พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    [FONT=Tahoma,]พระโอวาทสังฆราชวันวิสาขบูชา



    สมเด็จ พระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานพระโอวาท วันวิสาขบูชา 2554 ใจความว่า วันวิสาขบูชาเป็นวันที่มีความสำคัญที่สุดสำหรับพุทธ ศาสนิกชนทั่วโลก เพราะเป็นวันที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน พระองค์ทรงเป็นพระบรมศาสดาผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณอันประเสริฐ 3 ประการ คือ พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ต่อทวยเทพ มวลมนุษย์และสรรพสัตว์ เนื่องด้วยพระพุทธศาสนามีคุณูปการอันใหญ่หลวง ซึ่งอำนวยประโยชน์เกื้อกูลความเจริญรุ่งเรืองและความสงบร่มเย็นแก่นานา อารยชนมาตลอดระยะเวลากว่า 2,500 ปี ฉะนั้น เมื่อวันวิสาขบูชา พุทธศักราช 2554 มาถึง ควรที่เราทั้งหลายจะได้ทำการบูชาและน้อมรำลึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมทั้งพระธรรมและพระอริยสงฆ์ เพื่อน้อมนำมาเป็นที่พึ่งของตน เป็นแนวทางในการปฏิบัติดำเนินชีวิต เพื่อความสวัสดีและความสงบร่มเย็นแก่เพื่อนร่วมโลกสืบไป ขออำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยและบุญกุศล อำนวยให้ทุกท่านเจริญด้วยสุขสิริสวัสดิ์พิพัฒนชัยมงคลตลอดไปโดยทั่วกัน
    [/FONT]


    -http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROaWRXUXdNakEzTURVMU5BPT0=&sectionid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1TMHdOUzB3Tnc9PQ==-



    .

    http://www.khaosod.co.th/view_news....nid=TURNd053PT0=&day=TWpBeE1TMHdOUzB3Tnc9PQ==


    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    "ปวีณา" ช่วย 3 เณรเหยื่อเจ้าอาวาสทำตุ๋ย


    เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2554 ที่ห้องประชุมท่าอากาศยานเลย นางปวีณา หงสกุล ปะธานมูลนิธิปวีณา หงสกุลเพื่อเด็กและสตรี เดินทางมาพบและให้ความช่วยเหลือ 3 สามเณร เหยื่อเจ้าอาวาสวัดแห่งหนึ่งจ.เลยกระทำชำเรา โดยผู้เสียหายเข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อพนักงานสอบสวน สภ.ภูเรือ จังหวัดเลย เมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมาและได้ร้องเรียนไปยังมูลนิธิปวีณา หงสกุล เพื่อเด็กและสตรีด้วย จึงได้เดินทางมาเพื่อติตามความคืบหน้าของคดี


    นางปวีณา หงสกุล กล่าวว่า แม่สามเณรรูปหนึ่งได้ทำหนังสือร้องเรียนกับมูลนิธิปวีณา และ ทราบว่ได้ไปแจ้งความสภ.ภูเรือว่ามีพระระดับเป็นเจ้าอาวาส กระทำการมิดีมิร้ายกับ เณรและก็มีพระรูปอื่นด้วย หลังจากนั้นมูลนิธิฯประสานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งผู้ว่าราชการจังหวัดก็ได้โทรไปประสานว่า ขณะนี้ตำรวจได้สอบปากคำสามเณร มีอีก2 สามเณรผู้เสียหาย เจ้าคณะจังหวัดได้ตั้งคณะกรรมการมาสอบสวนและให้พระรูปนี้ปาราชิก แต่ยังไม่ยอมสึกจะต้องมีขั้นตอนทำให้สึกให้ได้ อย่างไรก็ตามมูลนิธิฯนำสามเณรไปจำพรรษาที่ใหม่ เพราะคิดว่าถ้าให้อยู่ที่นี้อาจจะไม่ปลอดภัย

    นพ.ฌัฐกร จำปาทอง ผอ.รพ.จิตเวชเลยราชนครินทร์ ได้กล่าวในเรื่องจะดูแลเรื่องของสามเณรที่ได้ถูกกระทำชำเรา ว่าในเบื้องต้นนี้เราได้ประเมินพ่อแม่ของเณรแล้วพบว่าเณรมีประพฤติกรรมและ อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป หลังที่เกิดเหตุการณ์ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์โดยตรงหรือ เกิดจากคนรอบข้าง ก็จะส่งผลกระทบต่อจิตใจของเด็กหรือเณรแน่นอน ตรงนี้ทีมสุขภาพจิตใน รพ.จิตเวชก็ต้องเข้าไปประเมินภาวะซึมเศร้าและภาวะทางอารมณ์ว่าได้เกิดภาวะ น่าเป็นห่วงหรือไม่ เบื้องต้นคงจะใช้เครื่องมือและนักจิตวิทยา จิตแพทย์ พยาบาลจิตเวชเข้าไปประเมินภาวะดังกล่าว และติดตามอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ เพื่อดูความคืบหน้า สำหรับในเรื่องนี้มีผู้สนใจและสังคมเป็นอย่างมาก ก็อาจทำให้เกิดความเคียดกับเด็กได้ ในเรื่องนี้จึงจะต้องประเมินกันอย่างรวดเร็ว

    นางรัตนาพร(นางแดง) แม่สามเณร เปิดเผยต่อหน้านางปวีณา ว่าตั้งแต่เกิดเรื่องนี้ขึ้นมาก็ได้มีสาวกของเจ้าอาวาสรูปนี้ข่มขู่มาตลอด ว่าจะฆ่าให้ตายทั้งครอบครัวและญาติ แต่เมื่อวันที่ 25 เมษายน ขณะนี้ได้เข้าแจ้งความแล้วที่ สภ.ภูเรือในเรื่องนี้แล้ว




    .

    -http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1304688630&grpid=&catid=19&subcatid=1905-

    .


    http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1304688630&grpid=&catid=19&subcatid=1905

    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    มรรคนายก-ไวยาวัจกร


    คมชัดลึก : วัดโดยส่วนใหญ่นิยมแบ่งเขตภายในวัดออกเป็นสองส่วนคือ พุทธาวาส และสังฆาวาส โดยส่วนพุทธาวาสจะเป็นที่ตั้งของสถูปเจดีย์ อุโบสถ สถานที่ประกอบกิจกรรมทางพระพุทธศาสนา ส่วนสังฆาวาส จะเป็นส่วนกุฏิสงฆ์สำหรับพระภิกษุสงฆ์สามเณรจำพรรษา


    นอกจากนี้แล้ว ในปัจจุบันแทบทุกวัดจะเพิ่มส่วนฌาปนสถานเข้าไปด้วย เพื่อประโยชน์ในด้านการประกอบพิธีทางศาสนาของชุมชน เช่น การฌาปนกิจศพ โดยในอดีตส่วนนี้จะเป็นป่าช้า ซึ่งอยู่ติดหรือใกล้วัด ตามธรรมเนียมของแต่ละท้องถิ่น ซึ่งส่วนใหญ่กลุ่มฌาปนสถานในวัดพุทธศาสนาในประเทศไทยจะตั้งอยู่บนพื้นที่ที่ เป็นป่าช้าเดิม
    ปัจจุบันในเมืองใหญ่ที่วัดกลายเป็นเพียงสถานที่จำพรรษาของพระสงฆ์และ เพื่อประกอบพิธีทางศาสนาเท่านั้น ส่วนวัดไทยในชนบทยังคงเป็นศูนย์รวมของคนในชุมชน ซึ่งนอกจากจะมีพระแล้ว ยังมีฆราวาสที่ทำหน้าที่ของวัด อีก ๒ ตำแหน่งที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างดี คือ "มรรคนายก" และ “ไวยาวัจกร
    ทั้งนี้ พระธรรมกิตติวงศ์ (ทองดี สุรเตโช ป.ธ.๙ ราชบัณฑิต) เจ้าอาวาสวัดราชโอสาราม ได้อธิบายความหมายของคำว่า "มรรคนายก" อ่านว่า “มัก-คะ-นา-ยก” ไว้ว่า ผู้นำทาง คือ ผู้นำบุญ ผู้แนะนำทางบุญ หรือ ผู้ชี้ทางบุญ ซึ่งบางครั้งจะเขียนว่า “มัคนายก” ก็มี
    มรรคนายก ใช้เรียกคฤหัสถ์ผู้ประสานติดต่อระหว่างวัดกับชาวบ้านในกิจการต่างๆ ของวัด หรือผู้เป็นหัวหน้าในพิธีทำบุญ เช่น นำอาราธนาศีล อาราธนาพระปริตร นำถวายทาน ตลอดจนจัดแจงดูแลศาสนาพิธีอื่นให้ถูกต้องเรียบร้อย
    มรรคนายกที่ดีและเก่งจะทำให้งานบุญต่างๆ ในวัดเสร็จเรียบร้อย เป็นระเบียบสวยงาม และราบรื่นไม่ติดขัด
    มรรคนายก อาจเป็นชายหรือหญิงก็ได้ และแต่ละวัดอาจจะมีหลายคนก็ได้
    มรรคนายก คำนี้มักจะเรียกเพี้ยนไปว่า มรรคทายก ซึ่งแปลว่า ผู้ให้ทาง หรือ ผู้บอกทางบุญทางสวรรค์ให้ ก็มี
    ส่วนคำว่า “ไวยาวัจกร” (อ่านว่า ไว-ยา-วัด-จะ-กร) เจ้าคุณทองดีให้ความหมายไว้ว่า ผู้ขวนขวายช่วยทำกิจของสงฆ์ หมายถึงผู้ช่วยเหลือรับใช้พระสงฆ์ ทำกิจธุรแทนสงฆ์
    ไวยาวัจกร ตามกฎหมาย หมายถึง คฤหัสถ์ผู้ได้รับการแต่งตั้งให้มีหน้าที่เบิกจ่ายนิตยภัต และมีอำนาจหน้าที่ดูแลรักษาจัดการทรัพย์สินของวัดได้ตามที่เจ้าอาวาสมอบหมาย เป็นหนังสือ และกำหนดให้ไวยาวัจกรเป็นพนักงานตามกฎหมาย
    การแต่งตั้งไวยาวัจกรเป็นอำนาจหน้าที่ของเจ้าอาวาส วัดหนึ่งอาจจะมีไวยาวัจกรได้หลายคน ทั้งนี้ความเป็นไวยาวัจกรสิ้นสุดลงเมื่อเจ้าอาวาสผู้แต่งตั้งให้ออก หรือพ้นจากความเป็นเจ้าอาวาส เช่น ลาออก ลาสิกขา หรือ มรณภาพ

    " พระธรรมกิตติวงศ์"


    -http://www.komchadluek.net/detail/20110506/96786/%E0%B8%A1%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%81%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%88%E0%B8%81%E0%B8%A3.html-




    http://www.komchadluek.net/detail/20110506/96786/มรรคนายกไวยาวัจกร.html


    .
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    เลือก "รองเท้า" เพื่อสรีระเท้า

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]



    คมชัดลึก : อวัยวะส่วนล่างสุดของร่างกายอย่าง "เท้า" มักถูกละเลยอยู่เสมอ หารู้ไม่ว่า "เท้า" เป็นอวัยวะส่วนหนึ่งของร่างกายที่ทำงานหนักไม่แพ้ส่วนอื่นๆ เช่นกัน สกอลล์จึงจัดงาน "สกอลล์ เทคโนโลยี บีคัมส์ สไตล์ 2011" กิจกรรมต้อนรับลมร้อน 2011 เพื่อรณรงค์ให้ทุกคนหันมาสนใจสุขภาพเท้าและขาของตัวเองให้มากขึ้น พร้อมกับพัฒนารูปแบบและสไตล์ของรองเท้าให้ทันสมัยตามเทรนด์แฟชั่นมากยิ่ง ขึ้น พร้อมเชิญ นพ.เชิดพงศ์ หังสสูต แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเท้า จากโรงพยาบาลบางกอกเนอสซิ่งโฮม (บีเอ็นเอช) มาให้ความรู้เกี่ยวกับเท้ามีความสำคัญอย่างไร การเดิน วิ่งมากๆ มีผลกระทบกับเท้า ขา และร่างกายอย่างไร



    "สมัยก่อนที่โลกเรายัง ไม่พัฒนา คนเราต้องเดินอยู่บนพื้นธรรมชาติที่เป็นต้นหญ้า ดิน หรือทราย ที่ไม่ราบเรียบสม่ำเสมอ ซึ่งสามารถรองรับสรีระเท้าได้ แต่ปัจจุบันมีการทำถนน ทางเดินให้เป็นพื้นที่ราบเรียบ แข็ง ทำให้ทุกย่างก้าวกระทบกับพื้นที่เรียบแข็งวันละหลายพันก้าว บวกกับที่เท้าต้องรับน้ำหนักของร่างกายอยู่ตลอดเวลา ก่อให้เกิดผลกระทบกับเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ สรีระเท้าได้อย่างคาดไม่ถึงในระยะยาวได้ หรือแม้การออกกำลังกาย เล่นกีฬาสม่ำเสมอนั้นเป็นผลดีต่อร่างกาย แต่ทุกกิจกรรมการเคลื่อนไหว น้ำหนักของร่างกายที่มากขึ้น ทุกก้าวที่กระทบสัมผัสกับพื้นทำให้เกิดแรงกระแทกไปที่เท้าและขาได้ ซึ่งมีโอกาสที่จะทำให้ข้อเท้าบิดเอียงเข้าด้านใน เป็นลักษณะที่ภาวะเท้าแบน (เท้าเต็ม) ได้ในที่สุด มีผลทำให้เส้นเอ็น กล้ามเนื้อเกิดการตึงมากขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดอาการต่างๆ ตามมาได้
    วิธีการง่ายๆ ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองว่ามีภาวะเท้าบิดเอียงเข้าด้านในหรือมีภาวะเท้าแบน หรือไม่ คือ การทำให้เท้าเปียกน้ำ และมายืนบนพื้นหรือวัสดุที่แห้ง ราบเรียบ หรือบนพื้นทราย แล้วดูว่ารอยเท้าที่เปียก มีส่วนโค้งเว้าของเท้าหรือไม่ หากเกิดภาวะเท้าแบน ในเบื้องต้นแก้ไขโดยการเลือกรองเท้าที่มีพื้นรองเท้าข้างในที่มีส่วนโค้งนูน สามารถเสริมรับอุ้งเท้าหรือรับสรีระเท้าของเราได้ ที่สำคัญรองเท้าที่มีความนุ่มพอประมาณ สามารถรองรับหรือลดแรงกระแทกที่เท้ากระทบกับพื้นได้ ดังนั้นในการเลือกซื้อรองเท้า ควรสังเกตพื้นรองเท้าด้าน ในด้วยว่า มีลักษณะที่เสริมอุ้งเท้าหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ต้องหาแผ่นเสริมที่สามารถเสริมเท้าของเราให้มีอุ้งเท้าได้ในขณะ ที่สวมใส่" ผู้เชี่ยวชาญด้านเท้าแนะนำ
    พร้อมกันนี้ นพ.เชิดพงศ์ ยังเสริมด้วยว่า การเลือกรองเท้าเพื่อสุขภาพเท่าที่ดี ควรเลือกพื้นรองเท้าที่สามารถรับสรีระเท้าโดยเฉพาะอุ้มเท้าของเราได้ พื้นรองเท้ามีความนุ่ม มีแผ่นเจลหรือวัสดุนุ่มที่พื้นรองเท้า เพื่อรองรับลดแรงกระแทกได้ดี หรือรองเท้าที่มีปุ่นนวดเท้า จะได้ช่วยนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อเท้าได้บ้าง หรือสำหรับผู้หญิงที่ต้องใส่รองเท้าส้นสูง ควรหารองเท้าที่มีพื้นรองเท้าที่ เสริมอุ้งเท้าด้วย ฉะนั้นการยืนหรือเดินให้ดีต้องยืนให้เต็มฝ่าเท้า ซึ่งต้องใช้กล้ามเนื้อเท้าขาช่วย ทำให้เราต้องเดินตัวตรง ขาตรง ก็จะทำให้เราดูสูงสง่า ขาก็จะกระชับ เรียว สวยงามได้เช่นกัน


    -http://www.komchadluek.net/detail/20110504/96499/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%B2.html-


    .


    http://www.komchadluek.net/detail/20110504/96499/เลือกรองเท้าเพื่อสรีระเท้า.html
    .



    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    วิธีปฐมพยาบาลเมื่อมีบาดแผลและการห้ามเลือด

    หมอรามาฯ ไขปัญหาสุขภาพ
    ที่มาเดลินิวส์

    เป็นธรรมดาของชีวิตคนเรา ที่ต้องมีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ซึ่งทั้งหลายเหล่านี้เป็นวงเวียนชีวิตที่ต้องเผชิญกันทุกคน แต่การจะกล่าวเฉพาะการเจ็บ สิ่งแรกที่ทุกคนมักนึกถึงก็คือ บาดแผล และมีเลือดออก หมอรามาฯ ไขปัญหาสุขภาพฉบับนี้ จึงขอนำเสนอวิธีการปฐมพยาบาลเมื่อมีบาดแผลเกิดขึ้น และวิธีในการห้ามเลือดก่อนส่งเข้าแผนกฉุกเฉินในโรงพยาบาล ชนิดของบาดแผลชนิดของบาดแผลที่พบ

    สามารถแบ่งออกได้เป็น 7 ชนิด ดังต่อไปนี้

    1) บาดแผลฟกช้ำ

    ห้อเลือดวิธีการปฐมพยาบาล ให้ประคบด้วยความเย็นทันทีภายใน 24 ชั่วโมงแรกและให้ประคบด้วยความร้อนภายใน 24 ชั่วโมงหลัง

    2) บาดแผลถลอก

    วิธีการปฐมพยาบาล เมื่อเกิดบาดแผลถลอกสิ่งที่จะตามมาก็คือ มีเลือดออกซิบ ๆ ดังนั้นให้รีบทำการล้างแผลทันที เพื่อป้องกันการติดเชื้อและอักเสบของแผล

    3) บาดแผลฉีกขาด

    วิธีการปฐมพยาบาล ล้างบาดแผลและรอบบาดแผลด้วยน้ำสะอาดและสบู่ทำความสะอาดสิ่งแปลกปลอมที่อยู่ ในบาดแผลออกกดบาดแผล ห้ามเลือดด้วยผ้าสะอาด ประมาณ 3-5 นาที ทำความสะอาดบาดแผลด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อและปิดแผลด้วยพลาสเตอร์หรือผ้าปิดแผล ส่วนการดูแลแผลถลอก และ บาดแผลฉีกขาดขนาดใหญ่ควรรีบทำการห้ามเลือด และรีบนำส่งโรงพยาบาล

    4) บาดแผลถูกแทง

    วิธีการปฐมพยาบาล ให้ทำการห้ามเลือด และรีบนำส่งโรงพยาบาลถ้ามีวัตถุปักคาอยู่ห้ามดึงออก ให้ใช้ผ้าสะอาด กดรอบแผลและใช้ผ้าพันไว้ ก่อนรีบนำตัวส่งโรงพยาบาลทันที

    5) บาดแผลอวัยวะถูกตัดขาด

    วิธีการปฐมพยาบาล ให้ทำการห้ามเลือดที่บาดแผลและรีบนำส่งโรงพยาบาล ส่วนอวัยวะที่ถูกตัดขาดให้ใส่ถุงพลาสติกที่สะอาด ปิดปากถุงให้แน่นไม่ให้น้ำเข้าแล้วแช่ในถังน้ำแข็ง แล้วนำส่งโรงพยาบาลพร้อมผู้ป่วย

    6) บาดแผลถูกยิง

    วิธีการปฐมพยาบาล ให้ทำการห้ามเลือด และรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยทันที เนื่องจากมีการเสียเลือดค่อนข้างมาก

    7) บาดแผลถูกความร้อน

    วิธีการปฐมพยาบาล ให้รีบถอดหรือตัดเสื้อผ้าบริเวณที่ถูกความร้อนออก และรีบถอดเครื่องประดับ เปิดน้ำเย็นให้ไหลผ่านบริเวณบาดแผล ให้ทายาสำหรับแผลไฟไหม้ แล้วปิดด้วยผ้าปิดแผลสะอาด ถ้าแผลกว้างและลึก หรือถูกอวัยวะสำคัญ ให้รีบนำส่งโรงพยาบาลการห้ามเลือด

    การห้ามเลือดโดยทั่วไป จะใช้วิธีการอยู่ 2 วิธีคือ การใช้มือกด และการใช้ผ้ากดเพื่อพันแผล ซึ่งเป็นวิธีการที่ใช้กันอยู่ เพียงแต่จะมีเทคนิควิธีการที่ค่อนข้างเฉพาะจุด ซึ่งต้องทำความเข้าใจโดยวิธีการลงมือปฏิบัติ

    1) การใช้มือกด

    สามารถห้ามเลือดได้โดยการใช้มือกด หรือใช้นิ้วกดบาดแผลโดยตรง นอกจากนี้ยังใช้มือหรือนิ้วบีบปากแผลเข้าหากัน ใช้สำหรับกรณีที่บาดแผลมีขนาดใหญ่ส่วนวิธีการใช้นิ้วกดเส้นเลือดแดงใหญ่ เหนือบาดแผล ใช้ในบาดแผลบริเวณแขนขาที่เลือดออกมาก โดยส่วนใหญ่เกิดจากการบาดเจ็บต่อหลอดเลือดแดง และห้ามกดติดต่อกันนานเกิน 15 นาที เพราะจะทำให้เนื้อเยื่อส่วนปลายขาดเลือดได้

    2) การใช้ผ้ากดและการใช้ผ้าพันแผล มีด้วยกัน 3 วิธีคือ

    ขยุ้มผ้าสะอาดกดลงบนบาดแผลโดยตรง

    ขยุ้มผ้าสะอาดกดลงบนบาดแผลแล้วใช้ผ้าสามเหลี่ยมพัน

    ขยุ้มผ้าสะอาดกดลงบนบาดแผลแล้วใช้ผ้ายืดพัน

    หากไม่มีกระดูกหัก ควรยกบริเวณที่มีเลือดออกให้สูงกว่าระดับหัวใจ และไม่ควรกดหรือพันแน่นจนเกินไป เพราะจะทำให้อวัยวะส่วยปลายที่กดหรือพันขาดเลือดได้
    (ยกเว้นกรณีที่ห้ามเลือดโดยวิธีกดเส้นเลือดแดงใหญ่)

    หากนำผ้าปิดแผลชุ่มเลือดแล้วไม่ควรเอาออกและควรนำผ้าอีกชิ้นมาปิดทับบนผ้าชิ้นแรก

    วิธีการข้างต้นเป็นสิ่งที่คุณผู้อ่านทุกท่านสามารถนำไปใช้ได้ แต่หากต้องระมัดระวังในเรื่องการติดเชื้อ การสัมผัสตัวผู้ป่วยด้วยเป็นสำคัญ ทางที่ดีเมื่อทำการปฐมพยาบาลแล้ว ให้รีบส่งตัวเข้าโรงพยาบาลทันทีในแผนกฉุกเฉิน.

    พญ.รพีพร โรจน์แสงเรือง

    นพ.พงศ์ศิษฏ์ สิงหทัศน์


    -http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=506&contentId=137142-

    http://www.dailynews.co.th/newstartpage/index.cfm?page=content&categoryId=506&contentId=137142


    .
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    อร่อยเด็ดดวง เมนูทุเรียน


    จั่วหัวเด่นชัดซะขนาดนี้ คนยี้ทุเรียนทั้งหลายก็คงขอบ๊ายบายใช่เปล่า?
    โดย...อัคร เกียรติอาจิณ
    จั่วหัวเด่นชัดซะขนาดนี้ คนยี้ทุเรียนทั้งหลายก็คงขอบ๊ายบายใช่เปล่า?
    งั้นไม่มัวพูดพร่ำทำเพลงให้เสียเวลาหรอก ไปหาเมนูทุเรียนอร่อยๆ หม่ำดีกว่า
    เมนูทุเรียนที่เราภูมิใจนำเสนอ ไม่ธรรมดาตรงที่ใช้ทุเรียนเมืองนนท์ทำ
    ฟังไม่ผิดหรอกครับ ก็ทุเรียนอันเลื่องลือจาก จ.นนทบุรี ซึ่งมีดีกรีความอร่อยนัมเบอร์วัน แถมยังราคาแพงแสนแพงนั่นไง ลูกหนึ่งตกเป็นพัน บางลูกเหยียบหมื่นก็เคยมี โอ้แม่เจ้า!!!
    ที่สำคัญถูกยกเป็นของฝากขั้นเทพ เข้าตำราที่ว่ากันว่า “คนซื้อไม่ได้กิน คนกินไม่ต้องซื้อ”


    [​IMG]


    ส่วนเราน่ะเหรอ ทั้งได้กินและได้ซื้อ เพราะอานิสงส์ของงานนี้ “ทุเรียนนนท์ 2554” (จัดจนถึงวันที่ 15 พ.ค. ณ ชั้น 3 เซ็นทรัลรัตนาธิเบศร์)
    กลิ่นหอมเฉพาะตัวทุเรียนนั้น ยืนไกลๆ ก็รู้ว่าเป็นกลิ่นของมันชัวร์ๆ ช่างยั่วยวนชวนให้น้ำลายสอชะมัด ประหนึ่งเป็นการทายทักคนรักทุเรียนซะงั้น
    แล้วก็ได้เวลาเดินสำรวจแผง เพื่อมองหาทีเด็ดเมนูเลิศๆ ที่พาเหรดมาเอาใจเหล่าสาวกพันธุ์แท้
    “แหม!!! อยากให้นังเรยามาจัง ฉันจะตบด้วยเปลือกทุเรียนนี่แหละ” โถๆๆๆ ดูสิดู ความแรงงงงส์ของละคร ความร้ายยยยส์ของเรยาก็ยั้งอุตส่าห์ตามมาหลอกหลอนถึงงานทุเรียนเลยนะเนี้ย
    ก็ว่ากันไป ละครฮิต นางร้ายฮอต เปลือกทุเรียน และแม่ค้า (อินจัด) ย่อมจะเป็นของคู่กันมาแต่ไหนแต่ไร (อิ อิ)
    ด้วยคุณสมบัติเด่น ครบเครื่องเรื่องรสชาติ หวาน มัน หอม เนื้อเนียนนุ่ม ทุเรียนเมืองนนท์จึงเป็นที่โจษจันมายาวนาน จากรุ่นโน้นสู่รุ่นนี้คงไม่ใช่แค่การกินสดๆ แบบที่เคยลิ้มลอง ยุคสมัยเปลี่ยนจึงมีคนนำทุเรียนเมืองนนท์ไปครีเอต ทำเป็นอะไรได้อีกร้อยแปด
    เช่น พาสทรีเชฟไฟแรง “เดชา ม่วงสีทอง” โรงแรมริชมอนด์ (ถนนรัตนาธิเบศร์ อ.เมือง จ.นนทบุรี โทร. 02-831-8888) ก็ดัดแปลงทุเรียนมาอยู่ในเบเกอรีหลากชนิด อาทิ “มูสทุเรียน” “ชีสเค้กทุเรียน” “ช็อกโกแลตโรลไส้ทุเรียน” รวมทั้งยังมี “ซูชิทุเรียน” ที่ทำจากทุเรียนโดยเลียนแบบซูชิ หรือข้าวปั้นที่ปกติใช้ปลาดิบเป็นพระเอก แต่เชฟกลับแทนด้วยทุเรียนกวนสูตรพิเศษ วางบนข้าวเหนียวมูน เสิร์ฟเป็นคำๆ ให้รสหวานมันและกรุ่นกลิ่นหอมของทุเรียนทั่วปาก


    [​IMG]


    “พันธุ์ที่ใช้ก็คือ ชะนี เอาแบบสุกงอมเลย แต่ไม่ถึงขั้นเละนะ เพราะมันอาจจะขมได้ ผมต้องเอามากวนก่อน กวนกับกะทิ น้ำตาลปี๊บ เกลือ น้ำเปล่า ทุเรียนนี่ยิ่งกวนก็ยิ่งหอม ถ้าคนแพ้ทุเรียนทนไม่ไหวหรอกครับ” เชฟเดชาบอก “ซูชินี่เป็นครั้งแรกที่ผมลองทำ ตามคอนเซปต์ที่ตั้งไว้ว่าอยากได้ซูชิทุเรียน ซึ่งเมนหลักก็ต้องใช้ทุเรียนเป็นส่วนผสม แล้วทุเรียนก็ต้องสุก ไม่สุกไม่อร่อย อย่างถ้าห่ามกลิ่นและรสชาติมันก็ไม่ได้ความเป็นทุเรียนจริงๆ”

    อีกรายที่นำของดีเมืองนนท์มาดัดแปลงเป็นเมนูอร่อยล้ำ “วัฒนา จันทร์หอมกุล” เจ้าของร้านขนมไทย “แม่พยอม” แห่งเกาะเกร็ด (หมู่ 1 อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี โทร. 08-6069-3507) โดยเธอใช้ทุเรียนพันธุ์กระดุม สุกกำลังดี ไม่งอมมาก แต่หวานมันจับใจมากวนกับถั่วเขียว เพื่อให้ได้ไส้ลูกชุบสีสวยจัดจ้าน
    “เคยทำกินที่บ้านก็จะเป็นข้าวเหนียวแดงทุเรียน ก็เอาทุเรียนมากวนกับข้าวเหนียวแดง หอมหวานอร่อยมากๆ ค่ะ หลังๆ ก็ไม่ค่อยได้ทำละ งานนี้ไฮไลต์จะอยู่ที่ลูกชุบที่ไม่ใช่ไส้ถั่วอย่างเดียว แต่เป็นลูกชุบไส้ทุเรียน ซึ่งถือเป็นความแปลกใหม่ของขนมไทย ตอนแรกพี่ใช้ทุเรียนกวนล้วนๆ มาทำ ปรากฏว่ามันชุบไม่ติด เพราะทุเรียนกวนมีความมันแยะ ก็เลยลองผสมกับถั่วเขียว พอเอามาชุบก็ชุบติด แล้วมันยังไม่หวานเกินไปด้วย”

    นอกจากนี้ เจ้าของร้านขนมไทยเจ้าดังยังปิ๊งไอเดียทำ “วุ้นลูกชุบไส้ทุเรียน” มากำนัลแฟนๆ เพิ่มตัวเลือกความอร่อยให้แก่ขนมไทย และบางทีเธออาจมีเซอร์ไพรส์เมนูเด็ดประจำบ้าน “ข้าวเหนียวแดงทุเรียน” ที่เคยทำกินกันในหมู่สมาชิกครอบครัว เป็นสูตรลับที่เธอลองผิดลองถูก โดยใช้ทุเรียนกวนกับข้าวเหนียวแดง กวนจนเหนียวและแห้งงวด พร้อมเสิร์ฟเป็นของหวานหน้าตาบ้านๆ แต่รสชาติห้าดาว
    จากของหวานๆ มาถึงของคาว ใครว่าทุเรียนทำของคาวไม่ได้ ขอให้คิดใหม่ เห็นมากับตา ชิมมากับลิ้น ลองแล้วจะติดใจ ไม่ว่าจะเป็น “น้ำพริกทุเรียน” น้ำพริกกะปิที่คุ้นเคย เพิ่มทุเรียนสุก หั่นเป็นชิ้นบางๆ ใส่เข้าไปในถ้วยน้ำพริก แกล้มด้วยสารพัดผัก ได้ความเผ็ดเปรี้ยวเค็มของกะปิและส่วนผสม ขณะที่ความหวานหอมต้องลิ้มรสที่ชิ้นทุเรียน กินกับข้าวร้อนๆ อร่อยเหนือคำบรรยาย
    “แกงส้มไข่ชะอมทุเรียน” โอ้ลั่นล้า ไม่อยากจะเชื่อ จานนี้กินง่ายสะดวกใจอย่างไม่เคอะเขิน ที่สำคัญใส่ทุเรียนในชะอมไข่แล้วเจียวไม่ใช่เรื่องประหลาด คอนเฟิร์มว่า อร่อยๆๆ หรือจะเป็น “แกงเผ็ดฟักทองไก่ทุเรียน” ใช้ทุเรียนห่ามรวมกับเครื่องเคราอื่นๆ ก็เข้ากันดี รสชาติแกงเผ็ดเป็นยังไงก็ยังงั้นเลย “ห่อหมกทุเรียน” ก็ได้รสทุเรียนเพิ่มความอร่อย

    สำหรับสูตรอาหารคาว คนคิดสูตรคือ“ลำยอง กลิ่นนาค” เจ้าของร้านข้าวแกงแม่ลำยอง (โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า อ.เมือง จ.นนทบุรี โทร. 08-0294-3579) ประสบการณ์โชกโชนในการทำข้าวแกงช่วยให้เธอคิดดัดแปลงนำทุเรียนมาทำอาหารได้ ไม่ยากนัก
    “พี่ก็เห็นมันมานานนะ แต่ก็ไม่เคยคิดจะเอาไปทำกับข้าว พอมีคนบอกให้ลอง ความที่พี่ทำกับข้าวขายอยู่แล้ว มันก็ไม่ใช่เรื่องพิสดารอะไร พอลองทำดูมันก็สามารถจะแทรกในอาหารไทยได้อีกตั้งเยอะ ซึ่งก่อนหน้านี้พี่เคยลองทำขาย ส่วนใหญ่ก็รับได้”
    ทุเรียนกับอาหารคาวน่ะไปกันได้ ทว่ากว่าจะลงตัวเรื่องรสชาติ ก็มีเคล็ด (ไม่) ลับนิดหนึ่ง แม่ครัวหัวป่ารายนี้บอกการเลือกทุเรียนสำคัญ สุกมากก็อาจไม่เหมาะกับเมนูคาว ต้องสุกกำลังดี ใส่ในน้ำพริกจะอร่อย แต่ถ้าเป็นทุเรียนห่ามเหมาะกับแกงส้ม จะได้ไม่หวานมากไงล่ะครับ...

    .

    -http://www.posttoday.com/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1/%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A8%E0%B8%A9/87338/%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%87%E0%B8%94%E0%B8%94%E0%B8%A7%E0%B8%87-%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%97%E0%B8%B8%E0%B9%80%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%99-


    http://www.posttoday.com/กิน-เที่ยว/กิน-ดื่ม/จานพิเศษ/87338/อร่อยเด็ดดวง-เมนูทุเรียน



    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    ที่เดียว ที่ดอยคำ


    ทุกทีที่จะซื้อของมาทำกินประจำวันหรือซื้อเผื่อสำหรับวันข้างหน้า ก็จะเอาความสะดวกเป็นหลัก มักจะซื้อที่ Super ใกล้ๆ บ้าน

    โดย...สุธน สุขพิศิษฐ์


    ทุกทีที่จะซื้อของมาทำกินประจำวันหรือซื้อเผื่อสำหรับวันข้างหน้า ก็จะเอาความสะดวกเป็นหลัก มักจะซื้อที่ Super ใกล้ๆ บ้าน หลายอย่างแพงก็ยอม แต่มีบ่อยที่แพงแล้วยังไม่ได้ดั่งใจ แม้กระทั่งเวลาที่อยากได้ผักเมืองหนาว ที่ Super มันแพงนัก ก็ไปที่ตลาดสามย่าน ก็ไม่ใช่ว่าถูกสักเท่าไหร่ พอซื้อแล้วยังนึกว่าเป็นผักจากเมืองจีนทั้งนั้น เป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้ พอเป็นผักเมืองหนาวก็นึกว่ามีร้านดอยคำ ซึ่งขายผลิตภัณฑ์ของโครงการหลวง ของดีๆ แน่นอนอยู่แล้วกลับเผลอลืมไป ที่จริงจะว่าลืมก็ไม่เชิง เพราะรู้จักอยู่ที่เดียวที่อยู่ในบริเวณตลาด อตก.ซึ่งไกลจากบ้านพอสมควร
    เมื่อมีโอกาส ก็ตรงไปร้านดอยคำที่ว่า ก็เจ็บใจว่ามัวหลงระเริงกับ Super ว่ามีทุกอย่าง นึกไม่ถึงว่าที่ร้านดอยคำ ก็มีทุกอย่างครบหรือจะว่าไปเหลือความต้องการด้วยซ้ำไป เมื่อคิดให้ถี่ถ้วนแล้วว่าอยากได้อะไร ทั้งซื้อทำกินซึ่งหน้า หรือซื้อเก็บทยอยกิน วางแผนให้ดีซื้อให้ครบ เรื่องหนทางว่าไกลก็ตัดไปได้เลย เมื่อเทียบกับซื้อที่ Super ใกล้บ้านแต่ไปบ่อย ค่าโสหุ้ยการเดินทางก็พอกัน ซึ่งเมื่อเทียบคุณภาพกับราคากับที่ร้านดอยคำแล้ว ตาม Super จ่ายเงินมากกว่าเยอะ


    [​IMG]


    อย่างแรกที่เห็นพวกน้ำผลไม้บรรจุขวด เช่นน้ำมะขาม น้ำกระเจี๊ยบ ชาเขียว ของร้านดอยคำอร่อยกว่า ปริมาณก็เยอะกว่า ราคาก็ถูกกว่า น้ำผลไม้บรรจุขวดยี่ห้อต่างๆ ที่มีขายทั่วไปตามห้างตาม Super ทั่วไป จะด้อยกว่าตรงรูปร่างหน้าตาบรรจุขวดเท่านั้น แต่เมื่อกินเสร็จแล้วก็โยนทิ้งเหมือนกัน
    น้ำผลไม้บรรจุขวดของเอกชนนั้น ราคาในหนึ่งขวดก็รวมค่าโฆษณา ประชาสัมพันธ์ ค่าซัพพลายเออร์ตัวแทนจัดจำหน่าย ยังมีค่าผลิต ซึ่งค่าผลิตนั้นก็รวมวัตถุดิบ ค่าพนักงานทุกระดับ ตั้งแต่ผู้จัดการการผลิต โฟร์แมน ลงไปถึงพนักงาน ค่าน้ำค่าไฟ เสร็จแล้วยังมียอดรายได้เล็กๆ สำหรับเจ้าของบริษัทและผู้ถือหุ้นอีก ฉะนั้นเมื่อต้นทุนเยอะแยะบวกกำไรอีก คุณค่าที่กิน อาจจะเป็นแค่น้ำ ใส่น้ำตาล ปรุงรส ปรุงสี เติมกลิ่นเท่านั้นเอง นี่แค่น้ำผลไม้บรรจุขวดก็เห็นได้ชัดแล้วว่าควรจะกินของใครดี
    ที่ผมพลาดไปอย่างตรงเรื่องอาหารนม นมของโครงการส่วนพระองค์สวนจิตรลดานั้นมีเพียบ โดยเฉพาะนมอัดเม็ด ผู้ใหญ่ก็กินได้ เด็กๆ ก็กินดี แล้วน่าส่งเสริมให้เด็กกินด้วยซ้ำไป ยังนึกว่าเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัดซื้อนมอัดเม็ดไปหลายๆ ซอง เจอเด็กๆ น่ารักๆ อยากให้รางวัลเด็ก แทนที่จะซื้อขนมขบเคี้ยวซองๆ ให้เด็ก ก็ให้นมอัดเม็ดดีกว่า ถูกกว่าขนมซองๆ แถมมีประโยชน์กว่าด้วย
    นั่นเป็นเรื่องของนม ยังมีพวกเนยอีกครับ น่ากินน่าซื้อทั้งสิ้น ปริมาณก็พอดีๆ บางทีซื้อเนยก้อนทั่วๆ ไป กินนานกว่าจะหมด คุณภาพอาหารก็น้อยลงไปแล้ว เดี๋ยวนี้ร้านดอยคำยังมีชีสอีกด้วย นี่เป็นเรื่องที่ผมพลาด ไม่รู้จักมาซื้อของดีที่นี่
    พวกแยมก็เหมือนกัน ถูกกว่าของนอกเยอะ แล้วมีหลายอย่างเสียด้วย ผมชอบ Macadamia Nuts Spread ของดอยตุง เอาไว้ทาขนมปัง ขวดละ 155 บาท เท่านั้น ตอนนี้ก็ลืมเนยถั่วของนอกไปได้เลย
    สำหรับเรื่องผัก จำไม่หวาดไหว น่ากินทั้งนั้น ที่ผมไปมีพริกเม็กซิกัน ใช่เลยรู้แล้วว่าจะเอามาทำอะไร สำหรับเรื่องผักนั้นผมว่าคนไทยเยอะมากที่รู้ว่าอะไรเอาไปทำอะไรได้ แต่ก็อาจจะมีบ้างเหมือนกัน ที่ยังยึดติดกับคำว่าผักเมืองหนาว ก็นึกไปถึงต้องทำอาหารฝรั่งอย่างเดียว แล้วในกิจวัตรประจำวันก็ไม่ได้ทำอาหารฝรั่งบ่อย เลยอาจจะตัดสินใจยากหน่อยว่าจะซื้ออะไร


    [​IMG]




    ผมว่าลองตัดคำว่าต้องเป็นอาหารฝรั่งทิ้งไป แล้วเอามาใช้ในอาหารไทยให้ได้ก็จะได้ความแปลกใหม่ขึ้นมาอีกก็ได้
    นึกถึงว่าคนไทยเองตั้งแต่โบร่ำโบราณจะใช้ผักหญ้าทำอาหารนั้น ปรกติก็ใช้ผักตามฤดูกาล แต่เมื่อผิดฤดูแล้วเกิดอยากกินขึ้นมา ก็พลิกแพลงใช้ผักอย่างอื่นที่ออกมาในขณะนั้นเอามาทดแทน ฉันใดก็ฉันนั้น ใช้ผักเมืองหนาวมาแกงส้มบ้าง หรือแกงเลียงใช้ผักแบบหัวเช่น Butternut แทนฟักทองบ้างก็ไม่เห็นเป็นอะไร ลองผักนั้นบ้างผักนี้บ้าง เดี๋ยวก็เจอของเหมาะเอง
    ผมยังมองเห็นหนังสือ อิ่มอร่อยกับดอยคำ ซึ่งเขียนโดย ม.ร.ว.ดัจฉราพิมล ตุงคนาค ซึ่งหนังสือเล่มนี้ก็มีสูตรอาหาร ที่ใช้ผลิตภัณฑ์โครงการหลวง เป็นสูตรอร่อยๆ เยอะมาก ก็จะไม่อร่อยได้อย่างไร ก็เมื่อ ม.ร.ว.ดัจฉราพิมล ท่านเป็นเจ้าของร้านอาหารกัลปพฤกษ์ นั่นเอง
    ตู้แช่แข็งอาหารสด มีปลาเทราต์ทั้งสดและรมควัน ราคาปลาเทราต์สดแช่แข็งก็เท่าๆ กับปลากะพงเลี้ยงในกระชัง ในเมื่อราคาไม่ห่างกัน ก็หนีความจำเจจากปลากะพงบ้างก็ดี ปลาเทราต์ทำอะไรได้ตั้งเยอะ อาหารฝรั่ง ไทย จีน ทำได้หมด ผมเคยขึ้นดอยอินทนนท์เมื่อครั้งที่การเลี้ยงปลาเทราต์ยังอยู่ในระยะเริ่มต้น ทดลองเลี้ยงอยู่ ไปยืนน้ำลายหกอยู่หน้าบ่อ ตอนนี้ปลาเทราต์มาถึงกรุงเทพฯ แล้ว ถ้านึกอยากกินปลา ปลาเทราต์ ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือก
    ยังมีอีกครับไปตรงที่ขายดอกไม้สด จะเอาอะไรก็มี อย่างดอก Hydrangea ดอกละ 30 บาท เท่านั้น ดอกอย่างอื่นเป็นช่อๆ ช่อใหญ่ๆ สูงสุดก็ไม่เกินร้อย ถ้าไปที่ปากคลองตลาด จดไม่ลงแน่ ผมเคยถามราคาดอกไม้เขา เขาบอกราคาเป็นตัวเลขมา แต่หูผมกลับได้ยินเป็น กระเจิงๆๆ ทุกครั้ง
    นี่แหละครับที่ว่าร้านดอยคำมีทุกอย่าง เรียกว่าอาจจะเหลือความต้องการด้วยซ้ำไป แล้วมีอยู่อย่างหนึ่ง ในขณะที่เดินออกจากร้านดอยคำมานั้น ดูของที่หิ้วอยู่ในมือ ถึงจะจ่ายเงินก็เป็นเงินจำนวนเล็กๆ แต่ก็เป็นเงินที่กลับไปสู่มือชาวเกษตรกร ผู้ปลูก ผู้เลี้ยง แล้วเป็นเกษตรกรทั่วทุกภูมิภาคทุกหนทุกแห่ง เท่านั้นอย่าว่าแต่คุ้มเลย เรียกว่าไม่เสียดายเงินดีกว่าครับ



    -http://www.posttoday.com/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%A2%E0%B8%A7/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99-%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1/%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99/87336/%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B8%B5%E0%B8%A2%E0%B8%A7-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%94%E0%B8%AD%E0%B8%A2%E0%B8%84%E0%B8%B3-




    โพสต์ทูเดย์ กิน-เที่ยว : ที่เดียว ที่ดอยคำ



    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    กูรูเตือนระวังทองคำโลกดิ่งเหวต่อ


    บริษัทค้าทองล่วงหน้าประเมินแนวรับลึกสุด 1,460 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หลังนักเก็งกำไรแห่ทิ้ง
    บริษัท เอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ เปิดเผยว่า ราคาทองคำตลาดโลกวันศุกร์ที่ 6 พ.ค. ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงถึง 50 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ ลงไปต่ำสุดระดับ1,453 เหรียญสหรัฐ ก่อนมาปิดที่ 1,481 เหรียญสหรัฐ ซึ่งถือเป็นการเทขายทำกำไรอย่างรุนแรง และมีการปรับฐานของราคาทองคำรวมทั้งโลหะเงิน
    "ภาพรวมเป็นการปรับฐานทำกำไร โดยที่ระดับ 1,480 เหรียญสหรัฐ เป็นแนวรับที่สำคัญ และถ้าหลุดจากระดับนี้จะมีแนวรับถัดไปที่ระดับ 1,460 เหรียญสหรัฐ" บริษัทเอ็มทีเอส โกลด์ ฟิวเจอร์ ระบุ
    ก่อนหน้านี้กองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ออกมาเปิดเผยปริมาณทุนสำรองระหว่างประเทศของธนาคารกลางต่างๆ พบว่าส่วนใหญ่มีการเก็บสะสมทองคำเพิ่มมากขึ้น เป็นตัวเร่งให้ราคาทองคำในช่วงที่ผ่านมาพุ่งขึ้นอย่างร้อนแรง
    ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทยรายงานปริมาณเงินสำรองระหว่างประเทศล่าสุด ณ วันที่ 29 เม.ย.ปีนี้ พบว่าอยู่ระดับ1.899 แสนล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ5.684 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3.588 หมื่นล้านบาท เนื่องจาก ธปท.เข้าไปแทรกแซงค่าเงินไม่ให้แข็งเร็วเกินไป
    นายจิตติ ตั้งสิทธิ์ภักดี นายกสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ตลาดหุ้นและน้ำมันทั่วโลกปรับตัวลดลง ส่งผลให้ราคาทองจะปรับตัวลงหลุด 1,500 เหรียญสหรัฐต่อออนซ์ หรือปรับตัวลดลง 50 เหรียญสหรัฐ แต่การที่ราคาทองในไทยปรับลงไม่มากนัก เพราะค่าเงินสหรัฐแข็งค่า และค่าเงินบาทอ่อนลงจาก29 บาทต่อเหรียญสหรัฐ เป็น 30 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
    นายจิตติ กล่าวว่า ราคาทองคำในประเทศที่ลดลง 500 บาท ทำให้บรรยากาศการซื้อขายทองในเยาวราชคึกคักอย่างต่อเนื่อง ทำให้ลูกค้ามาหาซื้อทองคำมากขึ้นเพื่อเก็งกำไร




    -http://www.posttoday.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%98%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%88-%E0%B8%95%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%94/87525/%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%B7%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%B3%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%94%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B8%A7%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD-


    .

    http://www.posttoday.com/ข่าว/ธุรกิจ-ตลาด/87525/กูรูเตือนระวังทองคำโลกดิ่งเหวต่อ


    .
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    วางแผนก่อนทำประกัน ตอนรู้จักแล้วจะเข้าใจ...ประกันชีวิต


    ไปทำความรู้จักกับประกันแต่ละประเภทว่า เป็นอย่างไรกันบ้าง เพื่อให้เข้าใจและประกอบการตัดสินใจเลือกใช้บริการประกัน และ “ประกันชีวิต”....

    โดย...สวลี ตันกุลรัตน์


    หลังจากไปทำความเข้าใจเรื่อง “การบริหารความเสี่ยง” ถึงสองสัปดาห์ติดต่อกัน น่าจะพอเป็นไอเดียได้ว่า ในสถานการณ์แบบไหนควรจะเลือกใช้วิธีการอะไรในการบริหารความเสี่ยง และในสถานการณ์ใดบ้างที่ควรจะเลือก “ซื้อประกัน” เพื่อโอนความเสี่ยงของเราไปให้คนอื่นช่วยรับผิดชอบ

    ทีนี้ก็ถึงเวลาที่จะขยับเข้าไปใกล้อีกนิด ไปทำความรู้จักกับประกันแต่ละประเภทว่า เป็นอย่างไรกันบ้าง เพื่อให้เข้าใจและประกอบการตัดสินใจเลือกใช้บริการประกัน และ “ประกันชีวิต” จะเป็นประกันประเภทแรกที่จะไปทำความรู้จักกัน
    และเช่นเดิมที่ข้อมูลส่วนใหญ่ยังอ้างอิงจากชุดวิชาการวางแผนประกันภัย หลักสูตรวางแผนทางการเงิน ศูนย์ส่งเสริมการพัฒนาความรู้ตลาดทุน สถาบันกองทุนเพื่อตลาดทุน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย

    4 แบบ 6 สไตล์

    แม้จะได้ชื่อว่า “ประกันชีวิต” เหมือนกัน แต่ประกันชีวิตสามารถแบ่งออกได้เป็น 4 แบบ (หลักๆ) ซึ่งแต่ละแบบจะมีความแตกต่างกัน และเพื่อที่จะเอาใจลูกค้าที่มีความต้องการหลากหลาย บริษัทประกันจึงนำเอาแบบประกันชีวิตที่มีอยู่ 4 แบบ มาผสมกันจนเกิดเป็น “ประกันชีวิตแบบพิเศษ” ขึ้นมา

    1.แบบชั่วระยะเวลา (Term Life Insurance)

    เป็น ประกันชีวิตที่จะให้ความคุ้มครองกรณีที่ผู้เอาประกันเสียชีวิตในเวลาที่ กำหนด โดยบริษัทจะจ่ายผลประโยชน์ให้เท่ากับจำนวนที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ แต่ถ้าครบสัญญาแล้วผู้เอาประกันยังมีชีวิตอยู่ ก็จะไม่ได้รับผลประโยชน์อะไรเลย เพราะเป็นแบบประกันที่ไม่มี “มูลค่าเงินสด”


    แต่เป็นแบบประกันที่มีเบี้ยประกันต่ำที่สุด หรือประมาณ 1% ของทุนประกัน ซึ่งถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับความคุ้มครองที่ได้รับ

    ขณะ ที่การจ่ายเบี้ยสามารถจ่ายได้ 2 แบบ คือ จ่ายแบบครั้งเดียว หรือจ่ายแบบรายปีเท่ากันทุกปีเท่ากับระยะเวลาความคุ้มครอง หรืออาจจะจ่ายน้อยกว่าระยะเวลาให้ความคุ้มครองก็ได้

    2.แบบตลอดชีพ (Whole Life Insurance)

    ประกันชีวิต แบบนี้ ชื่อบอกชัดเจนอยู่แล้วว่า จะให้ความคุ้มครองกันไปตลอดชีวิตของผู้เอาประกัน (ไม่ใช่ชีวิตของคนขายประกัน) เพราะฉะนั้นไม่ว่าผู้เอาประกันจะเสียชีวิตเมื่อไร ตอนไหน บริษัทจะต้องจ่ายผลประโยชน์เท่ากับจำนวนเงินเอาประกันที่ซื้อไว้


    นอกจากนี้ ยังเป็นแบบประกันที่อัตราเบี้ยประกันต่ำเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะไม่ต่ำเท่ากับแบบชั่วระยะเวลา โดยเบี้ยประกันจะอยู่ระหว่าง 1.5-3% ของทุนประกัน แต่ก็ยังถือว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับความคุ้มครองตลอดชีวิต

    แต่ก่อนที่จะคิดทำประกันแบบนี้ ต้องเป็นการวางแผนระยะยาว โดยเฉพาะการเลือกจ่ายเบี้ยระยะยาวๆ หรือชำระเบี้ยไปตลอดชีพเช่นเดียวกับระยะเวลาความคุ้มครอง นอกจากนี้ เมื่อทำประกันแบบนี้|ไปแล้วพยายามอย่าคิด “ถอนตัว” เพราะจะได้เงินคืนน้อยมากหากเลิกสัญญาก่อนกรมธรรม์ครบกำหนด

    3.แบบสะสมทรัพย์ (Endowment Insurance)

    ลักษณะของ ประกันชีวิตแบบนี้เริ่มสลับซับซ้อนมากขึ้น เพราะเป็นการผสมกันระหว่างประกันชีวิตอย่างน้อย 2 แบบ คือ แบบชั่วระยะเวลา กับ แบบสะสมทรัพย์แท้จริง โดยผู้เอาประกันจะได้รับผลประโยชน์ตามจำนวน ถ้ามีชีวิตอยู่จนครบสัญญา แต่หากเสียชีวิตในระหว่างที่กรมธรรม์ยังไม่สิ้นสุด บริษัทจะจ่ายผลประโยชน์ให้ผู้รับผลประโยชน์


    เพราะฉะนั้นประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์จึงเป็นทั้งการให้ความคุ้มครองและ การออมทรัพย์ ทำให้กลายเป็นแบบประกันชีวิตที่ได้รับความนิยมสูงมากในประเทศไทย เพราะคนซื้อประกันจะคิดว่า “มีแต่ได้กับได้” และเมื่อเทียบกับประกันชีวิตแบบอื่นๆ แล้วแบบสะสมทรัพย์จะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่า

    ขณะที่อัตราเบี้ยประกันจะวิ่งอยู่ระหว่าง 5-20% ของทุนประกัน และในบางกรณีอาจจะมากกว่า 20% แต่บริษัทประกันจะบอกว่า ผลตอบแทนที่จะได้รับสูงถึง 200-300% หรืออาจจะ 400% ของทุนประกันในบางกรณี (แต่อย่าตื่นเต้นเกินไป เพราะหากลองคำนวณผลตอบแทนจากการลงทุนในแต่ละปี จะน่าตกใจยิ่งกว่า เพราะเหลือแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์เท่านั้น)

    4.แบบบำนาญ (Annuities)

    ประกันชีวิตแบบนี้มีอยู่ใน ตำรามานานแล้ว โดยเรียกว่า “ประกันชีวิตแบบเงินได้ประจำ” แต่เราเพิ่งจะมีโอกาสได้รู้จักประกันแบบนี้อย่างจริงๆ จังๆ ก็เมื่อปลายปีที่ผ่านมานี้เอง ในชื่อว่า ประกันชีวิตแบบบำนาญ โดยบริษัทจะจ่ายผลประโยชน์เฉพาะกรณีที่ผู้เอาประกันมีชีวิตอยู่จนถึงอายุที่ กำหนดไว้เท่านั้น โดยจ่ายเป็นประจำในลักษณะเดียวกับ “เงินบำนาญ”


    อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในทางทฤษฎีจะบอกว่า บริษัทจะจ่ายผลประโยชน์เฉพาะการมีชีวิตอยู่เท่านั้น แปลว่า หากบังเอิญเสียชีวิตไปก่อนก็จะไม่ได้รับผลประโยชน์ แต่สำหรับคนไทยอาจจะโชคดีอยู่หน่อย เพราะกรมธรรม์ที่ออกมาส่วนใหญ่จะกำหนดให้มีการจ่ายผลประโยชน์ให้ผู้รับผล ประโยชน์ในกรณีผู้เอาประกันเสียชีวิตด้วย

    5.ประกันชีวิตควบการลงทุน (Unit Linked)

    ถือเป็น พัฒนาการของประกันชีวิตขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง เพราะประกันชีวิตควบการลงทุน เป็นประกันชีวิตที่ขายควบกับกองทุนรวม ทำให้มีการคุ้มครองชีวิตตามแบบของประกัน กับการลงทุนผ่านกองทุนรวม ซึ่งในส่วนของการลงทุนนี้เองจะเป็นตัวกำหนดผลตอบแทนที่ผู้เอาประกันจะได้รับ รวมทั้งความเสี่ยงด้วย


    เมื่อผู้เอาประกันมีสิทธิเลือกที่จะลงทุนด้วยตัวเอง ตามระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของตัวเอง เพราะฉะนั้นผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับอาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าประกัน ชีวิตแบบสะสมทรัพย์ ที่บริษัทประกันจะจัดการเรื่องการนำเบี้ยประกันที่ได้ไปลงทุน โดยที่ผู้เอาประกันไม่มีสิทธิรู้เลยว่า บริษัทนำเงินไปลงทุนอะไร และความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน

    6.ประกันชีวิตแบบ Universal Life

    เป็นประกันชีวิต อีกแบบหนึ่งที่เป็นเรื่องใหม่ของคนไทย โดยเป็นส่วนผสมของประกันชีวิตแบบสะสมทรัพย์ กับ การลงทุน เช่นเดียวกับประกันชีวิตควบการลงทุน แต่แบบ Universal Life จะมีการรับประกันผลตอบแทนขั้นต่ำที่ผู้เอาประกันจะได้รับเอาไว้ด้วย


    นอกจากนี้ ยังมีความยืดหยุ่น โดยที่ผู้เอาประกันสามารถปรับเปลี่ยนความคุ้มครอง และสัดส่วนการออมเงิน รวมทั้งการเพิ่มหรือลดเบี้ยประกันที่จะจ่าย

    ก่อนจะซื้อประกันชีวิต

    นี่ยังไม่นับประกันแบบแปลกๆ ใหม่ๆ ที่นำประกันชีวิตหลายๆ แบบเข้ามารวมกัน และยังไม่รวม “สัญญาเพิ่มเติม” ที่สามารถซื้อควบคู่กับประกันชีวิต (ที่มีอยู่อย่างน้อยๆ 10 ประเภทที่ได้รับความนิยม) ยังทำให้มึนไปได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นก่อนที่จะเลือกซื้อประกันควรจะพิจารณาประเด็นสำคัญ 4 เรื่องนี้เอาไว้ก่อน นั่นคือ


    1.เลือกแบบประกันที่เหมาะกับความต้องการมากที่สุด

    เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องเริ่มจาก “ถามตัวเอง” ก่อนว่าต้องการอะไรจากการทำประกัน เช่น ถ้าต้องการเก็บออมไว้สำหรับยามเกษียณก็ต้องเลือกแบบบำนาญ หรือถ้าต้องการให้เป็นมรดกสำหรับลูกหลานก็เลือกแบบตลอดชีพ แต่ถ้ามีเป้าหมายที่จะใช้เงินในอนาคตบวกกับต้องการความคุ้มครองก็ต้องเลือก แบบสะสมทรัพย์

    แต่สิ่งที่สำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน คือ “ความสามารถในการชำระเบี้ย” เพราะจะเป็นภาระผูกพันไปในระยะยาว และอาจจะยาวไปจนตลอดชีวิตเลยก็เป็นได้ ซึ่งในหนังสือชุดวิชาการวางแผนประกันภัย แนะนำไว้ว่า
    “ถ้าเป็นคนโสด เบี้ยประกันต่อปีไม่ควรจะเกิน 15-20% ของรายได้ต่อปี หรือถ้ามีครอบครัวแล้ว เบี้ยประกันต่อปีไม่ควรเกิน 10-15% ของรายได้ต่อปี... อย่างไรก็ตาม ต้องพึงระลึกอยู่เสมอว่า ประกันชีวิตส่วนใหญ่ให้ผลตอบแทนไม่สูงนัก”

    2.คำนวณจำนวนเงินเอาประกันที่ต้องการ

    การหาว่าจำนวนเงินเอาประกันที่เหมาะสมควรจะเป็นเท่าไรนั้น มีอยู่ 3 แนวทาง ซึ่งต้องบอกกันก่อนเลยว่า แต่ละแนวคิดต้องใช้การคำนวณทางการเงินมากบ้างน้อยบ้างต่างกันไป ซึ่งหากโชคดีได้เจอกับ “คนขายประกัน” ที่มีความรู้ด้านการวางแผนทางการเงินน่าจะสามารถคำนวณหาให้ได้ไม่ยาก

    แนวคิดเรื่องมูลค่าเศรษฐกิจของบุคคล ซึ่งสามารถคำนวณได้จากการนำรายได้ทั้งหมดที่คาดว่าจะได้รับจนกระทั่งเกษียณ อายุ แล้วนำตัวเลขที่คาดว่าจะได้รับมาคำนวณหาว่า เงินในอนาคตจำนวนนั้นคิดแล้วจะเป็น “เงินในปัจจุบัน” สักกี่บาท

    แนวคิดเรื่องความจำเป็น ซึ่งมีทั้งความจำเป็นด้านเงินสด เช่น เงินหมุนเวียนเพื่อจ่ายหนี้ และความจำเป็นด้านรายได้ เช่น เงินชดเชยรายได้ที่ต้องเสียไป เพราะฉะนั้นต้องเริ่มจากการประเมินว่า ครอบครัวมีรายจ่ายอะไรบ้าง และหากหัวหน้าครอบครัวเสียชีวิตจะมีรายได้จากที่ไหนเข้ามาทดแทน
    เมื่อนำมาหักลบกันแล้ว หากแหล่งรายได้ที่จะนำมาทดแทนไม่เพียงพอกับความต้องการ ส่วนต่างตรงนี้เองที่ควรจะป้องกันความเสี่ยง โดยการทำประกันชีวิตให้กับหัวหน้าครอบครัว

    แนวความคิดเรื่อง Capital Retention Approach แค่ชื่อก็ดูจะคำนวณยากแล้ว แต่หลักการสำคัญของวิธีการนี้ คือ หลังจากหัวหน้าครอบครัวเสียชีวิต แหล่งรายได้ที่จะนำมาทดแทนจะไม่ได้คิดจากทรัพย์สินที่มีอยู่ แต่จะคิดจาก “ดอกผล” ที่เกิดจากทรัพย์สินเท่านั้น

    3.เปรียบเทียบกรมธรรม์จากบริษัทประกันหลายๆ แห่ง

    ในความเป็นจริง เราส่วนใหญ่มักจะซื้อประกันชีวิตแบบไม่ได้ตั้งใจ นั่นเพราะไม่ได้เดินออกไปหา แต่มีคนขายประกันเดินเข้ามาหามากกว่า เพราะฉะนั้นโอกาสที่จะเปรียบเทียบกับเจ้าอื่นๆ แทบจะไม่มี

    แต่นับจากนี้ไปไม่ว่าจะเป็นการซื้อในรูปแบบไหน เราควรจะเปรียบเทียบกับหลายๆ บริษัทก่อนตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขความคุ้มครอง เบี้ยประกัน โดยเลือกกรมธรรม์ที่คุ้มค่ามากที่สุด

    4.ปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่ใช่แค่เบี้ยประกัน

    ที่สำคัญไม่น้อยไปกว่าปัจจัยอื่นๆ คือบริษัทประกันมีความมั่นคงทางการเงินมากขนาดไหน เพราะต้องไม่ลืมว่า สำหรับเราการทำประกันเป็นภาระผูกพันระยะยาว ดังนั้นเราก็ย่อมจะต้องการให้บริษัทประกันนั้นอยู่กับเราไปในระยะยาวเช่น เดียวกัน

    นอกจากนี้ การให้บริการก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้ ทั้งการบริการของ “ตัวแทนประกัน” เพราะหากได้ตัวแทนดีก็นับเป็นโชคดี เพราะจะมีคนคอยให้คำแนะนำในด้านต่างๆ ได้ดี และบริการจากบริษัทประกัน โดยเฉพาะเมื่อต้องมีการจ่ายสินไหมหรือจ่ายผลประโยชน์ เพราะเราคงไม่อยากเจอบริษัทที่รับเบี้ยประกันง่าย แต่จ่ายสินไหมยากแน่ๆ


    -http://www.posttoday.com/%E0%B8%AB%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%99-%E0%B8%97%E0%B8%AD%E0%B8%87/%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99/money-tips/85272/%E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%9C%E0%B8%99%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B3%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B8%88%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%80%E0%B8%82%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B9%83%E0%B8%88-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%8A%E0%B8%B5%E0%B8%A7%E0%B8%B4%E0%B8%95-








    .



    http://www.posttoday.com/หุ้น-ทอง/เ...่อนทำประกัน-ตอนรู้จักแล้วจะเข้าใจ-ประกันชีวิต


    .
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ซ้อมใหญ่พระราชพิธีพืชมงคล


    ปลัดกระทรวงเกษตรฯ นำเจ้าหน้าที่ลงซ้อมใหญ่ พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ก่อนมีพระราชพิธีจริง 13 พ.ค.นี้
    เมื่อเวลา 07.00 น. ที่มณฑลพิธีท้องสนามหลวง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้จัดการซ้อมใหญ่งานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (วันไถหว่าน) มีนายเฉลิมพร พิรุณสาร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ผู้ทำหน้าที่พระยาแรกนา เทพีคู่หาบทอง เทพีคู่หาบเงิน พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานฝ่ายต่างๆ เข้าร่วมในการซ้อมใหญ่ โดยขณะนี้ทุกฝ่ายมีความพร้อมในการจัดงานพระราชพิธีฯ ซึ่งจะมีขึ้นในวันศุกร์ที่ 13 พ.ค.ที่จะถึงนี้
    นายเฉลิมพร เปิดเผยว่า พิธีแรกนากำหนดจัดขึ้นในราวเดือนหกของทุกปี ซึ่งเป็นระยะเหมาะสมที่จะเริ่มต้นการทำนา โดยจัดขึ้นเพื่อความเป็นสิริมงคล และบำรุงขวัญเกษตรกรให้เกิดความมั่นใจในการเพาะปลูก แบ่งเป็นพระราชพิธี 2 พิธีรวมกัน คือ พระราชพิธีพืชมงคล ซึ่งเป็นพิธีสงฆ์ และ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งเป็นพิธีพราหมณ์ ทั้งนี้ พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ได้สืบทอดมายาวนานตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงสุโขทัย และได้มีการจัดงานเต็มรูปแบบตามประเพณีครั้งสุดท้ายในปี 2479 แล้วว่างเว้นไป จนกระทั่งในปี 2503 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ฟื้นฟูพระราชประเพณีนี้ขึ้นมาใหม่ และได้กระทำติดต่อกันมาทุกปีจนถึงปัจจุบัน
    อย่างไรก็ตาม ตั้งแต่ปี 2509 เป็นต้นมา คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้วันพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็น "วันเกษตรกร" ประจำปีด้วย ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้มีอาชีพทางการเกษตร ร่วมกันประกอบพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เพื่อเป็นสิริมงคลแก่อาชีพทางเกษตรกรรม ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นอาชีพที่มีความสำคัญยิ่งต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของ ประเทศชาติ นอกจากนี้ ในงานพระราชพิธีฯ ยังมีการมอบรางวัลและยกย่องประกาศเกียรติคุณให้แก่เกษตรกร สถาบันเกษตรกร และสหกรณ์ดีเด่นประเภทต่างๆ และปราชญ์เกษตรของแผ่นดิน ที่ผ่านการคัดเลือก พร้อมทั้งเผยแพร่ผลงานให้สาธารณชนทั่วไปได้รู้จัก และยึดถือเป็นแบบอย่างในแนวทางการปฎิบัติอีกด้วย
    ทั้งนี้ งานพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพระราชพิธีที่สืบเนื่องมาแต่โบราณ มีความงดงาม และมีความหมายอย่างยิ่งต่อพสกนิกรชาวไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ในปีพุทธศักราช 2554 นี้ ปฏิทินหลวงได้กำหนดวันพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งประกอบด้วยพระราชพิธี 2 พิธีรวมกัน คือ พระราชพิธีพืชมงคล อันเป็นพิธีสงฆ์ เป็นวันสวดมนต์เริ่มการพระราชพิธีพืชมงคล ประกอบพระราชพิธี ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในวันพฤหัสบดีที่ 12 พ.ค.เวลา 17.00 น.และถือเป็นวันเกษตรกรด้วย สำหรับในวันถัดมาของการประกอบพระราชพิธี คือ พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ (วันไถหว่าน) อันเป็นพิธีพราหมณ์ จะประกอบพระราชพิธีในวันศุกร์ที่ 13 พ.ค.เวลา 07.30 น. ณ มณฑลพิธีท้องสนามหลวง


    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]







    .


    -http://www.posttoday.com/%E0%B8%82%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A7/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1-%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A1/87490/%E0%B8%8B%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%88%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B8%98%E0%B8%B5%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B8%8A%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B8%A5-

    .


    http://www.posttoday.com/ข่าว/อาชญากรรม-สังคม/87490/ซ้อมใหญ่พระราชพิธีพืชมงคล


    .
     
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    การเกิดฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้า


    พระรัศมีทั้งหกมีความสวยงามน่าทัศนาอย่างยิ่ง ลีลาที่แผ่ซ่านออกจากพระวรกาย ถ้าใครเห็นแล้วไม่อยากละสายตาแม้แต่วินาทีเดียว ยิ่งเห็นยิ่งปีติ....

    โดย...อ.ตุ้ย วรธรรม

    เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมได้พูดถึงลักษณะและวิถีการแผ่ซ่านแห่งพระรัศมี 6 รัศมี (ฉัพพรรณรังสี) จากพระวรกายของพระพุทธเจ้า โดยพระรัศมีทั้งหกมีความสวยงามน่าทัศนาอย่างยิ่ง ลีลาที่แผ่ซ่านออกจากพระวรกาย ถ้าใครเห็นแล้วไม่อยากละสายตาแม้แต่วินาทีเดียว ยิ่งเห็นยิ่งปีติ ยิ่งเห็นยิ่งปราโมทย์ ยิ่งอัศจรรย์ใจ

    สีเขียวเหมือนดอกอัญชัน ดอกบัวเขียว ดอกผักตบ แววหางนกยูง และปีกแมลงภู่ เวลาที่แผ่ซ่านจากพระวรกายก็จะออกทางพระเกศาและพระโลมา (ผมและขน) ตามร่างกาย สีเหลืองเหมือนดอกกรรณิการ์และทองชมพูนุท ออกจากพระวรกายทางพระปฤษฎางค์ (หลัง) ซึ่งเมื่อออกแล้วสามารถแผ่ไปทั่วทิศ
    สีแดง เหมือนน้ำครั่ง หิงคุ ดอกชบา และทับทิม แผ่ซ่านออกจากพระมังสะ (เนื้อ) พระโลหิต สีขาวเหมือนดอกพุดและสังข์ ออกจากพระวรกายทางพระเนตรขาว และพระทนต์
    สีแสด เหมือนดอกอังกาบ ดอกชบาเทศ ดอกเทียนไทย และดอกทองฟ้า ซึ่งออกแสงเหมือนทองแดงที่ขัดอย่างดี แผ่ซ่านออกจากพระวรกายทางข้อพระหัตถ์และ นขะพระบาท (ข้อมือและเล็บเท้า) สีประภัสสร คล้ายดาวประกายพรึกและแก้วผลึก แผ่ซ่านจากพระอุณาโลม ณ พระพักตร์
    พระรัศมีที่ออกก่อนคือสีเขียวสี ตามด้วยสีเหลือง สีแดง สีขาว สีแสด และสีเลื่อมพราย (ประภัสสร) เป็นลำดับ ในหลากหลายลีลาท่าทางที่แตกต่างกันไป บาง กลุ่มส่ายไปส่ายมา บางกลุ่มขึ้นบนลงล่าง ลงล่างแล้วขึ้นบน มองแล้วละลานตา
    บางกลุ่มบาง บางกลุ่มหนาแน่นประสานกันไปมา บางกลุ่มพุ่งไปข้างหน้า บางกลุ่มพุ่งไปข้างหลัง บางกลุ่มหยุดนิ่งสงบอยู่กับที่ บางกลุ่มพุ่งขึ้นบน บางกลุ่มดิ่งลงข้างล่าง เป็นต้น ใครเห็นแล้วไม่เกิดอัศจรรย์ใจก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว
    ขอบอกอีกครั้ง พระรัศมีดังกล่าวใช่ว่าจะได้เห็นกันทุกคน ผู้ที่จะมีโอกาสได้เห็นต้องเป็นบุคคลที่มีบุญมีวาสนาพอสมควรละครับ และต้องเป็นผู้ที่พระพุทธองค์ทรงปรารถนาจะที่ให้เกิดขึ้นปรากฏกับเขาผู้นั้น จริงๆ คือ บุคคลที่ต้องการเทศนาโปรด

    แล้วพระฉัพพรรณรังสีนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร เชื่อว่าหลายคนอยากรู้ เพราะพระรัศมีที่เกิดจากพระวรกายของพระพุทธเจ้ามีความพิเศษแตกต่างจากรัศมี ของเหล่าเทวดาและพรหมมาก ซึ่งของเทวดาและพรหมไม่อาจเทียบพระพุทธเจ้าได้ในทุกมิติ ทั้งความสวย การแผ่รัศมีออกจากกาย
    รัศมีของเทวดาและพรหมสว่างไสวเหมือนกัน แต่ไม่สว่างเท่าพระฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้า ของพระพุทธเจ้าไม่มีขีดจำกัด สามารถส่องสว่างไปทั่วจักรวาล ทว่าในขณะเดียวกันหากทรงพระประสงค์ให้ปรากฏในวงจำกัดก็ทรงทำได้

    ทีนี้มาว่ากันต่อถึงพระฉัพพรรณรังสีแต่ละอย่างว่าเกิดขึ้นมาด้วยอานุภาพอะไร
    เริ่มที่พระรัศมีสีเขียวเกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งทาน กล่าวคือพระพุทธเจ้าเมื่อครั้งเป็นพระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็น “พระเจ้าสีพี” ทรงควักพระเนตรออกให้เป็นทานแก่พระอินทร์ ซึ่งจำแลงตัวเป็นพราหมณ์มาขอ
    สีเหลือง จากการที่ได้เฉือนเนื้อของพระองค์ให้กับพระอินทร์ซึ่งจำแลงเพศเป็นช่างทองตี แผ่แผ่นทองติดปิดพระพุทธรูป เมื่อครั้งเป็นวิริยบัณฑิต สีแดง จากการเอามีดผ่าอกยกหัวใจให้ปรุงเป็นยาแก่มารดาของตนซึ่งถูกงูกัดตายแล้วให้ ฟื้นขึ้นมา เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นชีวมานพและปทุมกุมาร
    สีขาว จากการพระราชทานช้างเผือกปัจจัยนาเคนทร์แก่เมืองกาลิงคะ เมื่อครั้งเป็นพระเวสสันดร สีแสด จากการเชือดเนื้อให้เป็นทานแก่ยักษ์กินเป็นอาหาร เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นวิทยาธรได้
    และพระรัศมีสีประภัสสร เกิดขึ้นจากการสละร่างกายโดยทอดกายลงไปในไฟที่พระอินทร์ก่อขึ้นให้เนื้อเป็น ทานแก่พราหมณ์คนหนึ่ง เมื่อครั้งเสวยพระชาติเป็นกระต่าย ชื่อ “สสบัณฑิต”


    -http://www.posttoday.com/%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0-%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%83%E0%B8%88/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%B6%E0%B8%81/86515/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%89%E0%B8%B1%E0%B8%9E%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%B5%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2-

    .

    http://www.posttoday.com/ธรรมะ-จิตใจ/อัศจรรย์พันลึก/86515/การเกิดฉัพพรรณรังสีของพระพุทธเจ้า


    .




    .
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .

    อัศจรรย์แสงสว่างจากพระกายพุทธเจ้า


    พึงทราบว่าพระรัศมีหรือแสงสีออกจากพระวรกายของพระพุทธเจ้านั้น แม้จะส่องสว่างไปทั่วทิศ แต่แสงสว่างนั้นกลับเย็นอย่างไม่น่าเชื่อ.....
    โดย...อ.ตุ้ย วร ธรรม
    สมมติถ้าพระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เชื่อเลยว่าคนทำชั่วช้าคงไม่หนาขึ้นๆ เหมือนทุกวันนี้ และถ้าเป็นอย่างสมมติจริง เราก็คงได้เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดเวไนยสัตว์ในที่ต่างๆ ขึ้นกับว่าใครจะอยู่ในข่ายคือพระญาณของพระองค์จะโปรดเท่านั้น
    และสิ่งหนึ่งก่อนที่ทรงทำก่อนเทศนาโปรดบุคคลนั้นๆ คือการฉายพระรัศมี 6 รัศมี หรือที่เรียกว่าฉัพพรรณรังสีจากพระวรกายของพระองค์ไปยังบุคคลคนนั้น ซึ่งถ้าใครได้สัมผัสกับพระรัศมีนั้นก็จะรู้สึกแปลกใจปนอัศจรรย์และมีความ รู้สึกถึงความเย็นที่เต็มไปด้วยความสุขอย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน
    พระรัศมีที่ทรงแผ่ไปนั้นส่องสว่างไปทั่วสกลจักรวาล สว่างเรืองโรจน์กว่าแสงสว่างแห่งพระจันทร์และพระอาทิตย์หลายเท่า
    พระรัศมี 6 รัศมี ประกอบด้วย รัศมีสีเขียว รัศมีสีเหลือง รัศมีสีแดง รัศมีสีขาว รัศมีสีแสด และรัศมีสีเลื่อมประภัสสร
    พระรัศมีสีเขียว งดงามเหมือนดอกอัญชัน ดอกบัวเขียว ดอกผักตบ แววหางนกยูง และปีกแมลงภู่
    พระรัศมีสีเหลือง งดงามเหมือนดอกกรรณิการ์ หรดาล และทองชมพูนุท (ทองคำธรรมชาติ)
    พระรัศมีสีแดง งดงามเหมือนน้ำครั่งและชาติหิงคุ งามเหมือนดอกชบาและดอกทับทิม
    พระรัศมีสีขาว งดงามเหมือนดอกพุดและสังข์
    พระรัศมีสีแสด งดงามเหมือนดอกอังกาบ ดอกชบาเทศ ดอกเทียนไทย และดอกทองฟ้าที่ออกแสงเหมือนทองแดงที่ขัดถูเป็นอย่างดี
    พระรัศมีสีประภัสสร หรือสีเลื่อมพรายสุกใสและเหลือง งดงามเหมือนดาวประกาย พรึก และแก้วผลึกที่ส่งแสงรุ่งโรจน์โชติช่วงชัชวาล
    ความงามของพระรัศมีเหล่านั้น ถ้านึกไม่ออกว่าเป็นสีแบบไหนอย่างไร ให้นึกหรือจำสิ่งที่เปรียบเทียบกับพระรัศมีเข้าไว้
    พระฉัพพรรณรังสีออกจากพระวรกายตรงส่วนไหน
    จะเห็นว่าพระรัศมีทั้ง 6 นั้น ได้แผ่ซ่านออกจากพระวรกายของพระองค์ตามที่ทรงปรารถนา โดยพระรัศมีสีเขียว แผ่ซ่านออกจากพระเกศา (ผม) และพระโลมา (ขน) ทุกเส้นทั่วพระวรกาย
    จำง่ายๆ สีเขียวออกทางผมและเส้นขนตามร่างกาย
    พระรัศมีสีเหลือง งามเหมือนดอกกรรณิ การ์ เป็นต้น แผ่ซ่านออกจากพระปฤษฎางค์ (หลัง) ของพระพุทธเจ้า
    พระรัศมีสีขาว งามบริสุทธิ์เหมือนสังข์ที่ขัดดีแล้ว จะแผ่ซ่านออกจากพระเนตรขาว และพระทนต์ (ฟัน) ของพระองค์
    พระรัศมีสีแสดเหมือนดอกอังกาบ เป็นต้น แผ่ซ่านออกจากข้อพระหัตถ์ (ข้อมือ) และเล็บพระบาททั้งสองพระบาท
    พระรัศมีสีเลื่อมพรายงามเหมือนแก้วประกายพรึก เป็นต้น จากพระอุณาโลม คือ พระขนแก้ว ณ พระพักตร์ของพระพุทธเจ้า
    พระรัศมีทั้งหมด ท่านว่าที่เขียวก็ยิ่งเขียวงามมากยิ่งขึ้น ที่ขาวก็ขาวงามสุดๆ ที่เหลืองก็เหลืองงามอร่ามแท้ ที่แดงก็ยิ่งแดงงามยิ่งขึ้น ที่แสดก็ยิ่งแสดงามล้น ที่เลื่อมประภัสสรก็ยิ่งเลื่อมงามรุ่งเรืองเหมือนดาวประกายพรึก
    ทั้งหมดแผ่ซ่านออกจากพระวรกายของพระพุทธเจ้า และกลับฉวัดเฉวียนวนเวียนไปมา
    โดยพระรัศมีสีเขียวแผ่ซ่านนำหน้าก่อน ตามด้วยพระรัศมีสีเหลือง สีแดง สีขาว สีแสด และสีเลื่อมพราย ตามลำดับ โดยพระรัศมีเหล่านั้นไม่ซีดไม่มัว แต่สดใสอย่างยิ่ง
    พระรัศมีบางกลุ่มเรียงรายส่ายไปมา มองแล้วละลานตา บางกลุ่มโก่งโค้งเป็นวง บางกลุ่มหนาแน่น บางกลุ่มบาง บางกลุ่มเป็นกลุ่มก้อน บางกลุ่มหยุด บางกลุ่มเป็นแสงล้อม บางกลุ่มก็ห้อยย้อยหลังไป
    บางกลุ่มโค้งลงดิน บางกลุ่มพุ่งขึ้นไปในอากาศสวยงาม บางกลุ่มพุ่งไปข้างหน้า บางกลุ่มพุ่งไปข้างหลัง ประดังหลั่งไหลกันออกมาสวยงามมาก
    พึงทราบว่าพระรัศมีหรือแสงสีออกจากพระวรกายของพระพุทธเจ้านั้น แม้จะส่องสว่างไปทั่วทิศ แต่แสงสว่างนั้นกลับเย็นอย่างไม่น่าเชื่อ


    -http://www.posttoday.com/%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0-%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%83%E0%B8%88/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%A5%E0%B8%B6%E0%B8%81/85736/%E0%B8%AD%E0%B8%B1%E0%B8%A8%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A2%E0%B9%8C%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%88%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%9E%E0%B8%B8%E0%B8%97%E0%B8%98%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B9%89%E0%B8%B2-
    .


    http://www.posttoday.com/ธรรมะ-จิตใจ/อัศจรรย์พันลึก/85736/อัศจรรย์แสงสว่างจากพระกายพุทธเจ้า


    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ปริศนาแห่งหญ้าคา 8 กำ


    เราทุกคนหนีโลกธรรมกันไม่พ้นอยู่แล้วในชีวิตนี้ ไม่เร็วก็ช้า โลกธรรมจะมาถึงตัวเราอย่างแน่นอน เมื่อเวลานั้นมาถึง ก็หวังว่าโลกธรรมจะไม่กลายเป็นโลกกระทำหรือไม่ล่วงล้ำไปจนกลายเป็นโลก กระทืบ...

    เรื่อง : ว.วชิรเมธี ผู้อำนวยการสถาบันวิมุตตยาลัย

    ในวันที่จะตรัสรู้ พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้น ระหว่างทางเสด็จไปยังโคนอัสสัตถพฤกษ์ (ต่อมาหลังจากตรัสรู้แล้วจึงได้ชื่อว่า “ต้นโพธิ์”) ทรงพบกับพราหมณ์ชื่อโสตถิยะ พราหมณ์คนนี้เพิ่งกลับจากการเกี่ยวหญ้ามาพอดี พอพบพระโพธิสัตว์ก็เกิดความประทับใจในบุคลิกภาพ จึงน้อมถวายหญ้าคา “8 กำ” พระโพธิสัตว์รับแล้วทรงนำหญ้าคานั้นมาปูเป็นอาสนะรองนั่งที่โคนต้นอัสสัตถะ

    เมื่อประทับแล้วจึงทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า หากไม่ได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ต่อให้เลือดและเนื้อเหือดแห้งไป เหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตามที ก็จะไม่ยอมลุกจากบัลลังก์นี้เป็นอันขาด จากนั้นจึงทรงบำเพ็ญจิตภาวนา เมื่อจิตหยั่งลงสู่ฌานขั้นต่างๆ แล้ว ในยามสุดท้ายก็ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ สำเร็จเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

    คำถามของเหตุการณ์ในตอนนี้ก็คือ ทำไมต้องเป็นหญ้าคา ทำไมต้องเป็น 8 กำ
    นี่คือปริศนาทางธรรมที่ถ้าไม่ลองถอดรหัส เรื่องราวตรงนี้ก็จะผ่านไปโดยไม่มีความหมายอะไรเลย แต่ถ้าหากลองถอดรหัสดูก็จะพบว่ามีเพชรพลอยแห่งปัญญาซ่อนอยู่ในเหตุการณ์นี้ อย่างมีนัยสำคัญทีเดียว
    ในทัศนะของผู้เขียน หญ้าคา 8 กำ ย่อมหมายถึงโลกธรรม 8

    โลกธรรม แปลว่า หลักธรรมอันเป็นธรรมดาสำหรับชาวโลก หมายความว่า ชาวโลกทุกคนจะต้องพบกับโลกธรรมทั้ง 8 ประการนี้แน่นอน ไม่เร็วก็ช้า ถ้าพบกับโลกธรรมแล้วมีปัญญารู้เท่าทันก็จะไม่ทุกข์ แต่ถ้าไม่รู้เท่าทันก็อาจทุกข์ปางตาย อาการทุกข์ปางตายเพราะไม่รู้เท่าทันโลกธรรมว่าเป็นเรื่องแสนธรรมดานี่เอง คือความหมายอันลึกล้ำของหญ้าคา เพราะหญ้าคาเป็น “ของมีคม” หากจับไม่เป็น ไม่รู้วิธีจับ จะถูกบาดมือจนเลือดไหลซิบๆ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า หากไม่รู้จักวิธีจับหญ้าคาก็จะต้องเลือดตกยางออกกันเลยทีเดียว แต่ถ้ารู้วิธีจับหญ้าคาเป็นอย่างดีแล้ว หญ้าคาที่ว่ามีคมนี้แหละจะไม่ทำให้ใครต้องเสียเลือดเลยแม้แต่น้อย

    หญ้าคาคือโลกธรรม 8 กำ หมายถึง คน 8 แฉกที่พร้อมจะบาดมือผู้ถือหญ้าคาโดยขาดสติปัญญาได้ทุกเมื่อ คมทั้ง 8 แฉกนั้น ประกอบด้วย

    1.ได้ลาภ คู่กับ 2.เสื่อมลาภ
    3.ได้ยศ คู่กับ 4.เสื่อมยศ
    5.สรรเสริญ คู่กับ 6.นินทา
    7.สุข คู่กับ 8.ทุกข์


    ขอให้สังเกตให้ดีว่า ในที่นี้ใช้คำว่า “คู่กับ” เมื่อเอ่ยถึงโลกธรรมทั้งสองด้าน เพราะหลายคนมักเข้าใจผิดว่าโลกธรรมทั้ง 4 คู่ 8 แฉกนี้ เป็นด้านตรงกันข้าม แท้ที่จริงนั้นไม่ใช่ด้านตรงกันข้ามเลย มันซ่อนอยู่ในกันและกันตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ เหมือนหน้ามือกับหลังมือ คมมีดกับสันมีด ความเกิดกับความตาย ต่างแต่ว่าด้านใดจะหันเข้ามาหาเราก่อนเท่านั้น ถ้าเราตระหนักรู้อย่างนี้แล้ว จะได้ระวังระไวไว้แต่เนิ่นๆ ตั้งแต่เริ่มรู้ตัวว่าโลกธรรมเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้มาเยือนชีวิตตนเองแล้ว

    ถ้าเรามีปัญญาหยั่งเห็นว่า
    ในลาภ มีเสื่อมลาภ
    ในยศ มีเสื่อมยศ
    ในสรรเสริญ มีนินทา
    ในสุข มีทุกข์


    เราก็จะปฏิสัมพันธ์กับโลกธรรมทั้งสองด้าน (ด้านหนึ่งชื่นชม อีกด้านขมขื่น) อย่างคนที่รู้เท่าทัน
    ไม่ต้องรอให้ด้านชื่นชมพลิกเป็นขมขื่นก่อนถึงจะรู้สึกตัว แต่เรารู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาที่โลกธรรมด้านใดด้านหนึ่งแวะมาเยือนชีวิตของ เราตั้งแต่ต้นมือแล้ว หากมีปัญญาพิจารณาเห็นอาการทั้งสองด้านของโลกธรรมอย่างใดอย่างหนึ่งว่าล้วน แล้วแต่ดำรงอยู่ในกันและกันอย่างนี้แล้ว เมื่อโลกธรรมเกิดขึ้น ไม่ว่าด้านชื่นชมหรือขมขื่น เราก็จะยินดีน้อมรับโลกธรรมนั้นๆ ด้วยท่าทีที่สงบ ไม่เป็นทุกข์ ไม่ตีโพยตีพาย ไม่ฟูฟ่องจนหลงเหลิง ไม่เสียใจจนเสียสติ เราจะเห็นอย่างลึกซึ้งว่า โลกธรรมทั้งสองด้านล้วนมีราคาเท่ากัน
    คนที่ไม่รู้จักโลกธรรมนั้นเป็นคนน่าสงสาร เพราะเมื่อถูกโลกธรรมกระทบ เขาจะตั้งรับไม่ทัน เมื่อตั้งรับไม่ทันก็จะทุกข์ แต่สำหรับคนที่รับมือทัน พลันที่โลกธรรมกระทบ ธรรมก็กระเทือน หรือยิ่งถูกโลกธรรมกระทบยิ่งมีปัญญาเพิ่มขึ้น เหมือนกระท้อนที่ยิ่งทุบก็ยิ่งฉ่ำหวาน ส่วนคนที่ไม่มีทักษะในการรับมือกับโลกธรรม เมื่อถูกโลกธรรมกระทบเข้าแล้วก็เหมือนแก้วที่ตกลงสู่พื้น คือแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ชีวิตสูญเสียปกติภาพหรือแตกออกเป็นชิ้นๆ บางคนหนักหนาถึงขั้นชีวิตต้องแตกดับไปก็เคยมี

    ดาราฮอลลีวูดหลายคนที่ประสบความสำเร็จแต่อายุยังน้อย เช่น บริตนีย์ สเปียร์ส เป็นต้น ยังไม่ทันรู้จักโลกธรรม ยังไม่เข้าใจว่าชีวิตมีขึ้น (ด้วยโลกธรรมฝ่ายชื่นชม) และชีวิตมีลง (ด้วยโลกธรรมฝ่ายขมขื่น) เมื่อถูกโลกธรรมกระทบเข้าแล้ว ก็ลอยฟุ้งขึ้นไปในนภากาศเหมือนว่าวที่หลุดลอยออกไปจากสายป่าน หรือเหมือนเรือไททานิคที่เกิดความเชื่อมั่นว่าถึงอย่างไรก็ไม่มีทางจม แต่พอสายป่านขาด (ไม่ดังเท่าเดิม) หรือเรือไททานิคแห่งชื่อเสียงอับปางลง (เลิกกับสามี-ขายแผ่นเสียงได้น้อย-ภาพยนตร์ที่เล่นไม่เปรี้ยง) ชีวิตจึงเข้าสู่ความวุ่นวายอยู่นานหลายปี กว่าจะกลับมาตั้งตัวใหม่ได้อีกก็บอบช้ำแทบเสียผู้เสียคน

    โลกธรรมนั้นโดยตัวมันเองไม่มีพิษสงอะไรมาก แต่สำหรับคนที่รู้ไม่เท่าทันแล้วกลับเป็นอันตรายที่น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่าง ยิ่ง เพราะโลกธรรมด้านชื่นชมนั้นมักทำให้คน “เมา” ได้ง่ายๆ ส่วนโลกธรรมด้านลบก็มักทำให้คน “ม้วย” ได้ง่ายๆ เช่นเดียวกัน

    มองอีกมุมหนึ่งสำหรับคนที่รู้ทันโลกธรรม พอตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของโลกธรรมก็ยังยิ้มได้ แต่คนที่รู้ไม่ทัน ครั้นตกอยู่ท่ามกลางโลกธรรมแล้วก็มักจะถูกโลกกระทำ และทั้งๆ ที่ถูกโลกธรรมกระทำเข้าแล้วก็ยังไม่รู้สึกตัวอีก อาจจะลุกลามบานปลายกลายเป็นถูกโลกกระทืบจนแทบวางวายทำลายขันธ์
    เราทุกคนหนีโลกธรรมกันไม่พ้นอยู่แล้วในชีวิตนี้ ไม่เร็วก็ช้า โลกธรรมจะมาถึงตัวเราอย่างแน่นอน เมื่อเวลานั้นมาถึง ก็หวังว่าโลกธรรมจะไม่กลายเป็นโลกกระทำหรือไม่ล่วงล้ำไปจนกลายเป็นโลกกระทืบ
    โลกธรรมจะกระทำ หรือจะกระทืบ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรารู้จักโลกธรรมลึกซึ้งหรือตื้นเขินเพียงใด

    -http://www.posttoday.com/%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%B0-%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B9%83%E0%B8%88/%E0%B8%AA%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%87-%E0%B8%93-%E0%B8%81%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B9%83%E0%B8%88/80851/%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A8%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%8D%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%84%E0%B8%B2-8-%E0%B8%81%E0%B8%B3-



    .




    .


    http://www.posttoday.com/ธรรมะ-จิตใจ/สว่าง-ณ-กลางใจ/80851/ปริศนาแห่งหญ้าคา-8-กำ


    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    ผ่าแคมเปญ 0% คงที่ 2 ปี คุ้มจริงหรือ?


    รายงานพิเศษ “บ้าน-คอนโด” กับ “โพสต์ทูเดย์ออนไลน์”เกาะติดแคมเปญผ่อนบ้านหลักแรก0% ของธอส. มีหลักเกณฑ์อย่างไร คุ้มค่าแค่ไหน...

    โดย...ทีมข่าวอสังหาริมทรัพย์

    รายงานพิเศษ “บ้าน-คอนโด” กับ “โพสต์ทูเดย์ออนไลน์” ขอเกาะแสแคมเปญร้อนจากธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กับการปล่อยกู้สินเชื่อบ้านดอกเบี้ย 0% ยาว 2 ปี ตามนโยบายของกระทรวงการคลังที่กำลังจะคลอดออกมาใช้อย่างเป็นทางการในวัน จันทร์ที่ 9 พ.ค.นี้ หลังจากไฟเขียวผ่านมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 3 พ.ค. ที่ผ่านมา



    ต้องยอมรับว่า แคมเปญดังกล่าวร้อนแรงมาก และได้รับเสียงสนับสนุนจากภาคเอกชน รวมถึง ได้รับความสนใจจากประชาชนที่กำลังจะซื้อบ้าน หรือเตรียมจะโอนบ้านเป็นอย่างมาก หรือแม้แต่ผู้ที่เคยซื้อไปแล้วสัก 1-2 ปี ก็สนใจสอบถามเป็นจำนวนมากว่า รีไฟแนนซ์ได้หรือไม่ ? คำตอบชัดๆ คือ ผู้ที่ซื้อบ้านด้วยการขอกู้มาแล้ว ไม่สามารถเข้าร่วมโครงการดังกล่าวนั้น หรือไม่สามารถรีไฟแนนซ์จากแบงก์อื่นมาเข้าร่วมแคมเปญ 0% คงที่ 2 กับธอส.ได้

    คุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิยื่นกู้

    1. ผู้กู้ต้องย้ายชื่อเข้าเป็น “เจ้าบ้าน” และอยู่อาศัยจริงในที่อยู่อาศัยที่ขอกู้ตามโครงการนั้นๆ

    2. ไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นกรรมสิทธิ์ของตนเอง

    3. ไม่มีชื่อเป็นหรือเคยเป็น “เจ้าของบ้าน” ในทะเบียนบ้าน ที่นำมาแสดงเป็นหลักฐานการยื่นกู้กับ ธอส. และต้องมีชื่อเป็น “ผู้อยู่อาศัย” ในทะเบียนบ้านไม่น้อยกว่า 3 ปี ยกเว้น ถ้าพิสูจน์ได้ว่าไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยตามทะเบียนบ้านนั้น ทั้งนี้ พนักงาน / พนักงานสัญญาจ้าง / ลูกจ้างของ ธอส. ไม่มีสิทธิ์กู้เงินตามโครงการฯ นี้

    4. อายุผู้กู้หลักที่ใช้สิทธิรวมกับจำนวนปีที่ขอกู้ต้องไม่เกิน 65 ปี

    วงเงินให้กู้

    1. ไม่เกินรายละ 3 ล้านบาท

    2. ไม่เกิน 100% ของราคาประเมินที่ดินพร้อมอาคาร หรืออาคารชุด และไม่เกิน 100% ของราคาซื้อขายหรือราคาค่าก่อสร้าง และไม่เกินเกณฑ์หลักประกันตามระเบียบปกติของธอส. โดยระยะเวลาการกู้ ไม่เกิน 30 ปี
    สำหรับค่าธรรมเนียมการโอนต่างๆ ธอส. จะรับภาระสำรองจ่ายครึ่งหนึ่งของค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ จากปกติอยู่ที่ 2% ผู้กู้ จ่ายเพียง 1% ส่วนค่าจดจำนอง 1% ของวงเงินจำนอง ผู้ธอส.รับภาระเอง ผู้กู้ไม่ต้องเสีย สรุป ผู้กู้ เสียเฉพาะค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ 1% เท่านั้น

    ด้าน วรวิทย์ ชัยลิมปมนตรี กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) กล่าวว่า ธนาคารตั้งเป้าหมายว่าจะเน้นปล่อยกู้ให้รายย่อยที่ต้องการซื้อบ้านราคาต่ำ กว่า 1.5 ล้านบาทเป็นหลักถึง 70% ของวงเงินทั้งหมด ส่วนที่เหลือ 30% จะปล่อยกู้บ้านที่มีราคาสูงกว่า 1.5 ล้านบาท ในจำนวนนี้จะแบ่งสัดส่วนระหว่างกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด 60% ต่อ 40% โดยคาดว่ากรุงเทพฯ จะเป็นบ้านที่ราคาสูงกว่า 2 ล้านบาท ขณะที่ต่างจังหวัดจะกู้ซื้อบ้านต่ำกว่า 1.5 ล้านบาท

    หลักเกณฑ์ในการพิจารณาปล่อยสินเชื่อ ธนาคารจะตรวจสอบข้อมูลจากเครดิตบูโร เพื่อดูสถานะของลูกหนี้ว่ามีภาระผ่อนสินเชื่อ หรือเคยกู้ซื้อบ้านมาก่อนหรือไม่ ทั้งนี้ โครงการนี้จะครอบคลุมทั้งการกู้เพื่อซื้อที่ดินพร้อมอาคาร ห้องชุด บ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านมือสอง รวมถึงให้กู้เพื่อปลูกสร้างอาคาร ซึ่งจะมีค่าเฉลี่ยดอกเบี้ยช่วง 5 ปี ที่ 3.9% กรณีที่ไถ่ถอนก่อน 5 ปี จะต้องปรับดอกเบี้ยเงินกู้ใน 2 ปีแรกเป็นอัตราดอกเบี้ยตามประกาศของธนาคาร

    สำหรับการผ่อนค่างวดบ้าน 1 ล้านบาท ช่วง 2 ปีแรก จะจ่ายเดือนละ 5,000 บาท หลังจากนั้นจะผ่อนงวดละ 6,200 บาท กู้ 2 ล้านบาท จะจ่ายค่างวด 9,900 บาท หลังจากนั้นจะผ่อน 1.23 หมื่นบาท และกู้ซื้อบ้าน 3 ล้านบาท จะเสียค่างวด 1.48 หมื่นบาท หลังจากนั้นจ่าย 1.85 หมื่นบาท

    สิ่งสำคัญที่ผู้กู้ควรรู้ก่อนที่จะ ตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ นั่นคือ เงื่อนไขต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ดอกเบี้ยตั้งแต่ปีที่ 3 เป็นอย่างไร กำหนดระยะเวลาที่สามารถรีไฟแนนซ์ได้ ประเมินแล้ว คุ้มจริงหรือไม่?

    โครงการดอกเบี้ย 0% คงที่ 2 ปี ในปีที่ 3 ถึงปีที่ 5 รายย่อยทั่วไป จะใช้อัตราดอกเบี้ยตาม MRR ส่วนกรณีผู้ที่มีสวัสดิการ จะเท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี (กรณีที่ดอกเบี้ย MRR ณ เวลานั้น คือ 7% MRR-0.50% = 6.50%) ส่วนปีที่ 6 เป็นต้นไป รายย่อยทั่วไป จะใช้อัตราดอกเบี้ยตาม MRR ส่วนกรณีผู้ที่มีสวัสดิการ จะเท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี

    นั่นหมายความว่า ผู้กู้ห้ามปิดบัญชี หรือรีไฟแนนซ์ไปแบงก์อื่น ก่อน 5 ปี นับจากวันทำสัญญากู้เงิน ธอส. (จากเงื่อนไขดอกเบี้ยทั่วไป จะอยู่ที่ 3 ปีเท่านั้น) ถ้าผู้กู้ ปิดบัญชี หรือรีไฟแนนซ์ไปแบงก์อื่น ก่อน 5 ปีจะต้องถูกปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ใน 2 ปีแรก เป็นอัตราดอกเบี้ยตามประกาศ ธอส. ย้อนหลังนับแต่วันทำสัญญาเงินกู้

    เงื่อนไขต่างๆ ทั้งดอกเบี้ยในปีที่ 3 เป็นต้นไป และการห้ามรีไฟแนนซ์เป็นสิ่งที่ผู้กู้ควรศึกษา และประเมินว่าเป็นเงื่อนไขที่ผู้กู้รับได้หรือไม่ เปรียบเทียบกับสถาบันการเงินอื่นๆ ว่า ท้ายที่สุดแล้ว แคมเปญพิเศษนี้ คุ้มและเหมาะสมกับผู้กู้จริงหรือไม่?

    นอกจากนี้ แม้ว่าในช่วง 2 ปีแรกผู้กู้จะสามารถเริ่มผ่อนชำระด้วยค่างวดที่ต่ำกว่าปกติ เช่น วงเงินกู้บ้าน 1 ล้านบาท ถ้าผ่อนตามปกติในอัตราดอกเบี้ย MRR เท่ากับ 6.75% ระยะเวลา 30 ปี ต้องผ่อนเดือนละ 6,500 บาท แต่ถ้าคิดในอัตราดอกเบี้ย 0% จะผ่อนเดือนละ 2,800 บาท เป็นต้น ซึ่งในปีที่ 3 ถึงปีที่ 5 ค่างวดจะมีส่วนของดอกเบี้ยเพิ่มเข้ามา เงินงวดจะสูงกว่า 2 ปีแรก ซึ่งผู้กู้ต้องมีวินัยทางการเงิน ไม่ควรก่อหนี้ผูกพันต่อเนื่อง จนมีผลกระทบต่อการผ่อนชำระที่สูงขึ้นในปีที่ 3

    โครงการกู้ซื้อบ้านดอกเบี้ย 0% เป็นโครงการที่มีประโยชน์กับผู้ซื้อบ้าน แต่ก็อาจเป็นกับดักหนี้ที่สร้างปัญหาให้กับคนซื้อบ้านในอนาคตได้เช่นกัน เพราะต้องไม่ลืมว่า นับจากนี้แนวโน้มดอกเบี้ยกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น เมื่อถึงเวลาที่ต้องผ่อนเงินต้น พร้อมกับดอกเบี้ย ค่าผ่อนอาจจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์กันไว้ โครงการบ้านหลังแรกในฝัน อาจจะกลายเป็นหนี้เสียที่ต้องตามแก้กันต่อในอนาคตก็เป็นได้เช่นกัน


    -http://www.posttoday.com/%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99-%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%94/%E0%B8%81%E0%B8%B9%E0%B9%89%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B9%89%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%9A%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99/87130/%E0%B8%9C%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B9%81%E0%B8%84%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%8D-0-%E0%B8%84%E0%B8%87%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88-2-%E0%B8%9B%E0%B8%B5-%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%88%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B8%AD--


    .

    http://www.posttoday.com/บ้าน-คอนโด/กู้ให้ได้บ้าน/87130/ผ่าแคมเปญ-0-คงที่-2-ปี-คุ้มจริงหรือ-


    .
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    สำหรับพระวังหน้า ที่ผมได้ส่งให้กับน้องปฐม ได้ถึงน้องปฐมเมื่อวานนี้เรียบร้อยแล้ว

    พระกริ่งปวเรศ เนื้อสเตอร์ริงซิลเวอร์ ปี 2434 พี่ให้ถวายพระภิกษุ(ผู้ปฎิบัติดีปฎิับัติชอบ)นะครับ ท่านจะได้ไว้สงเคราะห์คน

    ส่วนเบี้ยแก้(ของวังหน้า) ก็ให้ถวายพระภิกษุ(ผู้ปฎิบัติดีปฎิบัิติชอบ) เช่นกัน พี่รบกวนเลี่ยมแทนพี่ด้วย

    ส่วนพระสมเด็จ Tott 1 และ พระสมเด็จ Tott 4 หากเลี่ยมประกบกันได้ พี่อยากให้เลี่ยมเพื่อถวายพระภิกษุ(ผู้ปฎิบัติดีปฎิบัติชอบ) ด้วย แ่ต่หากเลี่ยมประกบไม่ได้ ก็ตามที่น้องปฐมบอกพี่ก็ได้เช่นกัน

    โมทนาสาธุครับ



    .
     
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
  17. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    <IFRAME id=_atssh832 title="AddThis utility frame" style="BORDER-RIGHT: 0px; BORDER-TOP: 0px; Z-INDEX: 100000; LEFT: 0px; BORDER-LEFT: 0px; WIDTH: 1px; BORDER-BOTTOM: 0px; POSITION: absolute; TOP: 0px; HEIGHT: 1px" name=_atssh832 src="//s7.addthis.com/static/r07/sh41.html#cb=0&ab=-&dh=palungjit.org&dr=&du=http%3A%2F%2Fpalungjit.org%2Ff179%2F%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B2-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%97%E0%B8%9E%E0%B9%82%E0%B8%A5%E0%B8%81%E0%B8%AD%E0%B8%B8%E0%B8%94%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%81-%E0%B8%96%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%88%E0%B8%B0%E0%B9%84%E0%B8%94%E0%B9%89-22445-2253.html&dt=&inst=1&lng=th&pc=men&pub=xa-4a38f0f6636e48fa&ssl=0&sid=4dc5e00e6e9e86d3&srd=1&srf=0.02&srp=0.2&srx=0.5&ver=250&xck=0&rev=97533" width=1 height=1 frameborder="0"></IFRAME>
    มิลานซิวแชมป์กัลโชหนที่18

    วันอาทิตย์ ที่ 08 พฤษภาคม 2554 เวลา 4:08 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT>​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    "ปิศาจแดงดำ" เอซี มิลาน ผงาดคว้าแชมป์กัลโช เซเรียอา ฤดูกาลนี้ไปครอง หลังบุกไปเสมอ โรมา 0-0 ทำให้ มิลาน มีเพิ่มเป็น 78 แต้ม นำหน้า อินเตอร์ มิลาน คู่ปรับร่วมเมือง 9 คะแนน โดยอินเตอร์ มิลาน เหลือ โปรแกรมอีก 3 นัด แต่ก็ไล่ไม่ทัน เนื่องจาก มิลาน มีผลเฮดทูเฮดที่ดีกว่า ทำให้ มิลาน คว้าแชมป์ลีกเป็นหนแรกในรอบ 7 ปี และได้แชมป์เป็นสมัยที่ 18 ส่วน โรมา มี 60 แต้ม อยู่ที่ 4 ของตาราง







    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     
  18. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    'สาเกเชื่อม' ทำง่ายๆขายไม่ธรรมดา

    วันอาทิตย์ ที่ 08 พฤษภาคม 2554 เวลา 0:00 น
    <SCRIPT src="http://s7.addthis.com/js/250/addthis_widget.js?pub=xa-4a38f0f6636e48fa" type=text/javascript></SCRIPT> ​


    <TABLE class=x-tabs-strip id=ext-gen5 cellSpacing=0 cellPadding=0 border=0><TBODY><TR id=ext-gen4><TD class=" on" id=ext-gen10 style="WIDTH: 72px">เนื้อหาข่าว</TD></TR></TBODY></TABLE>

    [​IMG]

    ขนมไทยผูกพันกับวิถีชีวิตคนไทยมานาน มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมการกินของคนไทยตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน แม้ขนมบางชนิดจะสูญหายไปจากความนิยมแล้ว แต่ขนมไทยประเภทของ “เชื่อม” นั้นยังคงอยู่ ซึ่งการเชื่อมยังเป็นการถนอมอาหารของคนไทยโบราณ สามารถนำผลไม้หลายชนิดมาทำได้อย่างน่าอัศจรรย์ วันนี้ทีม “ช่องทางทำกิน” มีสูตรความอร่อยของการเชื่อมผลไม้ที่ชื่อว่า “สาเก” มาแนะนำเป็นแนวทางอาชีพ การขาย “สาเกเชื่อม” .....

    อัญชลี จันทอง หรือ “ป้าแดง” เจ้าของร้านขนมเชื่อมและขนมไทยโบราณ ที่ตลาดน้ำบางคล้า อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา เล่าให้ฟังว่า มีอาชีพค้าขายมานานมากแล้ว โดยก่อนหน้านั้นได้ขายของมาหลายอย่าง เช่น น้ำเต้าหู้ เต้าฮวย ขายตอนเช้า ๆ และเปลี่ยนมาทำขนมไทยและของเชื่อมขายประมาณ 10 ปีแล้ว เพราะเห็นว่าที่ตลาดบางคล้ายังไม่มีใครขาย ซึ่งก็มีขนมเชื่อมหลายชนิด เช่น สาเกเชื่อม จาวตาลเชื่อม พุทราจีนเชื่อม มะตูมเชื่อม รากบัวเชื่อม มันเชื่อม เผือกเชื่อม ฯลฯ แล้วพัฒนาเพิ่มสินค้าขึ้นมาเพื่อเป็นตัวเลือกให้กับลูกค้า เช่น แปะก๊วย- มะพร้าวอ่อน, ขนมจ้าง, บ๊ะจ่าง, ขนมเทียนแก้ว แต่ที่ขายดีที่สุดของร้านก็คือ “สาเกเชื่อม” และจาวตาลเชื่อม

    “โดยส่วนตัวแล้วเป็นคนชอบทำขนมและชอบทานพวกเผือก มัน สาเก จาวตาล ฟักทอง อยู่แล้ว เลยอาศัยความชอบและใจรักในการทำขนมมาเป็นแรงบันดาลใจให้ลงมือทำขายเป็นอาชีพ ความรู้ก็ไม่ได้ไปเรียนวิธีการทำจากที่ไหน แต่อาศัยวิธีสังเกตคนรอบตัวที่ทำเป็น และนำมาลองผิดลองถูกด้วยตัวเองหลาย ๆ ครั้ง ทำเองชิมเองจนทุกอย่างลงตัว ก่อนจะนำแจกจ่ายให้คนรอบข้างลองชิม ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเพราะได้รับคำชมจากทุกคน จากนั้นจึงกล้าทำขาย ยึดหลักทำแบบกินกันในบ้าน เน้นคุณภาพ”

    ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ ทำให้ป้าแดงสามารถทำขนมเชื่อมขายเป็นอาชีพสร้างรายได้เลี้ยงครอบครัวมาจนถึงปัจจุบันนี้ กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นวัยกลางคนและผู้สูงอายุ เพราะของพวกนี้เป็นของที่ทานมาตั้งแต่โบราณ แต่เด็กสมัยใหม่ไม่ค่อยรู้จักกันแล้ว จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ป้าแดงอยากขายของพวกนี้ให้คนรุ่นใหม่รับประทานกันมากขึ้น

    อุปกรณ์หลักที่ใช้ในการทำ “สาเกเชื่อม” นั้น ก็มี กระทะทอง, เตาแก๊ส หรือเตาถ่าน, กะละมัง, หม้อสเตนเลสขนาดใหญ่, ถาด, ทัพพี, เขียง, ผ้าขาวบาง และเครื่องไม้เครื่องมืออื่น ๆ ให้หยิบยืมเอาจากในครัวได้วัตถุดิบ ก็ใช้... สาเก พันธุ์ข้าวเหนียว, น้ำตาลทราย, น้ำมะนาว, น้ำปูนใส, กะทิ, แป้งข้าวเจ้า, เกลือ, ใบเตย

    ขั้นตอนการทำ “สาเกเชื่อม” ก่อนอื่นต้องเริ่มจากการเลือกสาเกที่ไม่อ่อนและไม่แก่จนเกินไป เมื่อได้สาเกขนาดเหมาะที่ต้องการ นำผลสาเกมาผ่าตามความยาวของผล ให้ได้ 4 ซีก คว้านเอาไส้หรือแกนกลางออกทิ้ง ปอกเปลือกออกให้หมด เอาน้ำมะนาวมาทาผิวสาเกที่เป็นสีเขียวให้ทั่ว เพื่อไม่ให้เนื้อสาเกดำเวลาเชื่อม เสร็จแล้วจับสาเกแต่ละซีกคว่ำลง แล้วหั่นขวางผลเป็นชิ้น ๆ หนาประมาณ 1 นิ้ว นำชิ้นสาเกที่หั่นเตรียมไว้ไปแช่ในน้ำปูนใส ทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง (เวลาเชื่อมจะได้ไม่เละ) ล้างน้ำสะอาด แล้วผึ่งให้สะเด็ดน้ำ ต่อไปก็เป็นขั้นตอนการเชื่อม นำน้ำสะอาดใส่กระทะทอง ตามด้วยน้ำตาลทราย เกลือนิดหน่อย ใบเตยหั่น ยกขึ้นตั้งไฟ พอเดือดยกลงมากรองด้วยผ้าขาวบาง เสร็จแล้วนำน้ำเชื่อมที่ได้เทใส่กลับกระทะทองใบเดิม ยกขึ้นตั้งไฟอีกครั้ง ใส่สาเกลงไปต้มด้วยไฟอ่อน ๆ เคี่ยวไปเรื่อย ๆ (ขั้นตอนนี้จะใช้เวลานานหน่อย) ระหว่างเคี่ยวต้องหมั่นช้อนฟองทิ้ง เคี่ยวไปจนน้ำเชื่อมซึมเข้าเนื้อสาเก และน้ำเชื่อมงวดต้องให้น้ำเชื่อมชุ่มเนื้อสาเก หมั่นใช้ทัพพีตักน้ำเชื่อมราดหรือคอยกลับข้างชิ้นสาเกให้แช่น้ำเชื่อมอย่างทั่วถึง เมื่อเชื่อมสาเกได้ที่ดีแล้วยกลง ทิ้งไว้ให้เย็น สาเกเชื่อมจะมีความอิ่มตัวตลอด เพียงเท่านี้ก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย สาเกเชื่อมที่ได้จะมีลักษณะใสเป็นเงาน่ารับประทาน เก็บไว้ในตู้เย็นจะอยู่ได้เป็นสัปดาห์ นำออกมาอุ่นรับประทานร้อน ๆ ก็ได้

    เทคนิคในการเชื่อมสาเก ป้าแดงบอกว่า การเชื่อมต้องใจเย็น และพิถีพิถัน เพื่อให้น้ำเชื่อมซึมซับเข้าไปในเนื้อ ทำให้มีความเหนียว นุ่ม อร่อย มีความหอมโดยธรรมชาติ และวัตถุดิบที่ใช้ต้องใหม่ คุณภาพดี

    ราคาขาย “สาเกเชื่อม” ถุงเล็ก 4 ชิ้น ราคา 30 บาท ถุงใหญ่ ครึ่งกิโลกรัม ราคา 70 บาท

    สนใจขนมไทย สนใจ “สาเกเชื่อม” ของป้าแดง วันธรรมดาจะขายอยู่ที่ตลาดบางคล้า ใกล้ร้านเซเว่นฯ ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ จะขายอยู่ที่ตลาดน้ำบางคล้า เบอร์ติดต่อป้าแดงคือ โทร. 08-3828-9387, 08-6892-8398 ซึ่งอาชีพนี้ก็ยังสามารถทำขายตามที่ลูกค้าสั่งเพื่อนำไปใช้ในงานเทศกาล งานบุญ งานมงคลต่าง ๆ ได้ด้วย.





    ที่มา เดลินิวส์ ออนไลน์
     
  19. อนัตตัง

    อนัตตัง สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    471
    ค่าพลัง:
    +12
    อนุโมทนาสาธุบุญด้วย ครับ
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,948
    .
    เตือน 4 จังหวัดใต้ฝั่งอันดามัน ระวังน้ำท่วมฉับพลัน




    [​IMG]

    เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
    ขอขอบคุณภาพประกอบจาก รายการเรื่องเล่าเช้านี้

    ราชบุรี เตือน ปชช.ระวังพายุรุนแรงในระหว่างวันที่ 6-9 พ.ค.นี้ เตรียมความพร้อม หากเกิดน้ำท่วมเฉียบพลัน น้ำป่าไหลหลาก ดินโคลนถล่ม ด้านอุตุฯ เตือนกระบี่ ภูเก็ต พังงา ระนอง เตรียมรับมรสุม 7-11 พ.ค.

    นายณรงค์ พลละเอียด รองผู้ว่าราชการจังหวัดราชบุรี กล่าวว่า ได้ตรวจสอบลักษณะอากาศจากสถาบันธนสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร ว่าลักษณะอากาศในช่วงตั้งแต่วันที่ 6 - 9 พ.ค.นี้ คาดว่า จะมี พายุฝนค่อนข้างรุนแรง จังหวัดที่ได้รับผลกระทบ คือ กาญจนบุรี เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ และ ราชบุรี ซึ่งได้มีการเตรียมความพร้อมกับปัญหาเพื่อไม่ให้เกิดภัยพิบัติขึ้นในพื้นที่ จึงแจ้งให้ทาง อ.สวนผึ้ง อ.จอมบึง อ.บ้านทา และ อ.ปากท่อ ให้ดำเนินการแจ้งเตือนประชาชน พร้อมทั้งผู้ประกอบการรีสอร์ทในพื้นที่ รวมถึงบ้านเรือนราษฎรที่อาศัยอยู่ในจุดเสี่ยงภัยได้รับทราบ และเฝ้าระวังเตรียมความพร้อม

    หากเกิดอุทุกภัยน้ำป่าไหลหลาก เกิดดินโคลนถล่มจะได้แก้ไขได้ทัน โดยได้ติดตามข่าวจากพยากรณ์อากาศ จากกรมอุตุนิยมวิทยา อย่างใกล้ชิด และได้สั่งการให้ทางอำเภอ และหน่วยงานปกครองส่วนท้องถิ่นทุกแห่ง จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์เครื่องมือยานพาหนะให้พร้อม ในการปฏิบัติหน้าที่ช่วยเหลือประชาชน หากมีเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น

    ขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ออกประกาศเตือนภัยฝนตกหนักและคลื่นลมแรงทางฝั่งอันดามัน อันมีผลมาจากมรสุมตะวันตกเฉียงใต้กำลังปานกลางที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทย มีกำลังแรงขึ้น ทำให้ด้านรับลมมรสุม หรือด้านตะวันตกของประเทศและภาคตะวันออกมีฝนเพิ่มมากขึ้น และ มีฝนตกหนักในหลายพื้นที่บริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันตก จึงขอให้ประชาชนในพื้นที่เสี่ยงภัย บริเวณจังหวัดระนอง พังงา กระบี่ และภูเก็ต ระมัดระวังอันตราย จากฝนตกหนัก ซึ่งอาจจะทำให้เกิดสภาวะน้ำท่วมฉับพลันได้ ในช่วงวันที่ 7-11 พฤษภาคม 2554

    ทั้งนี้ สำหรับ คลื่นลมในทะเลอันดามัน และอ่าวไทยตอนบน เริ่มมีกำลังแรงขึ้น ขอให้ชาวเรือเพิ่มความระมัดระวังอันตรายในการเดินเรือ และเรือเล็กในทะเลอันดามันควรงดออกจากฝั่งในช่วงวันที่ 7-12 พฤษภาคม 2554 ไว้ด้วย





    [​IMG]

    ในพื้นที่ ต.วังซ้าย อ.วังเหนือ จ.ลำปาง


    [​IMG]

    ในพื้นที่ ต.วังซ้าย อ.วังเหนือ จ.ลำปาง


    [​IMG]

    พื้นที่ อ.ดอกคำใต้ จ.พะเยา


    [​IMG]

    พื้นที่ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช


    [​IMG]

    พื้นที่ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช


    [6 พฤษภาคม] อากาศแปรปรวน! หลายจังหวัดฝนตก-น้ำท่วม

    ด้วยสภาพอากาศที่แปรปรวน ส่งผลให้หลายจังหวัดเกิดฝนตกหนัก จนเกิดน้ำท่วมซ้ำในหลายจุด ในขณะที่บางจังหวัดได้รับผลกระทบจากพายุฤดูร้อน โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ส่งผลให้มีบ้านเรือนประชาชนและสิ่งสาธารณประโยชน์ได้รับความเสียหาย รวม 27 จังหวัด 94 อำเภอ 189 ตำบล 749 หมู่บ้าน ได้แก่ ลำปาง ลำพูน ตาก เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา น่าน แพร่ พิษณุโลก เลย นครพนม หนองบัวลำภู อำนาจเจริญ มุกดาหาร ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ขอนแก่น ยโสธร ชัยภูมิ บึงกาฬ อุดรธานี นครราชสีมา ฉะเชิงเทรา ชลบุรี นครปฐม ราชบุรี และตราด รวมมีบ้านเรือนเสียหาย 17,340 หลัง และมีผู้เสียชีวิต 1 ราย จากถูกฟ้าผ่าที่จังหวัดกาฬสินธุ์

    ทั้งนี้ สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดในพื้นที่ประสบวาตภัย ได้จัดเจ้าหน้าที่เร่งสำรวจความเสียหาย เพื่อให้การช่วยเหลือเป็นค่าวัสดุซ่อมแซมบ้านเรือนแล้ว ทั้งนี้ ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์วาตภัย สามารถติดต่อขอความช่วยเหลือได้ทาง สายด่วนนิรภัย 1784 ตลอด 24 ชั่วโมง


    สำหรับสถานการณ์ในพื้นที่ที่เกิดน้ำท่วมซ้ำ ในแต่ละจังหวัด มีดังนี้


    [​IMG] ภาคเหนือ

    จังหวัดพะเยา

    ได้เกิดฝนตกหนักในพื้นที่เทศบาลเมืองดอกคำใต้ อำเภอดอกคำใต้ จังหวัดพะเยา ส่งผลให้มีน้ำจากลำน้ำร่องช้างไหลทะลักเข้าท่วมชุมชนเทศบาลเมืองดอกคำใต้ ทั้ง 4 ตำบล ได้แก่ ตำบลบุญเกิด ตำบลดอกคำใต้ ตำบลดอนศรีชุม และตำบลสว่างอารมณ์ บ้านเรือนหลายร้อยหลังคาถูกน้ำท่วม รวมทั้งร้านค้าหลายแห่งถูกน้ำไหลทะลักเข้าท่วมได้รับความเสียหาย โดยเฉพาะในพื้นที่ตำบลสว่างอารมณ์ ระดับน้ำบางแห่สูงเกือบ 50 เซนติเมตร และจนถึงขณะนี้ระดับน้ำยังคงเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    จังหวัดลำปาง

    ช่วงกลางดึกของเมื่อวานนี้ (5 พฤษภาคม) ได้เกิดฝนตกหนักนานกว่า 45 นาที ในพื้นที่บ้านแม่สุกนอก ตำบลวังซ้าย อำเภอวังเหนือ จังหวัดลำปาง ส่งผลให้น้ำในลำน้ำแม่สุก ซึ่งเป็นแม่น้ำสาขาของ อำเภอวังเหนือ เกิดมีน้ำไหลบ่า น้ำเอ่อล้น จากนั้นน้ำได้ไหลทะละทักเข้าท่วมบ้านเรือนราษฎร ในพื้นที่หมู่บ้านแม่สุกนอกกว่า 30 หลังคาเรือน ความสูงน้ำประมาณ 50-80 เซนติเมตร ส่งผลให้มีข้าวของ และพื้นผลทางการเกษตรเสียหายเป็นจำนวนมาก สำหรับ ตำบลวังซ้าย อำเภอวังเหนือ นั้นถูกน้ำท่วมอย่างหนักเมื่อเดินกันยายน 2553 ที่ผ่านมา ขณะนี้ ทางเจ้าหน้าที่กำลังสำรวจความเสียหายของชาวบ้าน เพื่อดำเนินการช่วยเหลือต่อไป


    [​IMG] ภาคใต้

    จังหวัดนครศรีธรรมราช

    เมื่อวานนี้ (5 พฤษภาคม) ขณะที่ชาวบ้านในพื้นที่ อ.สิชล จ.นครศรีธรรมราช รวมถึงเจ้าหน้าที่และนักศึกษา กำลังดำเนินการซ่อมแซมสะพานซึ่งเป็นรอยต่อระหว่าง หมู่ 15 ต.เทพราช กับ หมู่ 10 ต.ฉลอง ของ อ.สิชล นั้น ก็ได้เกิดฝนตกลงมาอย่างอีกครั้ง ส่งผลให้ชาวบ้านที่กำลังช่วยซ่อมสะพานตัดสินใจหยุดงานซ่อมแซมก่อน เพื่อหนีเอาตัวรอด เพราะมีน้ำป่าทะลักเข้ามาอีก โดยปริมาณน้ำและความรุนแรงมากส่งผลให้สะพานที่กำลังซ่อมแซมพัง และทำให้ในขณะนี้ ชาวบ้านหมู่ 15 บ้านสามเทพ ต.เทพราช ถูกตัดขาดจากโลกภายนอก


    ทั้งนี้ กรมอุตุนิยมวิทยา ได้ประกาศเตือนในระหว่างวันที่ 6 - 15 พฤษภาคมนี้ ในหลายพื้นที่ของประเทศไทย โดยเฉพาะพื้นที่ในภาคตะวันออก และภาคใต้ฝั่งตะวันตก จะยังคงมีมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ ขอให้ประชาชนที่อยู่ในพื้นที่ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด เพื่อความปลอดภัย


    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก


    รายการเรื่องเล่าเช้านี้ , [​IMG] (ไอ.เอ็น.เอ็น.)



    -http://hilight.kapook.com/view/58539-


     

แชร์หน้านี้

Loading...