พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ข้อความของคุณเพชร

    อ้างอิง:
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    วันนี้ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศผลสอบข้อเขียน 2 สาขา ผลสอบผ่านทั้ง 2 สาขา รอสอบภาคปฏิบัติวันที่ 4-5 เป็นรอบสุดท้ายครับ ปีหน้าก็สอบเวชกรรมอีก 1 สาขา วันนี้ได้คุยกับคุณ newcomer เสียดายที่กำลังติวสอบอยู่ เลยไม่สามารถคุยได้นาน ขออภัยด้วยครับ..

    เอาไว้มาคุยหลังสอบเสร็จนะครับ..
    </TD></TR></TBODY></TABLE>
    จบข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    -----------------------------------------------

    เรียนคุณอนัตตัง

    ผมขอให้คุณอนัตตัง แสดงความคิดเห็น(ในทางโลก) ที่เกี่ยวกับข้อความของคุณเพชร ไม่น้อยกว่า 10 บรรทัด
    และ แสดงความคิดเห็น(ในทางธรรม) โดยต้องยกธรรมะที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อีกไม่น้อยกว่า 10 บรรทัด ครับ

    ขอบคุณครับ
    sithiphong
    21/5/2554


    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>กลยุทธ์แก๊งค์ปั่นหุ้นใหม่ พิฆาต 'ขาใหญ่'เคล็ดลับเล่นหุ้นรวย!</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>19 พฤษภาคม 2554 09:33 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left> • 'เซียนหุ้น'ในตลาดหุ้นวันนี้กำลังถูกเปลี่ยนมือ
    • บรรดาขาใหญ่ที่เคยเป็นผู้ชี้นำตลาดฯและสร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำต่างหวาดผวาเพราะพ่ายเซียนอย่าง Prop. Trade ที่ ‘ทุนหนา-รู้เร็ว -ซื้อเร็ว ทำกำไรได้เร็ว และทุบเร็ว’
    • ชี้พฤติกรรมเล่นหุ้นกลุ่มทุนยุคปชป.กับเพื่อไทยใครแสบกว่ากัน
    • ที่สำคัญกลยุทธ์แบบ Day Trade ทำให้ตลาดหุ้นเป็นแหล่งการพนันที่คึกคัก
    • โดยเฉพาะตลาดหุ้นหาดใหญ่มือหนัก เกิดธุรกิจปล่อยเงินกู้ รวมขบวนปั่นหุ้น
    • ใคร! ไม่อยากเป็นแมงเม่าในตลาดหุ้นต้องรู้ทันเซียน.....!!!!

    แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำจากการเข้าไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หรือตลาดหุ้นไทย แต่สำหรับนักลงทุนใหม่ๆ หรือนักลงทุนรายย่อยแล้ว มีคนไทยอีกจำนวนไม่น้อยทีเดียว ที่แห่กันเข้าไปเล่นหุ้นแล้วเจ๊งขาดทุนย่อยยับ

    รู้ไม่ทันขาใหญ่
    รายย่อยเป็นเหยื่อตลอดกาล

    แม้ตลาดหุ้นจะมีกฎเกณฑ์รองรับเพื่อไม่ให้เกิดการปั่นหุ้นมากมาย แต่เบื้องหลังแล้ว หลายคนต่างรู้ดีว่า ในตลาดหุ้นนั้น มี “เจ้าของหุ้น” และ “ขาใหญ่” หรือ “เซียนหุ้น” มือพระกาฬ ที่มีความชอบในการเก็งกำไรราคาหุ้นต่างๆ อยู่ก่อนแล้ว แต่ด้วยคนกลุ่มนี้เป็นผู้ที่ศึกษาและอยู่ในวงการตลาดหุ้นหลายต่อหลายปีเขาเหล่านั้นจึงมีความเชี่ยวชาญในการลงทุนในตลาดหุ้น อีกทั้งหลายๆ คนยังรู้จักกัน แถมมีข้อมูลวงในบริษัทต่างๆ (Insider) ด้วยแล้วยิ่งทำให้ขาใหญ่ และเจ้าของหุ้นบางตัวมีส่วนสำคัญในการทั้งสร้างและทุบราคาหุ้นในตลาดหลักหุ้นไทยมาโดยตลอด

    ที่ผ่านมานักลงทุนรายย่อยที่นิยมเล่นหุ้นแบบไม่ศึกษาก็มักตกเป็นเหยื่อของขาใหญ่เหล่านั้นแบบที่เรียกว่า “แมงเม่าบินเข้ากองไฟ” เล่นหุ้นขาดทุนกัน หมดตัวกันมานักต่อนัก

    อย่างไรก็ดีขาใหญ่นั้นมีกลยุทธ์ที่น่าสนใจในการเล่นหุ้น คือเลือกเล่นหุ้นทั้งหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี (Value Investor) และเล่นหุ้นแบบเก็งกำไร (Day Trade) โดยหุ้นที่เก็งกำไร ขาใหญ่ต่างๆ มักจะมีทั้งรวมกลุ่มกัน เพื่อเข้าไปซื้อหุ้นตัวเดียวกันในจำนวนมากๆ เป็นล็อตๆ ในเวลาที่ไม่ต่างกันมาก เพื่อดันราคาหุ้นนั้นๆ ให้สูงขึ้น เมื่อนักลงทุนรายย่อยเห็นสัญญาณหุ้นที่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในราคาหุ้นที่ไม่แพงนัก ก็มักจะเข้ามาช้อนซื้อหุ้นตัวนั้นๆ เพราะคิดว่าราคาหุ้นจะขึ้นอีกไกล แต่หารู้ไม่ว่าช่วงนั้นขาใหญ่จะเทขายหุ้นอย่างรวดเร็วจนหมด และออกไปเล่นหุ้นตัวอื่นเรียบร้อยแล้ว ทำให้นักลงทุนรายย่อยที่ตามเข้าไปซื้อเหล่านั้น ติดยอดดอย และขาดทุนจากหุ้นเหล่านี้เป็นจำนวนมาก

    นอกจากนี้ การเล่นหุ้นของขาใหญ่เริ่มมีความซับซ้อนมากขึ้น โดยร่วมมือกับทั้งเจ้าของบริษัท ดีลเมกเกอร์ (Deal Maker) และมาร์เกตเมกเกอร์ (Market Maker) เข้ามามีส่วนในการทำราคาหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง

    โดยกระบวนการปั่นหุ้นนี้จะเริ่มตั้งแต่เจ้าของบริษัทหรือเจ้าของหุ้นเดิมจะมีการคุยรายละเอียดกับดีลเมกเกอร์ ว่าจะทำการปรับโฉม

    บริษัทอย่างไร ดีลเมกเกอร์ก็จะเข้าไปดูข้อมูลภายในบริษัททั้งหมดว่าจะมีโครงการอะไรเกิดขึ้นได้หรือไม่ แล้วก็จะมีการตั้งเป้าราคาหุ้น แล้วให้เครือข่ายโบรกเกอร์ทำบทวิเคราะห์หุ้นนั้นๆ ว่าทำไมถึงควรซื้อหุ้นตัวนี้ มีโครงการที่น่าสนใจที่กำลังจะลงทุนอย่างไร จากนั้น มาร์เกตเมกเกอร์จะเข้ามามีบทบาทในการเข้ามาเก็บหุ้น ดันราคาหุ้นให้สูงที่สุด และทุบหุ้นเมื่อได้กำไรตามเป้าหมายแล้ว

    ภาพของหุ้นบริษัทนี้ จึงดูดี มีราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเพราะมีข่าวรองรับ ปัญหาคือเมื่อหุ้นขึ้นสู่เป้าหมายที่เจ้าของหุ้น ดีลเมกเกอร์ และมาร์เกตเมกเกอร์ต้องการแล้ว คนกลุ่มนี้จะทุบราคาหุ้นทิ้ง โดยขายหุ้นยกล็อต รายย่อยที่ไม่รู้เท่าทัน เห็นแต่ว่าหุ้นน่าจะมีราคาขึ้นต่อไปอีก ก็จะขายหุ้นไม่ทัน ติดยอดดอย และกลายเป็นเหยื่อของกลุ่มขาใหญ่ในที่สุด

    แต่เชื่อหรือไม่ว่า วันนี้ตลาดหุ้นไทยยังมีนักลงทุนบางประเภทที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในตลาดหุ้นมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีข้อที่ได้เปรียบกลุ่มทุนเดิม เข้ามาทำราคาหุ้น และมีอิทธิพลในตลาดหุ้น อย่างที่ “ขาใหญ่” ที่ยึดหัวหาดในตลาดหลักทรัพย์ไทยมานานยังออกอาการหวั่นเกรง!

    โดยผู้เล่นที่เข้ามามีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นไทย ชิงกำไรจากขาใหญ่ๆ ต่างๆ 3 ผู้เล่นใหญ่ คือ นักการเมืองผู้คุมอำนาจรัฐ, กองทุนในประเทศ และ Prop.Trade (Proprietary Trader) หรือบริษัทโบรกเกอร์ซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อแสวงหากำไรโดยตรง ไม่ใช่เพียงแค่หาค่านายหน้า

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> ยุค ปชป.เหนือชั้นกว่า ไทยรักไทย

    อย่างไรก็ดีตลาดหุ้นที่เฟื่องฟูมากขึ้นทุกวันๆ นั้น ต้องยอมรับว่าสาเหตุหนึ่งเป็นเพราะฝ่ายการเมืองโดยเฉพาะฝ่ายที่กุมอำนาจรัฐในมือได้โดดเข้ามาเป็นหนึ่งในผู้เล่นหุ้น เก็งกำไรหุ้นในตลาดหุ้นไทยด้วย

    โดยในสมัยรัฐบาลไทยรักไทย เป็นที่รู้กันดีว่า คนตระกูลชินวัตร ต่างเข้ามามีบทบาทในตลาดหุ้น ทั้งครอบครัว พ.ต.ท.ทักษิณ เอง ในหุ้นกลุ่ม SHIN บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน), ADVANCE บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) ฯลฯ

    หุ้นในกลุ่มของ เยาวภา วงษ์สวัสดิ์ ได้แก่ TRAF (บมจ.ทราฟฟิกคอร์นเนอร์โฮลดิ้งส์) ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บมจ.เอ็ม พิคเจอร์ส เอ็นเตอร์เทนเม้นท์ (MPIC), SAMART (บริษัท สามารถคอร์ปอเรชั่น), SIM บมจ.ไอ-โมบาย, SAMTEL (บมจ.สามารถเทเลคอม), MLINK บมจ.เอ็มลิงค์ คอร์ปอเรชั่น ฯลฯ รวมถึง พายัพ ชินวัตร ได้เข้ามาเล่นหุ้นในตลาดหุ้น โดยร่วมมือกับขาใหญ่ในตลาด จนกลายเป็นเซียนหุ้นที่น่าจับตาคนหนึ่งในยุคไทยรักไทยเรืองอำนาจนั้น

    “หุ้นในกลุ่มพวกพ้องตระกูลชินวัตรนั้น มักจะซื้อกิจการที่เจ๊ง นำมาปรับปรุงโครงสร้าง ใช้อำนาจรัฐในการแฮร์คัตหนี้บริษัท ตกแต่งงบการเงินใหม่ คิดโครงการ สร้างข่าว แล้วค่อยนำหุ้นมาขายในตลาดหลักทรัพย์ คนกลุ่มนี้เมื่ออำนาจรัฐหมด ก็หมดบทบาทในการทำราคาหุ้นในกลุ่มตัวเองไปแล้ว” แหล่งข่าวเซียนหุ้น กล่าว

    นอกจากนี้ในเชิงนโยบาย กล่าวกันว่ารัฐบาลทักษิณยังมีการใช้กองทุนประเภทสถาบันของรัฐ เช่น กองทุนประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ ฯลฯ ได้เข้ามาซื้อหุ้นตัวใหญ่ๆ เพื่อพยุงให้ดัชนีตลาดหุ้นดูดี หากมีปัจจัยภายนอกประเทศมาทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไทยตกด้วย

    ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนจากรัฐบาลไทยรักไทยมาเป็นรัฐบาลประชาธิปัตย์ วันนี้ได้รับการยืนยันจาก “ขาใหญ่” แล้วว่า รัฐบาลประชาธิปัตย์มีวิธีการปั่นราคาหุ้นให้พลพรรคที่โดดเด่นกว่ายุคไทยรักไทยเสียอีก!

    หนึ่งในขาใหญ่ผู้เล่นหุ้นชั้นเซียนรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ตอนนี้ขาใหญ่ในตลาดหุ้นทั้งหลายกำลังโอดครวญกันมากว่า รัฐมนตรีของประชาธิปัตย์ได้เข้ามามีบทบาทเบื้องหลังในการทำราคาหุ้นบางตัวอย่างมาก และหลากหลายพฤติกรรมถือว่าผิดมารยาท

    จุดที่น่าสังเกตคือ หุ้นในกลุ่มรัฐมนตรีของรัฐบาลประชาธิปัตย์นั้น จะใช้วิธีทำราคาหุ้นที่เป็นหุ้นของรัฐ ต่างจากยุคทักษิณที่มักจะซื้อหุ้นในกลุ่มรีแฮบโก้ มาทำสตอรี่ใหม่ดันราคาหุ้น แต่ประชาธิปัตย์จะใช้วิธีสร้างดิวระหว่างบริษัทของรัฐกับเอกชน จากนั้นจะมีการปล่อยข่าวโดยตัวรัฐมนตรีเองหลายครั้งว่าจะมีการขายหรือควบรวมกิจการหุ้นของรัฐนั้นๆ หากราคาของหุ้นนั้นๆ ยังไม่ขึ้นไปสู่เป้าหมายของคนกลุ่มนี้ คือมักจะตั้งไว้ที่ราคา 2 เท่าของราคา Book เมื่อปล่อยข่าวได้ราคาแล้วก็จะมีการทำการขายหุ้นทิ้ง แต่ก่อนหน้านั้นคนในกลุ่มรัฐบาลจะเข้าไปซื้อหุ้น หรือได้หุ้นมาบิ๊กล็อตในราคาต่ำกว่าท้องตลาดทั่วไป

    “จุดสำคัญที่ขาใหญ่เขาไม่อยากยุ่งด้วยคือ พอเขาเข้าไปซื้อหุ้นที่รัฐบาลกำลังทำราคาในจำนวนมากแล้ว แต่รัฐบาลยังไม่ต้องการขาย และยังต้องการเก็บหุ้นนั้นๆ เพิ่ม ที่ผ่านมาจึงมีการออกมาพูดในสาธารณะว่าขายไม่ได้ ยังทำดีลไม่สำเร็จ หรือข่าวต่างๆ เพื่อทุบหุ้น ก่อนจะประกาศทีหลังอีกทีเมื่อพร้อมแล้วว่าการทำดีลนั้นๆ สำเร็จ ซึ่งทำให้หุ้นมีราคาสูงขึ้นจากข่าว แต่เป็นช่วงเวลาที่นักการเมืองกำลังขายหุ้นทิ้งแล้ว ขาใหญ่ที่เข้าไปเล่นหุ้นดังกล่าวเพื่อหวังทำรอบในการเก็งกำไร พอเจอรัฐบาลมาทุบราคาทีไรก็ออกไม่ทัน ติดยอดดอยก็ไม่น้อย”

    นอกจากนี้เนื่องจากคนระดับรัฐมนตรีบางคน ที่เคยเป็นวานิชธนกิจมานั้น ปัจจุบันก็ยังมีทีมงานที่อยู่ในบริษัทโบรกเกอร์รายหนึ่งอยู่มาก ทำให้ดิวของหุ้นบริษัทของรัฐบาลส่วนใหญ่ไปอยู่ในมือโบรกเกอร์แห่งนี้จำนวนมาก ซึ่งหุ้นแต่ละตัวก็มีกระบวนการสร้างข่าวโดยรัฐมนตรีคนนั้นๆ เข้าไปเกี่ยวข้องกับการให้ข่าวอันเป็นผลดีผลร้ายกับบริษัทที่เกี่ยวข้องมาโดยตลอด

    หุ้นในกลุ่มนี้ที่ขาใหญ่เชื่อว่ามีกระบวนการที่เชื่อว่ามีคนได้ผลประโยชน์ได้แก่ หุ้นธนาคารสินเอเชีย, หุ้นการบินไทย หรือ THAI บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) หุ้นธนาคารทหารไทย เป็นต้น

    โดยสินเอเชียตอนแรกมีการทั้งปล่อยข่าว ทั้งปฏิเสธว่าจะขายหุ้นให้จีน แล้วก็ไม่ขาย ทำราคาไปมาจนจบดีลที่ราคา 10 กว่าบาท จากราคาหุ้นเดิมแค่ 2 บาท หุ้นธนาคารทหารไทย ก็มีการให้ข่าวว่าจะขายให้ต่างชาติในราคา 3.20 บาท และขยับเป็น 5 บาท แต่เมื่อหุ้นขึ้นไประยะหนึ่งก็มาปฏิเสธ ทำให้มีการทุบราคาลง ขณะที่การบินไทย จาก 8 บาทขึ้นไปได้ถึง 40 กว่าบาท โดยดิวสุดท้ายคือการซื้อเครื่องบิน 2 แสนกว่าล้านบาท ซึ่งถ้ามองภาพรวมจริงๆ แล้วเป็นการเพิ่มต้นทุน แต่การออกมาพูดในแง่ดี ทำให้ราคาหุ้นการบินไทยขยับตัวสูงขึ้นตามข่าว

    “ทำให้เห็นชัดเลยว่า มีกระบวนการอินไซเดอร์เทรด ที่คนระดับรัฐมนตรีโดดมาเล่นเต็มตัวอย่างน่าเกลียด ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับกลุ่มขาใหญ่ทั่วๆ ไปแล้ว กลุ่มขาใหญ่จะถือว่าเสียเปรียบอย่างมาก”

    นอกจากนี้ รัฐบาลประชาธิปัตย์ ยังมีพฤติกรรมดันราคาดัชนีตลาดหุ้นเพื่อให้ดูสวยงามตลอดเวลาเหมือนสมัยไทยรักไทย โดยที่สำคัญจะมีการนำกองทุนมาช้อนซื้อหุ้นในตลาดหุ้นตกเช่นกัน โดยเฉพาะที่ถูกจับตามองมากที่สุดในยุคนี้คือ MFC หรือบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนเอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน)

    แม้ว่า MFC นั้นจะเป็นบริษัทหลักทรัพย์ฯ ขนาดใหญ่ที่มีรัฐบาลถือหุ้นจำนวนมาก แต่โดยการซื้อ-ขายหุ้นของ MFC นั้นยังต้องมีหลักเกณฑ์และผ่านความเห็นชอบของคณะกรรมการบริหาร ไม่สามารถนำกองทุนไปช้อนซื้อหุ้นอย่างสะดวกได้มากนัก

    ด้วยเหตุนี้จึงมีกระแสข่าวหนาหูว่า กรรมการบริหารของ MFC ขณะนี้ถูกเปลี่ยนมือมาเป็นคนสนิทรัฐมนตรีคลังคนหนึ่งแล้วด้วย จริงหรือไม่?

    เพราะช่องทางที่ MFC จะเข้าไปทำราคาหุ้นต่างๆ นั้นก็ยังมีอยู่ หากได้รับคำสั่งลับจากรัฐบาล เพราะ MFC ทำไม่สะดวก แต่ MFC เป็นผู้ถือหุ้นหลักของกองทุนวายุภักษ์ที่เป็นของรัฐบาล

    “MFC ไม่น่าจะมีบทบาทในการทำราคาหุ้นได้มากนัก แต่วายุภักษ์ทำได้แน่นอน เพราะเป็นของรัฐบาลโดยตรง ตรงนี้รัฐบาลจะใช้ในการเข้ามาช้อนซื้อหุ้นเพื่อพยุงดัชนีตลาดหุ้นไทยก็เป็นไปได้มาก” แหล่งข่าวเซียนหุ้น กล่าว

    อย่างไรก็ดี นอกจากผู้เล่นที่เป็นกลุ่มการเมืองแล้ว ผู้เล่นประเภท “กองทุน” และ “Prop.Trade” นั้น ขณะนี้ก็ถือเป็นผู้เล่นที่ทำให้ “ขาใหญ่” หนาวๆ ร้อนๆ ไม่แพ้กลุ่มอำนาจการเมือง!

    สัดส่วนตลาดหุ้น
    เปลี่ยนมือผู้เล่น

    ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัท หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สัดส่วนในการลงทุนในตลาดหุ้นของไทยมีการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว โดยแต่เดิม ถ้ามองตามสัดส่วนนักลงทุนกลุ่มต่างๆ พบว่าข้อมูลจากปี 1992 จะมีนักลงทุนรายย่อยเป็นกลุ่มใหญ่สุดคือประมาณ 61% มีการลงทุนจากต่างประเทศ 27% จาก Prop. Trade (Proprietary Trader หรือบริษัทโบรกเกอร์ซื้อขายหลักทรัพย์เพื่อแสวงหากำไรโดยตรง ไม่ใช่เพียงแค่หาค่านายหน้า) ประมาณ 7% และกองทุนในประเทศ 6%

    ขณะที่ข้อมูลล่าสุดเมื่อเดือนเมษายน 2554 สัดส่วนที่มากที่สุดยังเป็นนักลงทุนรายย่อยอยู่ที่ 59% ต่างชาติ 22% ต่อมาเป็น Prop.Trade เพิ่มขึ้นมากที่สุดเป็น 12% และกองทุนในประเทศเพิ่มการลงทุนเป็น 8%

    จุดที่น่าสังเกตคือหลังวิกฤตการเงินในสหรัฐอเมริกา รอบล่าสุด หรือ Hamburger Crisis ทำให้นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาเล่นหุ้นในตลาดหุ้นไทยมีสัดส่วนน้อยลง ส่งผลให้กองทุนในประเทศไทย และ Prop.Trade มีบทบาทในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น

    เมื่อเปรียบเทียบข้อได้เปรียบกับนักลงทุนทั่วไปแล้ว นักลงทุนประเภทกองทุนจะมีข้อได้เปรียบที่เด่นๆ 3 ประการคือ

    1.มีข้อมูลที่หลากหลายกว่านักลงทุนทั่วไป เพราะโบรกเกอร์ต่างๆ จะวิ่งเข้าไปหาเพื่อให้ข้อมูล และบริการที่ครบถ้วน

    2.เนื่องจากการลงทุนแบบสถาบัน หรือกองทุนนั้นเนื่องจากมีขนาดใหญ่ จึงมีอำนาจในการต่อรองสูง เช่น การขอลดค่าคอมมิชชั่น หรือได้วอลุ่ม (Volumn)

    3.ได้เปรียบในการได้รับการเสนอหุ้น IPO หรือหุ้น Big Lot ได้มากกว่ารายย่อย

    โดยกองทุนต่างๆ ที่เข้ามามีบทบาทในตลาดหลักทรัพย์ไทยในปัจจุบันนี้นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นลักษณะของกองทุนรวมที่เกิดจากบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ซึ่งกลุ่มนี้จะสามารถออกผลิตภัณฑ์กองทุนย่อยๆออกมาเพื่อเสนอขายให้ประชาชนทั่วไปได้หลากหลาย และออกมาเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ก็จะมีกองทุนสถาบันใหญ่ๆ ของรัฐ เช่น ประกันสังคม กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ, MFC และวายุภักษ์

    อย่างไรก็ดี ในการซื้อหุ้นของกองทุนทั่วไปนั้น ส่วนใหญ่จะมีนโยบายในการซื้อหุ้นที่จำกัดขนาดของหุ้น คือจะซื้อหุ้นที่มาร์เกตแค็ปน้อยเกินไปไม่ได้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่ากองทุนนั้นๆ มีนโยบายในการบริหารพอร์ต หรือเข้าซื้อหุ้นอย่างไร

    แล้วกองทุนแบบไหนที่ “ขาใหญ่” กลัว?
    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    -http://www.manager.co.th/mgrweekly/viewnews.aspx?newsID=9540000060965-












    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .


    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>กลยุทธ์แก๊งค์ปั่นหุ้นใหม่ พิฆาต 'ขาใหญ่'เคล็ดลับเล่นหุ้นรวย!</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=center align=left>โดย ผู้จัดการ 360° รายสัปดาห์</TD><TD class=date vAlign=center align=left>19 พฤษภาคม 2554 09:33 น.</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>


    -http://www.manager.co.th/mgrweekly/viewnews.aspx?newsID=9540000060965-

    ทริกเกอร์ฟันด์
    เข้าเร็วออกเร็วรายใหญ่มึน

    โดยกองทุนประเภทหนึ่งที่ “ขาใหญ่” ในตลาดหุ้นต่างจับตาว่าค่อนข้างมีอิทธิพลในตลาดหุ้นมากขึ้นๆ ได้แก่ กองทุนประเภท Tricker Funds

    “ตอนนี้มีคนกลุ่มใหม่ๆ เข้ามาเล่น พวกนี้ไม่มีชื่อเสียงเรียงนาม เอ่ยชื่อมาก็ไม่มีใครรู้จัก แต่โนเนม คนกลุ่มนี้คือพวกกองทุนต่างๆ ที่ออกโปรดักส์ใหม่ๆ มาจำนวนมาก โดยเฉพาะกองทุนประเภททริกเกอร์ ฟันด์ (Tricker Fund) หรือทาร์เก็ต ฟันด์ (Target Fund) กองทุนพวกนี้มีพฤติกรรมการเล่นหุ้นที่น่ากลัวมาก” เอกยุทธ อัญชันบุตร ผู้ได้รับการยอมรับว่าเป็นเซียนหุ้นคนหนึ่ง กล่าว

    โดยกองทุนทริกเกอร์ ฟันด์นี้ จะมีเป้าหมายของแต่ละกองทุนที่ชัดเจน เช่นกองทุนนี้มีเป้าสร้างกำไร 10% คืนให้ผู้ถือหน่วยลงทุน บางกองทุนก็ตั้งเป้ากำไรมากถึง 15%

    เอกยุทธ เปิดเผยว่า กองทุนทริกเกอร์ ฟันด์เหล่านี้ นอกจากหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี หรือหุ้น Blue ship แล้ว ก็จะมีพฤติกรรมเข้าไปเล่นหุ้นแบบ Day Trade มากขึ้น เพื่อสร้างกำไรด้วย ซึ่งกองทุนเหล่านี้ทำเนื่องจากเป็นกองทุนขนาดใหญ่ มีจำนวนเงินมาก เมื่อมาซื้อหุ้นขนาดกลางและเล็กแล้ว ก็มักทำให้ราคาหุ้นขึ้นสูงได้ในเวลาอันรวดเร็ว และเทขายไปในเวลาอันรวดเร็วเช่นกัน

    “กองทุนประเภทนี้เขามีเป้าหมายที่ 10% เมื่อทำกำไรได้แล้ว เขาไม่สนว่าใครจะเล่นตามอย่างไร ก็จะเทขายหุ้นทั้งหมดทิ้งทันที ซึ่งไม่ใช่แค่รายย่อยที่ติดยอดดอย เทขายไม่ทันตามกองทุนแล้ว พวกขาใหญ่หลายคนก็ต้องติดกับอยู่ในหุ้นเหล่านี้ด้วย”

    แม้แต่กองทุนระยะยาว Long term มองว่าจะเล่นได้ยากขึ้น เพราะเจอกองทุนประเภทนี้หรือที่เรียกว่า Hit and Run อย่างเดียว เข้ามาเร็ว ออกเร็ว ในระยะเวลาสั้นมาก แถมกองทุนประเภทนี้ยังเป็นกองทุนที่ตั้งได้ง่าย เพราะบริษัทแม่เป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์อยู่แล้ว จึงคาดว่ากองทุนประเภทนี้จะมีเพิ่มขึ้นอีกมาก

    “สมมติมี 10 กองทุน Tricker funds ในตลาดตอนนี้ รวมๆ แล้วมีเงินประมาณ 5 หมื่นล้านบาท เมื่อมาซื้อหุ้นแบบ Day Trade พอได้กำไรรวมครบ 10% ก็เทขายหุ้นหมดเลย แม้ไม่ใช่การทุบหุ้น ก็เหมือนกับการทุบหุ้นซึ่งคนที่ขายไม่ทันก็ติดยอดดอย”

    ปัจจัยบีบกองทุนรวมทุบหุ้น

    ด้าน ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิกุล เจ้าของศิริวัฒน์แซนด์วิช หรือฉายาเซียนหุ้นข้างถนน กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยนั้นมีปัจจัยเข้ามาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเล่นหุ้นที่ซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้นแม้แต่กองทุนรวมระยะยาว หลายครั้งยังมีพฤติกรรมต้องออกจากหุ้นเร็วกว่าปรกติ

    “สิ่งที่เหมือนเดิมของตลาดหุ้นไทย มีเพียงปัจจัยเดียวคือผู้ที่เข้ามาเล่นหุ้น ยังมีพฤติกรรมเป็นนักเก็งกำไรมากกว่าเป็นนักลงทุน”

    โดยปรกติ ผู้เล่นหุ้นในประเทศไทย จะได้กำไรหรือไม่นั้น มักจะอยู่ที่เงินลงทุนจากต่างประเทศว่าเข้ามาซื้อขายหุ้นในประเทศไทยมากน้อยเพียงไรในช่วงนั้นๆ หากต่างชาติเข้ามาซื้อหุ้นไทยมาก นักเล่นหุ้นในประเทศไทยก็มักจะได้กำไรจากการเล่นหุ้น ดัชนีตลาดหุ้นโดยรวมก็จะดี แต่ช่วงใดที่นักลงทุนต่างชาติเทขายหุ้นออกไปจำนวนมาก ตลาดหุ้นไทยก็จะซบเซา

    แต่นอนว่า นักเล่นหุ้นกลุ่มกองทุน ก็เป็นนักเล่นหุ้นกลุ่มที่น่าจับตา เนื่องจากมีพฤติกรรมการเล่นหุ้นเหมือนนักลงทุนทั่วไป คือ เล่นหุ้นตามนักลงทุนต่างชาติ เพราะจะทำให้ได้กำไรได้ง่าย และไม่เสี่ยงมากนัก

    โดยนักเล่นหุ้นกลุ่มกองทุน ปรกติจะเป็นนักลงทุนกลุ่มที่ได้เปรียบด้านข้อมูลมากกว่านักลงทุนกลุ่มอื่นๆ ทั้งบทวิเคราะห์ และจำนวนขนาดของกองทุนที่ใหญ่กว่านักลงทุนทั่วไป ปรกติแล้วส่วนมากก็จะมีการเล่นหุ้นในกลุ่ม SET 50 หรือหุ้นกลุ่มปัจจัยพื้นฐานดี

    แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีพฤติกรรมในการออกจากหุ้นนั้นๆ เร็วแบบเทขายหุ้นทิ้ง!

    เพราะเมื่อต่างชาติเทขายสุทธิ หรือ Net Sale ออกจากตลาดหุ้นไทย เพราะมีเหตุการณ์จากต่างประเทศมากระทบ กองทุนเหล่านี้ก็จะวิเคราะห์แล้วว่า อีกไม่นานต่างชาติก็จะกลับมาซื้อหุ้นตัวดังกล่าวคืน โดยเฉพาะหุ้นตัวใหญ่ๆ เนื่องจากปัจจัยพื้นฐานของหุ้นยังดูดี และมีทิศทางเติบโตเหมือนเดิม ผู้บริหารกองทุนฯ ต่างๆ ก็ยังมีเป้าหมายจะถือหุ้นตัวนั้นๆ ต่อไป

    กองทุนรวมต่างๆ บางครั้งจึงต้องเทขายหุ้นดีๆ ทิ้งไป เพราะถูกบีบ!

    ศิริวัฒน์ กล่าวว่า กองทุนรวมจะมีข้อเสียคือ ผู้ถือหน่วยลงทุน ซึ่งเป็นประชาชนทั่วไป จะยังมีพฤติกรรมในการเล่นหุ้นแบบตื่นตระหนกง่าย กล่าวคือ เมื่อเห็นดัชนีตลาดหุ้นตกต่ำ หรือเห็นตัวเลขหุ้นเป็นแถบแดงเกือบทั้งหมด ก็จะตกใจและเทขายหุ้นทิ้ง เช่นเดียวกับผู้ถือหน่วยลงทุนที่จะตกใจง่าย และรีบไปเอาเงินคืนจากหน่วยลงทุนต่างๆ เมื่อผู้ถือหน่วยลงทุนไปคืนหน่วยลงทุนจำนวนมาก ก็เท่ากับเป็นการบีบผู้บริหารกองทุนรวมต่างๆ ให้ต้องตัดใจเทขายหุ้นทิ้งเพื่อเอาเงินมาคืนผู้ซื้อหน่วยลงทุนจำนวนมากนั้นๆ ทำให้ตัวกองทุนที่แม้จะเล่นหุ้นระยะยาว หรือ Long Term เองนั้น ก็ต้องมีพฤติกรรมในการออกจากหุ้นเร็วกว่าปรกติ และทำให้ราคาหุ้นตกลงอย่างรวดเร็วได้เช่นกัน

    อีกกลุ่มหนึ่ง เนื่องจากปัจจุบันนี้บริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ มีความสามารถในการออกผลิตภัณฑ์กองทุนย่อยๆ ที่หลากหลาย ในหลายๆ กองทุน แม้ว่าจะยังมีกฎเกณฑ์ที่ต้องเน้นการเล่นหุ้นขนาดใหญ่ แต่พบว่าในข้อเท็จจริงแล้ว มีบางกองทุนในประเทศไทยนั้น ซึ่งคาดว่าอาจจะมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับผู้บริหารบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ขนาดกลางและเล็กบางตัว จนได้ข้อมูลอินไซเดอร์มา ก็จะมีการนำเงินกองทุนบางส่วนมาซื้อหุ้นเหล่านั้นเพื่อทำกำไรระยะสั้น ซึ่งจะมีพฤติกรรมการเล่นหุ้นคล้ายๆ กับที่ขาใหญ่ในตลาดหุ้นไทยเล่นหุ้น แต่กลุ่มนี้เชื่อว่ายังมีไม่มากนัก

    แค่ 5% กองทุนปั่นหุ้นสะเทือน

    เมื่อกองทุนนั้นๆ มีจำนวนเงินมาก มีผู้ซื้อหน่วยลงทุนจำนวนมาก มีกรรมการบริหารเป็นบอร์ดกองทุนหลายคน ทำให้กองทุนเหล่านั้นจะนำเงินมาเสี่ยงในการเล่นหุ้นเหล่านี้ไม่ได้มากนัก คือน่าจะประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ 5 เปอร์เซ็นต์ของกองทุนหนึ่งๆ ก็ยังถือว่าเป็นจำนวนมากพอที่จะสามารถเข้ามาทำราคาหุ้นนั้นๆ ได้เช่นกัน ซึ่งเนื่องจากเงินก้อนใหญ่ และเสี่ยงไม่ได้มาก กองทุนเหล่านี้ก็จะเล่นหุ้นได้กำไรสัก 20-25% แล้วก็จะเทขายหุ้นนั้นทิ้งทันที ซึ่งก็ใช้ระยะเวลาไม่นานนัก

    ดังนั้น รายย่อยที่ไม่ดูให้ดีก็อาจเจ็บตัว เพราะเห็นแต่ราคาหุ้นในกระดานขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่พอเวลากองทุนออกจากหุ้น รายย่อยขายหุ้นออกไม่ทันก็มีมาก!

    “รายย่อยกินน้ำใต้ศอกผู้เล่นกลุ่มอื่นหมดทุกกลุ่ม จึงต้องเช็กข่าวให้ดี ถ้าไม่มีโอกาสเข้าพบผู้บริหาร ก็อย่าไปเสี่ยงซื้อหุ้นตัวเล็กๆ ซื้อหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี จะดีกว่า อย่างน้อยๆ ถึงแม้จะเสีย แต่ก็ไม่ได้เสียเหมือนหมดตัว และต่างชาติก็จะเข้ามาเล่นหุ้นเหล่านั้นเป็นรอบๆ อยู่แล้ว”

    Prop.Trade
    ผู้เล่นที่น่ากลัวที่สุด

    สำหรับผู้เล่นใหม่ในตลาดหุ้น กลุ่มที่น่ากลัวไม่แพ้กลุ่มกองทุนต่างๆ เวลานี้พบว่าคือ Prop.Trade คือการที่โบรกเกอร์ต่างๆ ลงมาเล่นหุ้นในตลาดหุ้นเองเพื่อเก็งกำไร

    ความน่ากลัวของ Prop.Trade เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มผู้เล่นหุ้นที่รายย่อยไม่มีโอกาสตามทันมากที่สุด!

    แหล่งข่าวในกองทุนประเภทสถาบันฯ แห่งหนึ่ง เปิดเผยว่า Prop.Trade เป็นผู้เล่นหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ได้เปรียบผู้เล่นอื่น 2 ประการคือ

    1.มีข้อมูลวิเคราะห์หลักทรัพย์ที่รวดเร็ว และมีข้อมูลเปรียบเทียบเชิงสถิติที่แม่นยำ

    2.เนื่องจากเป็นแหล่งที่กองทุนต่างประเทศ และนักลงทุนขาใหญ่จะใช้บริการในการซื้อขายหุ้นของตัวเองผ่านโบรกเกอร์เหล่านี้ ดังนั้นโบรกเกอร์เหล่านี้จะรู้ก่อนใครว่า ต่างชาติกำลังจะซื้อหุ้นตัวใด จำนวนเท่าไร และขาใหญ่ในประเทศจะซื้อหุ้นตัวใด ราคาเท่าไร

    Prop.Trade ก็จะเข้าไปซื้อหุ้นตัวนั้นๆ ในจังหวะก่อน หรือพร้อมๆ กับที่ให้บริการลูกค้าประเภทกองทุนต่างชาติ และขาใหญ่ในประเทศ ซึ่งเขาสามารถทำได้

    “ตอนนี้ Prop.Trade เร็วสุด เพราะรู้ข่าวก่อนใคร รายย่อยกว่าจะรู้ว่า Prop.Trade เล่นตัวไหน ก็อาจเป็นรอบที่ 3 ที่ Prop.Trade เข้าไปเล่นหุ้นทำกำไรในวันนั้นๆไปแล้ว ยังไงรายย่อยก็ตามไม่ทัน”

    ส่วนจะดูว่า Prop.Trade ไหนรายได้ดีสุด จึงไม่ยาก ต้องดูข้อมูลว่าโบรกเกอร์ใดที่มีลูกค้าต่างชาติมากที่สุด Prop.Trade เหล่านั้นก็ยิ่งได้เปรียบผู้เล่นหุ้นกลุ่มอื่นๆ มากที่สุด

    ขาใหญ่หนี - ทำกำไร 600% ก่อนออก

    เอกยุทธ อัญชันบุตร ระบุว่า เมื่อตลาดหุ้นมีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ แน่นอนว่า “ขาใหญ่” ก็ต้องหาวิธีหนี เพราะทั้งกองทุน และ Prop.Trade เข้าออกหุ้นแต่ละที ขาใหญ่ในตลาดหุ้นยังสะเทือน!

    “ตลาดหุ้นเล่นยากขึ้น เมื่อเล่นยากขึ้น ขาใหญ่ต่างๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเล่นหุ้น”

    จากเดิม ขาใหญ่เมื่อเข้าไปเล่นหุ้นแบบ Day trade นั้น ก็ยังจะใช้วิธีเดิมคือซื้อหุ้นล็อตใหญ่ ไล่ราคาขึ้นไป แต่จากเดิมนั้น ขาใหญ่จะเอากำไรจากหุ้นตัวหนึ่งเพียงประมาณ 200-300 เปอร์เซ็นต์ แต่ทุกวันนี้การเล่นเปลี่ยนไป ต้องได้กำไร 400-600 เปอร์เซ็นต์ในหุ้นตัวหนึ่งๆ แล้วจะมีการเทขาย

    เช่นที่ผ่านมา มีหุ้นที่มีราคาขึ้นสูงถึง 400-600 เปอร์เซ็นต์ในระยะเวลาสั้นๆ 3 ตัวที่มีลักษณะดังกล่าวได้แก่ IVL, PTL, AJ

    “อันนี้คือพฤติกรรมใหม่ของนักเล่นหุ้นรุ่นเก่า แต่ทุกวันนี้จะไม่เล่นหุ้นปั่นอย่างเดียว หุ้นตัวที่ขาใหญ่เข้ามาเล่นจะมีปัจจัยพื้นฐานรองรับ แต่ราคาโอเวอร์”

    เมื่อขาใหญ่ร่วมมือกันหลายๆ ราย โดยรายหนึ่งซื้อคนละ 200-300 หุ้น ราคาหุ้นก็ขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนดันราคาไปถึง 400-600% พอราคาขึ้นถึงจุดนี้แล้ว ก็จะมีการเทขายหุ้นทิ้ง แต่จะไม่ทิ้งจนหมด เพราะจะมีการทุบให้ราคาลงมาอยู่ที่ประมาณครึ่งหนึ่ง แล้วจะมีการทำราคาใหม่อีกรอบ

    เมื่อขาใหญ่ปรับตัวแรง ก็ยังมีคนอีกกลุ่มหนึ่งที่มาพึ่ง “ขาใหญ่” กลุ่มนั้นคือนักการเมือง!

    “นักการเมืองทุกกลุ่มลงมาเล่นหุ้นในตลาดหุ้น โดยเฉพาะนักการเมืองที่อยู่ในฟากรัฐบาล”

    โดยนักการเมืองนั้นจะมีวิธีที่เล่นหุ้นต่างกัน สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ ถือว่าได้เปรียบในตลาดหุ้นที่สุดในเวลานี้เนื่องจากมีอำนาจรัฐอยู่ในมือ

    ทำให้เห็นว่ามีกระบวนการอินไซเดอร์เทรด ก็เป็นอีกหนึ่งกลุ่มที่ทำให้ขาใหญ่เสียเปรียบ แต่ทั้งนี้เนื่องจากนักการเมืองหลายคนก็อยู่ในแวดวงธุรกิจ ทำให้ระยะหลังมีการรวมตัวของกลุ่มนักการเมืองกับขาใหญ่ เพื่ออาศัยกันทำราคาหุ้นปรากฏด้วย

    “ภูมิใจไทยก็เล่นหุ้น แต่มีลักษณะเล่นหุ้นเป็นตัวๆ มักจะขี่หุ้นที่ประชาธิปัตย์ทำราคา หรือเรียกว่าหุ้นรัฐบาล แต่ไม่ได้ทำเอง จะใช้วิธีอาศัยขาใหญ่ในตลาดหุ้นทำให้ แล้วเล่นหุ้นตามไปด้วย ซึ่ง ส.ส.ในพรรคก็จะเข้ามาเล่นหุ้นตัวนั้นๆ ตาม ทำให้มีการหาเงินจากตลาดหุ้นมาใช้ในการเลือกตั้งได้อีกวิธีหนึ่ง”

    การที่ ส.ส.หรือนักการเมืองหันมาหาเงินในตลาดหุ้นนั้น ก็เป็นเพราะการที่ได้เงินง่าย ถูกกฎหมาย มีเงินไปเลือกตั้งมากกว่าการคอร์รัปชันในวงราชการที่ทำได้ยากขึ้น และยิ่งมีการจับมือกับขาใหญ่ในตลาดหุ้นด้วยแล้ว โอกาสได้เงินเป็นกอบเป็นกำทั้งนักการเมือง-ขาใหญ่ ยังเป็นแบบ win-win

    2 รูปแบบใหม่ขาใหญ่เล่นหุ้น-ได้กำไรหลายต่อ

    อย่างไรก็ดี การปรับพฤติกรรมในการเล่นหุ้นของขาใหญ่ นอกจากจะจับมือกับนักการเมืองแล้ว ขาใหญ่ยังพัฒนารูปแบบการเล่นหุ้นขึ้นอีก 2 รูปแบบ ได้แก่

    1.ขาใหญ่ใช้วิธีเรียกว่า ร่วมกันปั่น ต่างคนต่างเล่น โดยใช้ข้อมูล Insider Trader โดยเฉพาะข้อมูลที่ได้มาจากฝ่ายการเมือง โดยจะมีการบอกต่อๆ กันแบบปากต่อปาก ว่าให้ช่วยกันเข้าไปเล่นหุ้นตัวนี้ ในเวลานี้ จะมีข่าวดีอย่างไร ลักษณะการเล่นแบบนี้เนื่องจากเป็นแบบต่างคนต่างเล่น ฉะนั้นทุกคนที่เล่นจะต้องหาจังหวะเอาเงินออกจากหุ้นตัวนั้นๆ ด้วยตัวเอง และต้องออกให้ทันเพื่อนกลุ่มเดียวกัน โดยจะต้องคอยสังเกตหุ้นแบบ Real Time โดยส่วนใหญ่ ขาใหญ่คนหนึ่งจะมีสาขาอยู่มากถึง 20 ขา ทุกคนจะต้องรอการเป่านกหวีดให้ซื้อหุ้นนั้นๆ เวลาใดจากขาใหญ่ และเข้าไปซื้อไล่ราคากันในขณะนั้นทันที ซึ่งต้องอยู่ที่ฝีมือแต่ละคนด้วย ใครใจถึงกว่ามักได้เปรียบ

    2.ขาใหญ่ให้ผู้เล่นหุ้นอื่นๆ ใช้มาร์จิ้นของตัวเอง กล่าวคือ มีเงินอยู่ 100 ล้านบาท แต่อยากเล่นหุ้นในวงเงิน 1,000 ล้านบาท ขาใหญ่จะให้ผู้เล่นหุ้นนั้นๆ มาใช้มาร์จิ้นเล่นหุ้นในพอร์ตของตัวเอง ซึ่งขาใหญ่จะได้กำไรจากดอกเบี้ย ซึ่งเท่าที่รู้มาจะเก็บดอกเบี้ยประมาณ 2% จากวงเงินรวม และหากผู้เล่นนั้นๆ ไม่นำเงินมาใส่บัญชีให้ขาใหญ่ในช่วงที่จะต้องใส่ ขาใหญ่จะถืออภิสิทธิ์ในการขายหุ้นนั้นๆ ทิ้งทันที

    เซียนหุ้นหาดใหญ่เล่นหนัก
    ซื้อเดย์เทรดคล้ายตลาดการพนัน

    ตลาดหุ้นภูธร คึกคักในหัวเมืองใหญ่ โดยเฉพาะหาดใหญ่บรรดาลูกเถ้าแก่ ผันตัวสู่การเป็นนักเล่นหุ้นรุ่นใหม่ใจถึงเทรดวันละ 2-3 ล้านบาท ชี้พฤติกรรมการลงทุนนิยมเล่นเร็ว แบบเดย์เทรดคล้ายการพนัน และยังมีนายทุนหนุนเงินด้วยการปล่อยกู้ - ผนึกกำลังลากหุ้นสู่เป้าหมาย ส่งผลให้มีวอลุ่มสูงถึงวันละ 100 ล้าน ติดอันดับ 2ของประเทศ

    การวิเคราะห์ภาพตลาดรวมหุ้นต่างจังหวัด ผ่านนักเล่นหุ้นหาดใหญ่ และโบรกจังหวัดนครศรีธรรมราช มองเป็นทิศทางเดียวกันว่า ตลาดหุ้นที่หาดใหญ่ มีบทบาทต่อแนวโน้มการขึ้น - ลงของตลาดหุ้นรวม เนื่องจากเป็นตลาดที่มีวอลุ่มหุ้นที่สูงมากทั้งในเชิงปริมาณและมูลค่า โดยในแต่ละวันนักเล่นหุ้นพอร์ตใหญ่หลายๆรายมีการเทรดกันวันละ 100 ล้านบาท ในจุดนี้เองทำให้ตลาดหุ้นหาดใหญ่เป็นที่สนใจและติดตามของขาใหญ่เซียนหุ้นในกรุงเทพฯ เนื่องจากหุ้นที่นี่มีวอลุ่มสูงมีส่วนในการกำหนดชี้เทรนด์ตลาดหุ้นโดยรวม

    กลยุทธ์เล่นหาดใหญ่

    บรรยากาศการเล่นหุ้นของหาดใหญ่ ที่มีมืออาชีพพอร์ตใหญ่ระดับ 100 ล้านอยู่จำนวนไม่น้อยทำให้ตลาดหุ้นที่นี่มีความคึกคักกว่าจังหวัดอื่น ซึ่งมี นักลงทุน2 กลุ่มทั้ง มืออาชีพ และกลุ่มนักลงทุนที่เล่นตามขาใหญ่

    หลักการเทรดหุ้นของมืออาชีพที่นี่ ใช้ความรู้เทคนิคในการซื้อ-ขาย และวิธีการเลือกตัวหุ้นตามข้อมูลตามเอกสารคำแนะนำของโบรกที่ออกมาเป็น เดลี่โฟกัส ซึ่งแนะนำตัวหุ้นที่น่าสนใจ และบอกเทคนิคของกราฟ ตัวไหนดีมีโอกาสเดย์เทรดได้ หรือซื้อเก็บ แนวรับ-แนวต้านระยะยาว ส่วนหุ้นการเมืองกับความสนใจของขาหุ้นหาดใหญ่ ที่ผ่านนักเล่นหุ้นที่นี่ไม่ได้ยึดติดกับหุ้นกลุ่มนี้มากนัก จังหวะการเข้า-ออกตามกระแสความสนใจ

    อย่างไรก็ดีในระยะนี้ที่เรียกว่าเป็นเทรนด์ขาขึ้น หุ้นการเมืองกำลังมาตามกระแสการเลือกตั้ง โดยวิธีการเลือกเล่นหุ้นกลุ่มนี้ดูจากวอลุ่มและแนวโน้มว่ากำลังมา เพราะการขึ้น-ลงนั้นหุ้นจะวนกันไปมาอยู่ไม่กี่ตัว ดังนั้นไม่ได้ให้ความสนใจโฟกัสไปที่หุ้นตัวใดตัวหนึ่งโดยเฉพาะ

    สำหรับนักเล่นหุ้นหาดใหญ่อีกกลุ่ม ที่เล่นตามขาใหญ่ ที่นี่จะมีการโยนและรับลูกกับขาใหญ่หุ้นกรุงเทพฯ โดยมีการบอกตัวหุ้นที่คาดว่ากำลังจะเป็นขาขึ้นเพื่อให้กระจายให้นักเล่นเข้ามาเทรดพร้อมกันทำให้หุ้นตัวนี้มีวอลุ่มการซื้อสูง

    ลูกเถ้าแก่โดดเล่นหุ้น

    นักลงทุนในตลาดหุ้นภูธรจากเจนเนอเรชั่นแรกรุ่นพ่อและแม่ในอดีต ปัจจุบันได้พัฒนามาสู่รุ่น “ลูกเถ้าแก่”ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ ขณะกำลังศึกษาได้มีโอกาสเห็นลู่ทางการทำเงิน ตามวิถีคนเมืองแบบใช้เงินทำงานนั่นเองคือ จุดเริ่มต้นของการลงทุนในตลาดหุ้น ซึ่งครั้งแรกที่กระโดดเข้ามาเปิดพอร์ตลงทุนใช้เงินทุนก้อนแรกจากหลักหมื่น จนถึงหลักแสนบาท

    มาวันนี้เมื่อกลุ่ม “นักลงทุนลูกเถ้าแก่”ต่างจังหวัด กลับไปรับช่วงธุรกิจของที่บ้านในต่างจังหวัดหลังจบการศึกษา จากพอร์ตหุ้นระดับหมื่นบาท แสนบาท ขยายขึ้นไปเป็นหลักล้านบาทต่อวัน และด้วยพฤติกรรมการเล่นแบบเดย์เทรด ที่เน้นเร็วให้จบในวัน ทำให้นักลงทุนกลุ่มลูกเถ้าแก่จะนิยมเลือกหุ้นตัวที่มีวอลุ่มสูง เคลื่อนไหวเร็วตามกระดานหุ้นมาเก็งกำไร ซึ่งด้วยนิสัยใจคอที่มีความกล้าเสี่ยงและมีทุนสูง ทว่ายังอ่อนประสบการณขาดชั่วโมงบิน เช่นเดียวกับ “เซียนหุ้น”ที่มีประสบการณ์ สามารถมองแนวโน้มการขึ้น-ลงของหุ้นที่ถือได้ขาด ทำให้ลูกเถ้าแก่บางรายอาจได้ แต่บางรายก็สูญเสียเงินไปกับการลงทุนหุ้นเป็นตัวเลขถึง 7 หลัก

    นับว่าการลงทุนอย่างจริงจัง ของเจนเนอเรชั่นปัจจุบันรุ่นลูกเถ้าแก่นี้ เป็นกลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาจุดพลุในอนาคต ช่วยพลิกตลาดการลงทุนในหัวเมืองย่อยซึ่งมีบรรยากาศการเล่นหุ้นยังไม่คึกคัก อย่าง จังหวัดนครศรีธรรมราช ให้มีการขยายตัว เช่นเดียวกับ ตลาดหุ้นที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลาพื้นที่ใกล้เคียง

    เปิดใจนักลงทุนหาดใหญ่

    แหล่งข่าว “วงการเล่นหุ้นในอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา” กล่าวว่า รูปแบบการลงทุนหุ้นที่หาดใหญ่ จะกระจายความเสี่ยงในหุ้นทั่วไป แต่ส่วนใหญ่เทรดหุ้นที่ปริมาณการซื้อ-ขายมากๆ เพราะจะซื้อเยอะต้องมีโวลุ่มเยอะ ถ้าไม่มีสภาพคล่องเล่นไม่ได้ หากซื้อจำนวนเยอะแล้วขายไม่ได้จะปล่อยให้ใคร

    นอกจากนั้นนักลงทุนที่นี่ส่วนใหญ่เน้นเก็งกำไร เดย์เทรดซื้อ-ขายให้จบภายในวัน และมีรายใหญ่หลายราย พอร์ตใหญ่ของนักลงทุนที่นี่มีการเทรดในโวลุ่มที่สูง 100 ล้านบาทขึ้นไป มีสัดส่วนประมาณไม่ถึง 50% แต่จะเล่นกันหนัก ปริมาณมาก พอร์ตใหญ่ๆในโบรกเกอร์บางรายที่หาดใหญ่ ติดอันดับสองของทั้งประเทศ อย่างโวลุ่มของทุกสาขา ที่นี่เวลาเดย์เทรดหนักๆ โวลุ่มมาอันดับสองของประเทศ โดยโบรกหาดใหญ่ ที่มีนักลงทุนนิยมเทรดมากเป็นอันดับต้นๆ คือ กิมเอง ธนชาติ

    ส่วนหุ้นที่ซื้อได้มาจากการวิเคราะห์กันเอง เพราะเป็นลงทุนกันแบบมีหลักมีเกณฑ์ และมีความรู้ มีทักษะดูกราฟ และกลุ่มนักลงทุนในตลาดหุ้นที่นี่ ซึ่งส่วนใหญ่นักลงทุนรายใหญ่ๆที่ยังยืนอยู่ได้ทุกวันนี้ มีประสบการณ์เทรดกันมานานมากแล้วเกิน 10 ปีขึ้นไป

    ทั้งนี้ มีปรากฏการณ์การเล่นหุ้นที่อำเภอหาดใหญ่ ที่น่าสนใจ คือ แหล่งเงินกู้จากนายทุนปล่อยเงินให้กับนักลงทุนที่เล่นเดย์เทรด ซึ่งเรียกได้ว่า “จับเสือมือเปล่า” กลุ่มนี้จะมีทั้งเทรดหุ้นแบบไม่มีความรู้ในการวิเคราะห์หุ้นแต่ละตัว และอีกกลุ่มคือ นักลงทุนที่มีความสามารถในการวิเคราะห์หุ้น แต่ทุนที่มีจำกัด อีกทั้งไม่ได้เป็นรายใหญ่ ทำให้ได้รับอนมุมัติวงเงินในการเทรดหุ้นวงเงินที่สูงขนาด 100 ล้านเพราะต้องมีเงินหรือหลักทรัพย์มาค้ำประกันพอร์ต เช่นวงเงิน 100 ล้าน ต้องค้ำประกัน 15% เรียกว่าเป็นเงินที่ไม่น้อย เมื่อไม่มีทุนเพียงพอสำหรับการเทรดหุ้น การกู้เงินจากนายทุนจึงเป็นทางออก สำหรับนักเล่นหุ้นหาดใหญ่

    “ในจุดนี้หากนักลงทุนโชคไม่ดี เล่นเสียขาดทุนก็โดน2 เด้ง บวกดอกเบี้ย และส่วนต่างของราคาหุ้นที่ลดลง ซึ่งนักลงทุนในตลาดหุ้นที่ล้มหายตายจากไป เพราะแบบนี้ซื้อแล้วขาดทุนไม่มีตังค์จ่ายก็ต้องหนี” แหล่งข่าวจากวงการเล่นหุ้นกล่าว

    ตลาดหุ้นกลายเป็นแหล่งการพนัน

    ด้าน “ขนบ เสนะคุณ” ผู้จัดการ อาวุโส บริษัท คันทรีกรุ๊ป จำกัด สาขานครศรีธรรมราช กล่าวกับ “ผู้จัดการ 360 องศารายสัปดาห์”ว่า บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ยังไม่มีคึกคักมากนัก ทำให้มี คันทรีกรุ๊ป เพียงโบรกเดียวในพื้นที่นี้ ดังนั้น “เซียนหุ้น” จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียกว่า หารายใหญ่แทบไม่มี ส่วนใหญ่มีแต่ใหญ่ที่เป็นรายเล็กรวมตัวกัน ส่วนรายใหญ่ประเภทที่ว่าสามารถนำพาหุ้นได้ หรือเป็นตัวชี้นำหุ้นได้ไม่มีต่างกันอย่างสิ้นเชิงกับที่อำเภอหาดใหญ่

    โดยพฤติกรรมการเล่นหุ้นของนักลงทุนที่นี่เข้าซื้อหุ้นตามกระแส และเก็งกำไรในลักษณะเดย์เทรด -ระยะสั้น ซึ่งการเล่นในลักษณะนี้ทำให้ตลาดโตเร็ว และยิ่งมีเงินทุนนอกระบบเข้ามารับ เป็นแม่เหล็กดึงดูดให้นักลงทุนให้ความสนใจเข้ามาเล่นในตลาดหุ้นอีก ทำให้บางครั้งมองได้ว่าการลงทุนแบบเดย์เทรดกลายเป็นเรื่องของการพนันไปแล้ว แม้ว่าจะมีข้อจำกัดจาก กลต.แต่ในความเป็นจริงก็ห้ามไม่ได้ เพราะมีนายทุนส่วนหนึ่งที่คลุกคลีรองรับการลงทุนในรูปแบบนี้อยู่ประจำ นับตั้งแต่ก่อนยุคฟองสบู่แตก และหลังจากตลาดหุ้นตกก็ทำให้นักลงทุนล้มกันระเนระนาดไปแล้ว

    เซียนแนะเทคนิคเล่นหุ้นไม่ให้เจ๊ง!
    ช่วงก่อนเลือกตั้งเข้า-ออกถูกจังหวะ

    เซียนหุ้นแนะเทคนิคในการเล่นหุ้น ทั้งหุ้นการเมือง หุ้นปั่น และหุ้นข่าวลือ ที่กำลังเฟื่องฟูในตลาดหุ้นแบบมีหลักการ พร้อมการเข้า-ออกอย่างถูกจังหวะ โดยเฉพาะช่วงก่อนเลือกตั้งจะได้ไม่เป็นแมงเม่าบินเข้ากองไฟ!

    เซียนหุ้นการเมือง เผยแนวโน้มของหุ้นการเมืองที่จะมีแนวโน้มและโอกาสการเติบโตต่อไปคือ กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่มีนายทุนและพรรคการเมืองเกี่ยวพัน โดยกลุ่มนี้จะออกมารับข่าวการเลือกตั้งอีกครั้ง หลังจากที่หุ่นกลุ่มพรรคฝ่ายค้าน พรรคเพื่อไทยออกมารับข่าวการยุบสภาล่วงหน้า เห็นได้ว่าหุ้นที่มีการเติบโตอย่างชัดเจนมี 2 ตัวคือ SUSCO ซึ่งราคาขึ้นมา 2 เท่าตัว และ JASMIN มีการเติบโต 3-4 เท่าตัว ตามติดด้วย SC และ MLINK ของทางฝั่งพรรคเพื่อไทยได้ออกมารับข่าวทันทีหลังจากประกาศยุบสภา

    การเมืองไม่นิยมปั่นหุ้นแบงก์

    ส่วนหุ้นการเมืองที่รอจังหวะขึ้นนั้นมีอีกหลายๆ ตัว เนื่องจากจะมีการสร้างราคาหุ้นเพื่อนำไปใช้ในการเมือง โดยพฤติกรรมนี้ไม่ได้เกิดขึ้นหลังจากยุบสภาแล้วจึงมาปั่น เนื่องจากรัฐบาลพูดเรื่องยุบสภามานานตั้งแต่เดือนมีนาคม ดังนั้น เมื่อนักการเมืองรู้ตัวแล้วก็เตรียมหาเงิน โดยนับตั้งแต่อาทิตย์แรกของเดือนพฤษภาคมหุ้นบางตัวจึงเริ่มขยับขึ้น

    ปัจจัยที่ทำให้ “หุ้นการเมือง” เป็นขาขึ้นในช่วงนี้ เนื่องจากพวกมือใหญ่ที่จะหาเงินไปเล่นการเมือง โดยร่วมมือกันระหว่างเจ้าของหุ้น ส่วนเทคนิคที่ทำให้ราคาหุ้นการเมืองในตลาดปรับตัวขึ้น ใช้วิธีการเล่นตามข่าว และข้อมูลอินไซด์ภายใน ซึ่งเมื่อมีข่าวออกมาเพื่อจะทำให้หุ้นขึ้นไปนั้น ต้องมีเงินมาซื้อหุ้นเพื่อจะทำให้ราคาขึ้นไป

    ทั้งนี้ วิธีการเลือกหุ้นการเมืองที่จะกลับมาคึกคักนั้น มีปัจจัยที่เอื้ออำนวย คือ 1.ผู้ถือหุ้น 2.กลุ่มการเมืองที่เข้าไปสังกัดมีความเกี่ยวพันกัน ดังนั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นตัวเดิมๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับองค์ประกอบทุกอย่างที่ครบถ้วน

    ส่วนหุ้นกลุ่มแบงก์ ซึ่งกลุ่มนี้เวลาอยู่ในช่วงขาขึ้นจะมาพร้อมกันยกแผง และหากว่าจะมีการปั่นนั้นจะต้องใช้เงินมหาศาล เป็นหมื่นล้านบาท ดังนั้น การเมืองจะไม่เข้ามาสร้างสตอรี่กับหุ้นกลุ่มนี้

    แต่หุ้นเล็กๆ ที่เติบโตจากราคาไม่กี่สตางค์ขึ้นมาที่ราคา 1 บาทกว่านี้ มีมาร์เกตแค็ปเพียงแค่ 1-2 พันล้านบาท และใช้เงินทุนเพียงแค่ 500 ล้านบาทก็อาจได้กำไร 200-300 ล้านบาท ซึ่งในจุดนี้เองที่เป็นเหตุผลทำให้หุ้นเล็กขึ้น

    ในจังหวะขาขึ้นของหุ้นการเมือง การเล่นหุ้นของนักลงทุนรายย่อย ต้องระมัดระวังและตามเจ้ามือให้ทัน โดยต้องยึดหลักการ “ข่าวลือหุ้นขึ้น ข่าวจริงหุ้นตก” อย่าซื้อหลังจากที่ข่าวจริงออกมา เพราะเมื่อราคาหุ้นขึ้นมาแล้ว ตามหลังด้วยการแถลงข่าว การได้รับสัมปทานประมูลงาน หรือบางบริษัทประกาศผลประกอบการดี แต่มีการแต่งตัวเลขบัญชี ทำให้ราคาหุ้นลง ซึ่งในจุดนี้รายย่อยไม่ควรตาม

    อีกประการที่ทำให้รายย่อยเสียเปรียบ คือ การเล่นที่เรียกว่า “ตีหัวเข้าบ้าน” ทำราคาหุ้นให้ขึ้นเป็นที่สนใจของรายย่อย โดยเจ้ามือใช้ข้อมูลภายในทำให้ราคาหุ้นขึ้นแล้ว จากไม่กี่สตางค์ไปจนถึงจุดที่ต้องการราคา 2 บาท หลังจากนั้นออกมาปล่อยข่าวบอกว่าหุ้นตัวนี้จะไปที่ราคา 3 บาท ซึ่งบางครั้งโบรกเกอร์เองก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือ เพราะรายใหญ่และเจ้าของร่วมมือกันผ่านบางโบรกเกอร์ เชียร์หุ้น ซึ่งทุกอย่างต้องมีการร่วมมือกัน ตบมือข้างเดียวไม่ดัง

    2 เซียนแนะวิธีดูข้อมูล เข้า-ออกถูกจังหวะ

    ด้าน ศิริวัฒน์ วรเวทวุฒิกุล แนะนำว่า เทคนิคที่ง่ายที่สุดสำหรับนักเล่นหุ้นรายย่อยหรือมือใหม่ มี 3 ประการ ได้แก่

    1.จะต้องศึกษากำไรสุทธิต่อหุ้น หรือ P/E ว่ามีราคากี่เท่าของกำไรต่อหุ้น ซึ่งยิ่ง P/E มีราคาต่ำยิ่งดี เช่น หุ้นราคา 50 บาท กำไรสุทธิ/หุ้นอยู่ที่หุ้นละ 5 บาท หุ้นตัวนี้ 10 ปีจะได้ต้นทุนคืน ส่วนอีกหุ้นหนึ่งราคา 100 บาท แต่กำไรสุทธิ/หุ้นอยู่ที่ 20 บาท (P/E 5 เท่า) หมายความว่าระยะเวลา 5 ปีจะได้ทุนคืน ฉะนั้นหุ้นตัวหลังจึงน่าเล่นมากกว่า

    2.จะต้องดูว่าแต่ละบริษัทมีกำไร และการจ่ายปันผลอย่างไร โดยนำมาคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ซึ่งตรงนี้หากไม่มี P/E ก็ไม่ควรเข้าซื้อหุ้นนั้นๆ

    3.จะต้องดู Book Value หรือมูลค่าหุ้นตามบัญชี โดยต้องคิดเผื่อว่าถ้าพรุ่งนี้บริษัทนี้เจ๊ง เราจะได้เงินคืนจากการเคลียร์บัญชีอย่างไร เช่นหุ้นตัวนี้ พาร์ 1 บาท, Book Value 2 บาท แต่วันนี้ราคาหุ้นอยู่ที่ 6 บาท เท่ากับราคาหุ้นสูงกว่า Book Value ถึง 3 เท่า เวลาบริษัทนี้เจ๊งจะได้เงินคืนแค่ 2 บาท ขาดทุน 4 บาทต่อหุ้นทันที ดังนั้น หากบริษัทนี้มี Book Value ที่ 2 บาท ก็ควรซื้อหุ้นที่ราคาน้อยกว่า 2 บาท จึงจะไม่เจ็บตัว

    “3 ข้อนี้จะเป็นตัวที่ปกป้องผู้เล่นหุ้นรายย่อยให้ปลอดภัย เพราะอย่าลืมว่าผู้เล่นหุ้นรายย่อยคือกลุ่มผู้เล่นหุ้นที่อ่อนแอที่สุดในตลาด ยิ่งไม่ดู ไม่ศึกษาข้อมูล โอกาสขาดทุนก็มีมาก” ศิริวัฒน์ กล่าว

    ขณะที่ เอกยุทธ อัญชันบุตร กล่าวว่า หากผู้เล่นหุ้นรายย่อย รู้แล้วว่ารายใหญ่เวลานี้หันมาทำราคาหุ้น 500-600% และอยากเล่นหุ้นตามรายใหญ่ แนะนำว่า ถ้าหุ้นใดราคาขึ้นต่อเนื่อง มี volume สูง สามารถเข้าซื้อหุ้นนั้นๆ ได้ แต่เมื่อราคาหุ้นขึ้นถึง 200-300% ก็ควรขายหุ้นนั้นทิ้ง อย่าโลภเก็บไว้ถึง 500-600% เพราะจะขายไม่ทันขาใหญ่ และหากหุ้นนั้นๆ มีราคาตกลงมา 50% ของราคาสูงสุดที่ขึ้นไป 500-600% แล้ว ก็สามารถเข้าไปซื้อเพื่อทำรอบสั้นๆได้อีก

    ส่วนผู้ที่ถือหุ้นที่รู้ว่ามีขาใหญ่เข้าไปซื้อหุ้นนั้นๆ ด้วยในราคาสูงกว่า ก็ไม่ควรวิตกกังวลว่าจะขายหุ้นนั้นๆ ไม่ได้ เพราะขาใหญ่ที่ติดยอดดอยในหุ้นนั้นๆ อยู่ ย่อมต้องหาวิธีกลับเข้าไปทำราคาหุ้นตัวนั้น

    สำคัญตรงที่ว่าต้องขายออกให้เร็วกว่าขาใหญ่ ไม่เช่นนั้นก็ติดยอดดอยซ้ำแล้วซ้ำอีก!

    http://www.manager.co.th/mgrweekly/viewnews.aspx?newsID=9540000060965

    .
     
  4. ซึ้งบน

    ซึ้งบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +377
    พระอาจารย์ฝั้นอาจาโร


    ม่มาเกิดไม่มาตายเรียกว่าชาติสุดท้าย พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
    หมายเหตุ - ในโอกาสวันถวายเพลิงสรีระสังขาร หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน วันที่ 5 มี.ค.ที่ผ่านมา คณะศิษย์วัดภูสังโฆ ได้จัดทำหนังสือ ไม่มาเกิดมาตายเรียกว่า “ชาติสุดท้าย” แจก เป็นที่ระลึก ก่อนหน้านี้คณะผู้จัดทำได้เคยจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้แล้วนำถวายหลวงตามหาบัว ครั้งยังดำรงขันธ์อยู่มาก่อนแล้ว เนื่องจากการพิมพ์ครั้งล่าสุดนี้หนังสือมีจำนวนจำกัด

    ทางกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์จึงได้ขออนุญาต พระอาจารย์วันชัย วิจิตโต เจ้าอาวาสวัดภูสังโฆ นำรายละเอียดของหนังสือมาเผยแผ่ซึ่งท่านได้แจ้งว่า ให้พิจารณาว่าจะเป็นประโยชน์หรือไม่ ทางกองบรรณาธิการจึงจะนำเสนอต้นฉบับตามเดิม โดยเพิ่มเนื้อหาที่เป็นเทศนาของพ่อแม่ครูอาจารย์แต่ละรูปเข้ามาอีกส่วนหนึ่ง แล้วนำเสนอต่อเนื่องไปคราวละสัปดาห์จนกว่าจะสิ้นความหลักในหนังสือ มีรายละเอียดดังนี้

    ******************************

    [​IMG]


    พวกเราจงพิจารณาดูตัวเรากับรอบๆ ตัวเรา มันมีอะไร ตามภูตามเขามีดินมีหิน นั่นเป็นธาตุดิน มีห้วยมีธาร นั่นเป็นธาตุน้ำ มีฟ้าอากาศ นั่นเป็นธาตุลม มีความร้อนมีไฟ นั่นคือธาตุไฟ ดูเอาซี่ธาตุดินเขาเป็นอะไร ธาตุน้ำเขาเป็นอะไร ธาตุลมเขาเป็นอะไร ธาตุไฟเขาเป็นอะไร เขาเจ็บเขาปวดเขาร้อนอะไร นี่แน่ะไฟ เห็นไหมล่ะ ธาตุไฟที่เผาอาหารให้ย่อย เผาร่างกายให้ชำรุดทรุดโทรมไป หรือให้อุ่นตามสรรพางค์กาย นี่เรียกว่าธาตุไฟ เรามาอาศัยธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ นี้ประชุมกันเข้า เรียกว่าเป็นตัวเป็นตน

    เมื่อเราจำแนกแจกธาตุแล้วมันก็ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรซักอย่าง มีแต่ธาตุ รวมลงเป็นรูป
    รูปกายได้แก่ธาตุสี่นี้ นามกายได้แก่เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ สิ่งเหล่านี้เขาเป็นอะไรล่ะ?
    ให้พิจารณาขันธ์ ล้วนแต่ไม่เที่ยง เวทนาก็ไม่เที่ยง สัญญาก็ไม่เที่ยง สังขารก็ไม่เที่ยง วิญญาณก็ไม่เที่ยง มันเป็นยังงั้น นี่แหละเรามาพิจารณาให้ลงยังงี้ เราอย่าถือว่าเป็นคน อย่าถือว่าเป็นตัวเป็นตน เข้าใจไหมล่ะข้อนี่แหละเราก็ควรพิจารณายังงั้น

    สิ่งเหล่านั้นมันเป็นธาตุ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ สิ่งเหล่านั้นมันเป็นตัวเวทนา เป็นตัวสัญญา เป็นตัวสังขาร เป็นตัววิญญาณ เราเห็นสิ่งทั้งหลายนั้นไม่เที่ยง สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นเป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ตนอยู่ที่ไหนเล่าทีนี้ โอปนะยิโก เราต้องน้อมเข้า ปัจจัตตัง รู้จำเพาะตนเท่านั้น

    ใครเป็นผู้รู้เวทนา ใครเป็นผู้รู้สัญญา ใครเป็นผู้รู้สังขาร ใครเป็นผู้รู้วิญญาณ เราก็ต้องน้อมเข้ามา
    ใครว่าธาตุดิน ใครว่าธาตุน้ำ ใครว่าธาตุลมและธาตุไฟ ผู้ไม่ได้เป็นพุทธะก็ไม่รู้อะไร เราจำแนกแจกออกไปแล้วก็เหลือแต่พุทธะ คือ ผู้รู้ ดังนี้เราจึงจับตัวมันได้

    ที่ไม่รู้จักอันใดนั้นเพราะมันคลุมเครือกันอยู่ ไม่รู้จะเอาอันใดเป็นสุข ไม่รู้จะเอาอันใดเป็นทุกข์ จะเอาอันใดดีจะเอาอันใดชั่ว มืดอยู่ยังงั้น นี่เรา นี่เราจำแนกแล้ว ส่วนใดเป็นธาตุดินมันก็เป็นดินไปแล้ว ส่วนใดเป็นธาตุน้ำมันก็เป็นน้ำลงไปแล้ว ส่วนใดเป็นลมก็เป็นลมไปแล้ว ส่วนใดเป็นไฟก็เห็นว่าเป็นไฟไปหมด ไฟเขาเป็นอะไร ดินเขาอะไร เขาหลับเขานอนไหมล่ะ เขาเจ็บเขาปวดเขาเหนื่อยเขาหิวไหมล่ะ
    สิ่งเหล่านี้เราก็พิจารณาให้มันรู้ เพื่อกำจัดภัย กำจัดเวร กำจัดกิเลส ตัณหา ราคะ โลภะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ เราจึงจะไม่ยึดไม่ถือ
    เมื่อเห็นแล้วจิตของเรามันก็วางก็ละน่ะซิ

    ...เรื่องสมมตินี่สัตว์ทั้งหลายจมอยู่ในมหาสมุทร จมอยู่ที่สมมติเป็นนั่นเป็นนี่ หากเราจำแนกแจกออกแล้วมันก็ไม่มี จิตมันก็สงบน่ะซี พอจิตสงแล้วมันก็หายหมดภัยหมดเวรทั้งหลาย เหลือแต่กรรม
    เหตุนั้นจึงพากันดูให้รู้ อายตนะเป็นบ่อเกิดของสิ่งทั้งหลาย คือ ตา หู จมูก ตาเขาเป็นอะไร หูเขาเป็นอะไร จมูกเขาเป็นอะไร ลิ้นเขาเป็นอะไร กายเขาเป็นอะไร เขาไม่ได้เป็นอะไรซักอย่าง ตาสำหรับดู หูสำหรับฟัง จมูกสำหรับดม เท่านั้นไม่ใช่เรอะ ลิ้นก็สำหรับรับรสอาหาร กายก็สำหรับสัมผัส ใจเป็นธรรมารมณ์ นี่แหละให้พิจารณา

    นี่เป็นบ่อเกิดแห่งสุขและทุกข์
    จงเพ่งพิจารณาให้มันรู้มันเห็นซิ พอเราจำแนกแจกสิ่งเหล่านั้นแล้วจิตของเราก็เป็นหนึ่งอยู่ มันไม่มีคน ไม่มีตัว ไม่มีตน ไม่มีผู้ ไม่มีคน ไม่มีบ้าน ไม่มีเมือง ไม่มีอะไรซักอย่าง จิตมันก็ว่างหมดละ
    พอจิตมันว่างหมดแล้วก็ไม่มีอะไร ไม่มีภัยไม่มีเวร นี่เราไปก่อกรรมก่อเวร สมมติเป็นอันโน้นสมมติเป็นอันนี้ มันก็หลงสมมตินี่ซิ สัตว์ทั้งหลายคาอยู่ที่นี่ จมในมหาสมุทรนี่ ข้ามไม่ได้.ต้องพ้นจากสมมติ...เราไปหลงเอาเฉยๆ นี่แหละ ต้องจำแนกแจกออกไปเพื่อไม่ให้หลง
    พุทโธให้มันรู้ซิ จิตของเราสงบ มีความเบิกบาน

    พุทโธเป็นผู้เบิกบาน พุทโธสว่างไสว พุทโธเป็นผู้รู้ สิ่งใดเกิดขึ้นรู้ได้หมด ให้เรารู้เท่าสังขาร รู้เท่าวิญญาณ สังขารไม่เที่ยง วิญญาณมันก็ไม่เที่ยงทั้งหมด... เราไม่ควรไปยึดไปถือเอาเป็นตัวเป็นตน ถ้าไม่ยึด จิตของเรามันก็พ้นทุกข์น่ะ ซิ เขาให้พิจารณาตนเสียก่อน อยัง อัตตะภะโว ภวะ ความเกิดมาแล้ว ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน อสุจิ อสุภัง มีแต่น้ำเน่าน้ำหนองเหมือนกัน อิมัง กัมมัฏฐานัง ภเวติ ให้พิจารณากรรมฐานให้เห็นอย่างนั้น

    ท่านให้พิจารณาตนให้เห็นเป็นอย่างนั้น อันนี้ อนิจจา วตะ สังขารา สังขารทั้งหลายเป็นอย่างนี้ มันไม่เที่ยงทั้งหมด เราไม่ควรจะหลง... ให้พิจารณาให้มันรู้มันเห็น เราไม่ข้องอะไรไม่คาอะไร ข้องลูกข้องหลาน ข้องบ้านข้องเมือง ไม่มีข้องล่ะผู้นี้ ยศมันก็ไม่คา อะไรมันก็ไม่คาซักอย่าง... อะไรมันก็ไม่ข้องซักอย่าง เห็นไหมล่ะ เราก็เพ่งดูให้มันรู้มันเห็นซี่... นี่คนจะมีสุขเพราะเหตุใด
    ผู้ระงับสังขารน่ะหละ วูปสโม สุโข มีความสุขเพราะระงับสังขาร

    สัพเพ สัตตา มรัญติจะ มริงสุจะ มริสสเร ตเถวาหัง มริสสามิ นัตถิ เม เอถะ สังสโย ไม่ต้องสงสัยเราทั้งหลายก็ต้องเป็นอย่างนี้ สัตว์ทั้งหลายย่อมตายมาแล้ว ที่อยู่ในปัจจุบันนี้ก็จะต้องเป็นเหมือนกัน เราไม่ต้องสงสัย จะสงสัยอะไรอีกเล่า มันจะได้อะไรที่ไหนแม้สักอย่าง แต่ก่อนเขาก็ห่วงนั่นห่วงนี่ ไปไหนก็ไม่ได้ มีแต่ข้องแต่คา กลัวอด กลัวหิว กลัวทุกข์ กลัวยาก มาบัดนี้เขาไม่กลัวอะไรสักอย่าง
    เราก็พิจารณาให้มันรู้มันเห็นอย่างนั้นซี่ มันจะได้ไม่หลง ...

    ภโวภวัง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ความเกิดนั้นไม่เที่ยงทั้งหมด มีแต่น้ำเน่าน้ำเหลืองไหลยังงี้แหละ อิมัง กัมมัฏฐานัง ภเวติกรรมฐานต้องพิจารณาดู นี่ใครจะเอาบ้างล่ะรูปอย่างนี้ ไม่ต้องซื้อไม่ต้องหาก็ใครจะเอาล่ะ ให้เปล่าๆ ก็เถอะ พอพระเหล่านั้นไปเห็นแล้ว มีความสังเวชสลดใจ จิตของท่านก็สงบ ได้สำเร็จพระอรหันต์ทั้งหมด แน่ะ เป็นยังงั้น

    เพราะฉะนั้นการพิจารณาศพมีผลานิสงส์มาก จึงได้นิมนต์พระไปบังสุกุล ทีนี้พระรับนิมนต์ไปบังสุกุลกลับไปเพ่งเอาเงินเอาทองเขา มันก็ใช้ไม่ได้น่ะซี่ ฮึ่ มันเป็นเสียยังงั้น ท่านให้ปลงกรรมฐาน ให้พิจารณาเพื่อจะได้ผลานิสงส์มาก...
    เมื่อพิจารณาแล้ว ปลงธรรมสังเวชแล้ว บางคนก็ได้สำเร็จ นั่นคือน้อมเข้ามาหาตน พิจารณาให้เห็นว่ามันไม่ได้อะไรจริงสักอย่าง ได้ยศก็มียศอยู่ที่ไหน ได้ทรัพย์สมบัติก็ได้ที่ไหน ได้ลูกได้หลานได้ที่ไหน ได้บ้านได้ช่องได้ที่ไหน ไม่ได้อะไรจริงสักอย่าง นั่นแหละข้อสำคัญคือทิ้งให้โม้ด เข้าใจไหมล่ะ...

    ...เรามาอาศัยธาตุทั้งสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ มาประชุมกันเข้า เราถือว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นที่ไหนเล่า เพ่งดูซิ เราห่วงอะไร เราคาอะไร เราข้องอะไร ให้เพ่งพิจารณา

    เมื่อกายเราสบายแล้วบริกรรมภาวนา เคยภาวนาอันใดก็เอานั่นก็ได้ หรือนึก พุทโธ ธัมโม สังโฆ สามหนแล้วรวมเอา พุทโธ พุทโธ คำเดียว อย่าส่งใจไปข้างหน้ามาข้างหลัง ทั้งซ้ายทั้งขวา ข้างบนข้างล่าง ตั้งไว้เฉพาะท่ามกลางตรงที่รู้ พุทโธ พุทโธ อยู่นั้น อย่าส่งใจไปอื่น หลับตางับปากแล้วก็เพ่ง ทำใจให้สงบ เราอยากสุขอยากสบาย อย่าไปนึกทุกข์นึกยาก สิ่งไรทุกข์ สิ่งนั้นไม่ใช่ตัวเรา อย่าส่งใจไป ตั้งไว้เฉพาะส่วนที่รู้

    ความรู้นี่แหละสำคัญ มันไม่เป็นของแตกของทำลายของฉิบหาย เป็นผู้รู้อยู่ภายใน เพ่งดูให้รู้ว่ามีอยู่จำเพาะตนของตน สุขทุกข์ ดีชั่ว เป็นความสมมติทั้งหมด สุขก็ว่าเอาเอง ทุกข์ก็ว่าเอาเอง ดีก็ว่าเอาเอง ชั่วก็ว่าเอาเอง อย่าไปว่าอะไรซี่ เย็นร้อนเราก็ว่าเอาเองทั้งหมด อย่าไปว่า วางใจให้สบายเท่านั้นแหละ เรื่องจึงจะดี

    เมื่อจิตเป็นกุศล จิตมันว่างหมด จิตมันสบาย จิตดีมีความสุขความสบาย ที่เรามานี้ต้องการความสุข ความสบาย ต้องการความพ้นทุกข์เท่านั้น เราจะเอาอะไรสุขสบายล่ะนอกจากใจของเราสงบ
    เมื่อใจของเราสงบแล้ว ความสุขความสบายก็เกิดที่นั่น ไม่ได้เกิดที่อื่น ไม่ได้สุขสบาย เพราะวัตถุข้าวของทั้งหลายต่างๆ ใจเราสบาย เท่านั้นแหละความสุข

    เมื่อใจเราสบายแล้ว ทำอะไรก็สบาย ทำมาหากิน ค้าขาย การอะไรทุกสิ่งทุกอย่าง เราก็สุขก็สบาย ธรรมนั้นก็นำความสุขความสบายให้ ไปในชาติใดภพใดธรรมย่อมรักษาผู้ปฏิบัติธรรม ถ้าจิตเราไม่ดี ทุกข์ยากวุ่นวายเดือดร้อน หนักหน่วงง่วงเหงาหาวนอน เดือดร้อนฟุ้งซ่านรำคาญ นั่น ธรรมนั้นก็นำสัตว์ทั้งหลายตกทุกข์ได้ยาก แม้เรานั่งอยู่อย่างนี้ก็เป็นทุกข์ได้ ไม่ใช่อื่นไกล ธรรมนั้นเองนำความทุกข์ยากให้เรา

    เราจึงต้องเลิกต้องละ อย่าไปยึดเอาซี่ สิ่งที่ทุกข์ที่ยาก วางให้หมดละให้หมด
    ทำจิตให้สบาย อยากสุขอยากสบายอย่าสำคัญมั่นหมาย ต้องการหายโรคหายภัยก็อธิษฐานเอา ตั้งสัจจะบารมีของเรา นี่ แหละ จะตัดบาปตัดกรรม ไม่มีวิธีอื่น เราต้องทำจิตให้สงบ ถ้าจิตเราไม่สงบแล้ว มันก็ไปก่อกรรมก่อภัยก่อเวร พอจิตเราสงบแล้วมันก็ไม่มีกรรม ความชั่วทั้งหลายไม่มี มีแต่ความสุข ความสบาย เราต้องการความสุขความสบายจะไปหากับทรัพย์สมบัติไม่มีหรอก มีแต่ที่ใจเราสงบ

    พอใจเราสงบแล้วมันได้รับความสุขความสบาย ก็หายโรคหายภัยหายกิเลสจัญไรหมดน่ะซี่ เคราะห์ทั้งหลายมันก็หายหมด

    ต่อไปนี้หมั่นทำนะนี่น่ะ ได้ยินไหมล่ะ ถ้าเราหัวใจยังอ่อน เราก็ตั้งมันให้แข็งขึ้น ตั้งหลักตั้งฐานขึ้น มันแล้วกับใจของเรา สำเร็จ กับใจของเรา สิ่งทั้งหลายทั้งหมดใจถึงก่อน ใจเป็นรากฐาน ใจเป็นประธาน มันไม่ได้เป็นเพราะอื่น เราปล่อยใจมันอ่อน มันก็อ่อน ต่อไปอย่าให้มันอ่อนนะ ทำใจให้เข้มแข็ง พิจารณาให้หมดที่ได้อธิบายให้ฟังแล้ว

    สังขารร่างกายอันนี้ไม่ใช่เป็นตัวของเรา ถ้าเป็นตัวของเรามันก็ไม่เป็นไปเพื่อโรคเพื่อภัยน่ะซี่ เราอยากหายโรคหายภัยก็ต้องทำใจให้สงบ ถ้าใจเราสงบ โรคภัยทั้งหลายมันก็หายไป เรื่องมันเป็นยังงั้น ถ้าใจไม่สงบแล้ว มันไปก่อกรรมก่อเวรอยู่งั้น ก่อภัยอยู่ยังงั้น มันก็ไม่หมดซักที ความจะหมดภัยเกิดเพราะจิตของเราไม่มีภัย จะหมดกรรมเพราะจิตของเราไม่มีกรรม จะหมดความชั่วก็เพราะใจของเราไม่มีความชั่ว จะหมดทุกข์ก็เพราะจิตเราไม่ทุกข์ แน่ะ เป็นยังงั้น มันหมดตรงนี้ คือจิตของเราไม่ทุกข์แล้วจะเอาอะไรมาทุกข์ล่ะ จิตของเราไม่ชั่วจะเอาความชั่วมาจากไหนล่ะ มันก็ไม่มีน่ะซี่

    ...บาปกรรมทั้งหลาย สุขทุกข์ทั้งหลาย ความดีความชั่วทั้งหลาย เราเป็นผู้ทำเอาเอง...

    ...นี่แหละพิจารณาดู เราว่ามาไกลจากบ้านจากเมืองนั้นคิดดูแล้วมันไม่ไกล มันอยู่แค่ดวงใจของเรานี่เอง บ้านก็ดีเมืองก็ดี อะไรๆ ก็ดี มันอยู่ในใจของเรานี่แหละ เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านสอนให้มาแก้ที่ดวงใจทั้งหมด เมื่อดวงใจไม่มีอะไรแล้ว สิ่งทั้งหลายมันก็หมดไป ข้อนี้แหละให้หมั่นพิจารณา ที่พึ่งของเรา ที่อยู่ของเรา ที่อาศัยของเราอยู่ที่ไหน ทำไมเราจึงทุกข์จึงยากต้องพากันบ่น สิ่งทั้งหลายเขาไม่ได้ทุกข์ไม่ได้ยาก มันยากที่หัวใจเท่านี้ ว่ามันจน สิ่งทั้งหลายไม่ได้จน มันจนที่ดวงใจเท่านี้ ไม่ได้จนที่อื่น พอดวงใจจนแล้วละก็จนหมด ทรัพย์สมบัติทั้งหลายมันก็เป็นอย่างนั้น
    ถ้าดวงใจเราไม่จนก็ไม่มีอะไรจน ถ้าดวงใจไม่ทุกข์ก็ไม่มีอะไรทุกข์ ถ้าดวงใจไม่ยากก็ไม่มีอะไรยาก เรื่องมันเป็นยังงั้น

    ...เมื่อใจมีความสุขความสบายสิ่งทั้งหลายมันก็สบายนะ เรื่องสำคัญมันเป็นอย่างงั้น จะนอนก็นอนเพ่งดูหัวใจจนหลับ ใจ มีพุทโธแล้วเป็นใหญ่กว่าเขาหมด ใหญ่กว่าพระอินทร์พระพรหม เทวบุตรเทวดา ยักษ์กุมพน กุมภัณฑ์ พญาครุฑพญานาค พุทโธนี่ของเล็กน้อยเมื่อไหร่ล่ะ ใจเราเป็นใหญ่กว่าทั้งหมดล่ะนะ เรื่องเป็นอย่างนั้น เข้าใจไหมล่ะ



    .
    สาธุ สาธุ เป็นบุญนักที่ได้อ่าน สำหรับนักปฎิบัติธรรม มือใหม่ พอจะเห็นทางเดิน

    บ้างแล้วครับ โมทนาบุญด้วยครับ
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    <table id="post4733791" class="tborder" align="center" border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-right: 0px">21-05-2011, 01:01 PM </td> <td class="thead" style="font-weight:normal; border: 1px solid #FFFFFF; border-left: 0px" align="right"> #45295 </td> </tr> <tr valign="top"> <td class="alt2" style="border: 1px solid #FFFFFF; border-top: 0px; border-bottom: 0px" width="175"> sithiphong
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: Dec 2005
    สถานที่: ชมรมพระวังหน้า
    ข้อความ: 40,733
    พลังการให้คะแนน: 17049 [​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG][​IMG]


    </td> <td class="alt1" id="td_post_4733791" style="border-right: 1px solid #FFFFFF"> ข้อความของคุณเพชร

    อ้างอิง:
    <table border="0" cellpadding="6" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="alt2" style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    วันนี้ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ประกาศผลสอบข้อเขียน 2 สาขา ผลสอบผ่านทั้ง 2 สาขา รอสอบภาคปฏิบัติวันที่ 4-5 เป็นรอบสุดท้ายครับ ปีหน้าก็สอบเวชกรรมอีก 1 สาขา วันนี้ได้คุยกับคุณ newcomer เสียดายที่กำลังติวสอบอยู่ เลยไม่สามารถคุยได้นาน ขออภัยด้วยครับ..

    เอาไว้มาคุยหลังสอบเสร็จนะครับ..
    </td></tr></tbody></table>
    จบข้อความดั้งเดิมโดยคุณ :::เพชร::: [​IMG]
    -----------------------------------------------

    เรียนคุณอนัตตัง

    ผมขอให้คุณอนัตตัง แสดงความคิดเห็น(ในทางโลก) ที่เกี่ยวกับข้อความของคุณเพชร ไม่น้อยกว่า 10 บรรทัด
    และ แสดงความคิดเห็น(ในทางธรรม) โดยต้องยกธรรมะที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ อีกไม่น้อยกว่า 10 บรรทัด ครับ

    ขอบคุณครับ
    sithiphong
    21/5/2554

    </td></tr></tbody></table>
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ใกล้เลือกตั้งกันแล้ว นำกลอนของคุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ มาฝากครับ

    ผู้แทนสัตว์ขนสัตว์เข้าสภา
    ผู้แทนข้าแบกนายเข้าในสนาม
    ผู้แทนชามเช้าชามก็เย็นชาม
    ผู้แทนทรามใช้ทรามเข้าสาดโคลน

    ผู้แทนหุ่นเชิดหุ่นกระชุ่นชัก
    ผู้แทนยักษ์กรากกร่างตั้งท่าโขน
    ผู้แทนโจรเรียกร้องตั้งซ่องโจร
    ผู้แทนโหรผูกดวงว่าดวงดี

    ผู้แทนเงินเอาเงินมาเป็นใหญ่
    ผู้แทนไถชอบไถไม่เลือกที่
    ผู้แทนทุนต่อทุนพูนทวี
    ผู้แทนผีชอบหลอกชอบหลอนคน

    ผู้แทนปากใช้ปากเข้าถากถาง
    ผู้แทนทางกินทางสร้างถนน
    ผู้แทนที่กว้านที่ทุกมณฑล
    ผู้แทนมนต์สวดมนต์ไม่สนมาร

    ผู้แทนเมืองสร้างเมืองเรืองมายา
    ผู้แทนป่าตัดป่าโค่นป่าผลาญ
    ผู้แทนง่อยงมงายไร้ผลงาน
    ผู้แทนพาลพาลฉะนี้อย่ามีเลย!.

    เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์



    ----------------------------------------

    อย่างไรก็ดี ต้องไปใช้สิทธิการเลือกผู้แทนของตนเองครับ

    อย่านอนหลับทับสิทธิ์ครับ


    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    เนรคุณได้ก็เอาคืนได้?/มังกรซ่อนกาย

    โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
    4 เมษายน 2554 11:08 น.

    ใน สังคมไทย การให้สิ่งของทรัพย์สินแก่บุคคลที่ตนรัก เมตตาในครอบครัวก็ถือว่าเป็นวัฒนธรรมที่สังคมไทยทำสืบต่อกันมา แต่ถ้าความเมตตาที่ผู้ให้ได้ให้แก่ผู้รับกลับถูกผู้รับการให้ประพฤติเนรคุณ ตอบแทนผู้ให้เสียแล้ว หากกฎหมายไม่ให้ความคุ้มครองพฤติกรรมที่เป็นภัยต่อวัฒธรรมอันดีงามแล้ว ความเป็นสังคมแห่งความเมตตาในวิถีแบบชาวพุทธคงเสื่อมถอยลง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ลักษณะ 3 ได้บัญญัติเรื่องการให้ไว้โดยมีส่วนคุ้มครองผู้ให้ในกรณีที่ผู้รับการให้ ประพฤติเนรคุณไว้ด้วย อันมีตัวอย่างข้อเท็จจริงให้พิจารณากัน ดังนี้

    นายดี เลิกกับภริยา โดยมีบุตรสาวชื่อ นางสาวแดง ต่อมานายดีได้เสียชีวิตลงตั้งแต่นางสาวแดงมีอายุได้ 5 ปี นางช่วยซึ่งเป็นน้องสาวของนายดี รับอุปการะเลี้ยงดูบุตรสาวของนายดี จนนางสาวแดงอายุได้ 22 ปี นางช่วยให้ความเมตตารักใคร่นางสาวแดงเหมือนบุตรของตน เนื่องจากนางช่วยไม่มีบุตร

    เมื่อนางสาวแดงเรียนจบมหาวิทยาลัย นางช่วยได้จดทะเบียนยกที่ดิน และบ้านซึ่งอยู่บนที่ดินให้แก่นางสาวแดง ไว้เป็นหลักทรัพย์และอยู่อาศัย โดยนางช่วยก็อาศัยอยู่ในบ้านหลังดังกล่าวด้วย ต่อมาเมื่อนางสาวแดงมีอายุได้ 24 ปี ก็ได้ไปอยู่กินกับนายดำ และได้พานายดำเข้ามาอยู่ในบ้านด้วย นายดำต้องการรถยนต์ขับจึงชักชวนนางสาวแดงนำโฉนดที่ดิน และบ้านไปจำนองกับธนาคารสยาม เป็นมูลค่า 1 ล้านบาท เพื่อนำเงินมาซื้อรถยนต์ตามที่นายดำต้องการ และนางสาวแดงก็เห็นชอบด้วย

    นางช่วย รักนางสาวแดงมากจึงตามใจ นางสาวแดงทุกเรื่อง นางสาวแดงอยู่กินกับนายดำได้ 2 ปี นางเขียวน้องของนางช่วยได้นำ เด็กหญิงฝ้าย อายุ 14 ปี มาฝากนางช่วย เพื่อให้เด็กหญิงฝ้าย ได้เรียนหนังสือในเมือง นางช่วยตกลงรับเด็กหญิงฝ้ายมาอยู่ที่บ้านด้วยกัน ต่อมาในระหว่างที่เด็กหญิงฝ้ายมาอยู่ที่บ้าน นายดำได้นำหนังสือโป๊ และวีซีดีโป๊มาให้เด็กหญิงฝ้ายดูในเวลาที่นางสาวแดงและนางช่วยไม่อยู่บ้าน นายดำแอบทราบว่าเด็กหญิงฝ้ายได้เล่าเรื่องดังกล่าวให้นางช่วยฟัง นายดำกลัวนางช่วยโกรธจึงได้หนีออกจากบ้านไป นายดำหนีไปได้ 3 เดือน นางสาวแดงได้ไปตามหานายดำจึงทราบว่านายดำหนีออกจากบ้านเพราะสาเหตุใด นายดำอายนางช่วย จึงไม่กล้ากลับมาอยู่ที่บ้านด้วย เมื่อนางสาวแดงกลับไปบ้านพบนางช่วย ด้วยความโมโหที่ไม่สามารถพานายดำกลับมาอยู่ด้วยได้ นางสาวแดงจึงด่านางช่วยว่า

    “อีแก่ไม่ยุติธรรม มึงทำให้ครอบครัวกูแตกแยก กูจะไม่อยู่กับมึงแล้ว”

    จากนั้นนางสาวแดงจึงย้ายออกจากบ้านไปอยู่กับนายดำ นางช่วยเสียใจมากเพราะรักนางสาวแดงเหมือนลูก แต่ก็โกรธที่นางสาวแดงด่าตนเช่นนั้น และกลัวว่านายดำจะนำพานางสาวแดงไปในทางที่ไม่ดี จึงไปปรึกษาทนายความเพื่อฟ้องขอถอนคืนการให้โฉนด และบ้านจากนางสาวแดง โดยขอให้ศาลบังคับให้นางสาวแดงจดทะเบียนไถ่ถอนจำนองจากธนาคารสยาม และคืนที่ดินและบ้านดังกล่าวแก่นางช่วยโดยปลอดภาระจำนอง

    คดีนี้มีปัญหาต้องวินิจฉันว่าถ้อยคำที่นางสาวแดงด่านางช่วยว่า “อีแก่ไม่ยุติธรรม มึงทำให้ครอบครัวกูแตกแยก กูจะไม่อยู่กับมึงแล้ว” เป็นการหมิ่นประมาทนางช่วยอย่างร้ายแรงหรือไม่

    ในประเด็นนี้ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าถ้อยคำดังกล่าวเป็นการแสดงเจตนาดูหมิ่น นางช่วยซึ่งเป็นอา เรียกนางช่วยว่า “อีแก่” ขึ้นมึงขึ้นกูกับนางช่วย ย่อมทำให้นางช่วยอับอายเสียชื่อเสียง และเป็นการหมิ่นประมาทนางช่วยอย่างร้ายแรง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 531 (2) นางช่วยย่อมเรียกคืนการให้ เพราะเหตุนางสาวแดงประพฤติเนรคุณได้

    ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า นางช่วยจะถอนคืนการให้ได้เพียงใด

    ข้อเท็จจริงได้ความว่า ก่อนฟ้องนางสาวแดงจดทะเบียนจำนองที่ดิน พร้อมสิ่งปลูกสร้างไว้แก่ธนาคารสยาม ซึ่งเป็นผู้อื่น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 534 บัญญัติว่า “เมื่อถอนคืนการให้ ท่านให้ส่งคืนทรัพย์สินตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้ ว่าด้วยลาภมิควรได้” ดังนั้น นางสาวแดงจึงต้องคืนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวให้แก่นางช่วยตามสภาพ ที่เป็นอยู่ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 431 วรรคหนึ่ง (เทียบเคียงคำพิพากษาฎีกาที่ 1078/2553)

    สรุปว่านางช่วยฟ้องเรียกคืนการให้จากนางสาวแดงได้ แต่ให้คืนในสภาพที่เป็นอยู่ คือ คืนโดยติดจำนองเพราะเหตุว่าในขณะที่นางสาวแดงนำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างไป จำนอง นางสาวแดงยังคงสุจริตอยู่ยังไม่ได้ประพฤติเนรคุณต่อนางช่วยนั่นเอง

    hiddendragon2552@gmail.com

    .

    Life & Family - Manager Online -
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ในวันวิสาขบูชา 17 พฤษภาคม 2554 ทีี่ผ่านมา

    ทางนายอำเภอบ้านเขว้า และทางอบต.ได้ร่วมกันจัดงาน โดยนำนักเรียนมาร่วมปฎิบัติธรรมกัน

    มาชมภาพ(บางส่วน)กัน และผมจะทยอยลงให้ชมอีกในวาระต่อไป(คงเป็นช่วงค่ำๆ)ครับ

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    [​IMG] [​IMG]


    http://palungjit.org/threads/ขอเชิญ...ฆ์ผาผึ้ง-อ-บ้านเขว้า-จ-ชัยภูมิ.68899/page-110

    .-----------------------------------------------------------------------------
     
  11. ซึ้งบน

    ซึ้งบน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    225
    ค่าพลัง:
    +377
    สวัสดีครับ คุณสิทธิพงษ์ ถึงจะไม่ค่อยได้ post ข้อความ แต่ก็ติดตามอ่านเป็นประจำ

    พอเข้าเวป ไม่ได้หลายวันเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป คิดถึงครับ
     
  12. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    สวัสดีครับ เข้าเวบได้แล้ว ดีใจด้วยครับ
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="headline" align="left" valign="baseline">คารวะปู่ย่าในนิทรรศการสะท้อนวิทย์จากภูมิปัญญาไทย</td> <td align="right" valign="baseline" width="102">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td bgcolor="#CCCCCC" height="1">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="middle">โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</td> <td class="date" align="left" valign="middle">3 มิถุนายน 2554 08:56 น.</td></tr></tbody></table>

    [​IMG] <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="600"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="600"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">พระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์พระบรมราชินีนาถ ที่ทอด้วยไหมไทยสีต่างๆ และผ่านการย้อมโดยใช้โทนสีธรรมชาติ </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> ปรับโฉม “นิทรรศการเทคโนโลยีภูมิปัญญาไทย” ต้อนรับครบรอบ 11 ปี ของการเปิดให้บริการ “พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์” พบการสาธิตประดิษฐ์ กังหันใบลาน ว่าวไทย ของเล่นภูมิปัญญาไทยตลอดทั้งปี พร้อมเนื้อหาสาระเทคโนโลยีภูมิปัญญาไทยที่เข้มข้น ทั้งเทคโนโลยีเครื่องปั้นดินเผา โลหะกรรม อีกทั้งโชว์เทคโนโลยีการย้อมสีผ้าจากต้นคราม ผลงานการจัดแสดงชิ้นใหม่ด้วย

    ดร.พิชัย สนแจ้ง ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) กล่าวว่า ในวันที่ 8 มิ.ย. 54 นี้จะครบรอบ 11 ปี ของการเปิดให้บริการของ “พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์” ทางอพวช.จึงได้พัฒนาเนื้อหาสาระการจัดแสดง “นิทรรศการเทคโนโลยีภูมิปัญญาไทย” ที่ ได้สะท้อนเรื่องราววิถีชีวิตของคนไทย ตั้งแต่การพัฒนาประดิษฐ์คิดค้น ตลอดจนการสืบทอดเทคโนโลยีภูมิปัญญาพื้นบ้านไทยที่มีมาอย่างยาวนานต่อเนื่อง มาถึงปัจจุบัน

    ดร.พิชัย กล่าวว่า การปรับปรุงนั้นมี 3 ประเด็นหลัก คือ 1.ปรับปรุงให้มีเนื้อหาที่เข้มข้น เพื่อเพิ่มความรู้ความเข้าใจแก่ผู้เข้าชมมากขึ้น 2.ปรับปรุงชิ้นงานที่ชำรุดให้ทันสมัยมากขึ้น พร้อมเพิ่มชิ้นงานใหม่เข้ามา อาทิ เทคโนโลยีการย้อมสีผ้าจากต้นคราม ที่แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาชาวบ้านที่นิยมใช้สีย้อมผ้าที่ทำมาจากธรรมชาติ เป็นต้น และ 3.การพัฒนากิจกรรมขึ้นมาใหม่ โดยมีการสอนผู้เข้าชมได้เข้ามาร่วมประดิษฐ์ของเล่นไทย อาทิ กังหันใบลาน ว่าวไทย ป๋องแป๋ง จักจั่นเสียงใส ทักทอผ้าไทย เป็นต้น โดยกิจกรรมนั้นจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปตลอดทั้งปี

    “ผู้เข้าชมนั้นจะได้เรียนรู้ถึงเทคนิควิธีการและกระบวนการ สร้างสรรค์งานเทคโนโลยีภูมิปัญญาไทยพื้นบ้านชนิดต่างๆ เพื่อนำไปสู่การอนุรักษ์และเผยแพร่ ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวถือเป็นหัวใจของการพัฒนาพิพิธภัณฑ์ ที่ทำให้นิทรรศการไม่ตาย ทำให้ผู้เข้าชมเกิดปฏิสัมพันธ์กับการชมนิทรรศการได้อีกด้วย” ดร.พิชัยกล่าว

    พร้อมกันนี้ ทีมข่าววิทยาศาสตร์ ASTV-ผู้จัดการออนไลน์ ได้เดินสำรวจภายในนิทรรศการ พบว่านิทรรศการได้แบ่งออกเป็น 7 โซนหลัก ได้แก่ โซนเทิดพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์พระบรมราชินีราถ ที่ประกอบไปด้วยตู้แสดงผลงานศิลปาชีพอันหลากหลาย ผ้าทอมือพระบรมสาทิศลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิตติ์ฯ และผ้าทอมือศิลปาชีพ เป็นต้น

    ทั้งนี้ ยังมีในส่วนของเทคโนโลยีเครื่องปั้นดินเผา ที่ได้บอกเล่าถึงกระบวนการต่างๆ ตั้งแต่การเลือกดิน การปั้นขึ้นรูป และการนำเข้าเตาเผา ถัดมาในส่วนเทคโนโลยีโลหะกรรม โซนนี้แสดงให้เห็นการเปลี่ยนรูปโลหะให้เป็นเครื่องประดับ โดยใช้หลักการนำ ความร้อนเพื่อเปลี่ยนสถานะจากของแข็งเป็นของเหลว ทั้งนี้ยังมีการอธิบายขั้นตอน การตีมีด ภูมิปัญญาของคนไทยในอดีตที่สืบทอดมาจนปัจจุบันด้วย

    นอกจากนั้น ยังมีเทคโนโลยีการแกะสลัก เทคโนโลยีเครื่องจักสาน เทคโนโลยีสิ่งทอ และส่วนของวิถีชีวิตไทยในหน้าน้ำและหน้าแล้งด้วย

    ดร.พิชัย กล่าวเสริมอีกว่า วิถีชีวิตของคนไทยในอดีตที่พัฒนามานั้นได้ใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เข้าไป ใช้ด้วยกันทั้งสิ้น อย่างเช่น เครื่องมือจับสัตว์น้ำ ซึ่งกว่าจะเป็นเครื่องมือขึ้นมาได้นั้น ต้องใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ตั้งแต่การสังเกต การศึกษาทางธรรมชาติ ทดลองผิด ทดลองถูก จนสามารถพัฒนาเครื่องมือจับสัตว์น้ำได้เหมาะสมในที่สุด เป็นต้น

    “เพราะฉะนั้นจึงไม่อยากให้ทุกคนละเลยรากฐานหรือภูมิปัญญาไทย เหล่านี้ไป ทางอพวช. จึงได้พยายามรวบรวมองค์ความรู้เหล่านี้ไว้ เพื่อไม่ให้สูญหาย และเพื่อให้ทุกคนได้เห็นความสำคัญจนสามารถนำความรู้เหล่านี้ไปพัฒนา ภูมิปัญญาให้ยั่งยืนมากยิ่งขึ้น” ดร.พิชัย กล่าว

    สำหรับประโยชน์ที่จะได้รับจากนิทรรศการในครั้งนี้นั้น ดร.พรชัย รุจิประภา ปลัด วท.กล่าวระหว่างการเป็นประธานในพิธีเปิด “นิทรรศการเทคโนโลยีภูมิปัญญาไทย” ในวันที่ 1 มิ.ย.54 ณ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ เทคโนธานีคลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ว่า นิทรรศการชุดนี้ถือเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนได้รับความรู้ ความเข้าใจ ด้านเทคโนโลยีภูมิปัญญาในเชิงลึก ทั้งยังทำให้ผู้เข้าชมเกิดการคิดอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ และพร้อมนำองค์ความรู้ กระบวนการต่างๆ ไปใช้ประโยชน์เพื่อการพัฒนา การประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืนต่อไป

    สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าชม “นิทรรศการเทคโนโลยีภูมิปัญญาไทย” ณ ชั้น 6 พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ อพวช. เทคโนธานีคลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ได้ทุกวัน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร 0-2577-9999 ต่อ 1829,1830 หรือ www.nsm.or.th

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="350"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="350"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">การจัดสาธิตการประดิษฐ์ กังหันใบลาน ของเล่นภูมิปัญญาไทย หนึ่งในกิจกรรมจาก “นิทรรศการเทคโนโลยีภูมิปัญญาไทย”</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="600"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="600"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ภาพแสดงภูมิปัญญาของไทยเกี่ยวกับเทคโนโลยีการแกะสลัก </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="600"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="600"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">แบบจำลองเรือนไทย สถาปัตยกรรมสะเทินน้ำสะเทินบก</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="600"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="600"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ส่วนหนึ่งจากโซนเทคโนโลยีเครื่องจักสาน </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="600"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="600"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">แป้นหมุน อุปกรณ์เพื่อการขึ้นรูปเครื่องปั้นดินเผา</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="350"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="350"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">อุปกรณ์จับปลาเทคโนโลยีภูมิปัญญาพื้นบ้านไทย ได้แก่ ลอบนอน ข้องเป็ดหรืออีเป็ด ลอบยืน เป็นต้น </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="350"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="350"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">อุปกรณ์จับปลาเทคโนโลยีภูมิปัญญาพื้นบ้านไทย ได้แก่ ลอบนอน ข้องเป็ดหรืออีเป็ด ลอบยืน เป็นต้น </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="350"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="350"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">เครี่องจักสานไม่ไผ่ ลายขิด ซึ่งไผ่เป็นหญ้าขนาดใหญ่ที่สุด ลำต้นประกอบด้วยเซลลูโลสและเฮมิลูโลสประสานกันจำนวนมาก ทำให้มีความเหนียวแน่นและแข็งแรง </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="350"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="350"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">เทคโนโลยีการย้อมสีผ้าจากต้นคราม แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาชาวบ้านที่นิยมใช้สีย้อมผ้าที่ทำมาจากธรรมชาติ</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="600"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="600"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">เตาตะกรับ หรือ เตาประกรับ เป็นเตาพื้นบ้าน แต่มีชานเตาแบบอั้งโล่เพื่อวางภาชนะผลิตภัณฑ์ อุณหภูมิที่ใช้เผา 1,100-1,200 องศาเซลเซียส </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="350"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="350"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ดร.พิชัย สนแจ้ง ผอ.อพวช.</td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>

    </td> </tr> <tr> <td class="body" align="left" valign="baseline"> <table align="Center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td align="center" valign="top"> <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="350"> <tbody><tr> <td align="center" valign="Top" width="350"> [​IMG] </td> </tr> <tr><td class="Image" align="left" valign="baseline">ดร.พรชัย รุจิประภา ปลัด วท. เป็นประธานในพิธีเปิด “นิทรรศการเทคโนโลยีภูมิปัญญาไทย” ในวันที่ 1 มิ.ย.54 ณ พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ เทคโนธานีคลองห้า อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี </td></tr> </tbody></table></td> </tr> <tr> <td align="center" height="5" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> </td></tr></tbody></table>


    .

    Science - Manager Online -


    http://www.manager.co.th/Science/ViewNews.aspx?NewsID=9540000067083

    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948

    สำหรับงานผ้าป่า ผมจะนำพระวังหน้า ไปให้ร่วมทำบุญเช่นเดิม

    เท่าที่คุยกับพี่แอ๊ว จะเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับงานพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง ก็คือ การสร้างฉัตรถวายหลวงปู่พระอุปคุต(อยู่กลางสระบัว) , งานบุญต่างๆที่เกี่ยวข้องกับพระเจดีย์ศรีชัยผาผึ้ง และ งานบุญการสร้างโล่ห์กันกระสุนให้กับกองกำกับการตำรวจตะเวณชายแดนที่ 44 และ/หรือ 43

    สำหรับพระวังหน้าที่ผมจะนำไปให้ร่วมทำบุญ เท่าที่คิดไว้จะเป็นพระสมเด็จ Tott 1 , พระสมเด็จ Tott 4 ,พระสมเด็จเจ้าคุณกรมท่า และพิมพ์อื่นๆ

    สำหรับพระสมเด็จ Tott 1 และ พระสมเด็จ Tott 4 นั้น เท่าที่คิดไว้ ผมจะให้ร่วมทำบุญองค์ละ 2,000 บาท ส่วนพิมพ์อื่นๆ ให้ทำบุญองค์ละ 500 บาท (ยกเว้นพิมพ์แม่นางกวัก และ พิมพ์พระแม่ธรณี ซึ่งผมจะให้ร่วมทำบุญ ชุดละ 1,000 บาท คือต้องร่วมทำบุญโดยรับไปทั้งสององค์)

    หากท่านใดเป็นสมาชิกชมรมพระวังหน้า ( ไม่ใช่สมาชิก กลุ่ม/ชมรมพระวังหน้าในเว็บพลังจิต ) ผมให้ร่วมทำบุญองค์ละ 100 บาท

    แต่หากเป็น สมาชิก กลุ่ม/ชมรมพระวังหน้า เว็บพลังจิต ให้ร่วมทำบุญเท่ากับบุคคลภายนอก

    โมทนาสาธุครับ

    .
     
  18. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    <IFRAME id=_atssh959 title="AddThis utility frame" style="BORDER-RIGHT: 0px; BORDER-TOP: 0px; Z-INDEX: 100000; LEFT: 0px; BORDER-LEFT: 0px; WIDTH: 1px; BORDER-BOTTOM: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px; HEIGHT: 1px" name=_atssh959 src="//s7.addthis.com/static/r07/sh43.html#cb=0&ab=-&dh=palungjit.org&dr=&du=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff179%2F%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2266.html&dt=&inst=1&lng=th&pc=men&pub=xa-4a38f0f6636e48fa&ssl=0&sid=4dec3bca581099b5&srd=1&srf=0.02&srp=0.2&srx=0.5&ver=250&xck=0&rev=100141" width=1 height=1 frameborder="0"></IFRAME>
    แฉ!ถั่วงอกยุโรปต้นตอแบคทีเรียอีโคไล

    วันจันทร์ ที่ 06 มิถุนายน 2554 เวลา 0:26 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT>​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    เมืองเบียร์เผยพบถั่วงอกต้นตอแหล่ง "อีโคไล" แพร่ระบาด
    วันนี้ (6 มิ.ย.) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากเมืองฮัมบวร์ก ประเทศเยอรมนี ว่า กระทรวงเกษตรแคว้นโลเออร์ แซกโซนี ของเยอรมนี ตรวจพบสาเหตุการแพร่ระบาดของเชื้อแบคทีเรียอีโคโล ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตในยุโรป 22 รายแล้ว โดยต้นแหล่งเชื่อว่ามาจากถั่วงอก ที่เกษตรกรในแคว้นโลเออร์ แซกโซนี ทางเหนือของประเทศ เพาะปลูกในฟาร์มเรือนกระจก

    นายเกิร์ต ฮาห์เน โฆษกกระทรวงฯ เผยว่า จากการตรวจสอบของคณะเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ เชื่อว่าถ่วงอกท้องถิ่นคือต้นแหล่งการแพร่ระบาดของเชื้อโรคมรณะ จึงขอเตือนให้ประชาชนงดบริโภคถั่วงอกดังกล่าว ที่มักจะใช้เป็นส่วนประกอบในสลัดประเภทต่าง ๆ

    ด้าน นายไรน์ฮาร์ด บูร์แกร์ ประธานสถาบันโรเบิร์ต คอช ศูนย์ควบคุมโรคแห่งชาติเยอรมนี เผยว่า การแพร่ระบาดของเชื้อแบคทีเรียอีโคไลทั่วยุโรป ล่าสุดมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 3 ราย ทำให้ตัวเลขเพิ่มขึ้นเป็น 22 ราย โดย 21 รายอยู่ในเยอรมนี ส่วนอีก 1 รายอยู่ในสวีเดน และยังมีผู้ล้มป่วยจากโรคนี้ 2,153 คน และ 627 รายในจำนวนดังกล่าวเกิดโรคแทรกซ้อนที่แทบไม่เคยพบ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการไตวาย ขณะที่โฆษกองค์การอนามัยโลก (ฮู) เผยว่า นอกจากเยอรมนีและสวีเดนแล้ว อีก 10 ประเทศของยุโรป และสหรัฐ มีผู้ป่วยจากการระบาดของอีโคไลอีกประมาณ 90 คน

    แหล่งข่าวในสาธารณสุขเยอรมนี เผยต่อว่า อีก 9 ประเทศในยุโรปที่มีการแพร่ระบาดของเชื้ออีโคไล ตามที่โฆษกองค์การอนามัยโลกแถลงประกอบด้วย ออสเตรียอังกฤษ สาธารณรัฐเชก เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ สเปน และสวิตเซอร์แลนด์.
    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     
  19. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    วันที่ 06 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 00:14 น. ข่าวสดออนไลน์


    "นาดาล"ปราบ"เฟดเอ็กซ์"สูสี ซิวเฟรนช์ โอเพ่น สถิติสมัยที่ 6

    <STYLE> P { margin: 0px; } </STYLE>
    ผลการแข่งขันเทนนิสเฟรนช์ โอเพ่น รอบชิงชนะเลิศ ประเภทชายเดี่ยว เมื่อวันอาทิตย์ที่ 5 มิ.ย. ราฟาเอล นาดาล นักเทนนิสมือ 1 ของโลกชาวสเปน ในฐานะราชาคอร์ตดิน คว้าแชมป์มาครองได้สำเร็จเป็นสมัยที่ 6 เท่ากับบียอร์น บอร์ก ยอดนักเทนนิสในอดีต หลังหวดเอาชนะ "เฟดเอ็กซ์" โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ มือวางอันดับ 3 ชาวสวิส 3-1 เซ็ต 7-5, 7-6, 5-7 และ 6-1 ในการแข่งขันที่เข้มข้นสูสีถูกใจผู้ชม

    "การเอาชนะนักเทนนิสที่ดีที่สุดคนหนึ่งในโลกและในประวัติศาสตร์ เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์สำหรับผม เป็นหนึ่งในความฝันที่สวยงามที่สุดของผม" นาดาลกล่าว หลังจากรั้งตำแหน่งมือหนึ่งของโลกไว้ได้ โดยไม่ต้องเสียให้กับโนวัก ยอโควิช มืออันดับ 2 ที่มีแต้มไล่จี้มาติดๆ จนเกือบจะแซงได้ หากนัดนี้นาดาลพ่ายเฟเดอเรอร์

    ในรอบรองชนะเลิศ เฟเดอเรอร์พลิกชนะยอโควิช เข้ามาได้ และหยุดสถิติยอโควิชที่ไม่แพ้ใครเลยในปีนี้ รวมถึงการเอาชนะนาดาล ในรอบชิงชนะเลิศที่คอร์ตดิน ติดต่อกันสองรายการที่มาดริดและโรม ไว้ที่ 43 นัด ขณะที่ยอโควิชเคยประกาศไว้ก่อนลงหวดแกรนด์ สแลมรายการที่ 2 ของปี ว่าเป้าหมายสูงสุดในปีนี้คือการพิชิตแชมป์วิมเบิลตันที่อังกฤษ ซึ่งจะเป็นการแข่งขันรายการต่อไป
     
  20. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    หากนักการเมืองเจริญสติ จะเกิดอะไรขึ้น...?
    • 05 มิถุนายน 2554 เวลา 15:01 น. |
    เจริญสติ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนในโลก และเป็นสิ่งจำเป็นในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ พอๆ กับที่อากาศและน้ำ จำเป็นสำหรับคนทุกคน....
    โดย...ว. วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย
    ในอดีตกาลอันไม่ไกลนัก เคยมีตัวอย่างอยู่ว่า ในสมัยที่ บิล คลินตัน เป็นประธานาธิบดีแห่งประเทศสหรัฐอเมริกานั้น เคยมีนักศึกษาฝึกงานคนหนึ่งมาฝึกงานที่ทำเนียบขาว ชื่อของเธอ โมนิกา ลูวินสกี ตามปกติท่านประธานาธิบดีผู้มีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ระดับโลก คงมีการเจริญสติอยู่เสมอ แต่วันหนึ่งเมื่อท่าน “ขาดสติ” ไม่ได้ตามดูความรู้สึกของตน (เวทนานุปัสสนา) อย่างเท่าทันอารมณ์ปัจจุบัน ท่านก็เลยพลาดจากปัจจุบันขณะ ตกเข้าไปสู่โลกแห่งความเย้ายวนของกามารมณ์ จนเกิดปฏิกิริยา “กิ๊ก” กับนักศึกษาฝึกงานสาวคนนั้น
    สิ่งที่ท่านทำลงไป นับเป็น “สัมพันธพ-ล-า-ด” ไม่ใช่ “สัมพันธภาพ” อย่างที่ควรจะเป็น ผลก็คือ ท่านตกเป็นข่าวคาวฉาวโฉ่ไปทั่วโลก และเกือบหลุดจากตำแหน่งประธานาธิบดี เพราะถูกรัฐสภาตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากการ “ขาดสติ” แม้เพียงชั่วขณะจิตเดียวคราวนั้น ทำให้เกิดเป็นรอยด่างในชีวิตของท่านมาจนทุกวันนี้
    เราลองคิดดูในทางกลับกันว่า หากท่านประธานาธิบดีเห็นนักศึกษาฝึกงานสาวสวยคนนั้นแล้ว ท่านมีการเจริญสติอยู่ในใจจนเป็นความเคยชิน เมื่อนักศึกษาสาวซึ่งเป็นอารมณ์ปัจจุบันปรากฏตัวขึ้นมาในห้องทำงานของท่าน ท่านเพียงแต่กำหนดว่า “เห็นก็สักแต่ว่าเห็น” ไม่เพิ่มการปรุงแต่งเข้าไปในสิ่งที่เห็น เหตุการณ์เลวร้ายในชีวิตของท่านคราวนั้นก็คงไม่เกิดขึ้น
    ในกรณีของท่าน ประธานาธิบดีบิล คลินตัน นั้น ท่านเผชิญกับอารมณ์ที่เป็นสิ่งเร้าให้เกิดอาการขาดสติสองอย่างพร้อมกัน นั่นคือ วัตถุกาม (นักศึกษาสาว) และกิเลสกาม (จินตนาการ) สำหรับคนที่ไม่ค่อยได้เจริญสติ การตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์เช่นที่ท่านประธานาธิบดีกำลังเผชิญอยู่ ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะรับมือได้ แต่สำหรับผู้ที่ฝึกการเจริญสติมาเป็นอย่างดี เรื่องเลวร้ายก็คงไม่เกิดขึ้น เพราะสำหรับผู้เจริญสติอยู่เสมอนั้น ต่อให้กระทบกับอารมณ์ที่ยั่วยวนเพียงใด การปรุงแต่งต่อ (สังขาร) ก็คงไม่เกิดขึ้น
    [​IMG]
    ด้วยเหตุนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสเตือนผู้มุ่งต่อการเจริญสติว่า “เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็น เมื่อได้ยิน ก็สักแต่ว่าได้ยิน เมื่อได้กลิ่นก็สักแต่ว่าได้กลิ่น เมื่อลิ้มรส ก็สักแต่ว่าลิ้มรส เมื่อซึมซับสัมผัส ก็สักแต่ว่าสัมผัส และเมื่อครุ่นคำนึงก็สักแต่ว่าครุ่นคำนึงเท่านั้น” และเมื่อใครทำเพียง “สักแต่ว่า...” ไม่มีการปรุงแต่งต่อไปให้มากกว่านั้น ผลก็คือ“...พญามาร (กิเลส) ก็จะมองไม่เห็นเขา และจะหาเขาไม่พบ”
    น่าเสียดายที่ บิล คลินตัน ไม่เคยเรียนรู้การเจริญสติในชีวิตประจำวัน ท่านจึงไม่รู้เท่าทันอารมณ์ของตัวเองซึ่งกำลังผุดพรายขึ้นมาในปัจจุบันขณะ และด้วยเหตุดังนั้น ทั้งๆ ที่ท่านสามารถควบคุมโลกทั้งใบได้ แต่ทว่าท่านกลับไม่อาจควบคุมโลกส่วนตัวของท่านได้
    เราลองจินตนาการดูว่า ถ้าหากนักการเมืองคนสำคัญๆ ของโลก เคยผ่านการเจริญสติและเป็นคนที่มีสติอยู่เสมอในชีวิตประจำวัน นโยบายทางการเมืองของโลกจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนขนาดไหน และโลกนี้จะน่าอยู่เพียงไร
    การเจริญสติ เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคนในโลก และเป็นสิ่งจำเป็นในที่ทุกสถาน ในกาลทุกเมื่อ พอๆ กับที่อากาศและน้ำ จำเป็นสำหรับคนทุกคน คนที่ปฏิเสธการเจริญสติ ก็คือ คนที่ปฏิเสธการมีคุณภาพชีวิตที่ดีของตัวเองโดยแท้
    สำหรับนักปฏิบัติ การเจริญสติ ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ในการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏอันยาวนาน แต่สำหรับคนทั่วไป การเจริญสติ ทำให้หลุดพ้นจากความทุกข์ในชีวิตประจำวัน เป็นรายเรื่อง รายกรณี รายนาที รายชั่วโมง และรายวิกฤติ เป็นเปลาะๆ เป็นครั้งๆ ซึ่งเพียงแค่สามารถจัดการกับความทุกข์ในชีวิตประจำวันได้แม้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวด้วยท่าทีที่เป็นนายเหนือกว่ากิเลสอย่างรู้เท่ารู้ทัน รู้กันรู้แก้ ก็นับว่า เป็นการเพียงพอแล้วสำหรับปุถุชนธรรมดาๆ คนหนึ่ง
    ภาวะที่เราแต่ละคนต่างก็มีสติครองใจในระหว่างวันเช่นนี้เอง ควรเรียกได้ว่า เป็น “นิพพานระหว่างวัน” สำหรับคนทั่วไป และภาวะเช่นว่านี้ ควรเป็นอุดมคติที่พึงประสงค์สำหรับคนทุกชั้นวรรณะอย่างไม่มีข้อยกเว้น ไม่ว่าจะเป็นพระราชาธิบดี ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี นักการเมือง นักธุรกิจ ปัญญาชน ประชาชน หรือยาจกวณิพก ถ้าหากเป็นคนแล้ว เราทั้งหมดทั้งมวลควรฝึกเจริญสติให้มีสติครองกาย ครองใจอยู่เสมอ เพราะคนมีสติ ก็คือ คนมีความสุข (=สติมา สุขเมธติ) ทั้งนี้ โดยไม่เกี่ยวว่าจะต้องรวยหรือจน ขอแค่เป็นคน ถ้าหากเป็นคนมีสติอย่างแท้จริง (อยู่กับปัจจุบันเป็น) ก็มีสิทธิ์มีความสุข และสติส่วนบุคคลนี้เอง ก็คือ รากฐานแห่งสันติภาพของโลก กล่าวอีกนัยหนึ่งว่า สันติส่วนบุคคล คือ สันติภาพสากลของมนุษยชาติ
    ที่มา โพสต์ทูเดย์ ออนไลน์
     

แชร์หน้านี้

Loading...