลา เพียงเติมพลังสม่ำเสมอ โดยเริ่มง่าย ๆ ด้วยวิธีข้างต้นนั่นเอง.

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
     
  5. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ข้าวเหนียวดำ

    [​IMG]
    หลังจากได้ข้าวเหนียวดำที่ต้องการมา ด้วยราคาตกกิโลกรัมละ 69-70 บาท ลูกชายถึงเอ่ยปากถามว่าถ้าเป็นชาวนาเราปลูกข้าวขายต้องรวยแน่ๆเลย ผู้เขียนคงไม่เห็นด้วยทั้งหมด เพราะคนปลูกข้าวหรือชาวนาอีกมากที่โดนเอารัดเอาเปรียบจากความยากลำบาก ไหนจะต้องอดทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศที่พวกเขากกำหนดเองไม่ได้แล้ว ในการที่จะเพาะปลุกข้าวให้ได้ผลผลิตอย่างที่ใจต้องการ ผู้เขียนบอกว่าถ้าจะมีไร่นาแบบชาวนาไทย ที่เราอิจฉาเขาอยู่นั้น มันคงเป็นแค่ภาพลวงตา เพราะเบื้องหลังของชาวนา คือดอกเบี้ยที่บานเร็วยิ่งกว่าข้าว ไหนจะอีกชาวนาหลายๆคนต้องเช่าทำนาบนที่นาของตัวเองจากนายทุนเงินกู้ทั้งหลาย ที่นั่งบนหลังคนแทนหลังควายรวยเอาๆ เราเองก้แค่ประชาชนคนเดินถนน ที่ต้องอดทนและหาเงินมาซื้อข้าวกินไม่ต่างกับชาวนาเลย ต่างที่เราไม่ต้องเหนื่อยตากแดดตากฝน ทนลมทนแล้งจากการทำนาก็เท่านั้น

    เอนทรี่ก่อนได้เอาวิธีการนึ่งข้าวเหนียวเขี้ยวงู เอนทรี่นี้จะขอพูดถึงเรื่องข้าวเหนียวดำ ที่มีวิธีการนึ่งให้สุกนานกว่าข้าวเหนียวขาว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากหากจะนำเทคนิคในการเอาข้าวขาวผสมกับข้าวดำ ในสัดส่วนที่เราต้องการได้ตามความชอบ จะให้สัดส่วนของข้าวขาวมากกว่าหรือน้อยกว่า อาจจะสัดส่วนเท่ากันก็ได้คะ

    นอกจากข้าวเหนียวดำมีสีสันน่ารับประทานแล้ว ประโยชน์ที่มีมากกว่าข้าวเหนียวขาวแล้ว ยังจัดเป็นพืชที่มีสรรพคุณทางยา ใช้เป็นยาสมุนไพรรักษาโรคได้ดีอีกด้วย (จะนำความรู้เชิงวิชาการมาประกอบคะ)

    ครั้งนี้ได้ข้าวเหนียวดำเชียงรายมา ราคากิโลกรัมละ 69บาท นำมาผสมกับข้าวเหนียวขาวอีก 2 กิโลกรัม สำหรับจะนึ่งรับประทาน เพื่อให้ได้ประโยชน์มากขึ้น หลังจากที่ได้อ่านสรรพคุณของข้าวเหนียวดำแล้ว ไม่รอช้า หันมาบริโภคข้าวเหนียวดำ โดยเลือกซื้อมาผสมกับข้าวเหนียวเขี้ยวงูด้วยเพื่อให้นึ่งและสุกเร็วขึ้นด้วยคะ

    นอกจากนั้นยังนำมาทำขนมหวาน พร้อมเก็บภาพนำสูตรแบบทำเองง่ายๆมาให้อีกด้วย จะว่าไปแล้วจากการทำข้าวนึ่งครั้งนี้ให้รู้เทคนิคในการผสมข้าวได้มากขึ้น โดยเฉพาะข้าวเหนียวดำเวลาแช่น้ำ สีของน้ำแช่ข้าวจะกลืนข้าวขาวจนเป็นสีม่วงเข้ม เวลานึ่งหรือทำขนมหวานก้ออกมาเป็นสีดำคล้าอย่างในภาพคะ แต่มันดูเป็นสีม่วงมากกว่าสีดำ แต่ชื่อของมันคือ ข้าวเหนียวดำที่ยากจะเปลี่ยนชื่อได้เอง เพราะถูกเรียกมานานตามลักษณะของเม็ดข้าวนั่นเอง


    วิธีการนึ่งข้าวเหนียวด้วยไมโครเวฟ

    [​IMG]

    ข้าวเหนียวดำผสมขาวเหนียวเขี้ยวงูแช่น้ำ 4-5 ชั่วโมง ล้างน้ำก่อนใส่ภาชนะสำหรับนึ่ง แล้วเติมน้ำลงไปพอชุ่มข้าว นำเข้าไมโครเวฟ 5 นาที นำออกมาพลิกด้านเอาเข้าไมโครเวฟอีก 5นาที (อย่าลืมปิดฝานะคะ
    เพื่อให้ไอน้ำได้ทำให้ข้าวด้านบนไม่แห้งหรือไหม้ เมื่อครบ 5นาที นำออกมา เติมน้ำลงไปพอชุ่ม คนให้ข้าวได้ทั่วน้ำ นำเข้าไมโครเวฟอีก 7นาที นำออกมาพรมน้ำเล้กน้อยเข้าไมโครเวฟอีก 3 นาที นำออกมาคนข้าวให้ด้านล่างที่แฮฉะน้ำขึ้นมาด้านบน ปิดฝาไว้ ประมาณ 5- 10นาทีพร้อมรับประทานแล้วคะ


    [​IMG]

    ข้าวเหนียวพร้อมนำไปรับประทาน กับไก่ย่าง ไก่ทอด น้ำจิ้มแจ๋ว หรือ ปลานึ่งน้ำพริกมะเขือแบบอีสานเท่ห์ได้เลย เหนียวนุ่มมากคะ


    สูตรข้าวเหนียวดำสังขยาไข่
    [​IMG]


    เติมน้ำตาล กะทิ เกลือป่น ลงในข้าวที่นึ่งสุกแล้ว




    [​IMG]

    ข้าวเหนียวมูน

    ครั้งนี้ได้แบ่งมาทำข้าวเหนียวดำสังขยาไข่ด้วย โดยมูนข้าวเหนียวกับกะทิและน้ำตาล เติมเกลือเล็กน้อย เพื่อเพิ่มรสชาติ โดยน้ำกะทิกล่องเล็ก ประมาณ ครึ่งกล่อง กับน้ำตาลทรายแดง 2 ช้อนโต๊ะ เติมน้ำเปล่าอีกเล็กน้อย คนให้เข้ากัน นำเข้าไมโครเวฟอีก 3 นาที นำออกมาพักไว้ ระหว่างรอให้ข้าวเย็นตัว ก็จะทำสังขยาไข่ โดยใช้ไข่ไก่ 2 ฟอง น้ำตาล 4-5 ช้อนโต๊ะ เกลือป่นเล็กน้อย ตีไข่จนน้ำตาลละลายเข้ากันดี เติมกะทิกล่องเล็กครึ่งกล่อง นำเข้าไมโครเวฟ 2 นาที
    [​IMG]






    [​IMG]


    พร้อมเสิร์ฟแล้วคะ


    สูตรข้าวเหนียวดำเปียก

    [​IMG]

    ข้าวเหนียวดำ 1/4 ถ้วยตวง
    ข้าวเหนียวเขี้ยวงู 1/4 ถ้วยตวง
    ถั่วดำตามชอบแช่น้ำค้างคืน (ถ้าชอบเผือกหรือมะพร้าวอ่อนก็ได้คะ)
    น้ำตาลทรายแดง 1/2 ถ้วย
    เกลือป่นเล็กน้อย
    น้ำสำหรับต้มข้าวเหนียว


    ล้างข้าวเหนียวก่อนแช่ข้าวเหนียวประมาณ 3 ชั่วโมง ล้างข้าวเหนียวอีกครั้ง ก่อนนำมาต้มพร้อมกับถั่วดำ โดยใส่ลงในภาชนะที่ใช้กับไมโครเวฟ เติมน้ำพอท่วมข้าวนำเข้าไมโครเวฟระดับ high 5 นาที นำออกมาเติมน้ำพอท่วมต้มอีก 5 นาที ถ้าใช้เวลานานข้าวจะฟูออกมา ใช้เวลาในการต้มด้วยวิธีนี้ เมื่อครบเวลาให้นำออกมาเติมน้ำเข้าต้มต่ออีก 3นาที นำออกมาเติมน้ำตาล เกลือป่น เข้าไมโครเวฟอีก 3นาที
    [​IMG]






    ก็ได้เวลาอร่อยกับข้าวเหนียวดำเปียก อย่าลืมราดกะทิด้วยนะคะ

    [​IMG]



    Black glutinous rice (ข้าวเหนียวดำ
    [​IMG]

    ข้าวเหนียวดำ คือข้าวเหนียวที่มีเยื่อหุ้มเมล็ด (pericarp) สีม่วงแดงจนถึงสีดำ รวมทั้งการมีรงควัตถุ (pigment) ที่ปรากฏสีในส่วนต่างๆ ของต้นข้าว ซึ่งเป็นลักษณะประจำพันธุ์ของข้าวชนิดนี้ รงควัตถุที่มีสีส่วนใหญ่พบในส่วนของลำต้น ใบ และเกือบทุกส่วนของช่อดอก (floral part) ยกเว้นในส่วนของ embryo หรือ endosperm ที่ไม่พบการกระจายตัวของรงควัตถุ
    โดยทั่วไปข้าวเหนียวดำที่เกษตรกรปลูกเป็นข้าวพันธุ์พื้นเมือง ที่มีการปลูกเฉพาะพื้นที่มาเป็นเวลานานแล้ว และเกษตรกรจะเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้สำหรับปลูกในฤดูปลูกต่อไปเอง พันธุ์ข้าวเหนียวดำที่เกษตรกรใช้ปลูกเป็นพันธุ์ที่ให้ผลผลิตต่อพื้นที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับข้าวพันธุ์อื่นๆ นอกจากนี้ยังรวมถึงคุณภาพการหุงต้มของข้าวเหนียวดำยังไม่ดีพอ เช่น หลังจากหุงต้มแล้วข้าวแข็งและร่วนจนเกินไป และกลิ่นไม่หอม เป็นต้น ดังนั้นการปรับปรุงพันธุ์ เพื่อเพิ่มผลผลิตและคุณภาพผลผลิตของข้าวเหนียวดำ โดยเฉพาะคุณภาพการหุงต้มจึงมีความจำเป็น การรวบรวมพันธุ์ข้าวเหนียวดำและนำมาปลูกเพื่อประเมินลักษณะทางสัณฐานวิทยาและการให้ผลผลิตของข้าวเหนียวดำพันธุ์พื้นเมืองจึงมีความสำคัญ เพราะข้อมูลจากการศึกษาจะเป็นประโยชน์สำหรับการปรับปรุงพันธุ์ข้าวเหนียวดำต่อไป
    ข้าวเหนียวดำมีสารประกอบที่มีประโยชน์ต่อร่างกายที่สูงกว่าข้าวขาวกล่าวคือ มีสารแกมมา-โอไรซานอล (gamma oryzanol) ซึ่งเป็นสารประกอบที่พบในรำข้าวเหนียวดำปริมาณสูงถึง 2.70% เมื่อเทียบกับรำข้าวขาวซึ่งมีประมาณ 1.12% (Teltathum, 2004) ตามภูมิปัญญาท้องถิ่นเชื่อกันว่าข้าวเหนียวดำเป็นสมุนไพร สารแกมมา-โอไรซานอลในน้ำมันรำข้าวมีคุณสมบัติเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ ที่ดีกว่าวิตามินอี วิตามินซีและเบต้าแคโรทีน (สมวงษ์, 2546) นอกจากนี้ยังพบว่าสามารถลดการดูดซึมคอเรสเตอรอลจากอาหารสู่ร่างกาย ลดการสังเคราะห์คอเรสเตอรอลในตับ ลดปริมาณคอเรสเตอรอลในพลาสมา ( DeJian et al., 2002) ลดอาการผิดปกติในสตรีวัยที่กำลังจะหมดประจำเดือน ( Zu et al., 2001)
    นอกจากนั้นแล้ว ข้าวเหนียวดำยังมีรงควัตถุที่สำคัญคือ แอนโทไซยานิน (anthocyanin) ซึ่งมีคุณสมบัติในการต้านการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน (antioxidant) ช่วยการหมุนเวียนของกระแสโลหิต ชะลอการเสื่อมของเซลล์ร่างกาย โดยเฉพาะแอนโทไซยานินชนิดที่พบในข้าวสีม่วงกลุ่มอินดิก้า (indica type) (ซึ่งก็รวมข้าวเหนียวดำไทย) คือ cyanindin 3-glucoside มีคุณสมบัติในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งปอด ดังนั้นการศึกษาปริมาณสารแกมมา-โอไรซานอล และปริมาณแอนโทไซยานินในเมล็ดข้าวเหนียวดำสายพันธุ์ต่างๆ รวมถึงการถ่ายทอดลักษณะทางพันธุกรรมของสารแกมมา-โอไรซานอลและแอนโทไซยานินจึงเป็นสิ่งที่น่าสนใจ และสามารถใช้เป็นพื้นฐานในการปรับปรุงพันธุ์ข้าวเหนียวดำพันธุ์ต่อไป
    ที่มา manager online
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    แพลงกิ้ง ระบาดหนัก!! พระเล่นด้วย ...ผิดวินัยสงฆ์หรือไม่





    [​IMG]


    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก chinasmack.com , เฟซบุ๊ก แพลงกิ้งแห่งประเทศไทย, เฟซบุ๊ก ป้อง ณวัฒน์, woxmobile.com

    ชาวเน็ตวิจารณ์แซด แพลงกิ้ง ระบาดหนัก พระก็เล่นด้วย ชี้ไม่เหมาะสม-ผิดวินัยสงฆ์หรือไม่?! ล่าสุด กรมศาสนาสั่งตรวจสอบแล้ว ด้าน วธ.เตือนอย่าเล่นในที่เสี่ยง หวั่นเกิดอุบัติเหตุ

    หลังจากกระแสแพลงกิ้งฟีเวอร์ได้เริ่มระบาดในประเทศไทย โดยมีการถ่ายภาพทำท่าแพลงกิ้งโพสต์ลงอินเทอร์เน็ตมากมาย ล่าสุดวันนี้ (16 มิถุนายน) ก็ได้มีการส่งต่อภาพพระสงฆ์รูปหนึ่งเล่นแพลงกิ้งด้วย โดยทำท่าแพลงกิ้งบริเวณราวบันได ลำตัวเหยียดตรง ขาชี้ไปทางประตู ซึ่งได้รับความสนใจจากชาวเน็ตจำนวนมากและแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วใน เว็บไซต์ทวิตเตอร์ โดยส่วนใหญ่แสดงความคิดเห็นไปในทางเดียวกันว่า...นี่เป็นพฤติกรรมที่เหมาะสม หรือไม่ และไม่เห็นด้วย เนื่องจากเป็นกิริยาที่ไม่สำรวม

    โดย นายสด แดงเอียด อธิบดีกรมศาสนา กล่าวถึงกรณีที่พระทำแพลงกิ้งว่า พระสงฆ์ไม่สามารถทำท่าทางที่ไม่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นท่าแพลงกิ้ง หรือท่าใดได้ เพราะถือว่าผิดวินัยของสงฆ์ รวมทั้งภาพที่ทำแพลงกิ้งที่ปรากฏในอินเทอร์เน็ตขณะนี้ด้วย โดยส่วนตัวตนเองยังไม่พบภาพดังกล่าว และได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพระสงฆ์ที่กระทำการดังกล่าวแล้ว

    อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการตรวจสอบไปถึงต้นตอของภาพดังกล่าว และบุคคลในภาพว่า เป็นพระสงฆ์จริงหรือไม่ ซึ่งความคืบหน้าจะรายงานให้ทราบต่อไป


    [​IMG]

    [​IMG]


    ขณะเดียวกัน นางสาวลัดดา ตั้งสุภาชัย ผอ.สำนักเฝ้าระวังทางวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม กล่าวถึงกระแสการเล่นแพลงกิ้งว่า เป็นแฟชั่นใหม่ที่เข้ามาในไทย ซึ่งเป็นนิยมอย่างรวดเร็ว ว่า อยากฝากเตือนไปยังวัยรุ่นที่ชอบเล่นแพลงกิ้ง หาก เล่นในสถานที่ที่ไม่เหมาะสม อาจจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ เพราะส่วนมากวัยรุ่นจะแพลงกิ้งกันในที่แปลก ๆ ไม่ว่าจะเป็นบันไดสะพานลอย หรือขอบรั้ว เป็นต้น ทั้งนี้หากเกิดอุบัติเหตุพลัดตกขึ้นมา อาจจะทำให้เป็นอันตรายต่อสมอง หรือกลายเป็นเจ้าชายนิทราได้ จึงขอให้ผู้เล่นคำนึงถึงความปลอดภัยให้มากที่สุด และหลีกเลี่ยงการเล่นแพลงกิ้งในที่เสี่ยง ๆ

    นางสาวลัดดา ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ขณะนี้มีดาราศิลปินหลายคนต่างสนใจในแฟชั่นแพลงกิ้งด้วย ตนจึงขอเตือนไปยังบรรดาเยาวชน แฟนคลับทั้งหลายด้วยว่า ให้เล่นด้วยความระมัดระวัง อย่าเลียนแบบมากเกินไป เพราะไม่อยากให้เกิดโศกนาฏกรรมอย่างในประเทศออสเตรเลียที่ตกตึกลงมาเสีย ชีวิต

    ทางด้าน นพ.อภิชัย มงคล อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า กระแสแพลงกิ้งที่ระบาดหนักในขณะนี้ ตนเชื่อว่าอีกไม่นานก็จะเลิกฮิตกันไปเอง เพราะเป็นเพียงแฟชั่นชนิดหนึ่งของวัยรุ่นเท่านั้น จึงไม่จำเป็นต้องไปห้ามปรามหรือไม่ให้เล่นแต่อย่างใด แต่ผู้ปกครองดูแลควรบุตรหลานให้อยู่ในสายตา เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตราย

    ขณะที่นักแพลงเกอร์บางราย เผยว่า รู้จักแพลงกิ้ง เพราะเพื่อนแนะนำให้รู้จักทางเว็บไซต์ และที่เล่นแพลงกิ้งนั้นไม่ได้อยากเด่นอยากดัง เพียงแต่ต้องการแข่งขันกับเพื่อนว่า ใครทำได้ดีกว่า เจ๋งกว่ากันเท่านั้นเอง ซึ่งตนก็อยากฝากไปถึงชาวแพลงกิ้งว่า ขอให้เล่นอยู่ในขอบเขต และไม่ทำให้ใครเดือดร้อน



    -http://hilight.kapook.com/view/59663-
    .



    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    แฉกลโกงใหม่! ภัยคอลเซ็นเตอร์ เหยื่อสูญเงินนับล้าน




    [​IMG]



    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

    ยังคงตกเป็นเหยื่ออย่างต่อเนื่อง สำหรับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ทุกวันนี้มีเหยื่อรายหลายออกมาแฉถึงขั้นตอนกระบวนการที่โดนหลอก ให้บรรดาประชาชนรู้เท่าทัน แต่แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็สรรหารูปแบบวิธีการหลอกลวงขึ้นมาใหม่ เพื่อให้เหยื่อตายใจและโอนเงินมาให้ใช้ อย่างสบายมือเลยทีเดียว

    โดยเหยื่อรายล่าสุด ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้ฟังว่า ตนมีเงินสะสมอยู่ในธนาคารอยู่ประมาณกว่าล้านบาท ซึ่งตนจะเก็บไว้ใช้ในบั้นปลายชีวิต แต่ก็ต้องเสียเงินที่มีทั้งหมดให้กับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยแก๊งดังกล่าว โทรมาหาตนทำทีว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารแห่งหนึ่ง แล้วบอกกับตนว่า ตนเป็นหนี้บัตรเครดิตอยู่ 4 หมื่นบาท ก่อนที่จะโอนสายโทรศัพท์ไปมาหลายครั้ง จนครั้งสุดท้าย ถูกโอนสายไปยังชายคนหนึ่งที่อ้างตัวเป็น พันตำรวจโท จากดีเอสไอ ซึ่งชายดังกล่าว บอกกับตนว่า เงินที่อยู่ในบัญชีของตนนั้นเป็นเงินที่ถูกฟอก และมีความผิด ขณะเดียวกัน ก็พยายามหลอกล่อ ถามตนถึงจำนวนเงินในบัญชี ซึ่งตนตกใจเลยบอกจำนวนเงินดังกล่าวไป

    จากนั้นคนร้ายก็ได้หลอกให้ตนไปกดเงิน โดยใช้หน้าจอภาษาอังกฤษ เพื่อให้ตนสับสน และหลอกให้ตนโอนเงินจำนวน 99,999 บาท ถึงสองครั้ง และให้ตนทำลายสลิปต์เงินทันที โดยอ้างว่าเป็นรหัสลับของทางราชการ อีกทั้งยังให้ตนเบิกเงินจากธนาคารจำนวน 1 ล้านบาท และไม่ยอมให้บอกใคร พร้อมทั้งติดตามดูพฤติกรรมของตนผ่านกล้องวงจรปิด เสร็จแล้วก็ให้ตนนำเงินเหล่านั้นโอนเข้าเครื่องรับฝากอัตโนมัติ จำนวน 3 บัญชี โดนโอนครั้งละ 100,000-200,000 บาท จนจำนวนเงินครบล้านบาท ไม่เพียงเท่านั้น คนร้ายยังทราบว่า ตนมีเงินอยู่ในธนาคารอื่นอีกจำนวนหนึ่ง จึงออกอุบายให้ตนไปทำธุรกรรมลักษณะดังกล่าวต่อ แต่หลานสาวของตนทราบเรื่อง จึงสั่งระงับเงินที่เหลืออยู่ได้ ทำให้คนร้ายไหวตัวทัน และหนีไปได้ในที่สุด

    ทางด้าน พล.ต.ต.ปัญญา มาเม่น รองผู้บัญชาการสอบสวนกลาง ได้เปิดเผยข้อมูลในการระดมกวาดล้างแก๊งคอลเซ็นเตอร์พร้อมกัน 7 ประเทศ โดยระบุว่า มีต้องหาทั้งสิ้น 692 คน เป็นชาวไต้หวัน 471 คน, จีน 214 คน, เวียดนาม 1 คน, เขมร 1 คน, เกาหลีใต้ 2 คน และไทย 3 คน ทั้งนี้คนร้ายในประเทศไทย จะอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคาร และบอกว่ามีหนี้บัตรเครดิต เสร็จแล้วจะโอนสายไปยังผู้ที่อ้างตนว่าเป็นตำรวจและบอกว่าเงินของเหยื่อเป็น เงินที่ถูกฟอก ซึ่งเหยื่อที่หลงกลเชื่อ ก็จะโอนเงินให้ทางเอทีเอ็ม โดยอ้างว่าเป็นบัญชีกลางของทางราชการ

    ล่าสุด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ก็มีกลยุทธใหม่ ๆ เพราะกลยุทธ์แบบเดิมเริ่มใช้ไม่ได้ผล โดย วิธีใหม่นั้น เป็นการเรียกค่าไถ่ ซึ่งคนร้ายจะโทรศัพท์เข้าบ้านในช่วงเวลากลางวัน เพื่อให้ผู้สูงอายุที่บ้านรับสาย แล้วอ้างว่า ลูกหลานและญาติ ถูกจับไปเป็นตัวประกัน เพราะไปค้ำประกันให้คนอื่น จากนั้นก็ทำเสียงเหมือนว่ามีการทำร้ายร่างกาย ทำให้เหยื่อเกิดความกลัว ต้องโอนเงินให้คนร้ายในที่สุด

    อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าแก๊งคอลเซ็นเตอร์จะมาในรูปแบบไหน อยากให้ประชาชนระมัดระวัง และไม่ให้หลงเชื่อโอนเงินให้ผู้อื่นง่าย ๆ อีกทั้ง อย่าให้เลขบัตรประจำตัวประชาชน หรือข้อมูลส่วนตัวกับโทรศัพท์ที่ไม่น่าไว้วางใจเด็ดขาด



    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก ครอบครัวข่าว 3

    -http://www.krobkruakao.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/39570/%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%8A%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%8B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B9%82%E0%B8%81%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%9A%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88.html-

    [​IMG] [​IMG]


    .

    -http://hilight.kapook.com/view/59847-

    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    แนะใส่ใจ 4 ข้อการใช้ยา เพื่อคนไทยสุขภาพดี

    สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาลฯ แนะคนไทยหันมาใส่ใจวิธีการใช้ยาอย่างถูกต้อง เพื่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลของยา โดยเฉพาะยาพื้นฐาน อาทิ ยาหม่อง ยาแก้ไอ และยาคุมกำเนิด เป็นต้น ซึ่งมักจะใช้บ่อยๆ แต่กลับใช้แบบผิดๆ ด้วยเหตุนี้ สมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) จึงอยากรณรงค์ให้คนไทยใช้ยาอย่างถูกต้องและเหมาะสมเพื่อสุขภาพที่ดี

    ภญ.รศ.ดร. บุษบา จินดาวิจักษณ์ อุปนายกสมาคมเภสัชกรรมโรงพยาบาล (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า โดยปกติคนไทยเป็นคนที่มีนิสัยง่ายสบายๆ อยู่แล้ว เมื่อจำเป็นต้องใช้ยาสามัญประจำบ้านที่คุ้นเคย จึงอาศัยความเคยชิน ความคุ้นเคยในการใช้ยามากกว่าการอ่านฉลาก อีกทั้งนิสัยคนไทยยังเชื่อฟังผู้หลักผู้ใหญ่ เพื่อนหรือผู้มีประสบการณ์ จึงใช้ยาตามคำบอกเล่าของบุคคลต่างๆ โดยมักไม่อ่านฉลากยาเช่นกัน... โดย 4 ข้อหลักๆ ที่เป็นความเข้าใจผิดยอดฮิตเกี่ยวกับการใช้ยาที่มักพบบ่อย มีดังนี้

    1.ทายาหม่องทันทีเมื่อฟกช้ำ : เป็นเรื่องเคยชินเมื่อเกิดหกล้ม กระทบกระแทกจนได้แผลบวมฟกช้ำดำเขียว และปวด คนส่วนใหญ่จะหยิบยาหม่องขึ้นมาถูนวดบรรเทาอาการทันที แต่แท้จริงแล้วเมื่อร่างกายได้รับแรงกระแทก เส้นเลือดฝอยบริเวณผิวหนังจะขาดทำให้มีเลือดคั่งเกิดขึ้น ก่อให้เกิดอาการบวมและปวด ซึ่งหากทายาหม่องทันทีจะทำให้บวมมากขึ้น เพราะเมื่อขี้ผึ้งเสียดสีกับร่างกายโดยการถูนวด จะทำให้เกิดความร้อนและส่งผลให้เส้นเลือดฝอยขยายตัว เลือดจึงยิ่งมาคั่งบริเวณนั้นมากขึ้น ทำให้บวมยิ่งขึ้นอีกด้วย การรักษาที่ถูกต้องควรใช้ผ้าเย็นประคบ เพื่อทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัว แล้วอาการบวมจะยุบลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งความเย็นยังช่วยบรรเทาความเจ็บปวดลงด้วย หลังจากนั้นจึงทายาหม่องที่มีตัวยาระงับอาการเจ็บปวด ลดอักเสบ

    2.ยาแก้ ไอกินคนเดียวจิบจากขวดสะดวกดี : ไม่ควรจิบยาแก้ไอจากขวดโดยตรง เพราะเชื้อโรคจากปากและคอจะลงไปปนในขวดยาได้ นอกจากนี้ขนาดยาที่ได้รับในแต่ละครั้งจะไม่เท่ากัน เพราะจะจิบเล็กจิบใหญ่ไม่เท่ากัน โดยเฉพาะผู้ป่วยบางรายจะจิบยาแก้ไอทุกครั้งเมื่อไอ อาจทำให้ได้รับยาเกินขนาด แม้อาจไม่เป็นอันตรายร้ายแรงนัก แต่หากเป็นยาแก้ไอที่มีตัวยาโคดีอีนเป็นส่วนผสม หรือยาแก้ไอน้ำดำ หากจิบอึกใหญ่เกินไปหรือถี่เกินไป อาจจะได้ปริมาณยามากเกินไปจนอาจกดการหายใจได้ นอกจากนี้ยาแก้ไอที่มีตัวยาโคดีอีนหรือยาแก้ไอน้ำดำ ยังมีอาการข้างเคียงส่งผลให้ง่วงนอนและมึนงงได้ จึงต้องหลีกเลี่ยงการทำงานกับเครื่องจักร จักรเย็บผ้า ขับรถ การใช้ยาที่ถูกต้องควรใช้ช้อนมาตรฐานตวงยารับประทานทุกครั้ง และมีช่วงห่าง 4-6 ชั่วโมงให้แน่นอน (1 ช้อนชา เท่ากับ 5 ซีซี, 3 ช้อนชา เท่ากับ 1 ช้อนโต๊ะ)

    3.ลืมกินยามื้อหนึ่งรวบยอดไปมื้อถัดไป : เป็นเรื่องที่ไม่ควรทำอย่างยิ่ง การกินยาแบบรวบยอดไปมื้อถัดไป อาจส่งผลให้ได้รับยาเกินขนาด โดยเฉพาะในกลุ่มที่กินยาปฏิชีวนะหรือผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน เป็นต้น เพราะหากระดับยาในเลือดสูงๆ ต่ำๆ จะทำให้ผลการรักษาไม่ดีเท่าที่ควร การใช้ยาที่ถูกต้อง หากลืมกินยามื้อหนึ่งควรกินทันทีเมื่อนึกได้ แต่ไม่ควรรวบเป็น 2 เท่าในมื้อถัดไป และควรกินยาอย่างสม่ำเสมอทุกวันตามเวลาที่กำหนดเพื่อผลการรักษาที่ดีที่สุด

    อีก ปัญหาที่พบบ่อยคือ ผู้ป่วยลดหรือเพิ่มขนาดยาเองตามความรู้สึก ไม่ว่าจะเป็น อยากหายไวๆ รู้สึกอาการดีขึ้นแล้ว คิดว่ากินยาแล้วไม่ได้ผล เป็นต้น ในกรณีนี้ผู้ป่วยควรรู้ว่าที่อาการผู้ป่วยดีขึ้นนั้น เป็นผลมาจากขนาดยาที่แพทย์สั่งให้นั้นเหมาะสมแล้ว การใช้ยาที่ถูกต้อง ควรกินยาตามขนาดที่แพทย์สั่งเท่านั้น อ่านฉลากทุกครั้งก่อนกินยา เพราะแพทย์อาจมีการปรับขนาดยาจากที่เคยได้รับ

    4.ลืมกินยาคุมกำเนิดบาง วันคงไม่เป็นไร : ในกรณีนี้หากลืมกินยาคุมกำเนิดให้รีบกินทันทีที่นึกได้แต่ไม่ควรเกิน 12 ชั่วโมงนับจากเวลาที่กินปกติ เพราะอาจทำให้การคุมกำเนิดไม่ได้ผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าลืมกินในช่วง 7-10 เม็ดแรก ควรหยุดยาและเปลี่ยนวิธีคุมกำเนิดเป็นการใช้ถุงยางอนามัย หลังจากหยุดยาแผงนั้นและมีเลือดประจำเดือนออกแล้ว ก็เริ่มยาแผงใหม่ได้ แต่หากลืมกินในเม็ดที่ 15 ของแผงไปแล้วอาจไม่ส่งผลต่อการคุมกำเนิด แต่อาจมีผลข้างเคียงทำให้เลือดออกกะปริดกะปรอยได้ การใช้ยาที่ถูกต้อง ควรกินยาอย่างสม่ำเสมอทุกวันและตรงเวลา เพื่อให้ระดับยาในเลือดสม่ำเสมอ ลดโอกาสที่จะมีเลือดออกและการคุมกำเนิดจึงจะได้ผลเต็มที่

    อุปนายกสมาคม เภสัชกรรมฯ กล่าวในตอนท้ายว่า การใช้ยามีเคล็ดลับง่ายๆ เพียงใช้ตามที่ฉลากเขียนไว้ ใช้ตรงเวลา ไม่ขาดยา หากไม่เข้าใจหรือมีข้อสงสัยให้ปรึกษาเภสัชกร เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุดของการใช้ยา เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของคุณเอง.


    .

    -http://thaipost.net/x-cite/140611/40124-


    .

    แนะใส่ใจ 4 ข้อการใช้ยา เพื่อคนไทยสุขภาพดี | ไทยโพสต์

    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  10. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    สวัสดีครับ เช้าวันศุกร์
     
  11. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    ปวดท้องอั้นฉี่ กินอะไรดีแก้ได้

    วันศุกร์ ที่ 17 มิถุนายน 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    ไหนจะรถจอดติดอยู่บนถนน งานรัดตัวเร่งด่วนเสียจนไม่สามารถไปเข้าห้องน้ำทำธุระเบาเมื่อรู้สึกปวดปัสสาวะ เหตุการณ์ทำนองนี้หากเกิดขึ้นบ่อยๆ จนต้องอั้นฉี่เป็นประจำ พาลพาให้เป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ร้อยทั้งร้อยยังต้องทรมานกับอาการปวดท้องจากโรคนี้ด้วย

    ‘มุมสุขภาพ-กินดี’ วันนี้มีสูตรเครื่องดื่มจากน้ำผักและผลไม้ มาช่วยบรรเทาอาการปวดท้องดังกล่าว ด้วยคุณประโยชน์จาก ‘แครนเบอร์รี่’ ที่มีวิตามินซี กรดไฟโตเคมิคอลเอลลาจิก และฟลาโวนอยด์กับเควอเซติน แก้การอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ ดีต่อระบบขับปัสสาวะ ที่สำคัญน้ำตาลแมนโนสที่อยู่ในแครนเบอร์รี่ มีสรรพคุณทำลายเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    นอกจากนี้ยังมี ‘แตงโม’ ที่ช่วยชะล้างของเสียที่ไตและกระเพาะปัสสาวะ ดีต่อผู้ป่วยโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ แถมยังลดโอกาสเสี่ยงเป็นนิ่วในไต สุดท้าย ‘แตงกวา’ มีโพแทสเซียม แคลเซียม กำมะถัน กรดโฟลิก และคลอรีน จะช่วยขับปัสสาวะและลดอาการบวมน้ำ

    ส่วนผสมเตรียมตามสัดส่วนต่อไปนี้
    • แครนเบอร์รี่ 2 ถ้วย
    • แตงโม 1 ถ้วย
    • แตงกวา 1 ถ้วย
    ขั้นตอนในการทำ เมื่อล้างผักและผลไม้แล้ว หั่นแตงโมเป็นชิ้นขนาดพอประมาณโดยไม่ต้องเอาเมล็ดออก ส่วนแตงกวาไม่ต้องปอกเปลือกออก และให้หั่นเป็นแว่นๆ จากนั้นนำไปสกัดพร้อมกับแครนเบอร์รี่ด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วควรดื่มทันที.

    ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
     
  12. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>สาวน้อยมหัศจรรย์! เป็นอัมพาต ใช้ปากเขียนนิยายจนได้รับสัญญาซื้อลิขสิทธิ์</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>16 มิถุนายน 2554 13:53 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>หวัง เชียนจิน วัน 18 ปี สมองเป็นอัมพาต กำลังใช้ริมฝีปากพิมพ์ตัวอักษร สาวน้อยหวังสามารถเขียนนิยายจนเว็บไซต์นวนิยายระดับมาตรฐานรายหนึ่งเสนอสัญญาขอซื้อลิขสิทธิ์ (ภาพซินหวาเน็ต) </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เอเจนซี-เด็กสาวเป็นอัมพาต ไม่สามารถเคลื่อนไหวแขนขาได้ เธอพากเพียรเรียนรู้การใช้ริมฝีปากพิมพ์ตัวอักษร จนสามารถเขียนนิยาย กลายเป็นนักเขียนออนไลน์ที่มีผู้เสนอสัญญาซื้อขายลิขสิทธิ์งานเขียน เธอผู้น่าทึ่งผู้นี้คือ หวัง เชียนจิน วัย 18 ปี เป็นชาวเมืองเจิ้นเจียง มณฑลเจียงซู

    ครอบครัวหวัง เชียนจินอาศัยในตึกอพาร์ทเมนท์เก่าๆ แม้เธอพูดได้ แต่ก็เพียงออกเสียง “ตูตู รังรัง” และสามารถทรงตัวนั่งอยู่บนรถเข็นเท่านั้น การใช้ริมฝีปากเคาะตัวอักษรแต่ละตัวออกมาก็ต้องใช้เวลา 3-4 วินาที

    นิยายของเธอ ที่มีชื่อเรื่องว่า ไจว้กงจู่เตอป้าเต้าไท่จื่อเย่ 《拽公主的霸道太子爷》กำลังได้รับการดาวน์โหลดอย่างต่อเนื่อง นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวความรักระหว่างเจ้าหญิงจอมหยิ่งและเจ้าชายเจ้าอารมณ์เอาแต่ใจตัว มีลีลาการเขียนแบบเด็กๆ ใช้ภาษาง่ายๆสบายๆ แต่งบทสนทนาได้อย่างงดงาม นิยายเรื่องนี้แต่งไปได้ 82 บท สองแสนตัวอักษร* (ซึ่งอาจพิมพ์เป็นหนังสือเล่มขนาดราวสองร้อยหน้า) มีจำนวนคลิกที่เข้ามาอ่าน 340,000 ครั้ง

    “หนูเขียนนิยายเรื่องนี้เมื่อเดือนม.ค.ปีที่แล้ว วันหนึ่งหนูเขียนได้ 2,000 กว่าตัวอักษร” หวัง เชียนจิน ตอบคำถามของผู้สื่อข่าวด้วยการพิมพ์

    ผู้สื่อข่าวสัมภาษณ์หวัง ท่ามกลางเสียงเพลงดังจากคอมพิวเตอร์ของเธอ หวังบอกว่าเธอชอบฟังเพลงไปเขียนนิยายไป “ถ้าไม่มีดนตรี หนูจะเขียนอะไรไม่ออก และเพลงที่หนูเปิดฟัง จะมีท่วงทำนองที่สอดคล้องกับเรื่องราวในนิยาย”

    ...พ่อแม่เพิ่งรู้ในปีนี้

    “ตอนที่ลูกหวังเกิดมา หน้าตาเธอสวยน่ารักมาก สมองเธอได้รับการกระทบกระเทือนเพราะอุบัติเหตุในการรักษาพยาบาล ทำให้เป็นอัมพาตไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองในการทำกิจวัตรประจำวัน ไม่ได้เข้าโรงเรียน ไม่เคยได้เรียนรู้พื้นฐานการศึกษาใดทั้งสิ้น” พ่อของหวังบอกกับผู้สื่อข่าว

    ในเดือนเม.ย.มานี้ จู่ๆลูกสาวก็พูดขึ้นมาว่ามีเว็บไซต์รายหนึ่งต้องการทำสัญญากับเธอ บอกว่ามีคนต้องการจ่ายเงิน 4,000 หยวน ซื้อนิยายของเธอ “ทีแรก พวกเราคิดว่าเธอพูดเล่น หรือไม่ก็มีคนมาหลอก” พ่อของหวังเล่า

    ในที่สุดก็ให้เพื่อนมาลองเช็คดู และทุกคนก็ตกตะลึง เมื่อพบเว็บไซต์ที่ต้องการทำสัญญากับหวัง เชียนจิน เป็นเว็บไซต์นวนิยายระดับมาตรฐานรายหนึ่ง ทุกคนได้เห็นกับตาบนเว็บไซต์ ปรากฏหนังสือสัญญาขอซื้อลิขสิทธิ์งานเขียน โดยเขียนข้อความสัญญาทุกอย่างเรียบร้อย รอเพียงให้ผู้เขียนเซ็นชื่อเท่านั้น

    ต่อมา ทุกคนจึงรู้ว่ามีนักศึกษาในปักกิ่งคนหนึ่งได้อ่านนิยายของหวัง เชียนจิน และรู้สึกทึ่งนับถือในความสามารถของเธอมาก จึงเสนอให้เว็บไซต์ดังกล่าวทำสัญญาซื้อลิขสิทธิ์นิยายของเธอ ในที่สุดเมื่อต้นปีนี้หวัง เชียนจินก็ได้กลายเป็น 'นักเขียนมือสัญญา' กับเว็บไซต์ พ่อของหวัง เชียนจินเพิ่งได้รู้ว่าลูกสาวของตนไม่เพียง ‘สามารถเขียนตัวหนังสือได้’เท่านั้น แถมมีความสามารถพิเศษในการเขียนนิยายถึงขนาดมีคนมาขอทำสัญญาซื้อลิขสิทธิ์

    นอกจากนี้ หวัง เชียนจินยังรู้ภาษาเกาหลีและภาษาญี่ปุ่น เธอได้เขียนนิยายโพสต์ลงในเว็บไซต์ของไป่ตู้ โดยนิยายเรื่องนี้เธอได้อ้างอิงเนื้อเรื่องจากการ์ตูนญี่ปุ่นและเขียนขึ้นใหม่ ชื่อว่า “จื่อซื่อต้าคงเตอหลัน”《只是大空的岚》ขณะนี้เธอได้เขียนนิยายเรื่องนี้ไปถึงตอนที่ 4 แล้ว

    ...จากการเรียนรู้ตัวหนังสือถึงการเขียนนิยาย ‘เป็นไปตามธรรมชาติ’

    ไม่มีใครสอน ไม่เคยเข้าห้องเรียนแม้แต่วันเดียว แล้วเธอรู้หนังสือได้มากถึงขนาดนี้อย่างไร

    “เรียนเองค่ะ หนูไม่ใช่คนมีพรสวรรค์ เพียงแต่สนใจเรียนรู้มันเท่านั้นเอง” หวัง เชียนจินพิมพ์ตอบคำถามผู้สื่อข่าว

    “ตอนเด็กๆ พี่ชายของหนูชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์ หนูก็นั่งอยู่ข้างๆดูพี่เล่นเกม เมื่อเขาไปพัก หนูก็เคาะคอมพิวเตอร์เล่น ตอนแรกก็เล่นเกม ต่อมาก็ติดนิยายที่เสนอเป็นตอนๆ ตอนเด็กหนูดูโทรทัศน์ เวลานักแสดงพูดก็จะมีตัวหนังสือบรรยาย หนูเทียบคำพูดของพวกเขากับตัวหนังสือ รวมทั้งละครซีรีย์เกาหลีและซีรีย์ญี่ปุ่น”

    หวัง เชียนจินบอกว่าเธอมีประสาทสัมผัสไวเป็นพิเศษกับตัวหนังสือ เมื่อมีคนพูดอะไรออกมาครั้งเดียวเธอก็จดจำได้หมดในทันที เธอย้ำว่าเธอรู้ภาษาญี่ปุ่นและภาษาเกาหลีเพียงแค่ภาษาพูด คำทั่วไปที่ใช้ในชีวิตประจำวัน เธอฟังรู้เรื่อง แต่ไม่รู้การเขียนตัวหนังสือ “เพราะว่าละครซีรีย์ในโทรทัศน์ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นดั้งเดิมมีแค่เสียงพูดสนทนา ส่วนคำบรรยายเป็นภาษาจีน”

    “หนูเริ่มดูละครบนอินเทอร์เน็ต และดูชอบเรื่องแปลกลึบลับมาก ต่อมาก็คุยกับเพื่อนชาวเน็ต จากนั้นก็ค่อยๆเขียนความคิดที่จะเขียนนิยายออกมา” สาวน้อยหวังบอกว่านับจาการเรียนรู้ตัวหนังสือจนถึงการเขียนนิยายเป็นสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติธรรมดาๆ “มีสำนวนว่า ‘เพียงมีความมานะอย่างแท้จริง ก้อนเหล็กก็อาจฝนเป็นเข็มได้’ แต่หนูคิดว่าการเขียนนิยาย ไม่ใช่เรื่องยากขนาดนั้น เพียงได้เขียนออกมา อ่านรู้เรื่องก็ใช้ได้แล้ว”

    ...ความฝันนิยายจะได้รับการตีพิมพ์

    สาวน้อยหวัง เชียนจิน เริ่มเขียนนิยายเมื่อปี 2551 ตอนนั้นเธอทุ่มเทแรงใจอย่างสุดฤทธิ์ในการแต่งนิยาย 100,000 ตัวอักษร แต่โชคร้ายปีต่อมาเครื่องคอมพิวเตอร์ของเธอเสีย พลังที่เธอทุ่มเทไปกลายเป็นเรื่องเสียแรงเปล่า เธอเสียใจมาก ในปี 2552 ตลอดทั้งปี เธอไม่เขียนอะไรเลย

    หลังจากแน่นิ่งทำตัวเหมือนกบจำศีลหนึ่งปีเต็ม ในปี 2553 หวัง เชียนจินก็เกิดประกายความหวังขึ้นมาใหม่ เธอเริ่มเขียนนิยายออนไลน์ ไจว้กงจู่เตอป้าเต้าไท่จื่อเย่ ”หนูคิดทบทวนอยู่หนึ่งปี ในที่สุดก็ตัดสินลุกขึ้นมาเขียนอีกครั้ง แม้หนูเป็นอัมพาต แต่ก็พิการแค่ทางร่างกายเท่านั้น หนูยังคิดว่าตัวเองมีความสามารถมากกว่าคนอีกหลายคนด้วยซ้ำ” หวัง เชียนจินเล่า และในที่สุดเธอก็พบเส้นทางของตัวเอง นั่นก็คือ ‘การเขียนหนังสือ’ “ด้วยการเขียนหนังสือนี่เอง และการที่หนูสามารถเลี้ยงตัวเองได้ ในด้านหนึ่งเป็นการตอบแทนพระคุณพ่อแม่ อีกด้านหนึ่งก็เป็นการสร้างพื้นฐานให้แก่ตัวเองกล้าแข็งขึ้นในอนาคต”

    หลังจากที่หวัง เชียนจิน ได้กลายมาเป็นนักเขียนมือสัญญา แต่เธอไม่ยอมรับข้อเสนอสัญญาซื้อลิขสิทธิ์ 4,000 หยวน เหตุผลคือ “นี่ไม่ใช่ราคาของมัน” เธอต้องการให้นิยายของเธอ 'ได้ขึ้นหิ้ง' หากมีจำนวนผู้เข้ามาอ่านนิยายมากพอ ก็อาจได้รับการตีพิมพ์เป็นหนังสือ “ตอนนี้ ก็ห่างจากหิ้งหนังสือไม่ไกลแล้ว หนูเชื่อมั่นว่าจะต้องสำเร็จ” หวัง เชียนจิน บอกอย่างเปี่ยมด้วยความเชื่อมั่น.

    *จีนระบุขนาดความยาวของงานเขียนเป็นตัวอักษร โดย 1,500 ตัวอักษร เทียมเท่ากับเนื้อหาหนึ่งหน้ากระดาษเอ4 โดยประมาณ
    ที่มา Manager Online

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  13. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    รู้ทันโรคมะเร็ง -มือถือกับมะเร็งสมอง

    <SCRIPT src="http://platform.twitter.com/widgets.js" type=text/javascript></SCRIPT>
    <!-- facebook button -->
    <!-- addthis button -->

    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js#username=xa-4b6806b250a1123b" type=text/javascript></SCRIPT>

    [​IMG]



    [​IMG]



    <SCRIPT type=text/javascript>var id='100595';function addCommas(nStr){ nStr += ''; x = nStr.split('.'); x1 = x[0]; x2 = x.length > 1 ? '.' + x[1] : ''; var rgx = /(\d+)(\d{***)/; while (rgx.test(x1)) { x1 = x1.replace(rgx, '$1' + ',' + '$2'); } return x1 + x2;}function count(){$.ajax({ type: "POST", url: "http://www.komchadluek.net/counter_news.php", data: "newsid="+id, success: function(txt){ var counter_=parseInt(txt); $('#counters').html('คนอ่าน '+addCommas(counter_)+' คน'); } });} featuredcontentslider.init({ id: "slider1", contentsource: ["inline", ""], toc: "markup", nextprev: ["Previous", "Next"], revealtype: "click", enablefade: [true, 0.1], autorotate: [true, 8000], onChange: function(previndex, curindex){ }})</SCRIPT>คมชัดลึก :คงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันโทรศัพท์มือถือเป็นปัจจัยที่ห้า หรือปัจจัยที่หกของชีวิตทั้งของคนเมืองและคนชนบทไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ นับตั้งแต่มีโทรศัพท์มือถืออุบัติขึ้นมาบนโลกใบนี้ก็มีข่าวเรื่องผลเสียต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอกาสเกิดเนื้องอกในสมองออกมาเป็นระยะ
    <SCRIPT type=text/javascript>google_ad_channel = '9989085094'; //slot numbergoogle_ad_type = 'text'; //media image, text, html, flash google_max_num_ads = '3'; //amount Ads//google_image_size = '300X250';//google_skip = '3';var ads_ID = 'adsense_inside'; // set ID for main Element divvar displayBorderTop = false; // default = false;//var displayLandScape = true; // false=Default, true=landscape *** if set Landscape not arrow ad type imagevar position_ad_detail ='in'; // ''=Default, in=Intext, under=TextUnderDetail</SCRIPT><SCRIPT src="http://www.komchadluek.net/AdsenseJS.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/show_ads.js" type=text/javascript></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/js/r20110608/r20110616/show_ads_impl.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://googleads.g.doubleclick.net/pagead/test_domain.js"></SCRIPT><SCRIPT src="http://pagead2.googlesyndication.com/pagead/render_ads.js"></SCRIPT><SCRIPT>google_protectAndRun("render_ads.js::google_render_ad", google_handleError, google_render_ad);</SCRIPT>

    หลายคนคงเคยได้ยินสัญญาณคลื่นโทรศัพท์มือถือดังออกมาจากลำโพงคอมพิวเตอร์หรือวิทยุโทรทัศน์เวลาวางมือถือไว้ใกล้ๆ แถวนั้นแล้วกำลังเริ่มมีสัญญาณเรียกเข้า ทำให้รับรู้ได้ว่าคลื่นโทรศัพท์มือถือมีความแรงเอาเรื่องทีเดียว แต่มีน้อยคนที่จะสนใจเรื่องนี้เพราะไม่ค่อยเห็นมีใครใช้หูฟังทั้งแบบมีสายและแบบบลูทูธสักเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ที่ใช้ก็เพราะขี้เกียจถือหรือบ้างก็เพื่อความเท่ห์มีไฟสีฟ้าๆ กะพริบแถวใบหู จะมีสักกี่คนบ้างที่ใช้หูฟังเพราะเกรงกลัวเรื่องที่จะเป็นเนื้องอกในสมอง
    ที่ผ่านมา มีการประชุมขององค์การวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้องค์การอนามัยโลกที่เมืองลีออง ประเทศฝรั่งเศส นักวิทยาศาสตร์จาก 14 ประเทศทั่วโลกประชุมได้ข้อสรุปใหม่ว่า เครื่องมืออุปกรณ์ต่างๆ ที่ปล่อยคลื่นวิทยุหรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ามีความเป็นไปได้ที่อาจจะทำให้เกิดมะเร็งหรือเนื้องอกในคน เป็นข่าวฮือฮากันไปทั่วโลก เครื่องมืออุปกรณ์ที่เข้าข่ายมีมากมายหลายประเภท แต่ที่เป็นจำเลยที่หนึ่งในเรื่องนี้หนีไม่พ้นโทรศัพท์มือถือ ซึ่งในปัจจุบันมีผู้ใช้ทั่วโลกถึง 5 พันล้านคนหรือคิดเป็นสามในสี่ของประชากรทั้งโลก เพราะนอกจากจะใช้เป็นเครื่องมือสื่อสารด้วยการพูดคุยกันแล้ว ปัจจุบันโทรศัพท์มือถือยังเป็นเครื่องมือส่งข้อความระหว่างบุคคลและเชื่อมต่อโลกออนไลน์เข้าอินเทอร์เน็ตได้อีกด้วย
    การที่องค์การวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศมีข้อสรุปดังกล่าว เนื่องจากมีรายงานทางการแพทย์ที่แสดงว่า ผู้ที่ใช้โทรศัพท์มือถือมากกว่า 30 นาทีต่อวันนานติดต่อกันกว่า 10 ปี มีความเสี่ยงในการเกิดเนื้องอกในสมองชนิดไกลโอมามากกว่าปกติ 40% องค์การวิจัยมะเร็งระหว่างประเทศและองค์การอนามัยโลกจึงต้องเผยแพร่ข้อมูลให้สาธารณะรับรู้ แม้ว่า ณ เวลานี้ยังไม่มีการวิจัยใหม่ๆ หรือมีหลักฐานทางการแพทย์ยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าโทรศัพท์มือถือเป็นสาเหตุให้เกิดมะเร็งในมนุษย์ได้ก็ตาม
    ที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษคือการใช้โทรศัพท์มือถือในเด็กครับ ในสหราชอาณาจักรให้ความสำคัญกับการใช้โทรศัพท์มือถือในเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปีค่อนข้างมาก เนื่องจากกะโหลกศีรษะเด็กมีขนาดเล็กกว่าและกะโหลกบางกว่าผู้ใหญ่จึงมีโอกาสได้รับคลื่นรังสีได้มากกว่าและเด็กยังอยู่ในช่วงที่ระบบสมองและประสาทกำลังพัฒนา มีผลการวิจัยจากประเทศสวีเดนพบว่า ในคนที่เริ่มใช้โทรศัพท์มือถือตั้งแต่อายุต่ำกว่า 20 ปี เมื่ออายุมากขึ้นมีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นเนื้องอกในสมองชนิดไกลโอมามากกว่าปกติถึง 5 เท่า ในบ้านเรานั้นจากสถิติโรคมะเร็งที่พบบ่อยในเด็ก พบว่ามะเร็งและเนื้องอกของสมองพบมากเป็นอันดับสองรองจากมะเร็งเม็ดเลือดขาว โดยที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดจากอะไร เพราะฉะนั้น น่าจะหันมาใส่ใจกันให้มากขึ้นนะครับ
    ท้ายที่สุดขอย้ำว่าอันตรายจากมือถือที่ทำให้เป็นมะเร็งนั้นยังไม่มีหลักฐานยืนยันชัดเจนและที่สำคัญอันตรายยังน้อยกว่าการใช้มือถือแบบไม่ระมัดระวัง ที่อันตรายสุดๆ ก็พวกขับรถไปเอามือถือโทรศัพท์คุยไปเรื่อย ไม่ยอมใช้หูฟัง พวกนี้อันตรายมากนะครับ อุบัติเหตุเกิดขึ้นแค่ชั่ววินาทีก็โครมแล้ว อันตรายซึ่งหน้าอันตรายกว่าเป็นมะเร็งเยอะเลย...เชื่อผมซิ
    "นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ"
    ที่มา คมชัดลึก ออนไลน์
     
  14. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>น้ำผลไม้เสิร์ฟตามกรุ๊ปเลือด ธรรมชาติบำบัดสไตล์ “ไก่ วรายุฑ”</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>16 มิถุนายน 2554 09:52 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=334 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=334>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>“ไก่” วรายุฑ มิลินทจินดา และ“ อภิวัฒน์ ไพศาลรัตน์” นักธุรกิจหนุ่ม</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ปัจจุบันความเจริญก้าวหน้าด้านการแพทย์ ช่วยให้ทุกคนได้มีสุขภาพที่ดีขึ้น และแพทย์ทางเลือกหรือ ธรรมชาติบำบัดก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่แพทย์แผนปัจจุบันยอมรับ และนำเผยแพร่ให้กับคนรุ่นใหม่ได้รู้จักนำไปใช้ป้องกันการเผชิญกับโรคร้ายและชะลอความแก่

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ร้าน Dr.Juices สาขาเซ็นทรัล แจ้งวัฒนะ </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> สิ่งสำคัญในการช่วยให้ทุกคนมีสุขภาพดี ก็คือ อาหารการกิน การเลือกบริโภคให้เหมาะสมกับกรุ๊ปเลือด ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ได้รับการยอมรับของคนในวงกว้าง โดยในปี 1990 Dr.Peter D’adamo แพทย์ธรรมชาติบำบัดดีเด่นของสหรัฐอเมริกา ได้ พบการกินอาหารตามหมู่เลือดที่จะเป็นตัวช่วยเสริมสร้างสมดุลที่ดีเท่าที่จะทำได้ ให้แก่ ระบบภูมิคุ้มกัน การย่อย การลดน้ำหนัก เพิ่มพละกำลังและทำให้ไม่แก่เร็ว

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=333 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=333>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>น้ำผลไม้เสิร์ฟตามกรุ๊ปเลือด B</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ทั้งนี้ เป็นที่มาของร้านเครื่องดื่มเสิร์ฟตามกรุ๊ปเลือด ที่ใช้ชื่อว่า Dr.Juices ของนักแสดงชื่อดังอย่าง “ไก่” "วรายุฑ มิลินทจินดา" ซึ่งค้นพบสิ่งสำคัญที่ช่วยทำให้สุขภาพของคุณไก่แข็งแรงและดูอ่อนเยาว์คือ การดื่มน้ำผักผลไม้ และดื่มมาตลอดกว่า 30 ปีและจากการเป็นคนที่สนใจเรื่องของสุขภาพ ทำให้ทราบว่าจริงแล้วผลไม้แต่ละชนิดใช่ว่าจะถูกกับทุกคน และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความสนใจ คุณไก่ได้ใช้เวลากว่า 5 ปีในการศึกษาหาข้อมูล และค้นคว้าเพิ่มเติมอย่างจริงจัง โดยมีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและนักโภชนาการบำบัดคอย ให้คำปรึกษา เพื่อผลิตน้ำผลไม้ปั่นสดบริโภคตามกรุ๊ปเลือดออกมา

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>สำหรับคนกรุ๊ปเลือด A </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> โดยเปิดให้บริการมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ที่ผ่านมา ซึ่งมีหุ้นส่วนคือ “ อภิวัฒน์ ไพศาลรัตน์” นักธุรกิจหนุ่มเจ้าของธุรกิจสุขภาพ ความงาม และการชะลอวัย ที่เหล่าเซเลบ คนดังรู้จักดี และยังได้ “นายแพทย์สุกษม ภัทรวุฒิพร” ที่มีความเชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัดมาทำหน้าที่แนะนำและให้ความรู้ในการคิดสูตรน้ำผลไม้ในแต่ละชนิดเพื่อให้ได้น้ำผลไม้ที่บริโภคไปแล้วได้ประโยชน์ตรงตามความต้องการของแต่ละคนจริงๆ

    นายอภิวัฒน์ เล่าว่า สำหรับร้าน Dr.Juices ปัจจุบันเปิดให้บริการอยู่ด้วยกัน 7 สาขา ในกรุงเทพฯ ในเครือเซ็นทรัล และท็อปมาร์เก็ตเพลส ได้แก่ แจ้งวัฒนะ ปิ่นเกล้า บางรัก สีลม ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต และบางนา เนื่องจากผลการตอบรับที่ค่อนข้างดีมาก จากกลุ่มคนรักสุขภาพ ทำให้ตนเองและพี่ไก่ มีความเห็นตรงกันว่า จะกระจายร้านให้มากขึ้น เพื่อให้ทุกคนได้ดื่มน้ำผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพ จึงมีโครงการที่จะเปิดขายแฟรนไชส์ โดยตั้งเป้าในส่วนของแฟรนไชส์ในปีแรกไว้ที่จำนวน 10 สาขา ซึ่งจะคัดเลือกจากคนที่สนใจ ตั้งใจ และมีความพร้อม เพราะต้องการให้ทุกคนที่มาซื้อแฟรนไชส์สามารถเดินไปได้แบบไม่ขาดทุนหรือต้องเลิกกลางคัน

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=423 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=423>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>“นายแพทย์สุกษม ภัทรวุฒิพร ผู้เชี่ยวชาญทำหน้าที่ให้คำปรึกษา</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> สำหรับ ในส่วนของน้ำผลไม้ที่ขายภายในร้าน ขณะนี้มีให้เลือกมากกว่า 40 เมนู โดยแต่ละกรุ๊ปเลือดจะมีเมนูน้ำผลไม้ให้เลือกประมาณ 10 เมนู เพราะความชอบของคนแตกต่างกันเราก็จำเป็นจะต้องพัฒนาสูตรให้หลากหลาย เพราะไม่ได้ขายแค่ความแปลกใหม่ หรือ เพื่อสุขภาพเท่านั้น แต่เรายังให้ความสำคัญกับเรื่องของรสชาติด้วย

    ส่วนชนิดของผลไม้ที่นำมาใช้เป็นผลไม้จากภายในประเทศ 50% และที่เหลือเป็นผลไม้ที่นำเข้าจากต่างประเทศ โดยจะเลือกใช้ผลไม้ที่มีน้ำมากหรือมีรสชาติหวาน มาเป็นไซรับ แทนการใช้น้ำเชื่อม เพราะจะได้รสชาติที่เป็นธรรมชาติ ดีต่อสุขภาพ และมีการเติมวิตามินผงสำเร็จรูป ช่วยบำรุงผิวพรรณ บำรุงสมอง ชะลอความอ่อนเยาว์ ลูกค้าสามารถเลือกเติมวิตามินได้ตามต้องการ

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=372 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=372>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ผลไม้ที่นำมาใช้แต่ละวันมีทั้งผลไม้ไทยและต่างประเทศ </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> สำหรับราคาขายจะมี 2 ขนาดให้เลือก คือ แก้วเล็ก 49 บาท และแก้วใหญ่ 69 บาท ซึ่งจะขายในราคาเดียวกันหมดทุกเมนู ไม่ว่าจะเป็นสูตรกรุ๊ปเลือดใดก็ตาม เพราะเราตั้งใจที่จะตั้งราคาไม่ให้สูงมากนักเมื่อเทียบกับน้ำผลไม้ที่ทำจากผลไม้สดจริง เนื่องจากพี่ไก่มองว่าอยากให้ทุกคนได้ดื่มกันเป็นประจำและเลือกดื่มได้บ่อยเท่าที่ต้องการ

    ส่วนกลุ่มลูกค้าที่มาใช้บริการมีทั้งผู้หญิงและผู้ชาย บางคนเข้ามาโดยไม่ทราบว่าทางร้านของเรามีเมนูขายน้ำผลไม้ตามกรุ๊ปเลือด แต่พอเราแนะนำก็มักจะลองสั่งมาดื่ม และส่วนใหญ่ชื่นชอบในรสชาติกลับมาเป็นลูกค้าประจำ ปัจจุบันยอดขายแต่ละสาขาอยู่ที่ประมาณ 100 แก้วต่อวัน ซึ่งยอดขายเพิ่มมากขึ้น หลังจากที่คนรู้จักเห็นถึงประโยชน์และความจำเป็น

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ด้านคุณไก่ วรายุฑ ได้เล่าถึงการมาเริ่มต้นธุรกิจตัวนี้ เกิดจากความชอบส่วนตัวในการดูแลรักษาสุขภาพ และชอบดื่มน้ำผลไม้ ทำให้ได้มีโอกาสศึกษาเรื่องของน้ำผลไม้ มองว่าธุรกิจนี้แปลกใหม่ไม่ใช่น้ำปกติทั่วไป อยากจะทำอะไรสักอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนชาวบ้าน และมันต้องให้ประโยชน์ และการเป็นนักแสดงได้เปรียบแต่เราก็ไม่ได้โกหกใคร ขายความจริง ขายความอร่อย ซึ่งในส่วนของความสำเร็จหรือไม่กับธุรกิจนี้ คงต้องขึ้นอยู่กับว่า ลูกค้าให้การยอมรับมากน้อยแค่ไหน

    โทร. 08-6399-9700
    ที่มา Manager Online</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  15. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>ชม "จันทรุปราคา" จากท้องฟ้าชาติอื่น</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>16 มิถุนายน 2554 14:14 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> แม้พื้นที่ส่วนใหญ่ของไทยจะถูกเมฆฝนบดบัง แต่เราก็ยังได้ชมภาพปรากฎกาณ์ "จันทรุปราคา" สวยๆ จากเชียงใหม่ ไม่เพียงแค่นั้นในหลายประเทศทั้งยุโรป แอฟริกา เอเชียกลาง และออสเตรเลียก็มีโอกาสได้เห็น "จันทร์สีอิฐ" เช่นกัน ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTVผู้จัดการเก็บภาพมาฝาก

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=600>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>บันทึกจากหอดูดาวในกรุงมนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เช้ามืดวันที่ 16 มิ.ย.54 เมื่อคราสกำลังเข้ากินบางส่วนของดวงจันทร์ ปรากฎการณ์ที่ใครๆ ต่างรอคอย เพราะเป็นครั้งที่เกิดปรากฎการณ์นานที่สุดในรอบ 11 ปี (AFP PHOTO / JAY DIRECTO)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=600>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพชุดจันทรุปราคาจากเมืองศิลิกูรี รัฐเบงกอลตะวันตก อินเดีย ( AFP PHOTO/ DIPTENDU DUTTA)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=421 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=421>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>แสงจ้าจากหลอดไฟ และคราสที่กำลังอมจันทร์ บันทึกจากท้องฟ้าเมืองมุลตัน ปากีสถาน (AFP PHOTO/ S.S. MIRZA)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=600>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>อีกเซ็ตภาพชุดจากท้องฟ้ากรุงอิสลามาบัด ปากีสถาน คราสกินระยะเวลานานกว่า 100 นาที นับเป็นระยะเวลาการเกิดคราสเต็มดวงที่ยาวนานถึง 100 นาที (AFP PHOTO/ AAMIR QURESHI)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=438 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=438>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>จันทรุปราคาบางส่วน มุมมองผ่าน "มามลากาทาวเวอร์" ในกรุงริยาดห์ ซาอุดิอาระเบีย (AFP PHOTO/FAYEZ NURELDINE)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=600>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>จันทร์ครึ่งเสี้ยวที่ถูกเงาของโลกบัง มุมมองจากกรุงริยาดห์ ซาอุดิอาระเบีย (AFP PHOTO/FAYEZ NURELDINE)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=500 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=500>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพชุดปรากฎการณ์จันทรุปราคา จากท้องฟ้าเหนือเมืองราฟาห์ ทางตอนใต้ของฉนวนกาซา (AFP PHOTO/ SAID KHATIB)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=600>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>จันทร์เต็มดวงเหนือชายฝั่งกรุงเทลอาวิฟ อิสราเอล สวยสดพร้อมรับปรากฎการณ์อุปคาราที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง (AFP PHOTO/JACK GUEZ)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=383 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=383>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>เด็กชายชาวอิสราเอล กำลังชมปรากฎการณ์ผ่านกล้องโทรทรรศน์ ในกรุงเทลอาวีฟ (AFP PHOTO/JACK GUEZ)</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=600 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=600>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>ภาพชุดดวงจันทร์ต่อกัน 10 ชิ้น แสดงถึงลำดับขั้นตอนของการเกิดปรากฎการณ์จันทรุปราคาเต็มดวง ครั้งสำคัญ ซึ่งคราวนี้ดวงจันทร์ไม่ดับมืดสนิท เพราะแสงจากดวงอาทิตย์หักเหกระทบฝุ่นควันในชั้นบรรยากาศก่อนตกถึงดวงจันทร์ ทำให้แสงบางส่วนผ่านชั้นบรรยากาศมาได้ ไม่มืดสนิท และเป็นสีแดงอิฐ อย่างที่เห็น (AFP PHOTO/ DESIREE MARTIN)
    ที่มา Manager Online
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>"อีโคไล" ป้องกันได้</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>16 มิถุนายน 2554 14:20 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=400 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=400>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ข่าวการระบาดของเชื้ออีโคไลในประเทศแถบยุโรปในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา สร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้บริโภคทั่วโลกไม่น้อยเลยทีเดียว เพราะมีผู้ป่วยหลายร้อยคน แถมยังมีผู้เสียชีวิตจากเชื้ออีโคไลนี้ด้วย

    เจ้าเชื้ออีโคไลที่ว่านี้ เป็นแบคทีเรียซึ่งพบได้ในลำไส้ของมนุษย์และสัตว์ สามารถทำให้เกิดโรคระบบทางเดินอาหารที่รุนแรง โดยมีอาการที่สำคัญคือท้องเสียชนิดอุจจาระมีเลือดปน บางรายอุจจาระเป็นมูกเลือด และที่สำคัญคือมักพบว่าโรคนี้ทำให้เกิดภาวะไตวายร่วมด้วย เชื้อแบคทีเรียอีโคไลนี้สามารถมีชีวิตอยู่ได้ในสิ่งแวดล้อมทั่วไป โดยเฉพาะในมูลสัตว์ ดังนั้นหากคนกินอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีเชื้อเหล่านี้เข้าไป ก็จะทำให้เกิดอาการท้องร่วง จนกระทั่งเกิดภาวะลำไส้อักเสบและมีอาการเลือดออกไม่หยุด เกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงและพบเลือดปนกับอุจจาระ บางรายถึงกับเสียชีวิตได้

    สำหรับในเมืองไทยแม้จะยังไม่มีผู้ป่วยหนักด้วยเชื้อตัวนี้ แต่ "108 เคล็ดกิน" ขอแนะนำว่าควรระวังรักษาสุขภาพตัวเองไว้ก่อน โดยมีวิธีป้องกันอย่างง่ายๆ โดยใช้วิธี "กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ" วิธีเดียวกับการป้องกันไข้หวัดใหญ่ 2009 ที่เพิ่งระบาดในประเทศไทยและทั่วโลกเมื่อไม่นานมานี้ เพราะเชื้อแบคทีเรียอีโคไลจะตายเมื่อผ่านความร้อนจากการปรุงอาหาร และการล้างมือก่อนกินอาหารก็เป็นวิธีฆ่าเชื้อโรคที่ได้ผล แต่สำหรับผู้ที่นิยมบริโภคผักสดเนื้อดิบ ต้องระมัดระวังให้มาก โดยควรล้างผักสดด้วยน้ำสะอาดหลายๆ ครั้ง แช่น้ำทิ้งไว้ 10-15 นาที และล้างผักผ่านน้ำไหลนานประมาณ 2 นาที เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของเชื้อโรค หากเป็นผลไม้และผักสดที่มีเปลือกก็ควรปอกเปลือก รวมทั้งอาจใช้สารในการชะล้างสารปนเปื้อนออกไปร่วมด้วยก็ได้ เช่น ด่างทับทิม น้ำส้มสายชู หรือผงฟู ส่วนเนื้อดิบนั้นควรงดไปก่อนจะดีที่สุด

    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    .

    -http://www.manager.co.th/Travel/ViewNews.aspx?NewsID=9540000073617-

    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    วัดแค*

    วัดแคหรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า วัดร่างแค หรือวัดท่าแค เป็นวัดโบราณสร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเกาะเมือง ซีกด้านตะวันออกของคลองสระบัว บริเวณพื้นที่เดิมเรียกว่า เกาะทุ่งแก้ว พระยาโบราณราชธานินทร์ ได้กล่าวไว้ในหนังสือเรื่อง อธิบายแผนที่พระนครศรีอยุธยา ความว่า “…บ้านเกาะขาดหล่อผอบเต้าปูนทองเหลืองขาย บ้านวัดครุฑปั้นนางเลิ้งขาย บ้านริมวัดธรณีเลื่อยกระดานไม้งิ้ว ไม้อุโลกขาย บ้านวัดพร้าว พราหมณ์ไทยทำแป้งหอม น้ำมันหอม ธูปกระแจะ กระดาษขาย บ้านท่าโขลง ทำเหล็ก ตะปู ตะปลิงใหญ่น้อยขาย บ้านคนทีปั้นกระโถน ตะคัน ช้าง ม้า ตุ๊กตาน้อยใหญ่ขาย บ้านโรงฆ้อง ซื้อกล้วยตีบมาบ่มขาย และบ้านเจ็ดตำบลนี้อยู่ในเกาะทุ่งแก้ว…”

    ในสมัยก่อน ทุ่งหลังบ้านคลองสระบัว มีทั้งสองฝั่ง คือ ฝั่งตะวันออก เรียกว่า เกาะทุ่งแก้ว ส่วนฝั่งตะวันตก เรียกว่า เกาะทุ่งขวัญ และบริเวณทุ่งกว้างหลังบ้านคลองสระบัวนี้ ก็น่าจะเคยเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนชาวลาว ซึ่งพระยาโบราณราชธานินทร์ได้อธิบายไว้ว่า “…มีตลาดบนบกนอกกำแพงกรุง แต่ในขนอนทั้งสี่ทิศเข้ามาจนริมแม่น้ำรอบกรุงนั้น คือ ตลาดวัดมหาธาตุหลังขนอนบางหลวง ๑ ตลาดลาวเหนือวัดโคหาสวรรค์ ๑…”กับได้วินิจฉัยเพิ่มเติมไว้อีกว่าตลาดลาว น่าจะอยู่แถวปลายคลองสระบัว

    อนึ่ง วัดแคแห่งนี้มีตำนานเล่าว่า เคยเป็นที่พักอาศัยของหลวงพ่อทวด เมื่อครั้งเดินทางเข้ามากรุงศรีอยุธยา เพื่อศึกษาพระอภิธรรมที่วัดลุมพลีนาวาส หลวงพ่อทวดนี้เป็นพระภิกษุที่มีบทบาทสำคัญเกี่ยวกับการพระราชทานที่กัลปนาแก่หัวเมืองพะโคะในรัชกาลสมเด็จพระเอกาทศรถ และเป็นภิกษุผู้มีอิทธิปาฏิหาริย์อภิญญาแก่กล้าจนได้สมญานามว่า “หลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด” ทั้งยังได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระราชมุนีสามีรามคุณูปมาจารย์ ด้วย

    ปัจจุบันวัดแคเป็นวัดร้าง ตั้งอยู่ริมถนนร่างแค – คลองวัดพร้าว ในตำบลท้องที่คลองสระบัว อำเภอพระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กรมศิลปากร ได้ประกาศขึ้นทะเบียนในราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ ๖๐ ตอนที่ ๒๙ เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๖

    ไม่ปรากฏหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่กล่าวถึงวัดแค แต่จากรูปแบบของโบราณสถานและหลักฐานทางโบราณคดีจำนวนมากที่พบ สามารถบอกความเป็นมาและความสำคัญของวัดแคในสมัยอยุธยาได้ดังนี้

    วัดแคเป็นวัดขนาดค่อนข้างใหญ่ เมื่อแรกสร้างมีสิ่งก่อสร้างไม่มากนัก ได้แก่ เจดีย์ประธานทรงกลมตั้งอยู่บนฐานกลมและฐานเขียงมีซุ้มคูหา ๘ ทิศ เจดีย์ราย ๙ องค์ และอาคารซึ่งอาจจะ​


    เป็นโบสถ์ ๑ หลัง กำหนดอายุได้ประมาณต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ต่อมาประมาณกลางพุทธศตวรรษที่ ๒๐ มีการวางผังใหม่ เปลี่ยนให้ตัววัดหันหน้าไปทางทิศเหนือ ปรับถมพื้นที่วัดและสร้างสิ่งก่อสร้างขึ้นใหม่อีกหลายสิ่ง ส่วนใหญ่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม ซึ่งอาจจะเป็นเพราะวัดแคมีความสำคัญมากขึ้นเช่น เป็นศูนย์กลางของชุมชนใหญ่และคงจะมีความสำคัญมาโดยตลอด จนกระะทั่งเสียกรุงศรีอยุธยาใน พ.ศ. ๒๓๑๐ วัดแคจึงถูกทิ้งให้รกร้างปรักหักพังเรื่อยมา จนถึง พ.ศ. ๒๕๔๒ กรมศิลปากรได้เข้าไปดำเนินการขุดค้นขุดแต่งทางโบราณคดี ทำให้ได้เห็นรูปแบบศิลปะของโบราณสถาน โบราณวัตถุของวัดแค ซึ่งสามารถกำหนดอายุการสร้างและบูรณะวัดแคในสมัยอยุธยาได้เป็น ๔ สมัย คือ สมัยเมื่อแรกสร้างวัดประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ สมัยที่ ๒ เป็นสมัยที่เปลี่ยนหน้าวัดหันไปทางคลองบางขวด และสร้างสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่เช่นเจดีย์ประธาน สมัยที่ ๓ ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๑ - ๒๒ ลงมา เป็นช่วงที่มีการบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ และสร้างเจดีย์ประธานเพิ่ม สุดท้ายเป็นสมัยที่มีการบูรณะวัดครั้งสุดท้าย ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๒ - ๒๓ ลงมา จนกระทั่งเสียกรุงศรีอยุธยา ปัจจุบันกรมศิลปากรได้บูรณะพัฒนาสภาพแวดล้อมของวัดแคเสร็จแล้ว มีสิ่งก่อสร้างสำคัญดังนี้​

    เจดีย์ทรงกลมฐานสูง (เจดีย์ประธานหมายเลข ๑) สร้างอยู่บนฐานไพทีเดียวกับวิหารประธานและเชื่อมต่อกับฐานไพทีของเจดีย์รายทางด้านตะวันตก ตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมและฐานบัวแปดเหลี่ยม มีร่องรอยการพอกฐานบัวสี่เหลี่ยมให้เป็นฐานทักษิณที่มีระเบียงด้านบน​

    เจดีย์ทรงกลมแบบล้านนา (เจดีย์ประธานหมายเลข ๒) ตั้งอยู่ถัดจากเจดีย์ประธานหมายเลข ๑ ไปทางตะวันออกเกือบจะกึ่งกลางวัด มีรูปแบบสถาปัตยกรรมคล้ายพระธาตุหริภุญไชย จังหวัดลำพูน ได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยสุดท้ายของวัด โดยพอกขยายองค์เรือนธาตุเดิมให้มีขนาดใหญ่ขึ้นกำหนดอายุได้ประมาณพุทธศตวรรษที่ ๒๑ ลงมา เป็นเจดีย์ที่มีรูปแบบแตกต่างไปจากเจดีย์ทรงกลมแบบภาคกลาง ซึ่งปรากฏทั่วไปในพระนครศรีอยุธยา และแปลกจากเจดีย์องค์อื่น ๆ ในวัดแคแห่งนี้ด้วย กล่าวคือ องค์เจดีย์ก่อด้วยอิฐสอปูนตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยมเพิ่มมุม เหนือฐานสี่เหลี่ยมมีชุดฐานบัวเรียงซ้อนกัน ๓ ชั้น รองรับองค์ระฆังขนาดเล็กอีกต่อหนึ่ง ส่วนยอดเหนือองค์ระฆังหักหายไป ลักษณะของเจดีย์องค์นี้มีรูปทรงคล้ายกับเจดีย์ที่วัดปงสนุก อำเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงรายซึ่งศาสตราจารย์สันติ เล็กสุขุม ได้กล่าวไว้ในหนังสือเรื่อง เจดีย์องค์ระฆังทรงกลม : ชุดฐานบัวรองรับองค์ระฆัง ว่า “…เจดีย์องค์ระฆังทรงกลมแบบภาคเหนือที่วัดท่าแค น่าจะสร้างขึ้นไล่เลี่ยหรือหลังกว่าเจดีย์ที่วัดปงสนุก เมืองเชียงแสนไม่นานนัก คงอยู่ในพุทธศตวรรษเดียวกัน คือ พุทธศตวรรษที่ ๒๑…” นอกจากนั้นยังพบว่าผิวนอกของเจดีย์มีร่องรอยการฉาบปูน ซึ่งถึงแม้จะกะเทาะออกไปมากแล้ว แต่ส่วนที่เหลือยังปรากฏรูเล็กๆ รายอยู่ทั่วไปโดยรอบองค์เจดีย์ รอยรูเล็กๆ เหล่านี้ นักโบราณคดีบางท่านให้ข้อสังเกตไว้เป็น ๒ ประการ คือ​

    ประการที่ ๑ สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นรอยหมุดที่เกิดจากการตอกยึดแผ่นทองจังโกเพื่อประดับองค์เจดีย์ เหมือนเช่นการประดับองค์เจดีย์แบบล้านนาในภาคเหนือของประเทศไทย เช่น พระธาตุหริภุญชัย จังหวัดลำพูน พระธาตุแช่แห้ง จังหวัดน่าน เป็นต้น​

    ประการที่สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นรอยของหมุดที่ทำขึ้นเพื่อใช้เป็นเครื่องยึดปูนที่ฉาบผิวหรือช่วยกำหนดระดับความหนาของปูนที่ฉาบตกแต่ง
    นอกจากนั้น ที่บริเวณใกล้เคียงองค์เจดีย์นี้ ยังปรากฏรากฐานเจดีย์ขนาดเล็กอีก ๔ องค์ อยู่ในตำแหน่งที่น่าจะเป็นเจดีย์มุมหรือเจดีย์ทิศซึ่งเป็นลักษณะของผังเจดีย์แบบล้านนาอย่างชัดเจน หลักฐานของอารยธรรมล้านนาที่ปรากฏอยู่กับสถาปัตยกรรมดังกล่าวแล้วนี้น่าจะเป็นเรื่องสนับสนุนให้สันนิษฐานว่า บริเวณพื้นที่แถบทุ่งแก้วตามแนวคลองสระบัว น่าจะเคยเป็นที่อยู่ของชุนชนชาวลาวจากอาณาจักรล้านนา ในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๒๑ และคงจะได้สร้างวัดแคแห่งนี้ขึ้นเป็นวัดประจำชุมชนด้วย​

    เจดีย์ทรงกลมแบบลังกา (เจดีย์ประธานหมายเลข ๓ และ ๔) ทางด้านตะวันออกเฉียงใต้ของวัด ตั้งอยู่บนฐานไพเดียวกันบนฐานเขียงสี่เหลี่ยม เจดีย์ประธานหมายเลข ๓ บูรณะไว้เพียงองค์ระฆัง เจดีย์ประธานหมายเลข ๔ บูรณะถึงปล้องไฉน สร้างขึ้นในสมัยที่ ๓ ของวัด และในสมัยสุดท้ายของวัด มีการบูรณะครั้งใหญ่โดยพอกขยายองค์เรือนธาตุให้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย รูปทรงเจดีย์เป็นแบบที่นิยมในสมัยอยุธยาตอนกลาง​

    วิหารประธานเหลือเพียงรากฐาน ตั้งอยู่ด้านหน้าของเจดีย์ประธานหมายเลข ๑ ลักษณะโครงสร้างเป็นแบบอาคารขนาด ๖ ห้อง หลังคาลด ๒ ชั้น มีชานรอบอาคาร ภายในอาคารมีเสารองรับเครื่องหลังคา ฐานประดับด้วยลายแข้งสิงห์ พื้นปูด้วยแผ่นหินชนวนสลับกับพื้นอิฐ ฐานชุกชีประดับปูนปั้นรูปเทวดาเดินประทักษิณ สร้างขึ้นในสมัยที่ ๒ ของวัด โดยสร้างทับลงบนวิหารเดิม​

    วิหารราย เหลือเพียงรากฐานตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกของวัด ลักษณะโครงสร้างและรูปแบบเหมือนวิหารประธานแต่ขนาดเล็กกว่า​

    อุโบสถ เหลือเพียงรากฐานตั้งอยู่ทางทิศเหนือของวัด ลักษณะโครงสร้างเป็นแบบอาคารที่ใช้เสาติดผนังแทนเสากลางอาคาร สร้างในสมัยที่ ๓ และบูรณะในสมัยสุดท้าย​


    เจดีย์ราย ส่วนใหญ่เหลือเพียงรากฐาน มีทั้งหมด ๖ องค์ องค์ที่ยังอยู่ในสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ ตั้งอยู่ระหว่างกำแพงวัดด้านเหนือและด้านใต้ เป็นเจดีย์ทรงกลมตั้งอยู่บนฐานเขียงสี่เหลี่ยม มีฐานกลมรองรับ องค์ระฆังกลมมีซุ้มคูหา ๘ ทิศ สันนิษฐานว่าเป็นเจดีย์ประธานสมัยเมื่อแรกสร้างวัด
    เจดีย์รายของวัดนี้ส่วนใหญ่สร้างในสมัยอยุธยาตอนต้นเมื่อแรกสร้างวัด เป็นเจดีย์ทรงกลมแบบฐานเขียงสี่เหลี่ยมและฐานบัวสี่เหลี่ยม สำหรับองค์ที่สร้างสมัยหลังที่มุมด้านหน้าของวิหารประธานเป็นเจดีย์ทรงปราสาทยอด และเจดีย์ย่อมุมไม้สิบสอง​

    ศาลาโถง มีหลายหลัง ส่วนใหญ่สภาพชำรุดมาก ที่มีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์ตั้งขนานกับกำแพงวัดด้านเหนือ เป็นอาคารแบบมีเสาติดผนังสร้างขึ้นในสมัยที่ ๓ ของวัด​

    กำแพงวัดและซุ้มประตู มีแนวกำแพงเห็นได้ชัดเจน ยกเว้นด้านทิศใต้ที่ทางการสร้างถนนทับ กำแพงด้านทิศเหนือซึ่งเป็นด้านหน้าวัดมีซุ้มประตูทางเข้าวัด ๓ ซุ้ม​

    แท่นบูชาหรือแท่นบรรจุกระดูก ส่วนใหญ่เหลือแต่ส่วนฐานราก เป็นแท่นก่ออิฐฉาบปูนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าและสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างตั้งแต่ ๐.๘๔ - ๑.๘๔ เมตร ยาวประมาณ ๑ - ๑.๘๘ เมตร สูงประมาณ ๑๖ - ๕๗ เซนติเมตร เกือบทั้งหมดก่ออิฐสอดิน และสร้างขึ้นในสมัยที่ ๓ ของวัด ตั้งกระจายอยู่บนฐานไพทีของเจดีย์ประธานและวิหารประธานของวัด บางแท่นพบอัฐิบรรจุอยู่ภายในแท่น บางแท่นบรรจุอยู่ที่ส่วนฐาน แท่นเหล่านี้ส่วนใหญ่ถูกถมปิดทับในสมัยสุดท้ายของวัด

    นอกจากสิ่งก่อสร้างดังกล่าวแล้วในการขุดค้นขุดแต่งวัดแคได้พบโบราณวัตถุประเภทต่างๆ จำนวนมาก ซึ่งเป็นหลักฐานสนับสนุนอายุสมัยของการก่อสร้างและบูรณะวัดแคในช่วงเวลาต่างๆ เช่น ภาชนะดินเผาจากแหล่งเตาสุโขทัย – ศรีสัชนาลัยที่ผลิตขึ้นในช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ๒๒ เครื่องถ้วยชามจีนสมัยราชวงศ์หมิงที่ผลิตในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๒๒ - ๒๓ พระพุทธรูปที่ทำจากหินทรายสมัยอยุธยาตอนกลาง พระพุทธรูปทรงเครื่องสมัยอยุธยาตอนปลาย เป็นต้น

    วัดแคเป็นวัดขนาดค่อนข้างใหญ่ สร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้นประมาณพุทธศตวรรษที่ ๑๙ - ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๐ ตั้งอยู่ในบริเวณที่น่าจะเคยเป็นชุมชนขนาดค่อนข้างใหญ่ในสมัยอยุธยา และมีความสัมพันธ์กับอาณาจักรล้านนา อาจเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยของชาวลำพูนที่ถูกกวาดต้อนมาในสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชเสด็จขึ้นไปตีเมืองลำพูน และเมืองเชียงใหม่ เมื่อ พ.ศ. ๒๐๖๙๑เพราะเจดีย์​

    ประธานขนาดใหญ่องค์หนึ่งของวัดที่ยังปรากฏให้เห็นอยู่ในปัจจุบัน มีรูปแบบศิลปะแบบล้านนาคล้ายพระธาตุหริภุญไชย จังหวัดลำพูน อย่างไรก็ตามวัดแคคงจะเป็นวัดที่มีความสำคัญในชุมชนมากวัดหนึ่ง เพราะมีการบูรณปฏิสังขรณ์ ซ่อมแซม และสร้างสิ่งก่อสร้างใหม่เพิ่มขึ้นมาตลอดสมัยอยุธยา จนนับได้ว่าเป็นแหล่งรวมศิลปะอยุธยาหลายรูปแบบแห่งหนึ่ง​

    บรรณานุกรม


    บริษัทมรดกโลก จำกัด. รายงานวัดแค โครงการขุดแต่ง ขุดค้น และออกแบบเพื่อการบูรณะโบราณสถาน
    กลุ่มคลองสระบัว เสนอโครงการอนุรักษ์และพัฒนานครประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา ปีงบ
    ประมาณ ๒๕๔๒. (อัดสำเนา)​

    โบราณราชธานินทร์, พระยา. อธิบายแผนที่พระนครศรีอยุธยากับคำวินิจฉัยของพระยาโบราณราช
    ธานินทร์ ฉบับชำระครั้งที่ ๒. (พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพพระยานลราชสุวัจน์
    (ทองดี นลราชสุวัจน์) ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม วันที่ ๒๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๖).​

    ศิลปากร,กรม. ทะเบียนโบราณสถานทั่วราชอาณาจักร. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์คุรุสภาพระสุเมรุ,๒๕๑๖.​

    *นางสาวก่องแก้ว วีระประจักษ์ ค้นคว้าเรียบเรียง

    -http://webcache.googleusercontent.com/search?hl=th&q=cache:2IKyyLWCQscJ:http://www.literatureandhistory.go....academic3&acaid=14775+ไปวัดแค+อยุธยา&ct=clnk-
    .


    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    แผนที่วัดแค จาก Google


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]



    -http://maps.google.co.th/maps?hl=th&prmd=ivnscm&resnum=4&biw=1024&bih=578&um=1&ie=UTF-8&q=%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88+%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%84+%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2&fb=1&gl=th&hq=%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B9%81%E0%B8%84+%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B8%E0%B8%98%E0%B8%A2%E0%B8%B2&hnear=0x311d6032280d61f3:0x10100b25de24820,%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B8%A1%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3&ei=BFD7TY2kJIbqrAfX88XVDw&sa=X&oi=local_group&ct=image&ved=0CAQQtgM-


    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ka1.JPG
      ka1.JPG
      ขนาดไฟล์:
      144.6 KB
      เปิดดู:
      428
    • ka2.JPG
      ka2.JPG
      ขนาดไฟล์:
      129 KB
      เปิดดู:
      388
    • ka3.JPG
      ka3.JPG
      ขนาดไฟล์:
      116.7 KB
      เปิดดู:
      316
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    ชวนชิม"อาหารมุสลิม"หลากรสชาติมากความอร่อย


    [​IMG]



    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]



    หลายเดือนมาแล้วนะครับที่ผมไปจังหวัดสุราษฎร์ ธานี ตอนนั้นผมไปงานฟู้ดแฟร์ครับ และได้มีโอกาสไปอีกเพราะเป็นวันเกิดคุณแม่สุดา เพื่อน ๆ ผมที่เป็นมุสลิมเคยบอกว่า จะชวนผมไปกินข้าวเช้าซึ่งเป็นร้านอาหารมุสลิมที่อยู่ใกล้กับจวนผู้ว่าฯ อยู่ติดกับแม่น้ำตาปีเลยครับ

    ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ชอบกินอาหารมุสลิมครับ สำหรับเพื่อน ๆ ที่ไม่คุ้นเคยกับอาหารเช้าที่เป็นอาหารมุสลิมของภาคใต้นั้น ผมอยากจะบอกว่า ลักษณะอาหารก็เหมือนกับอาหารไทย โดยจะเป็นข้าวและก็มีกับข้าวต่าง ๆ ให้กิน แต่ข้าวแกงของเขาจะแตกต่างกับข้าวแกงของไทย เพราะว่าจะไม่มีอาหารใดเลยที่ใส่หมูครับ ส่วนความเผ็ดและความเข้มข้นก็ไม่เท่าไหร่ครับ

    ข้าวแกงของเขาก็เหมือนกับข้าวราดแกงล่ะครับ จะกินแบบราดบนข้าวเลยหรือว่าจะสั่งกับข้าวเป็นจาน ๆ แล้วมีข้าวต่างหากก็ได้ ซึ่งเป็นอาหารเช้าที่คนมุสลิมเขากินกัน เท่าที่เห็นก็มีลักษณะคล้าย ๆ กับที่คนทั่วไปเขากินกันครับ แต่กับข้าวส่วนใหญ่แล้วจะมีไก่กับเนื้อครับ

    ที่ผมเห็นคือ เขาเอาไก่มาทำแกงกะหรี่ไก่ หรือทำคล้าย ๆ มัสมั่นไก่ รสชาติก็ใช้ได้ครับ แต่ไม่ค่อยเข้มข้นเท่าไหร่นัก ส่วนไข่ เขาจะนำมาทำเป็น ไข่ลูกเขย และ ไข่พะโล้ไก่ อร่อยดี ทั้งสองอย่างครับ ยังมีไข่เค็มที่ยังไม่ได้ต้มแต่นำมาทอดเป็น ไข่ดาวไข่เค็ม ด้วยนะครับ ซึ่งผมชอบมากเลย

    ที่ร้านยังมี แกงเหลืองไข่ปลา รสชาติอร่อยดีครับ ผมก้มหน้าก้มตากินไข่ปลาอย่างเดียวเลยครับ มี แกงเผ็ดเนื้อ ด้วยนะครับ ผมชิมแล้วก็พอใช้ได้ครับ เนื้อไม่เหนียวเกินไป มี แกงกะหรี่เนื้อ ด้วย เนื้อสัตว์ในอาหารของคนมุสลิมส่วนใหญ่ก็จะหนีไม่พ้นไก่กับเนื้อนะครับ

    เมื่อพูดถึงเนื้อไก่ พูดถึงเนื้อวัวกันแล้ว ก็ต้องพูดถึงการเอาเครื่องในมาทำอาหารกันบ้าง โดยถ้าเป็นเครื่องในไก่ก็ต้องเอาตับกับกึ๋นมาผัดกับพริก เป็นเครื่องในไก่ผัดพริก โดยผัดให้เผ็ด ๆ จะได้หอม ๆ ครับ ส่วนตับวัวก็เอามาผัดพริก หรือจะเอามาผัดกับดอกกุยช่ายก็ได้ ซึ่งอาหารที่พูดมานั้นผมกินมาตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วครับ

    ยังมีของทอดด้วยนะครับ ผมมองไปมองมา มี ปลากระบอกทอดขมิ้น และยังมีปลาอื่น ๆ ตัวเล็ก ๆ เอามาหมักกับขมิ้นที่ทางใต้เขาเรียกว่า ขี้มิ่น แล้วก็เอามาหมักและทอด กินกับเครื่องเคียง ผมชอบมากเลยครับ

    สำหรับสิ่งที่ต้องกินกับอาหารถ้าไปที่ร้านนี้ คือ น้ำชา หรือ กาแฟ โดยชาของเขาจะมีลักษณะแบบอินโดนะครับ คือ ชาจะใส่นมร้อน ๆ ไม่กินเย็นนะครับ

    และที่ขาดไม่ได้เมื่อมาร้านนี้อีกอย่างหนึ่ง คือ โรตี ครับ เพราะผมสั่งแกงมาไม่ได้กินกับข้าวนะครับ แต่ผมกินกับโรตี โดยผมจะฉีกเป็นชิ้น ๆ แล้วจิ้มกินกับน้ำแกง โดยมากแล้วก็จะกินกับแกงเผ็ด เช่น แกงกะหรี่เนื้อ และแกงมัสมั่นไก่ อร่อยมากเลยครับ

    ในส่วนของการทำโรตี ซึ่งทำจากแป้งสาลี นอกเหนือจากการทำโรตีแล้ว คุณตาก็จะนำมาทำ มะตะบะ ด้วยครับ คือจะใส่ไส้เข้าไป ซึ่งโดยมากจะ
    เป็นไส้ไก่หรือไม่ก็ไส้เนื้อครับ คล้าย ๆ กับแพนเค้กที่ห่อ หรือไม่ก็เหมือนกับไข่ยัดไส้แต่ทำจากแป้ง เมื่อทอดได้ที่แล้ว
    ก็ยกขึ้นนำมาหั่นเป็นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ เสิร์ฟกับอาจาด

    ในส่วนของวิธีการกินนั้น คือจะต้องเอาอาจาดมากินกับมะตะบะ เพราะมะตะบะทำให้สุกโดยการทอดและยังมีแป้งเคลือบด้วยไข่อีกต่างหาก ซึ่งเป็นอาหารที่มันและเลี่ยนครับ เพราะฉะนั้นเราต้องกินอะไรที่มันเปรี้ยว ๆ เพื่อให้ปากเราสะอาดและช่วยในการย่อย เพราะฉะนั้น อาจาดซึ่งเป็นสิ่งที่มีทั้งความกรอบ ทั้งความเปรี้ยว และออกรสหวาน ๆ เล็กน้อย เวลากินเข้าไปจะช่วยสร้างความกลมกล่อมในปากของเราครับ

    ไปกินข้าวที่ร้านนี้ ผมรู้สึกติดใจ ถ้าเป็นไปได้ผมอยากไปกินอีกเรื่อย ๆ เพราะอยู่ไม่ไกลจากโรงแรมวังใต้ที่ผมพักมากเท่าไหร่นัก ทำให้บางทีเมื่อผมไปที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ก็จะไปกินที่ร้านนี้ เมื่อกินเสร็จก็ต้องเดินกลับ เพื่อเป็นการย่อยอาหารไปในตัวครับ แต่ถ้าใครจะขึ้นรถกลับก็ได้ แต่ผมคิดว่า เดินจะดีกว่านะครับ

    ที่ร้านนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง รสชาติจะไม่จัดจ้านจนเกินไปนัก แต่ว่าความอร่อยนั้นไม่ต้องพูดถึงครับ มีคนแวะเวียนเดินเข้ามาที่ร้านอย่างต่อเนื่อง การได้นั่งกินข้าวที่ร้านนี้ทำให้ผมมองว่าวัฒนธรรมการกินของพี่น้องชาวไทย ที่เป็นมุสลิมนั้นช่างทำให้ผมได้อารมณ์ในการกินเหลือเกินครับ ทำให้ผมอร่อยทุกครั้งที่ได้ไปกินอาหารมุสลิมร้านนี้

    ถ้าใครมีโอกาสได้ไปจังหวัดสุราษฎร์ธานี ก็ลองมาชิมอาหารมุสลิมที่ร้านนี้ดูนะครับ ซึ่งนอกจากร้านนี้แล้ว ยังมีอีกหลายร้านนะครับ วันหน้าผมจะเขียนให้เพื่อน ๆ ได้รู้จักกันอีก แต่ลองแวะไปที่ร้านนี้กันก่อนนะครับ นั่งแถวริมถนนเลยครับแล้วนั่งชมแม่น้ำสะแกกรังซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กับจวนผู้ว่าฯ ไปด้วย บรรยากาศดีมาก ๆ ครับ.

    รีซอตโต


    เครื่องปรุงนํ้าซุปเห็ด
    - นํ้ามันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
    - หอมหัวใหญ่สับ 100 กรัม
    - แครอทสับ 50 กรัม
    - เซเลอรี่หรือตั้งโอ๋สับ 50 กรัม
    - หอยเชลล์แห้ง (แช่นํ้าแล้ว) 100 กรัม
    - เห็ดหอมแห้ง (แช่นํ้าแล้ว) 4 ดอก
    - นํ้าซุปไก่ 1 ลิตร
    วิธีทำ

    1. นำหม้อตั้งไฟ ใส่น้ำมันพืชลงไปพอร้อน ใส่หอมหัวใหญ่สับ แครอทสับ เซเลอรี่หรือตั้งโอ๋สับ ผัดพอให้สลด

    2. ใส่หอยเชลล์แห้ง และเห็ดหอมแห้งที่แช่น้ำแล้วลงไปทั้งหมดพร้อมน้ำแช่

    3. เติมนํ้าซุปไก่ลงไป ต้มให้เดือด และลดไฟลง เคี่ยวให้งวด

    4. กรองแยกระหว่างน้ำกับเนื้อออกจากกัน เก็บนํ้า และเนื้อหอยเชลล์กับเห็ดหอมพักไว้ (เนื้อหอยเชลล์และเห็ดหอมต้องแช่อยู่ในน้ำที่เคี่ยวไว้นิดหน่อย
    เพื่อให้มีความชุ่มชื่น)
    เครื่องปรุงรีซอตโต
    - เนยจืด 50 กรัม
    - หอยเชลล์สด 50 กรัม
    - หอมหัวใหญ่สับ 50 กรัม
    - ข้าวอาร์โบริโอ 397 กรัม
    - ไวน์ขาว 1 ถ้วยตวง
    - นํ้าซุปเห็ด 1 ลิตร
    - เกลือป่น พอประมาณ
    - พริกไทยป่น พอประมาณ
    - เห็ดหอมแห้งตุ๋น ตามต้องการ
    - หอยเชลล์แห้งตุ๋น ตามต้องการ
    - ทรัฟเฟิล ออยล์ ตามต้องการ
    วิธีทำ

    1. นำกระทะใส่เนยจืดตั้งเตาให้ร้อน

    2. นำหอยเชลล์สด ลงไปนาบให้พอเหลืองทั้งสองด้าน ตักออกใส่จานพักไว้

    3. ใส่หอมหัวใหญ่สับ ผัดให้หอม ใส่ข้าวรีซอตโต ลงไป ผัดให้เป็นไต ใส่ไวน์ขาวลงไป ผัดให้เข้ากัน

    4. ค่อย ๆ เติมนํ้าซุปเห็ดลงไป คนให้เข้ากัน ต้มให้เดือด แล้วลดไฟลง คนต่อไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งน้ำซุปเกือบแห้ง จึงเติมน้ำซุปลงไปอีกจนหมด คนไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งข้าวสุกเป็นไต

    5. ปรุงรสด้วย เกลือป่น พริกไทยป่น คนให้เข้ากัน ข้าวจะเป็นลักษณะแฉะมาก ๆ

    6. ใส่เห็ดหอมแห้ง และหอยเชลล์แห้งที่แช่ไว้ในนํ้า ลงไปผัดให้เข้ากัน และใส่หอยเชลล์สดที่นาบไว้ลงไปในส่วนผสมของข้าว คนให้ส่วนผสมพอเข้ากัน ปิดไฟ

    7. ตักข้าวรีซอตโตใส่จาน แต่งหน้าด้วยหอยเชลล์สด ราดด้วยน้ำซอสหอยเชลล์และเห็ดหอมแห้งตุ๋นที่เตรียมไว้ ราดด้วยทรัฟเฟิล ออยล์ เสิร์ฟทันที
    เครื่องปรุงหอยเชลล์และเห็ดหอมแห้งตุ๋น
    - นํ้าซุปเห็ดหอมและหอยเชลล์แห้ง 2 ถ้วยตวง
    - เกลือป่น พอประมาณ
    - พริกไทยดำบดสด พอประมาณ
    วิธีทำ
    ในภาชนะสำหรับเข้าไมโครเวฟ ใส่นํ้าซุปเห็ดหอมและหอยเชลล์แห้ง เกลือป่น ปิดพลาสติกแรป นำเข้าอบในเตาไมโครเวฟ ประมาณ 10 นาที เพื่อให้ซอสข้นขึ้น.

    การชิมอาหารมุสลิม

    อาทิตย์นี้ผมจะขอพูดถึงการชิมอาหารมุสลิม ซึ่งเป็นวัฒนธรรมการกินที่แตกต่างจากคนไทยในเชื้อสายอื่นโดยปริยาย เพราะว่าเป็นอาหารที่ปราศจากเนื้อหมู คือ จะไม่มีเนื้อหมูอยู่ในอาหารเลย และได้รับอิทธิพลของแขกเข้ามาผสมผสานด้วย ไม่ว่าจะเป็นทั้งแขกขาวและแขกอินเดีย

    โดยคนมุสลิมหรือคนอิสลามนั้น เขาจะมีอาหารประจำศาสนาหรือประจำชาติ รวมทั้งคนที่เป็นเชื้อสายนี้ คือ อาหารจำพวกโรตีหรือมะตะบะ ซึ่งอาหารทั้งสองอย่างนี้ คือเสน่ห์ของอาหารมุสลิม โดยจะต้องกินให้เป็นด้วยนะครับ เพราะเท่าที่ผมเห็นนั้นในส่วนของโรตี คนไทยจะเอามาใส่น้ำตาล ใส่นมข้น แล้วเอาไปม้วน การทำในลักษณะเช่นนี้ก็เป็นการกินอีกแบบหนึ่งนะครับ ที่คนไทยนิยมกินกัน

    สำหรับ โรตีที่ดีนั้น เมื่อทอดเสร็จแล้วจะต้องฟู โดยคนทอดจะต้องทอดให้เป็น และโรตีที่ดีนั้นจะต้องหอมเนยซึ่งสมัยนี้เนยมีราคาแพง เขาจึงใช้มาการีนแทนกัน ซึ่งรสชาติและกลิ่นอาจจะสู้เนยไม่ได้แต่ก็สามารถนำมาใช้แทนเนยได้ กินได้เหมือนกัน

    การกินโรตีที่ถูกต้องและได้รสชาติที่อร่อย จะต้องกินให้เป็นนะครับ คือ เมื่อได้โรตีที่เพิ่งทอดมาสด ๆ ใหม่ ๆ แล้วจะต้องฉีกเป็นชิ้น ๆ แล้วใช้นิ้วมือหยิบเพื่อนำชิ้นโรตีไปจิ้มกับน้ำแกงกิน หรือไม่ก็เอาโรตีไปช่วยหยิบชิ้นเนื้อ ไม่ว่าจะเป็นเนื้อไก่หรือเนื้อวัวที่นำมาทำเป็นกะหรี่ โดยจะกินโรตี
    แทนข้าวครับ


    ส่วนวัฒนธรรมการกินมะตะบะผมได้บรรยายไว้ด้านบนแล้วว่าทำไมต้องกินมะตะบะกับ อาจาด เพราะจะได้ช่วยล้างปากและช่วยเราย่อยด้วยครับ ซึ่งที่ผมกล่าวมานั้น คือ หัวใจการกินของอาหารอิสลามในบางอย่างครับ.


    หมึกแดง


    หมึกแดงไกด์ เวบไซต์ที่รวบรวมสูตรอาหาร ไทยและเทศ ที่เขียนโดยเชฟหมึกแดง รวมถึงบทความต่าง









    .


    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=486&contentId=145565-

    .

    Daily News Online > หน้าวาไรตี้ > ชวนชิม"อาหารมุสลิม"หลากรสชาติมากความอร่อย

    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...